เจ้าจอมสดับ..ในรัชกาลที่๕..ผู้ถวายความจงรักภักดีจนลมหายใจสุดท้าย

ในห้อง 'ในหลวงกับพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 27 ตุลาคม 2009.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เจ้าจอมสดับ ในรัชกาลที่ 5...ผู้ถวายความจงรักภักดีจนลมหายใจสุดท้าย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>23 ตุลาคม 2552 12:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=272 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=272>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>แสงเทียนเจิดจ้าตัดกับความมืดสลัว ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ทุกค่ำคืนจะมีบรรดาพสกนิกรหลากหลายอาชีพ มานั่งสวดคาถาชินบัญชรเพื่อถวายความจงรักภักดีแด่องค์รัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยอย่างอเนกอนันต์

    คำว่า “ จงรักภักดี” มีความหมายมากมายเพียงใดนั้น สัมผัสได้จากผู้หญิงคนนี้... เจ้าจอมสดับในรัชกาลที่ 5 เนื่องด้วยตลอดชีวิต 93 ปีของท่าน ไม่มีวันใดที่จะหยุดแสดงความเทิดทูนจงรักภักดีในฐานะภริยาและข้าของแผ่นดิน

    ** ชีวิตในวังหลวง

    หม่อมราชวงศ์สดับ นามเดิมว่า “ สั้น” เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2433 ที่วังกรมหมื่นภูมินทรภักดี หรือวังท่าเตียน ย่านปากคลองตลาด เป็นธิดาของหม่อมเจ้าเพิ่ม ลดาวัลย์ ในกรมหมื่นภูมินทรภักดี และหม่อมช้อย

    ครั้นเมื่อท่านเจริญวัยอายุได้ 11 ขวบ หม่อมเจ้าเพิ่มลาออกจากราชการในตำแหน่งปลัดทูลฉลองกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และย้ายครอบครัวไปอยู่เมืองราชบุรี จึงได้นำธิดาคนนี้ไปอยู่ในวังของพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ พระอัครชายา ต่อมาสมเด็จหญิงพระองค์ใหญ่ (เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร กรุมขุนพิจิตรเจษฏ์จันทร์) พระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 ได้ประทานนามใหม่ว่า “สดับ”

    ชีวิตในพระบรมมหาราชวังนั้น ม.ร.ว.สดับได้รับการอุปถัมภ์อยู่ในตำหนักพระวิมาดาเธอฯ เยี่ยงพระญาติ โดยโปรดให้เรียนหนังสือจากครูทั้งภาษาไทยและอังกฤษ รวมถึงฝึกหัดให้เป็นกุลสตรีชาววังที่จะต้องเรียนรู้ทั้งด้านงานฝีมือ เครื่องอาหารคาวหวาน

    ด้วยเป็นเด็กหญิงที่คล่องแคล่วทะมัดทะแมงเฉลียวฉลาด จึงเป็นที่โปรดปรานของเจ้านายทุกพระองค์ โดยท่านมีหน้าที่ตามเสด็จพระวิมาดาเธอฯ ในกระบวนเสด็จทุกงาน ซึ่งท่านได้บันทึกถึงความรู้สึกในช่วงนั้นว่าสนุกสนานมาก เพราะได้แต่งตัวสวยและได้ออกงานกับเจ้านาย




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=236 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=236>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>** “แม่เสียงเพราะเอย...”

    ม.ร.ว.สดับ มาเรียนรู้เรื่องดนตรีและขับร้องเพลงเมื่อตอนอายุ 14 ปี ด้วยเหตุที่รัชกาลที่ 5 ทรงประชวรเมื่อปี 2447 พระวิมาดาเธอฯ จึงทูลเชิญเสด็จมาประทับที่พระที่นั่งวิมานเมฆ โดยจัดการทุกสิ่งทุกอย่างถวายเพื่อทรงสำราญพระทัย ซึ่งนอกจากเรื่องเครื่องเสวยแล้ว ยังทรงให้ข้าหลวงที่ร้องเพลงเป็นจัดเป็นกลุ่มขึ้นขับร้องเพลงถวาย เริ่มตั้งแต่ 3 ทุ่มไปจนถึง 2ยาม เสด็จเข้าในที่แล้วจึงเลิก

    ด้วยความที่เป็นคนมีน้ำเสียงไพเราะก้องกังวาน แม้ยามพูดยังมีน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง ม.ร.ว.สดับ จึงถูกเลือกให้เป็นต้นเสียงในการร้องเพลง แม้พระวิมาดาเธอฯ เกรงจะถูกครหานินทาว่าส่งเสริมหลาน แต่ก็ถูกครูเพลงทั้งหลายร้องขอจึงจำต้องยินยอม และด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะนี้เอง รัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงสนพระทัยในเรื่องดนตรีมาก เมื่อทรงฟังเสียงของ ม.ร.ว.สดับแล้วทรงโปรด จึงออกพระโอษฐ์ขอต่อพระวิมาดาเธอฯ ผู้เป็นอาและเป็นผู้ปกครองในเวลานั้น ในที่สุด ม.ร.ว.สดับ ได้ถวายตัวรับราชการสนองเบื้องพระยุคลบาท เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2449

    รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเจ้าจอมสดับมากถึงขนาดทรงพระราชนิพนธ์เพลงให้เลย คือในช่วงที่ทรงประชวรอยู่นั้น พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “เงาะป่า” ขึ้นมาเพื่อพระราชทานให้ร้องกัน และมีบทหนึ่งที่พระองค์ท่านทรงพระราชนิพนธ์ถึงเจ้าจอมสดับว่า




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>กำไลมาศที่ ร.5 ทรงสวมพระราชทานเมื่อ 22 ก.พ.ร.ศ.125 (พ.ศ.2449)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>.....แม่เสียงเพราะเอย น้ำเสียงเจ้าเสนาะ เหมือนดังใจพี่จะขาด…..

    เจ้าจอมสดับรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ด้วยความจงรักภักดีจนเป็นที่สนิทเสน่หา ถึงกับพระราชทานสิ่งของมีค่าอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะ “กำไลมาศ” ของพระราชทานอันเป็นเครื่องแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ยิ่งใหญ่ โดยเจ้าจอมสดับเขียนบันทึกในช่วงนั้นไว้สรุปว่า ตอนนั้นเป็นงานขึ้นพระแท่นพระที่นั่งอัมพร ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงให้เล่นละครเรื่องเงาะป่า เพื่อเก็บเงินคนดูพระราชทานเป็นทุนให้กับ “คนัง” เงาะป่าที่พระองค์ทรงโปรดมาก ปรากฏว่าพระวิมาดาเธอฯ ประชวร คุณจอมสดับจึงต้องเป็น************านเสียเอง โดยต้องรับใช้ในเรื่องตั้งเครื่อง แล้วยังต้องวิ่งมานั่งร้องเพลง ร้องเสร็จก็วิ่งกลับไปยังที่ประทับ

    “ร้องเสร็จก็เป็นหน้าที่ข้าพเจ้า ตามเสด็จขึ้นไปรับใช้บนพระที่นั่ง ในวันเฉลิมพระที่นั่งนี้ ทรงพระมหากรุณาสวมกำไลทองรูปตาปูพระราชทานข้าพเจ้า ทรงสวมโดยไม่มีเครื่องมือ บีบด้วยพระหัตถ์ รุ่งขึ้นจึงต้องรับสั่งให้กรมหลวงสรรพศาสตร์พาช่างทองแกรเลิตฝรั่งชาติเยอรมัน นำเครื่องมือมาบีบให้เรียบร้อย...”

    กำไลทองพระราชทานนี้ทำจากบางสะพาน น้ำหนักสี่บาท ทำเป็นรูปตาปูโบราณสองดอกไขว้ปลายตาปูลีบเป็นดอกเดียวกัน ที่วงโดยรอบสลักพระราชนิพนธ์ร้อยกรองว่า

    กำไลมาศชาตินพคุณแท้ ไม่ปรวนแปรเป็นอื่นย่อมยืนสี
    เหมือนใจตรงคงคำร่ำพาที จะร้ายดีขอให้เห็นเป็นเสี่ยงทาย
    ตะปูทองสองดอกตอกสลัก ตรึงความรักรับไว้อย่าให้หาย
    แม้รักร่วมสวมไว้ให้ติดกาย เมื่อใดวายสวาสดิ์วอดจึงถอดเอย

    ในปี 2450 รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสยุโรป ทรงมีพระราชดำริให้เจ้าจอมสดับตามเสด็จในฐานะข้าหลวงของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงนิภานภดล ถึงกับทรงสอนภาษาอังกฤษพระราชทานแก่เจ้าจอมสดับด้วยพระองค์เองก่อนเวลาเสวยพระกระยาหารทุกค่ำคืน แต่ในที่สุดเจ้าจอมก็ไม่สามารถตามเสด็จได้ ซึ่งท่านบันทึกความรู้สึกตอนนั้นว่า
    “ข้าพเจ้ารู้สึกทุ้กข์ทุกข์ เศร้าเศร้า ตลอด 24 ชั่วโมงไม่ได้กินไม่ได้นอน...” และในช่วงพระราชพิธีตอนรัชกาลที่ 5 กำลังจะสด็จนั้น เจ้าจอมสดับหมอบซบหน้าร้องไห้อยู่ตลอดเวลา รัชกาลที่ 5 ทรงแวะประทับยืน พระราชทานพระหัตถ์ให้เจ้าจอมทรงเครื่องขลิบพระนขา (เล็บ) ซึ่งท่านเจ้าจอมได้เก็บไว้ใกล้ตัวตลอดมา

    ครั้นเมื่อเสด็จกลับจากยุโรป ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเครื่องเพชรนิลจินดา โดยเฉพาะ เครื่องเพชรชุดใหญ่ที่ทรงสั่งทำจากยุโรป โดยมีพระประสงค์ให้เป็นหลักทรัพย์เลี้ยงชีพในอนาคตแทนตึกแถว





    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=260 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=260>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เข็มกลัดตราพิณภายใต้พระจุลมงกุฏ ร.5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเมื่อ ร.ศ.125 (พ.ศ.2449)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>** ทุกข์อย่างใหญ่หลวง

    หลังจากรัชกาลที่ 5 เสด็จกลับจากประพาสยุโรปไม่นานพระองค์ทรงประชวรและสวรรคต ซึ่งเจ้าจอมสดับบันทึกความรู้สึกในเวลานั้นว่า

    “ใจคิดเสียสละได้ทุกอย่าง จะอวัยวะ หรือเลือดเนื้อ หรือชีวิต ถ้าเสด็จกลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าคิดว่า เป็นใจที่ติดแน่วแน่ตายแทนได้ ไม่ใช่พูดเพราะๆ ...คุณจอมเชี้อเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งส่งมาให้ข้าพเจ้าบอกว่า ท่านประทานไว้ซับพระบาท ข้าพเจ้าเอาผ้าที่ซับพระบาทแล้วพันมวยผมไว้ แล้วก็นั่งร้องไห้กันต่อไป...”

    ตลอดเวลาประดิษฐานพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท 8 เดือนเต็ม เจ้าจอมสดับก็ได้สนองพระมหากรุณาธิคุณเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการเป็นต้นแบบ “นางร้องไห้” หน้าพระบรมศพ และถือเป็นประเพณีนางร้องไห้ครั้งสุดท้ายและชุดสุดท้ายของกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีประเพณีนี้อีกเลย
    เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 5 นอกจากเจ้าจอมสดับจะอยู่ในความทุกข์โศกแล้ว ยังเจอกับเสียงครหาว่า ท่านเป็นหม้ายอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น เกรงว่าจะไม่สามารถครองตัวรักษาพระเกียรติยศอยู่ตลอดไปได้ เพราะนอกจากรูปสมบัติแล้วท่านยังมีทรัพย์สมบัติทั้งเพชรนิลจินดาที่ได้รับพระราชทานไว้มากมาย อันจะเป็นเหตุให้มีผู้ชายมาหลอก และจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียถึงพระเกียรติยศได้

    ส่วนเจ้าจอมสดับเมื่อครองตัวเป็นหม้ายนั้น ท่านตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษาพระเกียรติจนชีวิตจะหาไม่ โดยท่านได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่มีใจเหลือเศษที่จะรักผู้ชายใดอีกต่อจนตลอดชีวิต” และท่านก็ได้แสดงความจงรักภักดีตราบจนวาระสุดท้ายของท่านตามที่ได้ลั่นวาจาไว้

    ดังนั้น เพื่อตัดปัญหาเรื่องทรัพย์สมบัติของท่าน เจ้าจอมสดับจึงถวายคืนเครื่องเพชรพระราชทานแม้ว่าจะเป็นเครื่องรำลึกถึงล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ก็ตาม มีเพียงของพระราชทานเล็กน้อยที่ท่านได้เก็บเอาไว้คือ กำไลมาศ เท่านั้น เจ้าจอมสดับจึงกลายเป็นคนไม่มีสมบัติ เพราะท่านไม่มีตึกแถวหรือทรัพย์สินอื่นๆ ท่านจึงอยู่ในพระอุปถัมภ์ของพระวิมาดาเธอฯ

    หลังจากถวายคืนแล้วเจ้าจอมสดับได้รับทราบเกี่ยวกับเครื่องเพชรชุดนั้นอีกครั้งเดียวว่า ได้นำไปขายยังต่างประเทศ และนำเงินที่ได้ไปสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ข่าวนี้สร้างความยินดีให้กับเจ้าจอมสดับอย่างมากที่จะได้สนองพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 5 อย่างเต็มศรัทธา

    ชีวิตที่เหลืออยู่ของเจ้าจอมจึงเดินตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อยึดมั่นเป็นกรอบแห่งจริยวัตรเหนี่ยวรั้งให้ใจสงบและปิดประตูต่อกิเลสตัณหาทั้งปวง

    ** “พระธรรม” หนทางแห่งความสงบในชีวิต

    เจ้าจอมสดับย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในวังสวนสุนันทา ของพระวิมาดาเธอฯ ไม่นานก็เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เจ้านายหลายพระองค์เสด็จไประทับยังต่างประเทศ และเป็นช่วงเวลาหลังจากที่พระวิมาดาเธอฯ สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เจ้าจอมสดับจึงตัดสินใจออกจาก “วัง” ไปอยู่ “วัด” ละทิ้งชีวิตสาวชาววัง ไปอยู่ “วัดเขาบางทราย” จ.ชลบุรี ด้วยความคิดที่อยากจะสร้างกรอบให้ชีวิตโดยนำหลักธรรมะเข้ามายึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ให้พลัดหลงไปตามกิเลสที่พรางตาอยู่

    ความร่มรื่นและความสว่างไสวแห่งเสียงพระธรรมที่พระสงฆ์สวดกล่อมเกลาจิตใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จึงทำให้เจ้าจอมตัดสินใจหันหน้าเข้าหาพระธรรมให้เป็นที่พึ่งทางใจอย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งในช่วงแรกได้สมาทานอุโบสถศีลอยู่เป็นประจำ และได้ศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในฐานะพุทธมามะกะที่ดีอย่างเคร่งครัด




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=332 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=332>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ตรา S.B.C.ร.5 ทรงคิดตราสำหรับพิมพ์บนหัวกระดาษเขียนจดหมายด้วยพระองค์เอง พระราชทานแด่เจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สิ่งหนึ่งที่ท่านเจ้าจอมปฏิบัติทุกวันมิได้ขาดคือ สวดมนต์ถวายพระราชสักการะและถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    กระทั่งเมื่อเจ้าจอมสดับอายุครบ 60 ปี หรือที่เรียกกันว่าเข้าช่วงปัจฉิมวัย ท่านจึงคิดอยากจะบำเพ็ญกุศลในแซยิดให้พิเศษยิ่งขึ้นไปอีก จากที่เคยปฏิบัติดังเช่นทุกวัน ท่านตัดสินใจปลงผม นุ่งขาวห่มขาว และขอประทานศีลจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เพื่อที่จะได้ปฏิบัติกายและใจให้บริสุทธิ์ตามวิธีแห่งพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นการอุทิศพระราชกุศลทูลเกล้าฯ ถวายแด่รัชกาลที่ 5 พระสวามีผู้เป็นที่รักยิ่ง

    ครั้นเมื่อปี 2506 เจ้าจอมได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้กลับคืนมาอยู่ในพระบรมมหาราชวังอีกครั้ง โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ทั้งในยามดีและยามไข้ ด้วยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อให้เจ้าจอมสดับใช้ชีวิตอย่างมีความสุข พอกินพอใช้และเหลือทำบุญบ้าง

    แม้ช่วงชีวิตที่เข้ามาอยู่ในวังหลวงแล้ว เจ้าจอมยังเดินไปฟังธรรมที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทุกวันอาทิตย์และทุกวันธรรมสวนะมิได้ขาด จวบถึงวัย 92 ปีที่ร่างกายอ่อนแอเดินตามลำพังไม่ได้เท่าที่ควร แล้วจึงได้งดไป และยังได้บริจาคเงินสมทบทุนมูลนิธิสายใจไทยเป็นประจำทุกเดือนๆ ละ 1 พันบาท นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมูลนิธิฯ

    ** ถวายความจงรักภักดีทั้งชีวิต

    ในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งเช่นเจ้าจอมสดับนั้น ท่านได้แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีที่ถวายต่อรัชกาลที่ 5 อย่างไม่มีวันสิ้นสุด สิ่งใดที่จะกระทำได้เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ท่านนั้น เจ้าจอมจะเต็มใจสนองพระคุณทุกอย่างเต็มกำลัง ดังนั้น ชีวิตของเจ้าจอมที่ดำเนินมาหลังจากที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 สิ้นพระชนม์ชีพแล้ว ในทุกวันทุกลมหายใจจึงตั้งใจกระทำความดีถวายอุทิศแด่รัชกาลที่ 5 เสมอมา

    ดังเช่นตลอดหลายสิบปีที่เจ้าจอมสดับใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ที่วัดเขาบางทรายนั้น ท่านได้ถือศีลสวดมนต์ภาวนา จนได้ทำบันทึกข้อธรรมตามความรู้ความเข้าใจไว้เตือนตน ตั้งแต่ พ.ศ.2478 (เมื่ออายุได้ 45 ปี) และบันทึกเป็นช่วงๆ เกือบตลอด 40 ปี จนกลายเป็นหนังสือขนาด 8 หน้ายก เกือบ 500 หน้า ท่านได้ให้ชื่อบันทึกธรรมนี้ว่า “สุตาภาษิต” ซึ่งนับเป็นมรดกที่มีค่าชิ้นหนึ่งทิ้งไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง ได้ศึกษาการเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามความเข้าใจและปฏิบัติของเจ้าจอมสดับ

    กิจวัตรที่เจ้าจอมกระทำเป็นประจำมิได้ขาดคือ ทุกวันที่ 23 ตุลาคม อันเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของรัชกาลที่ 5 และวันที่ 1 เมษายน คล้ายวันเริ่มรับราชการสนองเบื้องพระยุคลบาท เจ้าจอมจะอัญเชิญพานประดิษฐานของพระราชทานอันมีค่าอย่างยิ่งในชีวิตของท่านคือ พระบรมทนต์ ซึ่งแกะเป็นองค์พระและเส้นพระเจ้าบรรจุไว้ในล็อกเก็ต รวมทั้งผ้าซับพระบาทออกสดับปกรณ์ พร้อมทั้งนิมนต์พระสงฆ์ถวายพระราชกุศลพิเศษ




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>กระดาษหัวจดหมายที่ ร.5 ทรงคิดด้วยพระองค์เองเพื่อพระราชทานแด่ เจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ในวันที่ 1 เมษายน 2510 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 60 ปีของการรับราชกาลเป็นเจ้าจอมในรัชกาลทื่ 5 และเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2513 อันเป็นวันครบรอบอายุ 80 ปี เจ้าจอมสดับก็ได้บำเพ็ญกุศลทางใจด้วยเจริญวิปัสสนากรรมฐาน รวมสำรวมกาย วาจา ใจที่จะไม่ข้องแวะกับโลกภายนอก อันเป็นทางให้เกิดสมาธิชั้นสูง รวบรวมพลังจิตอุทิศกุศลผลบุญทั้งมวลน้อมเกล้าฯ ถวายแด่รัชกาลที่ 5 เป็นเวลา 60วันและ 80 วัน เป็นการทดแทนการทำพิธีเฉลิมฉลองอย่างอื่น

    นอกจากนี้ ท่านเจ้าจอมยังถวายความจงรักภักดีสนองพระคุณต่อในหลวงองค์ปัจจุบันอย่างสุดความสามารถเช่นกัน ด้วยท่านเติบโตมากับวังพระวิมาดาเธอฯ ซึ่งมีชื่อเสียงทั้งด้านอาหารและงานฝีมือ ดังนั้น ทุกครั้งที่ท่านสบโอกาสจะฝึกฝีมือในการถักนิตติ้งอยู่บ่อยครั้ง เช่น ถักถลกบาตรกรองทอง ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เมื่อเสด็จออกทรงผนวช ถักผ้าทรงสะพักกรองทองถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระราชธิดา พระสุนิสาทุกพระองค์

    ถึงแม้ว่าขณะนั้นท่านจะมีสายตาฝ้าฟางด้วยอายุที่มากขึ้นก็ตาม แต่ท่านก็มิได้ท้อถอยแต่อย่างใด นอกจากจะเคี่ยวเข็ญถ่ายทอดการถักให้หลานผู้เป็นคุณข้าหลวงตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจนถักได้แล้ว เจ้าจอมยังขอสนองพระมหากรุณาธิคุณด้วยการถ่ายทอดวิชาการถักให้แก่นักเรียนในโครงการศิลปาชีพด้วย

    ด้วยเจ้าจอมสดับมีชีวิตที่ยืนยาวและเป็นผู้ที่มีจิตเมตตาต่อทุกคน เวลามีคนขอให้ท่านเล่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับรัชกาลที่ 5 ท่านจะเล่าด้วยความรู้สึกที่มีความสุขเป็นยิ่งนัก และท่านยังได้ใช้เวลาเขียนบทประพันธ์ถึงประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ 5 ราชประเพณีในวังหลวง อีกมากมายเพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับทราบ




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=236 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=236>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เครื่องเพชรพระราชทานที่เจ้าจอม ม.ร.ว.สดับได้รับจาก ร.5 และต่อมาภายหลังเจ้าจอมได้ขายเครื่องเพชรชุดที่ใส่อยู่เพื่อนำเงินรายได้มาสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลจุฬาฯ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เช้าตรู่วันพฤหัสบดีที่ 30 มิ.ย.26 ลูกหลานในตระกูลลดาวัลย์และคนไทยหลายคนต้องเศร้าเสียใจต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ เจ้าจอมสดับ ด้วยโรคชรา ในวัย 93 ปี ณ โรงพยาบาลศิริราช คุณดุ๊ก-ม.ล.พูนแสง (ลดาวัลย์) สูตะบุตร หลานสาวที่เจ้าจอมสดับให้การดูแลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ในวัยเยาว์ เล่าว่า เจ้าจอมสดับสวมกำไลมาศติดมือจนสิ้นลมหายใจ และคุณดุ๊กเป็นคนถอดกำไลข้อมือนั้นด้วยตัวเอง โดยเล่าถึงสภาพของกำไลมาศว่า

    “ถึงแม้ว่าคำกลอนที่จารึกไว้ในกำไลมาศจะลบเลือนไปตามกาลเวลา เพราะท่านสวมมาถึง 76 ปี แต่ พระปรมาภิไธย “จุฬาลงกรณ์ ป.ร.” ที่จารึกไว้ด้านในท้องกำไลยังคงเป็นรอยจารึกที่แจ่มชัดเช่นเดิมจนน่าประหลาดใจมาก”

    จากนั้นคุณดุ๊กก็ได้นำกำไลมาศและของพระราชทานอันมีคุณค่าทางจิตใจของเจ้าจอมทั้งหมด เพื่อถวายแด่พระบาทสมด็จพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำของอันเป็นที่รักของเจ้าจอมสดับไว้ที่พระที่นั่งวิมานเมฆ (ตรงห้องพระบรรทม)

    เจ้าจอมสดับจึงเป็น “เจ้าจอมในรัชกาลที่ 5” คนสุดท้าย ที่มีชีวิตยาวนานมาถึง 5 แผ่นดิน และตลอดชีวิตของท่านได้แสดงถึงความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ในฐานะภรรยาที่มีต่อสามี ในฐานะข้าในรัชกาลที่ 5และรัชกาลที่ 9 รวมถึงในฐานะข้าของแผ่นดิน


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=266 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=266>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ในวัย 74 ปีถ่ายเมื่อ พ.ศ.2507</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    คุณดุ๊ก-ม.ล.พูนแสง (ลดาวัลย์) สูตะบุตร

    ----------------
    http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9520000126460



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2009
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    หนังสือ “สุตาภาษิต”

    เป็นบันทึก ของ ท่านเจ้าจอม หม่อมราชวงศ์สดับลดาวัลย์
    ทรงบันทึกตั้งแต่ ปีพ.ศ. ๒๔๗๘ จนถึง ปีพ.ศ. ๒๕๑๒ รวมเวลา ๓๔ ปี

    หนังสือนี้ท่านบอกกล่าวเสียก่อนว่า

    ผู้พบเห็นหนังสือนี้ โปรดถือว่านานาจิตตัง
    จะพ้นจากความข้องใจในทิฏฐิ ถูกผิด พลาดพลั้ง ต่างๆของผู้เขียน

    ท่านว่า

    แรกๆเข้าวัดฟังเทศน์ ต้องตั้งใจว่า เราจะฟังให้เข้าใจข้อความที่เทศน์
    เช่นเดียวกับตั้งใจฟังคำอธิบายต่างๆ อย่าตั้งใจฟังเทศน์เอาบุญ
    ถ้าพระองค์ใดเทศน์ไม่เข้าใจในความของท่านแล้ว ไม่ต้องไปฟังซ้ำอีกก็ได้
    ลองไปฟังวัดอื่นต่อๆไป อย่าไปติดวัด ติดพระ
    เพราะโดยมากมักมักจะติดวัดที่สบาย พระที่ปฏิสันถารดี
    ควรมุ่งแต่ข้อธรรม

    เมื่อเห็นว่ามีการเกิดการตายอยู่เต็มโลกเช่นนี้ ความไม่ต้องเกิดและตายจะไม่มีบ้าง
    หรือ ควรจะมีบ้างกระมัง น่าขบคิดปัญหา ธรรมวิเศษที่มุ่งหมายกันนักนั้น จะเป็น
    ปัญหาข้อนี้กระมังหนอ...
    เห็นทุกข์ภัยใหญ่หลวงของโลกนี้อย่างชัดเจน เพราะถูกต้องด้วยตนเองอย่างถึง
    ขนาดหนักที่สุดของกำลังใจ รู้สึกจนหัวใจถ้าเป็นรูปที่จะหยิบยกมาดูได้ ก็จะเห็น
    เหมือนขวดชามสังกะโลกรอบร้าวซ้ำซ้อนกัน สลับซับซ้อน หรือเหมือนเขียงที่ถูก
    สับซ้ำๆ จนเนื้อไม้เป็นขนปุย หรือเหมือนผลไม้บางอย่างเช่นชมพู่หรือน้อยหน่า
    ที่ทรงรูปเหมือนธรรมดา แต่ข้างในเน่าหนอนพรอนในนั้นเต็ม จึงอุตส่าห์ฝึกใจที่
    ว่าอย่างไรจะไม่ต้องเกิดอีก จะยอมทั้งนั้นแม้จะยากเข็ญปานไรก็ตาม เพราะเข็ด
    เหลือเกินเกิดเป็นนางฟ้าเทวดาไม่เอาหมด…

    แม้จะมีกำลังใดใดก็ตาม หรือจะวิ่งไปเดินไป หรือจะไปด้วยอาการอย่างไรก็ตาม
    ไปเท่าไรๆก็ตาม ก็ต้องหยุดในที่สุด

    แม้จะมีชีวิตเป็นอยู่อย่างไรก็ตาม ยืนยาวปานไรก็ตามก็ต้องตายในที่สุด
    แม้จะไม่ปรารถนาให้การทำ การพูด การคิดนึกตรึกตรอง ที่ปรากฏอยู่เสร็จสิ้นไป
    ก็ต้องเสร็จสิ้นไปในที่สุด

    แม้จะไม่ชอบสิ่งที่ปรากฏแก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปานไรก็ตามสิ่งเหล่านั้นก็ต้องหมดสิ้นไปในที่สุด

    ความจริงแห่งสภาวเป็นอย่างนี้ ควรหรือที่จะหลงขืนความจริงให้เกิดกระวน
    กระวายเดือดร้อนทุกข์กรอมผอมใจไปต่างๆ…

    โลกไม่มีต้นมีปลาย มีแต่ความมืดมัวสับสนยุ่งยาก ไม่มีที่สุดสิ้นไม่จบ เฉพาะแต่
    มายาชื่อเดียวก็มีกิริยาอาการร้อยแปดพันเก้าประการ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
    ตรงกันข้าม กับทางธรรม มี ๒ อย่างเท่านั้น
    ปรากฏว่าธาตุเป็นรูป ๑ อวิชาเป็นต้นเหตุแห่งนาม ๑ มีอยู่เท่านี้จริงๆ
    นอกจากนี้เป็นของโลกวกวนไม่สิ้นสุด วนไปให้น่ากลัวก็มี วนไปให้น่ารักก็มี
    วนไปให้น่าเพลิดเพลินเจริญใจจนอยากได้อยากมีก็มี ทำให้ติดใจกันไปจนตาย
    ตายไปแล้วก็ไม่รู้ว่าผู้ตายไปอยู่ไหนกัน คนอยู่ก็อาลัยเสียดายกันไป
    ด้วยความทุกข์ที่ต้องพลัดพราก เป็นเช่นนี้ทั่วกันหมด
    ตรองแล้วน่ากลัวนักไม่ปรารถนาเกิดเพราะต้องรับทุกข์อย่างนี้เลย

    แม้ใครจะรับประกันว่า เกิดอีกเถอะจะป้องกันไม่ให้ประสบอนิฏฐารมณ์อีกเหมือนแล้วๆมา”

    ก็ไม่รับทานอีกแล้ว แม้จะมีผู้รับประกันตลอดชาติหนึ่ง ก็ต่อๆไปเล่า
    สู้ทำให้ไม่เกิดเสียทีเดียวไม่ดีกว่าหรือ ถ้ารู้เห็นเชื่อถือแน่นอนว่าจะไม่เกิดได้ด้วยวิธีไร
    แต่เมื่อทำไม่ได้สำเร็จตามปรารถนาก็จนใจ ต้องนึกว่าต้นผลไม้ที่ผู้ขึ้นปรารถนาเก็บผล
    ก็มุ่งเบ่งกำลังเต็มที่เวลาปีนป่ายขึ้นไปตามกิ่งก้าน เมื่อปีนขึ้นไปจนสุดกำลังไม่ถึงยอด
    ขึ้นได้เพียงไรก็เพียงนั้นแต่จุดมุ่งหมายก็ต้องการให้ถึงยอดแต่เริ่มเจตนาจะขึ้น…


    บันทึกโดยสังเขป ..สุตาภาษิต : ท่านเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์

    -------------
    ขอบคุณที่มาของข้อมูล:
    salakadee<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2009
  3. กรวี

    กรวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +263
    ๏ เฝ้าจงรักภักดีมิมีเปรียบ
    มิมีเทียบรักในแห่งใดหนา
    แม้ผ่านวันยังคงมั่นรักศรัทธา
    ทรงคุณค่าความดีไม่มีเทียม๚
     
  4. mmie

    mmie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,986
    ซาบซึ้งในความจงรักภักดีของเจ้าจอมที่มีต่อล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 จริง ๆ
     
  5. กิตติ_เจน

    กิตติ_เจน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,657
    ค่าพลัง:
    +1,281
    ขอบคุณครับสำหรับบทความที่ดีๆ
     
  6. pevex

    pevex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +114
    ขอบคุณค่ะ ที่นำเรื่องราวดี ๆ มาให้ได้อ่าน
    อ่านแล้วน้ำตาไหล รู้สึกว่า..ความซื่อสัตย์ของหญิงคนหนึ่งที่มีต่อชายอันเป็นที่รัก
    ช่างยิ่งใหญ่..และน่าประทับใจ.. การที่จะครองตัวได้อย่างท่าน..เป็นเรื่องน่ายกย่อง
    ความรัก และความซื่อสัตย์แบบนี้ หายากยิ่งในปัจจุบัน..
     

แชร์หน้านี้

Loading...