เคล็ดวิธีรักษาโรคเวรโรคกรรม ด้วยธรรม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 15 มีนาคม 2014.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    เคล็ดวิธีการรักษาโรคเวรโรคกรรมนี้ เป็นเคล็ดวิธีโบราณที่ได้รับการถ่ายทอดมาและได้ช่วยคนเป็นจำนวนมากให้คลายทุกข์ ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนที่เป็นโรคนั้นต้องเป็นผู้มีบุญและรู้จักการสร้างบุญบารมีที่ถูกต้อง และต้องอุทิศบุญนั้นไปให้เจากรรมนายเวรทุกครั้ง และอย่าสร้างกรรมชั่วใหม่มาทับซ้อนกรรมเก่าอีก เพราะจะหนักว่าเดิม

    สำหรับท่านที่ไม่เชื่อ ขอให้ผ่านเลยไปและถือเสียว่าเคล็ดวิชาเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งความรู้ในโลก ที่ท่านไม่พึงประสงค์ที่จะใช้ความรู้นี้เพื่อช่วยเหลือตัวเอง

    การกินเจ เป็นการละเว้นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ทุกชนิด เป็นอานิสงส์ทางเมตตา การไม่ข้องแวะในชีวิตและเนื้อสัตว์เป็นวิธีลดกรรมที่ดีอีกวิธีหนึ่ง ที่ช่วยส่งเสริมการปฏิบัติจิตสมาธิ นักบวชจึงกินเจกันเป็นพื้นฐานและถือเป็นสาระสำคัญอย่างหนึ่งของการปฏิบัติ ในพิธีบวงสรวงหรืองานพิธีขอพร ผู้ร่วมในงานพิธีทุกคนมักศรัทธากินเจ และปฏิบัติกันจนเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีจนถึงทุกวันนี้

    การไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์เป็นทั้งเมตตาและกุศลไปในตัว ในวงการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ยอมรับกันว่า อาหารเจหรือมังสวิรัติทำให้สุขภาพสมบูรณ์ และปลอดภัยจากโรคร้ายแรงมากกว่าอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่นโรคความดันโลหิตสูงและต่ำ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคมะเร็งในลำไส้ โรคหัวใจ โรคกระเพาะ ท้องผูก ปวดเมื่อยตามร่างกาย พยาธิต่างๆ และโรคติดเชื้อจากสัตว์ โรคปวดศีรษะ นิ่วในไต และการกินเจเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยทางจิตใจให้มีเมตตาและเยือกเย็น

    เด็กที่กินมังสวิรัติมีไอคิวสูงกว่าเด็กทั่วไปโดยเฉลี่ย นอกจากนี้ทางวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่า กากและใยในพืชผักมีความสำคัญต่อการป้องกันและรักษาโรคต่างๆไปในตัว

    ทั้งนี้การกินเจนั้น ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับร่างกายของตนเองด้วยถ้ากินแล้วทำให้ร่างกายเจ็บป่วยกลายเป็นโรคอื่นขึ้นมาอีก อย่ากินเพราะกระแส ขอให้มีสติรู้ตัวในการกิน

    สวดมนต์และเจริญภาวนา
    หลักการสร้างบุญบารมีคือ ทาน ศีล ภาวนา บันไดสามขั้นแห่งบุญนี้ สามารถที่ช่วยลดกรรมได้ แต่สิ่งที่ช่วยในการลดกรรม อีกวิธีที่เห็นผลมากที่สุดคือ ภาวนา ซึ่งการสวดมนต์ก็คือ หนึ่งอุบายที่จะรวมจิตให้มีสมาธิเพื่อนำไปสู่การเจริญภาวนาชั้นสูงขึ้นไป จึงขอกล่าวรวมกันไว้
    หลายคนสงสัยทำไมต้องเป็นการเจริญภาวนา เพราะในการสร้างบุญทั้งสามขั้นบันไดนี้ ทานให้ผลบุญไม่เท่าศีล ทานนั้นสอนให้รู้จักการลด ละโลภ ลดความเห็นแก่ตัว

    ส่วนศีลนั้น เป็นการปรับพื้นฐานของมนุษย์ให้สู่ความเป็นปกติมากยิ่งขึ้น เป็นตัวสกัดความชั่วและบาปไม่ให้เข้ามาสู่ชีวิต มีผลบุญมากกว่าทาน แต่ผลบุญนั้นไม่เท่ากับการที่ได้จากการเจริญภาวนาหรือการวิปัสสนา
    ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ต่อให้ตักบาตรจนขันหินทะลุ ยังไม่ได้บุญเท่ากับเจริญภาวนาแค่ช้างกระดิกหู ดังนั้น เรื่องของการเจริญภาวนาจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่อาจจะเป็นเรื่องยากของคนธรรมดาและที่มีกรรมหนักคอยติดตามอยู่

    ควรเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ และการทำสมาธิ เพื่อทำให้ใจนั้นพร้อมที่จะก้าวไปสู่การเจริญภาวนาชั้นสูงต่อไปและการสวดมนต์นั้นถือเป็นสิ่งมงคลในชีวิต และขอแนะนำว่าท่านที่จะเจริญภาวนานั้น ต้องไปหาครูบาอาจารย์ให้ท่านช่วยฝึกให้ เพราะจะเป็นการดีที่สุดและถูกต้องที่สุด ในที่นี้จะขอนำพื้นฐานเรื่องการทำสมาธิและการสวดมนต์มาให้พิจารณาเป็นเบื้องต้นซึ่งทุกท่านทำได้แน่นอน

    การสวดมนต์นั้นแม้เพียงสวดคนเดียวจะทำให้ผลกรรมดี ดีในที่นี้คือถ้าสวดมนต์คนเดียวสามารถที่จะอธิษฐานบารมีและสามารถที่จะลดกรรมได้ หากมีโอกาสได้ร่วมกันสวดมนต์หลายคนจะทำให้เกิดบุญร่วม เพราะสวดมนต์ร่วมกันทำให้ต้องไปเกิดอีกภพเพื่อใช้ผลบุญที่ได้สร้างร่วมกันมา เจ้ากรรมนายเวรบางพวกนั้น แค่ได้ยินเสียงสวดมนต์เขาก็จะถอนตัวออกไปแล้ว

    และบทสวดมนต์มาจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า จึงเป็นของศักดิ์สิทธิ์และเป็นสุดยอดมงคลแห่งชีวิต จึงทำให้ผู้สวดมีบุญมากมายนัก คนที่สวดมนต์เป็นประจำนั้นจะเป็นที่เคารพรักของเหล่าพรหมเทพเทวดาและสรรพวิญญาณทั้งหลาย โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่มีฐานบุญและอยู่ในสภาพที่รับบุญได้จะชอบใจเป็นพิเศษ ขอย้ำอีกที

    ยิ่งทำสมาธิต่อไปไม่ว่าจะกี่นาที และอุทิศบุญจากการนั่งสมาธินั้นไปให้เจ้ากรรมนายเวร เขาจะพอใจมาก และคนที่สวดมนต์และทำสมาธิมานานหรือในระยะหนึ่ง จะรู้ดีว่าในบางครั้งเมื่อเริ่มสวดมนต์นั้นจะมีความรู้สึกสุขใจ ปิติยินดี บางคนรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาร่วมยินดีในการสวดมนต์ด้วย ซึ่งพอจะยืนยันได้ว่า ดวงวิญญาณทั้งหลาย ทั้งพรหมเทพเทวดาและสรรพวิญญาณทั้งหลายเข้ามาร่วมอนุโมทนาด้วยแน่นอน
    หลังจากการสวดมนต์ทุกครั้ง ควรจะทำสมาธิต่อไป ครูบาอาจารย์ท่านยืนยันว่า โรคเวรโรคกรรมนั้นหายได้จากการทำสมาธิ หรือที่เรียกกันว่า สมาธิแก้กรรม

    ครูบาอาจารย์หลายท่านได้ใช้การสมาธิและการเจริญภาวนาหรือการวิปัสสนากรรมฐานในการรักษาโรคมามากมาย ทั้งหลวงปู่มั่น ภูริทัตตโต หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ฯลฯ
    ในทางการแพทย์สมัยใหม่นั้น ต่างยอมรับกันแล้วว่าการทำสมาธิและการเจริญภาวนานั้นช่วยรักษาโรคได้จริง และการฝึกสมาธิให้ได้ผลอย่างน้อยในระดับที่ปิติแล้ว จะทำให้ร่างกายของเรานั้นมีสารอินโดฟิน Endorphine) หลั่งออกมา สามารถนำมาใช้รักษาหรือส่งเสริมการรักษาโรคเรื้อรังที่ต้องกินยาแผนปัจจุบันเป็นประจำได้หลายโรค โดยสามารถหยุดยาหรือลดยาลงได้

    การฝึกสมาธิ ถือเป็นการแพทย์ทางเลือกทางหนึ่งที่ศึกษามากในหลายประเทศ
    ไม่ว่าจะเรียกเป็นชื่อใด ด้วยอุบายใดไม่ว่าจะเป็น ชี่กง ไถ้ชิ ซุนดู โยคะ สหะจะโยคะ ฝึกทีเอ็ม โยเร พลังจักรวาล สมถะ วิปัสนา สมาธิหมุน ฯลฯ

    การฝึกเหล่านี้ว่ามีผลช่วยบรรเทาโรคเหล่านี้ หลายโรคไม่รู้สาเหตุที่มาที่ทำให้เกิดโรคที่ถูกเรียกว่าโรคเวรโรคกรรมทั้งอาการปวดศีรษะเรื้อรังจากความเครียด ปวดศีรษะไมเกรน เวียนศีรษะ ตามัวนอนไม่หลับ นอนฝันตื่นแล้วอ่อนเพลีย ปวดตึงกล้ามเนื้อคอกล้ามเนื้อหลังและเอว กระดูกทับเส้นประสาทที่คอหรือเอวปวดตามข้อต่างๆ ใจสั่นหายใจไม่อิ่ม โรคกระเพาะอาหารระบบย่อยอาหารผิดปกติ อาการภูมิแพ้ต่างๆ ฯลฯ

    สำหรับในกรรมที่หนักนั้น ที่ส่งผลให้เป็นโรคร้ายที่หนักนั้นเช่น มะเร็ง อัมพาต หรือที่หนักนั้นต้องร่วมกับการทำบุญอย่างอื่นด้วย ถึงจะได้ผลเร็วซึ่งต้องครบทั้ง 3 ขั้นบันไดคือ ทาน ศีล ภาวนาไปพร้อมกัน
    ที่ต้องหมั่นทำทานเพราะ อาจจะเป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรเขายังมีจริต มีความต้องการเหมือนกับตอนที่มีชีวิตอยู่ ยังอยากได้ข้าวปลาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค หนังสือธรรมะที่ช่วยให้เขาเป็นสุขได้ ก็ควรจะทำเป็นสังฆทานถวายพระสงฆ์ ด้วยอาหารคาวหวาน ผ้าไตรจีวรซึ่งแทนเครื่องนุ่งห่ม น้ำสะอาด หนังสือธรรมะ

    และจะให้ดียิ่งขึ้นควรถวายพระพุทธรูปประจำวันเกิดของคนป่วย ขนาด 9 นิ้วขึ้นไป ที่แนะนำนี้ขอให้คำนึงถึงฐานะความเหมาะสมด้วยว่า เราพร้อมในเรื่องเงินทองหรือไม่ ถ้ายังไม่พร้อมขอให้ทำบุญเท่าที่เราทำได้ อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อนเป็นอันขาด หรือต้องไปเบียดเบียนคนอื่น เพราะนอกจากจะไม่ได้บุญแล้ว ยังได้บาปและกรรมมาซ้ำเติมตัวเองด้วย

    ที่ต้องหมั่นทำศีลนั้น เพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาอยากเห็นว่าเรานั้นกลับตัวกลับใจจริง และสำนึกได้แล้ว การที่เรามีศีลจะทำให้บุญเรามากขึ้น เมื่อส่งไปให้เขาก็จะทำให้เขามีความสุขได้มากขึ้นกว่าทาน เพราะบุญนั้นมากขึ้นตามลำดับ
    ที่ต้องหมั่นเจริญภาวนานั้น เพราะนอกจากช่วยตัวเราเองในการบรรเทาโรคร้ายแล้ว บุญที่ได้จาการเจริยภาวนานั้นบริสุทธิ์และละเอียด เมื่อเราอุทิศไปให้เจ้ากรรมนายเวรจะช่วยให้เขาเป็นสุขมากล้นทวีคูณ จนอาจทำให้เขาปรับภพภูมิไปอยู่ในภพที่ดีกว่า เป็นสุขมากกว่าและเลิกจองเวรเราได้

    การทำสมาธิ เกิดจากการทำความเพียรชอบ (สัมมัปธาน) กับสติชอบ (สติปัฏฐานสี่) ได้สมาธิชอบ เป็นระดับความตั้งมั่นของจิตไม่ว่าจะนั่งจะยืน จะเดินหรือนอนทำได้ทั้งนั้น ขอนำเรื่องของการทำสมาธิแบบง่าย สำหรับทุกท่านที่ยังไม่เคยทำหรือทำแล้วใจยังไม่นิ่งพอมาให้พิจารณา ซึ่งเป็นวิธีการของหลวงพ่อจรัล แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งดีมากและคลายทุกข์ให้คนมามากมายขอบุญกุศลที่เกิดขึ้นนี้ โมทนาพระคุณความดีของหลวงพ่อจรัล และครูบาอาจารย์เจ้าของต้นตำรับการทำสมาธินี้ด้วยเทอญ

    วิธีนั่งสมาธิ
    ให้นั่งขัดสมาธิ คือขาขวาทับขาซ้าย นั่งตัวตรงหลับตาเอาสติมาจับอยู่ที่สะดือ ที่ท้องพองยุบ เวลาหายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่าพองหนอ ใจนึกกับท้องที่พอง ต้องให้ทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกัน หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบหนอ ใจนึกกับท้องที่ยุบ ต้องทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกัน

    ข้อสำคัญให้สติจับอยู่ที่พอง ยุบ เท่านั้น อย่าดูลมที่จมูก อย่าตะเบ็งท้อง ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า ท้องพองไปข้างหน้า ท้องยุบมาข้างหลัง อย่าให้เห็นเป็นไปว่า ท้องพองขึ้นข้างบน ท้องยุบลงข้างล่าง ให้กำหนดเช่นนี้ตลอดไป จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด

    เมื่อมีเวทนา เวทนาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
    จะต้องบังเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติแน่นอน จะต้องมีความอดทน เพื่อเป็นการสร้างขันติบารมีด้วย ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความอดทนเสียแล้ว การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นก็ล้มเหลว ในขณะที่นั่งหรือเดินจงกรมอยู่นั้น

    ถ้ามีเวทนา ความเจ็บ ปวด เมื่อย คัน เกิดขึ้น ให้หยุดเดิน หรือกำหนดพองยุบ ให้เอาสติไปตั้งไว้ที่เวทนาเกิด และกำหนดไปตามความเป็นจริงว่า ปวดหนอๆๆ เจ็บหนอๆๆ เมื่อยๆ คันหนอๆๆ เป็นต้น ให้กำหนดไปเรื่อยๆ จนกว่าเวทนาจะหายไป เมื่อเวทนาหายไปแล้ว ก็ให้กำหนดนั่งหรือเดินต่อไป

    จิตเวลานั่งหรือเดินอยู่ ถ้าจิตคิดถึงบ้าน คิดถึงทรัพย์สิน หรือคิดฟุ้งซ่าน ต่างๆ นานา ก็ให้เอาสติปักลงที่ลิ้นปี่ พร้อมกับกำหนดว่า คิดหนอๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะหยุดคิด แม้ดีใจ เสียใจ หรือโกรธ ก็กำหนดเช่นเดียวกันว่า ดีใจหนอๆๆๆ เสียใจหนอๆๆๆ โกรธหนอๆๆๆ เป็นต้น

    และที่สำคัญ เมื่อจะออกจากสมาธิแล้วขอให้อุทิศบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย ใช้คำพูดแบบง่ายแต่ได้ใจความ ตัวอย่างเช่น

    บุญกุศลที่ข้าพเจ้า....................................จากการทำสมาธิในครั้งนี้ ขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งพรหมเทพเทวดา คนใกล้ตัว สัตว์ใกล้ตัว ญาติก็ดีไม่ใช่ญาติก็ดี โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เกิดโรค.............นี้ขอให้ท่านมารับบุญกุศลในครั้งนี้

    ถ้าท่านพึงพอใจในบุญกุศลนี้ขอให้ท่านอโหสิกรรมต่อกรรมที่ข้าพเจ้าได้เคยทำไว้กับท่าน ที่ตั้งใจก็ดีไม่ตั้งใจก็ดี รู้ตัวก็ดีไม่รู้ตัวก็ดี และขอให้ท่านถอนตัวไปจากโรคร้ายดังกล่าวนับตั้งแต่บัดนี้ และตัวข้าพเจ้าเองขอให้อโหสิกรรมต่อท่านทั้งหลาย ขอถอนคำสาปแช่ง คำอธิษฐาน การอาฆาตมุ่งหวังปองร้ายและกรรมที่เกิดขึ้นทั้งมวล ไว้ ณ ที่นี้พร้อมกัน
    โมทนาสาธุโมทนาสาธุ โมทนาสาธุ

    ****คำอุทิศบุญนี้ใช้ได้ทุกการทำบุญ ถ้าเป็นเรื่องของทานให้ระบุว่าเป็นทาน ถ้าสมาทานศีลขอให้ระบุเป็นศีล ถ้าทำสมาธิขอให้ระบุว่าเป็นการทำสมาธิ

    ปล่อยปลา
    การปล่อยปลานั้น จะใช้ปลาอะไรก็ได้ แต่ให้ดีที่สุดตรงเคล็ดมากที่สุดก็คือ ปลาหมอ เชื่อกันว่าการสงเคราะห์สัตว์โดยเฉพาะปลาให้มีชีวิตต่อไป สามารถทำให้โรคที่รุมเร้าก็ลดลงได้ ให้ปล่อยปลาหมอจำนวน 8 ตัวหรือ 18 ตัว หรือเท่าอายุของคนป่วย

    เคล็ดสำคัญต้องเอาปลาหมอหรือปลาอะไรก็ได้ที่ตั้งใจจะปล่อย นำไปถวายพระสงฆ์เสียก่อน ให้เป็นปลาของผู้มีบุญมากกว่าเรา และขอผาติกรรมหรือคือการของไถ่ปลาคืน ด้วยเงินเท่ากับที่เราซื้อปลามา
    อย่าให้น้อยกว่าเป็นอันขาดเพราะจะเป็นการติดหนี้สงฆ์เข้าไปอีก แต่ถ้าพระสงฆ์ท่านยกให้ก็ไม่เป็นไร ยิ่งเราซื้อคืนจากท่านด้วยเงินที่มากกว่าในครั้งแรกที่ซื้อปลามา บุญก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น และนำปลาไปปล่อยในน้ำ ในสถานที่เหมาะสมให้เขาสุขสบาย ก่อนจะปล่อยปลาลงน้ำให้ตั้งจิตอธิษฐานดังนี้

    ข้าพเจ้าชื่อ…………นามสกุล…………….ขอตั้งจิตถึงพระแม่คงคา พรหมเทพเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้มาเป็นพยาน วันนี้ลูกตั้งจิตเป็นมหากุศลในการให้ทานชีวิตสัตว์คือปลาหมอ ขอให้ท่านทั้งหลายเป็นอิสระ ขอบุญกุศลนี้อุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร ญาติก็ดีไม่ใช่ญาติก็ดี
    โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ข้าพเจ้าป่วย.....(ระบุโรคลงไป) ถ้าท่านพึงพอใจในผลบุญนี้ขอให้ท่านอโหสิกรรม ต่อข้าเจ้าและถอนตัวออกไปจากโรคร้ายนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    และตัวข้าเพเจ้ายินดีให้อโหสิกรรมต่อท่าน ยกเลิกทุกกรรมที่เกี่ยวข้องกันตั้งแต่บัดนี้เช่นกัน ด้วยผลบุญนี้ขอให้ข้าพเจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้น พ้นเคราะห์ พ้นโศก พ้นโรค พ้นภัย สิ่งไม่ดีทั้งหลายให้ออกไปจากตัวด้วยเถอะ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ

    ถวายยาให้กับวัด หรือช่วยเหลือคนป่วย
    การลดกรรมอีกวิธีหนึ่งให้ท่านเบาจากโรคเวรโรคกรรม
    การบริจาคยาให้กับคนยากคนจนที่ไม่มียารักษา
    ถวายยาสามัญประจำบ้านให้กับทางวัดด้วย
    ช่วยเหลือพระสงฆ์ที่อาพาธหรือถวายยาให้กับท่าน

    บูชาเทิดทูลพระในบ้าน
    กรรมดีที่คุณสร้างไว้ อาจเกิดจากที่คุณทำความดีกับผู้อื่น แต่คุณเองไม่เคยสนใจหรือคิดจะเหลียวแลพระในบ้าน ก็ไร้ประโยชน์ในการสร้างกรรมดี เพราะพระในบ้านนั้นเป็นพระที่คุณจะต้องบูชาและเทิดทูลที่สุด นั่นคือ พ่อและแม่ของคุณเอง ท่านอยู่ในบ้านของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องเสาะแสวงหาบุญนอกบ้าน เพียงแต่คุณควรที่จะหันกลับมาเอาใจใส่ดูแลท่าน ให้ความสำคัญกับท่าน คุณควรใส่บาตรให้ท่านก่อนที่จะนำอาหารไปแบ่งปันให้เพื่อนบ้าน และคอยไหว้ท่านเมื่อถึงทุกเทศกาลซื้อสิ่งของให้ท่าน อาจจะเป็นสิ่งของที่ท่านอยากได้ หรือเป็นพวงมาลัยแล้วนำมาไหว้ท่าน ขอพรจากท่าน แล้วคุณจะรู้ว่า ไม่มีพรใด ๆ ประเสริฐเท่ากับพรจากพระในบ้านของคุณอีกแล้ว พรที่ท่านให้จะทำให้คุณเจริญรุ่งเรืองอย่างหาที่เปรียบไม่

    ปฏิบัติธรรม
    การปฏิบัติธรรมเป็นการภาวนาอีกวิธีหนึ่งที่สามารถลดกรรมชั่วและเพิ่มกรรมดีและยังสามารถทำให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นอโหสิกรรมให้ เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นถือว่าเป็นการกระทำอย่างเห็นได้ชัดเจน การปฏิบัติธรรมนอกจากจะทำให้ผู้ปฏิบัตินั้นมีจิตใจที่บริสุทธิ์แล้ว ยังสามารถทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นมีสติในการใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่ประมาท “หากแต่ล้างกรรมได้ โดยที่เราทำในปัจจุบันอย่างมีสติ”

    ที่มา https://www.facebook.com/permalink.php?id=134306853328413&story_fbid=426773540748408
     
  2. Malaiteva

    Malaiteva เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +192
    โมทนา จขกท. และขออนุญาติร่วมบุญด้วย ในเรื่องเจ และการปฏิบัติธรรมคงไม่ว่ากันนะ
    .อานิสงส์ที่ดีมากในการกินเจนั้นทำให้ผู้กินนั้นได้เห็นอารมณ์อันหนึ่งคือความกำหนัดในอาหารซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ เช่น ภาพไก่ย่างมันลอยมา น้ำลายจะเริ่มไหล นี่ล่ะเริ่มกำหนัด เป็นทุกข์ทนได้ยาก ต้องหาไก่ย่างมากิน
    .ความทุกข์นี้จะหายไป เมื่อเหตุคือความกำหนัดทุเลาลงไป ไก่ย่างก็จะเป็นธรรมดา(น้ำลายไม่ไหลแล้ว)
    .ถามว่าความกำหนัดลดลงได้อย่างไร
    .ตอบว่าความรู้ในอารมณ์นั้นเริ่มชัดเจนขึ้น (รู้เท่า รู้ทัน) บางท่านก็ใช้ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งนั่นแหละครับ
    .เมื่อความรู้แจ่มชัด ทำให้เกิดปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ และ อุเบกขา ความกำหนัดนั้นลงได้ 1ขณะจิต
    .สมาธิชั่วขณะนี้ จิตตั้งมั่นและละกิเลสในตัว
    .เราแนะนำสำหรับผู้ที่เห็นโทษและทุกข์
    อันเนื่องมาจากกิเลสนะ
    .นี้แหละอานิสงส์แห่งมังสวิรัต ท่านจะได้หลุดพ้นจากอำนาจกิเลส
    และสัตว์อื่นก็ได้รับผลพลอยได้ด้วยนะ
    .เราไม่ค่อยสะดวกในการตอบยาวๆเลยนะ แต่ที่ทำเพราะเห็นว่าเป็นมังสวิรัต อานิสงส์สูง
    .สำหรับผู้ที่ทำ ยุบหนอ พองหนอ หรือ บริกรรมอะไร ก็ไม่สำเร็จ จิตยังสะอาดไม่พอ เพราะอารมณ์ในใจยังหนาแน่น ให้ดูอารมณ์ในใจไปเรื่อยๆ ไม่ว่าทำกิจการงานใดๆ
    .เป็นความรู้ตัว รู้ใจ แบบธรรมชาติ ไม่อึดอัด รู้เฉยๆ การปฏิบัติจึงปฎิบัติได้ตลอดเวลา
    .ให้รู้จากภายใน คือ ความคิด กับ อารมณ์
    .เมื่ออารมณ์ภายในเบาบางมันก็ออกมารู้ภายนอกโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องเพ่ง
    .สาเหตุสำคัญที่ทำให้นักปฏิบัติ ท้อถอย และเลิกปฎิบัติก็คือ ไปเพ่งเกินไป ทำให้มันอึดอัด
    .รู้อยู่อย่างเป็นธรรมชาติไปตลอดวันนี่แหละครับ ปฎบัติ
    .เราแนะนำเฉยๆนะ ลองพิจารณาดู
     

แชร์หน้านี้

Loading...