เจตนาบริสุทธิ์เป็นเครื่องชี้ผลแห่งบุญ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 3 กุมภาพันธ์ 2017.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    FB_IMG_1486104318071.jpg

    เจตนาบริสุทธิ์เป็นเครื่องชี้ผลแห่งบุญ

    บุญแปลว่า เครื่องชำระจิตใจให้สะอาด ให้กองกิเลสเบาบางลง คือ โลภลดลง โทสะลดลง โมหะน้อยลง หากใครที่ทำสิ่งใดแล้วกิเลสสามกองนี้ลดลงได้ นั่นคือการทำบุญทั้งสิ้น

    แต่ความเข้าใจผิดก็คือ คนจำนวนมากทำบุญเพราะหวังสุข หวังทรัพย์ หวังในกามคุณให้เพิ่มพูนมากขึ้นไป แม้แต่พระอินทร์ก็ยังเคยหลงผิด

    ในสมัยพุทธกาล ครั้งเมื่อพระมหากัสสปะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านได้ออกธุดงค์ไปนั่งสมาธิเข้านิโรธสมาบัติอยู่ในถ้ำปีปผลิคูหาโดยท่านนั่งขัดสมาธิอยู่ท่าเดียวนานถึง 7 วันจึงออกจากสมาธิและตั้งใจจะออกไปบิณฑบาตในถิ่นคนยากจน

    ผลแห่งอานิสงส์การให้ทานแก่พระอรหันต์ที่ออกจากนิโรธสมาบัตินั้นมีผลมากทั้งในเรื่องโภคทรัพย์และอริยทรัพย์ที่เป็นผลบุญติดตัวจึงเป็นที่ต้องการในอานิสงส์นี้ย่อมมีมากมาย

    เมื่อท่านเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ก็มีทวยเทพธิดาผู้เป็นนางสนมของท้าวสักกะเทวราชได้ช่วยกันจัดอาหารลงในภาชนะทองคำ จำนวนมากถึง 500 สำรับมารออยู่ระหว่างทางที่พระมหากัสสปะท่านจะเดินผ่าน

    พระอริยเจ้าผู้มักสันโดษและบริโภคน้อยอย่างพระมหากัสสปะ ท่านคงจะรับอาหารมากขนาด ตั้ง 500 สำรับไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกทั้งเหล่าเทพธิดายังอุตส่าห์ของร้องนิมนต์ให้มารับอาหารบิณฑบาตเพื่อ “สงเคราะห์”พวกนางด้วย

    แต่ พระมหากัสสปะ กลับไม่ยอมรับทานนั้น ท่านเดินผ่านไปเพราะเห็นว่าพวกนางฟ้าเหล่านั้นต่างได้ทำบุญไว้มากแล้ว ต่างก็มีทรัพย์สมบัติเป็นอันมากแล้ว ท่านจะสงเคราะห์แด่คนยากเท่านั้นแม้ว่าเทพธิดาเหล่านั้นจะขอร้องให้รับทานนั้นเพียงใดท่านก็ไม่ยอม

    ความไปทราบถึงท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์)พอได้ฟังเรื่องราวการลงไปทำทานที่ล้มเหลวของเหล่าเทพธิดาก็ตำหนิเป็นการใหญ่ เพราะเล่นแต่งตัวสวยงามเพริศพริ้งอย่างนั้นลงไปท่านพระมหากัสสปะก็คงไม่รับทานนั้นอย่างแน่นอน

    พระอินทร์จึงมีพระประสงค์จะถวายอาหารบิณฑบาตบ้าง เพราะตัวท่านแม้จะเป็นถึงจอมเทพที่ปกครองสวรรค์ชั้นที่สอง เสวยสุขมาเป็นเวลานาน แต่พระองค์ยังพบว่ายังมีเทพองค์อื่น ๆที่มาอุบัติใหม่บางองค์ที่มีรัศมีและความสวยงามกว่าตนเอง ทั้งยังมีปราสาทวิมานใหญ่โตโอ่อ่ากว่าตนเองทั้งที่ตนเองเป็นผู้มีบุญบารมีมากกว่าและเป็นถึงพระอินทร์แท้ ๆ จึงเกิดความอัศจรรย์ในใจและเกิดความอับอายรู้สึกด้อยค่ากว่าเทวดาที่ดูสง่างามกว่าเหล่านั้น

    พระอินทร์ได้พิจารณาว่า การที่พระองค์เองมีรัศมีแสงที่น้อยกว่า สง่างามไม่เทียบเท่าหรือยังมีวิมานไม่โอ่อ่ากว่า เพราะเทวดาผู้ที่มาอุบัติใหม่เหล่านั้นได้ทำบุญสร้างบุญกุศลไว้ในพระพุทธศาสนาเพราะตอนที่ยังเป็นมนุษย์ได้โชคดีได้พบกับพระพุทธศาสนามีจิตใจที่ดีงามหมั่นทำทานสร้างบุญกุศลไว้

    เมื่อได้อุบัติมาเป็นเทวดาจริงจึงมีทิพยสมบัติวิเศษมากมายแต่ ตัวท่านเองน่าจะเป็นผู้โชคร้ายเป็นมนุษย์นอกพระพุทธศาสนามาก่อน แม้ว่าปัจจุบันจะมียศใหญ่ ตำแหน่งใหญ่กว่าแต่กลับมีทิพย์สมบัติน้อยกว่า

    เมื่อท่านรู้แจ้งแล้วว่ากุศลกรรมอันใดที่บุคคลได้กระทำไว้ในขณะเป็นมนุษย์ที่อยู่ในพระพุทธศาสนานั้นจะมีความประเสริฐกว่ายิ่งใหญ่กว่า บุญหรือทานที่ได้ทำมากกว่าในเวลาที่ว่างเว้นจากพระพุทธศาสนาเป็นแต่ จึงได้ทรงตั้งใจจะสร้างกุศลให้ได้บ้าง

    พระอินทร์พอได้ยินได้ฟังความล้มเหลวในการทำทานของเหล่าเทพธิดาแล้ว ท่านจึงลงมาพร้อมกับนางสุชาดาเทพธิดาแล้วแปลงกายเป็นคนแก่สองคนที่ยากไร้รอถวายอาหารทานแด่พระมหากัสสปะเพราะหวังในบุญและทิพย์สมบัติที่มากมายนั้น

    พระมหากัสสปะได้เห็นสองสามีภรรยาผู้ชรา (ในร่างแปลง) ในทีแรกก็ไม่เอะใจสงสัยใด ๆ เห็นว่าแก่แล้วยังต้องทำงานหนักจึงเข้าไปรับบิณฑบาตเพื่อหวังจะสงเคราะห์บุญกุศลให้กับคนทั้งสองไม่ว่าจะเป็นเพียงน้ำผักดองหนึ่งกระบวย หรือ ข้าวเปลือกสักหนึ่งกำมือก็ตามท่านก็จะรับอย่างดุษณีและเต็มใจอย่างยิ่ง

    แต่พระอินทร์ในร่างของชายชรา กลับคดเอาข้าวสุกอย่างดีหอมกรุ่นออกมาจากหม้อแล้วนำมาใส่บาตรจนเต็มนำมาถวายในมือของท่านพระมหากัสสปะแทน

    ท่านมหากัสสปะเห็นว่าชายชราผู้นี้มาแปลก ทั้งๆที่ยากจนข้นแค้นแต่อาหารที่นำมาถวายนั้นกลับดีเลิศราวกับเป็นอาหารที่ไม่ได้มาจากโลกมนุษย์ ท่านจึงพิจารณาด้วยปัญญาว่าแท้จริงแล้วคู่ชายหญิงชรานี้เป็นใคร

    เมื่อพบว่าทั้งสองเป็นถึงพระอินทร์และนางฟ้าที่จำแลงกายมา ก็เกิดสังเวชใจจึงกล่าวสั่งสอนพระอินทร์ว่า

    “พระองค์ได้ทรงแย่งชิงบุญกุศลอันควรเป็นสมบัติของคนยากจนไป เพราะใครก็ตามที่เป็นคนยากไร้ หากได้ตักบาตรกับอาตมาในวันนี้เขาจะพึงได้ตำแหน่งเสนาบดีหรือเป็นเศรษฐี จัดว่าพระองค์ได้ทำกรรมหนักเสียแล้ว ขอตั้งแต่นี้ต่อไป พระองค์อย่าได้ทรงลวงในการถวายทานกับอาตมาอย่างนี้อีกเลย”

    ได้ยินอย่างนี้พระอินทร์กับนางสุชาดาเทพธิดาก็จ๋อยสนิทต้องทำการขมาท่านด้วยการทำประทักษิณรอบพระเถระ แล้วก็พากันเหาะกลับคืนสู่สวรรค์ไป

    การทำทานนั้นจึงพึงเข้าใจว่า ควรทำโดยเจตนาบริสุทธิ์ สิ่งที่ตามมาภายหลังคือ ผลพลอยได้แม้ท่านไม่ต้องการท่านก็จะได้เอง

    โมนาสาธุ

    **********
    ธ.ธรรมรักษ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...