อัพเดตข่าวสาร วัดท่าขนุนและหลวงพ่อเล็ก

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์วัดท่าขนุน, 2 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    พวกเด็ก ๆ อย่าไปรัก ไปห่วงเขามาก ปล่อยให้เขากลิ้งเกลือกดินเกลือกทรายไป ถ้าไม่ถึงกับทำอันตรายแก่ตัวเองหรือข้าวของพังเสียหาย ก็ปล่อยให้เขาอาละวาดไป เพราะนั่นเป็นช่วงที่เขากำลังพัฒนาตัวเขาเอง
    .
    แต่ถ้าอันไหนที่เห็นว่าไม่ดี ไม่ถูกต้องก็ห้ามเขา ถ้าห้ามแล้วไม่ฟังก็ตี ต่อไปเขาก็จะรู้ว่าอันนี้ทำไม่ได้ โดยเฉพาะพวกประเภทกรี๊ดแล้วอาละวาดให้ตีเลย ถ้าไม่ตีกระหนาบเสียตั้งแต่แรก ๆ แล้วจะเอาไม่อยู่
    .
    เด็กเขาจะมีสัญชาตญาณเร็วมาก เขาจะรู้ว่าทำอย่างไรแล้วพ่อแม่จะยอม แล้วเขาจะใช้วิธีนั้น ฉะนั้นเด็ก ๆ เขาจะจัดการกับพ่อแม่ได้เร็วสุด ๆ เลย เราต้องชิงจัดการก่อน
    .
    โบราณเขาบอกว่า "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" ต้องสอนให้เขารู้ ไม่อย่างนั้นถ้าพ่อแม่เอาไม่อยู่ นอกบ้านก็ไม่รู้ว่าจะเอาอยู่ไหม ถ้าไม่มีที่เขากลัวสักคน ต่อไปจะไม่มีใครเขาเอาอยู่
    ……………………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน
    เทศน์ช่วงเช้า ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1322

    -ๆ-อย่าไปรัก-ไปห่.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  2. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    live-พระอาจารย์ให้โอวาทโคร.jpg

    Live พระอาจารย์ให้โอวาทโครงการรักษ์ธรรม รักษ์ไทย ครั้งที่ ๒ ร.ร.วัดป่าถ้ำภูเตย ๑๓ ม.ค. ๖๑
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  3. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945

    -ถึงเรา.jpg

    วิธีการสวดมนต์เพื่อไปพระนิพพาน


    การสวดมนต์ทำวัตร ถึงเราจะชอบภาวนาก็ตามให้พยายามทำไว้ เพราะว่าการภาวนาจิตใจของเราอาจจะฟุ้งซ่านไม่ทรงตัวก็ได้ การสวดมนต์ทำวัตรจริง ๆ แล้วถ้าเราทำเป็น ก็คือการทำสมาธิดี ๆ นี่เอง อีกอย่างหนึ่งถ้ากำลังใจเราเฮงซวยห่วยแตกจริง ๆ ตอนนั้นจะคิดชั่วอย่างไรก็ตาม แต่เราพูดชั่วไม่ได้ เพราะว่าสวดมนต์อยู่ ทำชั่วไม่ได้เพราะว่านั่งอยู่ต่อหน้าพระ อย่างน้อย ๆ ความเลว ๓ อย่างก็โดนตัดไป ๒ อย่างเป็นอย่างน้อยแล้ว

    เพราะฉะนั้น...หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้สั่งพระของท่านว่า ให้สวดมนต์ทำวัตรทุกวันอย่าให้ขาด ถ้าหากว่าทำเป็น การสวดมนต์ทำวัตรสร้างเป็นทิพจักขุญาณได้ เข้าฌานเข้าสมาบัติได้ ไปพระนิพพานได้ง่ายนิดเดียว จะทำเป็นทิพจักขุญาณก็นึกถึงตัวหนังสือขึ้นมาเลย อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ขึ้นมาทีละตัวเลย ชัดเจนแค่ไหนก็เห็นผีเห็นเทวดาชัดแค่นั้น จะไปพระนิพพานก็ยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานเลย แล้วตั้งใจสวดถวายเป็นพุทธบูชาอยู่ตรงนั้น

    ตราบใดที่จิตยังมีงานทำก็จะไม่เคลื่อนไปจากจุดนั้น เราสวดได้นานเท่าไหร่เราก็อยู่บนพระนิพพานได้นานเท่านั้น ตกลงว่าถ้าทำเป็นทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทรงความดีได้จนถึงที่สุดทั้งนั้น

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนเมษายน ๒๕๔๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  4. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    โครงการรักษ์ธรรม รักษ์ไทย ครั้งที่ ๒ ณ โรงเรียนวัดป่าถ้ำภูเตย
    วันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๑

    ภาพบรรยากาศความตั้งใจของคณะศิษย์ที่มีความตั้งใจที่จะเดินตามรอยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    ในส่วนของปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ดังที่พระเดชพระคุณท่านได้กล่าวไว้ว่า

    “ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์
    ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป
    แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ..”

    ขอบพระคุณภาพจากพี่มะลิแก้ว ช่างกล้องเว็บวัดท่าขนุนค่ะ

    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ร่วมบริจาคสิ่งของและปัจจัยแก่น้อง ๆ นะคะ

    ที่มา /www.facebook.com/hashtag/post204794">#post204794” target=”_blank”>http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=204794 #post204794

    -รักษ์ไ.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  5. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    พรหมวิหาร ๔ คือ
    เมตตา รักผู้อื่นเสมอตัวเอง
    กรุณา สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์
    มุทิตา พลอยยินดีเมื่อเขาอยู่ดีมีสุข
    และอุเบกขา ถ้ายากเกินความสามารถก็ปล่อยวาง
    ………………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5745&page=4

    -๔-คือ.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  6. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    แจ้งญาติโยมชาวเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน ลำปาง ทราบ…

    พระอาจารย์จะเดินทางไปถึงเชียงใหม่เย็นวันพรุ่งนี้ (๑๗ มกราคม ๒๕๖๑) พักอยู่ที่บ้านกุลพันธ์ ๙ (หางดง) เช่นเคย แล้ววันที่ ๑๙ หลังเพลท่านจะเดินทางขึ้นเชียงราย เพื่อร่วมงานสืบชะตาครูบาเหนือชัย จึงแจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วกันครับ

    ที่มา บอกเล่าเก้าสิบ เว็บวัดท่าขนุน

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  7. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945

    .jpg

    มารคือครูที่ดีที่สุด


    ถาม : อยากถามเรื่องเกี่ยวกับมาร มีตัวตนจริง ๆ หรือคะ ?
    ตอบ : มีจริง ๆ เพียงแต่ว่าเราจะรู้จักเขาไหม ? เราจะเห็นเขาได้ไหม ? คนรอบข้างของเรา เขาสามารถอาศัยเป็นเครื่องมือได้หมด ตอนแรก ๆ อาตมายังเข้าใจว่า มารนี่เป็นกำลังใจที่ไม่ดีของเรา แต่ไม่ใช่ เขามีตัวตนจริง ๆ คอยชักนำให้เราคิดผิด ทำผิด พูดผิด อยู่เสมอ ขณะเดียวกัน คนรอบข้างเรานี่ เขาสามารถที่จะดลใจให้คน ๆ นั้น ไม่ว่าจะคิดจะพูดอะไรก็ตาม ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราเกิดโทสะ ให้เราเกิดราคะ ให้เราเกิดโลภะได้อยู่ตลอดเวลา

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้ว เขาก็ทำหน้าที่ของเขา เขามีหน้าที่ขวาง เขาก็ขวางของเขาไป เราก็ทำหน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่หนี เราก็หนีของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีใครเป็นศัตรูของใคร

    ฟังให้ดี ๆ นะ ตรงจุดนี้ เมื่อถึงวาระ เมื่อถึงเวลา โอกาสเปิดให้เขาขวางเรา ก็เป็นเรื่องของเขา จริง ๆ แล้วเขาเป็นครูที่ดีที่สุด ถ้าหากว่าเราสามารถก้าวข้ามการที่เขาทดสอบเราได้ ตรงจุดนั้นเราก็จะไม่แพ้เขาอีก หากว่าเราก้าวข้ามไม่ได้ เราไปติด ไปสะดุดหรือไปหยุดอยู่ เขาถึงได้เรียกว่า มาร คือเป็นผู้ขวาง หรือผู้ฆ่าเราจากความดี เพียงแต่ว่าเขาเป็นครูที่ขยันไปหน่อย ข้อสอบมาได้ทุกวินาทีเลย เผลอเมื่อไรเป็นโดน

    ถาม : แล้วอยากถามว่า มารนี่อยู่ภพภูมิไหน ?
    ตอบ : มารนี่อยู่ภพภูมิที่สูงกว่าเทวดาอีก พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสเอาไว้ว่า เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมมุนา วา เพราะฉะนั้น เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหมก็ดี ท่านจะเอ่ยชื่อมารในลักษณะสูงกว่าเทวดาอยู่ตลอด เพราะว่ามารจะอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๖ เรียกว่า ปรนิมมิตวสวัสตี จะแบ่งเป็นสองเขต เขตหนึ่งเป็นเขตของเทวดา อีกเขตหนึ่งเป็นเขตของมารเขา

    ถาม : มีหน้าที่คอยขวาง ?
    ตอบ : นั่นเป็นงานเขา เหมือนอย่างกับงานของนักการเมือง แต่ไม่ใช่งานที่สร้างความเจริญ เป็นงานที่สร้างความล่มจม

    ถาม :
    แล้วเราจะทราบได้อย่างว่า อันไหนคือมาร ?
    ตอบ : สร้างสติ สมาธิ ให้มาก ๆ ถ้าสติ สมาธิ ทรงตัว ปฏิบัติอยู่ในกรอบของศีล ตราบใดที่ยังไม่หลุดจากกรอบของศีล ตราบนั้นเขาจะชักจูงเราได้ยาก ศีล ๕ ก็พอ ถ้าหากว่าเรามีศีล ๕ อยู่ ถึงเวลาเขาทำให้เราบันดาลโทสะ เรารู้ว่าเราเป็นผู้มีศีล เราก็ไม่ทำร้ายใคร ไม่ฆ่าใคร ถ้าหากว่าเขาทำให้เราเกิดความโลภ เราอยากได้ของสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราก็หามาถูกต้องตามทำนองคลองธรรมโดยไม่ผิดศีล ถึงเวลาเขาตั้งใจให้เราไปแย่งคนรักคนอื่นเขา เราก็มีสติสัมปชัญญะอยู่ รู้อยู่ว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง เราก็ไม่ทำ

    ถ้าเรามีศีลเป็นเกราะ มารจะชักนำเราได้น้อยมาก อย่างดีเขาก็ให้เราคิดได้ บังคับให้เราพูดได้ แต่บังคับให้เราทำไม่ได้แล้ว ถ้าหากว่าคำพูดที่เป็นตัวมุสาวาท คือ โกหก เรารู้ว่าเราเป็นผู้มีศีลอยู่ เราจะไม่พูดโกหก เขาก็จะบังคับเราไม่ได้ด้วย ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง

    พอไปถึงจุดหนึ่ง เราจะเห็นคุณค่าของเขาเองว่า เขามีคุณูปการอย่างมหาศาล คุณูปการนั้นก็คือว่า ถ้าไม่มีการทดสอบจากเขา กำลังใจของเราก็จะไม่มั่นคงเร็ว จะไม่แข็งแกร่งเร็ว ดังนั้น..อาตมาถึงได้บอกว่า มารไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูที่ดีที่สุดของเรา

    เพียงแต่ว่าเราจะสามารถทำข้อสอบของครูคนนี้ไหวไหม ? พอก้าวข้ามตรงจุดนี้ไป ก็เหมือนกับว่าโลกนี้ตีลังกากลับ ก็คือว่าสิ่งที่เราไม่เคยเห็นความดี ก็จะเห็นความดีของเขา ทุกอย่างรอบข้างเป็นครูของเราได้หมด คนทำให้เราโกรธก็เป็นครูที่ดีของเรา เพราะทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้วอารมณ์ใจของเรายังห่วยแตก ยังใช้ไม่ได้ คนที่ทำให้เราเกิดความโลภ ก็ทำให้เรารู้ว่า กำลังใจของเรายังใช้ไม่ได้ ยังต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนตุลาคม ๒๕๔๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  8. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    คนอื่นทำผิดทำชั่วก็จริง แต่พอเราไปด่าว่า เราก็ทำชั่วไปด้วย ก็คือทำชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจนั่นเอง การไปจ้องจับผิดผู้อื่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำอยู่แล้ว การด่าว่าจิตก็ต้องประกอบไปด้วยโทสะ โมหะ
    …………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5826

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  9. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ขณะนี้พระอาจารย์เดินทางมาถึงจังหวัดเชียงใหม่แล้วครับ โดยพำนักที่บ้านคุณรสสุคนธ์ หมู่บ้านกุลพันธ์วิลล์ โครงการ ๙ หางดง โซน BEAUFORT ๑ และจะออกเดินทางไปยังวัดถ้ำป่าอาชาทอง อ.แม่จัน จ.เชียงราย ในช่วงหลังเพลของวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๑

    สามารถเข้ากราบท่าน ในวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ ก่อนเวลา ๒๐.๐๐ น. และวันที่ ๑๙ ม.ค. ๒๕๖๑ ก่อนเวลา ๑๑.๐๐ น.

    ติดต่อสอบถามได้ที่คุณรสสุคนธ์ ๐๘๑-๘๘๓-๖๕๐๕ และ ๐๘๘-๙๔๗-๙๑๕๓ ครับ

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  10. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    มีพี่สาวท่านหนึ่งพยายามถักหมวก แต่ไม่ทันจะสำเร็จ พี่เขาก็เลิกล้มความตั้งใจเสียก่อน พระอาจารย์จึงกล่าวให้กำลังใจว่า “กลับไปแล้วทำให้ได้ อะไรก็ตามที่ทำแล้วไม่สำเร็จ จะบั่นทอนกำลังใจของตัวเอง ปัจจุบันนี้ความกล้าอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะใช้งาน แต่จะต้องบ้าด้วย โดยเฉพาะคนที่จะไปพระนิพพาน…บ้าปกติไม่พอหรอก..ต้องบ้ากว่าคนทั่วไปอย่างน้อย ๔ เท่า

    ไปสะสมความมั่นใจใหม่ให้สำเร็จ จะช่วยอะไรได้อีกเยอะ คนที่เขาสะสมความมั่นใจมามากเพราะว่าผ่านประสบการณ์มาก แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่ทำประสบความสำเร็จ ในเมื่อประสบความสำเร็จก็จะเกิดความมั่นใจ เกิดความกล้าที่จะทำสิ่งอื่น ๆ ต่อไป เพราะฉะนั้นลงมือทำได้ จะออกมาขี้เหร่แค่ไหนก็ทำไปเถอะ ทำให้เขารู้ว่าเราก็ทำได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเสมอว่า คนเรามีสิบนิ้วเท่ากัน ถ้าเขาทำได้เราก็ต้องทำได้”

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๒


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  11. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็อยู่ในลักษณะนี้ ก็คือในเมื่อพ่อด่าแปลว่าควรที่จะยืนด้วยตัวเองสักทีแล้ว ไม่ใช่เอะอะก็เกาะกันอยู่ตลอด

    ท่านจะสอนให้พวกเรายืนด้วยตัวเองมาตลอด ไม่เคยสอนให้ไปเกาะกายเนื้อของท่าน แต่ว่าบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ได้รับฟังคำสอนของท่านก็ดี ฟังเทปก็ดี ส่วนใหญ่แล้วมักจะไปยึด ไปเกาะที่องค์ท่านแทน

    ลืมสังเกตในคำสอนนั้นไป ที่ท่านบอกอยู่เสมอว่า

    “ไม่มีใครสามารถเป็นที่พึ่งของเราได้ตลอด ถึงเวลาต่างคนก็ต่างตาย ต่างคนก็ต่างไป”
    ……………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน
    งานสวดพระคาถาเงินล้าน วันที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙, ข้อความที่ ๑๔
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4803

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  12. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    มโนมยิทธิของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป้าหมายใหญ่อยู่ตรงนี้เอง ก็คือทุกคนรู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง จดจำอารมณ์นั้นมาปฏิบัติ จนกระทั่งเข้าถึงด้วยความมั่นอกมั่นใจว่าใช่แน่ เพราะเราคุ้นชินกับอารมณ์ใจนี้แล้ว
    ………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน
    งานสวดพระคาถาเงินล้าน วันที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙, ข้อความที่ ๖
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4803

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  13. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945

    .jpg

    พระอภิญญา


    ในยุคของเรา ถ้าหากว่าคนยอมรับกฎของกรรมมากกว่านี้หน่อยเดียวเท่านั้นเอง อภิญญาจะปรากฏออกมาอีกเยอะ เพราะว่าอภิญญาสามารถทำอะไรเกินกว่าคนทั่ว ๆ ไปมาก ถ้าหากไม่ยอมรับกฎของกรรม จะทำให้เขาวุ่นวายไปหมด ก็เลยรออยู่นิดเดียว ถ้าหากกำลังใจยอมรับกฎของกรรมเมื่อไร กำลังอภิญญาก็จะนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่

    สมัยอาตมายังเด็ก ๆ ก็มี หลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง จ.พิษณุโลก ท่านสามารถทำได้สารพัดเลย คนไปฟ้องร้องจะปรับอาบัติปาราชิกท่าน ปาราชิกที่ขาดจากความเป็นพระนั้น จะต้องบอกอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน แต่คราวนี้ของท่านทำได้จริง ๆ จนกระทั่ง พันเอกปิ่น มุทุกัณฑ์ อธิบดีกรมศาสนาช่วงนั้น ท่านเดินทางไปดูด้วยตัวเอง แล้วก็กลับมาเขียนรายงานว่า หลวงพ่อยีท่านทำได้จริง ปรับท่านไม่ได้ พันเอกปิ่น มุทุกัณฑ์ ท่านรู้จริง เพราะว่าตัวท่านเองเคยบวชและศึกษาเรื่องพวกนี้มาลึกซึ้งมาก

    ถาม : ท่านทำอะไรได้บ้าง ?
    ตอบ : สารพัดอภิญญาเลย เช่น บิณฑบาตข้าวเทวดามาเลี้ยงลูกศิษย์ก็มี ชาวบ้านคนไหนสงสัยก็ไปเอามาให้กินซึ่ง ๆ หน้า มีสมบัติใต้ดินอยู่ตรงไหนท่านก็ไปล้อมสายสิญจน์วง ๆ ไว้ แล้วก็ขุดขึ้นมาหน้าตาเฉยเลย เอาเหรียญบาทเป็นโลหะแท้ ๆ มาดึงยึดออกเหมือนกับยืดหมากฝรั่งอย่างนั้น นั่นจริง ๆ ก็แค่กสิณน้ำ

    แต่ว่าคนที่ทำไม่ได้เห็นเป็นเรื่องตื่นเต้น มีมากต่อมากด้วยกันที่กล่าวหาว่าท่านเล่นกลหลอกเขา ก็เลยไปกล่าวหาว่าท่านอวดฤทธิ์อวดเดชจะปรับอาบัติปาราชิก

    เรื่องของการเล่นฤทธิ์เล่นเดชพระพุทธเจ้าท่านก็สั่งห้ามอยู่แล้ว เพราะว่าไม่อย่างนั้นศาสนาจะตั้งอยู่ไม่ได้ เหตุที่ศาสนาตั้งอยู่ไม่ได้เพราะว่า พระในพระพุทธศาสนาไม่ได้มีพระอภิญญาหมวดเดียว ยังมีพระสุกขวิปัสโก พระวิชชาสาม เป็นต้น

    คนเราโดยธรรมชาติจะชอบบุคคลที่มีความสามารถพิเศษเหนือกว่าคนอื่นเขา ในเมื่อชอบลักษณะนั้น พอมีใครเล่นฤทธิ์เล่นอภิญญาให้ดูก็จะแห่ไป แล้วก็จะไปทำบุญอยู่ที่เดียว พระที่เหลือก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีคนอุปถัมภ์ แล้วศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร ?

    พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ห้าม บางคนอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าห้ามทำไม ? พระทำได้น่าจะปล่อยให้ลุยไปเลย ถ้าขืนปล่อยให้ลุยไปเลยศาสนาไม่น่าจะอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  14. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ภาพวันออกนิโรธกรรมครูบาเหนือชัย โฆสิโต วัดถ้ำป่าอาชาทอง จ.เชียงราย
    วันเสาร์ที่ ๒๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๑

    ขอบพระคุณภาพจากพี่มะลิแก้ว ช่างภาพเว็บวัดท่าขนุนค่ะ

    ที่มา /www.facebook.com/hashtag/post205220">#post205220” target=”_blank”>http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=205220 #post205220

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  15. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ระดับนั้นก็คือกำลังใจแรก ๆ ของความเป็นพระอริยเจ้า เพราะกติกามีว่า

    ต้องเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ

    ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ

    เมื่อมีประสบการณ์เกิดขึ้น ทำให้ความมั่นใจมั่นคงฝังลึกจริง ๆ ลึกอย่างชนิดไม่มีทางคลาย
    …………………………………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5826&page=2

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  16. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    พวกเราทั้งหมดที่ปฏิบัติธรรมนั้น อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ถ้าหากว่าทำ ๗ วันแล้วไม่ได้ ๗ เดือนแล้วไม่ได้ ๗ ปีแล้วไม่ได้ เราต้องทบทวนแล้วว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องหรือไม่ ?

    การที่จะทบทวนนั้นให้เริ่มต้นที่ศีล ศีลทุกสิกขาบทของเราต้องบริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นทำ ถ้าเราระมัดระวังศีลจนทรงตัวเป็นปกติได้ แปลว่าสมาธิของเราเริ่มมั่นคงแล้ว ก็ให้จับลมหายใจพร้อมกับคำภาวนาหรือภาพพระ หรือดวงกสิณที่เราชอบ

    การที่การปฏิบัติต้องควบกับลมหายใจเข้าออก เพราะอานาปานสตินั้นเป็นพื้นฐานใหญ่ของกรรมฐานทั้งปวง กรรมฐานกองใดก็ตาม ถ้าไม่มีอานาปานสติประกอบด้วย กรรมฐานกองนั้นยากที่จะทรงตัวมั่นคงได้

    เมื่อเรามีศีลทรงตัวเป็นปกติ จะภาวนากำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมคำภาวนาที่เราชอบก็ได้ การภาวนานั้นอย่าบังคับลมหายใจของตนเอง ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ร่างกายต้องการหายใจแรง หายใจเบา หายใจยาว หายใจสั้นก็ปล่อยไป เรามีหน้าที่กำหนดความรู้สึกทั้งหมดรู้ตามเข้าไป รู้ตามออกมาเท่านั้น

    แต่มีบุคคลบางจำพวกที่สมาธิเริ่มทรงตัวในระดับหนึ่งแล้ว ทันทีที่คิดภาวนา สมาธิก็จะวิ่งเข้าไปสู่ระดับที่ตนเองชำนาญ ทำให้บางท่านรู้สึกว่าเหมือนกับตนเองบังคับลมหายใจเข้าออก นั่นขอยืนยันว่าไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นความคล่องตัวในการทรงสมาธิของตน ทำให้ก้าวสู่ระดับสมาธิที่สูงขึ้นไปจากปกติได้ทันที จึงทำให้รู้สึกเหมือนกับลมหายใจเบาลง โดยที่เราไปบังคับให้เบา แต่ไม่ใช่..นั่นเบาเพราะเรามีความคล่องตัวในการปฏิบัติต่างหาก

    เมื่อศีลของเราทรงตัว สมาธิตั้งมั่นแล้ว จะอยู่ในลักษณะดำเนินไประยะหนึ่ง และสมาธิก็จะคลายออกมาเอง ไปต่อไม่ได้แล้ว ยืนระยะไม่อยู่แล้ว เมื่อสมาธิคลายออกมาให้เรารีบพิจารณาวิปัสสนาญาณ ก็คือ อย่างน้อย ๆ ต้องเห็นว่าสภาพร่างกายของเราก็ดี สภาพร่างกายของคนอื่นก็ดี วัตถุธาตุสิ่งของทั้งหลายในโลกนี้ก็ดี มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด

    ระหว่างที่ดำรงอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่มีชีวิตอย่างก้อนหิน ต้นไม้ เรือนโรง ก็ยังมีสภาวทุกข์ คือ ค่อย ๆ เสื่อมไปตามสภาพ และท้ายสุดก็ไม่มีอะไรทรงตัวให้ยึดถือมั่นหมายได้ เสื่อมสลายตายพัง คืนเป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม

    เราต้องพิจารณาดังนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก โดยเบื่อหน่ายไม่ได้ จนกว่าสภาพจิตจะยอมรับอย่างแท้จริง รู้เห็นอย่างแท้จริงว่าเป็นอย่างนั้น เมื่อเราคิดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเมื่อไร สภาพจิตจะไม่เถียงเลย มีแต่ยอมรับโดยส่วนเดียว ถ้าเป็นดังนี้จึงจะถือว่าใช้ได้

    ถ้าเราไม่รีบพิจารณา เมื่อสมาธิคลายออกมาก็จะฟุ้งซ่านไปในรัก โลภ โกรธ หลง โดยเอากำลังของสมาธินั้นแหละเป็นพื้นฐานในการฟุ้งซ่าน ดังนั้น..นักปฏิบัติส่วนหนึ่งจะพบกับความทุกข์ยากลำบากมาก เพราะไม่รู้ว่าตนเองทำผิดวิธี ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านหลังจากนั่งสมาธิแล้ว

    เมื่อจิตมีกำลังจากการสร้างสมาธิของเรา เวลาฟุ้งซ่านเราก็เอาไม่อยู่ เกิดความทุกข์ความกลุ้มใจ และคิดว่ายิ่งปฏิบัติ กิเลสรัก โลภ โกรธ หลงยิ่งมากขึ้น แต่ความจริงไม่ใช่ กิเลสมีอยู่เท่าเดิม แต่เราไปใช้กำลังสมาธิช่วยในการฟุ้งซ่าน ก็เลยดูเหมือนกิเลสมีกำลังกล้าแข็ง มีพรรคพวกมีกำลังมากขึ้น สามารถทำร้ายเราได้มากขึ้น เป็นต้น

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นที่เราจะต้องสังวรณ์ระวังเอาไว้ เพราะปฏิบัติมานานแล้วไม่ได้ผล เราจำเป็นต้องทบทวนว่ามีข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง

    เมื่อเรามีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น ถึงเวลาคลายออกมาพิจารณา การพิจารณานั้นจิตก็จะดิ่งลึกลงไปตามลำดับ จนในที่สุดก็จะกลายเป็นสมาธิตามเดิม เราก็มีหน้าที่ตามดูตามรู้ในสมาธินั้นเท่านั้น เมื่อสภาพจิตดำเนินไปถึงที่สุดของสมาธิ ก็จะกลับคลายออกมาใหม่ เราก็รีบพิจารณาต่อ

    ดังนั้น..สมถกรรมฐานที่สร้างสมาธิให้เกิด และวิปัสสนากรรมฐานที่สร้างปัญญาให้เกิด มีความจำเป็นที่จะต้องทำร่วมกันไปถึงจะก้าวหน้า เพราะทั้งสองอย่างเหมือนคนที่ผูกเท้าติดกัน เมื่อก้าวเท้าซ้ายไปสุดแล้ว ถ้ายังดื้อจะก้าวต่อ ก็จะโดนสิ่งที่ผูกอยู่นั้นรั้งกลับ ไม่สามารถที่จะก้าวต่อไปได้ เราจึงจำเป็นต้องก้าวเท้าขวา จึงจะก้าวต่อไปได้

    เมื่อก้าวเท้าขวาสุด ก็ไม่สามารถที่จะก้าวต่อได้อีก นอกจากจะก้าวเท้าซ้ายไปเท่านั้น การปฏิบัติของเราก็เช่นกัน เมื่อทรงสมถภาวนาจนเต็มที่แล้ว ก็ให้พิจารณาในวิปัสสนาภาวนา เมื่อพิจารณาวิปัสสนาจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ก็จะย้อนกลับมาสมถะเองโดยอัตโนมัติ

    ถ้าเราทำดังนี้ความก้าวหน้าก็จะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าผิดไปจากนี้เมื่อไร นอกจากจะไม่ก้าวหน้าแล้ว บางทีพอฟุ้งซ่านมาก ๆ แล้ว เราอาจจะท้อถอย เบื่อหน่าย เลิกปฏิบัติไปเลย นั่นเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น..ในการปฏิบัติของทุกคน ความจริงแล้วเรามีพื้นฐานกันเพียงพอ รู้ทุกอย่างว่าต้องทำอย่างไร เพียงแต่ต้องมีสติ สมาธิ และปัญญาเท่าทันกับกิเลสเท่านั้น

    เพราะว่ากิเลสนั้นจะสอดแทรกเข้ามาทุกเวลา ทุกนาทีที่มีโอกาส จะมาชักมาจูงจนเราเสียคนในการปฏิบัติ เราจะต้องรับมือได้ทันท่วงที การที่จะรับมือกิเลสได้ทันท่วงทีนั้น อย่างน้อยต้องทรงปฐมฌานละเอียดได้คล่องตัว

    ดังนั้น..งานในวันนี้ของพวกเราก็คือให้ทุกคนภาวนา พยายามที่จะทรงกำลังใจของเราอยู่ในระดับของปฐมฌานละเอียดให้ได้ แต่ไม่ใช่ไปตามจี้ว่าแต่ละระดับขั้นตอนเป็นอย่างไร ให้เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็แล้วแต่ที่สมาธิจะเป็นไป ถ้าเราปล่อยวางอย่างนี้ได้ สมาธิจะทรงตัวได้เร็ว

    เมื่อทรงเป็นปฐมฌานละเอียดได้ สติ สมาธิจะจดจ่ออยู่กับปัจจุบันธรรมเบื้องหน้า ทำให้เรารู้เท่าทันว่ารัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดขึ้นอย่างไร กิเลสมารจะมาในลีลาไหน เพื่อที่จะชักจูงเราให้ผิดทาง เราก็จะได้รับมือและแก้ไขได้ทัน

    ลำดับต่อจากนี้ไป ให้ทุกท่านตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา หรือผู้ใดชำนาญในการกำหนดภาพพระ กำหนดดวงกสิณก็กำหนดไป ใครถนัดมโนมยิทธิยกใจขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานก็กระทำไป ให้รักษาอารมณ์เอาไว้ดังนี้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๔


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  17. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ถาม : เพื่อนของผมเคยบอกว่า “การที่เราพูดถึงบุคคลอื่นแต่ในแง่ไม่ดี สักวันเราจะกลายเป็นคนไม่ดีนั้นเอง” ผมก็มาสังเกต พบว่าเป็นอย่างนั้นจริง พอว่าคนอื่นไม่ดีมากเท่าไร ตัวเองก็เหมือนจะไม่ดีตามเขามากเท่านั้น ผมสงสัยว่า ตรงนี้เป็นกฎของกรรมหรือครับ ?

    ตอบ : ไม่ใช่กฎของกรรม เป็นความชั่วในใจของเราเอง เพราะว่าใจของเราชั่ว เราถึงได้มองคนอื่นแต่ในแง่ที่ชั่ว ๆ ทั้งหมด ในเมื่อกำลังใจของเราชั่วเอง ถึงเวลาจะไปในทางชั่วก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ
    .
    ถาม : ถ้าเราจะแก้นิสัยที่ชอบพูดแต่เรื่องไม่ดีของผู้อื่น จะแก้อย่างไรครับ ?

    ตอบ : หาอะไรมาอมไว้ จะได้พูดให้น้อยลงหน่อย
    …………………………………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5646

    -เพื่อนของผมเคยบอกว.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  18. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945

    .jpg

    ดีชั่วเหมือนปลูกต้นไม้


    จะว่าไปแล้วทั้งความดีความชั่ว ล้วนแต่เป็นการค่อย ๆ ปลูกฝังเหมือนกัน

    การปลูกฝังในด้านดี ก็คือทำดีบ่อย ๆ การปลูกฝังในด้านชั่ว ก็คือทำชั่วบ่อย ๆ แต่ว่าคนที่ทำชั่ว บางทีก็ไม่ได้คิดหรอกว่าตัวเองทำชั่ว เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่สนุกสนานท้าทายก็เลยทำ แต่พอทำไป ๆ กลายเป็นปลูกต้นไม้..ฝังรากลึกแล้ว..ถอนขึ้นได้ยาก

    คราวนี้ทั้งความดีและความชั่วนั้น ใจเรารับได้ทีละอย่างเดียว เมื่อรับได้ทีละอย่างเดียว ถึงเวลาถ้าถอนยากเราก็เหนื่อยเอง ถ้าความดีถอนยากก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ปรารถนา แต่ถ้าเป็นความชั่วพอถอนยาก คราวนี้ก็จะเดือดร้อนทั้งตัวเองและคนรอบข้าง

    พยายามที่จะเอาความดีเข้าไป ก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ใหม่แต่ซ้อนหลุมเดิม แล้วต้นไม้ใหม่ที่ไหนจะโตเท่าต้นไม้เก่าได้ ? เผลอ ๆ ก็โดนต้นเก่าเบียดตายจนต้องปลูกใหม่..เบียดตายอีกก็ต้องปลูกใหม่อีก

    ต้องอาศัยความหน้าด้านหน้าทน ทำความดีสู้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถหยั่งรากลึกลงไปได้ แล้วค่อย ๆ เติบโตขึ้นมา พอโตมากขึ้น เบียดความชั่วต้นเก่าตายไปได้..ก็โล่งอก ถ้าเบียดต้นเก่าไม่ตาย แล้วถูกต้นเก่าเบียดคืน ก็ต้องรอดูว่าใครจะตายก่อน ถ้าเป็นอย่างนั้นชีวิตนี้ก็คงจะทุกข์ทรมานน่าดูเลยทีเดียว..!

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์ช่วงเช้า ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๓


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  19. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945

    .jpg

    ผีไม่ยอมโมทนาบุญ


    ถาม : แล้วอย่างที่เขาตายก่อนอายุขัย..?
    ตอบ : อย่างนี้โชคดีไป จริง ๆ แล้ว เราอาจเห็นว่าเขาตายไม่ดี ความจริงนั้นไม่ใช่ คนที่ตายก่อนหมดอายุขัย ถ้าหากว่าเราทำความดีไปเท่าไร ให้เขาโมทนาบุญ เขาจะรับได้หมด เขาสบายมากกว่าเราอีก

    ถาม : คือญาติผมเพิ่งตาย จะทำบุญอะไรให้เขาดีครับ ?
    ตอบ : อะไรก็ได้ สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน ผีเอาทั้งนั้นแหละ เอาสังฆทานเป็นหลักก็แล้วกัน เจอผีไม่กี่รายหรอกที่ทำให้แล้วไม่เอา

    มีรายหนึ่งมาบอกหลวงพ่อท่านวัดท่าซุงขอให้บวชเณรให้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า “บุญบวชพระได้ไหม ?” คือท่านจะบวชพระอยู่แล้ว ให้โมทนาบุญบวชพระเขาก็ไม่เอา เขาจะเอาแค่บุญบวชเณร เขาบอกบุญบวชพระเขาได้แล้ว จะเอาบุญบวชเณร เอากับเขาสิ…

    อีกรายหนึ่งอาตมาไปเจอเองที่กลางป่า รายนี้อาตมาเรียกว่านางฟ้าหน้าหงิก คือเดินธุดงค์จนค่ำแล้วไปพักใต้ต้นตะเคียนยอดด้วน อยู่ตรงทางห้วยสามแพร่งพอดี อาตมาเห็นว่าใต้ต้นไม้น่านอน ริมห้วยเป็นทรายสะอาด อยู่ใต้ต้นไม้กันน้ำค้างได้ด้วย

    พอมุดเข้าไปใต้ต้น แม่เจ้าพระคุณก็ร่วงลงมา คือเขาอยู่สูงกว่าพระไม่ได้ พอเห็นอย่างนั้นก็ดูวิมานเขา วิมานเขาเอียงกระเท่เร่ ลักษณะที่จะหมดบุญอยู่แล้ว อาตมาก็บอกเขาว่า “ผลบุญที่เราทำมา ขอให้โมทนา” เขาตอบว่า “ท่านไม่ต้องยุ่ง” พูดง่าย ๆ ว่า รีบไปให้พ้นยิ่งดี ยังดีที่เขาไม่ได้พูดอย่างนั้น ให้เขาโมทนาบุญก็ไม่เอา นั่งหน้าหงิกอยู่ครึ่งค่อนคืน

    เพราะฉะนั้น..อย่างที่บอกว่า ความดีความชั่วประมาทกันไม่ได้ ขนาดอยู่ในภพภูมิที่ดีอย่างนั้น ยังเป็นมิจฉาทิฐิได้

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  20. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    พวกเราทั้งหลายถือว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้อยู่ในกาละและเวลาที่พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสมบูรณ์บริบูรณ์ ยังมีตัวอย่างของบุคคลที่ประพฤติดีประพฤติชอบ อย่างเช่นพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ได้ประพฤติปฏิบัติเป็นตัวอย่าง เป็นครูบาอาจารย์ แล้วนำเอาสิ่งทั้งหลายนั้นมาบอกกล่าว มาแนะนำ มาสั่งสอน เพื่อให้พวกเราได้ก้าวเดินตามไปโดยที่ไม่ยากลำบากเหมือนกับท่าน

    พวกเรานับว่าเกิดมาในปฏิรูปเทส ก็คือถิ่นที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เกิดในขอบเขตของพระพุทธศาสนา อยู่ในสถานที่ ๆ สามารถปฏิบัติธรรมได้โดยไม่แปลกแยกจากคนอื่น แล้วขณะเดียวกันเรายังเกิดในกาละ ในเทศะ ก็คือในเวลาและสถานที่ ๆ เหมาะสมอย่างยิ่ง ก็คือในระยะเวลาที่เราสามารถมองเห็นทุกข์ได้อย่างชัดเจน และขณะเดียวกันก็ยังมีพระเดชพระคุณหลวงปู่หลวงพ่อเป็นแบบอย่างที่เราสามารถประพฤติปฏิบัติตามได้อย่างวิเศษยิ่ง

    เมื่อเราประกอบไปด้วยโชคดีเช่นนี้ ก็ขอให้พวกเรามั่นใจว่า เราทั้งหลายจะต้องประกอบกรรมความดี ในศีล ในสมาธิ ในปัญญามาจนนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ถึงได้ก่อเกิดเป็นพลวปัจจัย เป็นอุปนิสัยนำส่งให้พวกเราไม่ทอดทิ้งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เราทั้งหลายก็ได้ก้าวเข้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมทั้งหลายเหล่านี้ต่อไปอีก

    หลายท่านอาจจะคิดว่าเรามาช้าไป ไม่มีโอกาสได้กราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงอย่างแท้จริง ขอให้ทุกท่านอย่าได้คิดน้อยใจ วาระบุญวาระกรรมของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บุคคลที่มาทีหลังไม่ได้หมายความว่าจะไปทีหลัง บุคคลที่มาก่อนไม่ได้หมายความว่าจะไปก่อน ขึ้นอยู่กับความพากเพียรพยายามของเรา ขึ้นอยู่กับ สติ สมาธิ ปัญญา ของเรา ถ้าหากว่าเรากระทำอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ถึงมาทีหลังเราก็อาจจะไปก่อนได้ ขณะเดียวกันบุคคลที่มาก่อน ถ้าหากว่าผ่อน หย่อนการปฏิบัติลง ก็อาจจะกลายเป็นบุคคลที่ไปทีหลังก็ได้

    พวกเราทั้งหลายเมื่อมาในวาระที่เหมาะสม เกิดมาในสถานที่ ๆ สมควร เกิดมาในวาระที่พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ เราต้องฉวยโอกาสอันดีนี้เอาไว้ให้มั่น อย่าให้หลุดรอดมือไปเป็นอันขาด เพื่อที่สุคติ คือที่ไป ณ เบื้องหน้าของเรา จะได้มั่นคงและแน่นอน

    ไม่เช่นนั้น ถ้าหากว่าเราไม่ได้ฉวยโอกาสในการที่จะกอบโกยความดีเข้าใส่ตัว เราอาจจะพลาด ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าหากว่าไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ไปเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ก็ยังนับว่าดีมาก แต่ถ้าเราหลุดลงไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอสุรกาย เป็นเปรต หรือหนักขนาดหลุดลงไปเป็นสัตว์นรก ถ้าอย่างนั้นก็ต้องลำบากทุกข์ทน อยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานจนประมาณไม่ได้

    เมื่อหลุดพ้นขึ้นมา ก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วพบพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? เราอาจจะเกิดในสุญกัป กัปที่หาความดีไม่ได้ เกิดในอันตรายกัป กัปที่มีแต่การรบราฆ่าฟันกันอยู่เป็นปกติ บุคคลทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรม ฆ่าฟันกันเหมือนกับอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเนื้อเป็นปลา ถ้าอย่างนั้น เราก็เกิดมาแล้วตายเปล่า เสียฟรีไปชาติหนึ่ง

    เมื่อเรามีโอกาสเกิดมาในวาระที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง มีบุคคลตัวอย่างที่ดีเลิศ ปฏิบัติแล้วเห็นผล เป็นผู้นำทางให้แก่เรา เราก็ควรที่จะเร่งรีบ เร่งรุด ก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายของเรา ด้วยการตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

    พยายามสร้างสมาธิของเราให้ตั้งมั่น เมื่อกำลังสมาธิตั้งมั่นแล้ว ต้องประคับประคองให้สมาธินั้นทรงตัว อย่าคลาดเคลื่อนไปไหน ประคองไว้ให้เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ยิ่งยาวนานเท่าไร กำลังใจของเราก็ยิ่งสงบ ใส สะอาด ถ้าอย่างนั้นปัญญาของเราก็จะเกิดได้ง่าย

    เราก็จะเห็นว่าทั้งคนและสัตว์ ทั้งเราและเขาทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ ทุกชีวิตก็ประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปกติ และท้ายสุดไม่มีใครทรงตัวตั้งมั่นอยู่ได้เลย ล้วนแล้วแต่เสื่อมสลายตายพังไปทั้งสิ้น เมื่อเป็นดังนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลกที่ทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ เราไม่พึงต้องการ การเกิดมามีร่างกายที่ทุกข์ยากลำบากเช่นนี้ เราก็ไม่พึงต้องการ หากว่าต้องตายลงไปเมื่อไร เราขอมีพระนิพพานเป็นที่ไปแห่งเดียว

    เมื่อกำลังใจของเราพิจารณามาถึงตรงจุดนี้แล้ว ก็ให้เอาจิตของเรากำหนดถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี ภาพของพระนิพพานก็ดี ให้ทรงตัวอยู่เฉพาะหน้าของเรา ตั้งใจว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากอยู่บนพระนิพพาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ก้าวล่วงไปสู่พระนิพพานแล้ว เราทั้งหลายถ้าหากว่าต้องสิ้นชีวิตลงไป จะด้วยเพราะหมดอายุขัย หรือเกิดจากอุปฆาตกรรมใด ๆ ก็ดี เราขอไปยังสถานที่นี้ คือพระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น

    ลำดับต่อไปก็ให้ทุกคนพิจารณาดู ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจอยู่ ก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็ให้กำหนดรู้คำภาวนาของเราไป ถ้าหากว่าลมหายใจเบาลง หรือคำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้อยู่เฉพาะหน้าเท่านั้น ให้ทุกคนกำหนดรู้เช่นนี้ หรือกำหนดภาพพระหรือพระนิพพานเช่นนี้เอาไว้ให้มั่น จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันอาทิตย์ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๕


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...