อายตนะทั้ง ๖ เช่นมีตาเห็นรูป เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 5 มกราคม 2016.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    “..อารมณ์แปลว่า สิ่งที่พอใจยินดีถึงแม้สิ่งอันที่ไม่พอใจ มีความโกรธความเกลียด เป็นต้น มันก็พอใจผูกพันอยู่กับความโกรธ ความเกลียดนั้น คือ มันไม่ทิ้งไม่วางนั่นเอง จึงเรียกว่าอารมณ์


    ที่เกิดของอารมณ์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ที่เรียกว่าอายตนะทั้งหก เป็นบ่อเกิดของอารมณ์ ท่านว่าเป็นบ่อเกิด มิใช่เกิดจากอายตนะ


    ความเป็นจริงอารมณ์มิใช่เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันเกิดจากจิตต่างหาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นแต่เพียงประตู


    เปรียบเหมือนประตูหรือหน้าต่างของบ้านเรือนนั่นแหละ พอได้ยินเสียงอันใดก็ไปเปิดประตูดู ไปส่องดูตามหน้าต่าง อยากเห็นอะไรก็ไปส่องดูตามนั้นแหละ แต่ผู้ส่องไม่ใช่หน้าต่าง หน้าต่างเป็นเพียงช่องสำหรับส่องดู ผู้ส่องดูคือคนดูต่างหาก


    ถึงแม้จะไม่มีประตูหน้าต่าง คือ ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่จิตมันยังมีอยู่ มันก็ยังเห็นอยู่ ดังนั้น จึงว่าอารมณ์ไม่ได้เกิดที่ ตา หู จมูก ลิ้น กายนั่นหรอก มันเกิดที่จิต


    ถ้าหากเรามาพิจารณาแยกออกไป แยกกาย แยกใจ กับอารมณ์นั้น ก็จะเห็นชัดด้วยใจของตนเองว่า..อารมณ์เป็นอันหนึ่ง ใจเป็นอันหนึ่ง อายตนะเป็นอันหนึ่ง แต่อารมณ์ก็เกิดจากจิตนั่นเอง...”


    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    ที่มา วิธีแก้อารมณ์ของจิต คัดจากหนังสือ เทสรังสีบูชา ๒๙
    http://www.dharma-gateway.com/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _3_736.jpg
      _3_736.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.4 KB
      เปิดดู:
      150
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มีนาคม 2016
  2. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    ".. ใน ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเทศนาเป็น
    ปฐมเทศนา ทุกข์เป็นของควรกำหนด ไม่ใช่ของควรละ, ความ
    ทะเยอทะยานดิ้นรนและความอยากคือตัณหา นั่นเป็นสิ่งที่ควรละ


    อันนี้ก็เป็นเหตุส่องให้เราคิดค้นเหมือนกัน คิดค้นหาหลักความจริง ทุกข์
    นั้นมันเป็นของมีอยู่ จะทิ้งก็ไม่ได้ ถ้าพูดถึงเรื่องทางด้านปฏิบัติ วิปัสสนา
    ไม่ใช่ทิ้งทุกข์ แต่ยกทุกข์ขึ้นมาพิจารณา ไม่ใช่เป็นของว่างหรือของไม่มี
    ถ้าเป็นของว่างหรือของไม่มี ไม่เป็นวิปัสสนา ใครจะเอาของว่างของไม่มี
    มาพิจารณา ไม่เป็นวิปัสสนาเลย


    ต้องเอาของมีอยู่คือทุกข์ ปรารภทุกข์ ค้นคว้าถึงเรื่องทุกข์ ให้เห็นต้นตอ
    ของทุกข์ เหตุของการเกิดทุกข์ และเหตุที่จะดับทุกข์


    ผู้ปฏิบัติถ้าหากพิจารณาต้นตอของทุกข์แล้ว เห็นชัดตามเป็นจริง คือว่า
    ทุกข์อยู่ในขันธ์ ถ้าหากมีขันธ์อยู่ตราบใดทุกข์มันก็ติดอยู่ในขันธ์นั้น เมื่อเรา
    เห็นชัดว่าขันธ์เป็นก้อนทุกข์ ทำอย่างไรมันจึงทิ้งก้อนทุกข์นี้ได้ เราแยก
    ขันธ์ออกมาเป็นธาตุ อายตนะ อินทรีย์ แยกออกเป็นส่วนๆ ขันธ์เลยไม่มี


    เห็นแต่สภาวธรรมอันหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อุปาทานความถือขันธ์มันก็
    เลยหายไป ใจที่ถือว่าขันธ์เป็นตัวเป็นตนมันก็หายไป พร้อมกันนั้นความ
    สงบก็เกิดขึ้น ใจก็ไปอีกส่วนหนึ่งต่างหากนอกจากขันธ์



    คือว่า มันไปมองเห็นขันธ์ มันไม่ได้ไปอยู่ในขันธ์ แต่หากขันธ์เจือกันอยู่
    กับจิต จิตไปเห็นขันธ์ แต่ว่าจิตนั้นไม่ได้เข้าไปอยู่ในขันธ์ เห็นเป็นสภาว
    ธรรมเกิดขึ้นดับไป ในขณะที่จิตมันสงบลงไป ความทุกข์ที่เราถือว่าเป็น
    ทุกข์มาแต่เบื้องต้นมันก็หายไป


    เราพิจารณาทางวิปัสสนา มันต้องเป็นอย่างนั้น ต้องยกขันธ์ขึ้น คือยกกอง
    ทุกข์ขึ้น .."


    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    ที่มา"ทุกข์" หนังสือ เทสกานุสรณ์ หน้า ๓๓
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มีนาคม 2016
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ภาวนาไปอีก

    เดี๋ยวก้ยกแยกได้ เดี๋ยวก้เสื่อม

    ตามเหนความเจริญ. ความเสื่อม. จนตรวจจับได้ ถึง. เวทนาที่พอใจการเจริญ
    เกลียดการเสื่อม. ก้จะย้อนมา. พิจารณา. จิต. หรือ ใจ. นั่นแหละตัวทุกข์

    หากไม่กำหนดรุ้จิต. ไม่กำหนดรู้ทุกข์ อุปทานจะเอาสุข เกลียดทุกข์ก้ยังอยู่

    "ถ้ายกจิตเหนทุกข์ เหน จิตอวิชชา. ไม่ได้ อย่ามาพูดว่าเจริญปัญญา". หลวงตามหาบัว
     
  4. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    "..ตัวจิต และตัวใจแท้เป็นอย่างไร หาได้รู้ไม่


    จิต คือผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ต้องใช้อายตนะทั้งหกเป็นเครื่องมือ พอตา
    เห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นสัมผัสรส กายสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง
    ใจนึกคิดอารมณ์ต่างๆ ตามกิเลสของตนทั้งที่ดีและไม่ดี ดีก็ชอบใจ ไม่ดีก็ไม่
    ชอบใจ ล้วนแล้วแต่เป็น จิต คือตัวกิเลสทั้งนั้น นอกจากอาตยะหกนี้แล้ว จิต
    จะเอามาใช้ไม่ได้ ท่านแยกออกไปเป็น อินทรีย์หก ธาตุหก ผัสสะหก อะไร
    เยอะแยะ แต่ก็อยู่ในอาตนะหกนี้ทั้งนั้น นั่นเป็นอาการลักษณะของจิตที่ผู้ไม่รู้
    จักนิ่งเฉย


    ผู้หัดจิต คือ ผู้ทำสมาธิ จะต้องสำรวมจิต ที่มันดิ้นรนไปตามอาตนะทั้งหก ดัง
    ที่อธิบายมาแล้วนั้น ให้หยุดนิ่งอยู่ในคำบริกรรมพุทโธอย่างเดียว ไม่ให้ส่ง
    ส่ายไปมาหน้าหลัง หยุดนิ่งเฉยและรู้ตัวว่านิ่งเฉย นั่นแหละตัวใจ ใจแท้ไม่มี
    การใช้อายตนะใดๆทั้งหมด จึงเรียกว่าใจ


    ดังชาวบ้านเขาพูดกันว่า ใจๆ คือของกลางในสิ่งทั้งปวง.."



    สมาธิ โดยบริกรรมพุทโธ | หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    สงบแท้อยู่ที่ไหน


    ไปนั่งตรงนั้นมีเสียงเกิดขึ้นมาก็วุ่นวาย หนีจากตรงนั้นไปที่อื่นก็สงบดี แต่ถ้ามี
    เสียงอีกก็วุ่นวายอีกแล้วแน่ะ เพราะเรารู้จากความจำ ไม่รู้ตามความเป็นจริง
    ของมัน ถ้าตามความเป็นจริงมันแล้ว เราจะอยู่กับเสียง เสียงจะอยู่กับเรา
    ก็ไม่มีอะไรมันเป็นคนละอย่างกัน ยกตัวอย่าง วัตถุอันนี้ เราไปยกขึ้นมา มันหนัก
    ถ้าเราวางมันก็ไม่หนัก


    มันหนักเพราะอะไรล่ะ


    เพราะเราไปยกมันขึ้นมา ถ้าหากเราปล่อยมันไป ทำไมถึงเบา เพราะเราไม่ยก
    มัน เรื่องที่เราไปยกมัน เป็นแค่อุปาทานที่ว่าเสียงกวนเรานั้นเองมันก็วุ่นวาย


    ถ้าคิดอย่างนั้นสมมติว่าวัตถุนี้หนักหนึ่งกิโลกรัม ถ้าเราปล่อยมันไว้เฉยๆ มันก็
    หนักหนึ่งกิโล อันนี้ก็เช่นกัน เสียงถ้าเราปล่อยไว้เช่นนั้นมันก็ไม่กวนเรา
    เพราะเราไม่ไปยึดมัน


    ที่มา
    ความผิด ในความถูก - หลวงปู่ชา สุภัทโท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (4).jpg
      images (4).jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.8 KB
      เปิดดู:
      72
  6. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    จงแยกแยะดู

    พิจารณาด้วยดี รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มันมีเป็นแขนง
    ๆ ไป ออกไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกายนี้แหละ แล้วจึง
    มาสู่ใจ คือ “ธรรมารมณ์”โดยอาศัย รูป เสียง ฯลฯ ที่เคยสัมผัสมาแล้วนั้นมา
    เป็นอารมณ์ของใจ ให้นำมาครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นการสั่งสมกิเลส
    ประเภทหนึ่ง ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ


    มันแตกแขนงออกมา คือแตกออกมาจากใจ สติปัญญาหยั่งทราบอยู่ภายใน
    ใจและแก้ไขกันไปเรื่อย ๆ ไม่ลดละท้อถอย หนีไม่พ้นถ้าลงสติปัญญาจดจ่อ
    ตรงนั้น ไม่ทราบในวาระนี้ต้องทราบในวาระต่อไปจนได้ ไม่ทราบมากก็ต้อง
    ทราบน้อย ทราบไปโดยลำดับ ๆ ก็ค่อยทราบมากไปเอง ค่อยตัดขาดไปเอง
    ทราบตรงไหนแล้วก็ค่อยละไป ละกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งละได้ขาดจากกัน
    ไปจริง ๆ นี่การตัดกิเลสท่านตัดอย่างนี้ เช่นเดียวกับที่เราตัดรากฝอยของ
    ต้นไม้ ตัดไปตัดมาก็ไม่มีรากอะไรเหลืออยู่ สุดท้ายก็เหลือแต่รากแก้ว ก็ถอน
    ขึ้นมาหมดไม่มีเหลือ


    เราตัดและถอนต้นไม้ให้ตายด้วยวิธีนี้ เราจึงถอดถอนกิเลสด้วยวิธีเดียวกัน
    ด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร จนกิเลสตายเกลี้ยง เราก็แสนสบายบรม
    สุข


    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    ที่มา เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
    วัฏจักร - Luangta.Com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มีนาคม 2016
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    =================

    ทำไมถึงร้อนละโยม แล้วอายตนะของอาตมาหรือของพระอรหันต์ อายตนะของท่านไม่ร้อนหรอจ๊ะ

    ความดับไปของไฟที่ว่าร้อนคืออะไร ทำอย่างไรจึงดับลงได้ละโยม ทำอย่างไรอายตนะของโยมจะไม่ร้อนหรือเพราะอะไรปรุงแต่งให้มันร้อนละโยม

    ไปเจริญสติปัฏฐานสี่ให้มากๆนะโยม เอาให้รู้แจ้ง ใน กาย เวทนา จิต และธรรม ที่เกิดกระทบปรุงแต่งทั้งปวงนะโยม เจริญให้รู้แจ้งในธรรมดาธรรมชาติของอายตนะ ของกายใจ ของโยม เจริญให้เห็นอวิชา ตัณหาอุปาทานที่ปรุงแต่งใจโยม คือการเข้าไปเห็นเหตุปัจจัยให้ได้ เพราะเหตุปัจจัยเหล่านั้นปรุงแต่ง ความไม่เที่ยงเกิดเป็นธรรมดาปรากฏ เมื่อเห็นแจ้งในเหตุ เมื่อทำได้แล้วให้ดับเหตุเหล่านั้นเสีย ไฟทั้งหลายย่อมดับลง อายตนะของโยมก็ยังคงเป็นอายตนะธรรมดาทำหน้าที่ของมันไปเท่านั้นเอง มีแต่จิตโยมเท่านั้นที่หลุดพ้นจากไฟกิเลส ไฟกิเลสเหล่านั้นย่อมดับลง ไม่สืบเนื่อง อีกต่อไปครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2016
  8. Shinozuke

    Shinozuke Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +60
    มันปรุงแต่งก็ปล่อยให่้มันปรุงแต่งไป
    ไม่ว่ามันจะปรุงแต่งเป็นอะไร
    ถ้ารู้ว่ามันปรุงแต่ง เดี๋ยวมันก็วาง
    ไม่หยิบไม่จับเอามาเป็นสาระอะไร
     
  9. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    หนอนในกองขี้ก็ไม่ต่างจากคน หลงเพลินพอใจไปกับผัสสะ ไม่ว่าจะเปนกองขี้ที่หนอนกิน หรืออาหารชั้นเลิศราคาแพงของคน ล้วนเปนกับดักให้สัตว์พ้นออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ไม่ได้
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ================

    หนอนพอใจขี้เพราะอวิชา ฉันใด
    ย่อมไม่ต่างจากมนุษย์ ที่พอใจในกามราคะ เพราะอวิชาฉันนั้น
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    พระพุทธองค์ และ สาวก ของพระพุทธองค์ เว้นขาด จากการ พยากรณ์ ฉันใด

    หนอนในกองขี้ ก็ย่อมทำต่างออกไป ย่อมทำซึ่งการ พยากรณ์ ฉันนั้น
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    =======================

    อะไรคือการพยายกรณ์
    ช้างปาลิยะกะ ช้างนาฬาคิริ พระอชิตะ การตรวจกรรมของพระพุทธองค์ การตรวจกรรมของพระอรหันต์เถระขีนาสพ และอื่นๆอีกมากมาย

    แปลกจริงที่ ไม่มีปัญญาแยกแยะ ได้แต่พร่ำบ่นเรื่องของคนอื่นเพื่ออะไร
     
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ==========

    ผู้ขาดปัญญา ย่อมไม่ต่างจากหนอนในกองขี้
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    เชย ระเบิด ระเบ้อ

    พระพุทธองค์ เป็น ศาสดา เป็นผู้ กำหนดข้อศีล ...

    พระพุทธองค์ จึงอยู่ เหนือศีล

    ส่วน สาวก บางอย่างต้อง อธิษฐาน ถ้าไม่ อธิษฐานก็ลืม
    ( แต่ลืม ไม่ใช่เพราะ ผิดศีล หรือ มีกิเลส อ้างเลห์ )

    กรณีที่เป็น สำนวนพยากรณ์ หากภาวนาไม่เป็น ก็จะเห็นเป็น คำพยากรณ์

    แต่ถ้า ภาวนาเป็น จะทราบชัด ใครจะมี คุณธรรมใด ก็เกิดจาก ความเพียร
    ของคนนั้นจะปฏิบัติ รู้เองเห็นเอง เท่านั้น

    คำพยากรณ์ ก็เป็นเพียง การปฏิสันฐาน ไม่ได้มีผลอะไรต่อ มรรคผลของใคร
    [ พูดอีกแง่คือ เว้นขาดจากการพยากรณ์ 1000% ]


    หนอนในกองขี้ ก็โน้น ไปอ้าง พระพุทธเจ้า กล่าวตู่ว่า พระพุทธเจ้าทำการพยากรณ์

    เพื่อสงวนให้ตน อุปทานว่า เป็นผู้บันดาล !!!! สันติ !!!

    แต่ กรณีพวก กระจอก ลูกกระจ๊อก

    เพื่อสงวนให้ตนเป็นผู้ถือโองการ อุปทานว่า รู้จักกับผู้บันดาล !!!! สันติ !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2016
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ไม่มีใครอยู่เหนือศีลเหนือธรรม สรรพสัตว์อยู่ภายใต้กฏธรรมชาติ ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ
    อริยะมรรค หมายรวมถึงความเจริญในธรรม อันเป็นไปตามครรลองแห่งธรรม ไม่ได้ทวนกระแส แต่ยกจิตพ้นจากกระแสแห่งกรรม

    หลายท่านพอเจอผมทีไร ก็แปลกชอบแหย่ชอบกวนผมให้เจ็บตัวเจ็บใจ ตนเอง เจ็บแบบนี้ซ้ำๆหลายครั้งก็ยังไม่เลิกทำสักที ก็ไม่รู้ว่าจะสอนยังไงให้เจ็บแล้วจำหรือเลิกเจ็บให้เป็นเสียที ครับ สาธุ
     
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ========

    จากอาจารย์กลายเป็นคนล้างชาม คือชำระเป็นแค่ชามที่สกปรก แต่ไม่รู้จักชำระจิตใจของตนให้ขาวสะอาดได้จริง จึงแสดงตนด้วยวาจาที่ก้าวร้าว ผิดมนุษย์มนา กิเลสมาร ปรากฏชัดด้วยทิฏฐิ

    ถอนเขาเขี้ยวเล็บออกเสีย แท้จริงไม่มีอะไรในความเป็นเขาเป็นเราทั้งนั้น มีแค่เพียง ความว่างเปล่า ทั้งเราและเขา ใยมายึดมั่นในความเป็นตัวฉันจังเลย เมื่อไหร่จะตาสว่าง เมื่อไหร่ดวงตาแห่งธรรมจะฉายแสงให้หลุดพ้นจากตัวฉันเสียที่ ครับ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    การเข้าไปเห็นความจริงคือพระสัทธรรม ย่อมไม่อาจเข้าไปเห็นด้วยตา

    แต่พระสัทธรรม ความจริงทั้งปวงทั้งโลกียะสภาวะและโลกุตระสภาวะ จะเข้าไปเห็นแจ้งได้ ก็อาศัยเครื่องมือคือปัญญาเท่านั้น

    สาธุ
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    อายนั่นก็ว่างเปล่า อายหนี้ก็ว่างเปล่า

    แล้ว อ่านคำพูดของผมคำไหนฮับ จึงเห็นเป็น คำเก้าเร้าสามตัวตรง ซะงั้น
     
  19. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    ภาวนา
    ธรรมโอวาทหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต



    ...คำว่า "ภาวนา" แปลว่า ทำให้เกิด ให้มี ให้เป็น คือ ทำกายวาจาใจให้เป็น สมาธิ ปัญญา
    หรือทำขันธสันดานของตนที่เป็นปุถุชน ให้เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
    นับว่ากระทำให้เป็นไปในพระธรรมวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันต์ทีเดียว
    ที่มาแห่งภาวนามี 4 ประการ คือ


    1.ปหานปธาน เพียรสละบาปอกุศล ให้ขาดจากสันดาน


    2.สังวรปธาน เพียรสำรวมระวังรักษา ไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน


    3.ภาวนาปธาน เพียรภาวนา ให้บุญกุศลเกิดขึ้นในสันดาน


    4.อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาบุญกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ให้เสื่อมสูญอันตรธาน


    การ "ภาวนาปธาน" นั้นจำเป็นต้องบำเพ็ญ ภาวนาปธาน ทุกคนตลอดไป
    จึงเป็นไปเพื่อพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสาร สำเร็จมรรคผลธรรมวิเศษ
    บรรลุจตุปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในห้องพระไตรปิฏก
    ถ้าไม่ได้บำเพ็ญ ภาวนาปธาน นี้แล้ว ก็ไม่สำเร็จพระนิพพานเลยเป็นอันขาด
    การภาวนาปธานนี้ เป็นยอดแห่งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งปวง
    ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _62_877.jpg
      _62_877.jpg
      ขนาดไฟล์:
      156.9 KB
      เปิดดู:
      136
  20. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    "..ถ้าเรากระทบทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    มันไม่ยินดียินร้าย นั่นแหละ
    คือเราไม่เป็นทาสอารมณ์
    นั่นแหละ คือเราไม่หลงอารมณ์..."



    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    ที่มา ทางให้เกิดปัญญา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...