เข้าสู่แดนนิพพาน : หลวงตาพระมหาบัว

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 17 พฤษภาคม 2011.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระกรรมฐานติดครูอาจารย์

    ทุกสิ่งมันขึ้นอยู่กับจิตอะไรก็ตาม มันหิวมันโหยมันอะไร ๆ มันอยู่กับจิต พอจิตเป็นนักต่อสู้และเข้าตะลุมบอนกันแล้ว มันลืมไปหมดนะ ทีนี้เวลากลับมาที่พักพอมองเห็นกาน้ำ ผมยังไม่ลืมนะเรื่องทำนองนี้ โอ้โฮ มันจะโดดใส่กาน้ำเลย ก็มันจะตาย รินน้ำใส่กระป๋องนมเปล่า เพราะใช้กระป๋องนมเปล่าเป็นประจำแทนแก้วน้ำ แทบไม่ทันนั่นน่ะ พอใส่เข้าไป ดื่มสำลักกั๊ก ๆ ๆ จะตาย โอ้โฮ มันหิวขนาดนั้นนะ บทเวลามาเห็นกาน้ำเข้ามันหิวน้ำจะตาย แต่เวลาไปทำความเพียรอยู่คนเดียวไม่เห็นสนใจอะไร พอมาถึงที่พักมองเห็นกาน้ำเท่านั้น มันจะโดดเข้าใส่เลย ก็มันหิวน้ำจะตายน่ะ พอดื่มน้ำเข้าไป มันกลืนด้วยความอยาก ความหิวมาก เลยสำลักจะตาย กลืนลงไปแทบไม่ทันน่ะซิ สำลักดังกั๊ก ๆ ๆ จะตาย ไม่ลืมนะนี่นะ
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เวลาความเพียรเป็นไปเต็มที่ พิจารณาไม่หยุด มันก็วิตกวิจารณ์ เอ๊ เราคิดไว้ว่าจิตมีความละเอียดเข้าไปเท่าไร ความพากเพียรก็จะค่อยสะดวกสบาย งานการก็จะแคบเข้าไป ๆ สะดวกสบายเข้าไปเรื่อย ๆ แต่ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ ดูซิความคาดความหมายไว้แต่ก่อน กับความจริงที่เป็นขึ้นกับจิต มันเข้ากันได้เมื่อไร เราคาดว่าอย่างนั้น เราคิดว่าอย่างนั้น จิตมีความละเอียดเข้าไปเท่าไรยิ่งจะมีความสะดวกสบายเรื่อยไปเลย แต่ครั้นแล้วไม่เป็นอย่างนั้นนี่ จิตละเอียดเข้าไปเท่าไรมันยิ่งหมุนในงานของมัน หมุนติ้ว ๆ ๆ จนได้คิดว่า เมื่อไรมันจึงจะยุติกันลงเสียที สะดวกสบายเสียทีนา ทำไมตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหลับ มันหมุนกันติ้ว ๆ ไม่ยอมหยุดบ้างพอได้หายใจเต็มปอด
    <o:p></o:p>
    บางคืนนอนไม่หลับเสียด้วยซ้ำ เพราะการพิจารณาไม่หยุด ทั้งที่นอนเพื่อจะให้หลับนั่นแล มันทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เมื่อไรถึงจะมีความสะดวกสบายเสียทีนา จิตรำพึงขึ้นชั่วขณะเท่านั้น พอหยุดรำพึงมันก็หมุนติ้วอีกแล้ว ๆ นั่น จนกระทั่งถีบตัวไปหมดกำลังของมันแล้ว ไม่ต้องบอกไม่ต้องบังคับ ที่หมุนติ้ว ๆ นั้นมันหยุดของมันเอง เรื่องความเพียรอัตโนมัติเมื่อถึงขั้นควรเป็นแล้ว มันเป็นไปของมันเองดังที่เล่ามานี้แล
    <o:p></o:p>
    จากนั้นก็อยู่แบบเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ละที่นี่ เอ๊ ทำไมเป็นอย่างนี้ หือ เป็นอย่างนี้เหรอ ที่นี่สติปัญญาที่เคยหมุนติ้ว ๆ หายไปไหนหมด หายหมด หายทั้งสองอย่างนั้นแหละ สิ่งที่ต่อสู้กันก็ไม่ทราบว่าหายไปไหน คู่ต่อสู้ก็ไม่ทราบหายไปไหน ไปด้วยกัน ไปไหนก็ช่างมันเถอะ เราเคยทุกข์เพราะสิ่งเหล่านี้แหละ ข้าศึกก็ทำให้ทุกข์ การต่อสู้ก็ทุกข์ เพราะข้าศึกมาทำให้ทุกข์ เดินจงกรมก็เซ่อ ๆ ซ่า ๆ ไป ไปเห็นกิ้งก่าก็เล่นกับกิ้งก่าเสีย เห็นนกก็เล่นกับนกเสีย เห็นสัตว์ตัวไหนก็เล่นกับมันไปเสีย เป็นอย่างนั้นไปเสีย ไม่ใช่เดินจงกรมอย่างจริงจังเหมือนแต่ก่อน<o:p></o:p>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระกรรมฐานติดครูอาจารย์

    ไปก็ไปยืนดูสัตว์ พิจารณาสัตว์ มันหากมีเรื่องของมันนะ ไม่ใช่ไปแบบเซ่อ ๆ เสียจริง ๆ มันดูจิตดวงนี้ มันหยั่งเข้าจิตโน่นน่ะ จิตนี้เป็นได้ทุกอย่าง อำนาจของธรรมชาติอันนี้ไปฝังไว้หมด ไปกำอำนาจไว้หมดไม่ว่าจิตสัตว์ จิตบุคคล สัตว์น้ำ สัตว์บก บนฟ้าอากาศ กายทิพย์ กายหยาบ กายละเอียด จิตมันละเอียดกว่านั้น กิเลสมันละเอียดกว่านั้น มันติดพันกันไปได้ แน่ะ มันหากคิดของมันเองนะ
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    มีเท่านี้ตัวมหาเหตุในไตรภพ พอนี้บรรลัยไปแล้วไม่มีอะไรมาก่อกวน ก็อยู่ไปอย่างนั้น จะได้อะไรกับการอยู่ มืดแจ้งก็มีอยู่ตั้งแต่เรายังไม่เกิด ใครจะเอามืดเอาแจ้งไปเป็นสมบัติของตนได้ ใครจะเอาดินฟ้าอากาศ แผ่นฟ้าแผ่นดินนี้ไปเป็นสมบัติของตนได้ วัตถุทั้งหลายที่มองเห็นเกลื่อนอยู่เต็มโลกเต็มสงสารนี้ ใครจะเอาไปเป็นสมบัติของตนได้ มันต่างอันต่างมี ต่างอันต่างจริงอยู่ตามหลักธรรมชาติของมันอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เรายังไม่เกิด เกิดมาก็มีแต่กิเลสนี้มันบังคับให้อันนี้เป็นเรา นั้นเป็นของเรา กวาดต้อนเข้ามา จะตายยังไม่ว่านะ ถ้าเป็นแบกก็หลังหักแล้ว ยังจะแบกตะพึดตะพือไม่ยอมว่าหนัก กิเลสไม่ยอมให้ว่าหนัก มันบังคับเอา เพราะฉะนั้นมนุษย์เราถึงโลภมากไม่รู้จักตายก็คือมนุษย์นี่แล
    <o:p></o:p>
    ถ้าพูดตามโลกสมมุตินิยมทั่ว ๆ ไปเขาว่า มนุษย์นี้ฉลาดกว่าสัตว์ ถ้าพูดตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เพื่อจะปราบกิเลสแล้วไม่เป็นอย่างนั้น มนุษย์นี้ใช้ได้คล่องตัวที่สุด กิเลสใช้ได้คล่องตัวที่สุด กิเลสเสี้ยมสอนได้ง่ายกว่าสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์นี้โง่กว่าสัตว์ทั้งหลายมาก พลิกไปอย่างนั้นเสีย ควรจะฉลาดแล้วยังกลับให้มันเอาความฉลาดไปใช้เป็นทาสของมันเสียสิ้น ควรจะเอาความฉลาดของธรรมเข้าไปแทรกในมนุษย์นี้ แต่ยังไม่ได้เรื่อง ตายทิ้งเปล่าราวกับสัตว์ที่เขาไม่ฉลาด สู้สัตว์ก็ไม่ได้ สัตว์เขาก็อยู่ตามประสีประสาเขาก็เป็นอย่างหนึ่ง มนุษย์นี้ควรจะมีความฉลาด เพราะตามหลักธรรมชาติมนุษย์ก็ฉลาดอยู่แล้ว ควรจะหาความฉลาดอันแท้จริงอันถูกต้องอันเป็นสารคุณเข้ามาแทรกหัวใจบ้าง อย่างนี้กลับไม่แทรก กลับเอาความฉลาดของกิเลสเข้ามาครอบงำเสียหมด เออ มนุษย์นี้เลยจะตายจมอยู่กับความสำคัญว่าตนฉลาด ทั้งที่โง่ ถูกกิเลสจูงจมูกจนไม่โงหัวขึ้นดูเดือนดาวบ้างเลย
    <o:p></o:p>
    โลภก็โลภไม่มีใครเกินมนุษย์ โลภจนเจ้าของจะตายยังไม่รู้ ตายแล้วก็ไม่ทราบว่าเอาอะไรไป พิจารณาซิ แม้แต่ร่างกายนี้เวลาหมดลมหายใจแล้ว เขาจะเผาไม่เผาฝังไม่ฝัง ทิ้งไว้อย่างนั้น มีแต่แมลงวันจะมาไต่มาตอมเท่านั้น ไม่มีทางที่จะได้ติดตัวไป เมื่อพิจารณาให้ถึงฐานแห่งความจริงของมันแล้ว โอ้โฮ ธรรมชาตินี้มันละเอียดจริง ๆ ไม่อาจรู้มันได้เลย ถ้าไม่ใช่วิชาธรรม ไม่เห็นมันแน่ ๆ แม้ตายเกิดกี่กัปก็ไม่มีทางทราบได้เลย มีวิชาธรรมเท่านั้นที่จะมองเข้าไปเห็นมันได้ และทำลายมันได้โดยลำดับจนกระทั่งสิ้นซากไป มีธรรมเท่านั้น<o:p></o:p>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระกรรมฐานติดครูอาจารย์

    การภาวนามันก็มีเรื่องเกี่ยวข้องหลายประการ ที่ให้ความสะดวกก็มี ที่ให้ความขลุกขลักก้าวไม่ออกก็มี จึงต้องใช้หลายสันหลายคมในทางอุบายเกี่ยวกับหมู่กับเพื่อน ไม่เช่นนั้นก็จะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เช่น วัดป่าบ้านตาดนี้ รู้สึกจะอุดมสมบูรณ์ด้วยปัจจัยทั้งสี่ เราจะว่าอุดมสมบูรณ์นั้นไม่ผิด เราพูดได้เต็มปากเพราะเคยไปที่ต่าง ๆ มาแล้วนี่ ถ้าไม่เคย เรามาเจอแต่นี้เสียทีเดียว เราก็ยังไม่กล้าพูดว่ามันสมบูรณ์ นี่เราก็เป็นนักท่องเที่ยว เกือบพูดได้ว่าทั่วประเทศไทย และเคยอยู่กับครูบาอาจารย์ที่ท่านพาปฏิบัติมาแล้ว
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ยิ่งพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านชอบอยู่ในป่าในเขา โอ้โฮ เวลาท่านเล่าให้ฟัง มันไปสัมผัสท่านถึงเล่านะ ไม่ใช่ท่านตั้งใจมาเล่าเฉย ๆ เวลาพูดไปสัมผัสท่านก็พูดให้ฟัง แต่เรามันเกิดความสลดสังเวช ไปบางแห่งฉันจังหันด้วยข้าวเปล่า ๆ ไม่มีกับเลย เป็นเดือนนะ ท่านว่า เพราะเขาเข้าใจว่าพระกรรมฐานนี้ฉันแต่ถั่วแต่งา ไม่ฉันเนื้อฉันปลา เขาไม่มีถั่วมีงาเขาก็เอาข้าวเปล่า ๆ ใส่บาตรให้ฉัน เราก็ฉันอย่างนั้นเพราะเราหาอย่างนั้นนี่ ท่านว่า แต่ภาวนาดี ตัวเบา มันจะกินได้มากอะไรมีแต่ข้าวเปล่า ๆ ท่านว่าอย่างนั้น การเดินธุดงค์ก็ลำบาก บางทีเดินจากนี้ไปบ้านนั้น ไปหมู่บ้านนั้นก็ไม่ถึง เพราะหลงทาง โดนป่าลึกเข้าไปอีก
    <o:p></o:p>
    แต่ก่อนหมู่บ้านไม่ได้เป็นอย่างนี้ เดินตั้งวันก็ไม่เจอหมู่บ้าน หลงทางบ่อย เพราะทางโขลงข้างมีแยะ โอ๊ย นอนจมอยู่ในป่า ท่านว่าบางทีไม่ได้กินข้าวก็มี เราก็เคยอดอยู่แล้วจะวิตกวิจารณ์อะไร เพราะเราไปหาภาวนานี่นะ เราไม่ไปหากังวลนี่ ท่านว่า ความกังวลเป็นเรื่องของกิเลส เราจะฆ่ากิเลส จะกังวลมันอะไร ไปอยู่ในป่าในเขา อด ๆ อยาก ๆ ทั้งนั้นแหละ ท่านพูด ทีนี้ธรรมท่านซิสมบูรณ์ภายในใจไม่มีเวลาบกพร่อง ท่านภาวนาของท่านด้วยความสะดวกสบาย ไม่เกลื่อนกล่นวุ่นวายกับใคร ๆ จิตใจสง่าผ่าเผย ธรรมชอบเจริญในที่อดอยากขาดแคลน ไม่ได้เจริญในที่สมบูรณ์พูนผลด้วยปัจจัยเครื่องบำรุงบำเรอ ซึ่งดีไม่ดีติดปัจจัยสี่ ซึ่งเป็นเพียงเครื่องอาศัยก็ได้ถ้าลืมตัว เลยกลายเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาแบบกาฝาก และทำลายจิตใจให้แหลกเหลวไปได้
    <o:p></o:p>
    เพราะฉะนั้นการฝึกฝนอบรมเจ้าของ จึงต้องมีความลำบากลำบน ด้วยที่อยู่ที่อาศัยบ้าง ด้วยปัจจัยต่างๆ เครื่องบรรเทาบ้าง ด้วยความเพียรบ้าง บวกกันเข้าก็ต้องทุกข์ เพราะจะหนีจากทุกข์ ต้องเอาทุกข์แก้ทุกข์ซิ ทุกข์อันหนึ่งเป็นทุกข์เพราะกิเลสสร้างขึ้นมา ทุกข์อันหนึ่งเป็นทุกข์เพราะการบำเพ็ญธรรม ฝ่ายหลังนี้เป็นผลดี เป็นทางให้ประเสริฐ เป็นทางให้หลุดพ้น ยอมรับทุกข์ทางนี้มากกว่าจะยอมรับทุกข์ทางนั้น อย่างนั้นซิผู้ปฏิบัติ ต้องคิดแยกคิดแยะหลายสันหลายคม จึงเรียกว่า ปัญญา ไม่อย่างนั้นหาทางออกไม่ได้นะ ปัญญาเป็นสำคัญ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายตลบทบทวนจนคล่องตัว จึงจะทันกับกลของกิเลส ไม่งั้นตายจมอยู่ในเงื้อมมือมัน<o:p></o:p>
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระกรรมฐานติดครูอาจารย์

    นี่ก็ยิ่งร่อยหรอเข้าไปๆ ทุกวันพระกรรมฐานเรา กำลังจะกลายเป็นปลาเน่า ไปขายอยู่ในตลาดลาดเลในเมืองใหญ่เมืองหลวงไปแล้วนะ เรื่องของกิเลสถ้ามีอยู่ในจิตแล้ว มันลืมตัวได้ง่ายนะ เห็นคนมานับหน้าถือตาเคารพเลื่อมใสก็ลืมตัวเสียละซิ เหตุที่เป็นปลาเน่ากระจายเข้าตลาดน่ะ เพียงดินเหนียวติดหัวก็ว่าตัวมีหงอนไปแล้วนั่น นี่ละกรรมฐานตาย ผู้เห็นธรรมเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์ภายในจิตอยู่แล้ว ท่านไม่หลงท่านไม่ตื่นดินเหนียว ท่านรู้ มีแต่หาวิธีหลบหลีกปลีกตัวเท่านั้น จนผ่านพ้นไปได้แล้ว นั้นก็ยิ่งรอบคอบ ควรจะสงเคราะห์ใครมากน้อยเพียงไร ท่านก็รู้ประมาณของท่านเอง ท่านไม่หลงท่านไม่ตื่น
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ผู้เช่นนั้นแล้วท่านเป็นผู้รอบคอบ ท่านรู้จักประมาณความพอดีในการปฏิบัติต่อประชาชน หนักเบามากน้อยเพียงไรท่านรู้ของท่านเอง ท่านไม่ถือใครเป็นประมาณ ท่านถือธรรมเป็นประมาณ กำลังวังชาของท่านเหมาะสมเพียงไรท่านก็รู้ของท่านเอง เพราะท่านไม่ถือโลกามิสมาเป็นเจ้าอำนาจบังคับจิตใจท่าน ท่านไม่มีโลกามิสติดหัวใจ ท่านมีแต่ความเมตตาสงสารที่จะสงเคราะห์สงหาได้มากน้อยเท่าไร ท่านก็ทำไป ความรู้จักประมาณท่านมีอยู่ประจำใจ ท่านไม่ลืมตัวไม่ลืมธรรมจะไปลืมตัวอะไร คนลืมธรรมต่างหากจึงลืมตัวมั่วสุมแบบไม่มีสถานีจอดแวะ
    <o:p></o:p>
    หาอุบายสังเกตดูเจ้าของให้ดีนะ สิ่งเกี่ยวข้องกับเรามีอะไรบ้างที่ทำให้อืดอาดเนือยนาย ทำให้ล่าช้า ทำให้ไม่สะดวกสบายในจิตตภาวนามีอะไรบ้าง ต้องสังเกตเสมอ ถึงจะทุกข์ก็ทนเอา เมื่อเจ้าของรู้ว่าสะดวกทางด้านจิตตภาวนาในแง่ใด แม้ทุกข์ก็ต้องยอมทนเอา ไม่อย่างนั้นก้าวไปไม่ได้ เพราะกิเลสมันรึงรัดรอบด้านในหัวใจเรา ขยับออกช่องไหน ส่วนมากมีแต่กิเลสทั้งนั้นแหละ เมื่อสติปัญญายังไม่ทัน มีแต่กิเลสยึดอำนาจเอาเราเป็นเครื่องมือของมันทั้งนั้น แต่เราไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลสน่ะซิ ต่อเมื่อสติปัญญาทันมันถึงจะรู้และรู้ แย็บมาตรงไหนรู้ ฟันกันแหลกๆ ไปเลย เมื่อถึงขั้นรู้แล้วปิดไม่อยู่จริงๆ นะ มันจะออกมาแง่ไหนมันรู้กันทันทีๆ ฟัดกันฟันกันแหลกๆ จนกระทั่งมันหมอบอย่างที่ว่านั่นแหละ หมอบแล้วยังไม่แล้ว ยังต้องคุ้ยเขี่ยหาอีกไม่หยุดไม่ถอย กิเลสมันหมอบ การหมอบของกิเลสอย่าเข้าใจว่ามันกลัวเรา มันหมอบหลบฉากต่างหาก อย่าเข้าใจว่ามันกลัวเราเลย มันหมอบหลบฉากด้วยลวดลายแห่งความฉลาดของมัน ความฉลาดของกิเลสเป็นอย่างนั้น
    <o:p></o:p>
    ฉากของธรรมะความฉลาดของธรรมเป็นยังไง ก็ตามขุดค้นจนเจอกัน ฟัดกันเรื่อยๆ หลายครั้งหลายหน สุดท้ายก็เจอปู่ย่าตายายของมันจนได้ คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่ก็เอาแหลก เมื่อเจ้าโคตรมันหมดแล้ว สงครามก็หยุดรบลงทันที ฉะนั้นจงฟาดฟันจนหมดเจ้าโคตร ถ้าโคตรยังอยู่มันก็แตกลูกแตกหลานมาเรื่อย เพราะมันมีโคตรมีแซ่นี่วะ เอาจนแหลกทั้งโคตรทั้งแซ่แล้วหมดปัญหาลงทันที สบายแสนสบาย
    <o:p></o:p>
    สนุกดูกิเลสที่นี่ สมมุติว่ามันไม่มีในหัวใจเรา มันก็มีในสัตว์ในบุคคล ไปไหน มันก็เห็นหมด เกลื่อนอยู่นั่น มันแสดงกิริยาท่าทางอะไรออกมา ปิดไม่อยู่ เห็นหมดรู้หมด นอกจากจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น ทีนี้ความสงสารมันก็เป็นขึ้นมาพร้อมกัน อีกคนหนึ่งไม่รู้ คนหนึ่งรู้มันดูกันง่าย คนไม่รู้ก็เหมือนคนไปนอนอยู่ในถ้ำเสือนั่นแล ได้ยินเสียงเสือคำราม ฮึ่มๆ ยังนึกว่าคนร้องเพลงให้ฟัง ยังฟังเพลินอยู่ได้ ไม่รู้จักตาย พวกเรามันพวกไปนอนอยู่ในถ้ำเสือ เสือคำรามจะกลืนหมดทั้งตัว ยัง อ๋อ เพลงนี้ไพเราะเพราะพริ้งมากนะ แหม เพลงนี้มาจากไหนนา เพลงอะไร เพลงลูกทุ่งหรือลูกกรุงกันนะ ถึงได้ไพเราะเสนาะโสตเอานักหนา ไม่คิดว่าเสือมันกำลังหั่นหอมหั่นกระเทียมอยู่แล้ว เสียงกระหึ่มๆ ของมันหั่นหอมกระเทียม กำลังจะขยำคลุกเคล้ากับเนื้อมนุษย์ผู้แสนโง่อยู่ประเดี๋ยวใจยังไม่รู้ ยังเข้าใจว่าเขาร้องเพลงให้ฟัง กิเลสมันกล่อมคน กล่อมอย่างนั้นละ จงฟังให้ถึงใจ บทเพลงของกิเลสกล่อมพวกเรา และปฏิบัติให้ถึงธรรม ถ้าไม่อยากถูกขยำกับหอมกระเทียมของมัน

    <o:p></o:p>
    เอาละ เลิกกันละที่นี่
     
  5. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    สาธุ.....สาธุ.....สาธุ _/|\_ นิพพานังปัจโยโหตุ

    ......................................................
     

แชร์หน้านี้

Loading...