เรื่องเด่น อันตรายสำหรับมนุษยชาติยุด 4.0!!! พระ อ.อารยวังโส ชี้“โรคขีเกียจคิด”เริ่มเห็นชัดในคนเราทุกวันนี้

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย อกาลิโก!, 7 มกราคม 2018.

  1. อกาลิโก!

    อกาลิโก! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    609
    กระทู้เรื่องเด่น:
    531
    ค่าพลัง:
    +3,731
    สัญญาณบ่งชี้... อันตรายสำหรับมนุษยชาติยุด 4.0!!! พระ อ.อารยวังโส ชี้แนะ “โรคขีเกียจคิด” เริ่มเห็นชัดในคนเราทุกวันนี้อย่าเผลอใจ


    070101-1.jpg


    บทความพิเศษโดย...พระ อ.อารยวังโส

    โรคขี้เกียจคิด ...สัญญาณอันตรายของมนุษยชาติในยุคไอที!
    เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา วาระดิถีขึ้นปีใหม่ได้มาถึงแล้วตามปกติอันเป็นไปตามกฎของโลกที่สมมติขึ้นตามสภาวธรรมที่ผันผวนเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ จริงๆ แล้ว โลกกับธรรมไม่เคยขัดแย้งอะไรกันหรอก เพราะโลกก็คือธรรม .. ธรรมก็คือโลก แต่จะเป็นธรรมขั้นไหน มีลักษณะสภาวธรรมอย่างไรนั้น ก็ต้องว่ากันไปตามเหตุปัจจัยนั้นๆ


    070101-2.jpg

    การจำแนกแจกแจงเรื่องธรรมที่เป็นไปในระดับโลกหรือระดับเหนือโลกนั้น เพื่อความชัดเจนในความเข้าใจที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ เพื่อการปฏิบัติให้ได้ผลในแต่ละระดับของธรรม จึงจำแนกเป็น โลกียธรรมและโลกุตรธรรม!การเรียนรู้ที่ถูกต้อง ตรงธรรม จึงเห็นความเป็นแนวเดียวส่งสืบต่อกันไปจากธรรมขั้นต่ำ ขั้นระดับกลาง และขั้นสูงสุด จนถึงที่สุดแห่งการรู้แจ้งธรรม.. เกิดพุทธภาวะขึ้นอย่างแท้จริง..
    เรื่องราวของโลกียวิสัยที่ไหลเวียนในโลกียวิถี ดังปรากฏในรูปสมมติของกาลเวลา ที่แสดงนิมิตหรือเครื่องหมายให้เห็นชัดของการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนย้ายของโลกไปทุกขณะ ไม่ได้หยุดนิ่งเลย เพื่อแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของธรรมชาติหรือโลกว่า แท้จริงเป็นอย่างนี้เองนั้น ...มันจะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น จึงเป็นบาทฐานแห่งการควรนำมาศึกษาพิจารณา เพื่อการรู้เท่าทันสภาวธรรมและลักษณะธรรมของโลก.. ...ซึ่งเป็นเครื่องหมายของทุกสรรพสิ่งที่ก่อตัวเกิดขึ้นปรากฏมีอยู่ ดังที่เรารู้เห็นในโลกนี้ แม้ที่สุดคือชีวิตหรือตัวเรา!!
    จากบทเพลงท่อนหนึ่งที่ว่า "เธอมาจากไหน .. เธอจะเป็นใคร.. ฉันไม่เคยคิด!!" จึงให้นึกยิ้มๆ อย่างน่าสงสารในคนเราที่มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ สามารถพัฒนาจิตใจให้มีสติปัญญารู้เข้าใจในโลกได้ เพื่อเข้าถึงธรรมที่เป็นสัจธรรม... จนเข้าถึงธรรมที่เป็นอริยสัจได้ แต่กลับปล่อยให้ชีวิตเคลื่อนไหวตามแรงบันดาลของโลก จนเกิดการยึดถือยึดมั่นในโลกว่า เป็นอมตะนิรันดร์กาล ...ลุ่มหลงยึดถือสิ่งที่โลกปรุงขึ้นอย่างผิดไปจากธรรม.. จึงเกิดความคิดวิปริต แยกโลกออกจากธรรม .. กลายเป็นเรื่องของโลกกับเรื่องของธรรมที่แยกออกจากกันเป็นคนละส่วน คนละด้าน เมื่อมองยึดติดอยู่ที่โลก จึงไม่เห็นธรรม เพราะติดอยู่ที่สภาวธรรม สีสัน รูปร่าง กลิ่น รสชาติ ของโลก ...ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว โลกก็คือธรรม ธรรมก็คือโลก แค่เพียงปรับความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้อง เห็นตรง แจ้งตลอด ไม่ติดอยู่กับสมมติและสีสันสภาวธรรมของโลก!!
    เพราะไม่เข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อเข้าถึงธรรมในความเป็นโลก จึงต้องมานั่งขับร้องว่า "เธอมาจากไหน .. เธอจะเป็นใคร.. ฉันไม่เคยคิด!!" ซึ่งหากรู้จักคิดสักนิด พิจารณาสักหน่อย หรือรู้จักถาม รู้จักสอบสวน .. จนรู้เข้าใจ.. ก็คงจะรู้จัก เธอรู้ว่า เธอมาจากไหน เป็นคนอย่างไร ควรคบหรือไม่ควรคบ ...เพราะฉันรู้จักคิด!
    การรู้จักคิดพิจารณา จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ต่อการเรียนรู้เพื่อเข้าให้ถึงความรู้หรือหลักธรรมนั้นๆ ที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการวิธี ที่แปลพอเข้าใจว่า เป็นวิธีการพิจารณาโดยแยบคายจนเกิดความรู้ที่ถูกต้องตรงธรรม หรือเรียกโดยสรุปว่า วิธีการแห่งปัญญา ซึ่งมีอยู่ ๑๐ วิธีการที่สาธุชนผู้ใคร่ในการศึกษา .. มุ่งหวังการรู้จักคิด จะได้มีวิธีคิดพิจารณาที่ถูกต้อง จะได้รู้ว่า ฉันหรือเธอมาจากไหน... ดังเช่น วิธีการคิดพิจารณาโดยแยบคาย วิธีที่ ๑ เป็นวิธีคิดแบบอิทัปปัจจยตา ที่นิยมใช้กันมากในกระบวนการเรียนรู้ของพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า วิธีสอบสวน-สืบสวน หรือวิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย เป็นการพิจารณาปรากฏการณ์ที่เป็นผล ให้รู้จักสภาวะที่เป็นจริง หรือจับตัว ปัญหา มาศึกษาค้นหาสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์ก่อรูปสืบทอดกันมา ดังที่มีคำถามว่า.. "สิ่งนี้เกิดจากอะไร หรืออะไรทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น...."คำถามที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นหัวข้อนำสู่การศึกษาของผู้ตั้งคำถามด้วยการเข้าใจใน ธรรมะ ที่เป็นกฎธรรมชาติว่า ..ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุมีปัจจัย ..หรือไม่มีอะไรปรากฏขึ้นโดยไม่มีที่ไปที่มา.. นักเศรษฐศาสตร์โลกนำหลักธรรมดังกล่าวไปสรุปในเศรษฐศาสตร์เพื่อชีวิตว่า ..ไม่มีอะไรได้มาฟรี ... ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีการลงทุน!!
    จาก วิธีการคิดแบบเหตุปัจจัยในโยนิโสมนสิการวิธีของพระพุทธศาสนา จึงมีการนำไปบูรณาการใช้กับการคิดค้นหาข้อสรุปผลในเรื่องนั้นๆ ทางโลก ที่เรียกว่า กระบวนการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งปรากฏมีภายหลังพุทธศาสนา โดยวางขั้นตอนกระบวนการเรียนรู้เรื่องราวปัญหาต่างๆ ไว้ดังนี้
    ๑) กำหนดตัวปัญหา... จับปัญหาให้ได้ว่า อะไรคือปัญหาของเรื่องราวเหล่านั้น
    ๒) ตั้งข้อสมมติฐาน
    ๓) ทำการทดลองและจัดเก็บข้อมูล
    ๔) นำข้อมูลมาเข้ากระบวนการวิเคราะห์-วิจัย
    ๕) สรุปและแสดงผล...
    แม้ในวิธีการคิดพิจารณาโดยวิธีการอื่นในโยนิโสมนสิการ เช่น วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ ก็เป็นวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ทันสมัย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่จะแยก แยะส่วนประกอบของสภาวธรรม .. เรื่องราวเหล่านั้นได้ จะต้องเป็นผู้มี สติปัญญา ในระดับใช้งานใช้การได้ มีความรู้ขั้นพื้นฐานในเรื่องราวเหล่านั้น จึงสามารถ คิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ ออกมาให้เห็นชัดเจน เป็นจริงเป็นจังว่า... ไอ้ที่เราเห็น เรารับรู้นั้น แท้จริง มันเป็นจริงตรงตามที่เราเห็น เรารู้ (รับรู้) หรือไม่....
    จึงมีคำพูดของนักปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาว่า ที่เห็นนั้นจริง ... แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง!!
    การมองดูรู้เห็นเรื่องของโลกนั้น จึงต้องรู้จักพิจารณาเพื่อเข้าให้ถึงธรรมหรือความเป็นธรรมดาของโลก ซึ่งจะต้องรู้จักคิดพิจารณาโดยแยบคายจนเกิดปัญญารู้ทั่วถึงโดยวิเศษว่า... โลกมีธรรมดาเป็นเช่นนี้ มิฉะนั้น เราก็จะสร้าง มิจฉาธรรม ขึ้นมาปกปิดหลักธรรมดาของโลก จนนำไปสู่ความวิปลาสแห่งจิต ความวิบัติแห่งความรู้ที่จะนำไปสู่ มิจฉาทิฏฐิ จนไม่รู้เลยว่า ในความเป็นธรรม เรานั้นคือใคร เรานั้นเป็นใคร เรานั้นมาจากไหน และทำไมต้องมา....
    เมื่อไม่รู้จักตัวตนบุคคลความเป็นเรา .. ที่เรายึดถือว่าเป็นเรา .. เป็นของเรา .. มันจึงวุ่นวายไปทั้งโลก เพราะเราไม่เคยแม้จะคิดให้ตรงตามธรรมวิธีแห่งการคิดพิจารณา เพื่อการรู้แจ้งในความเป็นธรรมของชีวิตเราหรือโลกนี้
    เมื่อไม่รู้จักตนเอง เราก็จะไม่รู้จักใครๆ หรืออะไรๆ ในโลกเลย... จึงไม่แปลกที่จะขับร้องออกมาว่า เธอมาจากไหน.. เธอจะเป็นใคร.. ฉันไม่เคยคิด...
    การใช้ชีวิตของเราทั้งหลายจึงไหลวนไปตามกระแสโลก อย่างปฏิเสธหลักธรรมความจริงของโลก ด้วยอำนาจหนึ่งคือ กิเลส ที่ปรุงแต่งจิต สร้างชีวิตของเราให้โง่งมลุ่มหลงกับสิ่งนั้นๆ บุคคลนั้นๆ จนไม่รู้จักคิด และที่น่ากลัวคือ ฉันไม่เคยคิด...โรคไม่รู้จักคิด จนสั่งสมเป็นจิตสันดานของความขี้เกียจเกียจคร้าน แม้กระทั่งจะคิด... อะไรๆ ก็กดถามแต่กูเกิล จนมีอาจารย์กูเป็นสรณะกำลังระบาดหนักในสังคมไอทีในโลกยุคไร้พรมแดน ซึ่งเป็นภัยร้ายที่น่ากลัวยิ่งของมนุษยชาติในปัจจุบัน เราจึงเห็นปัญหาที่ไม่ควรเป็นปัญหาระบาดบานเหมือนดอกเห็ดในช่วงหลังฝนตกใหญ่ และทำท่าว่าจะอาการหนักเอาทุกที ...เมื่อจะถามอะไรขึ้นมากับใครสักคน.. เดี๋ยวนี้พี่แกจะไม่ตอบและจะไม่คิดอะไรด้วยให้เปลืองสมอง.. กดกูเกิลทันที พร้อมส่งคำตอบมาให้โดยไม่อยากจะเอ่ยปากพูดด้วย... เรียกว่า บรมขี้เกียจ!! ที่มีบทบาทสูงสุดต่อการปิดจิตใจของสัตว์มนุษย์ให้ไม่สามารถรับแสงสว่างแห่งธรรมได้เลย



    070101-3.jpg

    ในอดีตเคยมีพระมหาเถระรูปหนึ่ง รับบัญชาจากอดีตสมเด็จพระสังฆราช ให้ไปสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องกล่าวหาว่า... หลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ กล่าวอวดอุตริมนุสยธรรม.. ในเรื่องการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เมื่อพระมหาเถระรูปนั้นได้ไปถึงวัดของหลวงพ่อสรวงก็ได้พบกุฏิแบบพระกรรมฐาน ไม่มีสมบัติอะไรเลย และหลังจากที่ได้สนทนาธรรมกับหลวงพ่อสรวง ได้เกิดความศรัทธาในความรู้ ความเข้าใจในธรรมของหลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ ที่ได้ลำดับสาธยายธรรมปฏิบัติโดยพิสดาร ตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด... จนถึงขั้นการบรรลุธรรมสูงสุด.. พระมหาเถระรูปดังกล่าวได้ถวายสาธุการ และกล่าวถามหลายคำถามเพิ่มเติม มีคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ เมื่อพระมหาเถระรูปนั้นถามว่า "นิวรณ์ตัวใดที่ให้โทษมากที่สุดจากใน ๕ ตัว..." ..หลวงพ่อสรวงท่านถวายคำตอบว่า "เจ้าถีนมิทธะ.. ให้โทษมากที่สุด เพราะเมื่อมันเกียจคร้าน เบื่อหน่าย และหลับใหล จิตมันก็จะมืดสนิท... ไม่สามารถแม้แต่จะรับฟังธรรมได้เลย เพราะมันหลับเสียแล้ว!!"
    ถีนมิทธะ (ถีนมิทฺธ) แปลตรงว่า ความหดหู่ .. ความเคลิบ เคลิ้ม หมายถึง อาการที่จิตเกิดความห่อเหี่ยว ท้อแท้ หมดหวัง และเศร้าซึม จนง่วงเหงาหาวนอน หลับใหล จนนำไปสู่ความขี้เกียจ .. ความเกียจคร้าน ที่ก่อให้เกิดโรคขี้เกียจคิด ...จนเป็นจิตสันดานให้ไม่เคยที่อยากจะคิดค้นหาอะไรเพื่อให้รู้จริงในสิ่งนั้นหรือเรื่องราวนั้นๆ ซึ่งเป็นภัยอย่างยิ่งต่อการพัฒนาชีวิตของคนเรา ซึ่งหากปล่อยปละละเลยให้ชีวิตของเราไหลไปตามกำลังของกิเลสที่แสดงในรูปของ ถีนมิทธะ นั่นหมายถึง ความฉิบหายได้มาเยือนมนุษยชาติอย่างเต็มกำลังแล้ว... เพราะจะไม่สามารถพัฒนามนุษย์เราให้เข้าถึงความดีและคุณธรรมได้เลย ...จะไม่สามารถรู้แจ้งตามความเป็นจริงได้เลยว่า ความเป็นธรรมดาของโลกเป็นอย่างไร... อะไรคือธรรมของโลก .. สัตว์โลก จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของความไม่รู้ (อวิชชา) ที่สร้างความรู้ผิด เห็นผิด จนยากจะแก้คืน..... นี่คือฤทธิ์เดชของอกุศลธรรม ตัว ถีนมิทธะ ... แค่เพียงตัวเดียว ก็สามารถทำให้สัตว์โลกอับปัญญา ไปตลอดกาล จนจมอยู่กับความไม่รู้จักคิด .. และคิดไม่เป็น จนขี้เกียจที่จะคิดพิจารณาให้รู้เข้าใจในความเป็นธรรมที่ปรากฏมีอยู่ในโลก... วันนี้ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ของสถานการณ์โลก!!.
    เจริญพร
    พระ อาจารย์อารยวังโส
    dhamma_araya@hotmail.com



    เรียบเรียงโดย

    กิตติ จิตรพรหม
    http://www.tnews.co.th/contents/398328
     

แชร์หน้านี้

Loading...