เกี่ยวกับปรามาส ผู้ทรงฌานสมาบัติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย pam16, 25 มกราคม 2017.

  1. pam16

    pam16 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +3
    รบกวนหาชาดก เรื่องที่ผู้หญิง คนหนึ่ง ถ่มน้ำลายใส่ผู้ทรงฌาน บาปกรรมที่ทำกับผู้ทรงฌาน นี้บาปแค่ไหน ครับ
    (ถ่มน้ำลาย พูดว่าท่านไม่มีคุณความดี ว่าฌานท่านไม่มี พูดใส่ร้ายท่านเกินความจริง). บาปไหมครับ
    สงสัยจะขอขมาแล้วก็ยังไม่พ้นกรรม
     
  2. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทุกสิ่งที่ทำลงไปด้วย มิจฉาทิฐิ ยอมมีผลครับ
    จะถ่มน้ำลายไส่ใคร ก็ไม่สมควรครับ
     
  3. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    เอาละหลังจากที่ ทำไปเเล้ว วิธีทำหนักให้เบาคือ ดันตัวเองให้ดีเป็นพระอริยเจ้า ตามไป หรือ
    อรหัตน์ เสมอกันไปเลยในส่วนการตัดกิเลส จบข่าว หนีบาป บุญ ถ้าเวียนตายเกิดยังอาจต้องสนองกรรมสักวัน

    บาปอย่าตามคิด เพราะมันจะบันทึกลงไปในแผ่น dvd ของจิตเรา คิดบวก คิดดีคิดบุญ เช่น อนุโมทนาบุญต่างๆ
     
  4. จตุรอาชา

    จตุรอาชา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +48
    แล้วคนที่ปรามาสพระโสดาบันละครับ ทั้งจากเจ้านายในที่ทำงานตำหนิโสดาบัน เพื่อนสนิท พ่อแม่พี่น้อง ลูกเมีย ใช้ชีวิตเหมือนปุถุชนทุกวันมันหลีกไม่พ้นเรื่องพวกนี้ คนสนิทรอบตัวมิต้องพลอยซวยดอกฤาครับ ที่ยกพระโสดาบันมาถามเพราะเห็นว่าใช้ชีวิตใกล้เคียงปุถุชนที่สุดแล้ว
     
  5. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ไม่ต้องถึงกับพระโสดาหรอกครับ ใครก็ได้ลองเดินไปตบกระบานเขาดูสิครับ ยิ่งไปทำกับผู้มีคุณอย่าง พ่อ เเม่ หรือคุณต่อศาสนา ต่อแผ่นดิน ก็ยิ่งมีคนไม่ชอบเรายิ่งกว่า พวกที่ไม่มีความดี (ผมว่ามันไม่น่าเข้าใจยากเลยนะครับ)
     
  6. จตุรอาชา

    จตุรอาชา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +48
    เอามาฝากจากพันกระติ๊ป เห็นว่าผู้ตอบมีความรู้ เป็นการตอบที่ฉะฉาน กระแทกใจวัยรุ่น คลายข้อกังขาได้หลายข้อ โยมนิโสมนสิการ ชอบก็น้อมไว้ ไม่เห็นด้วยก็ปล่อยผ่านไป




    ความคิดเห็นที่ 2.................

    ท่านเหล่านั้นมีคุณธรรมสูงกว่าเราปุถุชน เมื่อเราไปมาสอริยะบุคลผลของกรรมนั้นย่อมส่งผลรุนแรง ถึงกับปิดกั้นมรรคผล เพราะวิบากที่เป็นอริยะปุกวาทส่งผลให้จิตไม่อาจเข้าถึงธรรมที่ท่านเหล่านั้นได้บรรลุแล้ว หากพลั้งปากปรามาสไปให้รีบขอขมาลาโทษเสีย จึงมีการขอขมาพระรัตนไตรเพื่ออดโทษที่เคยปรามาสพระอริยะบุคคลในอดีต แม้พระอริยะบุคคลขั้นต้นปรามาสพระอริยะบุคคลระดับสูงกว่า ก็ต้องขอขมาลาโทษเช่นกัน

    คำพูดของคุณถูกครอบด้วยลัทธิพราหมณ์ ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เพราะมันตรงข้ามกับพระสัทธรรมอย่างสิ้นเชิง
    คุณเอาสัตตทิฐิและความเชื่อในปาฏิหารย์มามั่ว
    ในความเป็นพุทธนั้นสิ่งมีชีวิตทุกอย่างย่อมเสมอกันด้วยความเป็นสัตว์โลก
    ความเป็นอริยบุคคลไม่ว่าระดับใด ล้วนไม่แตกต่างกับปุถุชน ในความเป็นบุคคลหรือสัตว์โลกเช่นกัน

    ปัญญาแห่งความเป็นอริยะ มันเป็นปัจจัตตังล้วนเป็นเรื่องเฉพาะตน
    การปรามาสผู้อื่น ผลของการปรามาสย่อมเกิดแต่เฉพาะผู้ปรามาสแต่ฝ่ายเดียว
    ผู้ทีถูกปรามาสไม่มีผลอะไรกับผู้ถูกปรามาส

    การเจริญสัมมาศีลต้องเจริญที่กายใจตน การไปปรามาสผู้อื่น(ไม่แต่เฉพาะอริยะ) ย่อมทำให้บุคคลนั้น
    เกิดความเดือดร้อนใจ ......นี้เป็นอุปสรรคของการเจริญปัญญา
    ต่อให้เป็นโสดาบันถ้าปรามาสปุถุชนแล้วเกิดความเดือดร้อนใจ.....ย่อมเป็นอุปสรรคแห่งการเจริญสัมมาศีล

    พระพุทธองค์ทรงสอนว่า สรรพสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุ(เป็นธรรมชาติ)
    ผู้ใดกล่าวว่าการปรามาสอริยะแล้วจะส่งผลไปต่างๆนาๆ บุคคลนั้นเป็นโมฆะบุรุษ

    การกระทำเกิดที่ตน ผลย่อมเกิดที่ใจตน.......คนอื่นไม่เกี่ยว

    ยกตัวอย่างในพระบาลี

    ในสมัยพุทธกาลมีภิกษุหนุ่มและภิกษุชราสองรูป เดินบิณบาตรในหมู่บ้านยามเช้า พระภิกษุชราสำเร็จพระอรหันต์ ส่วนพระภิกษุหนุ่มเป็นพระโสดาบัน แต่ภิกษุหนุ่มไม่ทราบมรรคผลของภิกษุชรา เมื่อได้อาหารมาแล้วทั้งสองรูปก็เดินทางกับอาราม ระหว่างทางกลับพระภิกษุชราทนความหิวไม่ไหวจึงนั่งลงฉันอาหารเสียบนขอนไม้กลางทาง พระภิกษุหนุ่มนึกตำหนิว่าสมณะแก่รูปนี้กระทำไม่เหมาะสม พระภิกษุชราทราบวาระจิตของภิกษุหนุ่มจึงถามไปว่า

    "ท่านสำเร็จมรรคผลหรือยัง"
    ภิกษุหนุ่มกล่าวตอบว่า
    "กระผมสำเร็จมรรคผลเป็นพระโสดาบัน"
    ภิกษุชรากล่าวว่า
    "ท่านมาหมิ่นเราผู้หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นการไม่สมควร จะเป็นการปิดกั้นมรรคผลนิพพานขอท่านจงขอขมาเราเสีย"
    พระภิกษุหนุ่มจึงกราบขอขมาพระภิกษุชราลง ณ ที่ตรงนั้น


    อ้างบาลี ถ้าบอกว่าสิ่งที่ตัวอ้างเอามาจากพระไตรปิฎก รู้ตัวหรือเปล่าว่า ไอ้สิ่งที่ตัวอ้างมันขัดแย้งกันเอง
    เป็นพระอรหันต์ปะสาอะไรกัน ดันทลึ่งวางมาดอวดอัตตา

    คำพูดของภิกษุชรา แสดงให้เห็นว่าตนกำลังถูกกิเลส มานะสังโยชน์ครอบงำอยู่
    ทำให้พูดจาแบ่งความเป็นบุคคลว่าตนอยู่สูงกว่าเขา........ภิกษุชรานี้มันก็แค่"อวดอุตริ"

    ปล.จะอ้างอะไร มันต้องอ้างด้วยความรู้ อย่าอ้างอะไรสะเป่ะสปะแบบนี้
    มันเหมือนกับกำลังเอาธรรมไปเป็นจำอวด

    ความคิดเห็นที่ 4-1...................

    สุตยมปัญญา คือ ปัญญาขั้นต้นหากขาดปัญญาตัวนี้จะไม่เกิดปัญญาในระดับที่สูงขึ้น


    เลอะเทอะ! อ่านตำราของพวกอาศัยผ้าเหลืองเรียนหนังสือทางโลก(เปรียญ)....แล้วก็เอามามั่วพระสัทธรรม
    คำว่า สุตตะกับปัญญาเป็นคนละส่วนกัน
    สุตตะ...คือ ผู้ที่หาทางหลุดพ้นด้วการศึกษาและปฏิบัติตามพุทธบัญญัติ
    ปัญญาก็คือ ผู้ที่เห็นสภาพความเป็นจริงของธรรมแล้ว พูดง่ายๆว่าได้เห็นความเป็นสภาวธรรมแล้วนั้นเอง

    สุตตะมยปัญญา มันมีความหมายว่า การใช้ปัญญาควบคู่ไปกับการศึกษาบัญญัติของพระพุทธองค์
    การที่บุคคลได้เคยเห็นตัวสภาวธรรมแล้วเท่านั้นจึงจะเข้าใจพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติขึ้น

    อนึ่ง การทรงจำพระธรรมไว้มากเป็นพหูสูตร เป็นมงคลชีวิตข้อหนึ่ง

    สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน พระองค์ทรงเน้นสอนมนุษย์ พระองค์ไม่ได้สอนเดรัจฉานนกแก้วนกขุนทอง
    ฉะนั้นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอน จึงต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เกิดความเข้าใจในธรรมนั้น....พระองค์ไม่ได้สอนให้จำ

    ธรรมของพระพุทธองค์เพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถทำให้บุคคลบรรลุธรรมได้
    เหตุนี้ถ้าใครยังหลงละเมอเพ้อพกว่า ท่องพระสูตรได้มากๆจำพระไตรปิฎกได้เยอะๆก็ต้องของบอกว่า
    กำลังพาตัวเองลงเหว

    ลุงหนวดเคยศึกษาอริยปุกวาท หรือยังขอรับ แนะนำว่าควรศึกษาไว้ประดับปัญญาก็ได้ ด้วยจริตและสติปัญญาของลุงหนวด
    หากไม่มีจิตอันเป็นอกุศลย่อมสำเร็จมรรคผลได้อย่างรวดเร็ว ฝากไว้พิจารณา


    ธรรมท่านมีไว้ให้ถก ธรรมไม่ได้มีเอาไว้อ้างหรือเกทับกัน ขอบอกให้คุณเทวดาเก็บเอาไว้สำเหนียกเลยว่า.....
    อยากจะพิสูจน์ว่าผู้รู้ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ก็เอาสิ่งที่ตัวอ้างมาโพส ...."กรุณาอย่าพูดลอยๆ มันไม่เกิดประโยชน์"
     
  7. จตุรอาชา

    จตุรอาชา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +48
    ยังเป็นการตอบที่ไม่ตรงคำถามนะครับ การตบกบาลกันถ้าไม่ใช่นักเลง ก็คงเป็นเด็กวัยรุ่นที่ตบแกล้งกันเท่านั้น การปรามาส กระทบกระทั่งกันทางวาจาของมนุษย์เป็นเรื่องปกติธรรมดามากๆเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน ความหมายผมคือ คนใกล้ชิดโสดาบันมิซวยดอกฤา ถ้าเช่นนั้นคนที่ใช้ชีวิตรอบข้างโสดาบัน คงตกนรกกันเป็นว่าเล่น วันละหลายสิบรอบ ถ้าไม่อยากให้ใครซวย โสดาบันมีวิธีเดียวคือ บรรลุเมื่อไหร่ หนีเข้าป่าไปอยู่คนเดียวเลย ห้ามใช้ชีวิตปะปนกับปุถุชนเด็ดขาด จะพาให้ชาวบ้านคนรู้จักเขาซวยโดยใช่เรื่อง
     
  8. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    อนุโมทนากับคุณด้วยนะที่พยายามคิดพิจาราณา เป็นสิ่งที่เลิศในการเดินปัญญา

    เมื่อเราพิจาราณา เราจะทราบได้ว่า พระโสดาก็ไม่ไม่สามารถเข้าป่ากันได้หมดอย่างเเน่นอน อันนี้คือความจริง เราต้องปล่อยใจเข้าใจมัน

    ส่วนการตกนรกของคนทำชั่ว มันก็ตกได้หลายเหตุเช่น ทำอาชีพฆ่าสัตว์มีความเสี่ยงสูง สัตว์ส่วนมากก็คงไม่ใช่โสดาบัน มันอยู่ที่ตัวเองทำ

    พระอรหัตน์เองก็เคยทำบาปมาทั้งนั้นเเต่นิพพานได้อยู่ที่ตัวทำ

    สรุปปล่อยวาง สนใจจิตตัวเองให้มาก ถือว่าทุกอย่างเป็นธรรมดา ทำตัวเอาให้เป็นพระโสดาสะก็สิ้นเรื่อง เเค่ศีล 5 นึกถึงความตายเป็นของเเน่นอน นับถือพระพุทธเจ้าคิดวันละครั้ง
     
  9. จตุรอาชา

    จตุรอาชา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +48
    อนุโมทนาสาธุกับความคิดเห็นด้วยครับ

    ถูกต้องเลยครับ พระอรหันต์บางองค์ตอนเป็นฆราวาสทำบาปมามาก ท้ายที่สุดไปค้นพบพระสัทธธรรมก็ยังบรรลุธรรมไปได้ สมัยพุทธกาลมีพวกมิจฉาทิฐิเดินหน้าแดงก่ำ กะจะไปหาเรื่องพระพุทธเจ้าเต็มที่ เจอพระพุทธเจ้าตอกกลับไปแบบนิ่มๆ 2-3 ประโยคดวงตาเห็นธรรมบรรลุธรรมกันไปเป็นแถวๆ ทั้งๆที่ตอนแรกตัวเองเป็นมิจฉาทิฐิแท้ๆยังไม่ได้ขอขมาพระพุทธเจ้าก็ยังบรรลุธรรมกันได้ เพราะในอดีตชาติได้เคยปฏิบัติธรรมจนบารมีเต็มกันหมดแล้ว แต่บุพกรรมไม่ดีส่งผลทำให้กลายเป็นมิจฉาทิฐิ จนกระทั่งได้ไปเจอพระสัทธรรมของจริงจึงดวงตาเห็นธรรมกันได้

    ความหมายอีกนัยยะของการปรามาสผู้ถือศีล และพระอริยะบุคคลทำให้ตกนรกนั้น แท้ที่จริงแล้วหากมองให้ดีๆก็จะพบความหมายในตัวของมันเอง ขนาดระดับคนถือศีลมาโปรด พระอริยะเจ้าลงมาสอนสั่งเอง เหล่าสรรพสัตว์มันยังไม่ฟังกัน แถมยังไปหัวเราะเยาะมองเป็นเรื่องขบขัน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ตั้งตนอยู่ในความประมาท เมื่อประมาทก็ก็เวรก็กรรม เมื่อก็เวรก็กรรมก็มีทุคติภูมิเป็นที่ไป จะเหลือเร้อออ ตัวคนที่ถูกปรามาสไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรด้วยเลย ตัวคนที่ไปปรามาสเขานะแหละทำตัวประมาทเอง มีจิตเศร้าหมองเป็นซะเอง
     
  10. pam16

    pam16 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอขอบคุณทุกความเห็นนะครับ ขออนุโมทนาที่ให้ข้อคิดเรื่องนี้ครับ
     
  11. จตุรอาชา

    จตุรอาชา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +48
    เรื่องของ นางขุชชุตตรา นี่ก็เหมือนกัน อ่านแล้วต้องโยมนิโสมนสิการให้ดีๆ
    สำนวนการเขียนเป็นภาษาสมัยใหม่ ไม่เหมือนในอรรถกถา หรือสูตรในสมัยสังคยนาครั้งแรกๆ ที่ภาษาอ่านออกมาแล้วตีความยากๆ ต้องอ่านวนซ้ำ 3 รอบ 89 รอบ ถึงจะเข้าใจ(แต่อาจจะไม่ลึกซึ้ง) และรู้ไหมว่ามันขัดกันเอง มีอย่างที่ไหนแค่ถวายกำไรข้อมือ กรรมส่งผลให้มีปัญญามากกลายเป็นเอตัคทัคคะเรื่องปัญญาฝ่ายฆราวาสเฉยเลย นู่นเลย สูตรแบบนี้บางสำนักเขาชอบนักชอบหนา ถวายเยอะๆจะได้นู่นได้นี่ได้นั่น เลยเอามาอ้างกันจัง และห้ามปรามาสเจ้าสำนักด้วยนะเพราะเด๋วจะบาปตกนรก ศรัทธาจนห้ามวิจารณ์
    มาณพ ! ปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความมีปัญญามากนี้ คือ เป็นผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษอะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรเมื่อทำย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เกื้อกูล เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนาน หรือว่า อะไรเมื่อทำย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน .


    จะยกอะไรมาอ้างก็ตรวจทานไปที่พระศาสดาก่อนด้วย ว่าท่านบัญญัติเอาไว้แบบไหน
    ขอก้อปปี้ข้อความที่เอามาจากพันกระติ๊ปมาให้อ่านอีกรอบ

    ปล.จะอ้างอะไร มันต้องอ้างด้วยความรู้ อย่าอ้างอะไรสะเป่ะสปะแบบนี้
    มันเหมือนกับกำลังเอาธรรมไปเป็นจำอวด

    แถมอีกนิด หรืออ้างเพราะมันจะเข้ากับลัทธิตน
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบนะครับ
    ถามว่า ถ้าข้าพเจ้าเดินไปตบกะบาล
    ใครซักคนหนึ่งแบบที่ ข้าพเจ้ามาสำนึกได้ภายหลัง
    ว่าข้าพเจ้าผิดเป็นฝ่ายผิดนั้น....

    ถามต่อไปอีกว่า ทำอย่างไรข้าพเจ้าถึงจะรู้สึกสบายใจ
    วิธีการคือ
    ข้าพเจ้าต้องไปขอโทษกับใคร ?
    หรือ ข้าพเจ้าควรเฉยๆไว้ ?
    หรือ ข้าพเจ้าต้องกลับไปขอโทษคนที่ข้าพเจ้าไปตบกระบาล ?
    หรือว่าข้าพเจ้าต้องกลับมาท่องคำขอขมากรรม ?
    หรือท่องคำอโหสิกรรมครับ...?
    วิธีการไหน ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดครับ...

    การที่เราไปตบกะบาลเค้าทางกาย
    ก็ส่งผลให้มือเราเจ็บ
    กะบาลของเค้าก็เจ็บ

    ทางใจเราหละครับ
    เรารู้สึกดีไหมที่ได้ตบ
    เรารู้สึกไม่ดีไหมหลังจากที่ตบไปแล้ว
    เรารู้สึกสำนึกไหมว่า สิ่งที่เราทำดีหรือไม่ดี
    หรือเรารู้สึกเฉยๆ
    หรือเราปรุงแต่งอะไรเพิ่มเติมในใจเราไหม

    ทางใจคนที่ถูกตบหละครับ
    เค้ารู้สึกดีไหมที่ถูกเราตบ
    เค้ารู้สึกสำนึกว่าไม่ดีไหมหลังจากที่ถูกเราตบ
    เค้ารู้สึกสำนึกว่าดีแล้วที่เรามาตบเค้าไหม...
    เค้าคิดปรุงแต่งอะไรเพิ่มเติมไหม

    ปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุครับ
    อุบายต่างๆที่จากตำราหรือการแนะนำ
    เป็นเพียงแนวทางแก้ปัญหาได้ชั่วคราวครับ
    และขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราไปก่อเหตุว่า
    ยังเป็นในรูปธรรมหรือนามธรรมร่วมด้วยครับ
    ในการตัดสินใจเลือกวิธีการในการแก็ปัญหาครับ

    ผลมันมีอยู่แล้วครับ..ยกตัวอย่าง คุณไปตบกระบาล
    นาย A คุณก็มีสิทธิ์ที่จะโดนตบกะบาลคืน
    จากคนที่รักชอบพอนาย A ได้อยู่แล้วเป็นเรื่องปกติครับ
    แม้นาย A อาจจะไม่ได้คิดอะไรเลย
    ดังนั้นต้องยอมรับตรงจุดนี้ด้วย และถ้านาย A ฟ้องตำรวจ
    คุณก็ต้องรับผลตรงจุดนี้ ที่มีทางสังคมด้วยเป็นปกติอีกเช่นกัน

    ปล.เล่าให้ฟังเป็นอีกมุมมองหนึ่งนะครับ
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    น้อยใจ อะไรนักหนาจ๊ะ....อิอิ
    ธรรมดาของคนบางคนเขา ที่ ..เป็นของเขาอย่างนั้น

    ผลมันก็มีให้เห็นเองแหล่ะครับ กรรมที่เขาทำ ส่งผลทั้งภาพรวมและ ส่วนตัวเองจ้า....คุณก็เห็นอยู่แล้วนี่...ว่าเขาก็มีกรรม...(อย่าไปสมนาน่า ให้เขาได้ยินก็พอครับ)....ให้เขารับกรรมของเชาไปครับ...อิอิ
     
  14. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เฮงเฮงทั้งปี อิอิ..เฮงเฮง เช่นกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...