เจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต พระอรหันต์กลางกรุง(พร้อมเกร็ดความรู้เรื่องกายท

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 21 มิถุนายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    เจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต พระอรหันต์กลางกรุง (พร้อมเกร็ดความรู้เรื่องกายทิพย์)

    ประวัติ
    เจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต

    ชีวิตในเพศบรรพชิต


    พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต
    ผู้บวชถวายราชกุศล ร.6 ถ่ายภาพร่วมกับ
    พระภิกษุพระยาสีหราชฤทธิไกร ผู้บวช
    ถวายพระราชกุศล ร.5 ณ วัดราชบพิตร
    เมื่อพ.ศ.2469 พระยานรรัตนราชมานิต ได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.
    ๒๔๖๘ มีอายุครบ ๒๘ ปี ที่ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีท่านเจ้าประคุณ
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า ธมฺมวิตกโก

    หลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ธมฺมวิตกฺโก
    ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว ท่านก็ศึกษาปฏิบัติธรรมวินัยอย่าง
    เคร่งครัด ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ไปตามท้องถนนเยี่ยงพระนวกะทั่วไป
    จนครบหนึ่งพรรษา

    ครั้นย่างเข้าพรรษา ๒ ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจึงงดบิณฑบาตร
    โปรดสัตว์แต่นั้นเป็นต้นมา และเริ่มฉันจังหันเพียงมื้อเดียวเท่านั้น โดยมี
    ญาติเป็นผู้นำปิ่นโตมาถวาย อาหารที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตฉันนั้น
    ก็ล้วนเป็นอาหารเจทั้งสิ้นคือไม่มีเนื้อสัตว์ และสิ่งที่ขาดเสียมิได้ก็คือ
    มะขามเปียกกับกล้วยน้ำว้า ครั้นพรรษาต่อไปท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
    จึงได้งดฉันจังหันในวันพระทุกวันพระอีกด้วย ซึ่งท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ปฏิบัติเรื่อยมาเป็นประจำจนกระทั่งได้มรณภาพลง กิจวัตรที่ท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนฯ จะขาดเสียมิได้นั่นก็คือการลงอุโบสถทำวัตร เช้า-เย็นเป็นประจำ
    ท่านบอกกับภิกษุสงฆ์ในวัดเสมอว่า

    "ถ้าท่านขาดทำวัตรครั้งใด นั่นก็หมายความว่า ท่านต้อง
    อาพาธหนัก หรือได้มรณภาพไปแล้ว"


    และก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ขาดลงอุโบสถ เพราะท่านเดินมาลงโบสถ์และเหยียบ
    ถูกงูเห่า งูจึงกัดที่เท้าท่าน ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ยังลงโบสถ์ทำวัตรต่อไป โดยมิยินดียินร้ายต่อเขี้ยว
    ของอสรพิษแต่อย่างใด ถ้าเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ก็จะต้องรีบเข้าสถานเสาวภา
    อย่างไม่มีปัญหา แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ กลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา โดยมิต้องวิ่งไปหาหมอหรือหาหยูก
    หายามาฉันเลยแม้แต่อย่างเดียวท่านกระแสร์จิตอันแก่กล้า ของท่านเท่านั้นที่ดับพิษร้ายของงูเห่าไม่ให้
    ทำอันตราย ต่อองค์ท่านได้ แต่ถึงกระนั้นก็เล่นเอาท่านแทบแย่เหมือนกัน เท้าข้างที่ถูกงูกัดบวมเต่งตึง จะนั่งลุกก็แสนจะลำบากเมื่อเวลาทำวัตรสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ทรงเห็นเข้าจึงได้ขอร้องให้ท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนฯ งดลงทำวัตรจนกว่าเท้าจะหายบวมด้วยความเกรงใจและระลึกเคารพต่อผู้มีพระคุณฝังจิตใจ
    ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ อยู่นั้น ท่านเจ้าคุณจึงได้งดลงโบสถ์ ๑ วัน รุ่งขึ้นเท้าข้างที่บวมเต่งตึงก็อันตรธาน
    หายไปอย่างปลิดทิ้ง เกิดความมหัศจรรย์แก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เสียงโจษจรรเล่าลือจึงระบือไปทั่วว่า
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มีกระแสร์จิตแก่กล้าสามารถระงับพิษให้เหือดหายไปเอง โดยไม่ต้องไปหามดหาหมอ
    และฉันยาแต่อย่างใดเลย และเคล็ดลับการปฏิวัติร่างกายให้แข็งแรง ต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บนั้นก็ได้มีผู้ทราบ
    ว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เมื่อครั้งเป็นฆรวาสได้ปฏิบัติทางโยคะศาสตร์ จนสามารถระงับโรคภัยไข้เจ็บมิให้
    เกิดขึ้นได้ ครั้นเจ้าคุณนรรัตนฯอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ผ่านไปเพียง ๑ พรรษาเท่านั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    จึงได้เขียนหนังสือวิธีปฏิบัติทางโยคะศาสตร์ ถวายแด่อุปัชฌาย์ท่านเจ้าคุณพระสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
    เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยมีใจความดังต่อไปนี้


    ๒๕ มิถุนายน ๒๓๖๙

    ขอประทานกราบเรียน พระคุณเกล้าฯ ขอประทานถวายวิธีบริหารร่างกายประจำวัน ซึ่งเกล้าฯ
    มั่นใจว่าถ้าไม่มีอดีตกรรมตามสนองแล้ว การบริหารร่างกายที่ถูกต้องตามกฏของธรรมดาโดยสม่ำเสมอ

    ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต

    จริงๆ จะช่วยส่งเสริมให้รูปขันธ์นี้เป็นเรือนอันแข็งแรงมั่นคง และทนทาน เป็นที่อาศัยของนามขันธ์
    ได้อย่างวัฒนาถาวร ห่างจากโรคพยาธิ์มีโอกาสใช้ชีวิตช่วยยังประโยชน์ให้แก่โลกได้ยืดยาวจนสุดเขตชัย
    แห่งอายุ

    เกล้าฯ เป็นเด็กขี้โรคมาแต่เดิม โยมผู้หญิงผู้ชายขี้โรค ทั้งเกล้าฯ ได้เคยกรากกรำอดหลับอดนอน
    จนร่างกายทรุดโทรมมาครั้งหนึ่งแล้วในระหว่างรับราชการ ถึงกับเป็นโรคเส้นประสาทอ่อน (Neurasthenia)
    มีร่างกายผอมซีดสามวันดีสี่วันไข้ จนสมเด็จพระบรมบพิต พระราชสมภารเจ้ารัชกาลที่ ๖ ทรงออก
    พระโอษฐว่า "เกรงจะเป็นฝีในท้อง Consumption เสียแล้ว" เกล้าฯ ต้องถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล
    จุฬาลงกรณ์ แต่การรักษาด้วยวิธีแลยาต่างๆ หลายอย่างหลายชนิดไม่เป็นผลเลย เกล้าฯ ได้พยาบาล
    บริหารร่างกายด้วยหันเข้าหากฏของธรรมดา ตามวิธีที่กราบเรียนถวายมานี้โดยสม่ำเสมออย่างที่เรียกว่า
    "เมื่อจะทำอะไรต้องทำกันจริงๆ" จนได้รับผลดี มีร่างกายสงบสบายเรื่อยมาจนบัดนี้ไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้อง
    ไต่ถาม หรือปรึกษาหมอในเรื่องโรคภัยส่วนตัวอีกเลยฯ

    กำหนดบริหารร่างกายประจำวัน

    ๑. ตอนตื่นลุกขึ้นจากที่นอน ดัดตน ๔ ท่าดังนี้

    ๑. ยืด (Srretch)
    ๒.แขม่วท้อง (Pumping)
    ๓.เตะขึ้น(Kick up)
    ๔.บดท้อง (Ehuming)

    ๒. ลุกขึ้นจากที่นอนแล้ว ไปยืนที่หน้าต่างที่เปิดตรงช่องลม หายใจยาวสุดอากาศสดๆ (Fresh Air)
    เข้าปอดให้เต็มที่ ๔ ท่าดังนี้

    ๑.อัดลม (Paching)
    ๒.หายใจยาวสูดลมเข้าปอดตอนบน (Upper Chcst Breathing)
    ๓.หายใจยาวอัดลมดันให้ท้องโป่งพอง (Abdominal Breathing)
    ๔.หายใจยาวสูดลมเข้าอกให้ซี่โครงกาง (Bostal Breathing)

    ในขณะที่ทำท่าเหล่านี้ควรหลับตา และตั้งใจเป็นสมาธิอยู่ในท่าที่กำลังกระทำอยู่นั้น เมื่อจบท่าแล้ว
    จึงลืมตา เวลาลืมตานั้นต้องลืมจริงๆ คือเพ่งมองไป แล้วค่อยๆ หลับกลอกไปกลอกมา ขึ้นข้างบน ลงข้างล่าง
    กลอกข้างซ้ายกลอกขวา และกลอกเป็นวงกลมนี่เป็นการบริหารลูกตาอีกส่วนหนึ่งฯ

    ๓. ดื่มน้ำ ๑ ถ้วยแก้วเต็มๆ น้ำที่จะใช้ดื่มนี้ สำหรับผู้ที่จะมีอายุล่วงเข้าเขตปัจฉิมวัยแล้วไม่ควรดื่มน้ำเย็น
    ในตอนตื่นตอนเช้าๆ ท้องว่างๆ ควรดื่มน้ำต้มเดือดแล้วอุ่นๆ ถ้าดื่มน้ำเปล่าๆ ไม่ได้ควรเลือกเจือชานิดหน่อย
    พอมีกลิ่นชวนให้ดื่มได้ แต่อย่าให้มากนักเพราะมีธาตุที่ให้โทษแก่ร่างกายอยู่บ้างไม่เหมาะสำหรับดื่ม
    ในเวลาท้องว่างตื่นนอนใหม่ๆ ตอนเช้า

    ๔. ไปถ่ายอุจจาระ ถ้าเราเกรงจะเสียเวลาช้าไป ควรเอาหนังสือติดมือไปอ่านด้วย ต่อไปนี้ลงมือทำงาน
    (Work) ได้

    ๕ เมื่อหยุดงานแล้ว ก่อนรับประทานอาหารควรดัดตน ๓ ท่าดังนี้

    ๑. ยืนกางแขนบิดตัว เอามือแตะปลายเท้าทีละข้าง (Ticklc toe)
    ๒. เขย่าตัว (Pep hop)
    ๓. จ้องดาวและบิดคอ (Star Gazer และ Hen peck)

    แล้วดื่มน้ำ ๑ ถ้วยแก้วก่อนรับประทานอาหารสัก ๑๕ นาทีเมื่อรับประทานอาหารแล้วใหม่ๆ ไม่ควรอ่าน
    หนังสือหรือใช้สมองคิดเลย ควรคุยหรือเดิน หยิบโน่นหยิบนี่นิดๆ หน่อยๆ เป็นดี และไม่ควรดื่มน้ำรอไว้
    จนกว่าอาหารย่อยเรียบร้อยจนเบาท้อง แล้วจึงดื่มน้ำให้มากๆ

    ๖. ก่อนจะอาบน้ำเข้านอนตอนกลางคืน ควรดัดตนอีกครั้งหนึ่ง ๗ ท่า ดังนี้

    ๑. ยืด (Stretch)
    ๒.แขม่วท้อง (Pumping)
    ๓.เตะขึ้น (Kick up)
    ๔.บดท้อง (Ehuming)
    ๕.ยืดกางแขนบิดตัวเอามือแตะปลายเท้าทีละข้าง (Tickle toe)
    ๖.เขย่าตัว (Pep Hop)
    ๗.จ้องดาวและบิดคอ (Star gazer และ Heh Peck)

    ท่าดัดตนเหล่านี้ ถ้าทำให้มากเกินไปก็ให้โทษหรือไม่ให้คุณ ที่จะให้คุณจริงๆ คือพอควรอยู่ระหว่าง
    กลาง ไม่ไปทางที่สุดโต่งทั้งสองข้างควรมิควรประการใดสุดแล้วแต่จะโปรด


    เกล้าฯ ธมฺมวิตกฺโก


    เมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ได้รับจดหมายรายงานการปฏิบัติแบบโยคะศาสตร์ของท่าน
    เจ้าคุณนรรัตนฯ แล้วก็ได้นำไปปฏิบัติ เมื่อสงสัยในข้อหนึ่งข้อใดแล้วก็ทรงเรียกท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เข้าไปสอบ
    ถามเป็นส่วนตัวและฝึกหัดตามท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไปด้วย ผลที่สุดท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
    ก็เห็นผลปรากฏจากหลักวิธีโยคะศาสตร์ที่สามารถช่วยขจัดโรคภัยต่างๆ ได้จริงๆ ถ้าทำให้ถูกต้องและสม่ำเสมอ
    คุณผู้อ่านถ้าสนใจก็ไปทดลองฝึกดูก็ได้นะครับ

    ถือสันโดษ

    คราวนี้ข้าพเจ้าขอพาคุณผู้อ่านเข้าไปชมภายในกุฎิที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ พำนักซึ่งผิดแผกแตกต่าง
    กับภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ อย่างฟ้ากับดินทีเดียว ยากที่จะหาภิกษุรูปใดในปัจจุบันนี้เสมอเหมือนเยี่ยงท่าน
    เจ้าคุณนรรัตนฯหาได้ไม่ เพราะท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ท่านเป็นภิกษุสงฆ์ที่ถือสันโดษ ตัดกิเลสหมดทุกอย่าง
    แม้แต่เงินตราที่ใช้แลกเปลี่ยนตามกฏหมาย ในปัจจุบันนี้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิเคยเห็นและแตะต้อง
    ด้วยซ้ำไป เครื่องตบแต่งเพื่อประดับบารมีภายในกุฏิก็หามีสิ่งมีค่ามาตั้งโชว์ให้รกหูรกตาแม้แต่สิ่งเดียว
    สิ่งที่ประดับบารมีของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นั้นก็คือตำหรับตำราและหนังสือธรรมวินัยต่างๆ เป็นจำนวนมาก
    ส่วนที่จำวัดนั้นก็เป็นเฉพาะองค์ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เท่านั้น โดยมีผ้าจีวรเก่าๆ ปูกับพื้นเพียง ๒-๓ ผืน และ
    มีมุ้งหลังเล็กๆ อยู่หลังเดียวเท่านั้น และสิ่งที่สดุดตาและเตือนใจแก่ผู้พบเห็นนั่นก็คือโครงกระดูกและหีบศพ
    ๑ หีบ หีบที่วางไว้ให้เป็นเครื่องขบคิดโครงกระดูกที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นำเข้าไปไว้ในกุฏิของท่าน
    ก็เพื่อไว้นั่งพิจารณาและปลงอนิจจัง ว่าสังขารของมนุษย์เรานั้นมันไม่เที่ยงแท้ มี เกิด, แก่,เจ็บ, ตาย ผลที่สุดก็เหลือแต่โครงกระดูก แล้วก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในที่สุด

    ส่วนหีบศพนั้นเล่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้สั่งให้ญาติซื้อมาไว้เมื่อบวชได้พรรษา ๒ และท่านได้บอก
    กับญาติโยมให้ทราบว่า การที่สั่งให้ต่อหีบศพมาไว้นั้นก็เพื่อที่จะไว้ใส่ตัวท่านเอง เมื่อเวลาดับขัณฑ์
    จะมิต้องทำความยุ่งยากลำบากให้แก่ผู้อยู่ข้างหลังและหีบศพใบนี้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็เคยลงไปทำ
    วิปัสสนากรรมฐานบ่อยครั้งนัก นับเป็นสถานที่ที่สงบแห่งหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ปฏิบัติธรรม

    ในกุฏิของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะหาไฟฟ้าใช้แม่แต่ดวงเดียวก็ไม่มี แม้แต่น้ำที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ใช้ดื่มฉันอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นแต่น้ำฝนทั้งสิ้น และภาชนะที่ท่านใช้ก็เป็นกะลามะพร้าวขัด ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ท่านชี้แจงว่าของสิ่งนี้เป็นของสูง ไม่มีมลทินอะไรติดอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ให้
    เหตุผลอย่างน่าฟังว่า "ธรรมชาติได้สร้างมนุษย์เราเป็นที่พอเพียงอยู่แล้วจะวุ่นวายกันไปทำไม ยิ่งเป็นภิกษุ
    สงฆ์ผู้ปฏิบัติอยู่ในธรรมวินัยก็ยิ่งลำบาก น้ำฝนเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ ดื่มฉันก็เกิดอาบัติน้อยมาก ยิ่งไฟฟ้าด้วย
    แล้วก็ถือว่าไม่เป็นสำคัญเลย เพราะดวงอาทิตย์ได้ให้แสงสว่างแก่โลกมุนษย์เราตั้งแต่ ๖ โมงเช้าถึง
    ๖ โมงเย็น เราจะทำอะไรก็ควรรีบๆ ทำเสียเมื่อพระอาทิตย์สิ้นแสงแล้วก็หมดเวลาที่เราจะทำอย่างอื่น
    นอกเสียจากทำสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมญานแต่เดียวเท่านั้น"

    ด้วยเหตุนี้เองกุฏิของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงปิดเงียบมืดมิดผิดกว่ากุฏิพระภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ และ
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯภิกษุผู้เคร่งครัดต่อธรรมวินัยรูปนี้เองได้มีประชาชนจำนวนมาก เลื่อมใส่ศรัทธา
    ใคร่อยากจะพบปะสนทนาด้วย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิได้รังเกียจ เปิดโอกาสให้ญาติโยมพบปะสนทนา
    เป็นอย่างดี ตอนที่ท่านลงทำวัดเช้าและเย็นเสมอชั่วระยะเวลาหนึ่ง ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะไม่ยอม
    ให้ใครเข้าพบเป็นอันขาดที่กุฏิของท่าน ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หรือกระยาจกเข็ญใจคนใดทั้งสิ้น

    อภินิหาริย์มหัศจรรย์ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต

    หลังจากที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ธมฺมวิตกฺโก ได้ครองเพศบรรพชิตเรื่อยมา
    ด้วยการเคร่งครัดต่อธรรมวินัย และค้นคว้าศึกษาทางวิปัสสนากรรมฐานจนแตกฉานกระแสร์จิตแก่กล้า จนเป็น
    ที่ประจักษ์แก่สายตา ของพระภิกษุสงฆ์ และประชาชนมาแล้วเมื่อครั้งถูกอสรพิษกัด ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็สามารถใช้กระแสร์จิตรักษาพิษร้ายของอสรพิษให้เหือดหายไปเองได้ โดยมิต้องไปหาหมอและฉันยาเลย
    แม้แต่อย่างเดียว

    ต่อมาท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้ถูกโรคร้ายที่ประชาชน และนายแพทย์กลัวนักกลัวหนาเข้าคุกคามได้
    นั้นก็คือโรคมะเร็ง ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้เป็นโรคมะเร็งกามช้างจนเน่าเฟะแต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯก็มิได้
    แสดงความเจ็บปวดรวดร้าว ให้ปรากฏแก่สายตาผู้ภิกษุสงฆ์ และประชาชนที่พบเห็นเลยแม้แต่น้อย
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯมีอาการเป็นปกติธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้อุโบสถ
    ทำวัตรเช้า-เย็น เป็นประจำเสมอมิได้ขาดเลย แต่แล้วอยู่ๆ โรคร้ายที่เกาะกุมท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจน
    เป็นที่สังเวรแก่ผู้พบเห็นก็อันตรธานหายไปเอง โดยท่านเจ้าคุณนรรัตนฯมิได้ไปหาแพทย์ให้รักษาหรือ
    ฉันหยูกยาแต่ประการใดเลย

    "โรคมันเกิดขึ้นมาเอง มันก็ต้องหายไปเองได้เช่นกัน" ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯพูดอยู่เสมอ
    แก่ผู้ที่ไต่ถามท่าน

    ยิ่งนับวันเสียงลือเสียงเล่าอ้างทางด้านอภินิหารต่างๆ ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตก็แพร่สะพัด
    ไปทั่วทุกสารทิศว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นพระภิกษุสงฆ์รูปเดียวในปัจจุบันนี้ที่สำเร็จอรหันต์แล้ว
    จึงมีประชาชนจำนวนมากใคร่อยากจะเข้าพบเพื่อนมัสการ แต่ก็หาเวลาพบท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้เพียง
    ๒ เวลาเท่านั้น คือตอนทำวัตรเช้าและเย็น ซึ่งก็มีเวลาสนทนากันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนมาก
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะคุยเรื่องธรรมะและอบรมสั่งสอนให้ประกอบและประพฤติในทางดีทั้งสิ้น ผู้ใด
    ได้เข้าพบปะสนทนากับเจ้าคุณนรรัตนฯแล้ว ผู้นั้นจะรู้สึกจิตใจสดชื่นเบิกบานแจ่มใสอย่างบอกไม่ถูก
    เสมือนกับได้เข้าพบกับพระอรหันต์ฉะนั้น

    เสียงลือเสียงเล่าอ้างอันนี้เองที่ล่วงรู้ถึงหูชาวจีนผู้หนึ่ง ซึ่งยากจนข้นแค้นอยากจะเข้าพบนมัสการ
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯบ้าง พยายามเพียรมาพบที่พระอุโบสถหลายครั้งแต่ก็เข้าไม่ถึงตัวท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    เลยสักครั้ง ท่านจีนผู้นั้นจึงได้ตัดสินใจมาดักพบที่กุฏิตอนเช้าก่อนที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจะลงทำวัตรเช้า
    เมื่อพบท่านเจ้าคุณนรรัตนฯชาวจีนผู้นั้นก็ก้มลงกราบที่หน้าประตูและกล่าวว่า "อยากจะมาขอพร เพราะ
    อยากจนเหลือเกิน ทำมาค้าขายก็มีแต่ขาดทุน"

    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ฟังชาวจีนพูดจบลงแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงเอากะลาขัดตักน้ำมาพรม
    ให้ชาวจีน และพูดว่า " ไปได้คราวนี้จะรวยใหญ่"

    และก็เป็นจริงอย่างที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯให้พรทุกประการ เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาชาวจีนผู้นั้น
    ก็ทำมาค้าขายเจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

    ดังได้กล่าวไว้แล้ว ผู้ที่เข้านมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มักจะได้ฟังแต่เรื่องธรรมะและคำตักเตือน
    สั่งสอนให้ประกอบแต่ความดี ผู้นั้นจะมีความสุข ข้าพเจ้าจึงขอเอาข้อเขียนของคุณ "ภิญโญ เอกอธิคมกิจ"
    ซึ่งได้รับฟังคำจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาลงไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็นข้อยืนดังต่อไปนี้

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๑ คุณ ภิญโญ เอกอธิคมกิจ ยังเป็นนิสิตปีสุดท้ายได้พาเพื่อนนักศึกษา
    ๓ คน เข้านมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯเมื่อตอนเย็นวันหนึ่งหลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ทำวัตรเย็น
    เสร็จเรียบร้อยแล้วและได้สนทนากันอยู่พักหนึ่งท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ไต่ถามคุณภิญโญ และเพื่อนว่า
    มีอาชีพอะไรเมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ทราบว่าทั้งสี่คนนั้นเป็นนิสิตปีสุดท้าย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ก็เริ่มอธิบายธรรมให้ฟังทันทีโดยเริ่มว่า

    "ที่มาหาพระที่นี่น่ะ, ดีแล้ว เพราะพระแปลว่า ดี หรือประเสริฐ ฉะนั้นการมาหาพระ
    คุยกับพระก็ได้ของดีของประเสริฐกลับไป"

    เพื่อนคนหนึ่งของคุณภิญโญได้เรียนถามถึงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ของพระเครื่องท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ก็ได้อธิบายให้ฟังว่า

    "ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอยู่กับความศรัทธา อาศัยกำลังจิตเป็นสำคัญบางครั้งทหารที่ไปรบ
    เวียดนามเชื่อมั่นคุณพระที่ห้อยคอไป อาจทำให้เกิดนะจังงังก็ได้ข้าศึกมองไม่เห็นตัว
    หรือยิงไม่ถูก"

    แล้วท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังได้ยกอุทาหรณ์ให้ฟังต่อไปอีกว่า เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ พระพุทธเจ้าหลวง
    เคยเสด็จออกเยี่ยมพสกนิกรที่ชนบทแห่งหนึ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นบ้านชาวจีนคนหนึ่งนำปุ้งกี๋มาไว้บูชา
    บนหิ้ง จึงได้รับสั่งถามชาวจีนผู้นั้นว่า เอามาบูชาเพื่ออะไร ชาวจีนผู้นั้นได้ทูลถึงความเชื่อมั่นของตน
    ซึ่งเริ่มต้นมาจากปุ้งกี๋จนทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมาได้ จึงนำมาไว้บูชาและเก็บไว้เป็นที่ระลึก พระพุทธเจ้าหลวง
    จึงได้ตรัสชมว่า "ดีแล้ว" นี่ก็แสดงว่า ความเชื่อมั่นเท่านั้นที่จะปรากฏผลให้เห็นเมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ได้อรรถาธิบายจบแล้ว เพื่อนอีกคนหนึ่งของคุณภิญโญจึงได้เรียกถามท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ต่อไปอีกว่า
    ตัวเขาทำไมจึงยากจนเหลือเกินไหนจะต้องหารายได้เพื่อมาเป็นทุนการศึกษา ไหนจะต้องหาเงินมา
    เลี้ยงแม่อีก จึงอยากจะมาขอพรจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เพื่อจะได้ทุกสักก้อนหนึ่งสำหรับไว้ไปศึกษาต่อ
    ยังต่างปรเทศ เมื่อจบการศึกษาในประเทศไทยแล้ว

    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้กล่าวสรรเสริญเพื่อนของคุณภิญโญว่าเป็นการกระทำที่ดีแล้ว พร้อมกับ
    อธิบายถึงความกตัญญูกตเวทิตาว่า

    "คนที่มีความกตัญญูกตเวทีแล้ว ไปไหนหรือจะทำอะไรย่อมไม่ตกต่ำและมักจะประสพ
    ความสำเร็จเสมอ เพราะคุณพระย่อมคุ้มครองคนมีที่คุณธรรมประจำใจ"

    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังได้อธิบายต่อไปอีกว่า

    "คุณธรรมอันเป็นเครื่องนำไปสู่ความสำเร็จในกิจการทั้งปวง อันได้แก่ อิทธิบาทสี่ แปลว่า
    ทางที่นำไปสู่ความสำเร็จไม่ว่าจะทำอะไร อิทธิ ซึ่งหมายถึงหนทางที่จะไป มีอยู่ ๔ ประการ" คือ

    ๑. ฉันทะ คือความพอใจในสิ่งที่เป็น วิลล์ออฟมาย หรือเป็นความตั้งอกตั้งใจที่จะทำจริง
    ๒. วิริยะ คือความเพียรพยายามโดยไม่ท้อถอย
    ๓. จิตตะ คือความเอาใจจดจ่อในสิ่งที่จะทำในกิจกรรมนั้นๆ โดยนึกอยู่เสมอ
    ๔. วิมังสะ คือการพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผล

    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ชี้แจงต่อไปอีกว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร หากมีธรรม ๔ ประการนี้แล้ว
    ย่อมพบกับความสำเร็จอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเรียนหนังสือหรือการทำมาหากิน และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ยังย้ำต่อไปอีกว่า

    "จะไปนิพพานก็ได้นะ"

    หลังจากได้สนทนาธรรมกับเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นที่พออกพอใจแล้ว ทุกคนต่างก็จะกราบลากลับ
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้สั่งให้เพื่อของคุณภิญโญ ไปตักน้ำมนต์ในโอ่งหลังรูปปั้นสมเด็จพระพุทธ
    โฆษาจารย์ ๑ ถ้วย และรินใส่ถ้วยให้ดื่มทีละคนพร้อมกับให้ว่าคาถาตามท่านไปด้วย ดังนี้

    สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ อิทัง พลัง เอตัสสะมิง ระตะนัตตะ ยัสสะมิง สัมประสาทะ นะเจตะโส

    เมื่อทุกคนได้รับประทานน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เสร็จทั่วทุกคนแล้ว
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้กล่าวเป็นประโยชน์สุดท้ายว่า

    " จงประกอบแต่ความดีนะ จะได้มีความสุข"

    คาถาของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ บทนี้ ผู้ใดใคร่จดจำไว้ ข้าพเจ้าคิดว่าคงเกิดประโยชน์ไม่น้อย ยิ่งผู้ที่มี
    เครื่องรางของขลังของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไว้บูชาด้วยแล้วก็คงเกิดพลังอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ให้ปรากฏขึ้น
    มาได้ ดังเช่นคาถาชินบัญชร ของสมเด็จพุฒจารย์โตดุจเดียวกัน

    ข้าพเจ้าได้นำเรื่องราวการสนทนาธรรมกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาแล้ว ก็ใคร่จะขอนำ "โอวาท"
    ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพื่อเตือนสติแก่ผู้ที่กำลังประพฤติชั่ว หรือกระทำชั่วไปแล้ว
    ให้หันกลับมาประกอบกรรมแต่ความดี ละทิ้งความชั่วที่ทำหรือกำลังที่จะกระทำนั้นเสีย และผู้ที่ประกอบ
    กรรมแต่ความดีก็ให้รักษาความดีนั้นไว้ หรือยิ่งประกอบกรรมดียิ่งๆ ขึ้นไป ดังต่อไปนี้

    โอวาทของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต

    ๑. "PERSONAL MAGNET"

    เรื่องที่มีคนเมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจนั้น เป็นเพราะ คุณธรรมความดี ของตนเอง หลายประการ
    ด้วยกัน เป็นต้นว่า วิริยะ อุตสาหะ บากบั่น เข้มแข็ง แรงกล้า และจิตใจเมตตากรุณา ไม่เย่อหยิ่งจองหอง เป็นเหตุให้ผู้ที่แวดล้อมอยู่เกิดความเมตตากรุณารักใคร่เห็นอกเห็นใจ คิดที่จะช่วยเหลือคนซึ่งมี กิริยา
    มารยาทอ่อนโยน สุภาพนิ่มนวล ย่อมเป็นที่เสน่หารักใคร่ของคนที่ได้พบเห็นและพยายามที่จะช่วยเหลือ
    นี่เป็น Personal Magnet คือเสน่ห์ในตัวของตัวเอง เพราะฉะนั้น จงพยายามรักษาคุณสมบัติดังกล่าวนี้ไว้
    จะเป็นเครื่องช่วยตัวเองให้บรรลุความสำเร็จสมประสงค์ทุกประการ ทุกกาลเวลา ทั้งปัจจุบันและอนาคต


    ๒. เมตตา


    อย่ากลัว จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรทำอันตรายได้จงจำไว้ว่า ถ้าปรารถนาความเมตตาและ
    ความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น ก็ควรส่งกระแสใจที่ประกอบด้วยความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ
    ไปยังท่านเหล่านั้น แล้วก็จะได้รับความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากท่านเหล่านั้นเช่นเดียวกัน
    นี่เป็นกฏของจิตตานุภาพแล้วความสำเร็จทั้งหลายที่ปรารถนา ก็จะบังเกิดแต่ตนสมประสงค์ทุกประเด็น
    แน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย.

    ๓. สบายใจ


    คำว่า "ไม่สบายใจ" อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป Let it go, and get ti out!" ก่อนมันจะเกิด
    ต้อง Let it go! ปล่อยให้มันผ่านไปอย่ารับเอาความไม่สบายใจไว้ ถ้าเผลอไปมันแอบเข้ามาอยู่ในใจได้
    พอมีสติรู้สึกตัวว่าความไม่สบายใจเข้ามาแอบอยู่ในใจ ต้อง Get it out! ขับมันออกไปทันที อย่าเลี้ยงเอา
    ความไม่สาบายใจไว้ในใจมันจะเคยตัว ทีหลังจะเป็นคนอ่อนแอออดแอดทำอะไรผิดพลาดนิดๆ หน่อยๆ
    ก็ไม่สบายใจเคยตัว เพราะความไม่สบายใจนี้แหละเป็นศัตรู เป็นมาร ทำให้ใจไม่สงบประสาทสมองไม่ปกติ
    เป็นเหตุให้ร่างกายผิดปกติ พลอยไม่สงบไม่สบายใจไปด้วย ทำให้สมองทึบไม่ปลอดโปร่ง เป็น habit
    ความเคยชินที่ไม่ดี เป็นอุปสรรคกีดกั้นขัดขวางสติปัญญาไม่ให้ปลอดโปร่งแจ่มใส ต้องฝึกหัดแก้ไข
    ปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ ทั้งก่อนที่จะทำอะไร หรือกำลังกระทำอยู่ และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้ว ต้องหัดให้
    จิตใจแช่มชื่นรื่นเริงเกิดปิติปราโมทย์เป็นสุขสบายอยู่เสมอ เป็นเหตุให้เกิดกำลังกายกำลังใจ Enioy living
    มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงจะเบิกบาน จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจจำได้ง่าย เหมือนดอกไม้ที่แย้ม
    เบิกบานต้อนรับหยาดน้ำค้าง และอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น

    พระพุทธเจ้าสอนว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี"

    หมายความว่า ความสุขอื่นมี เช่นความสุขในการดูละคร ดูหนัง ในการเข้าสังคม Soial ในการมีคู่รัก
    คู่ครอง หรือในการมีลาภยศได้รับความสุข สรรเสริญ และได้รับความสุขจากสิ่งเหล่านี้ ก็สุขจริง

    ๔. สันติสุข


    แต่ว่า สุขเหล่านี้มีทุกข์ซ้อนอยู่ทุกอย่าง ต้องคอยแก้ไขปรับปรุงกันอยู่เสมอไม่เหมือนกับความสุข
    ที่เกิดจากสันติความสงบ ซึ่งเป็นความสุขที่เยือกเย็นและไม่ซ้อนด้วยความทุกข์ และไม่ต้องแก้ไข
    ปรับปรุงตกแต่งมากเป็นความสุขที่ทำได้ง่ายๆ เกิดกับกายใจของเรานี่เอง อยู่ในที่เงียบๆ คนเดียวก็ทำได้
    หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมสังคมก็ทำได้ ถ้าเรารู้จักแยก ใจ หาสันติสุข กายนี้เพียงสักแต่ว่าอยู่ในที่ระคน
    ด้วยความยุ่ง สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ยุ่งมาถึงใจ แม้เวลาเจ็บหนัก มีทุกข์เวทนาปวดร้าวไปทั่วกาย
    แต่เรารู้จักทำใจ ให้เป็นสันติสุขได้ ความเจ็บนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้ ใจ เดือดร้อนตามไปด้วย
    เมื่อ ใจ สงบแล้วกลับจะทำให้กายสงบ หายทุกขเวทนาได้ด้วยและประสบสันติสุข ซึ่งไม่มีสุขอื่น
    ยิ่งกว่าสันติสุขนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกเป็น ๓ ทาง คือ

    ๑. สอนให้สงบกาย วาจา ด้วย ศีล ไม่ทำโทษทุจริตอย่างหยาบที่เกิดทาง กาย วาจา เป็นเหตุให้เกิดสันติสุขทางกาย วาจา เป็นประการต้น


    ๒. สอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วย สมาธิ หัดใจไม่ให้คิดถึงเรื่องความกำหนัด
    ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความกลัว ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความลังเลใจ
    ทำให้ใจไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เด็ดขาด เมื่อละสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเหตุให้ใจสงบ เป็นสันติสุขทางจิตใจ
    อีกประการหนึ่ง


    ๓. ทรงสอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางทิฏฐิ ความเห็นด้วย ปัญญา พิจารณาให้เห็นว่าสรรพสิ่ง
    ทั้งหลายไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ ต้องเสื่อมสิ้นแปรปรวน ดับไป เรียกว่าเป็น ทุกข์
    ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อ้อนวอน ขอร้อง เร่งรัด ให้เป็นไปตามความประสงค์ ท่านเรียกว่า อนัตตา
    เมื่อเรารู้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้ จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็ง มั่นคง เด็ดเดี่ยวไม่หวั่นไหวไปตาม
    เหตุการณ์ทั้งหลาย เพราะรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่แน่นอนมันคงอยู่ไม่ได้
    ต้องเปลี่ยนแปลง เสื่อมสิ้นดับไปไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาฝ่าฝืนของเราอย่าไปเร่งรัดให้เสียกำลังใจ
    คงรักษาใจให้เป็นอิสระมั่นคงอยู่เสมอไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเหตุให้ใจตั้งอยู่ในสันติสุข
    เป็นอิสระเกิดอำนาจทางจิต Mind Power ที่จะใช้ทำกรณียะอันเป็นหน้าที่ของตนได้สำเร็จสมประสงค์


    "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี"


    It meeds a Peaceful Mind to support a Peaceful Body, and itneeds a Peaceful Body to
    support a Peaceful Mind, and, st it needs Both Pescaful Body and Mind to attain all succes
    that wbich you wish.

    ๕. ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือคนไม่ทำอะไรเลย "DO NO WRONG IS DO NOTHING"

    จงระลึกถึงคติพจน์ ว่า "Do no wrong is do nothing!" "ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย!"
    ความผิดนี้แหละ เป็นครูอย่างดี ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเองที่ทำอะไรผิดพลาด และควรสบายใจที่ได้พบ
    กับอาจารย์ผู้วิเศษ คือความผิด จะได้ตรงกับคำว่า "เจ็บแล้วต้องจำ!" ตัวทำเองผิดเอง นี้แหละเป็นอาจารย์
    ผู้วิเศษ เป็น Good example ตัวอย่างที่ดี เพื่อจะได้จดจำไว้สังวรระวังไม่ให้ผิดต่อไป แล้วตั้งต้นใหม่
    ด้วยความไม่เลินเล่อเผลอประมาท อดีตที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านพ้นล่วงไปแล้ว แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังคงอยู่
    คอยกระซิบเตือนใจเสมอทุกขณะว่า "ระวัง! อย่าประมาทนะ! อย่าให้ผิดพลาดเช่นนั้นอีกนะ!"

    ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง
    เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า
    สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย
    ถึงสี่อีกทีห้า หกซ้ำอภัยไฉน!

    จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่า นักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดีและทางผู้วิเศษที่เป็น
    ศาสดาจารย์ในทางธรรมทั้งหลายก็ดีล้วนแต่ผ่านพ้นอุปสรรคความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนมาแล้วด้วยกัน
    ทุกท่าน

    ๖. สติสัมปชัญญะ (ความระลึกได้ และความรู้ตัว)

    ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่สติ ถ้ามีสติคุ้มครองกายวาจาใจอยู่ทุกขณะจำทำอะไร
    ไม่ผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติ คือ เผลอ เหม่อ เลินเล่อ ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิดพลาด
    จงนึกถึงคติพจน์ว่า " กุมสติต่างโล่ห์ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม" ธรรมดาชีวิตทุกชนิด ทั้งมนุษย์และสัตว์
    ตลอดทั้งพืชพันธุ์ พฤษาชาติ เป็นอยู่ได้ด้วยการต่อสู้ ตรงกับคำว่า "Life id fighting" "ชีวิตคือการต่อสู้"
    เมื่อต่อสู้ไม่ไหวขณะใจก็ต้องถึงที่สุดแห่งชีวิต คือ death ความตาย เพราะฉะนั้นยังมีสติอยู่ตราบใด
    ถึงตายก็ตายแต่กาย เช่นกับชีวิตพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ท่านมีสติไพบูลย์อยู่ทุกขณะจิต
    ท่านจึงทำอะไรไม่ผิดและถึงซึ่งอมตธรรม คือธรรมที่ไม่ตาย ตรงกับคำว่า immortal จึงเรียกว่า ปรินิพาน
    คือนามรูปสังขารร่างกายที่เรียกว่าเบญจขันธ์ ขันธ์ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    แตกดับไปเท่านั้น เพราะฉะนั้น ความฝึกฝนสติ (ความระลึกรู้ก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิด) สัมปชัญญะ
    (รู้ตัวทุกขณะที่กำลังทำอยู่ พูดอยู่ คิดอยู่) เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็มีสติตรวจตาพิจารณาดูว่าบกพร่องอย่างไร
    หรือเรียบร้อยบริบูรณ์ดี ถ้าบกพร่องก็รีบแก้ไขเพื่อให้สมบูรณ์ต่อไป ถ้าเรียบร้อยดีอยู่แล้ว ก็พยายามให้
    เรียบร้อยดียิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด

    ๗. อานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    ด้วยอนุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้แล จึงชนะข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง
    และอย่างละเอียดได้!

    ๑. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเกิดกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกายวาจาได้ ด้วยศีลชนะความยินดียินร้าย
    หลงรัก หลงชัง ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยสมาธิ

    ๒. ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ โดยพร้อมมูล บริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว
    ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย! เพราะฉะนั้น จึงความสนใจ เอาใจใส่
    ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ทุกเมื่อเทอญ.

    ๘. ดอกมะลิ

    ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่ถูกรับรองแล้วว่าเป็นดอกไม้ที่หอมเย็นชื่นใจที่สุดและขาวบริสุทธิ์ที่สุด
    ในบรรดาดอกไม้ทั้งหลายชีวิตมนุษย์ที่เป็นอยู่เช่นเดียวกับการเล่นละคร ขอให้เป็นตัวเอกที่มีชื่อเสียงที่สุด
    เช่นเดียวหรือลักษณะเดียวกับดอกมะลิ อย่าเป็นตัวผู้ร้ายที่เลวที่สุด และให้เห็นว่าดอกมะลินี้จะบานเต็มที่
    เพียง ๒-๓ ก็จะเหี่ยวเฉาไป ฉะนั้นขอให้ทำตัวให้ดีที่สุด เมื่อยังมีชีวิตอยู่ให้หอมที่สุดเหมือนดอกมะลิ
    ที่เริ่มแย้มบานฉะนั้น."จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ"

    ๙. ทำดี ดีกว่าขอพร

    "จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ นะ!เตือนให้เตรียมตัวไว้ดำเนินชีวิตต่อไปเป็นคำแทนคำอวยพรอย่างสูงสุด
    ประกอบด้วยเหตุผล เมื่อทำกรรมดีแล้ว ไม่ให้พรก็ต้องดี เมื่อทำชั่วแล้วจะมาเสกสรรปั้นแต่งอวยพร
    อย่างไรก็ดีไม่ได้ ทำชั่วเหมือนโยนหินลงน้ำหินจะต้องจมทันที ไม่มีผู้วิเศษใดๆ จะมาเสกเป่าอวยพร
    อ้อนวอนขอร้องให้หินลอยขึ้นมาได้ ทำกรรมชั่วจะต้องเล่นจมป่นปี้เสียราศีเกียรติคุณชื่อเสียงเหมือน
    ก้อนหินหนักจมลงไปอยู่กับโคลนใต้น้ำ ทำดีเหมือนน้ำมันเบาเมื่อเทลงน้ำย่อมลอยเป็นประกายมันปลาบ
    อยู่เหนือน้ำ ทำกรรมดี อย่อมมีสง่าราศี มีเกียรติคุณชื่อเสียง มีแต่คนเคารพนนับถือยกย่องบูชา เฟื่องฟุ้งฟู
    ลอยน้ำเหมือนน้ำมันลอยถึงจะมีศัตรูหมู่ร้ายจงใจเกลียดชังมุ่งร้ายอิจฉาริษยาแช่งด่าให้จมก็ไม่สามารถ
    จะเป็นไปได้ กลับจะแพ้เป็นภัยแก่ตัวเอง ขอให้จงตั้งใจกล้าหาญพยายามทำแต่กรรมดีๆ โดยไม่มี
    ความเกรงกลัวหวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆทั้งสิ้น ผู้ที่มีความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ผู้ที่มีโชคดี
    ผู้ที่มีความสุขและผู้ที่มีความเจริญประสงค์ใดสำเร็จสมประสงค์ ก็คือผู้ที่ประกอบกรรม ทำแต่ความดี
    อย่างเดียวนั่นเอง


    ภิกษุกายทิพย์

    ดังได้กล่าวแล้วว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก เป็นภิกษุรูปเดียวที่เคร่งครัดต่อธรรมวินัย หาภิกษุ
    ใดในยุคปัจจุบันนี้เสมือนท่านเจ้าคุณนรรัตนหาได้ไม่ นั่นแต่ท่านบรรพชาอุปสมบทมา ๓๐ กว่าพรรษา
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนยังมิเคยย่างกรายออกนอกเขตบริเวณวัดเทพศิรินทร์เลย แม้แต่ครั้งเดียว หลังจาก
    ได้บวชผ่านไปแล้ว ๑ พรรษา และไม่เคยรับนิมนต์จากญาติโยมคนใดทั้งสิ้น แต่แล้วก็ได้มีปรากฏการณ์
    ประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่มีผู้พบท่านเจ้าคุณนรรัตน ไปปรากฏองค์ท่านให้เห็น ทั้งในประเทศ และ
    ต่างประเทศซึ่งข้าพเจ้า จะขอนำเอาเหตุการณ์ ประหลาดเหล่านี้มาเล่าสู่คุณผู้อ่านดังต่อไปนี้


    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ตรงกับวันที่ ๑๗ พ.ย. ทางกรมการรักษาดินแดนได้จัดสร้างเหรียญ ร.๖ ขึ้นเพื่อ
    แจกจ่ายให้แก่ประชาชนนำไปบูชาและได้ทำการพุทธาภิเศกตามวันดังกล่าวนี้ โดยนิมนต์พระคณาจารย์
    ที่มีชื่อเข้าร่วมทำพิธีปลุกเศก คือหลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร, หลวงพ่อปู่อาคม วัดสุทัศน์ฯ, หลวงพ่อเงิน
    วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงปู่นาค วัดระฆัง, พระสุธรรมธีระคุณ วัดสระเกศ, หลวงพ่อ
    คล้าย วัดจันดี, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, และพระอาจารย์ผ่อง จินดา วัดสามปลื้ม ยังได้กระทำพิธี
    อัญเชิญดวง พระวิญญาณของอดีตพระมหากษัตริย์ไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ ร.๑ ถึง ร.๘
    มาประทับทรงในร่างของนายทหารและนายตำรวจ เพื่อทรงเป็นประธานและสักขีพยาในพิธีปลุกเศกนี้ด้วย

    ในการกระทำพิธีพุทธาภิเศกเหรียญ ร.๖ ครั้งนี้ คณะกรรมการทุกคนจะลืมนินมต์ท่านเจ้าคุณนรรัตน
    เสียมิได้ เพราะท่านเจ้าคุณนรรตันเป็นภิกษุรูปหนึ่งที่จงรักภักดีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่๖ จนปวารณาตัวบวช
    ไม่ยอมสึก และล้นเกล้ารัชกาลที่๖ ก็ทรงโปรดปรานเจ้าคุณนรรัตนเช่นเดียวกัน เมื่อมีการสร้างเหรียญ ร.๖
    ขึ้นครั้งนี้ คณะกรรมการจึงได้เดินทางไปนินมต์ท่านเจ้าคุณนรรัตนให้เข้าพิธีพุทธาภิเษกด้วย แต่คณะ
    กรรมการ ก็ได้รับความผิดหวัง เพราะท่านเจ้าคุณนรรัตนไม่ยอมรับนิมนต์ออกนอกเขตวัดท่านเจ้าคุณนรรัตน
    ได้บอกกับคณะกรรมการชุดนั้นว่า

    "อาตมาจะขอนั่งปรกปลุกเสกอยู่ในกุฏินี้เพื่อส่งกระแสร์จิตไปร่วมพุทธาภิเศกด้วยในครั้งนี้
    จนกระทั่งเสร็จพิธี"

    คณะกรรมการสร้างเหรียญ ร.๖ ชุดนี้จึงได้นำชื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนประกาศให้ประชาชนทราบทั่วกัน
    ว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนได้ส่งกระแสร์จิตเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเศกเหรียญ ร.๖ ในครั้งนี้ด้วย

    เมื่อประชาชนได้ทราบข่าวว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนส่งกระแสร์จิตปลุกเศกเหรียญ ร.๖ ต่างก็ทะยอย
    มาสั่งจอง กันเป็นจำนวนมาก แม้บางรายยังไม่เคยเห็นรูปลักษณะเหรียญ ร.๖ เลยก็ยังสั่งจองกันมากมาย
    ชั่วเวลาเพียงไม่ถึงสิบวัน ก็มีประชาชนสั่งจองเหรียญ ร.๖ ถึง ๔ หมื่นเหรียญ และเมื่อเสร็จพิธีพุทธาภิเศก
    ก็ได้นำออกแจกจ่ายให้ประชาชนบูชาเพียงไม่นานนักเหรียญ ร.๖ ก็หมดเกลี้ยงอย่างไม่มีใครคาดถึง
    ทั้งนี้ก็เป็นเพราะบารมีกระแสร์จิตของท่านเจ้าคุณนรรัตนที่เข้าร่วมปลุกเศกด้วยนั่นเอง

    เมื่อประชาชนจำนวนมากรับเหรียญ ร.๖ ไปพกติดตัว ต่างก็ปรากฏอภินิหารต่างๆ นานา ทั้งทางอยู่ยง
    คงกระพันและโชคลาภ จนโจษขานกันทั่วอยู่พักหนึ่ง ปรากฏการณ์สิ่งนี้เองที่มีประชาชนจำนวนมากได้
    ประจักษ์กันว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนมีกระแสร์จิตอันแก่กล้า สามารถส่งมาร่วมพิธีพุทธาภิเษกได้ แต่ไม่เพียง
    กระแสจิตเท่านั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนยังสามารถถอดกายทิพย์ออกไปให้ผู้อื่นพบเห็นได้อีกด้วย

    ผู้ที่พบท่านเจ้าคุณนรรันไปปรากฏองค์ให้เห็น ก็คือมีนายทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความเลือมใสศรัทธา
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนมาก เมื่อครั้งได้รับคำสั่งทางราชการให้เดินทางไปสมรภูมิเวียดนาม จึงได้เดินทางมาหา
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนเพื่อขอศีลขอพร และให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้เพื่อเป็นศิริมงคล
    ครั้นได้เดินทางไปประจำอยู่ในสมภูมิเวียดนาม ก็ได้ปะทะกับพวกเวียดกงหลายครั้ง บางครั้งอยู่ในภาวะ
    คับขันหวุดหวิดจะได้รับอันตราย ก็ได้พบท่านเจ้าคุณนรรัตนมาปรากฏร่างช่วยเหลือคลี่คลายสถานการณ์
    จนพ้นภาวะคับขันไปได้ทุกครั้ง จนเป็นที่กล่าวขานกันอย่างมากมายในกลุ่มทหารกองพลเสือดำมาแล้ว

    ส่วนทางด้านสหรัฐอเมริกาก็ได้มีผู้พบเห็นท่านเจ้าคุณนรรัตนไปปรากฏมาแล้วเหมือนกัน กล่าวคือ
    มีชาวอเมริกันผู้หนึ่งซึ่งได้เคยรู้จักกับ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ ได้เขียนจดหมาย เล่าเรื่องราวประหลาด
    มหัศจรรย์แก่ พ.ต.อ. ชลอ ว่า ได้มีเศรษฐีอเมริกันผู้หนึ่งอยู่ในนครนิวยอร์ค ได้ล้มป่วยด้วยโรคร้ายแรง
    โรคหนึ่ง ได้รักษาเสียเงินเสียทองมาแล้วอย่างมากมายโรคร้ายนั้นก็ไม่หาย แต่เศรษฐีอเมริกันผู้นี้
    เป็นผู้ใจบุญสุนทาน และประกาศตนเป็นพุทธมามะกะมาแล้ว เมื่อเสียเงินเสียทองรักษาตัวทางแพทย์
    ปัจจุบันมาแล้วหลายแห่ง โรคร้ายนั้นก็ไม่ยอมหาย จึงหันมาระลึกถึงพุทธคุณทางพุทธศาสนาอยู่เสมอ
    ปรากฏว่าวันหนึ่งได้มีพระภิกษุไทยรูปหนึ่ง ได้ไปเยี่ยมที่บ้านของเศรษฐีผู้นั้น และแสดงความจำนงค์ขอ
    ช่วยรักษาโรคร้าย ให้โดยการใช้กระแสร์จิตรักษา เศรษฐีผู้นั้นก็ยินยอมให้ภิกษุไทยรูปนั้นรักษาให้ และ
    หลังจากพระภิกษุไทยรูปนั้นใช้กระแสร์จิตรักษาแล้ว ปรากฏว่าอาการป่วยของเศรษฐีผู้นั้นก็เริ่มทุเลาลง
    เป็นอันดับ พระภิกษุไทยรูปนั้นจึงได้บอกชื่อว่า พระภิกษุเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต พำนักอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์
    กรุงเทพฯ ประเทศไทย ทำให้เศรษฐผู้นั้นงุนงงเป็นอันมาก และหลังจากนั้นไม่นานนักอาการของเศรษฐี
    นั้น ก็ค่อยทุเลาและหายเป็นปกติ จึงได้บอกเพื่อนชาวอเมริกันที่คุ้ยเคยกับคนไทยในกรุงเทพฯให้ช่วย
    เขียนจดหมายมาถามดูว่าที่ในกรุงเทพฯ มีวัดเทพศิรินทร์ และพระภิกษุชื่อเจ้าคุณนรรัตนหรือไม่?
    เพื่อนของเศรษฐีอเมริกันผู้นั้นซึ่งคุ้นเคยกับ พ.ต.อ. ชลอ ก็ได้เขียนตอบไปแล้วว่ามีจริงดังที่ถามมา
    ทุกประการ


    อีกรายหนึ่ง ที่พบท่านเจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก ไปปรากฏร่างให้เห็นก็คือ พ.ต.ท. นายแพทย์สุภัค
    บรรฑุรัตน์ หัวหน้าแผนกนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ได้เล่าว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนเคยไปเยี่ยมถึงบ้าน
    และพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเป็นเวลานานจึงได้ลากลับ นายแพทย์สุภัคถึงกับงุนงง เพราะเป็น
    ผู้หนึ่งที่เลื่อมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรรัตนมาก และก็ทราบว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนมิเคยย่างกรายออกจาก
    วัดเทพศิรินทร์เลยแต่เหตุไฉนที่นเจ้าคุณนรรัตน จึงได้ไปเยี่ยมเยียนและพูดคุยกับตนถึงบ้านได้ ท่าน
    เจ้าคุณนรรัตนต้องถอดกายทิพย์ไปอย่างแน่นอน

    เพื่อให้คุณผู้อ่านได้ทราบถึงเรื่องราวของ "กายทิพย์" ว่า มีจริงหรือไม่? ข้าพเจ้าก็ขอนำเอาข้อเขียน
    ของ พ.ต.อ. ชลอ อุทกภาชน์ ธบ.น.บ.ท ผกก ตำรวจสันติบาล แผนก ๔ ผู้เชี่ยวชาญการค้นคว้าทาง
    วิญญาณ และทางโยคะศาตร์ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ "แว่นส่องจักรวาล" มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    ก่อนอื่นที่จะกล่าวถึงกายทิพย์ของมนุษย์นั้น เราได้ศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์ทางด้านกายภาพ
    และชีวภาพกันมาแล้ว แต่ตามหลักวิชาวิทยาศาสตร์ทางฟิสิคดังกล่าวหาได้กล่าวถึงเรื่องกายทิพย์ของ
    มนุษย์ ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์แต่อย่างไรไม่ และนักวิทยาศาสตร์ทางจิตทั่วโลก
    ก็หาได้กล่าวถึงเรื่องราวของกายทิพย์ของมนุษย์-แต่อย่างไรไม่ ในเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์นั้น คงมี
    กล่าวไว้ในโยคะศาสตร์เท่านั้น และเป็นวิชาสำคัญสาขาหนึ่งในโยคะศาสตร์ ซึ่งผู้ที่ศึกษา โยคศาสตร์ชั้นสูง
    จะต้องศึกษาวิชาว่าด้วย กายทิพย์อย่างละเอียดถี่ถ้วนส่วนในพุทธศาสนานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรง
    ตรัสเรื่องกายทิพย์ของมุนษย์ ไว้เป็นหลักฐานวในสามัญญผลสูตร ซึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า

    "ผู้ที่สามารถถอดกายทิพย์ออกจากายหยาบของตนได้นั้น เสมือนหนึ่งการถอดไส้ของหญ้าปล้อง"

    ส่วนธรรมชาติของสภาวะของกายทิพย์นั้น ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าจากหลักฐานในพระไตรปิฏกตอนใด
    ของพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงเรื่องราวของกายทิพย์ ของมุนษย์อย่างละเอียด อย่างที่ได้กล่าวไว้ในโยคะ
    ศาสตร์ ส่วนหลักโยคะศาสตร์นั้นได้เรียก"วิชากายทิพย์ของมนุษย์ว่า ฮูเลียราบัด" และแบ่งออกดังนี้ คือ

    ๑. กายทิพย์ของมนุษย์คืออะไร?
    ๒. กายทิพย์เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปฏิสนธิวิญญาณอย่างไร?
    ๓. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวสัมพันธ์กับปฏิสนธิวิญญาณอย่างไร?
    ๔. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับกฏแห่งกรรมอย่างไร?
    ๕. ทรรศนะของพุทธศาสนา ยอมรับเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์ว่าเป็นความจริง
    ดังกล่าวไว้ในหลักของโยคะศาสตร์ หรือไม่เพียงใด

    ก่อนที่ข้าพเจ้าจะอธิบายวิชากายทิพย์ ตามหลักโยคะศาสตร์ โดยละเอียดนั้นข้าพเจ้าอยากจะกล่าวถึง
    ปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นแก่ชีวิตของท่านเองหรือญาติมิตรของท่าน แต่ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่มีผู้ใด
    ตอบได้ตามเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ หากท่านได้ศึกษาโยคะศาสตร์มาบ้างแล้ว ท่านอาจตอบปัญหา
    ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้ทันที ทั้งนี้เพราะวิชากายทิพย์ของมุนษย์นั้น ตามหลักโยคะศาสตร์ถือว่าเป็นวิทยาการ
    ว่าด้วยสภาวะธรรมชาติส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ จึงจำต้องศึกษาค้นคว้าให้รู้ถึงธรรมชาติอย่างแท้จริงของมัน
    แต่วิชากายทิพย์นี้เป็นเรื่องยาก สำหรับประชาชนทั่วไปจะศึกษาค้นคว้าเข้าไปถึง ผู้ที่สามารถศึกษาเรื่องราว
    เหล่านี้ ก็จะต้องฝึกจิตทางสมาธิให้บรรลุฌาณสมาบัติขึ้นสูง หรือบรรลุชั้นญาณโยคีเสียก่อน จึงจะสามารถ
    ศึกษาค้นคว้าวิชาอันเร้นลับเหล่านี้ได้ หากผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตทางสมาธิเลย หรือฝึกจิตทางสมาธิเพียงขั้นต้น
    บุคคลเหล่านี้ก็ยังสามารถจะศึกษาสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ได้

    อนึ่งพวกเราชาวพุทธมักจะได้ยินข่าวเรื่องราวพระภิกษุบางรูป ซึ่งเป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงรู้วัน
    มรณะกรรมของตัวเอง ล่วงหน้าอย่างถูกต้อง และได้แจ้งวันเวลาเหล่านี้ให้ศิษย์หรือผู้ใกล้ชิดทราบล่วงหน้า
    ตั้งแต่ ๓-๗ วัน ครั้นเมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าว ท่านก็มรณะภาพจริงๆ พระคณาจารย์เหล่านี้ตามประวัติ
    ของท่านแทบทุกองค์ล้วนแต่ได้ฝึกจิตทางสมาธิมาเป็นเวลาช้านาน และสามารถแสดงปรากฏการณ์ทางจิต
    ได้หลายอย่างหลายประการจนกระทั่ง ได้รับการยกย่องจากประชาชนว่า ท่านเหล่านี้เป็นบุคคลชั้น"คณาจารย์"
    ซึ่งเป็นการแน่นอนเหลือเกินว่าพระคณาจารย์เหล่านี้ย่อมสามารถรู้สภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ของท่านเอง
    ท่านย่อมสามารถหยั่งรู้วันมรณะกรรมล่วงหน้าของท่านได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้เพราะกายทิพย์ของคณาจารย์ผู้นั้น
    จะเป็นผู้แจ้งเหตุล่วงหน้าวันมรณะภาพให้คณาจารย์ผู้นั้นทราบ

    หากผู้ที่มิได้ฝึกทางสมาธิ และยังมิได้บรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วกายทิพย์ของผู้นั้น จะบอกเหตุ
    เกี่ยวกับการมรณะกรรมของบุคคลผู้นั้นให้ทราบเหมือนกัน แต่การบอกเหตุล่วงหน้าของกายทิพย์นั้น
    จะแสดงออกเป็นรูปปรากฏการณ์ต่างๆ เช่นดลใจให้บุคคลผู้นั้นกล่าวอำลาตายแก่ญาติมิตรหรือผู้ใกล้ชิด
    หรือกล่าวเป็นทำนองว่า จะต้องจากไปโดยไม่มีวันกลับมาอีก หรือดลใจให้ผู้นั้นรับประทานอาหารมากมาย
    ผิดปกติ ซึ่งคนไทยเราเรียกว่า กินสั่ง หรือแสดงปรากฏการณ์ทางใบหน้าของบุคคลผู้นั้น โดยทำให้สีหน้า
    ของบุคคลผู้นั้นดำหมองคล้ำผิดปกติ และต่อมาอีก ๒-๓ วัน บุคคลผู้นั้นถึงมรณะกรรมโดยปัจจุบันทันด่วน
    โดยไม่มีผู้ใดนึกฝันมาก่อนเลย ปรากฏการณ์ของกายทิพย์ซึ่งแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว
    เป็นการแสดงออกของกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นแจ้งเหตุล่วงหน้า ให้แก่บุคคลผู้นั้นทราบในทางร้าย
    ชาวไทยเราเรียกว่า "ลางร้าย" หากผู้นั้นจะได้รับโชคลาภหรือตำแหน่งหน้าที่ กายทิพย์ก็จะบอกเหตุ
    ให้ทราบล่วงหน้าเช่นเดียวกัน เช่นแสดงอออกทางใบหน้า หน้าตาผู้นั้นจะแจ่มใส่เบิกบานหรือแสดงออก
    ทางร่างกาย ผู้นั้นจะรู้สึกขนลุกซู่ซ่าบางขณะชั่วขณะหนึ่ง หรือแสดงออกทางฝ่ามือ เช่นจะได้รับโชคลาภ
    ผู้นั้นมักจะรู้สึกคัน ที่ฝ่ามือเป็นระยะๆ หรือจะปรากฏผุดแดงขึ้นในฝ่ามือเหล่านี้เป็นต้น ชาวไทยเราเรียก
    "ลางดี"

    ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ธรรมชาติของกายทิพย์ของมนุษย์นั้น มีสภาวะธรรมชาติเกี่ยวข้องกับชีวิต
    ของบุคคลแต่ละบุคคล ตั้งแต่เข้าปฏิสนธิถึงวันมรณะ และจะแสดงให้ทราบถึง อดีตวิบากกรรม ทั้ง กรรมดี
    และกรรมชั่วโดยแสดงปรากฏการณ์ในลักษณะต่างๆ ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งท่านผู้อ่านทั้งหลาย
    คงได้ประสบเหตุเหล่านี้มาบ้างไม่มากก็น้อย เว้นแต่เราไม่สนใจในเรื่องราวเหล่านี้ จึงมองข้ามไปเสีย หากผู้ใดได้ศึกษาสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ของมุนษย์แล้ว เมื่อประสพการณ์ใดๆ ย่อมจะทราบได้
    ทันทีว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น แก่ตนเองหรือผู้อื่น เรื่องราวลึกลับของกายทิพย์ดังกล่าวมาแล้ว จึงได้เกิดวิชา
    พยากรณ์ชีวิตทางลายมือขึ้น และวิชาพยากรณ์ทางลายมือนี้ได้แผ่ขยายไปทั่วโลกในปัจจุบัน การปรากฏ
    การณ์ในเส้นลายมือของบุคคลทุกคนในลักษณะแตกต่างกันนั้น กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะแสดงให้เห็น
    ผลของอดีตกรรม, ปัจจุบันกรรม ประกอบกับทุกๆวัน ฉะนั้นหากผู้ใดสามารถศึกษาค้นคว้าสัญญาลักษณ์ต่างๆ
    ที่ปรากฏในฝ่ามือของบุคคลย่อมจะสามารถพยากรณ์ชาตาชีวิต ของบุคคลแต่ละบุคคลได้ใกล้เคียงความจริง
    ดังตัวอย่างซึ่งข้าพเจ้าจะยกมากล่าวประกอบ เรื่องราวลึกลับของกายทิพย์ นักพยากรณ์ลายมือที่มีชื่อเสียง
    ที่สุดในโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองความสามารถและยอมรับว่า วิชาพยากรณ์ลายมือนั้นเป็น
    ศาสตร์ที่ลึกลับศาสตร์หนึ่งหาก ศึกษาค้นคว้าให้ทราบถึงหลัก อันแท้จริงแล้ว สามารถจะล่วงรู้เหตุการณ์
    เกี่ยวด้วยชีวิตในอดีตและอนาคตของบุคคลๆ ได้ถูกต้องใกล้เคียงความจริง นักพยากรณ์ลายลักษณ์
    ในฝ่ามือผู้นี้คือ มร. ไคโร

    มร. ไคโร ผู้นี้นักวิทยาศาสตร์ได้พิมพ์มือบุคคลสำคัญ ๆในสหรัฐอเมริกาประมาณ ๓๐ ราย บางราย
    เป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงแต่ภายหลังได้ทำการฆาตกรรมภรรยา และต้องลงโทษตามคำพิพากษาของศาล
    ให้ประหารชีวิตไปแล้ว บางรายก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางรายก็เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสหรัฐฯ
    บางรายก็เป็นนักธุระกิจขั้นมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งรายมือเหล่านี้ไปให้ มร.ไคโร พยากรณ์
    โดยไม่บอกชื่อและประวัติของเจ้าของลายมือเลยแม้แต่รายเดียว ครั้นเมื่อได้รับคำพยากรณ์ลายมือเหล่านี้จาก
    มร.ไคโร แล้ว ได้นำมาสอบประวัติของเจ้าของรายมือเพื่อเปรียบเทียบกับ คำพยากรณ์ของ มร.ไคโร ปรากฏ
    การณ์พยากรณ์ของ มร.ไคโร ถูกต้องใกล้เคียงความจริงกับชีวะประวัติของบุคคลเจ้าของลายมือ ประมาณ
    ร้อยละเก้าสิบห้า โดยที่ มร.ไคโร ไม่เคยรู้จักว่าบุคคลที่ตนพยากรณ์ไปนั้นเป็นผู้ใด แม้แต่นักโทษที่ถูก
    ประหารชีวิตในบั้นปลายชีวิต มร.ไคโร ก็พยากรณ์ได้ถูกต้อง และนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ต้องโทษจำคุกตลอด
    ชีวิตและตัวยังมีชีวิตอยู่ มร.ไคโร ก็พยากรณ์ได้ถูกต้องแม่นยำ การที่ มร.ไคโรสามารถพยากรณ์เหตุการณ์
    ต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของแต่ละบุคคลที่ถูกต้อง จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ยอมรับวิชาพยากรณ์ลายมือ
    เป็นศาสตร์ๆ หนึ่งนั้น ก็เพราะ มร.ไคโรสามารถอ่านลายลักษณ์ต่างๆ ในฝ่ามือของบุคคลแต่ละคน
    ซึ่งกายทิพย์ของบุคคลนั้น แสดงปรากฏการณ์ไว้อย่างละเอียดถูกต้อง

    ๑. กายทิพย์คืออะไร? (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY)

    ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ (PHYSICAL BODY) นั้นต่างหลักวิทยาศาสตร์ ทางฟิสิคส์ทางกายภาพ
    และชีวะภาพนั้น ได้ศึกษาค้นคว้าเพียงร่างกายหยาบ (PHYSICAL BODY) ของมนุษย์เท่านั้นส่วนกายทิพย์
    (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY) ของมนุษย์ซึ่งซ้อนอยู่ในกายหยาบอีกชั้นหนึ่งทางวิทยาศาสตร์
    ยังศึกษาค้นคว้าเข้าไปไม่ถึง กายทิพย์ของมนุษย์ก็คือ กายอีกกายหนึ่งได้ซ้อนอยู่ภายในกายหยาบ
    ของมนุษย์นั่นเองและกายทิพย์นี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เกี่ยวด้วยสภาวะชีวิตของบุคคลแต่ละคน
    ปรากฏการณ์เกี่ยวกับกายทิพย์ของมนุษย์นี้ ทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถให้คำตอบได้โดยตรง เพียงแต่
    ให้ข้อสมมุติฐานว่าเกิดจากอำนาจจิตบ้าง เกิดจากอำนาจของประสาทที่หกบ้าง แม้นักวิทยาศาสตร์ทางจิต
    เช่นศาสตราจารย์ เจ. บี ไรน์ แห่งมากวิทยาลัยดุคย์และคณะ ซึ่งได้ค้าคว้าไปถึงขึ้นปรจิตวิทยา
    (PARAPSYCHOLOGY) ก็ตาม แต่ก็ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของกายทิพย์ ให้บางกรณีว่าเกิด
    จาก อำนาจญาณพิเศษ (EXTRA SFNSORYPERCEPTION)นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ได้ประพันธ์วิทยานิพนธ์
    เกี่ยวด้วยเรื่องปรจิตวิทยา (PARA PSYCHOLGY) ไว้หลายเล่นด้วยกัน ซึ่งวิทยานิพนธ์เหล่านี้ สถาบันทาง
    วิทยาศาสตร์ทางจิตทั่วโลกยอมรับรอบแล้วก็ตาม แต่ข้อความในวิทยานิพนธ์เหล่านี้เท่าที่ข้าพเจ้าได้ศึกษา
    ค้นคว้ามาแล้ว ไม่ปรากฏว่าได้กล่าวถึงกายทิพย์ของมนุษย์ไว้ตอนใดเลย

    แต่ตามหลักโยคะศาสตร์นั้น ถือว่าวิชากายทิพย์ หรือฮูเลียราบัด นี้เป็นวิทยาการสำคัญที่สุดสาขาหนึ่ง
    เกี่ยวด้วยสภาวะธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ และผู้ที่ศึกษาวิชาโยคะศาสตร์ชั้นสูง ตั้งแต่ญาณโยคีขึ้นไป
    จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องศึกษาค้นคว้า วิชากายทิพย์ของมนุษย์โดยละเอียด ลักษณะของกายทิพย์ของมนุษย์
    (ASTRAL BODY)นั้นมีลักษณะเป็นกายละเอียด เป็นรูปการรวมตัวของอีเทอร์ (ETHEREAL FORM)
    หรือการรวมของอนู เป็นรูปวัตถุโปร่งแสงไม่อาจจับต้องได้ และไม่อาจแลเห็นด้วยตาเปล่า เว้นแต่บุคคล
    บางคนฝึกจิตทางสมาธิจนกระทั่ง จิตของบุคคลผู้นั้นบรรลุถึงวิสุทธิจิตขั้นโลกียฌาณขั้นสูง (CPSMIC SUPER
    CONSCIOUSNESS) หรือบรรลุขั้นญาณโยคี จึงจะสามารถมองเห็นกายทิพย์ของตนเองและของผู้อื่นได้และ
    บางคนหากฝึกจิตให้มีพลังงานเข็มแข็ง อาจจะส่งกายทิพย์ของตนไปให้ผู้อื่นเห็นได้ทั้งเวลาหลับและตื่น ใน
    ระยะไกลเท่าใดก็ได้โดยไม่จำกัดระยะทาง ดังตัวอย่างศาสตราจารย์พอลบรันตั้น (PAUL BRUNTON) ได้
    เดินทางไปค้นคว้าความลึกลับในประเทศอินเดีย ได้ประสพการณ์โยคีองค์หนึ่งชื่อมหาฤาษีได้ถอดกายทิพย์ จากอาศรม เชิงเขาหิมาลัย มาพบกับศาสตร์จารย์พอลบรันตั้นเวลาตื่นๆ ณ ที่พักในโรงแรมแห่งหนึ่งในเวลา
    กลางคืนและกายทิพย์ของโยคีผู้นั้น ได้สนทนาปัญหาเรื่องปรัชญา กับศาสตร์จารย์พอลบรันตั้น ต่อจากตอน
    ที่ได้สนทนากันเมื่อตอนกลางวัน ท่านอาจารย์ผู้นี้ ได้กล่าวถึงเรื่องราวลึกลับเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐาน ในหนังสือ
    เรื่อง A Search In Secret India

    ร่างกายของมนุษย์เรา (PHYSIBAL BODY) ตามหลักโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า ธรรมชาติได้แบ่ง
    ร่างกายมนุษย์ไว้ ๓ ขั้นคือ

    ก. กายหยาบ หรือร่างกายของเราซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และสามารถจับต้องได้(PHYSICAL BODY)

    ข. กายทิพย์ (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY) คือกายละเอียดแบบรูปอนูรวมตัวหรือรูป แบบอีเทอร์
    (ETHEREAL FORM) กายทิพย์ของมนุษย์นั้นได้ตั้งซ้อนอยู่ภายในกายหยาบอีกชั้นหนึ่ง และธรรมชาติ
    ของกายทิพย์นี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับกายหยาบและชีวิตของมนุษย์ทุกคน และกายทิพย์ของมนุษย์
    จะแสดงปรากฏการณ์ของวิบากกรรม ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้บุคคลผู้นั้นทราบล่วงหน้า ก่อนที่บุคคล
    ผู้นั้นจะได้รับผลแห่งกรรมนั้นทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว และพลังงานของวิบากกรรมของผู้นั้นจะเป็นแรงส่ง
    ให้กายทิพย์พาวิญญาณผู้นั้นไปเกิดในภพใหม่ เมื่อหลังจากมรณะกรรมไปแล้ว นอกจากนั้นพลังงาน
    ของอดีตกรรมจะให้ผลในทางปรุงแต่งกายทิพย์ ของบุคคลที่สร้างกรรมดีให้มาเกิด ในรูปร่างสวยสดงดงาม
    และสง่าผ่าเผย ส่วนผู้ที่สร้างกรรมชั่วผลแห่งกรรมย่อมปรุ่งแต่งกายทิพย์ ที่จะมาเกิดในภพใหม่ให้มีรูปชั่ว
    ขาดบุคคลิกภาพ เมื่อพลังงานของอดีตกรรมปรุงแต่งกายทิพย์ ที่จะมาเกิดในภพใหม่ให้มีรูปชั่วขาดบุคลิกภาพ
    เมื่อพลังงานของอดีตกรรมปรุงแต่งกายทิพย์ในลักษณะใดแล้ว กายหยาบของผู้นั้นย่อมมีสภาพเช่นเดียว
    กับกายทิพย์ทุกประการ นอกจากนั้นกายทิพย์ของบุคคลนั้น ยังมีหน้าที่เป็นพาหะ และเปลือกของปฏิสนธิ
    วิญญาณในการที่จะนำจุติและปฏิสนธิอีกด้วย

    ค. ดวงวิญญาณ หรือปฏิสนธิวิญญาณของมนุษย์ หรือคันธัพโพ (SPIRIT, SOUL, EGO, PSYCHICAL
    ELFMENT) ซึ่งตั้งซ้อมภายในกายทิพย์และสิงสถิตย์อยู่ที่ต่อม "นอสูรนลาห์" ต่อมนี้แพทย์แผนปัจจุบัน
    เรียกว่า "ต่อมเมดัลลา" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมันสมองเหนือท้ายทอย

    ง. กายทิพย์ของมนุษย์นั้น จะขยายตัวให้เล็กหรือใหญ่ได้โดยอัตโนมัติขณะที่เป็นพาหะนำปฏิสนธิวิญญาณ
    เข้าปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น กายทิพย์และวิญญาณของบุคคลนั้นจะเข้ารวมตัวกับเซลของตัวอ่อนของทารก
    และกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะช่วยปกปักรักษาเซลของตัวอ่อนของทารกให้เจริญเติบโต จนกระทั่งครบ
    กำหนดคลอด และเซลของทารกนี้จะวิวัฒนาการกลายมาเป็นต่อมนอสูรนลาห์ หรือเมดัลลาในภายหลัง
    และเมื่อทารกได้คลอดออกจากครรภ์มารดาในระยะ ๑ ถึง ๔๕ วัน กายทิพย์ของทารกผู้นั้นก็จะคอยคุ้มครอง
    ทารกผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา การปรากฏการณ์ของกายทิพย์ของทารกในระยะคลอดใหม่ๆ ชาวไทยเราสมมุติ
    ชื่อให้ว่า "แม่ซื้อ" การปรากฏการณ์ของกายทิพย์ต่อทารกในระยะนี้จะสังเกตุเห็นกริยาของทารก บางครั้ง
    มีกิริยายิ้มแย้ม แสดงความพึงพอใจ ประหนึ่งว่ามีผู้มาหยอกล้อ

    ๒. กายทิพย์ของมนุษย์นั้นมีหน้าที่เกี่ยวข้องความสัมพันธ์กับกายหยาบของบุคคลนั้น
    ตลอดเวลาที่ผู้นั้นมีชีวิตอยู่และมีหน้าที่แจ้งเหตุการณ์ต่างๆ ให้ผู้นั้นทราบล่วงหน้า หากวิบากกรรมดีหรือกรรม
    ชั่วจะให้ผลแก่บุคคลผู้นั้น โดยวิบากกรรมของบุคคลผู้นั้นจะสร้างภาพต่างๆ ให้กายทิพย์ทราบโดยทางนิมิต
    บางครั้งก็แสดงปรากฏออกทางใบหน้าท่าทางต่างๆ ผิดปกติหรือบางครั้งก็แสดงปรากฏการณ์ต่างๆ ทางฝ่ามือ
    หรือ ณ ที่แห่งอื่นๆ ของกายหยาบ

    ๓. กายทิพย์ของมนุษย์มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับปฏิสนธิวิญญาณของบุคคลผู้นั้น คือเป็นเปลือก
    (SHEEL) และพาหะ (SPRITUAL CONVEYANCE) ของปฏิสนธิวิญญาณของบุคคลผู้นั้น และมีหน้าที่นำ
    ปฏิสนธิวิญญาณ ของบุคคลผู้นั้นจุติและปฏิสนธิอยู่ตลอดไป หากบุคคลผู้นั้นยังไม่บรรลุถึงนิพพาน ระหว่างที่
    กายทิพย์พาวิญญาณออกจาร่างกหยาบในขณะที่บุคคลผู้นั้นจะตื่นหรือหลับก็ตาม จะมีสายใยชีวิตเชื่อมโยง
    ระหว่างกายทิพย์กับกายหยาบ(VITAL EOREC CORD) หากสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่างกายทิพย์
    กับกายหยาบ ขาดออกจากกันเมื่อใด แล้วบุคคลผู้นั้นจะถึงแก่กรรมทันที

    ๔. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกฏแห่งกรรมดังต่อไปนี้คือ

    ก. กายทิพย์ของมนุษย์นั้น ตามหลักของโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่าอยู่ปัจจุบันกรรมอยู่ตลอดเวลา
    เนื่องจากกระแสร์คลื่นของกรรมแต่ละบุคคลได้เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ การเปลี่ยนแปลงของกะแสร์คลื่น
    ของกรรมนี้เองกายทิพย์ย่อมจะรู้ล่วงหน้าว่า กระแสร์คลื่นแห่งกรรมเหล่านี้จะให้ผลแก่ผู้ก่อกรรมเมื่อใด
    เมื่อกายทิพย์ทราบเหตุล่วงหน้าของกระแสร์ของวิบากกรรมจึงแจ้งเหตุเหล่านี้มายังกายหยาบ ของบุคคล
    ผู้นั้นทันที หากบุคคลผู้นั้นฝึกจิตบรรลุฌาณสมบัติขึ้นสูง กายทิพย์จะบอกเหตุการณ์เหล่านั้นโดยปรากฏ
    การณ์ต่างๆ ทางจิตให้ผู้นั้นทราบ ตัวอย่างเช่น คณาจารย์บางท่านทราบวันมรณะภาพของตนได้อย่างถูกต้อง
    หากบุคคลผู้ฝึกจิต ยังไม่บรรลุฌาณสมบัติขึ้นสูง หรือบุคคลทั่วไป กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะบอกเหตุ
    ล่วงหน้าโดยทางฝัน หรือปรากฏการณ์อื่นๆ ดังได้กล่าวมาแล้วเมื่อใกล้จะมรณะพลังงานของวิบากกรรม
    ของบุคคลผู้นั้น จะสร้างภาพกรรมนิมิตให้ ปฏิสนธิ วิญญาณยึดเหนี่ยวก่อนกายทิพย์จะพาปฏิสนธิวิญญาณ
    ของบุคคลผู้นั้น ไปเกิดในภพใหม่และอิทธิพล ของคลื่นกระแสร์กรรมนี้ จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกายทิพย์
    ในทางดีหรือทางเลวในขณะปฏิสนธิในภพใหม่ด้วย การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกายทิพย์ของผู้นั้นจะมีผล
    ทางกายหยาบของผู้ที่มาเกิดในภพใหม่ เช่นผลของวิบากกรรมของบุคคลผู้นั้นส่งผลในทางชั่ว กายทิพย์
    ของผู้นั้นก็จะวิกลวิกาล กายหยาบของบุคคลผู้นั้นเกิดมาย่อมมีรูปร่างลักษณะวิกลวิกาลด้วย หากผลของ
    วิบากกรมให้ผลในทางดี กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะมาเกิดในภพใหม่ย่อมมีรูปร่างงดงามสง่า มีบุคคลิก
    ลักษณะดี กายหยาบของบุคคลผู้นั้นย่อมรูปร่างงดงามสง่าและมีบุคลิกดีด้วย บางขณะกายทิพย์ของบุคคล
    บางคนได้ออกจากร่างในขณะที่ผู้นั้นยังตื่นอยู่และไปเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นจริง ครั้นกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้น
    กลับเข้ากายหยาบบุคคลผู้นั้นได้สติบางรายถึงกับร้องเอะอะโวยวาย ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เหมือน
    หนึ่งกายหยาบของตนได้ไปประสพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ตัวอย่างเช่นนางเอม่า สจ๊อต มีภูมิลำเนาอยู่
    ณ เมือนแอนโตนิโอ มลรัฐเท็กซัสสหรัฐอเมริกา ในต้นปี ค.ศ. ๑๙๓๘ นาย ซี.พี. สจ๊อต สามีของนาง
    มีอาชีพเป็นต้นหนของเรือเดินสมุทรลำหนึ่งเดินทางระหว่างสหรัฐอเมริกากับอเมริกาใต้ ครั้นวันที่ ๓๐ ตุลาคม
    ค.ศ. ๑๙๓๘ นางสจ๊อตกำลังนั่งเย็บผ้าในห้องนั่งเล่นเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. นางสจ๊อตได้เห็นภาพสามีตน
    ถูกกลาสีในเรือเดินสมุทรลำนั้นใช้อาวุธปืนสั้นยิงศีรษะถึงแก่กรรมในห้องเก็บพัสดุ นางจึงลุกขึ้นร้องโวยวาย
    ขอร้องให้ชาวย้านใกล้เคียงช่วยเหลือ ขณะที่นางเห็นภาพเหตุการณ์ ซึ่งสามีของนางประสพเคราะห์กรรมนั้น
    เรือเดินสมุทรลำนั้นกำลังเดินทาง ห่างจากฝั่งของสหรัฐอเมริกาประมาณ ๒๐๐ ไมล์เศษครั้นต่อมาหลังจากที่
    นางได้เห็นเหตุการณ์ของสามีประมาณ ๔ ชั่วโมง นางจึงได้รับโทรเลขแจ้งข่าวร้ายจากเรือเดินสมุทรลำนั้นว่า
    สามีของนางได้ถูกกลาสีเรือใช้ปืนยิงถึงแก่ความตาย ในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๑๙๓๘ เวลา ๑๑.๐๐ น. จริง
    ข่าวของนางสจ๊วตได้เห็นภาพสามีประสพเคราะห์กรรมในเรือเดินสมุทร ซึ่งเดินทางห่างจากฝั่งถึง ๒๐๐๐
    ไมล์นั้นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งสหรัฐอเมริกาได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานในเอกสารของสมาคมค้นคว้า
    ทางจิต และวิจัยมีความเห็นว่านางสจ๊วตเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้เพราะประสาทที่หกของนาง ส่วนนักจิตวิทยา
    ในกลุ่มของศาสตราจารย์ เจ.บี. ไรน์ มีความเห็นว่าการเห็นภาพเหตุการณ์ของสามีของนางได้ถูกต้องตรง
    กับความจริงนั้น เพราะญาณพิเศษ (EXTRASENSORY PERCEPTION) ของนาง แต่ตามหลักโยคะศาสตร์
    ให้คำตอบได้ว่า "ขณะที่สามีของนางถูกยิงก่อนวิญญาณจะออกจากร่างได้โทรจิตติดต่อมาให้นางทราบ
    ขณะที่มีโทรจิตติดต่อมานั้นกระแสร์จิต ของสามีของนางมีความแรงกว่าปกติเป็นเพราะกระแสจิตครั้งสุดท้าย
    ก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง เมื่อนางสจ๊วตได้รับสัมผัสทางกระแสร์จิตจากสามีแล้วกายทิพย์ของนาง
    จึงแยกออกจากกายหยาบ โดยนางไม่รู้สึกตัวและกายทิพย์ของนางติดตามกระแสร์จิตของสามีไปยังที่
    เกิดเหตุ ในทันทีทันใด นางจึงเห็นภาพสามีถูกฆาตรกรรมเหมือนกับกายหยาบไปเห็นเหตุการณ์มาด้วย
    ตนเอง ครั้งกายทิพย์กลับเข้ากายหยาบตามเดิมแล้ว นางจึงรู้สึกตัวร้องเอะอะโวยวายของความช่วยเหลือ
    จากเพื่อนบ้างใกล้เคียง

    ประเพณีโบราณของชาวอินเดียวบางกลุ่มใช้วิธีต้อนรับกายทิพย์ด้วยบายศรีษะและผูกข้อมือด้วยสาย
    สิญจน์ ประเพณีเหล่านี้ได้ตกทอดมายังประเทศไทย ซึ่งบางจังหวัดในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
    ได้ต้อนรับบุคคลสำคัญ หรือผู้มีอายุบางคนด้วยพิธีสู่บางศรีและผูกสายสิญจน์ข้อมือ การที่ต้อนรับบุคคล
    บางคนด้วยบายศรีและสายสิญจน์นั้น ตามหลักโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า บายศรีเป็นเครื่องสูง และเป็น
    เครื่องสัการะบูชาเทพย์เท่านั้น หากบุคคลผู้ใดได้รับการสักการะบูชาด้วยบายศรีแล้ว กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้น
    จะบังเกิดความอิ่มเอิบปิติยินดีเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันผู้นั้นจะเกิดพลังงานลึกลับทางจิตโดยผู้นั้น
    ไม่รู้สึกตัว เช่นเกิดความรู้สึกว่าร่างกายพองใหญ่ขึ้นกว่าเดิม บางขณะประเพณีของอินเดียโบราณได้กล่าว
    มาแล้ว มักจะกระทำการต้อนรับแก่บุคคลสำคัญๆ เท่านั้น เช่นกษัตริย์ผู้ครองนคร หรือกุฏราชกุมารหรือมเหษี
    ของพระมหากษัตริย์เป็นต้น นอกจากนั้นมักจะทำพิธีต้อนรับนักรบที่กระทำการรบได้ชัยชนะแก่ข้าศึก แต่
    บางกรณีใช้พิธีแก้ผู้เสียขวัญโดยประสพการณ์บางอย่างและเกิดความตกใจกลัวถึงขนาด ก็อาจใช้พิธีต้อนรับ
    กายิพทย์ด้วยบายศรีบ้างเหมือนกัน ส่วนสายสิญจน์ที่ใข้ผูกข้อมือนั้นก็เพื่อใช้เป็นสื่อติดต่อ กับายศรีเท่านั้น
    ทั้งนี้ก็เพื่อให้กายทิพย์ของบุคคลนั้นได้รับรู้ว่าตนถูกต้อนรับบูชาด้วยบายศรี

    ผู้ที่ฝึกจิตทางสมาธิจนกระทั่งบรรลุฌาณสมาบัติชั้นสูงแล้ว อาจจะถอดกายทิพย์ของตนเอง ออกจาก
    กายหยาบและสามารถท่องเที่ยวไปในระยะทางไกลๆ โดยไม่จำกัดระยะทางและสามารถพากายทิพย์ของ
    ผู้อื่นออกจากกายหยาบออกไปท่องเที่ยวไปในอวกาศได้ ดังตัวอย่างศาสตราจารย์พอลบรันตั้นได้ประสพ
    เหตุการณ์เหล่านี้ด้วยตัวเองมาแล้ว กล่าวคือโยคีมหาฤษีได้ถอดกายทิพย์ของศาสตราจารย์พอลบรันตั้น
    ขึ้นไปท่องเที่ยวในอวกาศ ชั่วขณะหนึ่ง ท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ได้กล่าวไว้เป็นหลักฐานในหนังสือชื่อ
    A SEARCH IN SECRET INDIA

    ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วเบื้องต้นว่า ตามหลักโยคะศาสตร์กล่าวว่า ระหว่างที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ในขณะที่
    กายทิพย์พาวิญญาณออกจากร่าง ทั้งเวลาหลับเวลาตื่นก็ดี จะมีสายใยชีวิต (VITAL FORCE CORD)
    เชื่องโยงระหว่างกายทิพย์และกายหยาบเหมือนเส้นใยแมลงมุม และเส้นใยชีวิตนี้จะยืดออกไปไกลได้
    โดยไม่จำกัดระยะความยาว และเส้นใยชีวิตนี้จะบังคับปราณต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานโดยปกติ เช่น
    หัวใจก็จะสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทำงานโดยปกติ ปอดก็จะทำหน้าหายใจตามปกติ เว้นแต่
    ผู้ฝึกจิตบรรลุสมาบัติขั้นสูงแล้ว หากจะบังคับกายทิพย์ของตน ออกจากร่างกายหยาบในเวลาตื่นๆ หัวใจก็ดี
    ปอดก็ดี วงจรของโลหิตของบุคคลผู้นั้นจะทำงานน้อยกว่าปกติ หากผู้ใดฝึกจิตทางสมาธิบรรลุถึงขึ้นจตุถฌาณ
    แล้ว เวลาถอดกายทิพย์ออกจากกายหยาบ ปอดของบุคคลผู้นั้น ทำงานน้อยที่สุด เกือบจะหยุดเอาเลย
    หัวใจก็เกือบจะหยุดเต้น วงจรของโลหิตก็จะหมุนเวียนช้าลง พวกโยคีที่บรรลุถึงขั้นจตุถฌาณสามารถบังคับ
    ปอดและหัวใจของตนให้หยุดทำงานได้นั้น ข้าพเจ้าเคยฟังจากปากคำมหาเศรษฐีทอดสลิค เมื่อคราวที่มหา
    เศรษฐีผู้นี้เดินทางเข้าพบกับข้าพเจ้า และนายแพทย์เชียรฟังว่า ท่านได้ทดลองให้โยคีบางองค์ในอินเดีย
    บังคับปอดให้หยุดทำงานโดยใช้เครื่องอีกเล็คตรอนิค และนายแพทย์ในคณะของท่านตรวจสอบ ปรากฏว่า
    โยคีเหล่านี้สามารถบังคับปอดให้หยุดทำงานครั้งหนึ่ง เป็นเวลาถึง ๑ ชั่วโมง ขณะที่ปอดของโยคีผู้นั้น
    หยุดหายใจนั้น นอกจากจะใช้เครื่องมือทางอีเล็คตรอนิคตรวจสอบแล้วยังได้ใช้แผนกกระจกรองที่รูจมูก
    ของโยคีผู้นั้นตลอดเวลา ปรากฏว่าที่แผ่นกระจกไม่มีไอน้ำออกมาเลย แสดงว่าโยคีผู้นั้นสามารถบังคับปอด
    ของตนให้หยุดทำงานได้จริงๆ และต่อมานายทอมสลิคขอให้โยคีผู้นั้นบังคับหัวใจให้หยุดเต้นโดยใช้
    เครื่องมืออีเล็คตรอนิค วัดการเต้นของหัวใจประกอบ และให้นายแพทย์คอยจับชีพจรของโยคีผู้นั้นอยู่
    ตลอดเวลา ปรากฏว่าเข็มซึ่งแสดงการเต้นของหัวใจในเครื่องมืออีเล็คตรอนิคหยุดสนิทไม่เต้นขึ้นเต้นลง
    เป็นเส้นขีดไปเฉยๆ และการตรวจสอบชีพจรของนายแพทย์ก็ปรากฏว่าชีพจรของโยคีผู้นั้นเต้นแผ่วเบาลง
    จนกระทั่งหยุด แสดงว่าหัวใจของโยคีผู้นั้น หยุดสนิทลงเป็นเวลากว่า ๓๐ นาที และต่อจากนั้นเมื่อโยคี
    ผู้นั้นลืมตาขึ้นปอดและหัวใจก็เริ่มทำงานเป็นปกติ นายแพทย์ผู้ที่ได้ร่วมทดสอบกับนายทอมสลิคได้ตรวจ
    อาการของโยคีผู้นั้น ในเวลาต่อมาก็ไม่ปรากฏว่ามีอาการผิดอย่างไรเกี่ยวกับร่างกายของโยคีผู้นั้น


    นายทอมสลิคได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าได้ถ่ายภาพยนต์เรื่องราวเหล่านี้ไว้โดยละเอียดทุกแง่ทุกมุม
    เพราะเป็นปรากฏการณ์ทางจิตชนิดหนึ่งซึ่งได้กล่าวไว้ในตำราโยคะศาสตร์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทางจิต
    ทางตะวันตกยังไม่มีผู้ใดค้นคว้าเข้าไปถึง และไม่สามารถจะปฏิบัติได้เช่น พวกโยคีในประเทศอินเดีย
    การที่ท่านมหาเศรษฐีผู้นี้ได้เดินทางมาพิสูจน์อิทธิปาฏิหาริย์ ของพวกโยคีในอินเดียดังกล่าวมาแล้ว
    ก็เพราะท่านสนใจในเรื่องราวลึบลับนี้ตั้งแต่ท่านมีอายุได้ ๑๔ ปี และท่านได้ค้นคว้าประมาณ ๓๐ ปี
    และพยายามนำเครื่องทางวิทยาศาสตร์มาใช้ประกอบในการค้นคว้าทดลองด้วยทุกครั้ง การที่ข้าพเจ้า
    ไว้นำเรื่องราวการทดสอบของมหาเศรษฐีทอมสลิคมากล่าว ณ ที่นี้ก็เพื่อแสดงให้ให้เห็นว่าเรื่องราวต่างๆ
    ที่กล่าวไว้ในหลักโยคะศาสตร์นั้น สามารถพิสูจน์ทดสอบได้ทางหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หาใช่เป็น
    เครื่องที่กล่าวไว้โดยปรากศจากมูลความจริงไม่ หลักฐานต่างๆ ซึ่งได้กล่าวไว้ในปรัชญาและคำสอน
    ของโยคะศาสตร์นั้น ท่านมหาเศรษฐีทอมสลิคผู้นี้ก็มีความสนใจเป็นอย่างมาก ถึงกับเดินทางมาพิสูจน์
    ข้อเท็จจริงเหล่านี้กับพวกโยคีในประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน โดยใช้
    นักวิทยาศาสตร์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องประกอบในการพิสูจน์ด้วยทุกครั้ง และได้ข้อมูล
    หลักฐานมากมายที่เชื่อถือได้ หลักปัชญาและคำสอนต่างๆ ของโยคะศาสตร์ก็ดี ของพุทธศาสนาก็ดี
    ยังเป็นเรื่องราวลึกลับซึ่งไม่สามารถจะนำหลักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาได้ยอมยกระดับไว้ในชั้นวิชา
    "ปรัชญา" (METAPHYSIC) ซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเราจะต้องค้นคว้าและนำออกมาตีปแผ่ต่อประชาชนต่อไป

    ๕. ทรรศนะของพุทธศาสนายอมรับว่ากายทิพย์มนุษย์มีจริงหรือไม่นั้น

    ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าในหลักฐานพระสูตรต่างๆ ของพุทธศาสนาโดยละเอียดแล้วได้พบข้อความตอนหนึ่ง
    ในสามัญญผลสูตรซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสเรื่องราวเกี่ยวกับกายทิพย์ของมนุษย์ความว่า

    "บุคคลผู้ถอกกายทิพย์ของตนออกจากายหยาบได้นั้น เสมือนหนึ่งการถอดไส้ของหญ้าปล้อง"

    และกายทิพย์ของมนุษย์หรือกายทิพย์ของพวกโอปปาติกะนั้น ศัพย์ทางพุทธศาสนาเรียกว่า
    "อทิสมานกาย" หรือแปลว่ากายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เรื่องราวของกายทิพย์ของมนุษย์นั้นทรรศนะ
    ของพุทธศาสนา ก็ยอมรับว่าเป็นความจริงตามที่ได้กล่าวไว้ในวิชาโยคะ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะพระสัมมา
    สัมพุทธเจ้า ทรงเห็นว่าเป็นเรื่องของโลกียวิชา ไม่จำต้องนำมากล่าวไว้ในหลักธรรมของพุทธศาสนา
    และอีกประหนึ่ง เป็นเรื่องลึกลับยากที่บุคคลธรรมดาจะเข้าใจได้ เว้นแต่ผู้ที่ปฏิบัติจิตทางสมาธิ จนกระทั่ง
    บรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วเท่านั้น จึงสามารถล่วงรู้และเข้าใจสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ได้ ดังเช่น
    ตัวอย่างภิกษุในพุทธศาสนาบางองค์ซึ่งสามารถรู้วันมรณะกรรม ล่วงหน้าดังกล่าวมาแล้ว

    เรื่องสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่างกายหยาบและกายทิพย์ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่ามีความสำคัญ
    อย่างยิ่งในการที่จะบังคับปราณต่างๆ ให้ทำงาน ตามปกติในขณะที่กายทิพย์พาวิญญาณแยกออก หาก
    เส้นใยชีวิตขาดสบั้นออกจากกันเมื่อใดแล้ว ผู้นั้นจะถึงแก่กรรมทันที่ ฉะนั้นข้าพเจ้าใคร่ขอเตื่อนผู้ที่ฝึกจิต
    ทางสมาธิใหม่ๆ หรือผู้ที่ฝึกจิตทางสมาธิสมถกัมมัฏฐาน หรือวิปัสนากรรมมัฏฐานบางท่านกับคณาจารย์
    ที่ไม่มีความรู้ถึงสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ และวิญญาณของมนุษย์เมื่อศิษย์ของตนได้สมาธิเพียงขั้นต้น
    ก็เริ่มพากายทิพย์และวิญญาณออกท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ โดยใช้กายทิพย์ของตนเป็นผู้พา ครั้นศิษย์ผู้นั้น
    อยู่ลำพังก็เกิดการอย่างรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆ ซึ่งตนไม่เคยเห็นด้วยตาเปล่า จึงถอดกายทิพย์ของตน
    ออกท่องเที่ยวโดยลำพัง หากศิษย์ผู้นั้นฝึกจิตทางสมาธิยังไม่ได้โดยสมบูรณ์ กายทิพย์ของศิษย์ผู้นั้น
    ได้ออกจากกายหยาบไปไกลเกินกว่าพลังงานของจิตจะควบคุมถึงสายใยของตนได้ เส้นสายใยชีวิตอาจจะ
    ขาดสบั้นลงได้ และศิษย์ผู้นั้นก็จะถึงแก่กรรมทันที ถึงเรามักจะได้ยินข่าวเสมอว่าบางท่านนั่งทางฝึกจิต
    ทางสมาธิตามหลักสมถกัมมัฏฐาน หรือวิปัสนากัมมัฏฐานได้ถึงแก่กรรมไปเฉยๆ ในขณะที่นั่งฝึกจิตทางสมาธิ
    ทั้งๆ ที่ท่านผู้นั้นไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อนเลย การชันสูตร์ศพตามหลักแพทย์แผนปัจจุบันก็คงสรุปความเห็นว่า
    ผู้นั้นถึงแก่กรรมโดยหัวใจวาย " แต่เรื่องราวซึ่งลึกลับซับซ้อนเกี่ยวกับสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่าง
    กายทิพย์กับกายหยาบได้ขาดสบั่นลง เนื่องจากบุคคลผู้นั้นออกท่องเที่ยวไปในระยะไกลเกินสมควร
    ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ทำให้ผู้นั้นมรณะกรรมนั้น แพทย์แผนปัจจุบันไม่มีทางทราบได้เลย แต่การมรณะกรรม
    ของบุคคลผู้เคราะห์ร้ายในแบบนี้ หากขอร้องให้ผู้เชี่ยวชาญทางฌาณสมาบัติตามกายทิพย์ผู้นั้นให้กลับคืน
    เข้ากายหยาบและต่อเส้นใยชีวิต ให้ติดตามเดินผู้นั้นอาจกลับฟื้นชีวิตขึ้นมาอีกก็ได้ บุคคลที่ประสพมรณะกรรม
    ลักษณะดังกล่าวมาแล้วอาจารย์โยคีของข้าพเจ้าท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยช่วยชีวิตบุคคลเหล่านี้ให้กลับฟื้น
    ชีวิตมาแล้วหลายรายด้วยกัน หากแจ้งเหตุให้ท่านทราบทันก่อนที่กายหยาบของบุคคลผู้นั้นจะเสื่อมสลาย
    เสียก่อน แต่สำหรับผู้ที่ฝึกจิตบรรลุถึงขั้นฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วย่อมมีพลังงานทางจิตควบคุมสายใยชีวิต
    ของตนได้ แม้กายทิพย์จะพาวิญญาณแยกออกจากกายหยาบเป็นระยะไกลสักเพียงใดก็ตาม สายใยชีวิต
    ของบุคคลผู้นั้นจะไม่มีวันขาดสบั้นอย่างเด็ดขาดเพราะสามารถบังคับควบคุมกายทิพย์ของตน ให้กลับเข้า
    ร่างกายหยาบเมื่อไรก็ได้ตามแต่จิตปราถนา

    ตัวอย่างเช่นโยคีบางคนในประเทศอินเดียสามารถฝังตัวเองลึงลงใต้พื้นอินถึง ๑๐๐ ฟุต เป็นเวลาถึง
    ๖๐ วัน ครั้นเมื่อครบกำหนดแล้วสานุศิษย์ได้ขุดร่างโยคีผู้นั้นขึ้นมากระทำปฐมพยายาลเพียงชั่วครู่เดียว
    โยคีผู้นั้นก็กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาตามเดิม การที่โยคีเหล่านี้สามารถฝังตัวเองอยู่ภายใต้พื้นดินที่ลึกถึง ๑๐ ฟุต
    เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน และสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้นั้น เมื่อพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์กายภาพ
    และชีวะภาพแล้ว ย่อมจะไม่อาจให้คำตอบได้ว่า เหตุใดมนุษย์เราขาดอาหาร น้ำ และอ๊อกซิเย่นสำหรับ
    หายใจเป็นเวลาถึง ๖๐ วัน จึงยังไม่ถึงแก่กรรม เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องลึกลับมืดมนสำหรับหลักวิชาทาง
    วิทยาศาสตร์ หากเราได้ศึกษาค้นคว้าวิชาโยคะแล้วเราก็อาจให้คำตอบได้ทันที กล่าวคือการที่โยคีบางคน
    สามารถฝังตัวเอง อยู่ใต้ฟื้นดินลึก ๑๐ ฟุต เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน โดยไม่ต้องรับประทานอาหารและน้ำและ
    ไม่ต้องการอาหารและน้ำ และไม่ต้องการอ๊อกซิเย่นสำหรับหายใจเลย แต่ก็มีชีวิตอยู่ได้ตลอดมา ก็เพราะ
    โยคีเหล่านี้ฝึกจิตของตนบรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูง และสามารถแยกกายทิพย์และวิญญาณของตนออกจาก
    กายหยาบชั่วขณะหนึ่งระยะที่กายทิพย์และวิญญาณของโยคีผู้นั้นแยกออก ระหว่างกายทิพย์กับกายหยาบ
    บังคับให้ปราณในร่างกายทำงานตามปกติ แต่ทำงานอ่อนลงเกือบจะหยุด เช่นปอดและหัวใจทำงานช้าลง
    เกือบจะหยุด เมื่ออวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายถูกบังคับให้ทำงานช้าลงและน้อยลงกว่าปกติหลายสิบเท่า ปอดก็ไม่ต้องการอ๊อกซิเย่นเพิ่มเติมไปเลี้ยงร่างกายอีก และหัวใจเต้นช้าลงเกือบจะหยุดวงจรโลหิตก็
    ไหลเวียนช้าลง ร่างกายจึงไม่ต้องการอาหารและน้ำเข้าหล่อเลี้ยงร่างกายชั่วขณะหนึ่ง ในระหว่างที่อวัยวะ
    ต่างๆ ถูกบังคับให้ทำงานช้าลงกว่าปกติหลายสิบเท่านั้น ก็ไม่ต้องการสิ่งที่ร่างกายต้องการเพิ่มเติมเข้าไปอีก
    แต่ในระยะนี้ร่างกายได้สิ่งต่างๆ ที่ร่างกายต้องการที่มีอยู่เดิมหล่อเลี้ยงร่างกาย ไปชั่วขณะหนึ่ง ในระหว่างนั้น
    ชีวิตของโยคีผู้นั้น จึงดำรงค์อยู่ได้ไม่แตกดับ ครั้นเมื่อครบกำหนดวันนัดหมายสานุศิษย์ได้ขุดร่างโยคีผู้นั้น
    มาจากพื้นดิน กายทิพย์และวิญญาณของโยคีผู้นั้นก็กลับเข้าในร่างเดิม อวัยวะทุกส่วนของร่างกายก็เริ่ม
    ทำงานตามปกติ โยคีผู้นั้นก็จะฟื้นคืนสติตามเดิม สิ่งสำคัญที่สานุศิษย์จะต้องช่วยเหลือโดยด่วน ก็คือการทำ
    ปฐมพยาบาล โดยใช้น้ำมันระกำชโลมให้ทั่วตัวเพื่อช่วยให้วงจรของโลหิตเดิมสะดวก และอาหารครั้งแรก
    ที่รับประทานก็คือน้ำส้มคั้น ผสมน้ำอุ่นๆ เพื่อ ช่วยกระตุ้นหัวใจและร่างกายทั่วไปให้เกิดความสดชื่น แต่มี
    บางรายเมื่อขุดจากพื้นดินเมื่อถึงกำหนดนัดแล้วโยคีผู้นั้นกลับถึงแก่กรรมไปเลยก็มี ทั้งนี้ เพราะโยคีผู้นั้น
    ยังมีกะแสร์จิตเข้มแข็งไม่พอจะบังคับสายใยชีวิตและกายทิพย์ของตนได้กายทิพย์และวิญญาณจึงกลับ
    เข้าร่างหยาบก่อนกำหนดวัดนัดหมายที่จะขุดร่างขึ้นจากพื้นดิน เมื่อกายทิพย์และวิญญาณกลับเข้าร่างหยาบ
    ในขณะที่ร่างยังถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินนั้น อวัยวะในร่างกายของโยคีผู้นั้นก็เริ่มทำงานตามปกติร่างกายจึงต้องการ
    อาหาร น้ำ และอ๊อกซิเย่นไปหล่อเลี้ยง เมื่อขาดสิ่งเหล่านี้ร่างกายของโยคีผู้นั้นก็ทนอยู่ไม่ได้ต้องแตกดับ
    ไปในที่สุด


    ภิกษุอรหันต์รู้วันมรณภาพ


    คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก ภิกษุผู้เคร่งครัดต่อธรรมวินัย ยากยิ่งจะหา
    ภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันนี้ปฏิบัติได้เสมอเหมือนท่านเจ้าคุณนรรัตนฯหาได้ไม่ ผู้ที่ได้พบประสนทนา และได้ยิน
    กิตติศัพท์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ต่างก็โมทนาสาธุยกย่องให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นภิกษุอรหันต์ในยุคนี้
    เพราะพฤติการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏแก่สายตาทั้งทางด้านธรรมวินัย และทางด้านอภินิหารนับเป็นปรากฏการณ์
    ประหลาดมหัศจรรย์ยิ่ง แม้แต่เกจิอาจารย์ผู้คงแก่เรียนในยุคนี้ก็ไม่สามารถกระทำได้เยี่ยงอย่าง ท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนฯ หาได้ไม่ และท่านเจ้าคุณนรรตันฯ ท่านก็เป็นภิกษุสงฆ์ที่ตัดแล้วด้วยกิเลสนานาประการ ยศถา
    บรรดาศักดิ์ทางสงฆ์ ท่านก็มิได้ปรารถนาผิดกับภิกษุสงฆ์บางรูป พอเริ่มห่มผ้าเหลืองเพียงไม่กี่พรรษา เป็น
    ที่นับหน้าถือตาของบรรดาญาติโยม ก็เพียรพยายามหายศประดับบารมีเสียแล้ว แม้แต่จะต้องเสียเงินเสียทอง
    เพื่อได้ตำแหน่งยศมาประดับบารมีก็ยังต้องยอม และยิ่งมีญาติโยมก้มกราบเรียกขานว่า "ท่านอาจารย์" หรือ
    "หลวงพ่อ" ด้วยแล้วมีความปลาบปลื้มปิติยินดีอย่างล้นพ้น ผิดกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไม่ว่าใครที่เข้าไป
    พบประสนทนา จะเรียกขานท่านว่า "ท่านอาจารย์" หรือ "หลวงพ่อ" แล้วท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะเอ่ยปาก
    บอกญาติโยมทันทีว่า

    "ที่นี้ไม่มีอาจารย์และไม่มีหลวงพ่อหรอกโยม ที่มีอาจารย์และหลวงพ่อนั้นมีที่วัดอื่น
    ไม่ใช่ที่วัดเทพศิรินทร์"


    นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ตลอด ๔๕ พรรษาที่ครองเพศบรรพชิตของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มิได้
    มีอะไรด่างพร้อยให้ปรากฏในวงการพุทธศาสนาเลยแม้แต่น้อย กลับเป็นตัวอย่างอันดีงามของภิกษุสงฆ์
    ที่ครองเพศบรรพชิตควรยืดถือ เป็นเยี่ยงอย่างอีกด้วยและท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก รูปนี้ก็ยังรู้วัน
    มรณภาพของท่าน ดังปรากฏการณ์ที่ข้าพเจ้าจะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านเจ้าคุณนรรัตนได้ถูกโรคร้ายเข้าแทรกซึมในร่างกาย อีกครั้งหนึ่ง
    นั่นก็คือฝีปรากฏขึ้นที่คอด้านซ้าย เป็นเม็ดแดงระเรื่อ แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ กลับรู้สึกเฉยๆ เหมือนไม่มี
    อะไรเกิดขึ้นกับตัวท่านเลย ถ้าเป็นอย่างมนุษย์ปุถุชนเช่นเรา-ท่านละก็ต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
    อย่ารวดร้าวแสนสาหัสทีเดียว และจะต้องวิ่งเข้าโรงพยาบาลอย่างไม่มีปัญหา แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ไม่อนาทรร้อนใจด้วยโรคร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเลย ท่านใช้กระแสร์จิตอันแก่กล้าและญาณขั้นสูงสุด
    พินิจพิจารณา ท่านก็สามารถทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


    ลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นนายแพทย์ชั้นปริญญาหลายท่านได้แสดงความปริวิตก และต่างก็ขันอาสา
    พยาบาลกันมากมาย แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้ปฏิเสธไปทุกรายมิยอมฉันหยูกยาใดๆ ทั้งสิ้นที่มีผู้นำ
    มาให้ ได้แต่บอกแก่ผู้หวังดีทุกคนไปว่า


    "ฝีที่เกิดขึ้นเรียกว่าฝีสบาย เขามาอาศัยร่างอาตมาอยู่เท่านั้น เมื่อถึงกำหนดฝีนี้ก็จะแตกเอง
    และหายไปพร้อมกับอาตมา ขอให้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง"

    ด้วยคำพูดที่เป็นปริศนาและให้คิดเป็นการบ้านของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ประโยคนี้เอง ทำให้พระภิกษุ
    สงฆ์สามเณรในวัดเทพศิริทร์และประชาชนที่เลื่อมในศรัทธาท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ต่างปริวิตกไปตามๆกัน
    และก็เฝ้ารอวินาทีที่ฝีแตกจะเกิดขึ้น

    ผลที่สุดวินาทีวิกฤตที่ทุกคนเฝ้ารอคอยก็ปรากฏขึ้นในปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ฝีที่คอท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    แตกแล้ว แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิได้แสดงความเจ็บปวดรวดร้าวอะไรออกมาให้ญาติโยมพบเห็น
    เลยแม้แต่น้อย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังปฏิบัติลงโบสถ์ทำวัตรเช้า-เย็น และสนทนาปราศรัยกับญาติโยม
    ธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ศาสตราจารย์นายแพทย์ที่เลื่อมใสศรัทธาเจ้าคุณนรรัตนฯ หลายท่าน ต่างก็ยื่นความจำนงขอเป็นผู้รักษา
    หาหยูกยามาถวาย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ตอบปฏิเสธอีกเช่นเคย และไม่ยอมฉันหยูกยาเลยแม้แต่อย่างเดียว
    ไม่แต่บอกว่า

    "สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาเองได้ มันก็ต้องหายไปเองได้เช่นกัน"

    ความเรื่องนี้ได้ล่วงไปถึงพระกรรณของสมเด็จพะนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมีความประสงค์
    จะให้ศาสตราจารย์นายแพทย์มาทำการรักษาให้ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯก็ได้ตอบปฏิเสธอีกเช่นเคย

    ครั้งที่สองสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมส่วนพระองค์
    พร้อมด้วยเจ้าฟ้าหญิงและราชองครักษ์ เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ คราวนี้ท่านเจ้าคุณนรรัตน
    ได้กราบบังคมทูลเป็นลางว่า

    "อาตมาเห็นจะต้องขอลาแล้ว"

    นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนสามารถล่วงรู้วันมรณภาพของท่านด้วยญาณชั้นสูงจริงๆ

    ผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดท่านเจ้าคุณนรรัตนเห็นจะไม่มีใครเกิน ปลัด อำเภอ โท โกศล ปัทมะสมุนทร
    บุตรชายนางเลื่อน ปัทมะสมุนทร ซึ่งเป็นน้องสาวของท่านเจ้าคุณนรรัตนนั่นเองเมื่อปลัดโกศลได้ทราบ
    ข่าวว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฝีที่คอแตกแล้ว ก็ได้เดินทางมาปรนนิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิดในพระอุโบสถ
    วัดเทพศิรินทร์ทุกวันมิได้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว นับวันฝีคอของท่านเจ้าคุณนรรัตน ก็ได้แตกลุกลาม
    เป็นที่น่าสังเวชแก่ผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก ท่านเจ้าคุณนรรัตนจึงได้เอ่ยปากถามหลานชายโกศลว่า

    "ทำการชำระแผลให้อาตมาได้ไหม"

    ปลัดโกศลหลายชายจึงตอบรับคำว่าทำได้ทันที แล้วจึงรีบเดินทางไปขอคำแนะนำจาก พ.ต.ไพบูลย์
    บุษปธำรง นายแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พร้อมกับปรับน้ำยาชำระแผลมาทำการชำระแผล ให้แก่
    เจ้าคุณลุงท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทุกวันจนกระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ ๒ ม.ค. พ.ศ. ๒๕๑๔ หลังจากที่คุณโกศล
    ได้ทำการชำระแผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้เอ่ยปากกับคุณโกศลว่า

    "หลานอยากได้ของดีจากอาตมาก็ให้ไปเก็บก้อนกรวดที่อำเภอบางบ่อมาอาตมาจะเสกให้"


    ปลัดโกศลเมื่อได้ยินท่านเจ้าคุณลุงเอ่ยเช่นนั้นก็นึกแปลกใจ เพราะแต่ก่อนก็เคยได้ยินกิติศัพท์ว่าของดี
    ที่ท่านคุณลุงปลุกเสกมีอภินิหาร ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่มหาชนเป็นจำนวนมาก ตัวเขาเองก็เคยมา
    ขอจากเจ้าคุณลุง เจ้าคุณลุงก็บอกว่าตัวท่านก็ไม่มีเลยถ้าอยากได้ก็ขอให้ไปขอจากท่านเจ้าคุณอุดมเป็นผู้สร้าง
    และเจ้าคุณลุงก็ยังกำชับอีกว่าไปเอาของเขาฟรีๆ นะบริจาคเงินด้วยเพื่อจะได้ไปสร้างกุศล แต่มาวันนี้เจ้าคุณลุง
    กลับบอกให้ไปเก็บก้อนกรวดมา เจ้าคุณลุงจะเสกของดีให้ ปลัดโกศลจึงนึกแปลกใจและดีใจระคนกัน จึงได้
    ตอบไปว่า ที่บางบ่อไม่มีกรวดทรายครับจะไปเอาที่เมืองชลหรือสมุทรสงครามได้ไหม? เจ้าคุณนรรัตนฯ
    ได้ตอบว่า จะไปเอาที่อื่นไม่ได้เพราะชื่อไม่ดีต้องที่บางบ่อ เพราะเป็นบ่อเงินบ่อทองและจังหวัดสมุทรปราการ
    ก็เป็นชื่อไพเราะและเป็นศิริมงคล ให้ไปเที่ยวหาดูต้องมีแน่นอน


    รุ่งขึ้นวันอาทิตย์คุณโศลจึงขับรถเที่ยวตะเวนหาก้อนกรวดจนทั่ว บางบ่อก็หาไม่พบเลยจนกระทั่งขับรถ
    มาบริเวณทางเข้าบางบ่อ ใกล้สะพานคลองเจ้าจึงก้อนทรายกองอยู่ จึงเข้าไปค้นหาดูได้ก้อนกรวดมาถุงหนึ่ง
    รุ่งขึ้นวันจันทร์จึงนับไป ๙ ก้อน จึงนำไปให้เจ้าคุณนรรัตนฯ ปลุกเสกท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้ปลุกเสกอยู่
    ประมาณ ๑๕ นาทีก็มอบให้คุณโกศลและมอบให้ไปแจกลูกๆ หลานๆ เพื่อห้อยคอไว้แล้วก็บอกให้นำก้อนกรวด
    มาให้อีกจะเสกให้


    รุ่งขึ้นคุณโกศลก็นำก้อนกรวดใส่ถุงมาถุงหนึ่งให้เจ้าคุณนรรัตนฯ เสกอีก หลังจากทำวัตรเย็นและชำระแผล
    เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯทำการปลุกเสก ก้อนกรวดเสร็จแล้ว จึงได้บอกหลานชายโกศลว่า

    "ของนี้เป็นของดี มีคุณค่ามากเรียกว่าพ่อแม่ธรณีปัฐวีธาตุ ซึ่งมีจิตเมตตาใครจะเหยียบย่ำทำสิ่งไรก็ไม่ว่า
    ประดุจกับพ่อแม่ของเราที่รักลูกและเมตตากรุณาลูกทุกคน ฉะนั้นก้อนกรวดนี้จึงมีอนุภาพศักดิ์สิทธิ์มากสามารถ
    กันนิวเคลียร์ได้อีกด้วย และจะมอบให้กับใครก็จงให้แก่ผู้ที่เขาเลื่อมใสศรัทธาให้เอาก้อนกรวดนี้วางไว้ตรงรูป
    ใบโพธิ์ เขียนตัว "น" และเขียน อุ ไว้บนตัว น. แล้วเขียนชื่อเจ้าของก้อนกรวดไว้ข้างใต้ให้เลี่ยมห้อยคอไว้
    จะเกิดศิริมงคล"


    " พอเจ้าคุณลุงมอบก้อนกรวดเสกให้ผมลูกศิษย์ลูกหาของท่านเจ้าคุณที่นั่งอยู่ในโบสถ์ก็รุมเข้ามาขอกันใหญ่
    ผมก็แจกให้ทุกคน และเจ้าคุณลุงก็บอกให้ผมไปเอามาอีกจะเสกให้ ผมก็ขับรถไปที่บางบ่อ เอามาให้เจ้าคุณลุง
    เสกอีก แต่ผมไม่กล้าให้มากเพราะกลัวเจ้าคุณลุงหนัก เพราะท่านต้องยกอุ้มไว้ในมือต่อมาเมื่อวัน พฤหัสบดีที่
    ๗ ม.ค. หลังจากที่เจ้าคุณลุงเสกก้อนกรวดเสร็จแล้วเจ้าคุณลุงก็บ่นว่าวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายเหนื่อยเหลือเกิน
    เจ้าคุณลุงจึงรีบกลับกุฎิทันที พอรุ่งขึ้นเช้าที่ ๘ ม.ค. ๑๔ ลูกชายและลูกสาวผมไปส่งอาหารเป็นประจำ
    เจ้าคุณลุงไม่รับปิ่นโตบอกว่าวันนี้ไม่ฉัน และให้ไปบอกพระข้างกุฎิด้วยว่าวันนี้ไม่ลงโบสถ์ ลูกชายลูกสาว
    กลับไปบ้านโทรบอกผม ผมก็ใจหายวูบทันที เพราะท่านเจ้าคุณลุงเคยบอกว่าวันไหนที่ท่านไม่ลงโบสถ์ ก็
    หมายถึงท่านได้สิ้นชีวิตเสียแล้ว พอตกเย็น ผมก็รีบไปที่โบสถ์เพื่อชำระแผลให้เจ้าคุณลุงเป็นกิจวัตร แต่ก็ไม่
    พบท่านเจ้าคุณลุง ผมจึงสังหรณ์ใจว่าท่านเจ้าคุณลุงมรภาพอย่างแน่นอน "


    นี้ก็เป็นปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก ได้ล่วงรู้วันมรณภาพ
    ของท่านเองได้

    และก็เป็นจริงดังที่ปลัดโกศลคิดไว้ ภิกษุสามเณรในวัดเทพศิรินทร์ได้ทำวัตรเย็นและทราบว่าท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนฯไม่ลงทำวัตรเย็น ต่างก็ปริวิตกไปต่างๆนาๆ ว่าเจ้าคุณนรรัตนฯคงถึงมรณภาพอย่างแน่นอน เพราะ
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เคยพูดเสมอว่า "ถ้าอาตมาขาดทำวัตรเมื่อใด นั้นก็หมายความว่าอาตมาสิ้นลมหายใจแล้ว"


    ครั้นมาถึงเวลา ๑๙.00 น. เศษ ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ จึงได้ปรึกษากับท่านมหาเสริม พ.ต. ไพบูลย์
    บุษปธำรง และปลัดโกศลว่า สมควรจะขึ้นไปเยี่ยมท่านเจาคุณนรรตัน ทุกคนต่างก็ลงความเห็นกัน จึงได้พากัน
    ไปฏิท่านเจ้าคุณนรรัตนทันที





    เมื่อท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณได้พากันเดินไปถึงกฎิท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนก็ได้ผลักประตูชั้นล่างเข้าไป ปรากฏว่าประตูมิได้ลงกลอน
    ครั้นขึ้นไปชั้นบนก็เห็นประตูปิดอยู่เมื่อเอามือผลักดูปรากฏว่าเปิดได้ง่าย
    มิได้ลงกลอนเช่นเดียวกัน และได้พบท่าน เจ้าคุณนรรัตนนอนอยู่ในมุ้ง
    อย่างสงบเงียบอยู่ในท่านอนหลับปกติ ครั้นท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ
    เอามือไปจับท่านเจ้าคุณนรรัตนก็ยังมีไออุ่นอยู่ พ.ต.ไพบูลย์ บุษปธำรง
    ได้เข้าไปตรวจดูจึงได้ทราบว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนสิ้นลมหายใจเสียแล้ว
    เมื่อเวลาประมาณ๑๑.๐๐น. เศษ ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ จึงได้จัดการ
    รดน้ำศพในวันรุ่งขึ้น ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ได้มีแขกผู้มีเกียรติ
    และบรรดาญาติมิตรและผู้ที่เลื่อมใสศรัทธามารดน้ำศพ กันอย่างคับคั่ง
    ต่างหลั่งน้ำตาด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อท่านเจ้าคุณนรรัตน นับเป็น
    ภาพเหตุการณ์ที่เศร้าสลดอย่างสุดซึ้งที่จะหาดูอีกไม่ได้แล้ว

    หลังจากได้จัดการรดน้ำศพท่านเจ้าคุณนรรัตนเสร็จเรียบร้อยก็ได้นำศพ
    ท่านเจ้าคุณนรรัตน บรรจุในหีบศพของท่านเจ้าคุณนรรัตน และทางพิธีหลวง
    ก็ได้จัดนำโกฎชั้นพระยามาตั้งประดับไว้ที่ศาลาละมูล มีนะนันท์ กุฎิของท่าน
    เจ้าคุณอุดมสารโสภณนั่นอง และได้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายตำรวจ
    นายทหาร ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน มาแจ้งความจำนงขอเป็นเจ้าภาพ
    สวดพระอภิธรรมศพท่านเจ้าคุณนรรัตนทุกวันจนครบ ๑๐๐ วัน แม้แต่สมเด็จ
    พระนางเจ้า ฯ บรมราชินีนาถ ก็ยังเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นเจ้าภาพสวด
    พระอภิธรรมศพท่านเจ้าคุณนรรัตนด้วยเหมือนกัน




    ดังได้กล่าวแล้วว่า เครื่องรางของขลังที่ได้ผ่านการปลุกเสกจากท่าน
    เจ้าคุณนรรัตนแล้วจะเกิดพลังอานุภาพ ศักดิ์สิทธิ์ให้ปรากฏอยู่เสมอ ดังนั้น
    ปัฐวีธาตุที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนปลุกเสกให้แก่หลานปลัดโกศลก็เช่นกัน ก็ได้
    ก่ออภินิหารให้ปรากฏ กล่าวคือ หลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนปลุกเสกปัฐวีธาตุ
    ให้แก่ปลัดโกศลแล้ว ปลัดโกศล ได้นำแจกจ่ายแก่ผู้เลื่อมใสศรัทธาใน
    จำนวนนี้มีภรรยาของ พล.อ.ต. ชู สุทธ์โชติ เจ้ากรมอากาศโยธินผู้หนึ่งที่ได้
    รับปัฐวีธาตุไปบูชาใส่ไว้ในพานรวมอยู่กับแก้วโป่งข่าม ที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา
    เพียงวันเดียวเท่านั้นก็ปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อภรรยา พต.อ.ต. ชู
    ได้เข้าไปบูชาพระเป็นกิจวัตรทุกเย็นก็ได้พบปัฐวีธาตุตกลงมากองอยู่กับพื้น
    ข้างล่าง ภรรยา พล.อ.ต. ชู ก็มิได้เกิดความสงสัยประการใด คงเข้าใจว่า
    เด็กรับใช้ทำความสะอาดอาจทำตกลงมาก็ได้ จึงได้หยิบปัฐวีธาตุขึ้นใส่พาน
    ไว้อย่างเดิม รุ่งขึ้นตอนเย็นก็เข้าห้องบูชาพระอย่างเคยก็พบปัฐวีธาตุตกลงมา
    กองอยู่กับพื้นข้างล่างอีก จึงเกิดเอะใจขึ้นแต่ก็มิได้แพร่งพรายให้ใครทราบ
    แล้วเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นอีกเสมอ จนภรรยา พต.อ.ต. ชู
    เกิดความสงสัยจึงนำความเรื่องนี้ไปบอกกับสามี และปรึกษากันว่า ปัฐวีธาตุนี้
    เป็นของสูงมิคู่ควรจะอยู่รวมกับแก้วโป่งข่าม จึงได้ตัดสินใจนำเอาแก้วโป่งข่าม
    ออกจากพาน นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาปัฐวีธาตุมิได้ตกลงมากองกับพื้นขั้นล่าง
    อีกเลย


    และปัฐวีธาตุที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนปลุกเสกให้แก่หลานปลัดโกศลก่อนจะถึงวันมรณกรรมเพียงวันเดียว ปลัดโกศลได้มอบให้นางจำเนียนภรรยาทูลเกล้าถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อคราวเสร็จ
    พระราชดำเนินมาเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพเจ้าคุณนรรัตน เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ สมเด็จ
    พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้มีกระแสร์รับสั่งว่า "ขอบใจจ๊ะ" เพราะทรงทราบว่าเป็นของที่ท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนปลุกเสกเอง
    พระเถระผู้ทรงคุณธรรมเป็นพิเศษในอดีตเป็นอันมาก เมื่อจะถือกำเนิดในครรภ์โยมมารดานั้น มักจะสำแดงนิมิตให้ปรากฏแก่โยมบิดาและโยมมารดาต่าง ๆ กัน เป็นต้นว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเถระ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสองค์สำคัญยิ่ง ซึ่งเป็นสมเด็จอุปัชฌาย์ของ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,289
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ประวัติ เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ

    photo.jpg
    เธอผู้ไม่แพ้ ตลอดกาล

    Published on Nov 3, 2014

    พระกรรมฐานกลางกรุง 1

    พระกรรมฐานกลางกรุง 2

    พระกรรมฐานกลางกรุง 3


    วิถีแห่งความรู้ คู่จักรวาล :-
    Published on Aug 19, 2015

    เสียงหนังสือ ท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ (เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต) พระกรรมฐานกลางกรุง
    จากบันทึกของ คุณดำเกิง สงวนสัตย์
    ให้เสียงอ่านโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล



     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,289
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018

แชร์หน้านี้

Loading...