อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ หรือปล่อยรู้ไปตามธรรมชาติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 14 พฤศจิกายน 2010.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ยินดีที่ได้สนทนาครับ ผมจะไม่เล่าให้ใครฟังครับ

    ของผมพอนั่งสมาธิบ่อยขึ้น เริ่มเข้าฌานได้ ฌานสาม ก็จะเจอแต่ สุขและเอกัคคตา เท่านั้นครับ

    แต่อาการอึดอัดแน่นหน้าอกนั้น ก็เคยเจอ แต่สำหรับผมเป็นเพราะ ยังกังวล ยังพะว้าพะวงห่วงเรื่องลม ก็พยายามจะหายใจไว้ คือตอนนั้นยังไม่รู้ว่า ร่างกายมันทำงาน มันหายใจของมันเองได้ครับ ที่นี้พอลมมันปราณีตขึ้น ช้าขึ้น นานขึ้น ก็กลัวว่ามันจะไม่หายใจ กลัวว่าจะตาย ก็เลยเป็นดั่งว่า ซึ่งตอนนั้นทำใหม่ ๆ ไม่ได้เทียบฌานอะไร ยังลังเล ยังกลัว อยู่มากครับ

    ส่วนเรื่องตายเป็นตายในฌานนี่ยังไม่เคยครับ เคยแต่ในวิปัสสนา ซึ่งมีส่วนต่างอยู่ระหว่างค่อย ๆ ละ กับค่อย ๆ กดลงไป แต่ก็มีส่วนเหมือนในองค์ฌานอยู่ ซึ่งไม่ขอกล่าวดีกว่า

    อนุโมทนาด้วยนะครับ กับผลที่ได้ ในน้ำพักน้ำแรง สำหรับการลงมือปฎิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  2. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ถามได้ดี....คำถามไม่ธรรมดาทีเดียว
    แต่คำถามไม่ค่อยชัดเจน ทำให้อาจเข้าใจผิดในการตอบ
    สำหรับความเห็นผม...เท่าที่ประสบพบเจอมา

    เพราะจิตนั้น เป็นผู้รู้ ย่อมรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยตัวจิตเองเป็นธรรมดา
    เพียงแต่ในขณะนั้น....จิตตัดขาดจากอารมณ์ภายนอก ร่างกายตัวตนหายไป
    เวทนาทางกายดับสนิท เกิดสุขเวทนาในจิต
    หากจิตขณะนั้น วางสุขเวทนาเป็นอุบกขา เข้าสู่เอกัตตาจิต
    ตรงนี้จะผ่านฟากตาย ข้ามเวทนาพ้น

    จะเหลือแต่...ความรู้เด่นชัด ของจิต
    ไม่ใช่ใช้คำว่า "คิดก็ได้ จิตรู้สึกตัวทุกอย่าง" จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิด
    เป้นการพิจารณาน้อมระลึกสิ่งที่ปรากฏเข้าสู่ใจตน
    เป็นปัจจัตตัง...โอปนยิโก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  3. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    อนุโมทนาสาธุ ค่ะ ตามอ่านไว้เพื่อรู้ ในกระทู้นี้มีครูเยอะค่ะ
    ครบถ้วน ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวช
     
  4. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    ถึงท่านขันธ์
    ขอรบกวนท่านขันธ์ อธิบายเรื่องการปรับธาตุ ให้อีกสักครั้งหนึ่ง
    ได้หรือเปล่าค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  5. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ขอบคุณครับ ไม่ใช่ว่า ท่าน ขันธ์ จะเข้าใจผิดหรอกครับ

    เพียงแต่คำถามผม ผมถามแบบเอาอารมณ์ที่ไม่น่าจะอยู่

    ในฌานมาถามครับ ส่วนปฐมฌาน แค่เงียหู นิวรณ์ก็ดับแล้ว

    ขอบคุณครับ
     
  6. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ขอบคุณครับ วิปัสสนา ดูน้ำหนักกรรม ครับ ผมไม่ได้ใช้วิธีนั้นในสมัยนั้น

    เพราะว่า สติปัฏฐาน เป็นหลักแบบ สุกขวิปัสโก ผมไม่ชอบครับ

    ที่ผมชอบก็ แบบ ปฏิสัมภิทาญาณ ผมจึงใช้อานาปาฯเล่นกสิณ ๑๐ ต่อ
     
  7. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ยินดีเช่นกันครับ นั่นแหละครับที่ลมหายใจจะหมดถ้าตัดตายได้

    มาเล่าให้ฟังกันแค่ 2 คนยังกับรู้ว่า คุณจะต้องทำต่อให้ ตายก่อนตาย
     
  8. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ครับ ก็ผมอยากทราบว่า ท่าน อโศ เข้าใจผมไหมเท่านั่นเองครับ

    เพราะถ้าผมถามว่า เข้าฌานสี่แล้ว เหลือแต่ ความรู้เด่นชัด ของจิต

    ถึงผมไม่ได้ผมก็จำจากตำรามาถามก็ได้นะซิครับ งั้นขออธิบายตรงที่

    "คิดก็ได้ จิตรู้สึกตัวทุกอย่าง" ตรงนี้ผมขอยกมาให้ครบก่อนนะครับ

    เมื่อจิตเข้าสู่ฌานสี่แล้ว ทำไมเหมือนจิตรู้สึกตัวทุกอย่าง คิดก็ได้

    และตรงคิดก็ได้ ในความเป็นจริงตอนนั้นจิตตัวรู้ จะคิดในองค์กรรมฐาน

    นั้นเท่านั้น แต่เมื่อออกจากฌานมาแล้วมาทบทวน จะเห็นว่าเหมือนคิดก็ได้

    แต่จริงๆแล้วเป็นอย่างที่ ท่าน อโศ ว่า จะเหลือแต่...ความรู้เด่นชัด ของจิต

    เพราะมันรู้เด่นชัด ไม่ใช่ เอกัคคตา และอุเบกขา แล้วจะทื่ออยู่อย่างนั้น

    ผมถามต่อนะครับ.....

    เมื่อจิตแยกจากกายแล้ว ก็จะเหลือแต่จิตตัวรู้ จะทำยังไงให้จิตออกจากร่างได้ครับ

    ขอบคุณมากครับ
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    เอ้า แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่า ทำแบบนี้ไม่ใช่ทางปฏิสัมภิทา

    หน่า ลองดูก็ไม่เสียหาย แล้วเวลาลองนี่ ก็คือ เวลาเจอ ความอึดอัด

    ถ้าไม่เจอ ไม่มีสภาวะความเป็นจริงรองรับ ก็ไม่ต้องลอง

    ถ้าลองแล้ว เชื่อไหมว่ามันจะพามาพิจารณา อาการ32
    แล้วยังทำให้รู้ ตัณหา3ได้ครบถ้วน พอรู้อาการ32 และตัณหา3
    แหมเรื่องออกไปข้างนอกได้ไม่ได้ ผมว่าไม่น่าจะต้องถามใคร

    กลับมาเรื่องเห็นอาการ32 พูดแบบพระป่าคือมาดู ขน เล็บ ฟัน หนัง
    เป็นอาธิ คุณคิดว่า พระท่านสอนสิ่งที่ไม่ใช่ปฏิสัมภิทาหรือเปล่า

    ก็นะ อันนี้ก็ว่ากันไป

    และไปอ่านสองกระทู้นี้ก็ดีนะ จะได้ไม่เข้าใจกายคตาไปผิดๆว่าไม่
    ใช่หนทางปฏิสัมภิทา

    ลองอ่าน วิถีจิตพระพุทธเจ้า

    หรือ http://palungjit.org/threads/รักษาความเบื่อเพื่อการปล่อยวาง.268624/ [ อันนี้บรรยายโดย พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ -- จะได้รู้สึกว่าเป็น ภาษาปฏิบัติ เนาะ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  10. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ถ้าจิตไม่แยกออกจากกาย เวทนาทางกายไม่ดับ
    จิตไม่มีทางออกจากร่างได้
    นอกจากนอนหลับ....
    ฝันว่า จิตออกจากร่าง
    หรือตายเท่านั้น ที่จิตวิญญาณจะออกจากร่าง


    ในกรณีทำภาวนาสมาธิ
    ถ้าจิตแยกออกจากกาย เวทนาทางกายดับ
    เป็นปรากฏการณ์นิมิตในสมาธิ จิตแยกออกจากร่าง

    บางบุคคล....จะเห็นเป็นดวงจิตสว่างไสว จิตจะเห็นร่างกายตนเอง
    แต่ไม่รู้สึกว่า....ร่างกายตนเองคือเรา เพราะในขณะนั้นจิตเป็นผู้เห็นร่างกาย

    ในขณะที่ร่างกายที่จิตเห็นไม่ไหวติง ไม่มีความรู้สึกใดๆ
    ความรู้สึกนึกคิด....อยู่ที่ดวงจิตผู้เห็นร่างกาย

    บางบุคคลจะเห็นจิตเป็นสองร่าง ร่างหนึ่งเป็นจิตผู้รู้ ร่างหนึ่งเป็นกายไม่ไหวติง
    ตรงจุดนี้....เป็นปัจจัตตัง ของใครของมัน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  11. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่า ทำแบบที่คุณว่าจะได้ ปฏิสัมภิทาฯไหม

    ผมรู้แต่ว่า ปฏิสัมภิทาฯ ต้องได้ อรูปฌาน ก่อนผมจึงเดินทางนี้ครับ
     
  12. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ถ้าพูดถึงจิต อาจจะตีความหมายไปคนละทางได้ ผมขอถามไหมว่า

    จะทำยังไงให้ อทิสมานกาย(นาม) ออกจาก ร่างกาย แล้วเห็นร่างกาย

    ที่เป็นรูป(ธาตุสี่)เป็นเหมือนศพ ที่ไม่มีวิญญาณครอง ส่วน อทิสมานกาย

    ที่มีรูปกาย(ไม่มีธาตุสี่)ครบ ออกไปไหนๆได้ไม่ใช่ วิชชาสาม ไม่ใช่ออกในฝัน

    ออกแบบคนที่ตายแล้วนั่นแหละครับ

    ขอบคุณครับ
     
  13. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    คำถามข้างบน ความหมายเดียวกัน กับคำตอบอ้างอิง ข้างล่างนี้

    การจะทำยังไงนั้น.....
    สิ่งสำคัญที่สุด.....ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาบารมี(ของเก่า)ของตน
    และแนวทางปฏิบัติที่ตนฝึกฝนอบรมมา
    ไม่มีใครทำได้ทุกคน และไม่ใช่จะมีคนที่ทำไม่ได้
    ------------------------------------------------------------------------------

    เปรียบพูดในเรื่อง....สอนให้คนว่ายน้ำ
    บางคนว่ายน้ำไม่เป็นจมน้ำตาย บางคนว่ายน้ำเก่งเอาตัวรอด
    เอาแต่ชมคนว่ายน้ำเก่ง แต่จะไปตำหนิ...คนว่ายน้ำไม่เป็น ก็ไม่ได้
    เพราะเป็นลักษณะธรรมชาติของคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น...เขาเป็นยังงั้น
    เจ้าตัวไม่ได้อยากว่ายน้ำไม่เป็้น...แต่พยายยามฝึกฝนอบรมยังไงก็ว่ายน้ำไม่เป็น
    ธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้น...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  14. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ขอบคุณมากครับ ท่าน อโศ คงต้องพอแค่นี้ก่อนนะครับ

    เดี๋ยวกระทู้ คงจะโดนลบแล้ว เห็นมีคน แจ้งลบ แล้ว.....

    ขอบคุณอีกครั้งครับ
     
  15. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ขอบคุณครับ มีโอกาสค่อยสนทนากันใหม่...


    กระทู้ จะโดนลบหรือมีคนแจ้งลบ
    ผู้ดูแลบอร์ดพิจารณาตามเห็นสมควร
    จะถูกลบหรือไม่ถูกลบ
    ไม่มีผลต่อการดำเนินชีวิต กินอิ่มนอนหลับปกติ

    ชีวิตเดินหน้าต่อไป...
     
  16. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ความรู้สึกทางกายแข็ง ลมเบาจับไม่เจอ จนหายไป
    จะคิดไรไม่ออกครับ เหลือแต่รู้ ตั้งท่าจะวิปัสสนาก็ไม่ได้
    ระลึกลมกลับมาจึงจะคิดได้ครับ
    ทำได้ตอนฝึกอยู่เมื่อปีก่อน เพิ่งมาอ่านเจอไม่กี่วันที่หลวงพ่อพุธอธิบายว่า
    จิตแยกกาย ไม่มีสภาวะกาย ไม่มีสมองจึงคิดไม่ออก (ผมเองพิจารณาว่าเลือดคงเลี้ยงสมองน้อยอ่ะนะ)

    ตอนหัดใหม่ๆก็นั่งเลยชม.ถึงจะได้แบบนี้
    ช่วงที่ฮอตจริงตอนนั่งขี้เสร็จก็เข้าดู เอ่อ (ยังไม่ล้างก้น)ก็ได้แฮะ
    เร็วสุดหายใจ4ที เข้าแล้ว นั่งทุกวัน8เดือนติด

    เทคนิคพิเศษคือ
    ฝึกหายใจยาวๆลึกๆ แบบพวกโยคะ ไทเก๊ก
    นั่งจนเจอสุขแล้วจะติด ถ้านั่งไม่เจอสุขเด๊วก็เลิกซะก่อน
    สำรวมในการใช้ชีวิต
    การงานไม่คั่งค้าง ค้างคาใจ
    ไม่โลดโผน ใช้ชีวิตเฮฮา อยู่หมู่เกินไป (ยังไงก็หลงโลก)

    อนุโมทนาครับ
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ขอพูดเฉพาะการปรับธาต ลม ด้วยอานาปานสติ แล้วกัน ส่วนธาตุอื่นๆ จะมากเกินความจำเป็น

    การปรับธาตุลม ในอานาปานสติ นั้นก่อนอื่นจะต้องเข้าใจว่า ลมนั้นมีอยู่ทุกอณู ในร่างกาย ตามหลักวิทยาศาสตร์ เขาก็ว่าเป็นอ๊อกซิเจน ถ้าไม่มีแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ตัวแข็งทื่อ เพราะไม่มีลมไหว แสดงว่า ร่างกายที่ไหวได้ มีสภาพยืดหยุ่นนี้ก็เพราะว่า ธาตุลม เป็นหลัก

    แต่ว่า คนทั่วไป ลืมให้ความสำคัญกับลม เราไปให้ความสำคัญกับอาหารมากกว่า ทั้งๆที่
    ลมนี้เราหายใจ เข้าออกทุกวินาที ดังนั้นแล้ว การที่คนเราจะมีสุขภาพดี สบาย ก็ต้องอาศัยลมนี้เป็นหลัก

    บางคน เกิดมา มีกรรมเป็นของตน บางคนหายใจหยาบ บางคนหายใจละเอียด เป็นไปตามกรรม แต่พอเรามารู้วิธีการของพระศาสดา เราก็อยู่เหนือกรรมนั้นได้ ด้วยการเอาสติ เข้าไปจ่อกับ กรรมแห่งลมหายใจนั้น แล้วปรับแต่ง ให้ลมละเอียดเข้าสู่กาย

    การปรับลมละเอียดในอานาปานสติ ให้พึงทราบเอาไว้ก่อนว่า อวิชชา ปัจจยาสังขารา

    หมายความว่า อวิชชามีเมื่อไร สังขารลมเกิดเมื่อนั้น ผัสสะเกิดตรงจุดนั้น

    ดังนั้น การปรับลมละเอียด ต้องเริ่มจาก การทำจิตให้สงบ แล้ว สำรวจกายทั่วตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้า มีผัสสะปรากฎตรงไหนในกาย ที่หยาบ ร้อน นั้นแหละ คือ กองลมหยาบ ให้มีอาการไหวบริเวณ นั้น

    ให้กำหนดรู้ มีสติ ด้วยการหายใจ เข้า หายใจออก อย่าเผลอตามรู้ไปเรื่อยๆ ให้รู้แบบชำเลือง

    ต่อไปจะเป็นอุบายวิธี คือ เตือนตนเองว่า จุดนั้นเราจะผ่อน เราจะระงับ หายใจเข้า จุดนั้นเราจะผ่อน เราจะระงับ หายใจออก

    เมื่อเราระงับสรรพสังขาร ได้ กายจะเต็ม จิตจะเต็ม เกิดสุข ขึ้นมา
    ทำให้เป็นวสี จะระงับสรรพโรค

    นอกเหนือจากนี้ ก็ต้องศึกษาหาวิธีระงับ กายสังขาร ในแต่ละส่วน ด้วยอุบายวิธีของตนเอง

    แต่ อย่าลืม ลมหายใจเป็นระยะ เพราะจะเป็นตัวคอยเตือนให้เราไม่ไหลไป
     
  18. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    อนุโมทนาในธรรมทานของท่านขันธ์ และขอนำการปรับธาตุนี้ไปแน่ะนำญาติพี่น้องที่เค้าพึงทำได้ เพื่อประโยชน์ค่ะ สาธุ
     
  19. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    จากคุณ jinny95 ความตกใจ พอร่างกายและลมหายใจหายไปหมดแล้ว จิตมันจะไปอยู่ที่ไหน ตรงนี้ต้องพยายามทำสติสัมปชัญญะให้รู้เท่าทันอาการเหล่านั้นให้ดี บางทีบางท่านอาจจะเกิดความวิตกขึ้นมาว่า เมื่อร่างกายและลมหายใจหายขาดไปแล้ว จิตมันจะไปอยู่ที่ไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวั่นวิตกหรือความกลัวก็จะเกิดขึ้น แล้วจะทำให้จิตถอยจากสมาธิ ถ้าหากมีความกลัวติดอยู่ในความรู้สึก เมื่อจิตดำเนินไปถึงขั้นนี้ พอจะเข้าขั้นละเอียดกันจริงๆแล้วมักจะเกิดความกลัวขึ้นมา แล้วจิตจะถอยจากสมาธิ วิธีแก้ก็คือ พยายามทำบ่อยๆ ทำให้มากๆ อาศัยภาวิตา อบรมให้มากๆ พหุลีกตา กระทำให้มากๆ และมีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทัน นี้คือเหตุผลแห่งการบำเพ็ญสมาธิขั้นสมถะ

    บางส่วนจาก
    อานาปานสติกรรมฐาน โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    อานาปานสติกรรมฐาน โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    [/QUOTE]
    ติดอยู่ตรงนี้ล่ะคะ ไปไหนไม่รอดทุกที ตอนกายหายไม่เป็นไรเพราะยังรู้ลม แต่พอลมหาย ใจมันดิ้นเลย แก้ยังไงดีน้า ไม่ผ่านสักที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2010
  20. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ที่คุณติดอยู่ตรงนี้....เป็นเพราะความกลัวมันฝังลึกในจิตใจ
    ใจมันดิ้น...พอลมหาย
    เป็นมายากิเลส...ลวงจิตใจให้กลัวความตาย....
    อย่าเอาใจใส่กับสิ่งปรากฏ...ลมหาย...ช่างมันอย่าสนใจ ตายเป็นตาย


    ธรรมะอยู่ฟากตาย จิตใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
    ตายเป็นตาย ไม่อาลัยในชีวิต จึงจะข้ามเวทนาจุดนี้พ้น
    กิเลสมันไม่ยอมปล่อยเราไปง่ายๆ
    เพราะมันเป็นเจ้าเป็นนายเรามาหลายภพชาติ
    ความใจเด็ด...ไม่กลัวตาย กิเลสมันยอมแพ้คนใจเด็ดเดี่ยว

    <!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...