เชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ เมื่อโลกและธรรมหมุนไปพร้อมกัน

ในห้อง 'บันเทิงและศิลปวัฒนธรรม' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 20 พฤษภาคม 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    เชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ เมื่อโลกและธรรมหมุนไปพร้อมกัน

    cherry-696x364.jpg


    เชอรี่ - เข็มอัปสร นางเอกสาวมากความสามารถที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นผลงานการแสดงของเธอสักเรื่อง ล่าสุดเธอเป็นผู้รณรงค์ปลูกป่าจากกลุ่ม Little Help น่าสนใจไม่น้อยว่าเหตุใดเธอสนใจช่วยงานกลุ่มนี้ และสิ่งที่เธอได้พบเห็นมาเปลี่ยนความคิดของเธอไปอย่างไรบ้าง



    ร่วมค้นหาตัวตนของเชอรี่ในแบบที่เธอเป็น แล้วคุณจะพบว่าความสุขในการใช้ชีวิตแบบที่โลกกับธรรมดำเนินไปพร้อมๆ กันนั้นมีอยู่จริง

    ตอนนี้คุณเชอรี่ทำอะไรอยู่บ้างคะ

    เชอรี่กำลังทำโครงการเพื่อแก้ปัญหาเรื่องป่าไม้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์นอกจากนี้ก็เป็นวิทยากรพิเศษบรรยายธรรมตามที่ต่าง ๆ และช่วยงานออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ดอยตุง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในโครงการ Doi Tung and Friends ค่ะ

    มารณรงค์เรื่องการปลูกป่าได้อย่างไรคะ

    เริ่มจากเมื่อปีก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เนปาล เชอรี่และเพื่อน ๆ ตั้งกลุ่มขึ้นมาชื่อกลุ่ม Little Help เป็นการรวมตัวกันเฉพาะกิจเพื่อทำงานการกุศลช่วยเหลือเหตุการณ์นั้นเท่าที่เราจะทำได้หลังจากนั้นเวลาผ่านไปหนึ่งปี เราก็คุยกันมาตลอดว่าจะช่วยแก้ปัญหาอะไรให้เมืองไทยได้บ้าง ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ปัญหาภัยแล้งเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขเร่งด่วนโดยต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา นั่นคือเรื่องป่าไม้ เราจึงตั้งต้นตรงนั้น แต่เมื่อได้หาข้อมูลและลงมือทำจริง ๆ ก็พบว่าเป็นเรื่องยาก เพราะแต่ละคนไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยตอนนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯจัดทริปไปจังหวัดน่านซึ่งกำลังประสบปัญหาภูเขาหัวโล้น การลงพื้นที่ครั้งนั้นเพื่อไปดูว่าปัญหาป่าไม้ที่นั่นแท้จริงแล้วเกิดจากอะไรและจะมีแนวทางใดแก้ไขปัญหานี้ได้บ้างเชอรี่และเพื่อน ๆ จึงได้ร่วมทริปไปด้วย

    พอไปเห็นสถานที่จริงก็รู้สึกท้อใจว่าเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร เพราะในพื้นที่มีภูเขาหัวโล้นกระจายตัวกันเป็นหย่อม ๆ ตอนนั้นเราคิดกันว่า หากคนในพื้นที่ยังไม่มีความรู้ที่ถูกต้องในการรักษาป่าและยังบุกรุกป่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้เราปลูกป่าทดแทนแค่ไหนก็แก้ปัญหาไม่ได้ คนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯเล่าให้เราฟังว่า เมื่อก่อนที่ดอยตุงก็เคยประสบปัญหาเดียวกัน แต่สมเด็จย่าทรงเข้าไปพลิกฟื้นดอยตุงจากภูเขาหัวโล้นให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียว และทำให้คนในพื้นที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น วิธีที่มูลนิธิใช้คือการเข้าไปบอกและสอนให้คนในพื้นที่มีความเข้าใจ เห็นประโยชน์ของป่าไม้ ทำให้เกิดเป็นพลังชุมชนพลิกฟื้นผืนป่าขึ้นมาได้ มูลนิธิจึงใช้โมเดลการแก้ปัญหานี้ในหลาย ๆ พื้นที่ และที่จังหวัดน่านเองก็ใช้โมเดลนี้แก้ปัญหาได้ด้วยเช่นกัน

    พอกลับมาจากทริปนั้น เชอรี่และเพื่อน ๆ จึงเริ่มมีความหวังมากขึ้นในการจะปลูกป่าให้สำเร็จ เราระดมสมองร่วมกันระหว่างกลุ่ม Little Help มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อทำงานนี้อย่างจริงจัง เรื่องแรกที่เราทำคือเรื่องเงินทุนที่ต้องใช้ในการทำงาน เราจึงระดมทุนโดยตั้งโครงการ Little Forest ขึ้นเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์มาขายผู้ที่อยากมีส่วนร่วมแต่ไม่มีเวลาให้สามารถร่วมสนับสนุนได้

    การลงพื้นที่ครั้งนั้นคุณเชอรี่ได้เจอแกนนำชุมชนด้วย มีเรื่องประทับใจเล่าสู่กันฟังไหมคะ

    มีค่ะ ตอนลงพื้นที่เราต้องเดินขึ้นดอยที่ทั้งชันและอากาศก็ร้อนมาก พอเดินขึ้นไปก็เจอผู้ใหญ่บ้านชื่อผู้ใหญ่กานต์ เขามายืนรอต้อนรับเรา คำแรกที่ทักพวกเราคือ ขอโทษนะครับ ขอโทษทุก ๆ คนที่ทำให้ต้องลำบากขนาดนี้ เขาขอโทษเราหลายครั้งมาก และที่สะกิดใจคือ สายตาที่มองเราด้วยความจริงใจมันทำให้เราสัมผัสได้เลยว่าเขารู้สึกผิดกับเราจริง ๆ แต่เมื่อเทียบกับความรับผิดชอบและสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อชุมชนแล้ว การที่เราเดินขึ้นมาลำบากดูเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก

    ผู้ใหญ่กานต์เล่าให้ฟังว่า เขาพยายามแก้ปัญหาเรื่องการตัดไม้ทำลายป่ามาหลายครั้งแล้ว มีหน่วยงานหลายหน่วยเข้ามาเหมือนจะช่วย แต่ฝันก็สลาย ทำชาวบ้านอกหักหลายครั้ง จนกระทั่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯเข้ามาตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อ เพราะคิดว่าจะเข้ามาหลอกเหมือนหน่วยงานอื่น ๆ แต่พอแอบติดตามดูการทำงานของมูลนิธิที่เคยช่วยพื้นที่อื่นเป็นระยะเวลาหลายปี ก็เห็นว่ามูลนิธิทำงานจริง แก้ปัญหาได้จริง ทำให้เขามีความหวัง เขาจึงไปขอร้องให้มูลนิธิกลับมาช่วยหมู่บ้านของเขา

    หลาย ๆ เรื่องที่เล่า รวมถึงความรับผิดชอบของเขา ปัญหาที่ต้องเจอซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือการที่ต้องล้มแล้วลุกครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เชอรี่รู้สึกว่า เขาสร้างแรงบันดาลใจหลาย ๆ อย่างให้เชอรี่อยากใช้ชีวิตแตกต่างไปจากเดิม

    เขาเปลี่ยนคุณเชอรี่อย่างไรบ้างคะ

    เชอรี่รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันยิ่งใหญ่ เมื่อเทียบกับการใช้ชีวิตของเชอรี่ที่ผ่านมา ทำให้รู้สึกว่าเราไร้สาระ เชอรี่เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเขาที่อยู่กันแบบพอเพียงตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและการที่เขาทำการเกษตร ปลูกข้าว ปลูกผักทำปศุสัตว์ มีโรงสีข้าวเล็ก ๆ คนในหมู่บ้านทุกคนช่วยเหลือมีน้ำใจให้กัน มันเป็นสังคมอุดมคติที่เชอรี่เคยเรียนในแบบเรียนตอนที่เรายังเด็ก เชอรี่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ได้หายไปจากสังคมไทยแล้ว แต่ปรากฏว่ามันยังมีอยู่ จึงทำให้เชอรี่รู้สึกดีมาก ๆ และทำให้วิธีคิดของเชอรี่เปลี่ยนไป เชอรี่อดแปลกใจตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมการลงพื้นที่ระยะเวลาแค่ 4 - 5 วันถึงเปลี่ยนเราไปได้ขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เราก็ปฏิบัติธรรมมา 7 - 8 ปีแล้ว การปฏิบัติธรรมทำให้เชอรี่เปลี่ยนนะ แต่ก็ใช้ระยะเวลานานมากในการค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนนิสัยหรือรูปแบบการใช้ชีวิต โดยเฉพาะทัศนคติเรื่องการใช้สตางค์นั้นเห็นชัดมากว่า การปฏิบัติธรรมช่วยให้เรามีสติในการใช้สตางค์อยู่แค่พักหนึ่ง แต่พอนาน ๆ ไปก็เจอกิเลสตีกลับจนใช้สตางค์หนักกว่าเดิม ซึ่งต่างจากการลงพื้นที่ที่เปลี่ยนวิธีคิดเราไปอย่างสิ้นเชิง

    เมื่อก่อนเชอรี่เคยคิดว่า เราเป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะไปช่วยแก้ปัญหาใหญ่ ๆอะไรได้ แต่พอได้ลงพื้นที่ เห็นความตั้งใจของชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้าน ทำให้เชอรี่เปลี่ยนความคิดว่า ขนาดคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ เขายังสามารถพลิกฟื้นชีวิตให้ดีขึ้นได้ด้วยมือเล็ก ๆ ของเขา แล้วทำไมเราถึงดูถูกตัวเองว่าเราทำอย่างนั้นบ้างไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เชอรี่ประทับใจและอยากนำมาเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต

    คุณเชอรี่ปฏิบัติธรรมมา 7 - 8 ปีแล้วอยากทราบว่ามีจุดเปลี่ยนอะไรในชีวิตจึงหันมาสนใจทางนี้คะ




    เนื่องจากคุณแม่เสียตอนที่เชอรี่อายุ 21 ค่ะ ทำให้เราเริ่มอ่านหนังสือธรรมะ แต่ตอนนั้นยังไม่คิดที่จะไปปฏิบัติธรรม มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนของเชอรี่ป่วยเป็นมะเร็งที่สมองคุณแม่ของเพื่อนจึงแนะนำให้เพื่อนไปปฏิบัติธรรม เชอรี่ก็อาสาหาคอร์สให้ แต่พอหาคอร์สได้แล้วเพื่อนกลับไปไม่ไหว จึงอาสาไปแทนตอนนั้นเชอรี่รู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากและไกลตัวมาก แต่พอต้องไป เราก็ตั้งใจปฏิบัติมาก เรียกว่าเป็นเด็กนักเรียนหน้าห้องเลยทั้งที่ทั้งเบื่อและง่วงสุด ๆ ในใจนี่คิดแต่อยากจะหนีกลับบ้าน แต่ก็อดทนอยู่จนครบ 7 วัน ปรากฏว่าทำให้ชีวิตเราเปลี่ยน เพราะเราได้พบกับความสุขเบาสบายที่เกิดขึ้นในใจโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่น ทำให้เชอรี่เพิ่งเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร มันเหมือนกับชีวิตที่ผ่านมาเราอยู่ในความมืด แล้วจู่ ๆ ก็โผล่พ้นขึ้นมาพบแสงสว่างและทำให้รู้ว่านี่แหละคือหนทางที่เราต้องเดิน จากจุดนั้นเองที่ทำให้เชอรี่ปฏิบัติธรรมเรื่อยมา และทำให้เราเข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า แม้ความสุขที่เกิดขึ้นจากสมาธิและการปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้อยู่กับเรานาน รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตก็เช่นกัน ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ทุกอย่างมีเกิดขึ้นแล้วก็จบลงทั้งนั้น

    ทราบมาว่าปัจจุบันก็ยังปฏิบัติธรรมเดินจงกรม นั่งสมาธิทุกวัน

    ใช่ค่ะ เพราะเมื่อก่อนเวลาไปปฏิบัติธรรมแล้วกลับมาอยู่ทางโลก เชอรี่จะรู้สึกว่าเหนื่อยกับทางโลกเหลือเกิน ทำให้เชอรี่ต้องการการปฏิบัติธรรมมาก พอเป็นอย่างนี้หลาย ๆ ครั้งเข้าทำให้เราเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตทางโลกให้สอดคล้องกับการปฏิบัติธรรม จึงเริ่มจัดสรรเวลาทางโลกให้กับการปฏิบัติธรรมด้วย คือพยายามเดินจงกรมและนั่งสมาธิให้ได้ทุกวัน และระหว่างวันก็พยายามมีสติให้กลับมารู้อยู่ที่ตัวที่ใจของเราเป็นการทำให้ธรรมะอยู่ในชีวิตประจำวันของเราได้อย่างเป็นปกติ

    การปฏิบัติธรรมก็คือการกลับมาสังเกตที่กายที่ใจ อย่างเวลาเชอรี่ไปออกกำลังกายก็จะสังเกตว่ากล้ามเนื้อมัดไหนทำงานอยู่ หรือเวลาเหนื่อยมาก ๆ ก็สังเกตดูว่า เราเหนื่อยที่ไหน หัวใจกำลังเต้นหรือบีบแรงแค่ไหนหรือแม้กระทั่งเวลารับประทานอาหารที่เราชอบมาก ๆ เราก็สังเกตดูใจของเราว่ามันมีอาการอย่างไร มันดีใจหรือมันชอบ นี่คือการฝึกสติที่เชอรี่พยายามทำให้เป็นธรรมชาติเมื่อสติแข็งแรงเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในกายในใจคมชัดขึ้น แต่ถ้าเราไม่ฝึกสติเลยเราก็จะมองไม่เห็นกิเลสภายในจิตในใจของเราว่ามันร้ายกาจขนาดไหน ความเจ้าเล่ห์และลูกล่อลูกชนของกิเลสเป็นอย่างไร และทำให้คิดว่าเราเป็นคนที่ดีแสนดีเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้เชอรี่จึงพยายามฝึกให้ได้ทุกวันเพื่อให้กิเลสในใจของเราลดน้อยลงบ้าง

    ทุ่มเทให้การปฏิบัติธรรมขนาดนี้ยึดติดตัวตนน้อยลงไหมคะ

    มีคนเคยถามเชอรี่เหมือนกันว่า ทำไมปฏิบัติธรรมแล้วยังแต่งตัวจัดอยู่ เชอรี่ก็ตอบว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอาชนะกิเลสการยึดติดในความสวยงามอาจเป็นข้อด้อยของเชอรี่ที่รู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะตัดกิเลสตรงนี้ แต่ละคนมีกิเลสที่แตกต่างกันไปบางคนอาจติดกับการเป็นคนเก่ง อยากแสดงความสามารถ นั่นก็คือกิเลสที่เขาตัดได้ยากเหมือนกัน ตอนนี้อย่างที่บอกว่าเชอรี่ได้ไปเรียนรู้ชีวิตของคนอื่นมาแล้ว มันกระแทกใจเราอย่างแรงจนไม่น่าเชื่อ เลยทำให้เชอรี่เริ่มจัดสรรความสำคัญในการดำเนินชีวิตของตัวเองใหม่ เรียกว่าทำให้เชอรี่คิดได้และเชื่อว่ามันจะช่วยให้เราค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ

    การที่คุณเชอรี่รับงานแสดงนานๆครั้งเป็นการเบรกตัวเองไม่ให้ถลำลึกเข้าไปในวงการมายาหรือเปล่าคะ

    เชอรี่ไม่ได้รับงานแสดงถี่มากมานานแล้วค่ะ เพราะเป็นคนเรื่องมาก เลือกเยอะ จะเลือกทำเฉพาะที่ชอบ และเวลาถ้าตกลงว่าจะทำแล้วก็จะทำเต็มที่ ทำให้ดี แล้วละครเรื่องหนึ่งเมื่อรับแล้วเราต้องอยู่กับมัน 8 - 9เดือน ฉะนั้นถ้าเชอรี่ไม่แฮ็ปปี้กับมันก็จะรู้สึกแย่มาก หลังจากที่ธรรมะเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นก็ยิ่งส่งผลในการเลือกรับงาน ทำให้จากปกติที่เป็นคนเรื่องมาก มีข้อจำกัดเยอะอยู่แล้ว มาบวกกับเรื่องธรรมะทำให้ยิ่งรับงานยากขึ้นไปอีกจะว่ากันตามจริงก็คือ เชอรี่มีเป้าหมายชีวิตชัดเจนว่าเราต้องการอะไร แล้วการทำงานมันตอบโจทย์เราหรือเปล่า ก็แค่นั้น

    6004001.jpg



    เป้าหมายในชีวิตของคุณเชอรี่คืออะไรคะ

    เป้าหมายก็คือ การได้ใช้ชีวิตในแบบที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ คือทำอย่างไรก็ได้ให้การใช้ชีวิตของเราเอื้อต่อการปฏิบัติธรรม เพราะเราอยากจะเดินตามเส้นทางนี้ นอกจากนี้ก็อยากใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์กับคนอื่นที่ไม่ใช่เพียงแค่คนใกล้ชิดหรือคนที่เรารัก แต่ยังมีสิ่งที่เราต้องสำนึกในบุญคุณและหาโอกาสตอบแทนคุณบ้าง นั่นคือ แผ่นดินเกิดและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งท่านทรงทำอะไรมากมายเพื่อชาวไทย พระองค์ท่านทำให้เชอรี่รู้สึกว่าอะไรที่เราสามารถทำได้เพื่อคนอื่นแบบที่พระองค์ท่านทรงทำ ก็อยากทำเหมือนพระองค์ท่านบ้างค่ะ

    คุณเชอรี่บอกว่าเป็นวิทยากรบรรยายธรรมด้วย ส่วนใหญ่พูดเรื่องอะไรบ้างคะ

    เป็นการแบ่งปันประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมของเรา เพราะเชอรี่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ที่ต้องเจอกับอุปสรรค ความเบื่อ ความง่วง การแบ่งปันเรื่องราวก็เหมือนเป็นการให้กำลังใจกันว่าเราผ่านอุปสรรคเหล่านั้นมาได้อย่างไร และเราทำอย่างไรจึงอยู่จนครบคอร์ส 7 วัน และหลังจากจบคอร์สเราใช้ชีวิตอย่างไร

    นอกจากนี้เชอรี่ก็พูดเรื่องการรักษาศีล 5จะแชร์ให้ทุกคนฟังว่าศีลแปลว่าปกติ และศีล 5 ก็คือความเป็นปกติของความเป็นมนุษย์ตอนถือศีล 5 แรก ๆ เชอรี่ไม่กล้าบอกใครว่าเราถือศีล 5 เพราะรู้สึกอาย แต่ดูเข้าจริง ๆสังคมปัจจุบันนี้ทำเรื่องผิดศีลให้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เช่น การดื่มสุรา หรือการเป็นชู้กัน เชอรี่จะพูดเรื่องพวกนี้ รวมถึงเรื่องอิทธิบาท 4 หรืออินทรีย์ 5 ซึ่งจะช่วยเป็นแนวทางให้เขาปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น

    ตอนที่คุณแม่เสียใหม่ๆ คุณเชอรี่เคยให้สัมภาษณ์ว่าทำใจยอมรับไม่ได้เลย ไม่ทราบว่าหลังจากได้ศึกษาธรรมะ มองเรื่องความตายอย่างไร

    ตอนนี้ก็เข้าใจมันมากขึ้น เวลานั่งสมาธิเชอรี่จะเจริญมรณานุสติว่าถ้าตายจะเป็นอย่างไรหรืออย่างเวลานั่งเครื่องบินแล้วเครื่องตกหลุมอากาศ ก็จะดูที่ใจของเราว่ามันรู้สึกอย่างไรยังห่วงใครหรือยึดติดอะไรอยู่ไหม เชอรี่พยายามฝึกแบบนี้บ่อย ๆ เพื่อเมื่อเวลาความตายมาถึง เราจะรู้ว่าควรทำใจอย่างไร เชอรี่ทำอย่างนี้บ่อย ๆ ทำให้เริ่มเห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา เชอรี่รู้สึกว่าเราตายได้และไม่ห่วงอะไร อันนี้คือสำหรับตัวเอง แต่หากเป็นคนที่เรารักต้องตายก็ยังทำใจยากอยู่ คงต้องอาศัยเวลาเพื่อจะทำใจยอมรับให้ได้

    เท่าที่ฟังคุณเชอรี่ปลงเรื่องตัวเองได้แล้ว คิดอย่างไรหากวันหนึ่งเขาไม่ได้จ้างเราเป็นนางเอกแล้ว

    เชอรี่รับได้ค่ะ แล้วเชอรี่ก็ไม่ได้ยึดติดว่าเราต้องเป็นนักแสดงตลอดไป เพราะจริง ๆตอนที่ไม่ได้รับงานแสดง ชีวิตก็มีความสุขดีได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตด้านอื่น ๆ บ้าง เชอรี่ชอบเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ได้เจอกับคนอื่น ๆในวงการอื่น เป็นความสุขอีกแบบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รังเกียจที่จะกลับมาเล่นละคร เชอรี่อยากให้เวลาเป็นตัวบอกเราดีกว่า ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคต เพราะตอนนี้เชอรี่มีความสุขอยู่กับปัจจุบันที่มีหลายอย่างต้องรับผิดชอบ

    ยิ่งตอนนี้พอได้รู้จักกับวิชาของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตก็ทำให้เชอรี่เข้าใจชีวิตมากขึ้น และทำให้รู้ว่าร่างกายสำคัญมาก เพราะถ้าเราจะเข้าวัดตอนแก่แล้วให้เดินจงกรมหรือนั่งสมาธินาน ๆ สังขารคงไม่ไหว จึงควรทำตั้งแต่ตอนนี้ที่เรายังแข็งแรงแล้วเราก็ควรดูแลตัวเองให้ดีด้วยการออก-กำลังกาย กินอาหารที่ดี พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้เราปฏิบัติธรรมได้สะดวก เชอรี่ว่าการที่เราปฏิบัติธรรมได้ตั้งแต่อายุยังน้อยนั้นถือเป็นกำไรชีวิต


    การปฏิบัติธรรมมากๆ ทำให้อยากทิ้งทางโลกไปเลยไหมคะ



    ช่วงแรกค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าปฏิบัติธรรมแล้วดีจังเลย ตอนนั้นเชอรี่ยังหาจุดสมดุลระหว่างทางโลกกับทางธรรมไม่ได้ ตอนนั้นเบื่อที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตทางโลกมากจนไม่อยากเจอคนหรือเจอเรื่องราวอะไรต่าง ๆ ที่มากระทบใจ เพราะเรารู้สึกรับไม่ได้ แต่นั่นคือเราไม่ได้เอาธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันเลยแต่พอฝึกปฏิบัติบ่อย ๆ เข้าก็ทำให้รู้ว่า เราไม่สามารถบังคับทุกอย่างให้เป็นไปอย่างใจเราได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือใช้ธรรมะรับมือกับสิ่งที่เราไม่ถูกใจ นี่ต่างหากที่ทำให้เราเปลี่ยนและทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ตรงไหนก็ได้

    ตอนที่รับทางโลกไม่ได้นี่คิดจะบวชบ้างไหมคะ

    ไม่เคยอยากบวชค่ะแค่อยากไปปฏิบัติธรรมแล้วก็อยากจะอยู่ตรงนั้นความจริงพี่ที่สถานปฏิบัติธรรมก็ชวนบวชอยู่เรื่อย ๆเหมือนกัน แต่เชอรี่บอกว่ายังก่อน เพราะแค่นี้คนก็หาว่าเราแปลกมากแล้ว (หัวเราะ) เรากลัวคนอื่นไม่เข้าใจแล้วหาว่าเราเป็นเอามาก ต้องบอกว่าการบวชไม่ได้อยู่ในแพลนของเชอรี่เลย อาจด้วยความที่เรายังเป็นนกหงส์หยกอยู่ ไม่อยากโกนหัวโกนคิ้ว การถือศีล 8 เวลาไปปฏิบัติธรรมก็ถือว่าโอเคมากแล้วสำหรับชีวิตเชอรี่ณ ตอนนี้

    จากวันนี้มองอนาคตตัวเองอย่างไรคะ

    ไม่ได้วางแผนอะไรไกลเลยค่ะ เพราะเราไม่รู้เลยว่าอนาคตเราจะแก่ตายหรือเปล่าเอาเป็นว่าทำชีวิตตอนนี้ให้ดีที่สุด มีปัญหาอะไรเข้ามาก็ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเรื่องตามสมควร

    เชอรี่คิดว่า การที่เราไม่พยายามเอาทุกอย่างมาเป็นปัญหาในชีวิตนี่ละทำให้ชีวิตของเชอรี่ไม่ค่อยมีความทุกข์มากนัก เวลามีปัญหา เชอรี่จะค่อย ๆ คิดและแก้ปัญหาทีละเรื่อง แก้ทีละเปลาะ ซึ่งต่างจากคนส่วนมากที่ชอบเอาปัญหาชีวิตมารวมเป็นเรื่องเดียวกันปัญหาจึงดูเป็นเรื่องใหญ่และแก้ไม่ตก

    เชอรี่ว่า หากเราใช้ชีวิตแบบกลาง ๆคือมีทั้งวางแผนไปด้วยและค่อย ๆ แก้ปัญหาในชีวิตไปด้วย จะทำให้ชีวิตเราไม่ทุกข์มากจนเกินไป

    ที่สำคัญ แค่รู้สึกแฮ็ปปี้กับปัจจุบันที่มันเป็นอยู่ก็เพียงพอแล้ว

    6004002.jpg



    Secret BOX

    การยอมรับความจริง

    ที่ไม่ตรงกับความคาดหวังของเรา

    เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง

    พระไพศาล วิสาโล

    เรื่อง ธันยาภัทร์ รัตนกุล, อุราณี ทับทอง ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี ผู้ช่วยช่างภาพ ชโนดม แต้ไพสิฐพงษ์,ณัชฐเศรษฐ์ วันชัยชนะ, Natnaree, รุ่งทิพย์ เรืองเชื้อเหมือน สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ แต่งหน้า พงษ์ศักดิ์ คงสุข ทำผม ภูดล คงจันทร์


    -----------------------------
    http://www.goodlifeupdate.com/52273/healthy-
    mind/cherrykhemupsorn
     

แชร์หน้านี้

Loading...