เกิด-ดับเรื่องที่เห็นยากและทำยาก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 7 เมษายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ขออนุโมทนาในธรรมของทุกท่านอีกครั้งครับ

    ของคุณ pinit นะครับ
    หากเรามีสติอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่จะมีสิ่งใดมากระทบ เมื่อถูกกระทบ เราจะไม่เกิดโทสะ จะไม่สนใจในสิ่งนั้นๆเลย จะว่าไปก็เหมือนกับเราไม่เห็นความสำคัญของสิ่งนั้นเลย จิตจะนิ่งสงบเป็นปกติเมื่อถูกกระทบครับ แต่หากมีการกระเพื่อมไหวของจิตเมื่อถูกกระทบ แต่ไม่เกิดโทสะ นั่นคือสติเกิดช้ากว่าสิ่งที่มากระทบ แต่ก็ทันก่อนที่จิตจะเกิดโทสะครับ

    และขอบคุณ คุณ ธรรมชาติครับ ที่กรุณาแนะนำ กระผมก็เข้าไปอ่านที่คุณธรรมชาติสอนไว้อยู่นะครับ แต่ก็ยังเข้าใจอะไรได้ไม่เยอะหรอกครับ ในสภาวะละเอียดนะครับ
    กระผมจะรู้อะไรที ต้องวนเข้าไปดูหลายๆครั้งครับ อย่างสภาวะธรรมทั้งหลายที่กระผมได้เล่า แต่ละอย่าง กระผมก็ดูวนไปนานครับ กว่าจะพอเข้าใจได้บ้าง บางอย่างก็หลายปีครับ

    และสิ่งที่คุณธรรมชาติได้แนะนำ ผมลองทำดูแบบเข้าแล้วออก สักพักนึงเข้าใหม่ เลย ก็รู้สึกได้ว่า จะมีความรู้สึกที่ละเอียดกว่า ชัดกว่าและพร้อมมากกว่าครับ ซึ่งจะเป็นสติที่จะมีได้จากการปฏิบัติทางสมาธิมาระดับนึงแล้ว ตามที่กระผมได้สัมผัสมา แต่ของกระผมจะมีสติพร้อมสมาธินะครับ เลยไม่แน่ใจว่าจะใช่อย่างที่คุณธรรมชาติต้องการให้รู้หรือไม่
    (พอดีว่าจะพิมพ์บอกผลจากการสังเกต แต่เอะใจ เลยเลื่อนขึ้นไปอ่านที่คุณธรรมชาติแนะนำไว้ เห็นว่ามีบอกไว้อยู่ก่อนแล้ว จึงลบออกครับ)

    ขอขอบคุณอีกครั้งครับ

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    อ่านแล้ว ยังไม่พบว่ามีใครโม้จนเทียบชั้นวรนิได้นะ
    วรณิยังเป็นเบอร์ 1 อยู่ในใจเสมอ
     
  3. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    มาแชร์ประสบการณ์ให้คุณ Supop ฟังครับ

    เวลาโทสะเกิดผมตามไม่เคยทันสักที เกิดแล้วถึงจะรู้ตลอด อาการโทสะที่เห็นมันมีทั้งแบบที่เกิดแบบสายฟ้าแลบ ฟ้าผ่าลงกลางใจฉับพลันทันใด อันนี้ตั้งตัวไม่ทันเลย มาไวแต่ก็ไปไว แต่เกิดไม่บ่อย กับแบบที่ ๒ คือหลงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเวทนาเอง อาจจะมาจากผลตกค้างทางกายของแบบแรก กับเกิดขึ้นใหม่ แล้วไม่ทัน ไปปรุงต่อเป็นดีเป็นร้าย เป็นร้อนเป็นเย็นไปเอง ถ้าทันก็จบ อยู่ที่สติสัมปชัญญะจะมาเร็วหรือมาช้าน่ะครับ

    และจริงๆ เท่าที่สังเกตที่ผ่านๆ มา ทุกอารมณ์มันจะมาแบบนี้หมด คือแบบที่เผลอไม่ทันตั้งตัวแต่แรก กับไปปรุงเวทนาต่อเอง แบบหลังเห็นง่ายกว่า เพราะมีเวทนาเป็นพื้นนำร่องมาเลย เขย่าสติ
     
  4. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ขอขอบคุณที่ร่วมแชร์ประสบการณ์ครับ คุณ Tboon

    ขออนุโมทนาครับ

    เป็นธรรมดาครับ ที่เรามักจะมีสติได้ช้ากว่าสิ่งที่กระทบ ก็ฝึกสติให้บ่อย แบบที่คุณธรรมชาติแนะนำมาก็ดีนะครับ

    ถ้าอยากรู้สภาวะการมีสติก่อนถูกกระทบ ก็ไม่ยากครับ ง่ายกว่า รู้เมื่อถูกกระทบแล้วด้วยซ้ำ
    วิธีนี้กระผมได้มาจากการแนะนำของเพื่อนพระเมื่อสมัยบวชน่ะครับ
    ให้ตั้งสติไว้ให้มั่นคง แล้ววิ่งชนสิ่งที่จะกระทบแล้วเกิดกิเลสเลยครับ ไม่ต้องรอให้มากระทบเอง

    ง่ายๆสำหรับบุรุษ ผู้หญิงแต่งตัวโป๊ หรือภาพโป๊เปลือย ตั้งสติไว้จนมั่นใจว่าดีแล้ว ก็มองไปที่ภาพเลย และไม่ต้องใส่การพิจารณาหรือความคิดใดๆลงไป ให้มองไปตรงๆแล้วแช่สติไว้ที่ภาพอยู่อย่างนั้น เมื่อเสร็จแล้วเราค่อยมาทบทวนทีหลัง แรกๆอาจจะยังไม่เข้าใจชัดเจน ทำบ่อยๆจะเข้าใจในรายละเอียดเพิ่มขึ้น
    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อเราทำโดยตั้งสติไว้ เมื่อเข้าหาสิ่งที่กระทบกับเราแล้วมีผลให้เกิดกิเลส แต่ไม่เกิดจิตไม่กระเพื่อมไหว เมื่อเราทำได้ จิตมั่นคงไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งที่กระทบ จิตมันจะสงบ ให้เราต่อลงไปในความสงบนั้น โดยคงสติไว้อย่างนั้น (หรือจะเรียกได้ว่า ประครองเพื่อเข้าสู่สมาธิ) แล้วเราจะเข้าไปรู้อะไรในความสงบนั้นได้ต่ออีกครับ

    มีอยู่ครั้งนึง เมื่อสมัยบวชนี่แหละครับ ตอนนั้นกระผมมีความทุกข์จากการคิดถึงและเป็นห่วง มารดาและคนรัก พยายามทำสมาธิทุกอย่างเพื่อให้คลายออก
    แล้วก็มีจากทางภพภูมิอื่นอีกที่มาสอนกระผม ซึ่งกระผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใครเหมือนกัน ท่านสอนเยอะ แต่กระผมขอกล่าวเฉพาะหัวข้อนี้นะครับ
    ท่านสอนว่า ทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติของตน เราก็มีธรรมชาติของเรา เขาก็มีธรรมชาติของเขา อย่าไปเอาธรรมชาติของเขามาเป็นของเรา
    ตั้งแต่นั้นมา กระผมมักจะพิจารณาไปถึงธรรมชาติในแต่ละสิ่งที่พบเจออยู่เสมอ ในเวลาปกติครับ

    อีกเรื่องนึงนะครับ อยากจะเรียนถามคุณธรรมชาตินะครับ สิ่งที่กระผมได้เข้าไปรู้มา ไม่ทราบว่าเป็นเช่นนั้นไหม
    ตามที่เราทราบโดยทั่วกัน จิตเป็นยอดนักบันทึก มันบันทึกทุกสิ่งที่กระทำ ซึ่งสิ่งที่บันทึกไว้มันคือการไปเกิดเป็นภพชาติขึ้น
    กระผมไปเห็นสิ่งหนึ่งคือ จิตมันจะบันทึกในสิ่งที่เรามีความยินดียินร้ายและมีความตั้งใจที่จะกระทำ จิตของผู้กระทำความเพียรเพื่อละออกสลัดออกจากการเวียนว่ายตายเกิด จึงเป็นการไปล้างสิ่งบันทึกเก่าๆภายในจิต และในขณะเดียวกัน ในขณะปฏิบัติก็มีจิตที่เป็นกลางไม่ยึดมั่นถือมั่น จึงไม่ได้บันทึกอะไรลงไปเพิ่มในจิตอีก (เปรียบดังคำเปรียบเทียบในคำสอน น้ำกลิ้งบนใบบัว) เมื่อจะเข้าสู่สภาวะอรหันต์ จึงเป็นสภาวะที่จิตไร้การบันทึกใดๆ และไม่บันทึกสิ่งใดอีก อย่างนั้นใช่มั้ยครับ

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขอบคุณครับคุณ Supop

    เอ..แต่เราฝึกแบบตั้งสติไว้ก่อนแล้วค่อยลุย แบบนั้นมันเป็นการรู้ตัวล่วงหน้าตั้งท่าไว้ก่อนหรือเปล่าครับ กรณีนี้ผมก็ใช้อยู่เหมือนกัน เวลาผมไปไหนกับภรรยา ถ้าเกิดเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่ขั้วปอดไปทางด้านขวาหน่อย ผมจะเดาได้ว่าภรรยากำลังหงุดหงิด ดังนั้นผมจะระวังและทำตัวให้เรียบร้อยน่ารัก เป็นคนว่าง่ายสุดๆ ครับ เพราะเคยโดนมาแล้ว :D

    มันน่าจะเป็นแบบหมัดต่อหมัด คือไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อกระทบแล้ว กลับวางเฉยได้ ไม่เกิดอาการต่ออีกเลยรึป่าวครับ แต่ผมก็ยังไปไม่ถึงจุดนั้นหรอกครับ :p
     
  6. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    - ถามว่าหลังจากที่คุณรู้ว่าโกรธนี่ ความโกรธมันดับลง(ค่อยๆดับลง)โดยที่คุณไม่ได้ทำอะไรเลยเหรอครับ ไม่มีการกำกับจิตเลยเหรอครับ

    ตอบครับ : ขอตอบตามที่ผมเข้าใจนะครับ

    ผมขอตอบโดยยกเอาข้อความตามบรรทัดที่ขีดเส้นใต้สีชมพู สีเหลืองและแถบสีเขียวในหน้าที่ 11 และ 12 จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ และตอบปัญหาการปฏิบัติธรรม โดย พระภาวนาพิศาลเถร (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ) เพราะท่านอธิบายไว้ได้ดีมากครับ

    ?temp_hash=71c2ed188595a385ce7a429b3a91c04e.jpg



    ตามความเข้าใจผม ถ้ารู้ว่าอยากนี่แสดงว่าตัณหาได้เกิดขึ้นแล้ว.. หมายถึงตาเห็นหน้าอกผู้หญิง ส่งผ่านมาที่ใจ จิตได้ปรุงแต่งเป็นที่เรียบร้อย จึงเกิดตัณหาความอยากขึ้น...

    ถามครับ ...
    - 1. ก่อนที่คุณจะรู้ถึงการเกิดของตัณหา..อยาก...คุณได้รู้ถึงสภาวะการปรุงแต่งของจิตหรือเปล่าครับ


    ตอบครับ : ขอตอบตามที่ผมเข้าใจนะครับ

    รู้ครับ แต่มันรู้แบบรวดเร็วมากๆครับ โดยจิตมันปรุงแต่งไปว่า หน้าอกของผู้หญิงคนนั้น สวยงามน่ารักน่าใคร่จนอยากมีความสัมพันธ์ด้วย

    - 2. แล้วที่ว่ารู้ว่าอยาก แล้วความอยากมันดับลง คุณทำอะไรให้มันดับหรือว่ามันดับไปเองครับ

    ตอบครับ : ขอตอบตามที่ผมเข้าใจนะครับ

    รบกวนดูคำตอบตามข้อความในหนังสือหลวงพ่อพุธ ฯ ครับ


    - อันนี้ที่ผมเข้าใจคือเป็นการแยกจิตกับกายครับ โดยเอาจิตดูอาการปวดของกาย แล้วต้องวางใจให้เป็นอุเบกขา...อันนี้ที่ผมทำ....ไม่ทราบว่าคุณทำแบบนี้ นี้แบบอื่นครับ... ถ้าเป็นแบบอื่น ขอทราบเป็นความรู้ด้วยครับว่าทำยังไง...

    ตอบครับ : ขอตอบตามที่ผมเข้าใจนะครับ

    ผมทำสองแบบครับ แบบแรกตามที่คุณ Pinit417 กล่าวไว้ครับ แต่จิตกับกายยังไม่แยกจากกันเด็ดขาดยังมีความปรุงแต่งอยู่

    ส่วนแบบที่สอง นั้นน่าจะเป็นไปตามข้อความในหนังสือของหลวงพ่อพุธครับ คือ จิตว่าง จิตนิ่ง จิตไหว เห็นจิตกับกายแยกออกจากกันแบบเด็ดขาด

    - สุดท้ายคุณปฏิบัติโดยใช้หลักปฏิบัติแบบไหนครับ

    ตอบครับ :กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน น้ำหนักการปฏิบัติระบุไว้เป็นตัวเลขโดยประมาณ ครับ เลข(5) มากที่สุด.......เลข(1) น้อยสุด

    • กำหนดลมหายใจ (อานาปานสติ) (5)
    • กำหนดรู้ทันอิริยาบถ (อิริยาบถ) (5)
    • สร้างสัมปชัญญะในการกระทำความเคลื่อนไหวทุกอย่าง (สัมปชัญญะ) (4)
    • พิจารณาส่วนประกอบอันไม่สะอาดทั้งหลายที่ประชุมเข้าเป็นร่างกายนี้ (ปฏิกูลมนสิการ) (1)
    • พิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยสักว่าเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ (ธาตุมนสิการ) (1)
    • พิจารณาซากศพในสภาพต่างๆอันแปลกกันไปใน 9 ระยะเวลา ให้เห็นคติธรรมของร่างกายของผู้อื่นเช่นใด ของตนจักเป็นเช่นนั้น (นวสีวถิกา) (1)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  7. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,868
    ความชอบธรรมจากประชาธิปไตย จะเกิดขึ้นไม่ได้หากเราใช้สิทธิเพียงเสียงเดียว
    ก่อนเรานั้นจะแต่งตั้งใคร เราต้องสอบถามจากท่านต่างๆก่อนครับ
    ว่าท่านต่างๆเห็นตามความเป็นจริงไปทางไหนกันบ้าง ไม่เช่นนั้นเมื่อเราฟังเรารับรู้อะไรขึ้นมา
    เราก็จะใช้ความเห็นจากเรานั้นเป็นตัวตัดสิน จากประสบการณ์ที่เรารับรู้มา

    หากเรื่องราวของคนๆหนึ่งสามารถนำมาเป็นเรื่องราวคลายเครียดได้
    เราก็ควรเทียบเคียงด้วยว่า ประสบการณ์ที่เราผ่านมานั้นสามารถนำไปช้วยเขาได้หรือไม่
    หากช้วยก็แล้วอะไรก็แล้ว แต่ก็ยังช้วยอะไรไม่ได้ เลยมองเป็นเรื่องคลายเครียดและปล่อยๆไป
    หากเป็นเช่นนั้น การที่เราได้ไปอยู่ในจุดที่เขายืนอยู่
    เรานั้นก็ไม่สามารถนำประสบการณ์ที่เรามีนี้ ช้วยอะไรตัวเราเองได้เหมือนกัน
    เรากับเขานั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันเลย การหาข้อลงลอยในใจได้ก็นับว่าเป็นประชาธิปไตย

    อันนี้ผมเข้ามาทักทายลุงนีโอเฉยๆนะครับ ไม่ได้เจตนามาอัดมาอะไร
    ผมพิมพ์เพื่อความลงตัว ไม่ได้พิมพ์เพื่อมาอัด ผมไปเล่นเกมส์ละครับ ^_^
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ถูกต้อง หาก ณ ขณะที่ทำการบันทึกนั้น "อัตตาจิต มีสติ เป็นองค์ประกอบ" อัตตาจิตนั้น ๆ ย่อมสามารถ "ระลึก (reload)" ได้ในภายหลัง

    +++ แต่ถ้าหาก ณ ขณะที่ทำการบันทึกนั้น "อัตตาจิต ไม่มีสติ เป็นองค์ประกอบ" อัตตาจิตนั้น ๆ จะไม่มีขีดความสามารถ "ระลึก (reload)" อะไรได้เลย

    +++ แต่ "สภาวะรู้" ที่รู้กิริยาจิตทั้งหมดนี่แหละ สามารถ reload ทุกอย่างกลับมาได้หมด ทั้ง ๆ ที่ "อัตตา" ไม่สามารถจะทำได้

    +++ "ตัวของสภาวะรู้เอง ไม่มีการ reload" แต่อย่างใดทั้งสิ้น นั่นแล... วิญญาณที่ตายไปแล้วจึง ไม่สามารถโกหกยมทูตหรือผู้ใดได้

    +++ จิตจะต้องเป็นไปตาม "กรรม" และวิบาก ทั้ง ๆ ที่ "จำอะไรไม่ได้" ก็ตาม เมื่อกายหยาบสิ้นไป วงจรที่ละเอียดกว่า ย่อมกลับมาทำงานด้วยตัวมันเอง
    +++ การเกิดเป็นภพชาติ ขึ้นอยู่กับ "อัตตา (จุติจิต วิญญาณขันธ์)" ไปเชื่อมต่อกับ สัญญา (ขันธ์) แล้วนำมา ปรุงเป็นสังขาร (ขันธ์) เมื่อเกิดอาการ เข้ากันได้ ความรู้สึก (เวทนาขันธ์) ก็จะนำไปสู่การ อยู่-ย้าย ทางจิต (จุติ) จากนั้น รูปกาย จึงบังเกิดขึ้นภายหลัง

    +++ จะชัดเจนได้ว่า "สิ่งที่บันทึกไว้" เพียงอย่างเดียว ย่อมไม่สามารถทำให้ไปเกิดได้ เพียงแต่ว่ามันยังมี "อิทธิพล" ต่อการเกิดและดำรงค์อยู่ในอีกวงจรชีวิตหนึ่ง ตรงนี้เรียกว่า "วิบาก"
    +++ อาการที่กล่าวมา "มีอยู่จริง" แต่นั่นเป็นอาการของ "อสัญญีภูมิ ไม่ใช่ อริยะภูมิ" ต้องระวังให้มาก ๆ นะตรงนี้ "อันตราย"

    +++ การฝึกแบบ "อสัญญีภูมิ" มาจากการบังคับให้ "จิตสงบ แล้ว ละวางปล่อยวางสรรพสิ่ง โดยไม่ยอมให้จิตเข้าใจอะไรเลย (ปิดความรู้แจ้ง)"

    +++ ทุกอย่างจะอยู่ใน "ปัจจุบัณขณะ จริง แต่ จะทรงอารมณ์ ซึม-มึน ฉ่ำ-เย็น" ตลอดเวลา จึงได้รับการขนานนามว่า "โลกียะนิพพาน"

    +++ อาการของ "สติ" จะถูกตัดออก จะเหลือแต่การ "ทรงอารมณ์" อย่างเดียว และนี่คือที่มาของคำว่า "อสัญญี" หรือ "ความจำเสื่อม" นั่นเอง

    +++ แต่ว่า สิ่งที่บันทึกเก่า ๆ (กฏแห่งกรรม) นั้นไม่สามารถไปลบล้างอะไรได้ (เกินความสามารถของ อัตตาจิต) เพียงแต่ถูกลืมไป "ชั่วคราว" เท่านั้น
    +++ สรรพสิ่งที่ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" ที่ อัตตา ได้ประสพมาด้วยตน แม้ว่าจะ "ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ตาม" แต่จะบอกว่า "ไม่มีความจำ" นั้น ไม่ถูกต้อง สรรพสิ่งย่อม "โดนบันทึก" ไว้ทั้งหมดนั่นแล...
    +++ หากเป็น "สัญญา+สังขาร (หมวดรูป)" ที่ปั่นหมุนอยู่ โดยที่ "วิญญาณ" ยังรับ เวทนาขันธ์ ได้อยู่ แล้วมีสภาพดั่ง "น้ำกลิ้งบนใบบัว" ตรงนี้อยู่ในระดับของ พระโสดา สกิทาผล ขึ้นไป

    +++ หากเป็น "วิญญาณ+เวทนา (หมวดนาม)" ที่ถูกรู้ แล้วมีสภาพดั่ง "น้ำกลิ้งบนใบบัว" ไม่เกลือกกลั้วกับ "สภาวะรู้" ตรงนี้ จึงอยู่ในระดับของ ผู้ที่เป็นพระธาตุ ขึ้นไป
    +++ อาการของ "อสัญญีภูมิ" เป็นอย่างนั้น เป็น "โลกียะนิพพาน โลกียะอรหันต์" ในยามที่ยังทรงอารมณ์อยู่ แต่ยามใดที่ไม่ได้ทรงอารมณ์ ยามนั้นอาจ ใส่กางเกงยีนปีนกำแพงวัดออกมาได้

    +++ ความเข้าใจในสภาวะธรรมของคุณ Supop ณ ปัจจุบัณขณะ ชี้ไปที่ "อสัญญีภูมิ" อย่างค่อนข้างเด่นชัด

    +++ หากคุณ Supop จะใช้การ "พิจารณา แบบ ชาวบ้านธรรมดา" ก็ได้ ก็ให้ลองพิจารณาแบบคร่าว ๆ ว่า

    +++ "จิตเป็นอนิจจัง (แปรปรวน) จิตเป็นทุกขัง (ตั้งไม่ได้) จิตเป็นอนัตตา" (ไม่ใช่ตน) กับคำว่า "ทำจิตให้สงบ (ไม่แปรปรวน) ทำจิตให้ตั้งมั่น (ตั้งให้ได้)"

    +++ คุณ Supop เห็นอาการ "ขัดแย้ง กันแบบ สุดขั้ว" ของประโยคข้างบนนี้หรือไม่

    +++ ถ้าหากคำว่า "จิต" ของประโยคข้างบน เป็นอาการเดียวกันล้วน ๆ ย่อมแน่นอนว่า ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ย่อมต้องไปยัง "อเวจีมหานรก" อย่างแน่นอน

    +++ แต่กลับกลายเป็นว่า "ทั้งสองฝ่าย กลายเป็นพระธาตุ" ทั้งหมด ดังนั้น "ปัญหา" มันไม่ได้อยู่ที่ "คำสอน" แต่ทั้งหมดมันอยู่ที่ "ความเข้าใจในคำว่า จิต" ของแต่ละบุคคลต่างหาก

    +++ ดังนั้น ผมจะ "ตัด" การอธิบายที่ "เฝือ" ออกไป และ ขอให้คุณ คุณ Supop ลองกลับไป "ทำ 1 นาที" ตรงนั้นดู แล้วจะรู้ได้ว่า

    +++ ยามใดที่ "การกำหนดจิตทุกชนิด ถูกรู้" ยามนั้น "อาการของ "ตัว" ที่ทำการกำหนดทุกชนิดจะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

    +++ ยามใดที่ "การกำหนดจิตทุกชนิด ถูกรู้" ยามนั้น "อาการของ "สภาวะรู้" ที่ไร้การกำหนด จะเป็น จิตสงบ จิตตั้งมั่น"

    +++ ตรงนี้เป็นเรื่องของ "ผู้ที่ลงมือปฏิบัติ" เท่านั้น ที่จะชัดเจนได้ว่า ในยามใด ครูบาอาจารย์ท่านใช้คำว่า "จิต" ในสภาวะการณ์ไหนกันแน่

    +++ หากคุณ Supop จัดการกับ 1 นาทีนั้นได้อย่างชัดเจน ก็จะเริ่มก้าวย่างเข้าสู่อาการของ "น้ำกลิ้งบนใบบัว ไม่เกลือกกลั้วระคนกัน" ได้ในไม่นาน

    +++ ตรงนี้เป็น "ก้าวแรก" เท่านั้น ส่วน "ก้าวสุดท้าย" จะต้องผ่านการ "รู้แจ้ง จน สิ้นสงสัยในสภาวะธรรม ทั้งหมด" จึงจบกิจตามความเป็นจริงได้

    +++ ขอให้คุณ Supop เจริญในธรรม ยิ่ง ๆ ขึ้นไป นะครับ
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    อ้อ!! คับคับ
    ชอบเลย เสาหลักประชาธิปไตยมาเอง
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อืม....ดีป๊ะ...
    ผมก็ว่า ผมขี้โม้อยู่นะ ดีนะที่ไม่ไช่พระ
    ไม่งั้นคงโดนข้อหา..อวด อุตริมนุษย์ที่เขาทำ กันน่ะ
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ดวงจันทร์คืนนี้ เล็กผิดปกตินะ
    ทำไมมันเล็กจัง
    ดวงจันทร์แคระ

    มันไช่ ดวงจันทร์ ดวงเดิม เปล่าเนี่ย?
     
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,419
    ค่าพลัง:
    +3,195
    อ้างอิงท่านธรรมชาติ

    +++ การเกิดเป็นภพชาติ ขึ้นอยู่กับ "อัตตา (จุติจิต วิญญาณขันธ์)" ไปเชื่อมต่อกับ สัญญา (ขันธ์) แล้วนำมา ปรุงเป็นสังขาร (ขันธ์) เมื่อเกิดอาการ เข้ากันได้ ความรู้สึก (เวทนาขันธ์) ก็จะนำไปสู่การ อยู่-ย้าย ทางจิต (จุติ) จากนั้น รูปกาย จึงบังเกิดขึ้นภายหลัง

    +++ จะชัดเจนได้ว่า "สิ่งที่บันทึกไว้" เพียงอย่างเดียว ย่อมไม่สามารถทำให้ไปเกิดได้ เพียงแต่ว่ามันยังมี "อิทธิพล" ต่อการเกิดและดำรงค์อยู่ในอีกวงจรชีวิตหนึ่ง ตรงนี้เรียกว่า "วิบาก"

    [/QUOTE]

    วิบากคือแรงดึงดูดของพลังงานกรรม ที่ทำให้ต้องคล้องกรรมและเกี่ยวเวรกรรมส่งผลให้ต้องชดใช้กันในข้างหน้า ถ้าหากอีกฝ่ายหนึ่งให้อภัยอโหสิกรรม ตรวจสอบอารมณ์แล้ว ไม่มีผลอะไรอีกกับบุคคลนี้ จิตไม่เคลื่อน ดับสนิท แสดงว่าตัวเราหมดแรงดึงดูดของพลังงานกรรมที่ตัองมาเกี่ยวข้องและจองเวรกันกับบุคคลนัันอีกใช่ไหมค่ะ เพราะไม่มีพลังงานกรรมในเรื่องนั้น ก็ส่งผลให้หมดวิบากกรรมเรื่องนั้นไป. แต่บุคคลที่มาคล้องกรรมกับเราเขายังไม่เลิกรา เขายังมีพลังอารมณ์ในเรื่องนี้อยู่ ทำให้ต้องมีแรงดึงคล้องกรรมในเรื่องนีักับบุคคลอื่นต่อไป

    สิ่งที่เราทำไปโดยพลาดพลั้งถ้าเราไม่อยากมีเวรกรรมในเรื่องอย่างนี้ จะทำอย่างไรให้แรงกรรมนั้นหมดไปจากใจเรา

    การขออโหสิกรรมทำให้หมดการคล้องกรรมกัน ไม่มีการจองเวรกัน หมดแรงดึงดูดกรรมประเภทเจ้ากรรมนายเวร. แต่ผลการกระทำที่เป็นพลังงานกรรมจะหมดไปไดัอย่างไรค่ะสำหรับเรื่องนั้น

    กรรมทุกอย่างมีแรงดึงดูด พลังงานของกรรม ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ค่ะ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ตรงนี้ชี้ถึง การยุติการจองเวรเท่านั้น คือ ไม่ทำกรรมต่อ ส่วน "วิบาก" หากยังไม่ได้ชดใช้ ก็จะยังไม่หมดไป ให้ศึกษาในเรื่องที่ พระพุทธเจ้า ต้องให้พระอานนท์ไปตักน้ำสะอาดถึง 3 ครั้ง กว่าจะได้ดื่ม วิบากตรงนี้ "กี่อสงไขย" ไปแล้วล่ะ แต่มันก็ยังตามส่งผลจนกว่าจะ ชดใช้ ตรงนี้เป็น ระดับของพระพุทธองค์นะ
    +++ กรรมนั้น ระงับได้ที่ตน แต่ วิบากจะหมดไป เมื่อชดใช้แล้ว เท่านั้น
    +++ คำตอบ อันเดียวกันกับ บันทัดข้างบนนะ
    +++ เมื่อวงจรของ วิบาก โคจรมาถึง และ ได้ชดใช้มันไป จึงจะจบลงได้ (พระพุทธเจ้า พระโมคคัลลา พระองคุลีมาล ฯลฯ)

    +++ ไม่มีกรรมใดที่สลายวิบากได้ มีได้แค่ ถ่วงเวลาให้มันถอยไปก่อนเท่านั้น ตรงนี้เป็นเรื่องของ วิปปะยุตตาธรรมา
    +++ หาก "เห็น" วงจรการทำงานของ กรรมและวิบากแล้ว ก็จะ รู้ ได้เองโดยไม่ต้อง คิด นะครับ

    +++ กว่าจะได้เข้ามาอีก ก็คง หลังสงกรานต์ไปแล้ว ขอให้มีความสุขในช่วงสงกรานต์นี้ ด้วยความไม่ประมาท นะครับ
     
  14. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ = ผู้มีจิตที่ตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง

    ทำข้อ 2 ได้แล้วก็ได้คำตอบข้อ 1
     
  15. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    เอามาจากหนังสือหลวงพ่อพุธครับ ชื่อธรรมปฏิบัติและตอบปัญหาการปฏิบัติธรรม

    โพสก่อนหน้านี้เห็นมีคนเอ่ยถึงคำว่า อัตโนมัติ

    ?temp_hash=0a5c88dbcb63bb314da776c7df1ee9d4.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ขออนุโมทนาในธรรมทุกท่านอีกครั้งครับ

    คุณTboon กระผมว่า ก็คงแล้วแต่คุณล่ะครับ อาจจะกลัวหลง แต่กระผมรู้อะไรมาทำหมดลองหมดครับ เลยเจ็บตัวเยอะหน่อยครับ

    ขอบคุณ คุณธรรมชาติด้วยครับ สำหรับคำชี้แนะ

    กระผมต้องขอโทษด้วยครับ หากกล่าวสิ่งใดทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่ต้องการจะบอกนะครับ
    เรื่องการขจัดสิ่งเก่าที่ค้างในจิต กระผมหมายถึง ความเห็นผิด หรืออวิชชาที่เคยมีมาน่ะครับ ไม่ใช่การกระทำที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เรื่องนี้ช่างมันเถอะครับ เพราะกระผมยังไม่แน่ใจอะไร อย่างที่บอก กระผมจะเข้าใจได้ต้องวนดูวนรู้กันหลายรอบครับ

    เรื่องอสัญญีภูมิ กระผมก็ไม่รู้จัก ต้องไปค้นอากู๋ดู จึงถึงบางอ้อ อ๋อ พรหมลูกฟัก มีคุยกันว่า มีแต่รูปไม่มีนามใช่มั้ยครับ กระผมอาจจะไม่ถึงขนาดนั้นก็ได้ม้งครับ

    เพราะกระผมไม่เคยไปแช่จิตไว้ที่ไหน ไม่เคยหยุดอยู่กะที่น่ะครับ ไม่แน่ใจว่าท่านอื่นจะเป็นเหมือนกันไหม กระผมทำไปพอรู้ไป มันก็รู้ได้ว่ายังไม่ใช่ แล้วมันจะเห็นเค้าโครงของการเดินทางต่อไป เห็นเป็นลางๆ (คำเปรียบเทียบนะครับ)
    อย่างเช่นที่ได้รู้จักความสงบครั้งแรกๆ แล้วมีความรู้สึกพอใจตรงนั้น ไม่อยากแม้แต่จะขยับไปไหน (นี่รวมทั้งอารมณ์ตอนที่ไม่ได้ทำสมาธิด้วยนะครับ) พอมีสัญญาเกิดว่าจะไปแล้วต้องไปทำไอ้นั่นไอ้นี่ ก็ไม่อยากไป แม้แต่อาการทางเพศที่เกิดมาจากกายก่อน พอจิตรู้ปั๊ป มันเห็นเป็นฉากๆเลยครับ ว่าจิตต้องเคลื่อนออก ต้องไปออกแรงทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วจิตมันเหนื่อยจากสภาวะหยาบที่จิตจะเข้าไปหาไปร่วมปรุง ก็เลยไม่ร่วมปรุง นิ่งสงบอยู่เหมือนเดิม
    กระผมก็ไม่รู้ว่าทำไม รู้เลยว่าอย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้มันขี้เกียจแล้วนี่นา ก็เลยหลุดจากสภาวะนั้นมา

    และกระผมทำวันๆนึงหลายกรรมฐานครับ เช่นพิจารณาบ้าง สติบ้าง สมาธิบ้าง แต่ว่าแต่ละอย่างกระผมก็ไม่ได้เอามารวมกันนะครับ เวลาพิจารณากระผมก็พิจารณา เวลากำหนดสติกระผมก็อยู่แต่กับสติ เวลานั่งสมาธิกระผมก็นั่งสมาธิไม่ได้คิดอะไร ทำไปตามตำราครับ

    กระผมอ่านข้อความของคุณธรรมชาติแล้ว ก็สงสัยครับ ว่า จิตสงบ จิตตั้งมั่น ของคุณธรรมชาติ เริ่มมาจากการกำหนดกรรมฐานกองไหนครับ อานาปานสติรึเปล่าครับ ยังไม่เข้าใจจริงๆครับ

    สิ่งที่คุณธรรมชาติแนะนำมา 1 นาทีนั้น กระผมก็ยังไม่เข้าใจครับ อาจจะปัญญายังไม่ถึง คงต้องค่อยเป็นค่อยไป ไปก่อนนะครับ ขออภัยด้วยครับ
    และขอให้คุณธรรมชาติเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปเช่นกันครับ

    และขอบคุณ คุณ poon-pan ด้วยครับ ที่นำคำสอนหลวงพ่อพุธ มาลงให้อ่านครับ

    วันนี้ขอพอเท่านี้ก่อนครับ

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  17. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    เพิ่มเติมนิดหนึ่งนะครับ การมีสติอยู่ตลอดเวลานั้นถูกแล้ว แต่ยังไม่ใช่ปัญญาแท้จริง คู่ชกคุณยังมีอยู่ คุณจะต้องคอยตั้งกราดอยู่ตลอดเวลา พอคุณเผลอ ไม่มีสติ มันก็ชกคุณคว่ำเท่านั้น เท่ากับคุณมีงานอยุ่ตลอดเวลา คอยระวัง จะไปไหนทำอะไรต้องคอยตั้งกราด มีสติคอยควบคุม สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น ต้องไร้คู่ชก ไม่ได้หมายถึงให้คุณชกกับใคร แต่หมายถึง อนัตตาธรรม ความว่าง เมื่อคุณไม่มีงานแล้ว ก็ถือว่าจบกิจ เป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง
     
  18. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    อ่านๆ ที่คุณ Supop เล่า ผมว่าเป็นเพราะคุณ Supop ยังภาวนาไม่เห็นความเกิดดับอย่างแท้จริงน่ะครับ จะเห็นความเกิดดับอย่างแท้จริงได้ จิตต้องเป็นกลาง คือพ้นความจงใจ ไม่เลือกข้าง แต่แค่รับรู้ไปตามความจริงตามอาการที่มันเป็นก็พอ ไม่หลงกระทำ มิใช่ติดดี ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับชั่ว (อกุศล) แบ่งขั้วเลือกข้างอย่างชัดเจนอะไรอย่างนี้จะไม่ใช่ ไม่เป็นกลาง แค่เอาชนะชั่วได้ แต่จิตเกิดอยู่บนกองกุศลคืออาจหาญร่าเริงอยู่บนความดีแบบนี้จะไม่เห็นเกิดเห็นดับขาดจริงๆ ผมเลยว่าไม่เห็นความเกิดดับอย่างแท้จริงไงครับ

    นี่ถ้าเห็นความเกิดดับด้วยความเป็นกลางอย่างแท้จริงได้ เผลอๆ จะพลิกไปเห็นอสังขตธรรมได้ ถ้าเห็นแจ้งล่ะก็ จะแจ้งในทุกข์ที่แท้จริง เริ่มเห็นทางปฏิบัติชัดเจน อาจจะเลิกทดลองไปเรื่อยๆ เลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2017
  19. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    กลับมาเห็นจิตเกิดบนฟากฝั่งแห่งความสำเร็จด้วย (ถ้ามี) ผมว่าน่าจะโอเค เห็นทุกมุม มุมไหนนำความพอใจ ยึดมั่นถือมั่น มีตัวตนปรากฏ เห็นหมด คือเห็นทุกมุมตามความเป็นจริง แบบนี้จะปราศจากอคติความลำเอียง รวมทั้งไม่เพ่งโทษตนเองด้วย (ถ้าเพ่งโทษมันจะกลายเป็นว่าคอยจดจ้องเอาผิด) ปล่อยมันไป รู้เมื่อเกิด ตามความเป็นจริง สติน่าจะเกิดบ่อยหรือต่อเนื่องอยู่แล้ว เพียงแต่อาจจะมองข้ามบางอย่างไปเองก็ได้
     
  20. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ยินดีครับและขอบคุณคุณ Supop

    ผมค่อนข้างใหม่สำหรับกระทู้นี้ ถ้าผมได้ทำอะไรผิดพลาดพลั้งไปด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ขอขมาลาโทษด้วยนะครับ

    ผมขอกล่าวคำสาธุ กับ จขกท.และเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคนที่ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนสอบถาม และชี้แนะการปฏิบัติธรรม

    ผมรู้สึกซาบซึ้งกับกระทู้นี้ที่ทำให้ผมเกิดความตั้งใจ และสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าการปฏิบัติให้มากขึ้น สิ่งที่เพื่อนๆได้ถกกันเรื่องปฏิบัติมันเป็นเหมือนแรงผลักดันกระตุ้นให้เราฝักใฝ่ในธรรมปฏิบัติ

    ทำให้ได้มีโอกาสทบทวนการปฏิบัติที่ผ่านมาอย่างจริงจังโดยเทียบเคียงกับการปฏิบัติของเพื่อนๆและจากหนังสือของหลวงพ่อพุธที่ได้มาตั้งนานแล้วแต่อ่านไม่เคยจบและก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...