อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ หรือปล่อยรู้ไปตามธรรมชาติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 14 พฤศจิกายน 2010.

  1. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

    ปริยัติ นี้แหละ คือตัวแทนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ปริยัติ ไม่มี มีที่ไหนจะ ปฏิบัติ ให้ได้ ปฏิเวธ
     
  2. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ยังไม่ทราบดีสักเท่าไรหรอกครับ เพราะจิตผมมันฟุ้งซ่าน เต็มไปหมด

    จิตเห็นจิตเห็นจิตเห็นจิตเห็นจิตเห็นจิตจิตเห็นจิตเห็นจิตเห็นจิตเห็นจิต

    จิตเห็นจิตเห็นจิตเห็นจิตเห็นจิต.......มันเห็นกันยังไม่วนมาจบกันเลย
     
  3. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,456
    ก็ผมบอกแล้วไงครับ
    ว่าผมไม่ได้ตอบคุณ

    จะมาถามผมอีกทำไม
     
  4. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    กราบนมัสการ ท่านมหาปราชญ์และมหาบัณฑิต 00000
    ขอโอกาสท่านฯ ผู้เจริญ ข้าน้อยฯ มิเคยมีนิสัยกางตำราตอบ
    ไม่เคยเอาความคิดจินตนาการด้นเดาของข้าน้อย มาอ้างเป็นผลการปฏิบัติของตนเอง
    เพียงเพื่อให้ดูว่า...ข้าน้อยฯ ปฏิบัติถูกต้องตามตำราแต่อย่างใด...
    ข้าน้อยฯ อับอายขายขี้หน้าพ่อแม่ครูจารย์ หากขโมยธรรมผู้อื่นอ้างมาเป็นของตน
    ข้าน้อยฯเคยปฏิบัติมาเช่นไร ผลการปฏิบัติของข้าน้อยเป็นแบบไหน...
    ข้าน้อยฯ เรียนถวายท่านฯ ตามการปฏิบัติของตนเอง
    จะถูกจะผิด ข้าน้อยภูมิใจกว่าไปเอาความคิดด้นเดาของข้าน้อยมาตอบ
    เพราะข้าน้อยฯไม่วิจัยวิจารณ์ผิดๆถูกๆ ด้วยทิฐิมานะองข้าน้อยฯ
    เนื่องผู้รู้ฯท่านมหาปราชญ์และมหาบัณฑิตทั้งหลาย จะตำหนิข้าน้อยฯให้อับอายได้
     
  5. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ก็เห็นว่าคุณ บ้าดี จึงอยากคุยด้วย ถ้าบ้าไม่ดีก็คงไม่อยากคุยด้วยหรอก

    เพราะบางครั้งคุณก็ชอบตอบสั้นๆ เหมือนผม เข้าใจเองน้อยคนไม่เข้าใจ

    แต่ผมอ่านที่คุณโพส ผมก็เข้าใจว่าคุณจะบรรยายอะไรแต่มันเยอะอยู่ในจิต
     
  6. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ขอถาม ท่าน อโศ ต่อดีกว่า

    ผมอยากทราบว่าเมื่อทำอานาปาฯ จนกระทั่ง วิตก วิจารณ์ ปิติ ผ่านไปแล้ว

    ก็จะเหลือ องค์กรรมฐาน คือ สุข เอกัคคตา แต่อาการที่ผมจะถาม ท่าน อโศ

    คือว่า ทำไมผมถึงอึดอัดเหมือนมีภูเขามาทับอกจนแทบขาดใจ ขอบคุณครับ
     
  7. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    เหตุเป็นเพราะ คุณยังวางเวทนากายไม่ได้ เกิดเวทนาขึ้นที่จิต
    เำพราะจิตยังไปยึดกายมาเป็นตน หากจิตวางกายแล้ว
    กายเบาจิตเบา เวทนาที่เกิดขึ้นจะดับไป...
    ตรงนี้ถึงจะเรียกว่า...ผ่านสุขเวทนา เข้าสู่ เอกัคคตา
     
  8. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,456
    บ้านี่ไปไม่บ้าแน่ครับ
    เพราะถ้าบ้าคงคุยกับใครไม่รู้เรื่อง

    ส่วนเรื่องดี หรือ ไม่ดี นี่ชักไม่ค่อยแน่ใจ
    อย่างลุงขันธ์แกยังเคยว่าผมเลยว่า
    "ตัวร้ายแสร้งทำดี"
    อย่างนี้

    คนเ้ค้าว่า
    "เลวชาติชั่ว"อย่างนี้ก็เคยมี

    แล้วก็ว่าผมทำไม่ดีทำเลว ก็ว่า
    "อภิมุสา" อย่างนี้ก็มี

    ผมคงจะไม่ดีจริง ๆ นั่นแหละ

    อย่ามาเสียเวลากับผมเลยครับ.......
     
  9. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    จิตเบา กายเบา ถ้าเน้นที่กาย หมายถึงกายโปร่ง เหมือนเป็นแค่เงา แบบรู้ได้อย่างงั้นหรือเปล่าค่ะ คำว่าเงาในที่นี้ในความเข้าใจของเราคือไม่หนัก เป็นรูปเฉยๆที่ชัดเจน แต่โปร่งค่ะ ยังนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าจิตวางกาย
    ผิดถูกยังไงรบกวนท่านอโศ กล่าวเพิ่มด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2010
  10. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    คุณเห็นร่างกายของคุณ เป็นรูปกายโปร่งที่ชัดเจน เสมือนหนึ่ง...ไม่มีร่างกาย
    เป็นลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิตั้งมั่นแล้ว

    คำว่า "จิตวางกาย"
    สิ่งสำคัญ....สังเกตุดูว่า...ขณะนั้นไม่มีเวทนาทางกายเกิดขึ้น ร่างกายตัวตนหายไป
    ขณะนั้น...มีเพียงสติกับจิตเท่านั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    ความรู้เด่นชัด...ความรู้ในที่นี้คือ ความรู้ของจิต ไม่ใช่เห็นดวงจิตเป็นดวงๆ
    แต่ความรู้นี้.... เป็นความรู้อันเกิดจากการพิจารณา

    กาย เวทนา หรือจิตเอง รู้อย่างชัดแจ้ง...เป็นปัจจัตตัง
    แยกกายออกจากจิต แยกจิตออกจากเวทนา
    เห็นกายเป็นกาย กายไม่ใช่จิต จิตไม่ได้หลงยึดมั่นกาย
    เห็นเวทนาเป็นเวทนา เวทนาไม่ใช่จิต จิตไม่ยึดมั่นเวทนา
    ทั้งกาย จิต เวทนา แยกออกเป็น 3 กอง
    ต่างอันต่างจริงเป็นธรรมชาติในส่วนของตน...
    พิจารณาจนกระทั่ง...เห็นจิตไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่างลักษณะ เป็นเพียงธรรมชาติรู้
    จนสลัดคืนสู่ภาวะจิตที่เป็นธรรมชาติจิตเดิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2010
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถ้าเหลือ สุข และเอกัคคตา แล้ว เหตุใดจึงอึดอัดได้ล่ะครับ ผมว่าน่าจะยังอยู่ตรงวิตก วิจารณ์อยู่นะครับ
     
  12. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    สามสิ่ง .... สามจริง .....

    กองหนึ่งมีเป่นก้อน ............ไร้ตน นี้นา
    กองที่สองทุกข์ทน ............ใคร่พ้น แดดิ้น
    ที่สามเลิศล้ำจน ................ประจักษ์ ใจแล
    บัวท่านวิเศษล้น ...............ใคร่รู้ ยอมตาย


    วางสองกองก่นนี้ ...............ลงได้ สังขาร
    พ้นมารสมมุติไซร้ ..............จิตต้น หนึ่งนี้
    ไม่ข้องตั่วตนให้ ................รู้ชัด จักษ์ใจ
    ขันธ์ก่องทุกข์กองพ้น ...........รวมสู่ ใจธรรม




    * กลอนอ่านขำ ขำ ถ่ายทอดความรู้สึก แต่งไว้นานแล้ว เอามาแบ่งอ่านคลายเครียด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤศจิกายน 2010
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ที่อึดอัด นั้น เป็นกันโดยทั่วไป

    เพราะเหตุที่ว่า ขณะที่จิตจับกับลมหายใจ นั้น ไม่แนบสนิทไปกับลมหายใจ

    แต่ว่า แว็บออกใน ความรู้สึก คือ ไปวิพากษ์มัน เกิดเวทนาขึ้น เมื่อเกิดเวทนาขึ้น ก็ยังหายใจเข้า หายใจออกด้วย เวทนานั้น จึงเกิด ตัณหา คือ ไม่พอใจ

    ก็กลายเป็นลม หยาบ ก่อให้เกิดความอึดอัดขึ้น


    ทางที่ถูก หากเริ่มอึดอัด ให้ผ่อนคลาย เหมือนหายใจท่ามกลาง ทุ่งดอกไม้ นั่นหนะ ทำไมมันไม่อึดอัด แต่กลับสดชื่น เพราะว่า เวทนา ประกอบนะ

    จึงว่า เวลาหายใจ เริ่มต้น อย่าให้เวทนามาประกอบ ให้มีสติเฉพาะหน้า

    ถ้าอึดอัด ก็ช่างมัน

    บางคนอาจจะเกิดอาการ ติดจิตไปกับลมหายใจ แล้วอาจจะอยากสลัดออก เพราะผมเคยเป็น จะขอเล่าให้ฟัง

    จิตมันไปจับกับลมหายใจ แล้วมันติดอยู่อย่างนั้น ก็อึดอัด อยากจะไม่สนใจในลมหายใจ มันก็ทำไม่ได้ มันรู้ติดอยู่แบบนั้น แล้วเกิดหงุดหงิด

    นั่นแหละ เมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว มันเป็นเรื่องปกติ ให้เราเพิกเฉยไปทำเรื่องอื่นก่อนก็ได้

    อย่าไปวิพากษ์มัน ก็เท่านั้น จะมาทำ ก็ให้เริ่มต้นใหม่ ด้วยความสบายใจ เอาจิตแนบลงไปให้มากขึ้น ลมจะสงบลงไปแล้วไม่อึดอัด

    อย่าลืมว่า หากเอาลมหายใจ ผนวกเข้ากับ อะไรก็ตาม สิ่งนั้นจะมีกำลังแรงขึ้น

    หากผนวกเข้ากับ นิโรธ หรือ วางจิต หรือ ผนวกเข้ากับสุข จะทำให้ ร่างกายจิตใจ เบิกบาน ไม่อึดอัด
     
  14. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,456
    อาการของสมาธิ มี 108 นั่นแหละครับ

    หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้
    เอาความรู้ให้ชัด โดยมีสติคอยกำกับ ก็ ok แล้วครับ
     
  15. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ฮ่าฮ่าฮ่า....ตอบได้ดี ชอบตรงที่ว่า จิตยังไปยึดกายมาเป็นตน (ธรรมดาครับเพราะยังไม่ได้วิปัสสนา)

    ทั้งที่ขณะนั้นจิตแยกจากกายแล้ว แต่กว่าจะผ่านสุขเวทนา เข้าสู่ เอกัคคตา ก็ต้องตัดตายเลยละครับถึงผ่านได้

    ถามต่อนะครับ.......

    เมื่อจิตเข้าสู่ฌานสี่แล้ว ทำไมเหมือนจิตรู้สึกตัวทุกอย่าง คิดก็ได้ เหมือนตัวเราอยู่ในร่างที่ปิดสนิทตัดขาดภายนอก

    ขอบคุณมากครับ ท่าน อโศ
     
  16. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    คงไม่เสียเวลาสักเท่าไรหรอกครับ คุยกันวันละแค่นิดๆหน่อยๆ

    และอีกอย่างคุยกับผม มีแต่ได้กับได้ ไม่มีเสีย จะเสียก็คงแค่ค่าเน็ต
     
  17. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ก็อาจจะเป็นอย่างที่ คุณว่ามา แต่ผมรู้จักฌานแต่ละฌานดี (ดูเหมือนคุย)จากตำราเลยเข้าใจฌาน

    ผมอธิบายอย่างนี้นะ เมื่อผมกำหนดลมเข้าออกจนชำนาญ ต่อมาลืมลมแต่จิตตั้งมั่น ไม่ฟุ้งไปทางอื่น

    เมื่อเกิดปิติละเอียดจากฌานสอง ตัวก็ลอยขึ้นจากพื้น(ลอยทั้งตัวทดสอบแล้ว)ต่างจากปิติที่มี วิตกวิจารณ์ อยู่

    หลังจากลอยเป็นประจำจนชิน ก็ได้ผ่านปิติ แล้วเกิด สุข สุขนี้ต่างจากสุขทางโลกเพราะเข้าฌานสามใหม่ๆ

    เมื่อสัมผัสสุขได้บ้างแล้วต่อมาถึงที่ว่า ทำไมถึงอึดอัดแน่นอก เป็นเพราะว่า ฌานสามละเอียดจะเข้าฌานสี่หยาบ
    ตรงนี้นี่แหละที่ผมชอบที่คุณ อโศ ตอบ

    จะผ่านด่านนี้ก็ต้องตายเป็นตาย เพราะจะขาดใจก็ยอมตายในฌาน เมื่อนั้นนั่นแหละ ถึงตอนขาดใจตายก็ผ่าน

    เข้าฌานสี่ละเอียด จิตส่วนจิตกายส่วนกาย เรื่องมันก็เกิดมาหลายสิบปีแหละเลยมาทบทวนถามท่าน อโศ

    ผมเล่าให้คุณฟังแล้วคุณอย่าไปเล่าให้ใครเขาฟังนะครับ เดียวเขาว่าผม บ้า ถือว่าเป็นนิทานอ่านเล่นๆละกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  18. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ขอบคุณครับที่ช่วยตอบ ผมคงถามไม่ละเอียดเท่าไร เลยพลอยทำให้ ท่าน ขันธ์ เข้าใจผิด ในคำถาม

    คือว่าผมรู้แต่อาการที่ปฏิบัติ แต่ผมอยากทราบรายละเอียดจึงได้ถาม ท่าน อโศ ในรายละเอียดต่างๆ

    ถึงยังไงผมก็ขอขอบคุณ ท่าน ขันธ์ มากครับ ผมก็จะถามและคุยไปกับทุกคนครับ ต่างก็มีดีกันคนละแบบ

    ผมก็เก็บเกี่ยวไปได้เรื่อยๆกับทุกคนละครับ
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    มันก็มองได้สองมุมนา คุณอาจจะเข้าใจผิด หรือ ผมเข้าใจผิด ก็ได้

    เช่นว่า คุณอาจจะเข้าใจผิดว่า คุณได้ฌาณ ทั้งๆที่ ไม่ได้สมาธิอะไร เลย คิดว่า ผมเข้าใจผิด

    หรือ คุณอาจจะเข้าใจถูก แ่ต่ผมเข้าใจผิด ก็ได้

    ลองดูตัวเองแล้วกัน

    ฌาณ ที่ถูกต้อง มันจะเริ่มสงบ ตั้งแต่ยังไม่เป็นฌาณแล้ว

    ส่วนปฐมฌาณ สุข และ เบา อยู่ตลอด
     
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ขอโอกาสนะคุณ อวตาร

    เนื่องด้วยคุณปรารภว่า

    และเพื่อให้สอดคล้องกับ คำถามแน่นกลางอก ผมก็มี อุบายธรรมในการยกวิปัสสนา
    มานำเสนอดังนี้

    ปรกติจิตนั้น มีสภาพบริสุทธิ ไร้น้ำหนัก

    ขอให้เน้นความรู้สึกเรื่อง มีน้ำหนัก กับ ไม่มีน้ำหนัก เป็นสิ่งที่ใส่ใจใคร่ครวญ

    สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ย่อม ต้องอาศัยเหตุ

    น้ำหนัก นั้นก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีเหตุ และเมื่อ น้ำหนักปรากฏ เป็นวิบาก
    อันเนื่องจากเหตุนั้นๆแล้ว มันจะคงอยู่จนกว่าวิบากผลจะส่งผลให้ครบตาม
    จำนวนที่ได้กระทำเหตุไว้ ตรงนี้ เป็นกฏแห่งกรรม ด้วย ให้ยกพิจารณาด้วย

    สิ่งที่เป็นเหตุของน้ำหนักให้เกิดขึ้นกับจิต มีเพียงตัวเดียว คือ กรรม อันเป็น
    เรื่องของการมีเจตนา เจตนาแม้เพียงเบาบางแต่หากทำในขณะที่มีกำลัง(สมถะ) แม้
    เพียงเคลื่อนไปเจตนาเพียงนิดเดียววิบากผลที่ได้รับจะยาวนาน

    การปรากฏของน้ำหนักนั้น ขอให้มองว่า เป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่เราจะเอามาพิจารณา
    ใคร่รวญไปถึงเหตุ เหตุและผลเหล่านี้ สังเกตไว้ว่า มันไม่บัญญัติมาเกี่ยวข้อง
    หรือคุณไม่อาจใช้ ความคิดใดๆเข้าบรรยายที่ไปที่มา เพราะคนภาวนาที่เก่งแล้ว
    ย่อมไม่จำเป็นต้องไปอาศัยบัญญัติหยาบๆที่บัญญัติศัพท์เรียกได้มาเป็นเครื่องมืออีก

    ก็ให้พิจารณาไปอย่างไม่มีบัญญัติใดๆเรียกไปแบบนั้น อาศัยการดูน้ำหนักที่เกิด
    ขึ้นแม้เพียงเบาบางนั้นนั่นแหละ สาวไปหาสิ่งที่เรียกว่า มโนสัญญเจตนา

    เมื่อสาวมาถึง มโนสัญญเจตนาได้ ก็จะพบว่า มันก็เป็นเนื้อธรรมเดียวกันกับ
    ที่ วางกายลงได้ ลองหาพุทธวัจนะเกี่ยวกับมโนสัญญเจตนาหารมาพิจารณา
    ก็จะเห็นที่มาที่ไป และจะทราบถึงอานิสงค์ของการรู้เข้ามาที่ มโนสัญญเจตนา
    อันพุทธองค์ตรัสชี้ไว้ด้วย

    ฌาณมีหรือไม่มี พักเอาไว้ก่อนก็ได้ มาดูของดีตัวนี้นี่แหละ ดูน้ำหนัก ที่เกิด
    นี่แหละ ดูไปเรื่อยๆ 7วัน 7เดือน 7ปี หากไม่ห่างการดู ไม่คิดแต่จะแก้
    แต่เอามาวิปัสสนาเสีย ย่อมให้ผลใหญ่กว่ารสของฌาณ

    ฌาณจะไปจะมา จะมีหรือไม่มี มันก็เป็น ตัวละครหนึ่งที่ปรากฏระหว่างการดู
    "น้ำหนัก" นี้นี่แหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...