อารมณ์พระสกิทาคามี

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 17 มกราคม 2008.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    (||) (||) (||) (||) (||) (||) (||) (||) (||)

    <CENTER><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width="100%" bgColor=#ffa600 border=3><TBODY><TR><TD borderColor=black width="90%" background=../bgthai1.gif>
    <CENTER><TABLE borderColor=#0000ff cellSpacing=2 cellPadding=2 width="90%" border=1><TBODY><TR><TD align=middle>อารมณ์พระสกิทาคามี</TD></TR><TR><TD align=left> อารมณ์พระสกิทาคามี
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็จะขอนำเอาปฏิปทาในอนุสสติ 5 ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปฏิปทาของพระสกิทาคามี มาแนะนำแก่บรรดาท่านทั้งหลาย เพราะว่าการปฏิบัติในด้านอนุสสติ 5 ประการนี้ ก็รู้สึกว่าจะเป็นปฏิปทาที่ได้กำไรมาก หรือ ว่าจิตเริ่มต้น ก็เริ่มต้นด้วยปฏิปทาของพระโสดาบัน
    แต่ว่าท่านทั้งหลายถ้าประสงค์จะรู้รายละเอียดในอารมณ์ของจิต ก็จงพากันศึกษาในด้านของอานาปานุสสติกรรมฐานประกอบ ถ้าเราจะพูดกันให้ละเอียดจนครบทุกจุด มันก็จะเป็นการเปลืองทรัพย์สินของบรรดาท่านทั้งหลาย ฉะนั้นหากว่าท่านอยากรู้อารมณ์ละเอียด ก็หันเข้าไปดูอานาปานุสสติกรรมฐาน
    สำหรับจุดนี้ก็จะพูดโดยเฉพาะอนุสสติ 5 ประการ ได้ผ่านปฏิปทาของพระโสดาบัน หรือ อารมณ์ของพระโสดาบันมาแล้ว สำหรับพระสกิทาคามีก็คงมีอารมณ์อยู่ในสังโยชน์ 3 ประการ เช่นเดียวกับพระโสดาบัน แต่ทว่าพระโสดาบันที่ผ่านมานี่ องค์สมเด็จพระชินศรีกล่าวว่ามีอารมณ์ถึง 3 ชั้น นั้นก็คือ พระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุงเป็นชั้นที่ 1 และพระโสดาบันขั้นโกลังโกละเป็นชั้นที่ 2 พระโสดาบันเอกพิชีเป็นชั้นที่ 3
    สำหรับพระโสดาบันขั้นเอกพิชีนี่ มีปฏิปทาคล้ายคลึงกับพระสกิทาคามี ฉะนั้นก่อนที่จะพูดถึงปฏิปทาถึงอารมณ์ของพระสกิทาคามี ซึ่งความจริงแล้วละสังโยชน์ได้ 3 เหมือนพระโสดาบัน แต่ทว่าอารมณ์ต่างกันอยู่นิดหน่อย ก่อนที่จะพูดเรื่องนั้นก็จะขอพูดระดับชั้นของจิตของพระโสดาบันเสียก่อน เพื่อความสะดวกแก่การจดจำ หรือ เพื่อความสะดวกแก่การกำหนดรู้ในจิตของท่าน สำหรับพระโสดาบันชั้น สัตตักขัตตุง ตอนนี้ท่านกล่าวว่ายังมีอารมณ์หยาบมาก ก็เหมือนกับเด็กที่จะสอนเดิน เหมือนกับคนเราที่เกิดมาแล้ว มีวัย 3 วัย คือ
    1. ปฐมวัย คือ วัยระหว่างเด็กระหว่างหนุ่ม ตั้งแต่เด็กถึงหนุ่ม
    2. มัชฌิมวัย คือ วัยกลางคน
    3. ปัจฉิมวัย คือ วัยแก่
    สำหรับพระโสดาบันก็เหมือนกัน ก็ต้องมีพระโสดาบันเด็กหรือหนุ่ม พระโสดาบันวัยกลางคน พระโสดาบันวัยแก่ แต่ไม่ใช่หมายถึงคนแก่ คือ อารมณ์จิตแก่
    สำหรับพระโสดาบันวัยหนุ่มก็ได้แก่สัตตักขัตตุง พระโสดาบันสัตตักขัตตุงนี้ จิตก้าวจากโลกียชนเข้ามาเป็นโลกุตตรชนใหม่ ๆ คำว่าโลกีย์นี่ก็หมายความว่า คนที่มีอารมณ์พ้นโลก จำให้ดีนะครับ
    คำว่า เป็นผู้มีอารมณ์พ้นโลก คือ อำนาจของปุถุชนที่มีอารมณ์เต็มไปด้วยอกุศลพ้นไปเสียแล้ว คำว่าโลกไม่สามารถจะดึงท่านผู้นี้ให้กลับไปใหม่ เหลือแต่อารมณ์ที่ทรงธรรม ตั้งแต่ธรรมชั้นหยาบจะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นผู้มีธรรมละเอียด จนกระทั่งถึงที่สุด กล่าวคือ เป็นพระอรหันต์ เรื่องการถอยหลังลงไม่มีสำหรับพระโสดาบัน เพราะคำว่า พระโสดาบัน ท่านแปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน เป็นผู้ที่มีความหวังได้จริง ๆ ว่าจะถึงพระนิพพาน
    ตอนนี้ก็มาพูดถึงพระโสดาบันเด็กกันเสียก่อน พระโสดาบันเด็กถึงพระโสดาบันหนุ่มสาว ที่เรียกกันว่า สัตตักขัตตุง อันดับนี้ถ้าทรงเป็นพระโสดาบันอย่างนี้ จะต้องเกิดเป็นคนกับเทวดาอีกอย่างละ 7 ชาติ และชาติที่ 7 จะได้เป็นอรหันต์ สำหรับ โกลังโกละ จะเกิดเป็นคนกับเทวดาสลับกันไปสลับกันมา 3 ชาติ ชาติที่ 3 ของมนุษย์ครบถ้วนเป็นพระอรหันต์ สำหรับ เอกพิชี จะเกิดเป็นเทวดา อีกครั้งเดียวแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นพระอรหันต์ เหมือนกับพระสกิทาคามี นี่จะเห็นว่าระดับของพระโสดาบันมีระดับไม่เสมอกัน
    ฉะนั้น ขอพูดถึงระดับพระโสดาบันขั้นต้น ที่เรียกกันว่า สัตตักขัตตุง ตอนนี้จิตของท่านยังเป็นพระโสดาบันใหม่ อารมณ์เนื่องด้วยโลกียะยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ หรือว่า กำลังหนักคือ กลิ่นคาวจากโลกียะยังติดอยู่มาก ยังมีอารมณ์หนักหน่วงอยู่ในความโลภ ยังมีอารมณ์หนักหน่วงอยู่ในความโกรธและก็ยังมีอารมณ์หนักหน่วงอยู่ในความหลง
    คำว่า หนักหน่วงในที่นี้หมายความว่า อารมณ์รักในความสวยสดงดงาม เช่น รักรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัส ยังมีอยู่ในใจมาก ยังมีความต้องการในทรัพย์สินมาก ยังหนักอยู่ในอำนาจของความโกรธ ยังมีความหลงคือ ยังมีความพัวพันอยู่ในเหตุทั้ง 3 ประการ ตามที่กล่าวมาแล้ว รวมความว่าสมาธิจิตดีตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป แต่กำลังละสักกายทิฏฐิเบาเกินไป
    ตามที่ท่านกล่าวว่า พระโสดาบันมีอธิศีลคือ ศีลยิ่งแต่ว่าสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย และอย่าลืมว่ามีความรักในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็จริงแหล่ แต่ทว่าไม่ยุ่งกับ กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ละเมิดศีล จิตใจยังหนักหน่วงอยู่ในความโลภ คือ อยากจะรวยแต่ไม่คดโกงใคร แต่ยังติดรวยอยู่มาก จิตใจยังหนักหน่วงอยู่ในความโกรธ คือ อารมณ์โกรธยังเต็มตัว แต่ไม่ทำอันตรายใคร เพราะเกรงว่าศีลจะบกพร่อง
    อารมณ์ยังติดอยู่ในความหลง คือ ดึงในทรัพย์สิน ดึงในร่างกาย ยังไม่คลายการดึง ยังคิดว่านั่นเป็นเรานี่เป็นเรา แต่ทว่าไม่ลืมความตาย ตอนนี้เราจะแยกใจออกมาได้ยากเพราะจิตยังหยาบอยู่มาก แต่ทว่ามีขอบเขตจำกัดดีกว่าปุถุชน ที่ทำตนให้อยู่ในขอบเขตของศีล ถึงจะรักก็ไม่ละเมิดศีล จะหลงในทรัพย์สินทั้งหลายก็ตามก็จริงแหล่
    แต่ทว่าไม่ลืมความตาย ไม่มีความประมาทในชีวิต อารมณ์จิตของพระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุงเป็นอย่างนี้ จึงต้องอบรมใจอีกถึง 7 ชั้น เป็นมนุษย์อีก 7 คราว ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม พักร้อน พ้นจากกิจนั้นแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้จนกว่าจะครบ 7 หน ในคราวเป็นมนุษย์จึงจะได้อรหัตผล
    สำหรับพระโสดาบันขั้น โกลังโกละ ขั้นโกลังโกละนี้ มีจิตเบา เบาเพราะว่าอำนาจสักกายทิฏฐิ ที่ใช้ปัญญาเข้าไปพิจารณาร่างกาย ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว ธรรมส่วนหนึ่งมันก็เกิด ว่าร่างกายของคนเรานี่เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก นี่ปัญญาเริ่มเพิ่มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เพราะไม่เป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นอัน เต็มไปด้วยความสกปรก แต่ทว่าอาศัยกำลังฌานที่เข้าไม่ถึงฌาน 4 อารมณ์ตอนนี้จึงยังไม่ปักนัก ก็ชักจะเริ่มมีความรังเกียจในร่างกายว่า ร่างกายนี้มีสภาพไม่ทรงตัวแน่ เกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย บางทีก็ตายแต่ความเป็นเด็กก็มี
    ฉะนั้น ถ้าหากว่าจิตใจของเราที่จะเข้าไปผูกพันร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี หรือ ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่าอื่นก็ดี จะมุ่งคิดประทุษร้ายบุคคลอื่นใดก็ดี มันก็ไร้ประโยชน์ มันไม่มีอะไรเป็นคุณ มันก็มีแต่โทษ เพราะกายเราก็ตาย กายเขาก็ตาย เมื่อกายเราเป็นทุกข์ กายเขาเป็นทุกข์ เราต้องการให้เขาทุกข์ มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ไปทำให้เขาทุกข์ มันก็ซ้ำทุกข์เดิมของเขา เนื้อแท้จริงๆ เขาก็ทุกข์อยู่แล้ว ก็เป็นอันว่าจิตดวงนี้มันสลับกันไป เพราะกำลังฌานยังไม่มั่นคง
    ผมมีความเข้าใจว่าท่านพระโสดาบันที่เข้าถึงโกลังโกละอารมณ์จิตของท่านผู้นี้ จะต้องมีกำลังสูงกว่าปฐมฌาน ธรรมปิติจะเกิดขึ้นกับท่านมาก เพราะความวุ่นวายน้อยลง ก็เพราะมีความเมตตากรุณาทั้ง 2 ประการสูงขึ้น จิตมีความเอิบอิ่มด้วยธรรมปีติ ตอนนี้อย่างเลวที่สุด จิตของท่านโกลังโกละก็ต้องตั้งอยู่ถึงขั้นทุติยฌาน ฌานที่ 2 หรือว่า ฌานที่ 3 ฉะนั้นจึงสมารถมีกำลังกดความรักในเพศ กดความโลภ กดความโกรธ กดความหลง ให้เบาบางลง จิตตั้งตรงมีอารมณ์ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา แต่ทว่าอารมณ์เผลอก็ยังมีอยู่นิดหนึ่ง บางครั้งมันก็เข้าไปเกาะติดในสภาพรูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัส แต่ทว่าอารมณ์ศีลมั่นคงยิ่งขึ้น จึงไม่ละเมิดศีล สำหรับโลภะ ความโลภ ความอยากรวยยังอยากมีเงินใช้ แต่ทว่าใจจะลำพองตะเกียกตะกายเกินพอดีไม่มี เห็นว่าการประกอบอาชีพเพียงเท่านี้ เป็นที่เพียงพอของเรา
    การจะโกรธชาวบ้านชาวเมือง คิดประหัตประหารนั้นไม่มี ก็ยังมีความโกรธอยู่ แต่คิดว่านี่ไม่น่าจะทำให้เราไม่ชอบใจ แต่ทว่าอาศัยที่เขาเป็นคนจัญไร เป็นคนเลว เราก็ไม่น่าจะโกรธตอบ แต่ก็กว่าจะมีความรู้สึกได้ก็ต้องใช้กำลังใจนิดหน่อย เมื่อใจมีเหตุมีผลมากขึ้น
    สำหรับด้านความหลงคิดว่า ร่างกายจะทรงตัว มีความรู้สึกน้อยไปด้วยอำนาจปัญญาดี อย่างนี้ท่านเรียกว่า โกลังโกละ
    สำหรับท่าน เอกพิชี ตอนนี้ท่านทั้งหลายกำลังใจขั้นเอกพิชีนี่ ตามความรู้สึกของผม คิดว่า ท่านผู้นั้นต้องมีกำลังใจทรงฌาน 4 เพราะว่าอะไร เพราะวาสนาบารมีอารมณ์จิตละเอียดมาก ถึงกับว่าถ้าตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นพรหมหรือเทวดา หมดบุญวาสนาบารมีมาเกิดเป็นคนอีกครั้งเดียวก้เป็นอรหัตผลเหมือนกับพระสกิทาคามี ตอนนี้ท่านเรียกกันว่าพระโสดาบันละเอียด
    ฟังให้ดีนะ สำหรับนักปฏิบัติ ถ้าจิตของท่านเข้าถึงอุปจารสมาธิ อันมีอารมณ์เป็นทิพย์
    ถ้าจะได้ยินเสียงของพระหรือ เทวดาหรือพรหม ที่เป็นพระอริยเจ้าตรัสว่า ท่านเวลานี้ท่านทรงอารมณ์เป็นพระโสดาบันละเอียดแล้ว ก็จงทราบว่าขณะนั้นท่านเป็นเอกพิชี อารมณ์ของเอกพิชีนี่ ที่ผมคิดว่า ท่านผู้นี้มีอารมณ์จิตของท่านเป็นผู้เข้าถึงฌาน 4 และก็ทรงฌาน 4 ได้ดีตามสมควร ก็เพราะว่าอารมณ์ของพระโสดาบันเข้าถึงขั้นเอกพิชีนี่ มีความรู้สึกพิเศษอยู่อย่างหนึ่งเอาเก็บไว้เป็นที่สังเกตว่า
    ความรู้สึกของพระโสดาบันขั้นเอกพิชี ยังเห็นคนสวย แล้วก็ยังเห็นความดีของทรัพย์สิน ยังรู้สึกมีความไม่พอใจ แต่ทว่ากำลังใจของท่าน ไอ้อารมณ์อย่างนี้มันน้อย ความรู้สึกอย่างหนึ่งมันเกิดขึ้นกับจิต ซึ่งซ้อนขึ้นมากับอุปสมานุสสติกรรมฐานนั่นก็คือคำว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...