อัพเดตข่าวสาร วัดท่าขนุนและหลวงพ่อเล็ก

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์วัดท่าขนุน, 2 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ได้แต่บอกโยมว่าให้ทำตามในหลวงก็แล้วกัน ยึดในหลวงเป็นหลัก ท่านบอกว่าให้ประหยัด ให้รู้จักใช้ เศรษฐกิจพอเพียง ซื้อในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ก่อนจะทำอะไรตรึกตรองให้ดี
    ……………………………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน

    http://www.grathonbook.net/book/1.2.html

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  2. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ความสุขของพระองค์ไม่ใช่การอยู่ในพระบรมมหาราชวัง แต่เป็นการอยู่กับประชาชนของพระองค์ ดังเนื้อเพลงที่ว่า
    .
    “พิมานทิพย์คือท้องทุ่ง……………ม่านราวรุ้งคือเขาเขิน
    ร้อนหนาวในราวเนิน………………มาลูบไล้ต่างสุคนธ์
    รอยพระบาทที่ยาตรา……………..แทบทั่วหล้าฟ้าสกล
    พระเสโทที่ถั่งท้น……………………ถ้าไหลรวมคงท่วมไทย”

    ———————————————————
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์วันพ่อ ปี ๒๕๕๔

    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3113

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  3. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    “เราต้องไปดูว่าสิ่งที่เราทำ ถ้าเรารู้สึกว่าเหนื่อย รู้สึกว่าท้อ ต้องนึกถึงว่าสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทำคืออะไร ? หลายอย่างพระองค์ท่านไม่มีโอกาสเห็นตอนที่ยังทรงพระชนมชีพอยู่ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะเกิดดอกออกผลในรัชกาลนี้ แล้วคำทำนายโบราณที่บอกว่า “ชาววิไล” ก็คือช่วงรัชกาลที่ ๑๐ เกิดจากดอกผลที่พระองค์ท่านทุ่มเทเงินต้นด้วยกำลังกายกำลังใจตลอด ๗๐ ปีที่ผ่านมา

    อาตมาถือว่าโชคดีเป็นคน ๒ แผ่นดิน ในเมื่อเหยียบแผ่นดินเก่าด้วย แผ่นดินใหม่ด้วย ก็จะเห็นชัดเจนถึงความแตกต่าง ถ้าคนไม่ได้อยู่ในรุ่นเก่านานพออาจจะมองความต่างไม่เห็น สมัยก่อนทางบ้านของอาตมาเป็นทางลูกรัง ไม่มีคลองชลประทาน ไม่มีสาธารณูปโภค โครงการพระราชดำริต่าง ๆ เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ท่านทำ พระองค์ท่านสอน เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลได้จริง ๆ

    เราลองไปนึกดูหุบกะพงสมัยก่อนสิ จะไปทำอะไรกินได้ ? พระองค์ท่านทำโครงการพระราชดำริหุบกะพง แคนตาลูป เมล่อน อะไรต่าง ๆ ที่สมัยนี้ฮิตนักฮิตหนา รู้ไหมว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่หุบกะพง จากพื้นดินที่ซึ่งไม่น่าจะทำกินได้

    โครงการหุบกะพง โครงการห้วยทราย โครงการพิกุลทอง ล้วนแต่เป็นแผ่นดินที่ไม่มีสภาพให้ทำกินได้เลย แต่พระองค์ท่านก็สามารถที่จะปรับปรุงจนกระทั่งทำกินได้ ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกที่ในพระราชวังมีนา มีบ่อเลี้ยงปลา มีโรงเลี้ยงวัว ทั้งหมดนี้ทำเพื่อใคร ? เพาะพันธุ์พืชและสัตว์ที่ดีที่สุดให้ชาวบ้านรับไปเอาไปเพิ่มผลผลิตของตนเอง เพื่อที่จะได้อยู่ดีกินดี

    เราจะเห็นว่าพระองค์ท่านประกอบไปด้วยบารมี ๑๐ อย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะวิริยบารมี ความพากเพียรที่จะทำให้ชาวบ้านดีอยู่ดีกินดี มีประเทศไหนในโลกที่สามารถปราบฝิ่นได้ราบคาบโดยไม่ต้องใช้กำลังทหารตำรวจ ก็มีแต่ประเทศไทยที่ทำได้ โครงการพระราชดำริเปลี่ยนจากฝิ่นมาเป็นพืชเมืองหนาว โครงการต่าง ๆ ไปดูสิ ไม่ว่าจะเป็นดอยอ่างขาง ห้วยฮ่องไคร้ ดอยมูเซอ ทำให้เราเห็นว่าพืชผักทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วเป็นที่ต้องการมาก แต่ว่าต้องทำกันจริง ๆ ทุ่มเทกันจริง ๆ

    เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ได้ดูในระยะยาว ๆ ก็จะไม่เห็นผล คราวนี้เราดูในระยะยาวที่เห็นผลแล้ว สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดที่สุด ก็คือ กำลังใจที่ทุ่มเททำเพื่อคนอื่นโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย พวกเราทำเพื่อตัวเองเราไปบ่นว่าเหนื่อย พระองค์ท่านทำเพื่อประชาชนหลายล้านคน ไม่เคยบ่นให้ได้ยินสักคำ”

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เดือนมีนาคม ๒๕๖๐ ณ บ้านเติมบุญ


    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  4. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ในหลวง ร.๙ เอาระบบเศรษฐกิจพอเพียงมาจากไหน ?

    ก็จากหลักธรรมข้อสันโดษของพระพุทธเจ้า คำว่าสันโดษที่แปลว่าพอเพียงนั้น ถือว่าเป็นอัจฉริยภาพของในหลวง ร.๙ ที่ท่านแปลให้เราเข้าใจง่าย ๆ

    พระพุทธเจ้ากล่าวถึงสันโดษในหลายลักษณะด้วยกัน ไม่ใช่ว่าสันโดษต้องทำตัวจน ๆ ปอน ๆ ท่านบอกว่า

    ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ได้เยอะก็พอใจ ได้น้อยก็พอใจ ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังของตนที่หาได้ ถ้าหากว่าทุนหนากล้าเสี่ยง ก็อาจจะได้เป็นหมื่น ๆ ล้าน ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะ ตามสภาพของตน คนมีร้อยล้านจะอยู่จะกินแบบคนร้อยล้าน ไม่มีใครเขาว่า เพราะเรามี คนมีพ้นล้านจะอยู่จะกินแบบคนพันล้าน ไม่ได้มีใครว่า เพราะเรามี

    เพราะฉะนั้น..สันโดษไม่ใช่ว่าไม่ได้เอาอะไร แต่ว่าให้เป็นสัมมาอาชีวะ ถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่ทำอะไรเกินกำลังตัวเอง ในหลวง ร.๙ สอนว่า พอเหลือแล้วค่อยขาย ส่วนใหญ่บ้านเราเป็นสังคมเกษตรกรรมมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ พื้นที่ที่น่าเสียดายที่สุดก็กรุงเทพมหานครของเรานี่แหละ เพราะสมัยโบราณหลัก ๆ ที่จะอยู่ได้เลยก็คือ ต้องปลูกข้าว บรรพบุรุษของเราก็อุตส่าห์ไปเสาะหาพื้นที่ ซึ่งเหมาะที่สุดสำหรับปลูกข้าว ฝนฟ้าดีทั้งปี แต่พอมารุ่นหลังแทนที่จะใช้ปลูกข้าวทำไร่ทำสวน ก็เอามาสร้างตึก แต่ฝนไม่ได้จำนี่ว่าเป็นตึกหรือเป็นข้าว ก็ตกตามปกติของฝน แล้วก็ไปบ่นว่าน้ำท่วมกรุงเทพฯ ในเมื่อบ้านเราเป็นสังคมเกษตรกรรม การที่เราจะยืนหยัดอยู่ได้ ก็ต้องอาศัยบรรดาผลผลิตทางการเกษตรนี่แหละ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ให้ทำลักษณะเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือ ย้อนเข้าไปหาการเกษตร โดยเฉพาะเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระองค์ท่าน ถ้าหากว่าย้อนกลับไปสังคมเกษตร และเป็นเกษตรทฤษฎีใหม่ผสมผสาน ซึ่งความจริงเป็นของเก่า ต่อให้เราขายไม่ได้ก็ยังมีกิน
    ……………………………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    เทศน์ก่อนทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันเสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒


    1509179532_427_ในหลวงท่านเอาระบบเศรษฐ.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  5. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ….สามโลกจักหาใคร…..ไป่มี
    พ่อดังพระสุริยศรี………..คู่ฟ้า
    สว่างหล้าธาตรี…………..ใครเปรียบ เทียบฤๅ
    นามพ่ออยู่คู่หล้า…………ตราบฟ้า ดินสลาย
    —————————————-
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5289&page=8

    -ไป่มี.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  6. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ขอเชิญร่วมกันแปรอักษรและจุดผางประทีปนับ ๑๐,๐๐๐ ดวง เพื่อน้อมส่งพ่อหลวงเป็นครั้งสุดท้ายในวันลอยกระทง
    วันศุกร์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ วัดท่าขนุน

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  7. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ให้หัดสังเกตอารมณ์ใจตัวเองไว้ด้วย
    เราต้องสามารถสงเคราะห์คนให้เท่าเทียมกัน
    ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
    …………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  8. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ขอเชิญทุกท่านร่วมตามประทีปน้อมถวายเป็นพุทธบูชา เป็นครั้งสุดท้ายในรัชกาลที่ ๙
    ในวันศุกร์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ตั้งแต่เวลา ๑๔.๐๐ น. เป็นต้นไป
    ณ วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

    ร่วมรำลึกถึงพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ กันค่ะ

    .jpg
    ขอเชิญร่วมกันแปรอักษรและจุดผางประทีปนับ ๑๐,๐๐๐ ดวง เพื่อน้อมรำลึกถึงพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ในวันลอยกระทง
    วันศุกร์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ วัดท่าขนุน

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  9. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    กำหนดการบวชเนกขัมมะเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๘/๒๕๖๐
    วันศุกร์ที่ ๓ – วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐


    วันศุกร์ที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ (วันลอยกระทง)
    เวลา ๐๖.๐๐ น. พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาต
    เวลา ๐๗.๓๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแก่พระภิกษุสามเณรทั้งวัด
    เวลา ๐๘.๐๐ น. ตรวจสอบรายชื่อผู้สมัครบวชเนกขัมมะ
    เวลา ๐๘.๓๐ น. พิธีบวชเนกขัมมะเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๘/๒๕๖๐
    เวลา ๐๙.๐๐ น. พิธีอุปสมบทหมู่เพื่อปฏิบัติธรรมวันลอยกระทง
    เวลา ๑๐.๓๐ น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์ฉลองพระใหม่
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแก่พระภิกษุสามเณรทั้งวัด
    เวลา ๑๓.๐๐ น. ปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย (เดินจงกรม – ภาวนา)
    เวลา ๑๕.๐๐ น. ร่วมกันวางผางประทีป
    เวลา ๑๘.๐๐ น. ตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวงถวายเป็นพุทธบูชา
    เวลา ๑๙.๐๐ น. ทำวัตรค่ำ (มีรอบเดียว)
    เวลา ๒๐.๐๐ น. ลอยกระทงถวายเป็นพุทธบูชา
    เวลา ๒๑.๐๐ น. พักผ่อนตามอัธยาศัย

    วันเสาร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ (วันหยุดราชการ)

    เวลา ๐๔.๐๐ น. พระอาจารย์นำเจริญกรรมฐาน
    เวลา ๐๔.๓๐ น. ทำวัตรเช้า
    เวลา ๐๖.๐๐ น. พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาต อนุญาตให้ผู้ปฏิบัติธรรมไปใส่บาตรในตลาดได้
    เวลา ๐๗.๓๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแก่พระภิกษุสามเณรทั้งวัด
    เวลา ๐๘.๓๐ น. ปฏิบัติธรรมช่วงเช้า (เดินจงกรม – ภาวนา)
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแก่พระภิกษุสามเณรทั้งวัด
    เวลา ๑๓.๐๐ น. ปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย (เดินจงกรม – ภาวนา)
    เวลา ๑๕.๐๐ น. พักผ่อน ทำธุระส่วนตัว
    เวลา ๑๖.๓๐ น. ร่วมกันทำความสะอาดวัด
    เวลา ๑๘.๐๐ น. ทำวัตรค่ำรอบแรก
    เวลา ๑๙.๐๐ น. ทำวัตรค่ำรอบสอง
    เวลา ๒๐.๐๐ น. พักผ่อนตามอัธยาศัย

    วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ (วันหยุดราชการ)

    เวลา ๐๔.๐๐ น. พระอาจารย์นำเจริญกรรมฐาน
    เวลา ๐๔.๓๐ น. ทำวัตรเช้า
    เวลา ๐๖.๐๐ น. พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาต อนุญาตให้ผู้ปฏิบัติธรรมไปใส่บาตรในตลาดได้
    เวลา ๐๗.๓๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแก่พระภิกษุสามเณรทั้งวัด
    เวลา ๐๘.๓๐ น. ปฏิบัติธรรมช่วงเช้า (เดินจงกรม – ภาวนา)
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแก่พระภิกษุสามเณรทั้งวัด
    เวลา ๑๓.๐๐ น. พิธีลาศีล ๘ รับศีล ๕ และรับวุฒิบัตรผู้ปฏิบัติธรรม
    เวลา ๑๔.๐๐ น. เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

    ที่มา /www.facebook.com/hashtag/post200583">#post200583” target=”_blank”>http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=200583 #post200583

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  10. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    อธิษฐานช่วยคนอื่น

    ถาม : เราสามารถอธิษฐานช่วยคนอื่นได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ได้..ถ้าหากว่ากำลังบุญบารมีที่เราสั่งสมมาไปถึงระดับหนึ่ง จะเกิดฤทธิ์ที่เรียกว่า อธิษฐานฤทธิ์ และ บุญฤทธิ์ ๒ อย่างนี้สามารถช่วยคนได้

    ถาม : ถ้ายังไม่ถึงก็ไม่ควรใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ถ้ายังไม่ถึงระดับจริง ๆ จะช่วยก็ได้ แต่ก็ได้น้อย

    ถาม : แม่เขาจะเป็นโรคที่รักษาไม่หาย หนูสวดมนต์หรือคนอื่นเขาจะทำบุญ…(ไม่ชัด) ?
    ตอบ : ไม่เป็นไร ทุกครั้งก็บอกให้ท่านโมทนาบุญ และอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรของท่านด้วย ทำไปเรื่อย ๆ ทีละนิดทีละหน่อยดีกว่า ไม่ทำอะไรเลย

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  11. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ถ้าเราทิ้งลมหายใจเมื่อไรก็คือเราทิ้งชีวิตของเรา
    เพราะชีวิตนี้อยู่ได้ด้วย “ลมหายใจเข้าออก”
    เราแค่อาศัยยานพาหนะก็คือ “สติ”
    ในการตามดู ตามรู้ “ลมหายใจ” เข้าออกของเรา
    …………………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5615

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  12. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    วัตถุประสงค์ของการเกิดมา

    ถาม : …………………………………
    ตอบ : การเกิดมามีวัตถุประสงค์…ตายล่ะวา...ที่ตั้งวัตถุประสงค์มามีน้อยคน ส่วนใหญ่คือพวกที่จากข้างบนลงมาเพื่อสร้างบารมี เขาจะตั้งใจลงมาเลย การเกิดของเขานี่อย่างน้อยเขาจะต้องไม่เลวไปกว่าเดิม มีแต่ว่าจะต้องดีกว่าเดิมเขาจึงยอมลงมา พวกชิงมาเกิดเขาเลือกได้ ส่วนพวกทั่ว ๆ ไปที่เป็นไปตามกรรมนั้น แล้วแต่บุญบาปจะส่งไป

    แต่ว่าการเวียนเกิดของเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็จะใกล้ความดีเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสร้างความดีบริสุทธิ์จนถึงที่สุด ก็หลุดพ้นจากการเวียนตายเวียนเกิดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เทวดา มาร พรหม

    ในที่สุดก็เข้าพระนิพพานหมด เพียงแต่ว่าใครจะเข้าสู่กระแสพระนิพพานก่อน ใครที่จะเวียนตายเวียนเกิดเนิ่นนานกว่ากันแค่นั้นเอง แล้วแต่สภาพจิตของเขาว่าเป็นมิจฉาทิฐิหรือว่าเป็นสัมมาทิฐิ ถ้าเป็นมิจฉาทิฐิกว่าจะย้อนเข้าสัมมาทิฐิ กว่าจะปฏิบัติสร้างบารมีเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน ก็เนิ่นนานจนนับไม่ได้

    เพราะฉะนั้น...ถ้าพูดถึงวัตถุประสงค์เลย พวกที่ตั้งใจเกิดถึงจะมีวัตถุประสงค์ ส่วนที่เหลือนั้นเป็นไปตามแรงกรรม บ้างก็เกิดมาเพื่อชดใช้ บ้างก็เกิดมาเพื่อสร้างบารมีเพิ่มเติม

    ถาม : พอจะรู้ได้อย่างไรครับ ?
    ตอบ : รู้ได้อย่างไร ? ถ้าหากว่าผู้ที่สามารถให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาได้เป็นปกติ ถือว่าอยู่ในระดับปรมัตถบารมี ถ้าหากว่ามีความปรารถนาพระนิพพานเป็นปกติ ก็ถือว่ามีปรมัตถบารมีขั้นละเอียดสูงสุดแล้วได้ ถ้ากำลังใจเกาะพระนิพพานเป็นปกติ อันนี้ถือว่าเต็มได้ คือว่าถ้าปฏิบัติ มีสิทธิ์ที่บรรลุมรรคผล ที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำแล้ว เพียงกระทบแสงตะวันเท่านั้นก็จะเบ่งบาน ไม่ใช่บัวที่อยู่กลางน้ำ ไม่ใช่บัวที่อยู่ในโคลน

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมีนาคม ๒๕๔๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  13. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ให้เข้มงวดต่อตนเองและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
    ถ้าเมตตาก็ให้เมตตาคนอื่น อย่าเมตตากับตัวเองมากนัก
    เดี๋ยวจะได้ใจ
    ……………………………..
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  14. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ความกตัญญูกตเวทีของพระสารีบุตร

    ถาม :
    อุปติสสะนี้หมายถึงพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ?
    ตอบ : อุปติสสะ คือ พระสารีบุตร ตระกูลนี้เป็นตระกูลพระอรหันต์ พี่ชายใหญ่คือ อุปติสสะ น้องชายรองคือ อุปเสนะ น้องสาวถัดไป คือท่านจาลา ท่านอุปจาลา ท่านสีสุปปจาลา เป็นผู้หญิงสามคนติดกัน แล้วก็ไปท่านจุนทะ กับท่านเรวตะ เป็นผู้ชายอีกสอง เจ็ดท่านนี้เป็นพระอรหันต์หมดเลย

    โดยเฉพาะท่านเรวตะ เป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เจ็ดขวบ ตระกูลพระอรหันต์ แต่แม่เป็นมิจฉาทิฐิ วาระสุดท้ายก่อนที่พระสารีบุตรจะไปพระนิพพาน ท่านกลับไปโปรดแม่ท่านเอง คือ พระสารีบุตรท่านรู้ว่าตัวเองอายุมากแล้ว คือท่านนั่งพิจารณาย้อนหลังไปว่า ในอดีตที่ผ่านมาพระอัครสาวกไปพระนิพพานก่อนหรือว่าพระพุทธเจ้าไปพระนิพพานก่อน เสร็จแล้วท่านก็ทราบว่าพระอัครสาวกทั้งหมดจะไปพระนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า

    ในเมื่อเป็นดังนั้น ท่านก็กำหนดดูต่อไปว่าสมควรจะไปพระนิพพานที่ไหน ก็เห็นว่าแม่ตัวเองยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ทั้ง ๆ ที่ลูกตัวเองเป็นพระอรหันต์ตั้งเจ็ดองค์ ควรที่จะกลับไปโปรดแม่ก่อน ถ้าโปรดแม่แล้วเราค่อยไปพระนิพพาน ก็เลยตั้งใจว่ากลับไปห้องที่ท่านเกิด คือ แม่คลอดท่านห้องไหน ก็จะไปพระนิพพานในห้องนั้น พิจารณาเสร็จแล้วท่านก็กลับบ้าน

    พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้แสดงธรรมโปรดพระเป็นครั้งสุดท้ายก่อน เพราะขึ้นชื่อว่าธรรมเสนาบดีสารีบุตรจะแสดงธรรมสงเคราะห์ผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก คำว่าปรากฏขึ้นได้ยาก เพราะว่าพระอัครสาวกเบื้องขวามีองค์เดียว ก็หายากพอ ๆ กับพระพุทธเจ้า..ใช่ไหม ? เท่ากับว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งก็มีพระอัครสาวกเบื้องขวาองค์เดียวเช่นกัน กับพระอัครสาวกเบื้องซ้ายองค์หนึ่ง ส่วนพระอรหันต์อื่น ๆ มีเยอะแยะไปหมด

    ท่านก็เลยต้องแสดงธรรมโปรดพระก่อน เสร็จแล้วท่านก็พาพระภิกษุลูกศิษย์ของท่านที่เป็นพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ พร้อมกับพวกน้อง ๆ ไปบ้าน พอไปถึงก็ให้หลานชื่อ อุปวาณะ ซึ่งไปเจอเข้าที่กลางทางก่อน ให้ไปแจ้งข่าวให้แม่ทราบด้วยว่า ตอนนี้จะกลับมาหา แม่ก็ดีใจว่าลูกแก่ขนาดนั้นแล้ว แม่แก่ขนาดไหนก็นึกเอา ตั้งแต่ไปบวชมานี้ไม่ได้เจอหน้าเลย มีแต่น้อง ๆ หนีหายไปทีละคน ๆ ตัวเองก็คอยดูแลทรัพย์สมบัติอยู่ ก็นึกว่าสงสัยลูกเราทนความลำบากไม่ไหว จะสึกกลับบ้านแล้วแน่นอนเลย ก็เลยดีใจ ให้คนใช้จัดแต่งห้องหับกันใหญ่โต

    พอถึงเวลากลับมา พระสารีบุตรท่านก็มาขอเข้าไปอยู่ห้องเดิมของตัวเอง ก็มีพระจุนทะท่านเฝ้าไข้อยู่ เพราะพระสารีบุตรท่านถ่ายเป็นเลือด เพราะว่ากระเพาะทะลุ ส่วนพระสงฆ์อื่น ๆ ก็อยู่ในห้องโถง พอยามต้นท้าวมหาราชทั้งสี่มาเยี่ยม แสงสว่างก็ไปกระทบตาท่านแม่ที่กำลังสวดมนต์อยู่ เขาจะสวดมนต์ถวายพระพรหมของเขาเป็นปกติ

    พอแสงสว่างทะลุไปถึงแม่ก็ถามท่านจุนทะว่า “จุนท์เอ๊ย…ใครมาหาพี่แกน่ะ ?” ท่านจุนทะก็บอกว่า “ท้าวมหาราชทั้งสี่จ้ะแม่” แม่ก็ เอ๊ะ..ลูกเราเก่งขนาดนี้เชียวหรือ ? ขนาดท้าวมหาราชยังต้องมาหา ท่านก็เลยขอเข้าไปดูเอง พอเข้าไปก็เห็นเข้า พอเห็นท่านก็ถามว่า “พ่อเอ๊ย” เรียกท่านสารีบุตร “นี่พ่อยังใหญ่กว่าท้าวมหาราชอีกหรือ ?” พระสารีบุตรท่านก็ไม่ได้ตอบตรง ท่านบอกว่า “แม่…ท้าวมหาราชทั้งสี่น่ะ เหมือนกับเด็กวัดของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่พระโพธิสัตว์จุติมาสู่ครรภ์ ท้าวมหาราชทั้งสี่ก็ถือพระขรรค์แวดล้อมดูแลอยู่ แม้กระทั่งเวลาที่พระพุทธองค์อยู่ที่วัด ก็เฝ้าประตูวัดในทิศทั้งสี่ให้” ท่านก็เลยเปรียบว่า ถ้าเปรียบกับพระพุทธเจ้าแล้ว ท้าวมหาราชก็คือเด็กวัด ท่านไม่ได้เปรียบกับตัวเองเลย

    คราวนี้ก็ “เอ้อ…เจ้าใหญ่กว่าท้าวมหาราชก็จริง แต่ก็คงไม่ใหญ่ไปกว่าพระพรหมหรอก” ก็ไปสวดมนต์ของแกต่อ พอยามสอง พระอินทร์มาเยี่ยม แสงก็สว่างไปถึงห้องแกอีก ก็ถามว่า “จุนท์เอ๊ย..ใครมาเยี่ยมพี่แกอีก ?” ท่านจุนทะก็บอกว่า “พระอินทร์น่ะแม่” แกก็รีบออกมาดูและถามว่า “นี่พ่อยังใหญ่กว่าพระอินทร์อีกหรือ ?” พระสารีบุตรท่านก็บอกว่า “พระอินทร์ก็เปรียบเสมือนสามเณรน้อยที่คอยถือบาตรถือจีวรของพระพุทธเจ้า” เพราะตอนพระพุทธเจ้าท่านเสด็จลงจากดาวดึงส์ พระอินทร์ท่านก็ถือบาตรตามพระพุทธเจ้าลงมา ท่านก็ “เออ… แต่คงไม่ใหญ่ไปกว่าพระพรหมหรอก” แกก็ไปสวดมนต์ของแกต่อ

    พอยามสามท้าวสหัมสบดีพรหมมาเอง เจ้าพ่อของพระพรหมเลย ท่านก็เลยถามอีกว่า “ใครมาหาพี่แกน่ะลูก ?” ท่านจุนทะก็บอกว่า “ท้าวสหัมสบดีพรหมผู้เป็นอธิบดีของพรหมทั้งหลายน่ะแม่” คราวนี้แม่อยู่ไม่ได้ ตัวเองนับถือพระพรหมเป็นใหญ่ แต่ท้าวสหัมสบดีพรหมอธิบดีของพรหมทั้งหมดมาเองอย่างนี้ เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ถามว่า “พ่อเอ๊ย…นี่พ่อยังใหญ่กว่าท้าวสหัมสบดีพรหมอีกหรือลูก ?” พระสารีบุตรท่านก็บอกว่า ถ้าหากว่าท้าวมหาพรหมทั่ว ๆ ไป เปรียบแล้วก็เหมือนกับพี่เลี้ยงเด็ก เพราะว่าตอนพระพุทธเจ้าคลอดใหม่ ๆ ท้าวมหาพรหมทั้งสี่เอาข่ายทองมารองรับ แต่ถ้าท้าวสหัมสบดีพรหมก็เปรียบเสมือนมัคคนายกวัด เพราะว่าเป็นผู้อาราธนาพระพุทธเจ้าให้อยู่แสดงธรรมโปรดสัตว์โลกเสียก่อน

    ตอนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ใหม่ ๆ ท่านคิดว่าจะไม่แสดงธรรมสงเคราะห์ เพราะว่าธรรมะลึกซึ้งเกินไป ท้าวสหัมสบดีพรหมท่านทราบความคิด ท่านก็เสด็จลงมา ท่านว่าสัตว์โลกที่ธุลีในดวงตามีน้อยนั้นมีอยู่ ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมสงเคราะห์เขาเถิด เมื่อเป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้าจึงรับแสดงธรรม ท่านสารีบุตรก็เลยเปรียบว่า ท้าวสหัมสบดีพรหม ก็เหมือนมัคคนายกนั่นและ เพราะถึงเวลาก็ต้องอาราธนาศีลอาราธนาธรรม

    พอแม่ได้ยินดังนั้น ก็เลยบอกว่าไม่รู้เลยว่าพ่อมีความดีถึงปานนี้ พระสารีบุตรก็บอก หยุดเถิดแม่ ขึ้นชื่อว่าความดีของลูกนั้นไม่มีหรอก ความดีทั้งหมดเกิดจากพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ ขอให้แม่ตั้งใจฟังนะ แล้วท่านก็เทศน์ถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขึ้น “อิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมา สัมพุทโธฯ” ดังนี้

    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้โดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติทั้งปวง เสด็จไปดีแล้วในทุกที่ เป็นผู้ฝึกที่ไม่มีใครเหนือกว่า เป็นครูสอนของมนุษย์และเทวดา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกแจกธรรม

    แม่ได้ฟังแล้วก็เกิดปีติ กลายเป็นพระโสดาบันไป แกก็ดีอกดีใจ แต่พระสารีบุตรหมดลมไปแล้ว เทศน์จบแกก็ดีอกดีใจ พ่อเอ๊ย…แม่ไม่เคยได้ฟังภาษิตดี ๆ อย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต ทำไมไม่มาโปรดแม่แต่เนิ่น ๆ พอพูดไปเห็นลูกเงียบ แกก็ไปจับขาดู ปรากฏว่าเย็นเฉียบ ลูกชายไปเสียแล้ว นั่งร้องอยู่ตรงนั้นแหละ เสร็จแล้วพวกน้อง ๆ ก็มาช่วยปลอบให้ท่านคลายโศก ท่านก็เลยเปิดคลังตัวเอง บอกให้เรียกช่างมา บอกว่ามีช่างเท่าไร จ้างเอามาให้หมดเมืองนาลกะเลย ขนทองออกจากคลังไปเลย ให้สร้างที่พักสงฆ์ ๕๐๐ หลัง ท่านใช้คำว่าปราสาท ก็คือบ้านหลาย ๆ ชั้น แล้วก็สร้างที่พักอาคันตุกะ ๕๐๐ หลัง เอาให้เสร็จทันจัดงานศพลูกชายตัวเอง

    มีพระส่งข่าวไปยังพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งพระมาช่วยกันจัดงานศพ เทวดา พรหม พระอินทร์ก็มาช่วยกันเต็มไปหมด พระอินทร์ขอให้ท้าววิษณุกรรมช่วยสงเคราะห์ คนสร้างที่พักหนึ่งหลัง ก็ขอให้เป็นสองหลัง ก็เลยกลายเป็นว่าสร้างอย่างละพันหลัง คนมาเท่าไรก็รับได้ เสร็จแล้วชาวบ้านก็ช่วยกันหาไม้หอม ฟืนหอม ใครมาก็ก่อจิตกาธานสูงขึ้นไป ท้าววิษณุกรรมก็เนรมิตให้กลายเป็นมณฑปสวยงามสมเกียรติยศ ประดับด้วยแก้ว พอถึงเวลาเผาเสร็จสรรพเรียบร้อย พระอนุรุทธ ดับด้วยน้ำหอมเสร็จ พระจุนทะเถระก็รวบรวมอัฐิ เหลือเพียงห่อเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ไปถวายพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระสารีบุตรผู้เป็นสาวกของเรา ผู้เลิศที่สุดในทางธรรม เป็นผู้ที่เปรียบเหมือนกับแม่เลี้ยงหรือนางนม คือว่าพระภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องผ่านการสงเคราะห์จากท่าน จนกระทั่งบัดนี้ท่านได้ทำหน้าที่ของตัวเองสมบูรณ์แล้ว พระผู้ที่บริสุทธิ์เห็นปานนี้ ถึงวาระนั้นก็ไม่อาจดำรงขันธ์อยู่ได้ ขอเธอจงอย่าตั้งอยู่ในความประมาทของขันธ์ห้าเลย

    พอเทศน์ถึงตอนนี้ในบาลีท่านบอกว่า มหาชนอันมากก็บรรลุมรรคผล คราวนี้พระพุทธเจ้าตรัสสั่งให้สร้างพระเจดีย์อยู่ในเชตวันมหาวิหารนั่นแหละ บรรจุอัฐิพระสารีบุตร เป็นที่สักการบูชาของคนต่อไป

    พระสารบุตรนิพพานวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบสอง ถัดจากนั้นอีก ๑๕ วัน พระโมคคัลลาน์ก็ตามไป เท่ากับว่าพรรษาสุดท้ายพระพุทธเจ้าขาดแขนซ้ายขวาไปเลย เพราะพระอัครสาวกมรณภาพก่อนพระพุทธเจ้าครึ่งปี

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  15. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ถ่ายทอดสดกิจกรรมตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง วัดท่าขนุน วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  16. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ว.jpg

    ถ่ายทอดสดการทำวัตรค่ำ วัดท่าขนุน วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  17. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ถ้าเรายังไม่เร่งทำตนเองให้มีหลักยึดไว้ ถึงเวลาหลักตรงหน้าหายไป
    แล้วเราก็จะรู้ว่าคนอื่นไม่ใช่ที่พึ่งของเรา กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว
    ……………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  18. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    “กำลังใจที่เหมือนภูเขาทั้งลูกที่แบกไว้ พอวางลงได้ ตรงจุดอย่างนี้ถ้าหากว่าใครพบ พยายามจำให้ได้ กำลังใจที่เราปลงภาระอะไรบางอย่างลงได้ รู้สึกเบา รู้สึกสบาย มีความสุข

    ถ้าหากในด้านของธรรมะ กำลังใจที่เราปลงรัก โลภ โกรธ หลงลงได้นี่ มีสุขมากกว่านั้นนับประมาณไม่ได้ อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้หรอก คนที่แบกของหนักแทบจะล้มประดาตาย วางของลงแล้วสบายจริง ๆ ส่วนกำลังใจที่ปลงจากรัก โลภ โกรธ หลงอันนั้นสบายกว่า สุขจนบอกไม่ถูก”

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ ณ บ้านอนุสาวรีย์


    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  19. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    Unseen Thailand
    ภาพจุดตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ในวันลอยกระทง ปี ๒๕๖๐ ณ วัดท่าขนุน
    ถวายเป็นพุทธบูชา ภายใต้แนวคิด ” ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ ”
    น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
    โดยมีการแปรอักษร ดังนี้
    ๑. พระภูมิพโลภิกขุ ความหมายคือ พระราชาผู้ทรงธรรม
    ๒. เครื่องบินฝนหลวง ความหมายคือ โครงการในพระราชดำริฯ
    ๓. นางเมขลาและพระมหาชนก ความหมายคือ วิริยบารมี
    ๔. ตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ความหมายคือ ความสามัคคี
    การแปรอักษรนี้เกิดจากความตั้งใจของคนไทยช่วยกันทำ
    นำโดยพุทธบริษัทแห่งวัดท่าขนุน

    ขอบพระคุณภาพจากพี่มะลิแก้ว ตากล้องเว็บวัดท่าขนุน
    และชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิตครับ

    unseen-thailand.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  20. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ภาพงานวันลอยกระทงวัดท่าขนุน ประจำปี ๒๕๖๐
    วันศุกร์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    ขอบพระคุณภาพจากพี่มะลิแก้ว ตากล้องเว็บวัดท่าขนุนค่ะ

    ที่มา /www.facebook.com/hashtag/post200791">#post200791” target=”_blank”>http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=200791 #post200791

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...