เกาะสีชังพระจุฑาธุชราชฐาน

ในห้อง 'วัดและศาสนสถาน' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 16 มีนาคม 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    <CENTER>เกาะสีชังพระจุฑาธุชราชฐาน</CENTER><CENTER>
    [​IMG]</CENTER>

    -----------------------------------------
    ถิ่นสุขกายสุขด้วย ถิ่นดี
    จิตโปร่งปราศจากราคี ชุ่มชื้น
    สองสุขแห่งชาวสี ชังเกาะ นี้แฮ
    อายุย่อมยืนพื้น แต่ร้อนเรือนริม ​


    <CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>บทพระราชนิพนธ์โคลงชมเกาะสีชัง ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ เกาะสีชังหรือ อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี นั้นเป็นท้องที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นสถานที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินถึง 3 พระองค์ คือ รัชกาลที่4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ซึ่งมีหลักฐานปรากฏจากพระนามาภิไธยหลายแห่ง


    อำเภอเกาะสีชังเดิมขึ้นอยู่กับเขตการปกครองของ อ.เมือง ฯ จังหวัดสมุทรปราการจนถึงปี พ.ศ. 2486 จึงโอนมาขึ้นกับอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และได้ยกฐานะเป็นอำเภอ เมื่อ 3 กรกฎาคม 2537 อำเภอนี้ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่จำนวน 8 เกาะ มีเนื้อที่ประมาณ 18 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นโขดหิน มีที่ราบเพียงเล็กน้อย มีประชากรประมาณ 5,000 คนเศษ ราษฎรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและมีนับถือศาสนาอิสลามบ้างเล็กน้อย อาชีพหลักคือการประมง

    เกาะสีชังยังมีสภาพเป็นท่าเรือสำคัญอยู่ เพราะมองเห็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่จอดอยู่มากมาย เพื่อรอการขนถ่ายสินค้าเข้ากรุงเทพ ฯ ทั้ง ๆ ที่เดี๋ยวนี้มีท่าเรือแหลมฉบังแล้วก็ตาม และยังมีเรือโป๊ะไม่มีเครื่องยนต์ของตัวเอง ต้องใช้เรือยนต์ลากจูง จอดอยู่เป็นกลุ่ม ๆ เขาบอกว่าส่วนมากจะขนเอาปูนซีเมนต์มาลงเรือ ขนแร่กลับไปหรือสินค้าอื่นๆ มองดูแล้วยังกับท่าเรือในต่างประเทศที่มีเรือเข้ามาจอดมากๆ และต้องไปดูบนเขาด้วยจึงจะมองลงมาเห็นสวยดี
    การไปเกาะสีชังของผมคราวนี้ ห่างจากครั้งก่อนคงจะประมาณ 22 ปี ภาพที่เห็นจึงแตกต่างกันมาก สีชังมีถนนคอนกรีตหลายสาย แต่ยังไม่มีถนนรอบเกาะ คงจะได้สักค่อนเกาะ จุดเด่นที่สำคัญยิ่งและที่อยากไปชมก็คือ "พระจุฑาธุชราชฐาน" ซึ่งเมื่อไปคราวก่อนยังไม่ได้บูรณะเลย ปล่อยรกร้าง หญ้าท่วมหัว คราวนี้ได้บูรณะองค์พระที่นั่งและพระตำหนักไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังไม่ได้บูรณะหญ้าทั้งหลายยังสูงท่วมหัวอยู่ ปิดบังความงามของธรรมชาติจนหมดสิ้น โดยเฉพาะวิวของท้องทะเลสีคราม
    การไปเกาะสีชังนั้นจะไปเช้าเย็นกลับก็ได้ สดวกสบายดี แต่หากอยากได้บรรยากาศแบบผมก็ไปนอนเสียคืนหนึ่ง ไปเรือเที่ยวสาย ๆ ไปถึงก็เที่ยวได้เลย สถานที่น่าเที่ยวชมมีดังนี้

    ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เมื่อขึ้นจากท่าเรือไปแล้ว ก็จะผ่านไปทางชุมชนไปตามถนนสายแคบ ๆ ซึ่งใกล้ ๆ ท่าเรือมีพวกร้านอาหารทะเล เหมาะซื้อติดไม้ติดมือมาตอนขากลับ ส่วนจะไปทางไหน คงให้สารถีสะกายแล๊บเขานำไป แต่ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่นั้นอยู่บนเขา อยู่ที่หน้าผาสูงเด่น มองเห็นได้ไกล ตั้งแต่อยู่ในทะเล สร้างเป็นศาลาใหญ่โตมโหฬารเลยทีเดียว เมื่อไปถึงเชิงบันไดแล้ว ต้องเดินขึ้นบันไดไปไม่ทันเหนื่อย ก็ถึงชั้นศาลที่ประทับเจ้าพ่อแล้ว แต่หากจะขึ้นไปยังรอยพระพุทธบาทก็มีทางขึ้นต่อไปอีก แต่ผมไม่ได้ขึ้นไปและตรงเชิงบันไดเวลาจะขึ้นไปร้านอยู่ทางซ้ายมือ มีขนมทองม้วนทำกันสด ๆ ร้อน ๆ หอมน่ากิน รสอร่อยราคาถูกดูเหมือนถุงละ 10 บาท มี 5 อัน หรือถุงละ 5 บาทก็ชักไม่แน่ใจและยังมีขนมอื่นๆ อีกโดยเฉพาะข้าวเหนียวแดงเยี่ยมมากทีเดียว ไม่กลัวฟันหลุดต้องทดลองชิมทั้งข้าวเหนียวแดงและข้าวเหนียวแก้ว
    เมื่อขึ้นไปบนศาลาแล้ว ห้องโถงแรกซ้ายมือ หรือน่าจะเรียกว่าหลืบถ้ำมากกว่าเป็นพระสังกระจาย แล้วยังมีห้องเจ้าแม่กวนอิม เจ้าพ่อขุมทรัพย์ แป๊ะกง เจ้าพ่อเห้งเจีย ส่วนคูหาถ้ำของเจ้าพ่อเขาใหญ่นั้นอยู่ตอนในเรียกว่าเกือบไม่ได้ไหว้ นึกว่าองค์แรกๆ คือเจ้าพ่อเขาใหญ่ ประวัติมีว่าในอดีตกาลเรือสำเภาที่มาจอดถ่ายสินค้ากันที่เกาะสีชัง สมัยที่สีชังยังไม่มีผู้คนอาศัย สังเกตุว่าตอนค่ำมืดจะมีแสงจากบริเวณศาลในปัจจุบันส่องสว่างสุกใส จึงได้พากันมาสำรวจและพบถ้ำซึ่งปรากฏรูปหินของเจ้าพ่อเขาใหญ่ในลักษณะประทับนั่ง จึงเกิดความศรัทธา พากันกราบไหว้บูชาขอให้การค้ารุ่งเรืองก็ประสพความสำเร็จ จึงเป็นที่เคารพสักการะของบุคคลทั่วไปทั้งไทยและเทศ
    ติดกับทางขึ้นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ คือวัดที่สำคัญวัดหนึ่งใน 2 วัดของเกาะสีชัง วัดนี้คือวัดจุฑาทิศธรรมสภาราม เป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ.2435 ภายในวัดได้รับการปฏิสังขรณ์ไว้อย่างดี อุโบสถ หอระฆัง พระพุทธบาทจำลอง และพระประธานปางมารวิชัย ซึ่งมีพุทธลักษณะที่งดงามมาก
    และที่วัดจุฑาทิศ ฯ นี้มีสิ่งสำคัญยิ่งที่มีอายุยืนยาวกว่าร้อยปี คือ
    1. ธรรมมาส มีตรา จปร.
    2. ตู้พระไตรปิฎก
    รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานเนื่องในโอกาสสมโภชศิริราชสมบัติรัชฎาภิเศกรศ. 112 ตู้พระไตรปิฎกนั้นมีถึง 39 เล่ม และวัดยังมีหนังสือคัมภีร์วิภังค์พ.ศ. 2500 อีกจำนวนมากอีกด้วย ในคำนำของพระไตรปิฎกนั้นกล่าวว่า "พระราชอุทิศส่วนพระราชกุศลได้ทรงสร้างพระปริยัติธรรมครั้งนี้แก่มหาชนนิกรทั่วไป"
    แต่ทางวัดยังไม่มีที่เก็บที่เหมาะสม จึงนำไปเก็บไว้ที่ห้องอยู่ใต้หอระฆัง ไม่ได้เปิดให้เข้าชมกันได้ทั่วไป วันที่ผมไปผมได้ขอกับรักษาการเจ้าอาวาสพระสวัสดิ์ อุตตมงโส ขอชมท่านก็จัดการให้ (เจ้าอาวาสมรณภาพนานแล้วยังไม่มีการแต่งตั้ง วัดร้างเจ้าอาวาสไม่มี) ซึ่งห้องนี้ก็เหมือนห้องเก็บของ ไม่ได้ปรับอุณหภูมิหรือรักษากันเป็นพิเศษอย่างไร น่าที่กรมศิลปากรจะได้เข้าไปช่วยเหลือ ด้วยการสร้างห้องเก็บรักษาให้ และให้คนไปเที่ยวได้ชมได้ แต่อย่าไปยึดของวัดมาก็แล้วกัน แล้วยังมีธรรมมาสกับพระบรมฉายาลักษณ์เก่าแก่คู่กับวัดอยู่ในพระอุโบสถอีกด้วย เช่นเดียวกัน ธรรมมาสนั้นมีตรา จปร.ที่พนักพิง
    ศิลาจารึก รัชกาลที่ 5 เป็นแผ่นหินใหญ่ตั้งอยู่ในโรงเรียนเกาะสีชัง จารึกประวัติที่มา
    สำนักสงฆ์ถ้ำจักรพงษ์ ซึ่งสำนักสงฆ์แห่งนี้ขึ้นกับวัดจุฑาทิศ มีพระเหลืองประทับนั่งเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพุทธพากันมากราบไหว้
    เก๋งจีนประกอบพิธีต่าง ๆ ซึ่งรัชกาลที่ 5 พระราชทานไว้
    ช่องเขาขาด ยอดเขาสำหรับชมวิวที่งดงามมาก ซึ่งเขาแห่งนี้รัชกาลที่ 5 จะเสด็จมาประทับชมความงดงามของท้องทะเล ที่มีลักษณะเป็นอ่าว เมื่อไปถึงแล้วก็เดินขึ้นไปยัง พลับพลาที่ประทับซึ่งเดี๋ยวนี้เขาสร้างหลังคาคลุมแท่นประทับไว้ แต่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ทางเทศบาลไม่รู้ซึ้งถึงความงดงามตามธรรมชาติ ไปจัดการสร้างสะพานเชื่อมช่องเขาขาดแห่งนี้ เพื่อให้คนเดินไปชมวิวได้สดวก แต่ไม่มองกลับทางว่า หากมองมาจากทะเลความงดงามในอ่าวนี้จะหมดไปทันที รวมทั้งเมื่อมองยังพลับพลาที่ประทับก็จะมองเห็นเป็นเหมือนสะพานทอดข้ามอยู่ เหมือนกำแพงก็เหมือนวันที่ผมไปยังสร้างไม่เสร็จ เสร็จเมื่อไรความอัปลักษณ์คงจะโชว์ออกมามากกว่านี้ ถามชาวบ้านดูบอกว่าเป็นการสร้างของฝ่ายเทศบาล ไม่ใช่อำเภอสร้าง น่าเสียดายอย่างยิ่งไม่ทราบว่าตอนจะสร้างได้มีการขออนุญาต หรือ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ไปช่วยตรวจ ช่วยดูกันบ้างหรือเปล่า สถานที่ตรงนี้จะเหมือนอ่าวที่สวยที่สุดในนิวซีแลนด์ที่เขาไปดูนกกัน เรียกว่าไปดูตรงนี้ไม่ต้องไปดูนิวซีแลนด์ยังไหว
    ทีนี้มาถึงจุดสำคัญที่ผมยังไม่ได้เล่าความเป็นมาเลยคือ พระจุฑาธุราชฐานอายุถึง พ.ศ. 2544 นี้ก็มีอายุ 109 ปี ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเสด็จมายังเกาะสีชังเป็นประจำโดยเรือกลไฟ ชื่อพระที่นั่งสยามอรสุมพลและประทับแรมบนเรือพระที่นั่งโดยมิได้สร้างพลับพลาที่ประทับ แต่ในเวลานั้นก็มีเรือนไม้พักผ่อนริมทะเล ปลูกสร้างอยู่แล้วหลังหนึ่งคือ "เรือนเขียว" ปัจจุบันยังอยู่และมีสภาพที่เรียบร้อยสมบูรณ์
    มาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ก็โปรดเสด็จมาประทับที่เกาะสีชัง และเวลาเสด็จประพาสหัวเมืองชายทะเลตะวันออก ก็ถือเอาเกาะสีชังนี้ เป็นระยะที่พักทอดเรือพระที่นั่งและเป็นที่ตากอากาศ ตลอดจนอยู่ไม่ไกลจากพระนคร และยังมีเจ้านายหลายพระองค์ เสด็จมาทรงรักษาอาการประชวรอยู่เสมอ
    ในปี พ.ศ. 2431 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (รัชกาลที่6) ทรงพระประชวร ทางแพทย์หลวงได้ถวายการเสนอแนะให้ไปรักษาพระองค์ที่เกาะสีชัง ซึ่งเวลานั้นคงไม่มีพลับพลาที่ประทับ คงมีแต่เรือนเขียว และในปีเดียวกันนั้นสมเด็จพระบรมราชินีก็่ทรงพระประชวร แพทย์ก็ให้แปรพระราชฐานมาประทับที่เกาะสีชังอีกและเสด็จมาอย่างกระทันหัน ต้องประทับที่กระโจมพักใต้ต้นมะขาม
    ในปี พ.ศ. 2434 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางเดชาวุธ ทรงพระประชวรหนักได้เสด็จมาประทับที่เกาะสีชัง ครั้งนี้รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จมาด้วยจึงทรงมีพระราชดำริว่า
    " ที่เกาะสีชังมีอากาศดีมีภูมิสถานเป็นที่สบาย ควรตั้งพระราชฐานให้มั่นคง เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน เพราะมีความสำคัญด้วยเป็นพระนครที่ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมาประทับ และเป็นเมืองท่าใหญ่แห่งหนึ่งของกรุงสยาม"
    ในปี พ.ศ. 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้น ณ ตำบลเทววงษ์ อยู่ตรงกลางของเกาะสีชัง มีพระที่นั่ง4 องค์ พระตำหนัก 14 องค์ ศาลา 1 หลัง ประตูพระราชฐานชั้นใน 3 ประตู ทางในพระราชฐาน 26 ทาง บันได 21 บันได น้ำตก 5 แห่ง สระน้ำ3 สระ น้ำพุ 4 แห่ง ธารน้ำ 2 ธาร ถ้ำ 3 ถ้ำ และบ่อน้ำ13 บ่อ เพราะเกาะสีชังขาดแคลนน้ำจืดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพราะยังไม่มีการเดินท่อน้ำประปามายังเกาะ ไม่มีการเดินสายไฟมายังเกาะแบบเกาะช้าง ชาวบ้านต้องขุดบ่อทำที่เก็บน้ำกันใต้ถุนบ้านพักของตน หากฤดูแล้งกักเก็บน้ำไม่พอ จะต้องซื้อจากเรือที่ขนน้ำเอาไปขาย ยิ่งโรงแรมยิ่งต้องสร้างที่เก็บน้ำให้ใหญ่มากและต้องซื้อน้ำเพิ่มเติม ไฟน้ำโรงแรมต้องดำเนินการเอง ทำให้ค่าโรงแรมแพงตามไปด้วย ส่วนน้ำบาดาลในปัจจุบันนี้ขุดแล้วไม่ประสบความสำเร็จน้ำกร่อย อ่างเก็บน้ำสร้างแล้วพึ่งเก็บน้ำได้ในปี พ.ศ. 2542 ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างให้เก็บน้ำได้มากพอทำน้ำประปาได้ แต่บ่อและสระน้ำที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นนั้นมีน้ำเพียงพอใช้ในพระราชฐาน
    รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกาะสีชังมาก จึงมีพระราชประสงค์ให้เป็นสถานที่ประสูติของพระราชกุมารในพระองค์และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานนามพระราชฐานให้ต้องด้วยพระนามแห่ง สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ คือพระราชกุมารนั้นทรงพระราชทานนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ส่วนพระราชฐานให้เรียกว่าพระจุฑาธุชราชฐาน พระราชทานนามพระที่นั่งทั้ง 4 ว่า พระที่นั่งโกสีสุภัณฑ์ พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ พระที่นั่งโชติรสประภาต์ และพระที่นั่งเมขลามณี ส่วนพระตำหนักทั้ง 14 องค์ พระราชทานนามว่า วรสตรีก่องเก็จ เพชรระยับ ทับทิมสด มรกฏสุทธิ์ บุศราคำ กำโกมิน นิลแสงสุก มุกดาพราย เพทายใส ไพฑูรย์กลอก ดอกตะแบกละออ โอปอล์จรูญ มูลการเวก และเอกฟองมุก คล้องจองกันไปหมด
    การก่อสร้างไม่เสร็จตามพระราชประสงค์ เพราะเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส ทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดนไปในปี พ.ศ. 2437 ปีที่ฝรั่งเศสยกกองเรือมาปิดอ่าวไทย การก่อสร้างจึงหยุดชะงักไป จนกระทั่งปี พ.ศ. 2444 พระองค์จึงได้เสด็จประพาสหัวเมืองทางชายฝั่งทะเลตะวันออกและได้ทอดพระเนตรเห็นพระที่นั่งธาตุรัตนโรจน์ ที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จมีสภาพรกร้าง และสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลังจึงโปรดเกล้า ฯ ให้รื้อไปสร้างขึ้นในพระราชวังสวนดุสิต พระราชทานนามใหม่ว่า พระที่นั่งวิมานเมฆ โดยให้พระราชโยธาเทพเป็นแม่กอง ทีนี้ต้องวิเคราะห์กันละเพราะเมื่อผมเขียนเรื่องเมื่อผมหน้าแตกนั้น ได้เขียนไว้ว่าผู้ที่รื้อและไปสร้างพระที่นั่งวิมานเมฆคือพลเรือตรี พระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) แต่ตามหลักฐานที่อ่านพบใหม่บอกว่าพระราชโยธาเทพ (กอน หงสกุล) จึงชี้ลงไปได้เลยว่าท่านทั้งสองนี้คือบุคคลท่านเดียวกันคือท่านกร หรือ กอน หงสกุล ซึ่งตอนที่ไปรื้อพระที่นั่ง ธาตุรัตนโรจน์ ท่านอาจจะยังมีบรรดาศักดิ์เป็น "พระ" ก็ได้ ผมเลยขอส่งหลักฐานที่ได้มาใหม่นี้ให้คุณอาหะริน หงสกุล ของผมได้กรุณาวิเคราะห์ด้วย แต่นามจริง กอนหรือ กร นั้นคนเดียวกันแน่นอน เอกสารนี้ผมอ่านพบในหนังสือ "น้ำใจ" ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เขาอ้างอิงถึงหนังสือ 100 ปี สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุช และหนังสือพระที่นั่งประตูและป้อม กองสถาปัตยกรรม และกองโบราณคดีกรมศิลปากร ผมก็เลยอ้างเข้าไปทั้งหมดทุกเล่มที่อ่านมา แสดงว่าท่าน พล.ร.ต.พระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) นี้เป็นช่างเอกคู่พระทัยของรัชกาลที่5 ผลงานก่อสร้างของท่านจึงมากมายหลายแห่ง พระที่นั่งวิมานเมฆ เศกดุสิต วัดเบญจมบพิตร ซ่อมพระปรางค์วัดอรุณ ฯ สร้างเรือสุพรรณหงส์ในรัชกาลที่6 ล้วนแต่เป็นฝีมือของท่านทั้งสิ้น และในเขตพระราชฐานนี้ ยังมีวัดซึ่งกำลังบูรณะอยู่ ลักษณะที่แปลกคืออุโบสถ (น่าจะเป็นพระอุโบสถ) เหมือนของแบบยุโรปและอาณาบริเวณวัดดูไม่ออกว่ามีแค่ไหน พระเจดีย์อยู่องค์หนึ่ง ชื่อวัดก็ไม่มีป้ายเขาว่าชื่อวัดอัษฎางค์ ในหนังสือน้ำใจ หนังสือสีชังไม่มีการกล่าวถึงวัดนี้ไว้เลย แต่เจ้าของโรงแรมศรีราชาล็อดย้ำนักย้ำหนาว่าให้ผมปีนขึ้นไปชมวัดนี้ให้ได้ ก็เลยพยายามปีนป่ายขึ้นไปไม่สูงนักพอหอบ
    บริเวณเขตพระราชฐานกำลังมีการบูรณะตกแต่งหลายแห่ง แต่พระที่นั่งหรือพระตำหนักส่วนใหญ่ก็เรียบร้อยดี ที่ไม่เรียบร้อยคือ "หญ้า" สูงจนบดบังความงดงามหมด โดยเฉพาะเมื่อมองจากทะเลและในเขตต้นลั่นทมเก่าแก่อยู่มากมาย หากมีการถากถางหญ้าให้โล่งเตียนให้หมด พระที่นั่งจะตระหง่านขึ้นมาทันที รวมทั้งดอกลั่นทมสีขาวที่บานสพรั่งด้วย หากคิดจะถากถางหญ้าให้เร็วโดยไม่ใช้งบประมาณขอให้ท่านนายอำเภอ ที่ได้กรุณาจัดรถให้ผมเที่ยวได้ขอจากฐานทัพเรือสัตหีบ ทหารเรือเขาก็มีเรือเขาก็เอาเรือ เอาทหาร เอาเครื่องมือมาจัดการเสียสามวันก็เหมือนเนรมิตเกาะใหม่หรือพระราชฐานใหม่ขึ้นมาทันตาเห็น ขอทหารบกไม่มีเรือ ทหารบกต้องไปขอเรือทหารเรือมาสีชังอีก ขอนาวิกโยธินทหารเรือนั่นแหละผมว่าเขาช่วยได้ ออกคำสั่งฝึกอะไรสักอย่างก็พาทหารลงเรือมายกพลขึ้นบกที่เกาะสีชังสบายไป
    อาหาร มาเจอร้านถูกใจอยู่หน้าทางเข้าเขตพระราชฐานนี่แหละ ร้านคุณเล็ก หน้าเบนซ์เขาเรียกกันอย่างนั้น เพราะอยู่ตรงกันข้ามกับโรงแรมเบนซ์ซึ่งราคาไม่แพง แต่วิวทะเลไม่สวยเหมือนสีชังพาเลซ ร้านนี้ไม่มีป้ายชื่อมีร้านเดียว ออกมาจากพระราชฐานก็อยู่ทางซ้ายมือ โรงแรมอยู่ทางขวามือเวลาออกมาสกายแล๊บรู้จักดีกุ้ง ปู ปลาสดจริง ๆ ใครเถียงไม่ได้เพราะใส่ตู้ไว้ยังว่ายอยู่เลย เราก็ไปชี้ประหารชีวิตเสีย
    ปูม้านึ่งสั่งเขาทีเดียว 2 กก. ความจริงอยากสั่งมากกว่านี้ กลัวอดอย่างอื่น ปูสด ๆ อย่างนี้ไม่ต้องจิ้มอะไรเลยก็ได้ กินแบบที่ผมเคยเล่าให้ฟังนานยี่สิบปีแล้ว คือไปกินอาหารที่สเปญ เขาพาไปกินบนร้านบนหน้าผาสูง เขาบอกว่าอาหารชั้นยอด พอยกมาก็ยกอ่างล้างมือมาก่อน แล้วยกกาละมังใส่อาหารทะเลที่สด ๆ ทั้งหลาย เขาแค่เอามานึ่งมาลวกแล้วใส่อ่างมา มีแค่นั้น ไม่มีน้ำจิ้มน้ำอะไรทั้งนั้นนอกจากอ่างล้างมือ ทีแรกนึกว่าคงไม่เอาไหน แต่พอลองบิปูทะเลใส่ปาก รสหวานออกมาทันที มีรสด้วยความสดของตัวเอง วันนี้เหมือนกัน ปูม้านึ่งไม่ต้องจิ้มอะไรอร่อยจริง ๆ
    ไข่เจียวหอยนางรม ทอดไข่เก่ง ทอดได้นุ่ม ไม่ยุบตัวหอยนางรมตัวโต สั่งแล้วต้องสั่งเพิ่มอีกจาน เอามาจิ้มซ๊อสศรีราชา
    ต้มยำกุ้งร้อนโฉ่ ซดชื่นใจ
    ปลาหมึกผัดน้ำพริกเผา อาหารสดทำอะไรก็อร่อยไปหมด
    ผัดผักกับกุ้ง อร่อยอีกเพราะผักของเขาก็สด ผัดเก่ง กรอบ กุ้งก็สดเลยไปกันใหญ่
    ไม่มีของหวาน งัดขนมทองม้วนที่ซื้อมาจากเชิงบันไดทางขึ้นศาลาเจ้าพ่อเขาใหญ่ออกมากิน แต่ยังไม่กล้ากินข้าวเหนียวแดง พลาดพลั้งฟันหลุดออกมาจะยุ่งกันไปใหญ่น่ะซิ





    <CENTER>เกาะสีชัง
    [​IMG]
    จะพาไปเที่ยวเกาะสีชัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ขอขึ้นต้นด้วยยคำขวัญของอำเภอเกาะสีชัง
    จุฑาธุชราชฐาน ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ วัดไหนเกาะขาม ลือนามพระพุทธบาท
    หาดทรายงามล้ำค่า เมืองท่าพาณิชย์</CENTER>
    ผมได้เล่าไว้ในตอนที่แล้วว่าผมไปศรีราชา ด้วยความตั้งใจที่จะไปยังเกาะสีชัง และต้องรีบไป สำหรับวัยอย่างผม ก่อนที่จะหมดแรงขึ้นบันไดกว่า ๑๕๐ ขั้น ไปนมัสการเจ้าพ่อเขาใหญ่ที่อยู่บนยอดเขาคยาศิระ เป็นการไปไม่ทราบว่าครั้งที่เท่าใด และคงจะไปอีกแต่คงไม่ได้ขึ้นเขาไปไหว้เจ้าพ่อ อาจจะขอไหว้อยู่เชิงเขา หรือไม่นั้นก็ขอพลังพิเศษจากเจ้าพ่อให้มีแรงฮึดขึ้นเขาได้ อยากไปอีกเพื่อไปดูความเปลี่ยนแปลงในการบูรณะ พัฒนาพระราชฐาน "พระจุฑาธุชราชฐาน" อยากเห็นพระราชฐานเก่าแก่แห่งนี้ แม้จะไม่นานมากนัก แต่ก็นานกว่าร้อยปีมาแล้ว อยากเห็นให้มีความงดงามเช่นเดียวกับพระราชวังบางปะอินที่องค์ผู้สร้างความเจริญ ความงดงามแก่พระราชวังบางปะอิน มากยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดคือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งก็ทรงพระราชทานความเจริญ ความงดงามให้แก่เกาะสีชัง ตลอดจนประทานความผาสุขให้แก่ชาวเกาะสีชัง จึงได้แต่ภาวนาขอให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องดูแลอยู่ ช่วยพัฒนาให้งามเหมือนพระราชวังบางปะอิน โดยเร็วจะนำรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างมหาศาลมาสู่ พัฒนาทั้งความสะดวก ความรวดเร็วในการเดินทาง แหล่งน้ำ แต่อย่าไปพัฒนาถนนให้ดีและมีมากกว่านี้ อย่าให้รถวิ่งกันเต็มท้องถนน บีบแต่กันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ขออย่าให้เป็นเช่นนั้น ให้งามสงบ ใกล้เคียงกับเกาะเกร็ดของนนทบุรีที่เงียบสงบ ไม่มีแม้แต่รถมอเตอร์ไซด์วิ่ง หรือแม้แต่รถจักรยานจะถีบไปไหน หากพบเห็นคนเดินในถนนแคบ ๆ ของเขา เขาก็จะไม่ดีดกระดิ่งกัน จะจอดรอให้คนเดินหรือจำเป็นเขาใช้ปากร้อง "กริ๊ง กริ๊ง" ฟังแล้วน่ารัก
    ผมได้เล่าแล้วว่าผมไปศรีราชาคราวนี้ผมไปนอนพักที่โรงแรมที่ผมชอบพักเสมอ เพราะเงียบสงบ ไม่มีเสียงตึง ๆ ในเวลากลางคืน ติดทะเล อาหารอร่อยมาก ราคาไม่แพง ทั้งที่พักและอาหาร เพราะหากพักที่นี่แล้ว พอรุ่งขึ้นเราขอจอดรถเอาไว้ที่โรงแรม จะข้ามไปพักที่เกาะสีชังสักคืนก็ได้ เพราะมีโรงแรมที่พักที่สะดวกพอสมควร แต่หากเป็นประเภทรีสอร์ท และบังกาโลมีแยะ สะดวกสะบายดี และอยู่ริมทะเลใกล้ท่าเรือ ได้ไปครั้งหลัง ๆ จอดรถทิ้งไว้ที่โรงแรมศรีราชาลอดจ์ แล้วไปเที่ยว แค่ไปเช้าเย็นกลับ ได้กินอาหารกลางวันที่เกาะสีชัง ๑ มื้อ ราคาถูกและอร่อย
    เมื่อจอดรถเอาไว้ที่โรงแรมแล้ว ออกมาที่หน้าโรงแรมบอกยามหน้าประตูว่าให้เรียกรถเครื่องให้ที เขาก็จะออกไปยืนส่งสัญญาณที่หน้าประตู ไปยังรถสามล้อเครื่องที่จอดกันอยู่แถว ๆ หน้าโรงพยาบาลที่ไม่ไกลกันนักไม่ถึง ๒ นาที รถเครื่องก็จะมารับเรา พาไปยังท่าเรือชื่อท่าจรินทร์ อยู่ถนนเจิมเจิดพล ซอย ๑๔ คือถนนที่ผ่านหน้าปากซอยของโรงแรมนั่นเอง รถเข้าไปส่งได้จนถึงเรือลำที่จะออกเดินทาง ซึ่งเรือจะอออกจากท่าจรินทร์นี้ทุกชั่วโมงและตรงเวลา พร้อมกันนั้นเรืออีกลำของอีกบริษัทหนึ่งก็จะออกจากท่าเกาะสีชัง เรือจะใช้เวลาวิ่งข้ามทะเลระยะทางประมาณ ๑๒ กม. ใช้เวลาประมาณ ๔๐ นาที เรือไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม แต่ไม่ร้อน ค่าโดยสารประมาณ ๒๐ บาท นั่งชมทะเลไปเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว พอเรือวิ่งออกจากท่าหากมองไปทางซ้ายจะเห็นสะพานท่าเรือ ๒ แห่งที่ทอดยาวมาในทะเลคือ สะพานไปยังท่าเรือน้ำลึก จะมองเห็นเรือเดินสมุทรลำโต ๆ ที่เข้ามายังท่าเรือกรุงเทพ ฯ ไม่ได้จอดถ่ายสินค้าอยู่ และพอยิ่งใกล้จะถึงเกาะสีชัง จะยิ่งเห็นเรือเล็กที่นำสินค้ามาจากท่าเรือกรุงเทพ ฯ หรือกำลังถ่ายสินค้าจากเรือเดินสมุทรเพื่อเข้ามาส่งท่าเรือกรุงเทพ ฯ มีจำนวนมากมายหลายสิบลำเลยทีเดียว ส่วนเรือประมงนั้นจะมองเห็นจอดกันแน่นชัดตรงท่าเรือจรินทร์
    เมื่อเรือไปถึงเกาะสีชังจะแวะที่ท่าล่างหรือท่าเทววงศ์ นักตกปลามักจะถือเบ็ดลงมาที่ท่านี้ ส่วนเรามาเที่ยวอย่างเดียว ก็ไปลงที่ท่าบนคือท่าภานุรังษี เรือจะมีเดินตั้งแต่ ๐๖.๐๐ - ๑๘.๐๐ ทุกชั่วโมง
    พอขึ้นจากเรือจะมีสามล้อเครื่องมาถามความต้องการว่าจะไปกับเขาไหม มีราคารอบในของเกาะราคา ๑๕๐ บาท ราคาเหมารอบเกาะรอบใหญ่ ๒๕๐ บาท คนขับสามล้อเป็นไกด์ให้เราเสร็จ สามล้อเครื่องของเกาะสีชังจะไม่เหมือนของใคร เรียกว่ารถสกายแล๊บ เพราะเขาใช้เครื่องยนต์ของรถเก๋ง ใส่เข้าไปในรถที่มีรูปร่างเหมือนรถสามล้อเครื่องทั่วไป แต่กว้างและยาวกว่า นั่ง ๔ - ๖ คน ได้อย่างสบาย ๆ เหตุผลที่รถกว้างและยาวกว่ารถตุ๊กตุ๊ก เพราะถนนแคบ ประมาณเมตรเศษ ๆ และทางลาดชัน ขึ้นลงเขาตลอดเวลา
    ประวัติของเกาะสีชัง ได้ชื่อว่าเป็นเกาะที่มีอากาศดี ชาวเกาะจะมีอายุยืนยาว ในจดหมายเหตุตามเสด็จประพาสจันทบุรีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงพระเยาว์ได้ตามเสด็จรัชกาลที่ ๔ ประพาสเกาะสีชัง และได้ทรงแจกทานแก่คนชราที่มีอายุเกินร้อยปีถึง ๓ คน สีชังจึงเป็นสถานที่พัก เป็นสถานที่พักฟื้นเป็นที่นิยมของชาวไทยและชาวต่างประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แพทย์หลวงถวายคำแนะนำให้พระบรมวงศ์เสด็จไปพักรักษาพระองค์ ณ เกาะสีชัง โดยเฉพาะพระเจ้าลูกยาเธอ "เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ" ในปี พ.ศ.๒๔๓๔ ทรงพระเยาว์มีพระอาการมาก ต้องไปพักรักษาพระองค์อยู่ที่เกาะสีชังเป็นเวลานาน รัชกาลที่ ๕ ทรงมีความห่วงใยก็เสด็จไปทรงอภิบาลพระราชโอรสเป็นการประจำเช่นกัน จึงเป็น โอกาสที่พระราชทานความเจริญให้แก่เกาะสีชัง ด้วยการก่อสร้างต่าง ๆ (ให้สังเกตว่าจะมีชื่อว่า อัษฎางค์ หลายแห่ง)
    ในการมาประทับครั้งแรกนั้น ยังมิได้สร้างพระตำหนักที่ประทับ จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๓๑ จึงทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างตึกขึ้นสามหลัง สำหรับเป็นที่พักฟื้นผู้ป่วย ได้แก่ ตึกวัฒนา ตึกผ่องศรี และตึกอภิรมย์ ในปี พ.ศ.๒๔๓๕ ได้โปรดเกล้าให้สร้างพระราชฐานขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับเพื่อแปรพระราชฐานในฤดูร้อน พระราชทานนามว่า "จุฑาธุชราชฐาน" ตามพระนามของพระเจ้าลูกยาเธอที่ประสูตที่เกาะสีชัง เมื่อ ๕ กรกฎาคม ๒๔๓๕ เมื่อสร้างพระราชฐานแล้ว ก็โปรด ฯ ให้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มาพักและชาวเกาะสีชังเช่น สร้างถนน ท่าเทียบเรือ บ่อน้ำจืด โรงเรียน ที่ทำการไปรษณีย์ และสวนสาธารณะ แบ่งออกเป็นเขตพระราชฐานและเขตราษฎรชาวเกาะ สีชังจึงมีบ้านพักตากอากาศเกิดขึ้น มีร้านอาหาร มีบริการเรือกลไฟจากกรุงเทพ ฯ ไปเกาะสีชัง
    การก่อสร้างพระราชฐานยังไม่ทันแล้วเสร็จ เกิดเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ฝรั่งเศสมารุกรานเสียก่อน (ปีนี้ ๒๕๔๖ ร.ศ.๒๒๑) จึงมิได้เสด็จไปประทับแรมที่สีชังอีก และต่อมาโปรดให้รื้อพระที่นั่ง "มันธาตุรัตนโรจน์" ซึ่งเป็นพระที่นั่งองค์ใหญ่ มาสร้างใหม่ที่พระราชวังดุสิต ปัจจุบันคือ พระที่นั่งวิมานเมฆ (เป็นไม้สักทองทั้งหลัง) ปัจจุบัน ตึก ๓ หลัง ได้รับการบูรณะซ่อมแซมทาสีเรียบร้อยแล้ว กำลังบูรณะส่วนอื่น ๆ อยู่ แต่ที่ยังปล่อยไว้ทำให้ไมาสวยคือความรกร้างของหญ้า ความไม่สะอาดของน้ำในสระในพระราชวังที่โปรด ฯ ให้ตั้งชื่อไว้อย่างไพเราะทั้งสิ้น ควรจะทำควบคู่กันไป เก็บสตางค์ค่าเข้าชมพระราชวังจากผู้ที่เข้าชมแบบพระราชวังบางปะอิน แต่ลดราคาลงมาหน่อยคือ ๒๐ บาท เอาเงินจำนวนนี้ไปจ้างแต่งตัดหญ้าก็ยังดี




    สิ่งที่ควรชมบนเกาะสีชัง <CENTER>
    [​IMG]</CENTER>
    ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ อยู่บนยอดเขาคยาศิระ เดิมเป็นศาลภายในช่องหินแคบ ๆ เจ้าพ่อเป็นเสาหิน เป็นที่เคารพสักการะบูชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือชาวเรือ เมื่อคนไปสักการะบูชากันมากขึ้นจึงสร้างเจ้าพ่อเป็นศาลลักษณะทรงวิหารจีน ภายในศาลก่อนเข้าตัวศาลจะมีทางขึ้นไปยังศาลรัชกาลที่ ๕ และศาลกรมหลวงชุมพร ประทับอยู่ด้วยกัน พอขึ้นไปบนศาลที่ร่มเย็นและลมจะพัดเย็นสบาย มีน้ำเย็นให้ดื่ม พลังที่เสียไปตอนไต่บันไดจะคืนกลับมา ทางซ้ายจะมีพระสังขจายน์ ศาลเจ้าแม่กวนอิม เจ้าพ่อเห้งเจีย ยิ่งเป็นตอนตรุษจีน คนจะมากันแน่นตรึม โดยเฉพาะชาวจีน และบอกต่อกันมาว่า "ใครมาไหว้ติดต่อกัน ๓ ครั้ง ภายใน ๓ ปี จะร่ำรวย ผมน่าจะต้องรีบไปให้ครบ ๓ ครั้ง เพราะไปมาหลายครั้งไม่ติดต่อให้ครบ ๓ ภายใน ๓ ปี สักที ขึ้นไปแล้วชมทิวทัศน์ทางทะเลหน้าเกาะสวยนัก




    รอยพระพุทธบาท อยู่บนยอดเขาเหนือศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รอยพระพุทธบาทนี้จำลองจากรอยพระพุทธบาท ที่สรน้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อปี พ.ศ.๕๐๐ มีความยาวศอกเศษ ทำจากหินขวาน สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาจากวัดพุทคยา ประเทศอินเดีย และยังประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ไว้บนยอดเขาอีกด้วย จุดชมวิวบนยอดเขานี้หกาพักที่สีชังมาชมพระอาทิตย์ขึ้นงามนัก ส่วนพระอาทิตย์ตกต้องไปชมที่ช่องเขาขาด หรือนั่งชมที่ลานเกาะลอย ศรีราชา ก็ได้งามเท่ากัน <CENTER>[​IMG]
    </CENTER>
    ช่องเขาขาด และหาดหินกลม เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่งดงาม เสียดายที่ทางเทศบาลไปสร้างสะพานเชื่อมเขาขาดเพียงเพื่อให้ชมพระอาทิตย์ตกได้สะดวก ทำให้ขาดความงามของช่องเขาตามธรรมชาติไป หากจะสร้างให้เลาะไหล่เขาสูงขึ้นไป คนไปชมจะเดินขึ้นลำบากหน่อย แต่ก็จะได้อิ่มกับธรรมชาติจนจุใจ แก้ไม่ได้แล้วเพราะสร้างเสร็จแล้ว เหมือนหินที่เกาะสีชัง เป็นหินแกร่งเอาไปทำถนนกันที่อิ่น แต่เกาะสีชังเองกลับทำถนนคอนกรีต ไม่ใช้หินแกร่งของตัวตัดเป็นก้อนเหลี่ยมแลลศิลาแลง แล้วปูถนนให้ต่างกับถนนที่อื่น ๆ ไปคราวนี้เห็นความไม่เหมาะสมถึง ๒ แห่ง คือสะพานช่องเขาขาดกับที่หาดถ้ำพัง

    หาดถ้ำพัง มีลักษณะเป็นอ่าวโค้ง หาดทรายขาวสะอาดสวยงามมากแม้จะเป็นอ่าวเล็ก ๆ ก็ตาม เล่นน้ำได้ บนหาดมีร้านอาหารไว้บริการนักท่องเที่ยว ตรงนี้แหละที่ไม่ถูกเรื่อง เพราะได้ไปกางร่มกางเต้นท์จนเต็มหาดน้อย ๆ ที่แสนสวยนี้ หมดความสวยงาม เอาใจคนที่ไปนั่งกิน นั่งดื่มไม่กี่คน แต่คนส่วนใหญ่ไปชมความงามของหาด ชมได้ไม่สมใจ เลิกหารายได้จากการเอาที่ให้ร้านทำอาหารเสียเถิด เอาไว้ชมหาด เล่นน้ำกันไม่ดีกว่าหรือ

    ศิลาจารึก อยู่ข้างโรงเรียนเกาะสีชัง จารึกด้วยแผ่นหินเรื่องการสร้างพระราชฐาน

    ถ้ำจักรพงศ์ และพระเหลือง เป็นถ้ำเล็ก ๆ ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ เหนือถ้ำมีพระใหญ่เรียกว่า พระเหลือง เก๋งจีน มีลักษณะเป็นศาลาโบราณ มีรูปมังกรและรูปนกอยู่บนยอด เคยเป็นที่ประทับชั่วคราวของ ร.๕ พระจุฑาธุชราชฐาน อยู่บริเวณเนินเขาพระจุลจอมเกล้า สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จะอยู่ลดหลั่นกันไปตามชั้นความสูง งดงามมาก หากนึกถึงภาพที่หญ้าตัดเรียบ และมีศาล ร.๕ ประทับนั่งไขว่ห้างชมวิว แปลกกว่าที่อื่น ๆ อยู่ด้วย แต่อยู่ในดงหญ้า สระน้ำ เช่น มหาอโนดาดต์ (จารึกไว้แบบนี้ ผมไม่ได้เขียนผิด) น้ไม่สะอาด (น้ำประปา บนเกาะไม่มีต้องเก็บน้ำฝนและซื้อน้ำจากศรีราชามาใช้โดยเฉพาะฤดูแล้ง) สูงขึ้นไปจะมีดอกลั่นทม เปลี่ยนชื่อว่า ลีลาวดี ออกดอกสีขาว ชมพู ตลอดปี หอมเย็น เขตพระราชวังเดิมมีพระที่นั่ง ๔ องค์ ตำหนัก ๑๔ หลัง ศาลาหนึ่งหลัง มีทางเดินเชื่อมติดต่อกัน ๒๖ สาย ระหว่างพระที่นั่งมีลานดอกไม้ สระน้ำ บ่อน้ำ น้ำพุ ถ้ำ ตกแต่งตามลักษณะอุทยานในพระราชวังของประเทศตะวันตก หากตกแต่งพื้นที่ให้ราบเรียบแล้วจะงามยิ่ง

    เจดีย์อัษฎางค์นิมิตร อยู่บนยอดเขาจุลจอมเกล้า ด้านหลังพระราชฐาน มีความโดดเด่นงดงาม ลักษณะเป็นอาคารทรงกลม ส่วนยอดเป็นเจดีย์ส่วนล่างเป็นพระอุโบสถ (วัดในวัง) กำลังบูรณะอยู่

    วัดจุฑาทิศธรรมสภารามวรวิหาร วัดนี้เป็นพระอารมหลวงที่ ร.๕ โปรด ฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ.๒๔๓๕ พร้อมกับการสร้างพระราชวังและพร้อมกับการประสูติของเจ้าฟ้าจุฑาธุช ราชโอรสที่ประสูตืที่เกาะสีชังนี้ วัดจะฑาธุช ฯ อยู่ทางขวาของทางขึ้นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่เรียกว่าอยู่เชิงเขาคยาศิระ มีพระอุโบสถ หอระฆัง พระพุทธบาทจำลอง และพระสประธานปางมารวิชัยที่งามยิ่ง
    การไปเที่ยวบนเกาะสีชังโดยรถสกายแล๊บ เขาคงพาไปแค่นี้ แต่ตอนที่ไปยังพระเหลืองนั้น ผมลืมบอกไปว่า วัดนี้มีศาลของ ร.๕ และกรมหลวงชุมพร ฯ ประทับอยู่ด้วยกัน ขึ้นไปแล้วอย่าลืมไปกราบสักการะด้วย
    ส่วนของขาย ของกินจะมีทั่วไปเช่น ที่ท่าเรือหรือที่เชิงบันไดจะขึ้นไปยังงศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ก็มีของกินของขายไว้ทั่วไปหมด สกายแล๊บจะบริการดีมาก เขาบอกว่าหากเป็นวันหยุดจะได้สัก ๒ - ๓ รอบ แต่หากวันธรรมดาเขาบอกว่ารอบเดียวก็เหลือกินแล้ว รอบเดียวหากได้รอบใหญ่คือ ๒๕๐ บาท ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ เพราะจะต้องตรงกับเวลาอาหารกลางวันด้วย อาจจะกินก่อนเที่ยง หรือเที่ยวแล้วกินอย่างที่ผมปฏิบัติ อยู่ตรงไหนอย่าถามผมเลย บยอกไกด์สกายแล๊บคำเดียว เขาพาไปได้ในเวลาสัก ๕ นาที และไม่ต้องห่วงอาหารของคนขับรถ เพราะเขาจะขอเราไปรับเรือ เพราะโชคดีเขาอาจจะได้ผู้โดยสารรอบเล็ก ใช้เวลาพาเที่ยวไม่ถึงชั่วโมงดี แล้วเขาก็กลับมารับเราไปเที่ยวต่อ หรือไปลงเรือกลับฝั่งศรีราชาได้ทัน เขาไม่หนีไปไหนเพราะค่าโดยสารเขายังไม่ได้จากเราด้วย และรถมีระบบคุ้มกันดีไม่มีการแย่งผู้โดยสารกัน ทุกคนมีแผนที่ในมือ ชี้แจงใให้ทราบได้ว่าจะไปที่ไหนก่อน หลังเสนอแนะให้เสร็จ เดินดูอ่างใส่ทะเลสดเสียก่อนก็ได้เช่น ปูม้าสด ปลาสด เรียกว่า "เป็น ๆ" ดีกว่ารวมทั้งกั้งเป็น ๆ บางครั้งก็มีจะแหวกว่ายอยู่ จะตายเมื่อเราชี้สั่ง
    แกงป่าปลา เลือกปลาเอาเอง ผมเลือกปลาโฉมงาม แกงป่าน้ำใสชดได้ ใส่มะเขือเปราะ
    ปูม้านึ่ง ใครบอกว่าสดไม่จริง ไม่ต้องเถียง เพราะเมื่อสักครู่นี้ยังเดินกันอยู่เลย แต่ไม่ถึง ๑๐ นาทีเขาก็ยกใส่ชามมาให้แล้ว สั่งมา "หนึ่งกิโล" ราคาแค่กิโลกรัมละ ๒๕๐ บาท ถือว่าถูกสำหรับปูม้าเป็น ๆ เอามานึ่งจงใช้มือ เพราะเขามีอ่างน้ำ มะนาวฝานลอยมา ให้ล้างมือแก้คาวด้วย น้ำจิ้มรสแซ๊บถูกใจ
    ผัดกะเพราหมึกสด เห็นมากับตาตอนจะขึ้นจากเรือที่เรือส่งสัตว์ทะเลที่เขาจับได้ด้วยเรือเล็ก เอามาส่งขึ้นท่าเรือ ร้านอาหารจะไปซื้อกันตอนสาย ๆ ทุกวัน เรือหาปลาเรือเล็กจึงเข้าฝั่งทุกวันได้อาหารทะเลสดแท้ ยังไม่ได้แช่เย็นแช่แข็งมาเลย
    กุ้งชุบแป้งทอด น้ำจิ้มบ๊วยเจี่ย
    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดในการเสด็จประพาสเกาะสีชัง และคราวเสด็จเมื่อยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ฯ ความงามของเกาะทำให้เป็นแรงบันดาลพระทัย ให้ทรงพระราชนิพนธ์กาพย์เห่เรือ ความตอนหนึ่งในการพรรณาถึงเกาะสีชังนั้นไพเราะอย่างยิ่ง


    สีชังชังแต่ชื่อ เกาะนั้นฤาจะชังใคร
    ขอแต่แม่ดวงใจ อย่าชังชิงพี่จริงจัง
    ตัวไกลใจพี่อยู่ เป็นคู่ครองน้องยืนยัง
    ห่วงเจ้าเฝ้าแลหลัง ตั้งใจคิดมิตรสมาน


    ----------------------------------------------
    Ref.
    http://www.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/tour/sichang.htm
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01.jpg
      01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.8 KB
      เปิดดู:
      182
    • sichang01.jpg
      sichang01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.5 KB
      เปิดดู:
      3,630
    • sichang02.jpg
      sichang02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.5 KB
      เปิดดู:
      2,779
    • sichang03.jpg
      sichang03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.8 KB
      เปิดดู:
      678
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2007
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    <TABLE style="LINE-HEIGHT: 100%" width="80%"><TBODY><TR><TD width="100%"><CENTER><TABLE width="80%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]





    </TD></TR><TR><TD width="100%">
    </TD></TR><TR><TD width="100%">
    พระจุฑาธุชราชฐานเป็นพระราชวังฤดูร้อนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ตั้งอยู่ที่เกาะสีชัง โดยได้โปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งพระตำหนักตลอดจนสถานที่ต่าง ๆ และพระราชทานนามพระราชวังตามพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลกฯ ที่ประสูติ ณ ที่นั้นว่า "พระจุฑาธุชราชฐาน"


    ในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ เกาะสีชังได้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เนื่องจากเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีทรงพระประชวรคณะแพทย์ถวายความเห็นว่าควรจะเสด็จไปประทับอยู่ที่ซึ่งได้อากาศชายทะเลจึงเสด็จไปประทับเป็นระยะๆ ตั้งแต่นั้นมา โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ที่เกาะสีชังประทับแรมด้วยเนือง ๆ ปี พ.ศ.๒๔๓๒ ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างตึกวัฒนา ตึกผ่องศรี ตึกอภิรมย์ พระราชทานให้เป็นสถานที่สำหรับผู้ป่วยไข้รักษาตัว ปี พ.ศ. ๒๔๓๔ โปรดเกล้าฯ ให้ขุดบ่อน้ำ พระราชทานชื่อว่า "บ่ออัษฎางค์" โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "สะพานอัษฎางค์" สร้าง "อัษฎางค์ประภาคาร"สร้างศาลเจ้า "ศาลศรีชโลธรเทพ"โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนภายในเกาะ สร้างสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง ปี พ.ศ. ๒๔๓๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชฐานให้มั่นคงยิ่งขึ้น เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อนได้แก่ พระที่นั่ง ๔ องค์ พระตำหนัก ๑๔ พระตำหนัก บ่อ ๑๔ บ่อ สระ๓ สระ ธาร ๒ ธาร บันได ๒๑ บันได เป็นต้น และพระราชทานชื่อสถานที่ต่างๆ เหล่านี้ให้ไพเราะคล้องจองกัน

    ปัจจุบันพระจุฑาธุชราชฐาน เกาะสีชัง ซึ่งมีพื้นที่ ๒๒๔ ไร่ อยู่ในความดูแลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับมอบสิทธิการใช้ที่ดินจากกรมธนารักษ์ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ โดยได้ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเลและศูนย์ฝึกนิสิต พร้อมทั้งดูแลโบราณสถานโบราณวัตถุในเขตที่ดินดังกล่าวให้อยู่ในสภาพที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนสืบไป



    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>




    </TD></TR><TR><TD width="100%"></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ------------------
    Ref.
    http://chula.ac.th/history/chudadhuj_th.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...