อานิสงส์การทำบุญกับพระผู้ทรงศีลวิสุทธิ์

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 6 สิงหาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <center>อานิสงส์การทำบุญกับพระผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ </center>
    ๔. อานิสงส์การทำบุญกับพระผู้ทรงศีลวิสุทธิ์

    เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปี ๒๕๒๖ ระยะนั้น คุณแม่ของผู้เขียนยังมีชีวิตอยู่ ท่านเพิ่งหายป่วยจากไข้หวัด บ่ายวันหนึ่งผู้เขียนไปเยี่ยมท่าน ขณะสนทนากันพักหนึ่ง ผู้เขียนชวนท่าน “คุณแม่อุดอู้อยู่แต่ในบ้านมาร่วม ๒ อาทิตย์กว่าแล้ว ไปเที่ยวไหมคะ ที่พุทธมณฑล ได้สร้างพระประธานเสร็จแล้ว อยากชวนคุณแม่ไปกราบพระจัง !!” ท่านเห็นดีด้วย รับคำชวน

    จากนั้นจึงออกเดินทางกันด้วยรถตู้ ในรถมีเพียงสามคน คือ คนขับ ผู้เขียน และคุณแม่ เวลานั้นประมาณเกือบห้าโมงเย็น พี่น้องคนอื่น ๆ เขากลับกันหมดแล้ว เมื่อรถแล่นไปถึงแถบตลิ่งชัน เกิดฝนตกหนักมาก ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา ผู้เขียนกังวลใจ ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะพบฝนตกหนักเช่นนี้ คุณแม่เพิ่งหายจากไข้หวัด หากไปโดนละอองฝนที่พุทธมณฑล เป็นอะไรไป เราคงไม่ได้รับการยกโทษจากพี่น้องเป็นแน่ คิดดังนั้น ผู้เขียนจึงนึกในใจ ขอให้ฝนหายเถอะ !! และเมื่อไปถึงพุทธมณฑลก็ขอให้มีแดดด้วย !! เพราะไหน ๆ ก็ออกจากบ้านมาตั้งไกลแล้ว หากจะกลับก็ใช่ที่

    พอรถแล่นใกล้จะถึงบริเวณพุทธมณฑล ฝนหยุดตกจริง ๆ ..! และเมื่อแล่นเข้าประตูทางเข้า แดดก็ออก แสงแดดสวยเป็นประกายสีทอง อย่างที่โบราณเรียกว่า แสงแดดผีตากผ้าอ้อม...!

    ระยะนั้นการก่อสร้างพุทธมณฑลยังไม่ได้เสร็จงดงามดังที่เห็นในปัจจุบัน คงมีเพียงพระประธานที่สร้างเสร็จโดดเด่นกลางแจ้ง ส่วนบริเวณโดยรอบ ๆ ยังคงเป็นดินลูกรัง ไม่ได้มีกระเบื้องปูพื้น ห่างจากองค์พระมีเต็นท์อำนายการกางอยุ่ มองไปโดยรอบ มีเพียงรถของเราคันเดียวเท่านั้นที่เข้าไป พอรถจอดนิ่ง ผู้เขียนนึกหาทางให้คุณแม่ลงจากรถ ขึ้นไปกราบองค์พระ ก่อนอื่นอยากหา ร่ม สักคัน สำหรับกันละอองฝน เพราะไม่ได้เตรียมมาเนื่องจากไม่คาดฝันว่าจะเจอฝน สายตามองไปที่เต็นท์ เห็นร่มสีดำแขวนที่ชายคาเต็นท์เรียงรายกันอยู่สักยี่สิบกว่าคัน จิตแวบนึกไปถึงร่มที่เคยถวายพระที่วัดป่าบ่อย ๆ รวมทั้งการจัดร่มสีดำใส่ในสังฆทานเป็นประจำ เวลาพระท่านลงจากเขา ท่านจะนำมาแขวนเรียงรายกันที่ชายคาศาลาทำนองเดียวกัน

    ขอยืมร่มได้แล้ว พอกลับมาที่รถ กางร่มออก แล้วกลับนึกอีกว่า.. จะทำอย่างไรให้คุณแม่ขึ้นไปที่พระประธานได้ คุณแม่เป็นคนอ้วน แถมยังเพิ่งหายไข้ ท่านจะขึ้นไปได้อย่างไร ใจตอนนั้นนึกอยากได้ รถเข็น พาท่านขึ้นไป

    กลับไปถามที่เต็นท์อำนวยการอีกครั้งหนึ่ง “ประทานโทษค่ะ พอมีรถเข็นให้ยืมหน่อยไหมคะ คุณแม่เพิ่งหายไข้ อยากจะขอยืมรถเข็นหน่อยค่ะ” เจ้าหน้าที่ที่นั่งในเต็นท์กุลีกุจอตอบ “ได้ครับ.. มีครับ” สักครู่ก็ได้รถเข็นมา เป็นรถเข็นใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ มีกระดาษแก้วหุ้มอยู่ จึงช่วยกันกับคนขัยรถแกะกระดาษแก้วออกแล้วนำมาที่รถ หลังจากกางรถเข็นประคองคุณแม่นั่งบนรถเข็น กางร่มให้ท่านเสร็จแล้วมองไปที่พระประธาน ใจนึกอีก..

    ทำอย่างไรจะพาคุณแม่ขึ้นไปบนลานพระประธานได้นะ หากเราได้พาคุณแม่ขึ้นไปบนนั้น จะได้พาท่านทำทักษิณาวัฏรอบองค์พระสักสามรอบ เวลานั้นบริเวณพื้นดินโดยรอบยังขรุขระและยังมีน้ำขังเฉอะแฉะ เนื่องจากฝนเพิ่งหายตกใหม่ ๆ ใกล้ ๆ กันก็ยังไม่มีรถคันอื่นเลยแม้แต่คันเดียว คงไม่มีใครคิดออกจากบ้านมาพุทธมณฑลยามฝนเพิ่งหายตกหนักอย่างนี้

    ทันใดนั้น ปรากฏมีพระองค์หนึ่ง รูปร่างสันทัด ผิวคล้ำ ๆ เดินเข้ามาหา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณโยม..คุณโยมอยากพาคุณแม่ขึ้นไปกราบพระประธานบนโน้นใช่ไหม”

    “ใช่เจ้าค่ะ” ท่านถามต่อ “คุณโยมอยากพาคุณแม่ขึ้นไปเดินเวียนเทียนบนนั้นสามรอบใช่ไหม” ผู้เขียนงงนึกประหลาดใจ เอ๊ะ !! พระองค์นี้ท่านมาจากไหน ทำไมท่านทราบว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ ความงงมีมากกว่าความประหลาดใจ จึงได้แต่ตอบรับท่านว่า “ใช่เจ้าค่ะ”

    ผู้เขียนยังไม่ทันจะคิดสงสัยอะไรต่อ ท่านก็หันไปข้างหลัง

    “เอ้า .. พวกเรามาช่วยกันหามคุณแม่คุณโยมขึ้นไปบนนั้น เร็ว !!” ปรากฏมีบุรุษฉกรรจ์ ๘ –๙ คน ไม่ทันสังเกตว่ามาจากไหน ตรงเข้ามาแบกรถเข็นของคุณแม่เดินนำลิ่วไปที่พระประธาน เร็วจนผู้เขียนกับคนขับรถต้องรีบเร่งเดินตาม พลางก้าวกระโดดให้พ้นพื้นผิวที่น้ำขังแฉะอยู่เป็นระยะ ๆ เพื่อตามให้ทันพวกเขาเหล่านั้นซึ่งก้าวย่ำพรวด ๆ ผ่านลานชั้นล่าง ลานชั้นสองขึ้นไปข้างบน เมื่อขึ้นไปถึงลานบนสุดก็วางรถเข็นที่มีคุณแม่นั่งลง

    ผู้เขียนได้พาคุณแม่นมัสการองค์พระประธานและเข็นพาทักษิณาวัฏวนสามรอบสมดังความตั้งใจ

    เสร็จแล้วก็มายืนเก้ ๆ กัง คิดอีก “มีเรากับคนรถเพียงแค่สองคน จะพาคุณแม่ลงไปได้อย่างไร.. คุณแม่ท่านอ้วนน้ำหนักมาก จะทำอย่างไรดี..??”

    เช่นเคย พระองค์เดิม ไม่ทราบท่านมาจากไหน รู้สึกเราไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่า ท่านขึ้นไปบนลานข้างบนด้วย ท่านเข้ามาถามผู้เขียนอีก “คุณโยมจะพาคุณแม่กลับไปที่รถใช่ไหม”

    ผู้เขียนรับคำ “ใช่เจ้าค่ะ”

    “เอ้า ..พวกเรา ช่วยกันอีกไ กลุ่มบุรุษฉกรรจ์ซึ่งแต่งกายแบบชาวบ้านกรูช่วยกันยกคุณแม่ขึ้นอีก พาลงจากข้างบนไปที่รถ ขณะนั้นเอง จิตผู้เขียนก็พลันพลิ้วเห็นภาพอดีตที่เคยนิมนต์หลวงปู่ชอบไปเที่ยวพม่า หลวงปู่เดินไม่ได้ ต้องให้คนอุ้มท่านขึ้นไปบนเจดีย์ ชเวดากอง เจดีย์หงสาวดี ที่พม่ามีเจดีย์เยอะ ต้องให้คนช่วยกันยกรถเข็นหลวงปู่ขึ้นและช่วยกันยกลงจากเจดีย์ต่าง ๆ ภาพนั้นพลิ้วปรากฏให้ผู้เขียนเห็นอย่างชัดเจน

    อ๋อ..นี่คงเป็นอานิสงส์จากผลบุญในครั้งนั้นที่เราได้ทำถวายหลวงปู่...

    จำได้ว่า ดูเหมือนจะเป็นปี ๒๕๒๖ หลวงปู่ปรารภนานแล้วอยากจะกลับไปดูพม่าอีกสักครั้ง

    ระยะนั้นยังคิดกันว่า สภาวะร่างกายของหลวงปู่ยังไม่เหมาะกับการเดินทางไกลไปต่างประเทศ ยังไม่มีการนิมนต์ท่านไปเช่นระยะหลัง ๆ นี้ ผู้เขียนคิดว่า เราเคยทำอะไรถวายครูบาอาจารย์หลายองค์อยู่ พูดง่าย ๆ เป็นเหมือนหนุมานอาสามาหลายครั้งแล้ว

    อย่างท่านอาจารย์วันกับท่านอาจารย์จวน มีคนนิมนต์ท่านไปอินเดียจนท่านได้บอกลาญาติโยมกันหมดแล้ว แต่พอถึงเวลาไป คนนิมนต์ก็หายหน้าไป เรื่องไปอินเดียสุดท้ายเราก็จัดการไปจนสำเร็จ การไปอินเดียครั้งนั้น ในปี ๒๕๑๙ นอกจากท่านอาจารย์จวน ท่านอาจารย์วัน ก็ยังมีสมเด็จพุทธปาพจน์ และมีอีกหลายองค์ที่ไป เราได้รับใช้ท่านทุกองค์เป็นอย่างดี ต่อมาเช่นกัน แ ๒๕๒๑ หลวงปู่หลุยปรารภเรื่องอินเดีย เราก็ได้โอกาสนิมนต์ท่านไปอินเดียพร้อมท่านอาจารย์จวนอีกครั้งหนึ่ง หรืออีก ๒ – ๓ ปีภายหลังมีการนิมนต์หลวงปู่หลุย ท่านอาจารย์เหรียญ ท่านอาจารย์ท่อน ท่านอาจารย์บัวพา ไปศรีลังกา ครั้งนั้นผู้เขียนไม่ได้เป็นคนนิมนต์ คุณหมอปัญญา แห่งโรงพยาบาลแพทย์ปัญญาเป็นผู้นิมนต์ พอถึงเวลาท่านไปไม่ได้ หัวหน้าทัวร์ก็ไม่มียังไงไม่ทราบ ผู้เขียนได้กลายเป็นหัวหน้าทัวร์รับใช้ท่านพาไปจนทั่ว แม้งานทำไฟฟ้าเข้าวัดท่านอาจารย์วัน ในปี ๒๕๑๙ เราก็จัดทำเข้าไปได้จนสำเร็จ หรือวัดที่ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ชาวบ้านอยากได้ไฟ เราก็ทำให้เสร็จที่วัดป่าแก้วบ้านชุมพล ในปี ๒๕๑๙ เช่นกัน หลวงปู่เทสก์ปรารภถึงเรื่องหนังสืออัตตโนประวัติท่านในปี ๒๕๑๙ ก็ทำสำเร็จหมด จัดพิมพ์หนังสืออัตตโนประวัติถวาย ท่านพอใจมาก จนภายหลังเมื่อท่านคิดจะปรับปรุงเพิ่มเติมข้อความในหนังสือ ท่านก็มอบให้เราช่วยดูแลทำถวายท่านเสมอมา

    งานต่าง ๆ เหล่านี้เราทำถวายสำเร็จมาได้ทุกองค์ ก็เมื่อหลวงปู่ชอบท่านปรารภอยากไปพม่า ไฉนเราไม่นิมนต์ท่านไปให้ได้ เลยมีการจัดรายการไปพม่ากัน มีทั้งหลวงปู่หลุย ท่านอาจารย์สุวัจน์ ท่านอาจารย์เหรียญ ท่านอาจารย์บัวพา ท่านอาจารย์ท่อน และอีกหลายองค์ที่ไปคราวนั้น ไปกันอย่างสนุก แต่แรกผู้แทนการบินไทยบอกว่าบ้านพักกว้างขวาง ชวนกันขนของไปยกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอาสนะ หมอนขวานจัดเอาไปให้ครบ สำหรับครูบาอาจารย์ทุกองค์ กว่าสิบสามชุด หลวงปู่ชอบ ชอบฉันแตงโม ไม่รู้ว่าที่พม่าจะหาได้หรือเปล่า จึงซื้อแตงโมไปจากเมืองไทยให้พอถวายได้ครบ ๗ วัน ข้าวของที่ขนไปคราวนั้นมากมาย กระทั่งเป็นที่ขบขันและเย้าแหย่จากเพื่อนพ้องน้อง ๆ ที่ไปส่งที่สนามบิน “อ้าว...พี่เปี๊ยก จะย้ายบ้านไปอยู่พม่าเหรอ..!”

    การเดินทางไปพม่าของหลวงปู่ชอบคราวนี้ ดูท่านพอใจมีความสุขที่ท่านได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ท่านเคยเดินธุดงค์มาสมัยก่อนถึง ๒ ครั้ง เป็นดินแดนที่ท่านได้ธรรมะอย่างมากไปจากที่นี่ เป็นดินแดนที่ท่านมีโอกาสพบพระอรหันต์ที่มาเยือนและอนุโมทนาทานกลางป่าลึกในพม่า ภาพการอุ้มหลวงปู่ขึ้นลงเจดีย์ตามวัดและสถานที่ต่าง ๆพลิ้วให้เห็นขึ้นมา น่าจะเป็นการยืนยันถึงอานิสงส์แห่งการทำบุญกับพระผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น...ร่ม ...รถเข็น ...หรือคนที่มาช่วยนำคุณแม่ขึ้นไปกราบพระ...

    ย้อนกลับมาที่พุทะมณฑล เมื่อมาถึงรถ ผู้เขียนและคุณแม่ได้ยกมือไหว้คารวะขอบคุณในความมีเมตตาของพระภิกษุองค์นั้น และก่อนลาท่าน อดเรียนถามท่านไม่ได้ว่า ท่าน..มาจากไหนเจ้าคะ” ท่านตอบ “เรามาจากฉะเชิงเทรา”

    ด้วยความซาบซึ้งที่ แหม..เราอยากได้อะไรก็สมใจนึก อยากพาคุณแม่ขึ้นไปกราบพระข้างบนก็ได้ไป อยากพาท่านทำทักษิณาวัฏรอบองค์พระก็ได้ทำ ทำให้ผู้เขียนบังเกิดความปลื้มปีติ ใจนึกอยากทำบุญ เดินไปที่เต็นท์อำนายการ ขอเช่าพระจำลองพระประธาน เลือกเอาองค์ที่ใหญ่ที่สุด จำไม่ได้แน่ชัดว่า ได้บูชามาสามพันหรือห้าพันบาท แต่ช่างเถอะ...ขอให้ได้ทำบุญ

    เรื่องนี้ยังไม่จบ...ขอเล่าต่ออีกนิด ภายหลังผู้เขียนมีโอกาสพบผู้ใหญ่ในกรมการศาสนาท่านหนึ่งที่รับผิดชอบดูแลด้านพุทธมณฑลอยู่ อดไม่ได้ที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าด้วยความซาบซึ้งใจ โดยเฉพาะการช่างคิดช่างนึกที่จะบริการคนไปกราบพระด้วยการเตรียมร่ม เตรียมรถเข็นให้ยืม

    “บริการที่นี่ดีเหลือเกินนะคะ พาคุณแม่ไปเที่ยว ฝนตกหนัก ดิฉันไปขอยืมร่ม ก็มีบริการให้ยืม” ผู้ใหญ่ท่านนั้นขมวดคิ้ว ปฏิเสธ “ไม่มี ที่นั่นไม่มีบริการให้ยืมร่ม”

    “อะไรกัน...ไม่มี วันนั้นเห็นมีร่มแขวนที่ชายหลังคาเต็นท์ เรียงรายเป็นตับเลย ตั้งยี่สิบสามสิบคัน แล้วแถมยังมีบริการให้ยืมรถเข็นอีก” “ไม่มีครับ..ไม่มี” ผู้ใหญ่ท่านนั้นยืนยันหนักแน่น

    อัศจรรย์แท้..!! แล้วร่มกับรถเข็นนั่นมาจากไหน...!!!

    ก็เลยย้อนคิดไปอีกว่า...แล้วพระที่มาช่วยเราวันนั้น ท่านมีองค์จริงหรือเปล่า ทำไมวันนั้นท่านรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ในใจ เราอยากพาคุณแม่ขึ้นไปไหว้พระ ท่านก็พูดตรง อยากพาคุณแม่ขึ้นไปเวียนเทียนสามรอบ ท่านก็พูดตรงอีก

    ท่านเป็นใคร ?

    เล่าให้คนอื่นฟัง มีคนหนึ่งบอกว่า แล้วทำไมไม่คิดว่า ท่านคือหลวงพ่อโสธรเล่า ท่านบอกมาจากฉะเชิงเทราไม่ใช่หรือ ?

    จริงด้วยนะ เราไม่ทันคิดกัน เพราะท่านบอกว่า ท่านมาจากฉะเชิงเทรา อาจเป็นได้ !!! พระที่มาช่วยคุณแม่วันนั้น เป็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อโสธรมาช่วย เราก็เคยกราบไหว้ท่าน และที่บ้านก็มีพระพุทธรูปจำลองหลวงพ่อโสธรตั้งอยู่ที่เรือนไทยเหมือนกัน

    อย่างไรก็ดี วันหนึ่งมองไปที่โต๊ะหมู่บูชาที่บ้านเรือนไทย เห็นพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธรหายไป บ้านเรามีคนมากราบพระธาตุมากมาย ไม่ทราบว่าใครนึกถือสนิท ยกท่านไปบูชาเฉย ๆ เราก็เพิ่งปิดทองคำเปลวใหม่ ๆ อยู่ด้วย เสียดายพระนั้นส่วนหนึ่ง เพราะเป็นองค์ที่เพื่อนหามาให้แต่เมื่อครั้งผู้เขียนยังไมรุ้จักไหว้พระ แต่ที่เสียดายมากกว่านั้น เพราะเริ่มมีความรู้สึกผูกพันขอบพระคุณท่านอยู่ลึก ๆ ในใจเพิ่มพูนขึ้น

    วันนั้นก็เลยออกไปหาเช่าพระหลวงพ่อโสธร แต่ไม่พบถูกใจ พอกลับถึงบ้านพบพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธรองค์หนึ่ง ตั้งอยู่บนโต๊ะรับแขก วิลาศบอกว่ามีใครไม่ทราบมาฝากไว้ให้ สั่งไว้ว่าเป็นพระหลวงพ่อโสธรขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ทำจากกระเบื้องหลังคาโบสถ์ ขนาดนี้หายากไม่เพียงไม่กี่องค์

    รุ่งขึ้นก็มีคนเอามาให้อีกองค์หนึ่ง พอวันหลังกำลังนั่งคุยกันเรื่องนี้อยู่ ก็ปรากฏมีพระขึ้นมาอีกองค์ ครั้งแรกเห็นรูปทรงคิดว่าเป็นพระสมเด็จ เป็นพระองค์เล็กขนาด ๔ ซม. พอพลิกดูที่ฐานมีเขียนสลักว่า หลวงพ่อโสธร องค์หลังนี้ท่านปาฏิหาริย์มาเองอย่างแน่นอน แกะสลักจากหินที่ว่าเป็นพระธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้ารวมตัวกัน

    อานิสงส์การทำบุญกับผู้ทรงศีลวิสุทธิ์เช่นหลวงปู่จะเป็นสิ่งที่แปลกมาก จะเกิดในสิ่งที่เหลือเชื่อ ปละไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้เป็นประจำ

    http://dharma-gateway.com/monk/monk-main-page.htm
     
  2. lasomchai

    lasomchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +2,035
    อ่านแล้วทำให้มีความรู้สึกอยากทำแต่สิ่งดีๆและให้ดีทั้งกาย วาจา ใจ
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...