..เขี้ยวหมูตัน..

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย wasan112, 2 มิถุนายน 2017.

  1. wasan112

    wasan112 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,177
    ค่าพลัง:
    +161
    ชื่อบัญชี นาย วสันต์ ปิงสอน เลขที่บัญชี 5130066332 ธนาคาร กรุงไทย สาขา ลอง โทร.0819517866 id line wasan112 หรือ pm ครับ

    ปิดเรียบร้อยแล้วครับขอบคุณร่วมทำบุญกันครับ

    เขี้ยวหมูตัน
    : ธงชัย ชัยมีแรง


    kewmutun2.gif

    ภาพประกอบโดย : สุภี ปสุตนาวิน


    เสียงนกกลางคืนร้องขึ้นในยามดึก ผมกระชับผ้าห่มคลุมกายเหลือไว้เพียงใบหน้าเพื่อให้มองเห็น ผมเย็นพัดมากระทบใบหน้าแต่ละครั้ง รู้สึกเย็นเยือกเข้าไปถึงหัวใจ ปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่หนาวจัด ชาวนากำลังเก็บเกี่ยวข้าว
    ผมไม่ชอบมันเลย ในการที่ต้องมานั่งทนหนาวกลางดึกเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่นายสอนลูกชายตาก้อนขอร้องให้ผมช่วยยิงหมูป่าที่ลงกินและเหยียบย่ำข้าวในนา ผมมองลอดใบไม้สดที่บังหวังมองฝ่าความมืดที่มีเงาของแสงจันทร์ไปทางต้นเสียง
    หมูป่าหลายตัวกำลังดาหน้ากันเข้ามา ฝูงหมูกำลังบ่ายหน้าลงในแปลงนา ผมสอดปืนออกไปหมายเอาหมูตัวใหญ่เขี้ยวยาวงอโค้งเป็นเป้า แล้วกระดิกไก

    ปืนของผมไม่ลั่นเลยสักนัด รู้สึกแปลกใจ ต่อมาภายหลังจึงรู้ว่ามันเป็นเขี้ยวหมูตันที่ปืนยิงไม่ออก ตาสุ่ยเพื่อนตายของผมพยายามตามล่าอยู่หลายวัน ในที่สุดก็พิชิตมันลงได้ แต่ก็มีกรรมวิธีล้างอาถรรพ์ ยุ่งยากพอสมควร แต่ก็คุ้มค่าเมื่อนึกถึงเขี้ยวหมูตันที่เป็นของหายาก

    เราได้เขี้ยวหมูตันสองเขี้ยวมาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ ทำให้ผมรอดตายจากกระสุนปืนในเวลาต่อมา อย่างน่าอัศจรรย์
    เรื่องมันเป็นอย่างนี้


    ..ผืนนาของตาก้อนเป็นพื้นที่ลาดต่ำคล้ายท้องเรือ ยาวไปตามป่าตามโคกระยะไกลมาก ยามฝนตกแต่ละครั้งน้ำฝนก็จะไหลลงมารวมกันเพราะเป็นที่ลุ่ม และลาดเอียงคล้ายลำห้วยกว้าง ๆ ตื้น ๆ แบน ๆ
    ตาก้อนและพวกลูก ๆ ช่วยกันปั้นคันนากักเก็บน้ำเอาไว้เป็นขั้น ๆ เหมือนขั้นบันไดลดหลั่นกันไป เวลาจะปักดำก็ไขน้ำจากที่สูงลงมาที่ต่ำ

    ครอบครัวของตาก้อนเป็นครอบครัวใหญ่ มีลูกที่กำลังเป็นหนุ่มเป็นสาวหลายคน จึงมีแรงงานก่อสร้างได้มากกว่าคนอื่น ๆ มองจากปลายนาทางนี้ ไปสุดปลายนาทางโน้นไกลมากทีเดียว
    ปีนั้นข้าวกำลังแก่ถูกหมูป่ารบกวน เจ้าของกลุ้มใจแทบจะคลั่ง มันทั้งกินทั้งเหยียบย่ำต้นข้าวพัลวันไปหมด ยากแก่การเก็บเกี่ยว
    เคยมีคนตั้งคำถามพวกผู้หญิงว่า มีผัวขี้เหล้ากับเกี่ยวข้าวหมูกวนจะเลือกเอาอย่างไหน ‘ข้าวหมูกวน’ ก็คือข้าวถูกหมูรบกวนนั่นเอง
    พวกผู้หญิงมักจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า

    “เกี่ยวข้าวหมูกวนดีกว่า เพราะเกี่ยวหมูกวน ถึงแม้จะยากลำบากพอ ๆ กันกับผัวขี้เหล้า แต่ก็มีเวลาสิ้นสุด แต่มีผัวขี้เหล้า ไม่มีวันสิ้นสุดลำบากไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตายจากกัน”

    ผมฟังดูแล้วก็น่าเห็นใจผู้หญิง
    เวลาเกี่ยวข้าวหมูกวนต้องใช้เคียวค่อยเกาะค่อยเล็ม เอาทีละรวงสองรวง เพราะต้นข้าวยุ่งเหยิงเสียเวลามาก
    วันหนึ่งนายสอนลูกตาก้อนมาบอกผมว่า

    “นายครับช่วยไปยิงลูกหมูป่าให้ด้วย แบบนี้ฉิบหายแน่ มันทั้งกินทั้งเหยียบย่ำ ผมกับพ่อกลุ้มใจจริง ๆ ไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไร”
    “ลงกินได้กี่วันแล้ว” ผมถาม
    “หลายวันแล้วครับ ข้าวกำลังสุก ปีนี้ผมคิดว่าพอจะลืมตาอ้าปากได้ เพราะได้ปักดำมากพอสมควร แต่ต้องมาเป็นอย่างนี้”
    เมื่อผมกับตาสุ่ยไปสำรวจดูที่นาของนายสอน ปรากฏว่าเสียหายมากอย่างที่นายสอนว่า
    นอกจากหมูป่าจะลงมารบกวนแล้ว พวกนกป่านานาชนิดก็พากันจิกกินเมล็ดข้าวเป็นฝูง ๆ ยิ่งพวกนกกระจาบแล้วบินขึ้นลงแต่ละครั้ง เหมือนผึ้งแตกรัง

    ตอนเช้า ๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต้องไปช่วยกันไล่นกเคาะไม้ดังโป๊ก ๆ ตลอดเวลา ทำหุ่นไล่ใหม่ ๆ นกก็กลัว นานวันเข้ามันก็ชินชาไปเอง หุ่นก็ไร้ความหมาย
    บางแห่งนกลงกินเมล็ดข้าวแทบจะหมดไปทั้งรวงก็มี เนื่องจากผืนนายาวใหญ่ล้อมรอบไปด้วยป่าใผ่ ป่าเต็งรังและพุ่มหนาม ตลอดทั้งเถาวัลย์ที่พันเกี่ยวรกทึบทั้งสองข้าง จึงเป็นที่อาศัยหรือหลบภัยของพวกนกป่าและสัตว์ป่าอื่น ๆ เป็นอย่างดี
    นกป่าพวกนี้ก็รู้ พอเราไล่ตรงนี้มันก็บินเข้าป่าไผ่ พอคนเดินไปไล่ทางโน้นมันก็บินกลับมาลงที่เก่า ทำความปวดหัวไม่น้อย วันนั้นตาสุ่ยใช้ลูกหว่านยิงนกได้หลายตัว

    นายสอนพาผมกับตาสุ่ยเดินสำรวจไปทั่วบริเวณผืนนา เห็นรอยหมูป่าทั้งเก่าและใหม่ลงเหยียบย่ำ จึงช่วยกันขัดห้างไว้คนละห้างห่างกันราวห้าเส้นสำหรับผมและตาสุ่ย ส่วนนายสอนนั้นแยกไปอยู่สุดปลายนาอีกห้างหนึ่ง
    เราพยายามอยู่สองคืนเต็ม ๆ ไม่มีหมูป่ามาให้เรายิง ป่าทั้งป่าเงียบเหมือนมันจะรู้ เราขัดห้างตรงนี้มันไปลงตรงโน้น เราขัดห้างตรงโน้นมันกลับมาลงตรงนี้ เล่นเอาเถิดกันอยู่ถึงสองคืนเต็ม ๆ

    พอถึงคืนที่สามเราเปลี่ยนแผนใหม่ ตรงที่เราไม่ได้นั่งห้างก่อไปเอาไว้ หาเสื้อผ้าเก่า ๆ มาแขวนไว้ เพื่อให้หมูได้กลิ่นคราวนี้ได้ผล
    คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย ดวงดาวกระจ่างฟ้า มองเห็นหมู่ดาวเต้นระยิบระยับ แต่บริเวณชายป่ายังบดบังด้วยเงาของแสงจันทร์จากต้นไม้ใหญ่น้อยปกคลุมมองดูอึมครึม

    ลมดึกพัดมาอ่อน ๆ ผมนั่งอยู่บนห้างคอยเงี่ยหูฟัง ได้ยินแต่เสียงจั๊กจั่นเรไร กบเขียดส่งเสียงร้องสักครู่ก็เงียบไป
    หูผมได้ยินเสียงสวบสาบมาทางด้านหลังจึงหันกลับไปมอง เพ่งสายตาฝ่าความมืดไปที่ชายป่าก็เห็นเงาตะคุ่ม ๆ เคลื่อนเข้ามา
    การนั่งห้างต้องระวังที่สุด เรื่องการจามหรือไอ การจุดบุหรี่สูบ อย่าได้ทำพร่ำเพรื่อ สัตว์มันก็มีสัญชาตญานระวังภัย
    เงาที่ผมเห็นเคลื่อนเข้ามา ๆ ผ่านป่าไผ่ที่รกทึกมายังแปลงนา ตัวหัวหน้าใหญ่มากมีหมูรุ่นตามมาห้า-หกตัว
    ผมใจเต้นระทึก อดนอนมาหลายคืน เพิ่งจะมีโอกาสคืนนี้เอง ผมรีบสอดนิ้วลงในโกร่งไกปืนตัดสินใจว่าจะยิงก็กลัวพลาด มีต้นไม้ใหญ่บังอยู่ผมนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว กลัวจะเกิดเสียงดัง
    ตัวที่เป็นหัวหน้าพาลูกน้องตรงเข้าลุยข้าวในแปลงนา ที่กำลังออกรวงสุก พอลงไปได้ก็ใช้ปากกัดอย่างรวดเร็วทั้งลุยทั้งกิน บางตัวก็ลงนอนเกลือกตม
    ผมสอดลำกล้องปืนออกไปอย่างใจเย็น มีเป้าให้ผมยิงหลายตัวแต่ผมเลือกยิงตัวที่ใหญ่กว่าเพื่อน รอให้หมูหันข้างให้ก่อนจึงจะยิง ยิงด้านข้างเราได้เปรียบ เพราะเป้ากว้างกว่าด้านและด้านหลัง

    ยิงด้านข้างเปอร์เซ็นต์ถูกจึงมีมากกว่าด้านอื่น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เหมาะสักที ไกลไปบ้าง หมูหันหลังให้บ้าง ผมต้องคอยอย่างใจเย็น ตาเพ่งมองตัวที่ใหญ่กว่าเพื่อนเป็นเป้าตลอดเวลา

    ในที่สุดโชคก็ช่วยผม ตัวที่ใหญ่กว่าเพื่อนหันข้างให้ ผมเล็งบนขาหน้ากะให้ตรงหัวใจพอดี ลูกซองห้านัดของผมบรรจุกระสุนเต็มอัตรา พอได้จังหวะก็เหนี่ยวไกยิง

    แปลกมากทีเดียว กระสุนปืนผมไม่ระเบิดเลย ครั้งแรกผมก็คิดว่ากระสุนปืนของผมด้าน ผมจึงกระชากลูกเลื่อนยิงใหม่โดยเร็ว ปลอกกระสุนลูกซองกระเด็นออกจากรังเพลิงปลิวเฉียดหน้าผมไป ผมกระดิกไกอีกกระสุนก็ไม่ระเบิดเช่นเคย ผมลองดูถึงสามครั้งก็เลิก

    พอดีเสียงปืนทางห้างตาสุ่ยดังขึ้นหนึ่งนัด หมูป่าที่ผมยิงตกใจพากันวิ่งเข้าป่า
    ผมใจไม่ดีตลอดคืน เป็นอุบัติการณ์อย่างไรหนอ ปืนผมไม่เคยเป็นอย่างนี้สักที มันเป็นลางบอกเหตุร้ายกระมัง
    ผมพยายามทบทวนว่าตัวเองทำอะไรผิดกฏของป่า แต่ก็ค้นหาสาเหตุไม่พบ ภาวนาขอให้สว่างเร็ว ๆ ใจผมร้อนรุ่ม

    จนกระทั่งฟ้าสางผมจึงไต่ลงมาจากห้าง รีบเดินไปทางห้างของตาสุ่ย ก็พบว่าตาสุ่ยยิงหมูป่าได้หนึ่งตัว
    ผมยังไม่กล้าเล่าให้ตาสุ่ยฟัง ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ กลัวคนอื่นได้ยินเข้าจะไม่เชื่อ พากันหัวเราะว่าผมคิดมากไปเอง จึงเฉยไว้รอให้โอกาสเหมาะ ๆ จึงจะเล่าให้ตาสุ่ยฟัง

    เพื่อนบ้านที่สนิทสนมกัน ได้ข่าวว่าเรายิงหมูป่าได้ก็พากันมาเยี่ยมเยียนถามข่าว ตาสุ่ยก็แบ่งปันเนื้อหมูป่าติดไม้ติดมือไปกินที่บ้านครบทุกคน

    แต่เรื่องที่ผมยิงหมูป่าไม่ออก ก็ยังเป็นความลับดำมืด ผมไม่แพร่งพรายให้ใครรู้จนกระทั่งวันหนึ่ง
    หลังจากยิงหมูป่าที่นานายสอนได้สอง-สามวัน เช้าวันนั้น ผู้ใหญ่พวงแบกปืนลูกซองเดี่ยวของแกขึ้นมาบนกระท่อม ผมกับตาสุ่ยและครูธีระกำลังกินอาหารเช้ากันอยู่

    “มากินข้าวด้วยกันลุงผู้ใหญ่” ครูธีระร้องเรียก
    ผู้ใหญ่พวงไม่ปฏิเสธ ตรงไปล้างมือที่โอ่งน้ำแล้วเข้าร่วมวง ตาสุ่ยขยับที่ให้ ครูธีระตักข้าวใส่จานมาวาง

    “ผู้ใหญ่ไปไหนมา?” ผมถามบ้าง
    “ผมกลับจากไปนั่งห้าง มีเรื่องพิลึกกึกกือเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
    อาหารเช้าวันนั้น มีผัดเผ็ดเนื้อหมูป่าใส่ใบกะเพราฝีมือครูธีระ เนื้อย่างหมูป่าจิ้มแจ่วบองฝีมือตาสุ่ย และยอดผักป่าเก็บมาใหม่ ๆ กินกับข้าวร้อน ๆ อร่อยเหลือเกิน
    อิ่มหนำสำราญแล้ว ผู้ใหญ่พวงเล่าให้ฟังว่า
    “เมื่อคืนนี้ผมไปนั่งห้าง จะตั้งใจจะยิงหมูป่าที่ลงเหยียบย่ำข้าวในนาแต่ยิงเท่าไหร่ก็ยิงไม่ออก”
    “จริง ๆ หรือ?” ตาสุ่ยหูผึ่ง
    “จริงซี จะมาโกหกกันทำไม”
    “ลุงผู้ใหญ่รับรองว่าลูกปืนไม่ด้านแน่นะ” ครูธีระไม่วายสงสัย
    “มันจะด้านได้ยังไงครู ลูกปืนก็อัดใหม่ ๆ ผมทดลองยิงเมื่อลงจากห้างก่อนมานี้ ก็ระเบิดทุกนัด”
    “ถ้าอย่างนั้นค้องเป็นหมูเขี้ยวตัน” ตาสุ่ยสรุป
    “หมูเขี้ยวตันเป็นอย่างไร” ครูธีระถามขึ้น ตาสุ่ยอธิบายว่า
    “ครูเคยเห็นเขาควายที่หลุดออกมาจากหัวของมันหรือเปล่า?”
    “เคยเห็น” ครูธีระตอบ
    “นั่นแหละเขาควายเปล่า ๆ มันสวมอยู่กับแกนใน ซึ่งเป็นกระดูกเขาควายส่วนนอกมันสวมอยู่อีกชั้น”
    “เขี้ยวหมูป่าก็เช่นเดียวกัน มันมีเขี้ยวข้างนอกสวมแกนกระดูกอยู่แต่ถ้าเป็นเขี้ยวหมูตันจะไม่มีกระดูกสวมอยู่ข้างในเลย”
    ครูธีระนั่งฟังด้วยความสนใจ จึงถามขึ้นว่า

    “เขี้ยวหมูตันมีดีอย่างไรตาสุ่ย”

    “มีดีก็คือยิงไม่ออก อย่างที่ผู้ใหญ่พวงเล่าให้ฟัง”
    ผมนั่งฟังคนทั้งสองสนทนากัน รู้สึกสนใจจึงเล่าประสบการณ์ของผม ในคืนที่ไปนั่งห้างนานายสอนให้ทุกคนฟัง ต่างพากันซักถามรายละเอียด ผมก็เล่าให้ฟังจนหมดสิ้น เมื่อผมเล่าจบ ตาสุ่ยก็พูดขึ้นว่า
    “เดี๋ยวคืนนี้ผมจะไปพิสูจน์ดู อาจจะเป็นตัวเดียวกันที่นายกับผู้ใหญ่พวงเคยยิง”
    ผู้ใหญ่พวงนัดแนะกับตาสุ่ยสองสามคำก็จากไป
    ตอนเย็นตาสุ่ยเตรียมตัวไปนั่งห้าง เพื่อพิสูจน์หมูเขี้ยวตันตามคำบอกเล่าของผู้ใหญ่พวง ครูธีระขอไปด้วยแต่ตาสุ่ยปฏิเสธบอกว่า
    “ครูอย่าไปเลยใจไม่ถึงเดี๋ยวก็ตกใจ ทำให้หมูตื่นเปล่า ๆ”
    แล้วตาสุ่ยก็แบกปืนสะพายย่ามลงจากกระท่อมไป รุ่งเช้าตาสุ่ยกลับมา หน้าตาอิดโรยเพราะอดนอน ผมถามแกว่า
    “ได้เรื่องไหมตาสุ่ย” ตาสุ่ยตอบว่า
    “ผมยังไม่แน่ใจ จะขอพิสูจน์อีกครั้ง”
    “ตาสุ่ยจะพิสูจน์อย่างไร?”
    “ผมมีวิธีครับ แต่ต้องรอให้ถึงวันพระแปดค่ำสิบห้าค่ำเสียก่อน ถ้าเป็นหมูเขี้ยวตันจริง ๆ รับรองสนุกแน่”
    ตาสุ่ยพูดแค่นั้น ผมก็ไม่ซักถามอะไรอีก คิดว่าเมื่อตาสุ่ยอยากให้ผมรู้ แม้ผมไม่ถามก็จะเล่าให้ฟังเอง
    หาข้าวสู่กันกินแล้วต่างคนต่างไป ครูธีระไปสอนนักเรียน ผมเข้าไปในไร่ ใช้มีดอีหวดถางพวกเถาวัลย์เล็ก ๆ ที่ขึ้นเกี่ยวพันต้นข้าวโพด ส่วนตาสุ่ยอดนอนเมื่อคืนนี้ นอนพักผ่อนอยู่บนกระท่อม เราไม่ได้พูดถึงเรื่องหมูเขี้ยวตันตัวนั้นอีกเลย
    จนกระทั่งสามวันต่อมาเป็นวันพระสิบห้าค่ำ ระหว่างรอวันพระนี้ตาสุ่ยไม่ทำการทำงานอะไร แกไปสำรวจทิศทางของหมูเขี้ยวตันตัวนั้นตลอดทั้งวัน กลับมาผมกับครูธีระก็ไม่ได้ซักถาม หาข้าวสู่กันกินแล้วก็คุยกันเรื่องอื่น ตาสุ่ยก็ปิดปากเงียบเรื่องหมูตัวนั้น
    วันนั้นเป็นวันพระสิบห้ค่ำ ตาสุ่ยกินข้าวเย็นตั้งแต่บ่าย แล้วรีบไปนั่งห้างก่อนตะวันจะตกดิน ผมกับครูธีระนอนอ่านหนังสือ ง่วงแล้วก็ดับไฟนอน
    ตาสุ่ยกลับมาเมื่อตอนเช้า พอมาถึงก็บอกผมว่า
    “หมูเขี้ยวตันจริง ๆ แหละนาย ผมได้พิสูจน์เมื่อคืนนี้”
    “ตาสุ่ยพิสูจน์อย่างไร?” ผมย้อนถาม
    “ครั้งแรกผมก็นั่งคอยอยู่บนห้าง ที่ไปสำรวจดูมาแล้ว และแน่ใจว่าหมูจะลงกินข้าวในนาตรงนั้น แล้วก็จริงอย่างว่า มันเดินมากันหลายตัวมีหมูรุ่นตามมาด้วย ตัวที่เป็นหัวหน้าใหญ่มาก ที่เขี้ยวของมันมีแสงเรือง ๆ มองเห็นถนัด ผมตื่นเต้นจนระงับใจไม่อยู่
    “พอตั้งสติได้ก็ง้างนกปืน ยกขึ้นประทับไหล่เล็งไปที่หมูตัวนั้นทันที ผมเหนี่ยวไกช้า ๆ เสียงหินกับเพิงกระทบกันดังแชะ ดินที่รังเพลิงลุกวาบ แต่ปืนไม่ระเบิด
    “ผมลองใหม่ เทดินปืนลงในรังเพลิงอีก ครั้งแรกก็คิดว่ามีอะไรไปอุดรูชนวน เมื่อตรวจดูใช้ลวดแหย่เอาดินชนวนมาปิด จึงยกขึ้นยิงอีกครั้งเสียงหินกับเพิงกระทบกันเกิดประกายไฟ แต่ดินปืนในรังเพลิงไม่ติด ผมง้างนกครั้งแล้วครั้งเล่าปืนก็ไม่ลั่นอีกเช่นเคย
    “คราวนี้ลองใหม่หันปากกระบอกปืนไปทางอื่น ที่ไม่ใช่หมูตัวนั้นง้างนกเหนี่ยวไกครั้งเดียวเท่านั้น เสียงปืนดังก้อง ทำให้หมูเหล่านั้นพากันวิ่งหนีไป ผมแค้นใจเลยบรรจุกระสุนใหม่ แล้วทดลองยิงขึ้นฟ้าอีกครั้ง พอนกสับก็ระเบิดขึ้น ไม่เห็นมีอะไรติดขัด”
    ผมกับครูธีระฟังตาสุ่ยเล่าด้วยความทึ่งจึงถามตาสุ่ยว่า
    “แล้วตาสุ่ยจะมีวิธีการอย่างไร เห็นบอกว่าถ้าเป็นเขี้ยวหมูตันละก้อสนุก”
    “ผมมีวิธีครับ ขอเวลาผมอีกสักสามวัน”
    ตาสุ่ยพูดด้วยความมั่นใจ ผมกับครูธีระจึงไม่ซักถามอะไรแกอีก
    ตาสุ่ยหายไปไหนก็ไม่ทราบ เพียงแต่บอกผมก่อนไปว่า “ผมจะไปหาครูบาของผมอีกสอง-สามวันจะกลับมา”
    ครบสามวันตาสุ่ยกลับมา เล่าให้ผมฟังว่า
    “ผมไปพบพรานเก่าที่บ้านห้วยหมาหอน แกเคยเป็นหัวหน้าผม เมื่อตอนที่ผมยังหนุ่ม ๆ ออกล่าสัตว์ใหม่ ๆ พอเล่าเรื่องให้แกฟัง แกก็ให้ลูกปืนผมมาหกลูก”
    ตาสุ่ยพูดพร้อมกับควักลูกปืนออกมาให้ผมดู เป็นลูกปืนที่ทำด้วยตะกั่วสามลูก ทำด้วยทองแดงสามลูก กลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองหุนครึ่ง มีรอยลงอักขระอยู่ที่ลูกปืนทั้งหกลูก
    ผมสงสัยจึงถามตาสุ่ยว่า
    “ลูกปืนมีสองชนิด ตาสุ่ยจะเอาชนิดไหนยิง”
    “ครูบาผมบอกว่าให้เอาลูกตะกั่วยิงก่อน หากไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนเป็นลูกทองแดง ผมต้องไปนอนคอยเอา และเรียนอาคมมาพอคุ้มตัว”
    ตลอดทั้งวันตาสุ่ยไปสำรวจที่นั่งห้าง ตอนบ่าย ๆ ก็กลับมา กินข้าวเย็นแล้วก็เตรียมตัวกระปรี้กระเปร่า ผมถามแกว่า “ให้ฉันไปช่วยไหม?ตาสุ่ย”
    “ไม่ต้องหรอกครับ นายนอนเล่นอยู่ที่บ้านดีกว่า งานนี้หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ปืนของนายคงทำอะไรมันไม่ได้”
    ตาสุ่ยจะทำอย่างไรบ้างผมก็ไม่ทราบ มาเล่าให้ผมฟังตอนหลังว่าต้องทำพิธีเบิกป่าขอสมาลาโทษเจ้าที่เจ้าทางบริกรรมภาวนา ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนห้าง
    ผมกับครูธีระคอยฟังข่าวจากตาสุ่ย จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ตาสุ่ยจึงกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม รอให้แกนั่งพักหายเหนื่อยแล้ว ผมจึงถามแกว่า
    “เป็นยังไงบ้างตาสุ่ย”
    “เรียบร้อยครับ”
    ตาสุ่ยตอบเพียงสั้น ๆ ผมยังไม่ได้ถามอะไรต่อ ตาสุ่ยก็ล้วงเขี้ยวหมูตันออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้ผมสองอันพร้อมกับบอกว่า
    “นายเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา มันเป็นของหายาก อย่าให้ห่างจากตัวเป็นอันขาด”
    ผมรับเขี้ยวหมูตันจากตาสุ่ย มาพิจารณาดู เป็นเขี้ยวยาวโค้ง ตรงโคนเป็นรูปสามเหลี่ยมมีรูบุ๋มเข้าไปเพียงเล็กน้อยคงจะเป็นหมูแก่อายุหลายปีครูธีระมองดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ซักถามอะไร ผมจึงเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ
    “หมูป่าตัวนั้นอยู่ที่ไหน?” ครูธีระถามขึ้น
    “ก็อยู่ที่โดนยิงนั่นแหละใครจะแบกมาไหว”
    ตาสุ่ยบอกครูธีระให้ไปตามผู้ใหญ่พวงกับไอ้ช่วย ไปช่วยกันหามหมูป่าตัวนั้นมายังกระท่อมของเรา
    หมูป่าตัวนั้นใหญ่เหลือเกิน ทั้งสี่คนช่วยกันหามพอมาถึงกระท่อมของเราก็แหวะเอาเครื่องในมาทำอาหารเช้ากินกัน
    อาหารเช้าผ่านไป ครูธีระไปสอนนักเรียนก็ตกเป็นหน้าที่ของตาสุ่ยไอ้ช่วยและผู้ใหญ่พวง ชำแหละต่อ
    ตาสุ่ยตัดเอาหัว หาง และตีนหมู ต้มจนสุกแล้วเอาไปเซ่นเจ้าที่เจ้าทาง พร้อมเหล้าป่าหนึ่งขวด ธูปหนึ่งดอกเทียนหนึ่งเล่ม
    ส่วนเนื้อหมูป่า ตาสุ่ยบอกผู้ใหญ่พวงกับไอ้ช่วยว่า
    “จะเอาเท่าไหร่ก็แบ่งเอาเอง”
    ทั้งสองคนก็แบ่งเอาเพียงเล็กน้อย เราจึงเหลือเนื้อหมูป่าไว้เป็นเสบียงไปได้อีกหลายวัน
    วันอาทิตย์ครูธีระพานักเรียนมาช่วยดายหญ้าในไร่ ก็ได้เนื้อหมูป่า
    ตัวนั้นทำอาหารกลางวันเลี้ยง ตอนเย็นเลิกงานผมจ่ายค่าแรงให้พวกเด็ก ๆ ก็แถมเนื้อเค็มให้ไปกินที่บ้านจนครบทุกคน
    เขี้ยวหมูตันอันนั้น ตาสุ่ยกับผมแบ่งกันคนละเขี้ยว เราเอาหวายเส้นเล็ก ๆ มาถักหุ้มแขวนคอรวมกับพระเครื่อง ติดตัวไว้ตลอดเวลา ตาสุ่ยบอกผมว่า
    “นายจำวันเดือนปีที่หมูตัวนี้ตายเอาไว้ วันไหนที่ตรงกับวันเดือนปีที่หมูตัวนี้ตาย เขี้ยวหมูตันจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ นอกจากวันที่หมูตัวนี้ตายแล้ว ศักดิ์สิทธิ์เช่นเคย เป็นเครื่องรางประจำตัวดีที่สุด
    “ขอให้นายเก็บเอาไว้ในที่ปลอดภัย ถ้าเก็บไว้กับตัวก็อย่าให้ต่ำกว่าสะดือของเรา วันพระแปดค่ำสิบห้าค่ำก็จุดธูปเทียนบูชาระลึกถึงวิญญาณของหมู ที่เป็นเจ้าของเขี้ยวแต่เดิม
    “อีกอย่างหนึ่งเมื่อเรามีของดีในตัว ก็อย่าได้เที่ยวคุยอวดอ้างให้ใครเขารู้เป็นอันขาด เพราะเรื่องอย่างนี้คนที่เขารู้ หากเขาจะทำลายเรา เขาก็มีวิธีแก้อาถรรพณ์ได้เหมือนกัน ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวเข้าไว้ แล้วสิ่งศักดิ์
    สิทธิ์จะคุ้มครองเราเอง”
    เรื่องนี้คงจะจริงอย่างตาสุ่ยว่า เพราะต่อมาอีกไม่นาน ผมก็โดนยิงในระยะเผาขนจากพวกตัดไม้เถื่อนเพราะผมไปขัดผลประโยชน์เขาเข้า ปรากฏว่ายิงไม่ออกทั้งสองนัด เป็นที่น่าอัศจรรย์
    ผมไม่ลืมเหตุการณ์วันนั้นเลยตลอดชีวิต วันที่ผมเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งในป่า คิดถึงเหตุการณ์ขึ้นมาคราวใดใจหายทุกที จะไม่ให้ใจหายอย่างไรได้ มันยกปืนยิงผมสองนัดซ้อนในระยะเผาขน ห่างกันแค่วาเดียวขณะที่ผมยังไม่ทันระวังตัว
    คงเป็นเพราะอภินิหารเขี้ยวหมูตัน จึงทำให้ผมรอดตายอย่างหวุดหวิด เขี้ยวหมูตันอันนั้นผมรักเท่าชีวิต ใคร ๆ ก็อยากได้ไว้ป้องกันตัว
    มันควรจะได้อยู่กับผมผู้เป็นเจ้าของตลอดไป แต่ก็มีอันพลัดพรากจากกันจนได้
    พวกเกวียนตัดไม้เถื่อน ได้บุกรุกเข้าไปถึงหมู่บ้านของเรา เขาเล่าให้ผมฟังว่า “ที่บุกรุกเข้ามาไกลขนาดนี้ก็เพราะไม้มันหมดป่า ตัดมาทุกปีก็ต้องเคลื่อนเข้ามาในป่าลึกทุกปี”
    คนพวกนี้มีแต่พวกคุ้น ๆ หน้า เข้าไปครั้งละสิบเล่มยี่สิบเล่ม แล้วก็หลายพวกด้วยกัน ไม้ที่ไหนจะเหลือให้ตัดฟัน
    บางคนอาจจะเอาไปซ่อมแซมปลูกสร้างที่อยู่อาศัยจริง ๆ แต่ส่วนมากตัดไปขาย มีคนหนึ่งชื่อตาก๋อง มีเกวียนคนเดียวหกเล่ม ทั้งลูกชายลูกสาว ลูกเย ลูกสะใภ้ ช่วยกันขับเกวียน จ้างคนมาช่วยตัดช่วยถากเที่ยวละสองสามคน ได้เงินเที่ยวละหลายพัน
    ผมเคยถามแกว่า
    “ไม่กลัวตำรวจจับบ้างหรือ?”
    “ไม่กลัวหรอกครับ กลัวแต่พวกป่าไม้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเสี่ยง หาเงินทางอื่นไม่คล่องเหมือนตัดไม้ขาย ถูกจับก็ไปเสียเงินแล้วมาตัดใหม่ตอนไหนเจ้าหน้าที่เคร่งครัดเราก็หยุด ตอนไหนเขาไม่เคร่งครัดเราก็ตัด แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยถูกจับหรอกครับ”
    “ทำไมล่ะ?” ผมสงสัย
    “จับไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกตำรวจชั้นผู้น้อยเหนื่อยเปล่า พอไปถึงเจ้านายบางที่เรื่องก็ไม่ถึงศาล หรือไม่ก็ให้ศาลปรับน้อยลง พนักงานสอบสวนเขามีวิธีช่วยพวกผมหลายอย่างแต่ต้องเสียเงินให้เขา เรื่องนี้ตำรวจผู้น้อยเขารู้ ตอนหลังออกมาตรวจ พบพงกผมกลางทางเราเจรจากันรู้เรื่องก็สบายกันทั้งสองฝ่าย พวกผมก็เสียเงินน้อยหน่อย พวกตำรวจชั้นผู้น้อยก็ไม่มีเงินใช้”
    “เป็นอย่างนี้นี่เอง ไม้จึงหมดป่า” ผมพูดขึ้นเบา ๆ
    แต่ตาก๋องแย้งว่า
    “คุณไม่ต้องห่วงว่าไม้จะหมดป่าเพราะพวกผมหรอก คุณดูโน่นเขาเผาป่ากันโครม ๆ ตัดเหี้ยนเตียนกว่าพวกผม ไม้เล็กไม้น้อยตัดหมด ขนออกจากป่าเป็นคันรถ มีใครจับเขาบ้าง นั่นแหละตัวฉิบหาย”
    ผมฟังแล้วได้แต่ปลงอนิจจัง...เมืองไทยหนอเมืองไทย
    “ถูกจับแต่ละครั้งเสียเงินมากไหม?” ผมถาม
    “ค่าปรับไม้พวกนั้นผมไม่กลัวหรอกครับ แค่ไม้คนละท่อนสองท่อน ศาลท่านไม่เอาติดคุกหรอก แต่พวกผมกลัวยึดวัวยึดเกวียน เพราะกฏหมายให้ยึดอุปกรณ์ต่าง ๆ ถ้าวัวถูกยึด พวกผมก็หมดทางทำมาหากินเพราะวัวก็ต้องใช้ไถนาลากเข็น”
    “แล้วทำอย่างไรเมื่อถูกจับ”
    “ก็ขอประกันซีครับ ขอประกันเอาวัวไปเลี้ยงเอง วันนี้แหละต้องเสียค่าประกันพิเศษแพงหน่อย เมื่อศาลพิพากษาให้ขายทอดตลาด พวกผมก็ซื้อคืน แต่ก็มีบางครั้งพนักงานสอบสวนไม่ยอมให้ประกันวัวไปให้ตำรวจเลี้ยงไว้ ปล่อยวัวอด ๆ อยาก ๆ จนผอมโซตายไปก็มี พวกตัดไม้โมโหเลยร้องเรียนถึงผู้ใหญ่ หาว่ากลั่นแกล้งให้วัวตาย ถูกสอบสวนเอาผิดก็มี แต่ส่วนมากพนักงานสอบสวนเขาก็ให้ประกัน ขืนเอาวัวเลี้ยงไว้ที่สถานีก็เป็นภาระ”
    ป่าทั้งป่าล้วนมีเจ้าของจับจองไว้เป็นกรรมสิทธิ์ แต่ยังไม่มีปัญญาจะบุกเบิกเป็นไร่นา จึงมีไม้ยืนต้นอยู่มากมาย ทั้งตะเคียน ประดู่ เต็งรัง สารพัดไม้ เหมาะที่จะตัดฟันมาทำไม้แปรรูป
    เมื่อพวกเกวียนเข้าไปตัดโค่นต้นไม้ พวกที่จับจองไว้ก็เข้าไปห้ามว่าไม้ในที่ดินของตนไม่ให้ตัด พวกตัดไม้ก็เถียงว่า เอาน.ส. 3 ใบกรรมสิทธิ์มาดูซิ พวกเจ้าของที่ดินก็ไม่มี เถียงกันไปเถียงกันมา จะฆ่ากันตาย
    เมื่อตกลงกันไม่ได้ ผมก็ต้องเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยเรียกตาก๋องหัวหน้าพวกเกวียนมาตกลงกัน ทำความหนักใจให้ผมไม่น้อย เพราะทุกคนก็หวังประโยชน์ส่วนตัว
    พวกจับจองป่าไว้ก็จะให้พวกเกวียนซื้อ ถือว่าเป็นไม้ในที่ดินของตน ส่วนพวกตัดไม้ก็ถือว่าเป็นของสาธารณะ
    ผมหาทางออกด้วยการประนีประนอม คือให้พวกตัดไม้แบ่งไม้เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้เจ้าของที่ดิน อีกส่วนหนึ่งยกขึ้นเกวียนขนไป จะเป็นไม้เหลี่ยมไม้เสา เมื่อพวกเกวียนขนขึ้นเกวียนอย่างใด พวกเจ้าของที่ดินก็ได้อย่างนั้น
    พวกเจ้าของที่ดินก็ดูเหมือนจะพอใจ เพราะทุกคนก็พากันอยู่กระท่อม มัวแต่บุกเบิกที่ดินก่อสร้างเป็นไร่นา จนไม่มีเวลาสร้างที่อยู่อาศัย
    พวกเจ้าของที่ดินก็ไม่มีเวลาไปเฝ้าที่ดินของตน พวกเกวียนตัดไม้ก็ไม่ถามหาเจ้าของหรือขออนุญาตตัดฟัน เมื่อเจ้าของที่ดินไปพบเข้า ก็ได้เจรจาเรื่องส่วนแบ่ง หากเจ้าของไม่ไปพบพวกเกวียนตัดไม้ก็ตัดเอาโดยพลการ ไม่ต้องเสียเวลาตัดถากให้เจ้าของที่ดิน
    มีหลายครั้งที่เจ้าของไปพบโดยบังเอิญ ตกลงกันไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกันแทบจะฆ่ากันตายต้องวิ่งมาตามผมไปตัดสิน ผมเลยเหนื่อยทั้งกายทั้งใจ
    ที่บ้านป่าของเราปีนั้น ได้มีร้านค้าเล็ก ๆ เกิดขึ้นหมกป่าอยู่แห่งหนึ่งเป็นพวกอพยพเข้าไปอยู่ใหม่ ปลูกเป็นเพิงหมาแหงนชั่วคราว พอคุ้มแดดคุ้มฝน อยู่ตรงข้ามโรงเรียนครูธีระซึ่งเป็นอาคารเรียนชั่วคราวมุงแฝกฝาขัดแตะเช่นเดียวกันกับร้านนั้น
    ร้านค้าแห่งนี้ขายเหล้าและของจำเป็นสำหรับพวกบ้านป่า เช่น ไม้ขีดไฟ น้ำมันก๊าด ยาเส้น บุหรี่ กะปิ น้ำปลา หอม กระเทียม สบู่ ยาสีฟันตลอดจนผงซักฟอกอย่างละเล็กละน้อย
    หน้าร้านมีต้นตะเคียน และประดู่ขนาดใหญ่พอให้ร่มเงา มีแคร่ไม้ใผ่วางอยู่ใต้ร่มไม้สองสามตัวให้คนนั่งพักผ่อนกินเหล้า มีคนแวะเวียนไปไม่ค่อยขาด นับว่าผัวเมียคู่นี้หากินถูกช่อง
    ถ้าเดินผ่านไปตรงนั้นจะพบคนหลายประเภท มีพวกตัดไม้เถื่อนมากินเหล้ายามเย็น พวกตำรวจสายตรวจที่ผ่านมาบ้างเป็นครั้งบางคราว หรือพวกบ้านป่าเอาพืชไร่มาขายได้เงินแล้วก็นั่งกินเหล้าส่งเสียงเอะอะตามประสาคนเมา
    ผมเคยไปที่นั่นบ่อย ๆ เพราะต้องการพบปะพูดคุยกับพวกชาวบ้าน ฟังความคิดเห็นต่าง ๆ
    พวกกองคาราวานตัดไม้เถื่อน ไม่ได้มีแต่คณะลุงก๋องคนเดียว มันมีหลายหมู่หลายคณะผลัดเปลี่ยนเข้าไปจนจำไม่หวาดไม่ไหว
    แล้วไม้ป่าที่ไหนจะพอให้คนพวกนี้ตัดฟัน บางพวกก็หยุดแวะเพียงหมู่บ้านของเรา เพราะเดินทางมาไกล กว่าจะเข้ามาถึงหมู่บ้านของเราก็ร่วมสองคืน
    แต่บางพวกบุกลึกเข้าไปทางทิศตะวันตกอีก ที่นั่นมีไม้อยู่หนาแน่น แต่ก็เป็นป่าที่มีคนจับจองไว้ทั้งนั้น ปัญหาจึงมีไม่สิ้นสุด
    บางพวกบางคณะก็พูดกันรู้เรื่อง เรื่องส่วนแบ่งจากเจ้าของที่ดินบางพวกก็ต่อต้านชนิดหัวชนฝาบอกว่า
    “ป่าไม่มีใครเป็นเจ้าของ พวกมาอยู่ก่อนก็อ้างสิทธิ์กันลอย ๆ”
    ผมฟังแล้วก็ยากแก่การตัดสิน บางคนจับจองหวงป่าไว้เฉย ๆ อย่างเขาว่าก็มี จับจองไว้เพื่อขายต่อ จับจองไว้ร้อยสองร้อยไร่ แต่ทำกินจริง ๆ เพียงสิบไร่ยี่สิบไร่
    เมื่อตกลงกันไม่ได้ ปฏิบัติการจองเวรก็เกิดขึ้น
    วันหนึ่งผมกับตาสุ่ย กลับจากไปเยี่ยมคนป่วยที่หมู่บ้านกลางดงเดินกันจนเหนื่อยห่างจากหมู่บ้านเราไปราวสองร้อยเส้น
    ครั้นจะไม่ไปหรือ ญาติของคนป่วยก็อ้อนวอนร้องไห้ขอให้ไปรักษาให้ได้ ค่ารักษาก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง ขึ้นชื่อว่าหมอแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านก็สั่งสอนให้มีความเมตตากรุณา
    เราสองคนเดินผ่านหน้าร้านแห่งนั้น ตั้งใจจะซื้อเหล้ากลับไปกินแก้เมื่อยที่กระท่อม
    พอเดินไปก็พบพวกตัดไม้เถื่อนนั่งกินเหล้ากันอยู่ประมาณห้า-หกคน คนพวกนี้ผมเคยรู้จักผิวเผินมาก่อน สมัยเมื่อยังไม่เข้ามาทำไร่ในป่า
    หนึ่งในจำนวนเหล่านั้นร้องทักขึ้นว่า
    “นั่นหมอเทียนแม่นบ่”
    “ใช่ พากันมาทำอะไรที่นี่”
    “ผมมาตัดไม้ เพิ่งมาครั้งแรกก็โดนพวกชาวบ้านยิงวัวผมบาดเจ็บ”
    ผมสะอึก เงาของการทะเลาะวิวาทเริ่มปรากฏ ชายคนนั้นพูดต่อ
    “เรื่องนี้หมอต้องรับผิดชอบ เขาว่าหมอเป็นผู้ใหญ่ในหมู่บ้านนี้ไม่ใช่หรือ?”
    “ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันก็อยู่อย่างชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น”
    “ไม่จริง เขาว่าหมอเป็นหัวหน้าต่อต้านพวกผม พวกผมคนจนมาตัดไม้ในป่าไปขายก็เพื่อซื้อข้าวสารกรอกหม้อนามันแล้ง ไม่ได้ทำติดต่อกันมาหลายปี ไม่รู้จะไปหาเงินทางไหนมาซื่อข้าวกินพอไม่ให้ลูกเมียอดตาย”
    “ฉันไม่รู้จริง ๆ นะเรื่องนี้” ผมยืนยัน
    “แต่หมอต้องรู้ หมอเป็นหัวหน้าเขา ต้องสืบหาคนยิงวัวผมให้ได้แล้วชดใช้ผม ไม่อย่างนั้นเราคงเห็นดีกัน”
    ผมกับตาสุ่ยรีบผละออกมา อยู่ไปก็กลัวจะมีเรื่อง ขณะเดินมาตามทางตาสุ่ยถามว่า
    “นายจะทำอย่างไร”
    “ฉันก็จะอยู่เฉย ๆ อย่างนี้แหละ ไปสอบสวนคนทั้งหมู่บ้าน ใครมันจะยอมรับ”
    “ก็เจ้าของวัวยื่นคำขาดนายจะว่าอย่างไร”
    “ช่างมันเถอะ เรื่องที่มันจะเกิดมันต้องเกิดจนได้”
    อาบน้ำนั่งพักหายเหนื่อยแล้ว ผมก็ให้ตาสุ่ยไปตามผู้ใหญ่พวงและไอ้ช่วยมาพบ เพื่อปรึกษากันเรื่องคนในหมู่บ้านของเราไปยิงวัวเขาบาดเจ็บ
    เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ผมบอกตาสุ่ยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง เมื่อตาสุ่ยเล่าจบ ไอ้ช่วยพูดขึ้นว่า
    “นายอย่าไปยอมเรื่องนี้ พวกนั้นจะได้รู้สึกกันเสียบ้าง พวกเราอุตส่าห์บุกเข้ามาอยู่ในป่าลึก พวกนั้นตามมารังควานเราต่างหาก ข้อตกลงที่ทำกันไว้พวกนั้นก็ไม่รักษาสัญญา”
    “คนหมู่มากนะไอ้ช่วย คนพวกนี้ไม่รู้ว่าเราตกลงอะไรไว้” ผมเตือนไอ้ช่วย
    “สันดานมันอยากเอาเปรีบยเฉย ๆ หรอกนาย ถ้ามันไม่รู้ เราบอกว่าต้องทำแบ่งกัน เพราะเป็นไม้ในที่ดินของเรา มันก็ไม่ยอม บางครั้งเถียงสู้มันไม่ได้ ก็ปล่อยมันไปหลายครั้ง”
    ผู้ใหญ่พวงพูดขึ้นว่า
    “นี่คงมีใครสักคนที่เจ็บใจพวกตัดไม้จึงลอบยิงวัว”
    “เรื่องนั้นแน่นอน” ตาสุ่ยเห็นด้วย
    “แล้วมันก็ผิดใจกันอยู่ทั่วไป บางเรื่องก็ถึงเรา บางเรื่องก็ไม่ถึงเรา”ตาสุ่ยสรุป
    นิ่งกันไปสักครู่ ผมก็พูดขึ้นว่า
    “เรื่องนี้ยังไม่จบง่าย ๆ คงมีคนฆ่ากันตายสักวันหนึ่ง”
    “นายยอมไม่ได้เรื่องนี้” ไอ้ช่วยยืนยัน “ถ้าเรายอมคราวนี้ ต่อไปพวกมันจะทำอะไรพวกเราตามอำเภอใจ ข้อตกลงส่วนแบ่งก็อาจยกเลิก เราต้องแสดงความเข้มแข็งเพื่อชาวบ้านจะได้อุ่นใจ”
    ทุกคนตกลงตามที่ไอ้ช่วยเสนอ มีผมคนเดียวเท่านั้นที่ไม่สบายใจ
    พวกกองคาราวานตัดไม้เถื่อน ผลัดเปลี่ยนกันมาพวกแล้วพวกเล่า จนแทบจะจำหน้าได้ทุกคน
    ปฏิบัติการจองเวรก็มีเรื่อย ๆ พวกไหนที่ทำตามข้องตกลงก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนพวกที่ไม่ทำตามข้อตกลงก็ถูกตอบแทนอย่างสาสม
    เรื่องเหล่านี้ผมไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย และไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว เดี๋ยวชาวบ้านก็จะว่ามแปรพักตร์ เดี๋ยวพวกเกวียนก็จะว่าผมสนับสนุน
    แต่ทุกครั้งที่มีเรื่องกัน พวกเกวียนมักจะเข้าใจว่าผมรู้เห็นเป็นใจกับพวกชาวบ้าน
    แล้ววันสำคัญก็มาถึง วันที่ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิต คือวันที่ผมเกือบเอาชีวิตไปทิ้งไว้กลางป่า
    วันนั้นตอนเย็นผมอยู่ว่าง ๆ ตาสุ่ยกับครูธีระไม่รู้พากันไปไหน บอกเพียงว่าจะไปหากับข้าว สั่งให้ผมช่วยดูหม้อข้าว
    ผมหุงข้าวเสร็จ ตำน้ำพริกแล้วก็ไม่มีอะไรจะทำจึงหยิบปืนลงจากกระท่อม ‘เงิก’ บันไดป้องกันสุนัขหลงทางขึ้นไปบุกรุกในครัวแล้วก็แบกปืนเดินไปเรื่อย ๆ เห็นผักป่างาม ๆ ก็เก็บห่อผ้าขาวม้าเคียนเอว เดินเรื่อยเปื่อยไปจนถึงร้านค้าตั้งใจจะซื้อเหล้าสักขวด ยาเส้นสักห่อ แต่พอไปถึงก็พบคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งกินเห้ากันอยู่ พวกตัดไม้นั่นเอง
    ใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
    “หมามาพอดีเลย กำลังอยากพบอยู่ทีเดียว”
    คนพูดก็คือคนที่วัวของมันถูกยิงบาดเจ็บจนตายคราวนั้น ไอ้ผองนั่นเองกินเหล้าตาแดงก่ำ พอผมเดินเข้าไปใกล้ก็ถามว่า
    “เป็นไงหมอสบายดีหรือ?”
    “ก็ตามเคย ไม่เจ็บไม่ป่วยอะไร” ผมตอบ
    “มากินเหล้ากับผมซี มีเรื่องจะคุยด้วย”
    “ไม่ละ ฉันมีงานอยู่ จะรีบกลับบ้าน”
    “หมอยังกลับไม่ได้ ต้องพูดจากันให้รู้เรื่องก่อน”
    “วันหลังค่อยพูดก็ได้ วันนี้แกเมา”
    “เมากินขี้ไม่ได้หรอกหมอ มาพูดกันก่อน”
    ผมอยากให้เรื่องสิ้นสุดลงเร็ว ๆ ก็พูดว่า
    “จะพูดอะไรก็พูดซี จะได้รีบกลับ”
    “หมออยู่ที่นี่ใหญ่นักหรือ?”
    “ก็ไม่เห็นใหญ่โตอะไร” ผมพูดตามธรรมดา
    “ใหญ่โตซี ยิงวัวคนอื่นไม่มีความผิด”
    “ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่รู้เรื่อง”
    “แต่หมอต้องรู้ เพราะหมอคนเดียวทำให้ผมหมดตีนหมดมือ เคยมีวัวมีเกวียนเป็นของตนเอง ต้องกลายมาเป็นคนรับจ้างตาก๋อง”
    “ฉันบอกว่าฉันไม่รู้เรื่อง” ผมพูดเสียงดังเพราะรำคาญที่เขาพูดซ้ำซาก
    “ไม่รู้ก็ไม่ใช่คนนะโว้ย คิดหรือว่าหมอจะตายไม่เป็น”
    “ใคร ๆ ก็ตายทั้งนั้น ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า”
    ระหว่างที่เราโต้เถียงกันอยู่ ไม่มีใครห้ามปรามสักคน พวกตัดไม้คอยถือหางพวกกันเอง ส่วนพวกชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ก็ยืนดูอยู่เงียบ ๆ
    เรายืนเผชิญหน้ากันอยู่ ผมไม่นึกว่าเขาจะทำอะไรผมได้ เพราะมองดูขณะโต้เถียงกัน ไอ้ผองก็มีแต่มือเปล่า ๆ ส่วนผมสะพายปืนลูกซองยืนอยู่มันอาฆาตมาดร้ายผม ด่าว่าต่าง ๆ นานา ผมต้องใช้ความอดกลั้น
    “จะยอมรับผิดหรือไม่รับผิดบอกมาคำเดียว” ไอ้ผองคาดคั้น
    “ไม่ยอมรับ” ผมยืนยันหนักแน่น
    อย่างไม่นึกฝัน ไอ้ผองเอื้อมมือไปที่เอวด้านหลังกระตุกคอลท์ตราควายออกมายิงผมดัง ‘แชะ’
    ผมตกใจกว่าจะได้สติ ขึ้นชื่อว่าชีวิต ใคร ๆ ก็รัก สัญชาตญานป้องกันตัวผมรับปลดปืนจากบ่าตวัดพานท้ายปืนฟาดลงบนทัดดอกไม้ของมันเป็นขณะที่ไอ้ผองยิงผมครั้งที่สองดัง ‘แชะ’ อีก
    ไอ้ผองล้มลงตรงหน้า ผมถลันเข้าเหยียบหน้าอกของมันจ่อปืนไว้ตรงคอหอย ก่อนที่มันจะลุกขึ้นมา มือขวาของมันยังกำปืนแน่น ผมกระทืบตรงต้นแขนของมัน มันร้องเสียงหลงปืนหลุดจากมือ
    ไอ้ผองคงจะคิดว่าปืนยาวคงปลดออกขึ้นยิงไม่ทัน ในระยะกระชั้นชิดจึงเล่นงานผมก่อน แต่จะเป็นเพราะว่าดวงของผมยังไม่ถึงฆาต หรือเพราะเขี้ยวหมูตันก็สุดรู้ ไอ้ผองยิงผมสองนัดไม่ออกจริง ๆ
    พรรคพวกของไอ้ผองที่กำลังกินเหล้าพากันตกตะลึง ผมประกาศดัง ๆ
    “ทุกคนเฉยไว้ถ้าไม่อยากตายหมู่ กระสุนยังเหลือห้านัด” พวกนั้นเงียบต่างมองผมเป็นจุดเดียว ไอ้ผองยกมือขึ้นไหว้ร้องขอชีวิต ผมกระแทกลำกล้องปืนเข้าลำคอของมันเบา ๆ พูดว่า
    “กูจะไว้ชีวิตมึงก็ได้ ถ้ามึงรับรองว่าจะไม่เข้ามาที่นี่ให้กูเห็นหน้าอีก”
    “ผมรับรองครับ ต่อไปผมจะไม่เข้ามาอีก” มันพนมมือไหว้ ผมยังเหยียบอกมันไว้ นิ้วสอดเข้าในโกร่งไกปืน พูดขึ้นว่า
    “กูบอกแล้วว่ากูไม่รู้เรื่อง เรื่องวัวของมึงถูกยิง มึงก็คาดคั้นให้กูยอมรับ คนอย่างกูถ้าจะยิงแล้ว ไม่ยิงวัวให้เสียลูกปืน เพราะวัวมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ยิงคนดีกว่า โดยเฉพาะคนอย่างมึง น่ายิงที่สุด”
    พูดจบผมก็ชักเท้าออกจากหน้าอกของมัน สะพายปืนไว้บนไหล่ไปนั่งที่แคร่ไม้ไผ่
    สักครู่ตาสุ่ยกับครูธีระก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึง ไม่รู้ใครวิ่งไปบอก ผู้ใหญ่พวงก็มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน พอมาถึงตาสุ่ยก็ถามผมว่า “นายไม่เป็นอะไรหรือ?”
    ผมสั่นหน้าแทนคำตอบ เพราะมีความกดดันหลายอย่างจึงไม่อยากพูดอะไร
    “ไหนล่ะคนยิง” ผู้ใหญ่พวงถามขึ้น
    เจ้าของร้านค้าชี้มือบอก ขณะนั้นไอ้ผองนั่งกอดเข่าหมดพิษสง ผู้ใหญ่เดินเข้าไปหามันพูดขึ้นว่า
    “เราเป็นผู้ใหญ่บ้าน ขอควบคุมตัวไว้ในข้อหามีอาวุธปืนเถื่อน และพยายามฆ่าผู้อื่น”
    ตาสุ่ยตรงเข้าจับไอ้ผองมัดมือไพล่หลัง ด้วยผ้าขาวม้า มันเองก็ไม่ขัดขืนปล่อยให้ตาสุ่ยมัดแต่โดยดี
    “ควบคุมตัวไว้พรุ่งนี้นำส่งอำเภอ” ผู้ใหญ่พวงออกคำสั่ง
    “อย่าเลยผู้ใหญ่ ปล่อยมันไปเถอะ มันรับรองว่าจะไม่กลับเข้ามาที่นี่อีก หากมันยังขืนเข้ามาให้เห็นหน้าอีก คราวนี้ฝังมันทั้งเป็นเลย” ผมขู่
    ผู้ใหญ่พวงกับตาสุ่ยมองหน้าผม ครั้นแล้วก็ปล่อยไอ้ผอง เป็นอิสระ มันตรงเข้ามากราบผมสามครั้ง พูดทั้งน้ำตาว่า
    “ผมขอโทษที่ได้ล่วงเกิน หมอไว้ชีวิตผมคราวนี้ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ผมจะไม่ลืมบุญคุณเลย”
    พวกตัดไม้เถื่อนรู้สึกเกรงกลัวผม พากันปิดปากเงียบ เมื่อก่อนเห็นหน้าผมมักจะพูดจาเสียดสี คราวนี้คงจะสะใจ
    แต่นั้น มาพวกตัดไม้เถื่อนก็ไม่ได้ถือดีจองหองเหมือนเช่นเคย บางคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็ผูกเสี่ยวกับพวกบ้านป่า ที่มีอายุต่างวัยก็ผูกข้อมือเป็นพ่อเป็นลูกเป็นพี่เป็นน้องกัน มีอะไรก็แบ่งปันกันไป
    ผมรอดตายคราวนั้นเพราะเขี้ยวหมูตันแท้ ๆ ผมรักเท่าชีวิต และหวงแหนมากที่สุด มีเพื่อนฝูงที่รู้เสนอราคาให้ผมอย่างเป็นที่พอใจ แต่ผมก็ไม่ยอมให้ใคร
    จนกระทั่งน้องชายลูกพี่ลูกน้อง ไปราชการสงครามที่ประเทศเกาหลี น้องคนนี้เคยมีบุญคุณกับผมมาก่อน เมื่อเขาออกปากขอยืมผมก็ให้เขาไป เขาคลาดแคล้วกลับมายังประเทศไทย ผมก็ยังไม่ได้รับเขี้ยวหมูตันคืนจากเขาจนบัดนี้

    ขอบคุณข้อมูล คุณ ธงชัย ชัยมีแรง ครับ
    http://www.oknation.net/blog/chawalachaimeerang/2009/05/08/entry-7

    เปิดให้บูชา 6999 บาท ค่าจัดส่ง 50 บาท เขี้ยวนี้เป็นเขี้ยวที่เริ่มมีการงอกแล้วจะเกิดเป็นคตซึ้งเป็นราชาเขี้ยว ทั้งตัน ทั้งงอก ครับหายากมากๆครับขนาด 2 นิ้วกว่าเก่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF3953.JPG
      DSCF3953.JPG
      ขนาดไฟล์:
      77.9 KB
      เปิดดู:
      2,383
    • DSCF3954.JPG
      DSCF3954.JPG
      ขนาดไฟล์:
      61.3 KB
      เปิดดู:
      1,682
    • DSCF3955.JPG
      DSCF3955.JPG
      ขนาดไฟล์:
      74.7 KB
      เปิดดู:
      2,145
    • DSCF3956.JPG
      DSCF3956.JPG
      ขนาดไฟล์:
      73.5 KB
      เปิดดู:
      2,664
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...