เจ้าชายสิทธัตถะตัดสินพระทัยอย่างไรจึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Specialized, 15 สิงหาคม 2009.

  1. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,349
    เจ้าชายสิทธัตถะตัดสินพระทัยอย่างไรจึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ

    [​IMG]

    จาก หนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง

    [​IMG]

    ก่อนที่องค์สมเด็จพระชนสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ก่อนจะออกจากพระราชนิเวศน์องค์สมเด็จพระทศพลทรงได้มอบสร้อยพระศอให้แก่พระนางกีสาโคตมี พระน้านางซึ่งเลี้ยงพระองค์แทนพระมารดา เพราะว่าพระมารดามรณภาพเสียตั้งแต่เมื่อคลอดพระองค์ได้ ๗ วัน ทั้งนี้เพราะว่าครรภ์ใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรได้เกิด ครรภ์นั้นเด็กคนอื่นไม่ควรจะมาเกิดด้วย และหลังจากนั้นเวลากลางคืนได้ทราบข่าวว่า พระนางพิมพาคลอดพระราชโอรส ความจริงพระนางพิมพาก็สวยงามมากลักษณะสวยจริง ๆ เป็นผู้หญิงที่มีความสวยสมบูรณ์แบบ องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงวาจาว่า

    “ปิยบุตะ ว่าบุตรที่รัก ปุตตังชีเว ห่วงผูกคอมันเกิดขึ้นแล้วหนอ”

    แต่วันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตัดสินพระทัยว่า จะหนีออกไปสู่มหาภิเนษกรมณ์ ทั้งนี้ก็อาศัยความอุ้มชูของเทวดา ในขณะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ พระองค์ทรงแต่งตัวแบบกษัตริย์ แพรวพราว สีมันระยับ พระวรกายสวยสดงดงามมาก พระรูปโฉมสวยจริง ๆ เป็นคนโปร่ง ๆ ผิวขาว ลกษณะสวยอิ่มเอิบหมดทั้งกาย หน้าตาหาจุดบกพร่องอะไรไม่ได้ สวยจัด องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงม้ากัณฑกะ มีนายฉันนะจูงม้าข้างหน้า น้ำพระทัยของพระองค์มีความเข้มแข็งและก็เด็ดเดี่ยว มุ่งหน้าจะเอาพระโพธิญาณให้ได้ ฉะนั้นการเดินทางไปของนายฉันนะกับม้าจึงไปด้วยการเหยาะย่าง วิ่งหย่อง ๆ แต่ว่านายฉันนะเป็นคนมีกำลังมาก ถือเชือกม้า ม้าก็เหยาะย่างมาตามจังหวะ มาชนิดที่เรียกว่าไม่รีบจนเกินไป ไม่ใช่ม้าวิ่ง ม้าเดินเหยาะย่างมาตามจังหวะออกมาจากเขต

    พอถึงจุดหนึ่งซึ่งไม่ใช่ที่ต้นโพธิ์ จะเป็นคยาศีรษะหรืออะไรพ่อจำไม่ได้ เห็นบริเวณพื้นกว้างใหญ่ไพศาล เป็นลานสวย มีสนามหญ้า มีแม่น้ำใสสะอาด เป็นกลางเดือนหก สมเด็จพระภควันต์ก็ประทับจับพระขรรค์ตัดพระเกศา ตัดทีเดียวขาด อาศัยที่เป็นอัจฉริยะมนุษย์ ด้วยอำนาจเทวดาช่วย พระเกศาก็ขดเป็นวงกลม เป็นทักษิณาวัตรเวียนขวาเกาะติดหนังของพระองค์ มองดูแล้วก็คล้าย ๆ กับว่าคนปลงผม และนับตั้งแต่วันนั้นถึงปรินิพพาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่เคยปลงผม เพราะผมไม่ยาวออกมาอีก มองแล้วเหมือนพระโกน แล้วก็มีผมเกรียนติดศีรษะ รวมความว่าศีรษะโล้นนั่นเอง

    ฉะนั้นการทำพระพุทธรูปที่มีมวยผมข้างบนจึงผิดไม่ถูก อันนี้พ่อขอยืนยัน ขอลูกทุกคนจงพิจารณาตามนั้นด้วย แล้วองค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงมอบเครื่องแต่งตัวให้แก่นายฉันนะ พระองค์รับเครื่องสักการะ คือเครื่องทรงของพระมีสบงจีวร จากพรหม ตอนนี้พรหมแสดงตนเป็นพรหมจริงๆ เห็นเป็นพรหมชัด เมื่อถวายขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์แล้ว พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์มีสบง จีวร สังฆาฏิ รัดประคดเอว อังสะ เป็นต้น และก็มีบาตรให้แก่องค์สมเด็จพระทศพล บาตรก็เป็นบาตรดินธรรมดา แต่คงจะสร้างด้วยกำลังของพรหม คงจะเป็นนิมิต พรหมคงไม่ขยันปั้นบาตร เวลามีพระพุทธเจ้าเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก่อนจะออกผนวชรู้สึกว่า เทวดาและพรหมห้อมล้อมกันมาแสดงเทวทูตให้ปรากฏ จนกระทั่งองค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงเห็นว่า

    "ความตายมีได้คุณ[FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ธรรมที่ทำให้คนไม่ตายก็ต้องมี"[/FONT][/FONT]

    แต่ว่าเวลานั้นพระองค์จะเห็นเทวดาหรือไม่พ่อก็ไม่ทราบ

    หลังจากนั้นม้ากัณฑกะซึ่งเป็นม้าคู่บารมีก็ตาย นายฉันนะก็ร้องไห้เดินกลับวัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสวงหาด้วยทางจิต แสวงหาไปก็ต้องศึกษาก่อนไปศึกษาจากสำนักพราหมณ์ สำนักไหนที่เขาว่าดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไปที่นั่น สุดท้ายไปสำนักอาฬารดาบส และอุทกดาบส ทั้งสองท่านสอนให้ได้สมาบัติ คือรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ การศึกษานี้องค์สมเด็จพระมหามุนีใช้เวลาเล็กน้อย เพราะว่าปัญญาพระองค์ดีมาก ทรงจำดีมา มีความขยันหมั่นเพียรดี ศึกษา และก็ทำได้ดีกว่าทุกคนในสำนักนั้นจนกระทั้งอาจารย์ทั้งสอง คืออาฬารดาบส และอุทกดาบส อยากจะให้เป็นครูสอนแทน แต่พระองค์ก็ไม่เอาจึงออกป่า

    ตอนนี้เองก็มีท่านพราหมณ์ ๕ ท่าน คือท่านโกณฑัญญะ ท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะ ท่านอัสสชิ ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าออกแสวงหาพิเนษกรมณ์ ก็พากันออกบวช โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพราหมณ์องค์ที่ ๕ ในจำนวนพราหมณ์ ทั้ง ๕ องค์ และหนุ่มที่สุด ที่เข้าทำนายลักษณะพยากรณ์ว่าสิทธัตถะราชกุมารจะต้องเป็นศาสดาเอกในโลก ทายอย่างเดียว แต่พราหมณ์อีก ๔ องค์ทายว่าถ้าเป็นฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าได้บวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้าคือเป็นศาสดาเอกในโลก คำว่าศาสดาแปลว่า ครู

    ในเมื่อได้ยินข่าวพระพุทธเจ้าทรงออกผนวช ท่านทั้ง ๕ ก็ติดตามออกบวชมาปฏิบัติตอนนั้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงแสดงภาพให้ปรากฏ ถึงการทรงทรมานพระกายที่พราหมณ์นิยมกันว่า การบรรลุมรรคผลชั้นสูงจริง ๆ ได้ตั้งอยู่ในการทรมานกาย กินแต่น้อย ๆ นอนน้อย ๆ นั่งน้อยๆ ยืนน้อย ๆ เดินน้อย ๆ เป็นอันว่าทรมานไม่ค่อยจะนอนก็แล้วกัน มีนั่งมากกว่ายืน กว่าเดิน กินก็น้อย จนกระทั้งเลิกกิน ดูภาพขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ทรงทรมานพระกายตอนนั้น ผอมจริง ๆ เวลาจะไปสรงน้ำก็เดินซวนไปซวนมา บางครั้งท่าน ๕ ฤาษี ต้องเข้าประคอง แต่ว่าท่านก็ทรงอดทนมาก ทำอยู่อย่างนั้นใช้เวลานาน ๖ ปี ตั้งแต่วันออกผนวช จนกระทั่งวันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงทรงมาดำริว่า การบรรลุมรรคผลคงไม่ใช่การทรมานตน จึงได้ทรงเสวยพระกระยาหารใหม่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2009
  2. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,349
    [​IMG]

    ตอนนี้ดูภาพ ตอนที่ทรงเสวยพระกระยาหารใหม่ คือกินเต็มที่ให้ร่างกายอ้วนพี พระองค์ทรงเห็นว่าความดีที่จะพึงได้อาจจะมาจากทางใจ ไม่ใช่ทางกายเพราะทางกาย นอกจากทรมานกาย เรียกว่านอนน้อย กินน้อย เดินน้อย มีนั่งมาก แล้วก็ยังกลั้นใจ เอาลิ้นกดเพดานจนถึงกับลมออกหูอู้ เป็นอันว่าร่างกายมันก็จะตาย ก็กลับคิดว่าทางใจคงจะดี เป็นเหตุให้ฤาษีทั้ง ๕ ไม่พอใจ เห็นว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นผู้มักมากในอาหาร การที่จะสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นไปไม้ได้ คงไม่เป็นไปตามวิสัยที่พราหมณ์ต้องการ จึงหนีองค์สมเด็จพระพิชิตมารไปสู่ป่าอิติปตนฤมคทายวัน

    ตอนนี้ดูภาพท่านทั้ง ๕ เวลาก่อนจะไป ท่านก็ชี้หน้าและว่าต่าง ๆ ปรามาสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า สิทธิธัตถะท่านหมดหวังที่จะได้เป็นศาสดาเอกในโลก เพราะท่านกลับมามักมากในกามคุณ เราไม่เห็นด้วย เราไม่ช่วยประคับประคอง เราไปละ ท่านก็ไปด้วยความโมโหโทโสกันทั้ง ๕ มีท่านอัญญาโกฑัญญะพราหมณ์เป็นหัวหน้า เรื่องของเรื่องก็ต้องตามใจท่าน ท่านอยากจะโกรธซะอย่าง ใครจะไปห้ามความโกรธ เป็นอันว่าเมื่อท่านไปแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ต้องเลี้ยงตังเอง เวลาจะเดินไปบิณฑบาตก็เดินโซซัดโซเซ แต่ว่าแข็งกำลังพระทัย อาศัยที่ได้ฌานสมาบัติก่อนองค์สมเด็จพระชินวรใช้ฌานสมาบัติเข้าช่วยเวลาที่จะไปบิณฑบาต เวลาที่จะเดินกลับ จะไปตักน้ำ จะไปอาบน้ำ จะต้องทำทุกอย่างด้วยพระองค์เองทั้งหมด

    ดูภาพขององค์สมเด็จพระบรมสุคตตอนนั้นลูกรัก พ่อรู้สึกสงสารสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ๆ แต่ว่าถ้าพระองค์ทำเพื่อพระองค์เองนะ ไม่หวังสงเคราะห์คนอื่น พ่อก็ไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่นี่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทำเพื่อสันติสุขของบุคคลอื่นด้วย ช่วยพระองค์เองด้วยและก็ช่วยคนอื่นด้วย แต่ว่าผลความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้มาด้วยความลำบาก คนที่ประกาศว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พ่อรู้สึกสลดใจที่มาเป็นเณรใบลานเปล่ากันเสียมาก แล้วก็ใช้ผ้ากาสาวพัสตร์ขององค์สมเด็จพระบรมสุคตเป็นเครื่องหลอกลวงคน [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]แต่ทั้งนี้ลูกก็อย่านึกว่าทุกท่านที่ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ไม่ดีไปทั้งหมด ที่ดีจริง ๆ ก็มีมาก ที่หลอกลวงก็มีมาก คนชั่วก็มี คนดีก็มา คนชั่วหายาก คนดีถมไป ท่านว่าอย่างนี้นะลูก[/FONT][/FONT]

    ต่อมาตามภาพนั้นท่านแสดงเร็ว องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็มีพระวรกายดี ร่างกายเริ่มแข็งแรง มีเนื้อมีหนังดี คนที่เขาใส่บาตรองค์สมเด็จพระชินสีห์ เขาก็เรียกว่า สิทธัตถะร่างกายดีแล้วหรือ สิทธัตถะสมบูรณ์ขึ้นแล้ว สิทธัตถะผ่องใสแล้ว เวลาที่ท่านไปบิณฑบาตชาวบ้านเขาก็พูดกันอย่างนั้น ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ แต่ทุกคนเขาไม่โกรธว่าท่านจะอดข้าวหรือฉันข้าว เขาไม่ว่าอะไร เขาเลื่อมใสในจริยาของพระองค์ ก็มีอยู่มากคนด้วยกัน ที่เวลาองค์สมเด็จพระพิชิตมารเสด็จกลับบางคนก็ตามมาปฏิบัติให้ความสะดวก เขาช่วยท่าน ท่านก็ไม่ว่า เขาไม่ช่วยท่าน ท่านก็ไม่ตามใคร เป็นอันว่าในกาลต่อมา องค์สมเด็จจอมไตรมีร่างกายสมบูรณ์ ตอนนั้นนั่งอยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ ๆ ต้นโพธิ์ มีสาขาใหญ่ เวลานั้นนางสุชาดาไม่มีลูก อยากจะมีลูก บนรุกขเทวดาไว้ เมื่อมีลูกแล้ว

    ครั้นเมื่อนางบุณทาสีมาเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็กลับไปบอกนางสุชาดาว่า รุกขเทวาดกำลังต้อนรับเจ้าแม่ค่ะ ภาพปรากฏว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรมีร่างสมบูรณ์บริบูรณ์ ผิวพรรณสวยสดงดงามมาก น่ารักสดชื่น สวยกว่าคนธรรมดา เป็นอันว่าหน้าท่านสวย ผิวท่านสวย ปากแดง ส่วนที่จะดำก็ดำสนิท ส่วนที่จะแดงก็แดงสินท กลมกลืนสวยจริง ๆ เมื่อรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาแล้ว ก็ทรงเสวยข้าวมธุปายาส เมื่อหมดแล้ว ตามภาพนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงนำถาดทองคำไปลอยที่แม่น้ำเนรัญชรา เวลานั้นเป็นเวลาน้ำหลากไหลเชี่ยว ทรงอธิษฐานอย่างเดียวว่า

    "ถ้าหากว่าเราจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป"

    ก็เป็นของอัศจรรย์ผงและต้นหญ้า ท่อนไม้ที่ไหลมาไหลลิ่วตามน้ำ

    แต่ว่าถาดทองคำไหลทวนน้ำขึ้นไปได้อย่างอัศจรรย์ ไประยะยาวพอสมควรไกลประมาณ ๗ เมตร ถาดก็จม จมลงไปซ้อนกันที่วิมานของพระยากาลนาคราชอยู่เมืองบาดาล แกนอนหลับสบาย พอถาดขององค์หนึ่งกระทบดังแกร๊ก ก็ลืมตา นี่นอนยังไม่ทันจะเต็มตื่น พระพุทธเจ้าตรัสอีกองค์แล้วรึ อะไรเดี๋ยวองค์ เดี๋ยวองค์ ตรัสบ่อยจริงๆ แล้วก็หลับต่อไป

    หลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับจากลอยถาดแล้ว พอมาถึงปรากฏว่ามีพราหมณ์เอาหญ้าคามาถวาย ๘ กำ ด้วยกัน องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงเอาหญ้าคาปูลาดไปบนแท่นหิน หินนะไม่ใช่แก้วหรือไม่ใช่แท่นเพชร ที่เรียกกันว่าแก้ว ๆ เขาแปลว่าของดี อย่างพ่อแก้วก็แปลว่าพ่อดี แม่แก้วก็แปลว่าแม่ดี สำหรับพระแท่นที่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่ง และทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ใช่แท่นที่ใครสร้างให้ ไม่มีรูปร่างเป็นแท่น ความจริงก็เป็นก้อนหินธรรมดา เป็นก้อนหินที่มีสันนูนขึ้นมา มีที่เรียบพอเล็กน้อย ตามริมทุกด้านมีรอยลู่ลง เรียกว่าด้านบนนั่งสบาย ๆ เป็นแท่นหินเรียบ ไม่ใช่เป็นแผ่น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเอาหญ้าคาขึ้นไปวางบนนั้น ทำให้นิ่มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง หญ้าคาตอนนั้นเป็นสีขาว ๆ พ่อสงสัยว่าจะเป็นกำหญ้าคาที่มีความแห้งดีแล้วสีขาว ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทับนั่งบนหญ้าคาเหนือแท่นหินขึ้นมา เพราะหญ้าคาคลุมหิน

    คุยกันไปตามภาพ เวลานั้นจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีความเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างมาก ถ้าเราจะคิดอย่างคนธรรมดานะ เพราะว่าปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ท่านก็ไปเสียแล้ว และองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ป่าก็เต็มไปด้วยความเงียบสงัด เสียงสัตว์ทุกชนิดร้องตามจังหวะ กระแสน้ำก็ไหล ลมพัดมาคราวไร ใบไม้ก็เสียงเกรียวกราว มองมาดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จประทับอยู่พระองค์เดียว แต่ว่าการนั่งอยู่องค์เดียวเพื่อการแสวงหาประโยชน์ปัจจุบัน นั่นก็คือจะนั่งดูทรัพย์สมบัติก็น่าตำหนิ หรือก็ไม่น่าสงสาร แต่นี่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงทรมานพระองค์อดข้าว อดน้ำ แล้วก็มานั่งเปล่าเปลี่ยวอยู่องค์เดียว เคยเป็นกษัตริย์อยู่ในพระราชฐานกษัตริย์เวลานั้นก็มีพระราชอำนาจมาก และพระองค์ก็มีความสมบูรณ์พูนสุข อีก ๗ วัน หลังจากออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก็จะมีโอกาสได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ก็ไม่ต้องการอย่างนั้น

    มาตอนนี้ภาพจริง ๆ ที่ปรากฏกับจิต ภาพตอนนี้สวยจริง ๆ ลูกรัก เห็นองค์สมเด็จพระธรรมมามิสทรงเสด็จประทับนั่งหันหลังเข้าต้นโพธิ์ ทรวดทรงของพระองค์ก็ดี ผิวพรรณก็สดสวย ลีลาการเยื้องกรายก็น่าเลื่อมใส พระองค์ทรงพระกายตรง นั่งขัดสมาธิมือขวาทับมือซ้าย เท้าขวาทับเท้าซ้าย มองไปอีกทีปรากฏว่าเวลานั้น เทวดาและพรหมก็มายืนเรียงรายรอบ ๆ อยู่บนอากาศก็รอบ ๆ เห็นบรรดาเทพธิดาและเทพบุตรทั้งหลายโปรยปรายดอกไม้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างคนต่างก็พนมมือกันทั่วจักรวาล จะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยเทวดาและพรหม เวลานั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองจะทรงเห็นเทวดาและพรหมหรือไม่ พ่อก็ไม่ทราบเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าภาพปรากฏขณะนั้น

    ในขณะเดียวกัน องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงตั้งพระทัยคิดว่าเราจะนั่งตรงนี้ และเราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้ ถึงแม้เลือด และเนื้อของเราจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตินทรีย์จะตักษัยก็ตาม คือว่ามันจะผอม หรือมันจะตายก็ช่างมัน ถ้าเราไม่ได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากตรงนี้ คือให้มันตายไปเสียเลยดีกว่า เพราะการบำเพ็ญมาสิ้นเวลา ๖ ปี ถ้าไม่ได้ก็จงตายเสียเถิด อันนี้ต้องเรียกว่า เป็นพระราชดำริของพระราชทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เวลานั้นยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงตัดสินพระทัยแล้ว เพราะอาศัยที่พระองค์เคยทรงสมาบัติ ๘ มาก่อน การรวบรวมกำลังใจจึงเป็นของไม่ยาก แต่ดูเหมือนจะมีเสียงบอกว่า คำว่า

    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ไม่ยากคือ ไม่ยากแก่การตัดสินใจ แต่ว่ามีอารมณ์ใจยากอยู่นิดหนึ่ง ขณะที่นั่งลงไปใหม่ ๆ คิดในใจว่า เราจะทรงอารมณ์แบบไหน ถึงจะตรงกับการได้พระโพธิญาณ[/FONT][/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pic5.jpg
      pic5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      141.9 KB
      เปิดดู:
      2,965
  3. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,349
    [​IMG]

    และในขณะนั้นเอง ความโปร่งจิตขององค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ปรากฏ เมื่อปรากฏตามนั้นแล้ว อารมณ์ก็โปร่งขึ้นมา ปัญญาก็เกิด คิดว่าอันดับแรกเราจะต้องทรงสมาธิก่อนให้จิตเป็นสุข ให้จิตมีการทรงตัว จึงได้เริ่มจับอานาปานุสติกรรมฐาน ทรงอารมณ์อยู่เป็นปกติ ใช้เวลาไม่นาน เริ่มตั้งกำลังใจเพียงแค่ครึ่งวินาทีอารมณ์จิตขององค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงสงัดจัดเป็นฌาน ทีแรกขึ้นเป็นฌานต้นทีเดียวถึงฌาน ๘ ทรงอารมณ์สบายอยู่ในสมาบัติ ๘ จิตสงบสงัด มีอารมณ์เป็นสุขมาก ในชั่วขณะเวลาผ่านไปประมาณสัก ๑ ชั่วโมงเศษ พ่อขอคุยกับลูกตามคำบอก จะเรียกว่าพูดตามพากย์ก็ได้ เวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงครึ่ง ความสุขเกิดขึ้นจากสมาธิ อารมณ์เด็ดเดี่ยวเป็นอุเบกขารมณ์เกิดขึ้นจากสมาธิ ใจมีความปลอดจากกิเลส

    ตอนนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงได้ลดกำลังของสมาธิ ค่อย ๆ เลื่อนจากสมาบัติข้อที่ ๘ มาถึงข้อที่เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ลดลงมาถึงข้อที่ ๖ เรียกว่า วิญญาณณัญจายตนะ ลดลงมาข้อที่ ๕ เรียกว่า อากาสนานัญจายตนะ ค่อย ๆ ลดมาทีละน้อยลดลงมาถึงข้อที่ ๔ ที่เรียกว่า จตุตฌาน ลดลงมาถึงข้อที่ ๓ ที่เรียกว่า ตติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๒ ที่เรียกว่า ทุติยฌานลดลงมาถึงฌานที่ ๑ ที่เรียกว่า ปฐมฌาน ลดลงมาถึงอุปาจารฌาน การลดลงมาก็ชื่อว่าจะลองเล่นกำลังฌาน ว่ากำลังจิตจะใช้กำลังได้ดีหรือไม่ เพราะทิ้งมานาน ลดลงมาถึงอุปจารสมาธิ แล้วขึ้นไป ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ แล้วก็ ๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ วิ่งไปวิ่งมา วิ่งมาวิ่งไป ใช้เวลาสักประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็ปรากฏว่าถอยหลังมาอยู่ในอุปจารสมาธิใช้อารมณ์ตัดสินใจว่า คำว่า

    "คำว่าพระโพธิญาณ มีสภาวะเป็นประการใด กิเลสทั้งหลายที่เข้ามาขัดข้องจิต ทำให้ทุกคนเห็นผิดเป็นถูกข้อนั้น มีอะไรบ้าง ขอจงปรากฏกับจิตของเรา"

    ตอนนั้นปรากฏว่า อารมณ์จิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน กลับเกิดปุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติได้ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นจิตในจิต คือมีความสว่างไสว จิตเป็นประกายพรึกขึ้นมาสว่างออก สภาวะต่าง ๆ คือเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่แวดล้อมอยู่เวลานั้น ที่ยืนอยู่ใกล้ภาคพื้นดินก็ดี บนอากาศก็ดี ถือดอกชบาทำสักการะ เป็นอันว่าปรากฏแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดทั่วจักรวาล เป็นเหตุให้พระองค์มีจิตเบิกบานว่า โอหนอ คำว่าพระโพธิญาณ คงจะสำเร็จแก่เราในตอนนี้ เป็นกำลังใจให้องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ

    ตอนนี้เห็นเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการสดชื่นมาก พรหมบางท่านเข้ามาถวายงานพัดอยู่ใกล้ ๆ เทวดาทั้งหลายยืนล้อมรอบ และก็ลอยในอากาศล้อมรอบ ทรงสดชื่นมาก ทรงถอยหลังชาติไม่มีเหตุจำกัด ก็ทรงทราบว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ได้เคยเกิดมาเป็นอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติไหนที่เคยไปรับพระพุทธพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็พระพุทธเจ้าชื่ออะไรพยากรณ์ว่าอย่างไร กิจใดทำไว้ ทราบชัดหมด

    ตอนนี้เป็นกำลังใจขององค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า กัปนี้เราเป็นองค์ที่ ๔ ที่จะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ น้ำพระทัยขององค์สมเด้จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ใช้กำลังจิตที่ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติถอยหลังเป็นประโยชน์มากรู้อดีตที่ล่วงมาแล้วว่ามีสภาพเป็นอย่างไร เกิดเป็นอะไรบ้าง เกิดเป็นคนบ้าง แล้วก็ตายเป็นเทวดาบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง ไปอยู่ในนรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ทำคุณประโยชน์อะไรมาบ้าง และก็ได้รับพระพุทธพยากรณ์ว่าอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงสอนว่าอย่างไร และท่านผู้ใดที่เป็นพระอรหันต์เป็นเพราะอะไรเป็นเหตุ เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีกำลังใจ เพราะอาศัยปุพเพนิวาสานุสติญาณ จึงทบทวนไปทบทวนมา แล้วก็เลือกจัดธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เอามาเป็นเครื่องพิจารณา

    ตอนนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระมหากุรณาธิคุณเพื่อพิจารณาในด้านปุพเพนิวาสานุสติญาณ กำลังใจก็เต็มขึ้นเป็นเหตุให้ได้ทิพจักขุญาณหรือที่เรียกกันว่า จุตูปปาตญาณ เป็นอันว่าพระองค์กลับมีความรู้สึกว่า สัตว์ในโลกทั่วจักรวาลนี่เป็นคนก็ดี สัตว์ดิรัจฉานก็ดี บางท่านที่มาเกิดก็มาจากพรหมบ้าง มาจากเทวดาบ้าง มาจากมนุษย์บ้าง มาจากสัตว์ดิรัจฉานบ้าง อสุรกายบ้าง เปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง แล้วก็ทรงรู้ถึงว่า ถ้าพวกที่มีอารมณ์ตามนั้นที่ทรงอยู่ ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน รู้ถึงเรื่องความเป็นอยู่เป็นอันว่าตอนนี้เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระบรมครู ใช้ปัญญาเข้าพิจารณาด้วยกำลังของทิพจักขุญาณ และปุพเพนิวาสานุสติญาณ ว่าคนและสัตว์นี้มีเครื่องยืนยันได้แน่นอนว่าไม่มีใครมีสภาวะทรงตัว

    และเหตุที่จะพึงตัดจะต้องเอาอะไรมาตัดกรรมที่เป็นกิเลส คือ ที่เรียกว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ที่ทำให้คนมัวเมาอยู่ในร่างกายที่ไม่เป็นสาระไม่เป็นประโยชน์ การเกิดแต่ละชาติมีแต่โทษ ไม่มีคุณ จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องตัด เราจะต้องตัดใจของเราก่อน และจึงจะไปสอนบุคคลอื่น เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริอย่างนี้ กำลังสมาธิที่ท่านกล่าวว่าเป็นเหตุให้เกิดปัญญามันก็เกิด ก็มีความรู้สึกว่าสิ่งที่จะทำไม่ให้เกิดมีอยู่ ๔ อย่าง ต้องประกอบกัน คือ

    ทุกข์ [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]เป็นเครื่องดึงให้เกิด คือ คนที่หลงในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ และก็ทุกข์เกิดจากความอยาก การทะเยอทะยาน อย่างเมื่อเราเป็นเด็ก ๆ เราก็อยากจะโต เมื่อโตแล้วก็อยากจะเป็นพระราชา ท่านปรารภถึงพระองค์เอง เมื่อเป็นพระราชาแล้วก็อยากจะเป็นพระราชาที่มีอำนาจ อำนาจที่มีพระองค์ต้องการก็คืออำนาจโดยธรรมหรือมีธรรมเป็นอำนาจ จะใช้ความดีสงเคราะห์คนอื่นให้มีความสุข ใช้ความดีเป็นอำนาจพระองค์ทรงคิดไกล[/FONT][/FONT][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]
    [/FONT]
    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • buddha.jpg
      buddha.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.2 KB
      เปิดดู:
      2,899
  4. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,349
    attachment.php?attachmentid=670727&stc=1&d=1250344979.jpg

    เวลานี้ศีลของเราบริสุทธิ์หรือยัง ก็ทรงทราบว่าศีลบริสุทธิ์ทุกอย่าง สมาธิของเรามีกำลังพอหรือยัง ก็ทรงทราบว่าสมาธิของเรามีกำลังพอ จึงได้รวบรวมกำลังใจว่า จุดใดที่ยังมีภาวะติดอยู่ ตัดตรงไหนดีหนอ พิจารณาตอนนั้น จะตัดอารมณ์ใจอย่างเดียวหรือจะตัดอะไรด้วย อันดับแรกก็ตัดรูป คือไม่ห่วงใยในรูป นี่เราก็ตัดมาแล้ว ปัญญาบอกว่าต้องตัดรูป แต่ก็ทรงพิจารณาว่าเรานั่งที่นี่ก็ดี เราออกแสวงหาภิเนษกรมณ์ก็ดี นี่เราตัดรูปมาแล้วนี่นะ รูปเรา เราก็ตัด คือเราไม่หวังความสุขในรูปกายของเรา นี่เราตัดแล้ว รูปของพิมพาราชเทวี มเหสีที่รัก เราก็ตัดแล้ว รูปของลูกรักที่เกิดในวันเดียววันนั้นเราก็ตัดแล้ว รูปของพระราชบิดา พระราชมารดา หรือข้าราชการ เราก็ตัดแล้ว รูปของนางสนมนารี เราก็ตัดแล้ว และก็รูปของทรัพย์สินทั้งหลาย เราก็ตัดแล้ว

    ยังมีอะไรอีกบ้างไหมที่เราจะต้องตัด ก็เรื่องของนาม คือ ความปรารถนาของใจได้แก่โลกธรรม ๘ ทรัพย์สินที่พึงจะเกิดขึ้น เราตัดแล้วหรือยัง ก็ทรงพิจารณาว่า เวลานี้เราไม่มีอะไร มีแต่ผ้านุ่ง ผ้าห่ม กับร่างกาย ทรัพย์ทั้งหลายทั้งหมดที่มันมากกว่านี้ ที่เราครองอยู่ เราตัดแล้ว และการเสื่อมลาภไป ไม่มีลาภ เราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ นึกถึงลาภนั้นบ้างหรือเปล่า ก็ทรงราบว่า เราไม่นัก นี่เราตัดแล้วเรื่อง ลาภ มาเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ เรามาจากความเป็นพระราชา เราไม่ได้ลาออก เราไม่ได้มีความผิด เราตัดมาเพื่อแสวงหาพิเนษกรมณ์เราตัดแล้ว การหมดยศฐาบรรดาศักดิ์ อำนาจศักดิ์ศรี เป็นเครื่องวังเวงใจให้เรานึกถึงบ้างไหม เราก็ไม่นึกถึง อันนี้เราก็ตัดแล้ว

    เวลานี้เราตัดผม คนสมัยนั้นเขาถือว่าคนไม่มีผม คนโกนหัว เป็นคนกาลกิณี อารมณ์อย่างนี้ที่เขาจะ นินทา เรา เราหวั่นไหวไหม ก็ทรงทราบในพระทัยว่า เราก็ไม่ได้หวั่นไหว และประการต่อไป ถ้าใครเขามา สรรเสริญ เราก็ได้รับการยกย่องขณะที่มาอยู่ป่า เช่น ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ เทิดทูนเราว่าเป็นคนดี และก็มีพราหมณ์ที่นำหญ้าคามาให้เราก็ดี คนหลายคนที่ผ่านมาเห็นเราเข้า รู้ว่าเราเป็นกษัตริย์มาในกาลก่อน เขาก็พากันสรรเสริญเยินยอ ว่าเราเป็นคนดี คำสรรเสริญอย่างนี้เราผูกพันหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่า ไม่ผูกพันแล้ว

    ต่อไปองค์สมเด็จพระทีปแก้วก็มารำพึงว่า ความสุข ความทุกข์ ที่เนื่องกับร่างกายนี้เราตัดแล้วหรือยัง พระองค์ก็ทรงทราบว่าตัดแล้ว เพราะว่าเราตั้งมโนปณิธานว่า ถ้าไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เลือดและเนื้อมันจะเหือดแห้งไป นี่หมายความว่า ทุกขเวทนามันหนัก มันจะหิวขึ้นมาทีละน้อย ๆ หนักเข้า ๆ ร่างกายก็จะทรงไม่ไหว มันอาจจะตายซะตรงนี้ แต่อารมณ์เราก็ตัดแล้วด้วยดี มันจะตายซะตรงนี้ก็เชิญ ถ้าเราไม่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ อันนี้เราก็ตัดแล้ว เป็นอันว่าการพิจารณาแบบนี้ เป็นปัจจัยให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงยบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตัดกิเลสเป็น สมุจเฉทปหาน

    เวลานั้นลูกรัก ตามภาวะของภาพที่ปรากฏ คืออารมณ์เคลิ้ม เวลานั้นเห็นองค์สมเด็จพระพิชิตมาร มีกระแสจิตสว่างไสวเป็นประกายพรึกเหมือนกับอาทิตย์สักพันดวง และก็มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่ง เพราะความสดชื่นในจิต บรรดาเทวดาและพรหมต่างก็มานมัสการองค์พระธรรมสามิส โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านสหัมบดีพรหม กล่าวว่า สิทธัตถะ ท่านเอ๋ย เวลานี้กิจที่ท่านต้องการ คือพระสัมมาสัมโพธิญาณ ชื่อว่าเป็นอรหันต์องค์แรกในโลก บรรลุแล้วท่าน เป็นอันว่าท่านสหัมบดีพรหมยืนยัน และก็พรหมทั้งหมดยืนยันเทวดาทั้งหมดก็ยืนยันต่างคนต่างก็เอาเครื่องสักการวรามิสมีดอกไม้เป็นต้น ของสวรรค์ ของหอมต่าง ๆ มาบูชาองค์สมเด็จพระภควันต์ ในฐานที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และต่างคนต่างก็มายืนรายรอบองค์สมเด็จพระบรมครูพนมมือแสดงสักการะ เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงธรรมปีติขึ้นมาก มีความอิ่มเอิบ มีความสดชื่น

    attachment.php?attachmentid=670728&stc=1&d=1250344979.jpg

    ตอนนี้ตามปฐมสมโภชน์กล่าวว่า พระยามาราธิราช หรือที่เรียกว่าท้าวมาลัย เข้ามาเพื่อจะทำลายพิธี ตามที่บอกรู้สึกว่ามาดุดันมาก แต่ความจริงดุไม่ได้หรอก ประการที่หนึ่งเพราะว่าพระยามาราธิราชหรือท้าวมาลัย เป็นเทวดาที่อยู่ในอาณัติของพระอินทร์ และประการที่สองเทวดามีอำนาจไม่เกินพรหม นี่เค้าบอกว่าพระยามาราธิราชแผลงฤทธิ์ เทวดาและพรหมที่แวดล้อมอยู่หนีหมด อันนี้ไม่จริง ตามภาพนั้นปรากฏว่าไม่จริง มีเทวดาและพรหมถอยออกไปยืนถวายสักการะในที่อันสมควร ไม่ได้ยืนติดพระองค์

    ก็มีพระยามาราธิราชมาสะกิดว่า

    “ท่านจะไปหลงไหลใฝ่ฝันอะไรกับโพธิญาณ มันเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ท่านจงนึกถึงตำแหน่งพระเจ้าจักรพรรดิที่จะช่วยคนให้เป็นสุขทั้งโลกไม่ดีกว่าหรือ อีกประการหนึ่ง พระพิมพาราชเทวีก็มีพระรูปพระโฉมงดงาม และลูกชายคนเล็กก็เพิ่งเกิดใหม่ นอกจากนั้น สนมนารีก็มากมาย ทำไมไม่คำนึงถึงบ้าง ปล่อยให้เขาทั้งหมดมีความทุกข์ เพราะท่านหาความสุขแต่ผู้เดียว[FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New][/FONT][/FONT]

    [FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]สมเด็จพระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “ปาปิมะ ดูก่อน มารผู้มีบาป” เราทราบแล้วว่า เรากับท่านน่ะเป็นเพื่อนกันมาก่อนในอดีต อาศัยปุพเพนิวาสานุสติญาณ อาศัยที่เราถวายหญ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ได้เอาของท่านไปถวาย ท่านจึงมีความเข้าใจว่าเราต้องการจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแต่ผู้เดียว ท่านก็ปรารถนาเช่นเดียวกัน การทำอย่างนี้มันมีบาป เราตั้งมโนปณิธานมาฉันใด เรา
    ก็ปฏิบัติฉันนั้น แม้แต่ตัวท่านเองถ้าทำไปไม่ช้าก็บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ จะมาทำจิตให้เป็นบาปเพื่อประโยชน์อะไร

    เพียงเท่านี้ พระยามารก็ถอยหลังไป ตอนนี้ซิลูกรัก ลูกรักทุกคนเห็นไหมว่า องค์สมเด็จพระทศพลมีบุญญาธิการเพียงใด องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ไม่ทรงสนพระทัย

    เรื่องลาภสักการะ เรื่อง ยศฐาบรรดาศักดิ์ เรื่องนินทาและสรรเสริญ เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ต้องการอย่างเดียวคือพระโพธิญาณ อารมณ์ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารตอนนี้ ลูกทุกคนต้องจำ เพราะว่าเราเป็นสาวกของท่าน ถ้าเราไม่ใช้กำลังใจอย่างท่าน เราจะมีผลตามที่ท่านสอนไม่ได้

    เมื่อได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณแล้วเป็นของไม่ยาก เมื่อได้ทิพยจักขุญาณแล้วก็เป็นของไม่ยาก ถอยหลังเข้าไป แต่ว่าเราเป็นสาวก พ่อเข้าใจว่าลูกทุกคนต้องการอย่างนั้น มันก็ไม่ยาก ใช้อารมณ์ที่ลูกทุกคนศึกษาจากคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เรื่องไม่ยากมันก็เกิดขึ้น

    attachment.php?attachmentid=670736&stc=1&d=1250345359.jpg

    แต่พ่อก็ยังคิดว่า ยังยากอยู่ สู้เราตัดตรงตามที่องค์สมเด็จพระบรมครูทรงสอนไม่ได้ นั่นก็คือ

    ไม่ห่วงชีวิตและร่างกายของเรา ไม่ห่วงชีวิตและร่างกายของบุคคลอื่น ไม่ห่วงทรัพย์สินทั้งหลาย ถ้าตายคราวนี้ขอไปพระนิพพาน

    อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ เอาง่าย ๆ คนจะไปนิพพานเขาทำอย่างไร ก็ไปดูอารมณ์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรดังที่กล่าวมาแล้ว ตอนนี้ตามภาพที่เคลิ้ม ไป ในเวลานั้นตามกระแสเสียงของพระท่านพูด ก็ปรากฏกับจิตตามนี้ พ่อมีความรู้สึกเห็นน้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงแสวงหาภิเนษกรณ์ มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ ลูกรักต้องนอนกลางดิน ต้องกินกลางทราย ต้องอดทนทุกอย่างด้วยประการทั้งปวง

    เป็นอันว่าพระองค์มีทุกข์เพราะพวกเรา ฉะนั้นพวกเราทุกคน จงอย่าให้องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องผิดหวัง คำว่าต้องผิดหวัง ก็หมายความว่า กลายเป็นคนเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอันนี้พระพุทธเจ้าผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพระ พระทุกองค์จงอย่าเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และก็จงอย่าเมาในใบลาน หรืออย่าเมาในตำรา จงใช้กำลังใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นแบบฉบับแล้วก็ปรับกำลังใจของเราให้เท่าหรือคล้ายคลึงกำลังใจของพระองค์ ที่มีพระพุทธประสงค์มาสอนเรา

    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]เมื่อจิตเคลิ้มไปตอนนี้ อารมณ์ใจพ่อก็เป็นสุข ขอให้ลูกรักของพ่อทุกคนจงจำไว้และปฏิบัติตาม[/FONT][/FONT]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [/FONT]
    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2009
  5. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    อนุโมทนา สาธุ และขอขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ของหลวงพ่อฤาษีครับ
     
  6. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  7. kriengkripob

    kriengkripob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,326
    ค่าพลัง:
    +2,048
    อนุโมทนา คำสอนชัดเจน แน่นอน ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย สาธุ สาธุ
     
  8. joeycoles

    joeycoles เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +457
    ความดีไม่ใช่ทำง่าย แต่ไม่ยากเกินกว่าความสามารถ สาธุครับ
     
  9. dome_709

    dome_709 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +62
    ขอให้ทุกคนได้มีกำลังใจดี สงบ ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ทุกที่ ทุกเวลา ทุกโอกาส
    ขออนุโมทนากับบทความนี้ และทุกคนที่ได้อ่านครับ
     
  10. rom_pho

    rom_pho สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +19
    ขอ อนุโมทนา สาธุครับ
    ชอบมาก ขออนุญาติ คัดลอกไปเก็บไว้ในเครื่องนะครับ ขอบคุณมากครับ
     
  11. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,349
    ไม่นึกว่าจะชอบกันขนาดนี้ ไว้จะหาเรื่องราวในหนังสือ 'เรื่องจริงอิงนิทาน' ของ ลพ.ฤาษี มาลงอีกนะครับ ^_^
     
  12. sa_bye_dee

    sa_bye_dee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +34
    ..........เราไม่ปราถนาสุขไดอีกแล้ว................สุขสุดนิพพาน
     
  13. amar

    amar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +606
    ผู้ที่คิดจะทำมีดังขนโค แต่ผู้ที่ทำได้มีดังเขาโค
    สาธุ อนุโมทามิ
     
  14. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    ยิ่งอ่านในตอนสุดท้าย อ่านเเล้วจะร้องไห้ ซาบซึ้งมาก
     
  15. oamiamgod

    oamiamgod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +3,223
    อนุโมทนาครับ บุญคุณของพระพุทธองค์ยิ่งใหญ่ จนคณานับไม่ได้จริงๆ
     
  16. DevaIsis

    DevaIsis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,005
    ค่าพลัง:
    +4,600
    อนุโมทนา สาธุ ท่านทรงมีพระคุณกับพวกเรา ทนทุกข์เพื่อพวกเรา เพราะอยากให้เราพ้นทุกข์นั่นเอง ซึ้งจังเลยค่ะ นี่แหละคือกำลังใจของพระพุทธเจ้า ที่แตกต่างจากกำลังใจของเทพเทวดาต่างๆ
     
  17. คนรักชาติ

    คนรักชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +181
    [​IMG]
    ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะทุกพระองค์ พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์โดยมีบุญบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงปู่ทวดเป็นที่สุดช่วยดลบันดาลให้จิตข้าพเจ้าฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้โพสกระทู้ ผู้อ่านกระทู้ และผู้ตอบกระทู้ ข้าพเจ้าอยากมีส่วนร่วมกับบุญบารมีของพวกท่านทั้งบุญบารมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจะโยโหตุ
     
  18. T^_^N

    T^_^N สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +16
    อนุโมทนา สาธุ ค่ะ
    เป็นประโยชน์อย่างมหาศาล ที่ได้เข้ามาอ่าน
    ขออนุญาติ นำไปโพสที่เวบอื่นเพื่อเป็นการเผยแพร่นะค่ะ
     
  19. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    อนุโมทนาสาธุร่วมกับพระพุทธองค์ หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง และทุกท่านที่ใฝ่ธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...