เช็คดู !!!ว่าคุณสมบัติดังต่อไปนี้ ตรงกับคุณคือLight Worker รึเปล่า

ต่อไปนี้ผมจะขอส่งต่อข้อความจากจักรวาลเกี่ยวกับไลฟ์เวิร์คเกอร์นี้มาให้คุณผู้อ่านลองดูคร่าวๆให้เช็คดูว่าคุณสมบัติดังต่อไปนี้ว่าตรงกับคุณผู้อ่านบ้างหรือไม่ ดังนี้ครับ



“ลักษณะของไลท์เวิร์กเกอร์โดยทั่วไป มักรู้สึกตนเองว่ามีความแตกต่างจากคนทั่วไปในโลกนี้ ผู้คนรอบข้างไม่เข้าใจตัวคุณ และบ่อยครั้งบุคคลที่ไม่เข้าใจคุณกลับเป็นคนในครอบครัวของคุณเอง”



“ในวัยเด็กของผู้ที่เป็นไลท์เวิร์กเกอร์มักจะยากลำบากในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เจ็บปวดและโดดเดี่ยว”



“ไลท์เวิร์กเกอร์ เชื่อว่า พวกเขามาที่โลกนี้เพื่อจุดประสงค์ทางด้านจิตวิญญาณ แม้ว่าพวกเขายังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรก็ตาม”



“ตามธรรมชาติของไลท์เวิร์กเกอร์มักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ให้ความช่วยเหลือคนอื่นเสมอ และบ่อยครั้งที่ไม่สามารถปฏิเสธคำขอร้องจากผู้อื่น”



“ไลท์เวิร์กเกอร์มีความสามารถในการอ่านคน รู้ว่าคนอื่นมีความรู้สึกหรือสภาวะอารมณ์อย่างไร”



“ในฐานะที่เป็นไลฟ์เวิร์คเกอร์คนหนึ่งคุณจะมีสัมผัสที่ไวต่อประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจักระที่ 4 หรือจักระหัวใจอย่างรุนแรง”



“ไลท์เวิร์กเกอร์ปรารถนาความรักและการยอมรับ แต่ยากที่จะหาเจอ เนื่องจากความสัมพันธ์ที่มักพบว่าเข้ากันไม่ได้ ทำให้ท้อแท้เหนื่อยหน่าย”



“ถึงแม้ว่าบ่อยครั้งที่รู้สึกโดดเดี่ยว แต่พวกไลท์เวิร์กเกอร์ก็มักใช้เวลาอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่กับคนอื่นที่ไม่เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา ขณะที่หลายครั้งก็ต้องยอมเข้ากลุ่มสังคมหรืออยู่ในกลุ่มคนเพื่อไม่ให้มองดูเป็นตัวประหลาด”



“ไลท์เวิร์กเกอร์มีแนวโน้มสุภาพและใจดีกับคนทั่วไป แม้ว่าอีกฝ่ายจะแสดงความไม่สุขภาพออกมาก็ตาม”



“ความสนใจของไลท์เวิร์กเกอร์ไม่ค่อยเหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่สนใจด้านแฟชั่น กีฬา ซุบซิบดารา การนินทาว่าร้าย ฯลฯ”



“ไลท์เวิร์กเกอร์ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่เสพข่าวหรือข้อมูลด้านลบที่ทำให้หดหู่”



“ไลท์เวิร์กเกอร์ไม่ชอบการแข่งขัน ไม่ชอบการต่อสู้หรือความขัดแย้ง แต่จะรู้สึกโกรธเมื่อพบเห็นการกระทำทารุณโหดร้ายและไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะหากเหตุการณ์นั้นเป็นความรุนแรงต่อเด็กและสัตว์ บ่อยครั้งที่ร้องไห้เพราะเห็นต้นไม้ถูกโค่น”



“อาชีพของไลท์เวิร์กเกอร์มักเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้คนในด้านต่าง ๆ อาทิ การรักษา ที่ปรึกษา การสอนการช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือสัตว์ หรือทำงานเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”

“ไลท์เวิร์กเกอร์ปรารถนาความสงบสุข”

“ไลท์เวิร์กเกอร์ชอบศึกษาทางด้านจิตวิทยา โหราศาสตร์ ฮวงจุ้ย เรกิ รวมทั้งศาสตร์ลึกลับอื่น ๆ”



นี่คือ ข้อความบางส่วนในข้อความของ Light Worker





#Lightworker #นักรบแห่งแสงสว่าง #รหัสลับมนุษย์พันธุ์ใหม่



สนใจอ่านฉบับเต็มสั่งซื้อที่นี่ ——————————————–
E-Book :Light Worker – รหัสลับมนุษย์พันธุ์ใหม่ >> https://goo.gl/gh90JX
——————————————–

 

ผมไล้ไม่เวริคเกอร์อะ

 

อยากอ่านค่ะ
แต่ราคานี้
อยากได้แบบเป็นหนังสือกระดาษ นอนอ่านเพลินๆ
อีบุคน่าจะลดราคาลงหน่อยนะฮะ เนื่องจากไม่มีต้นทุนในการพิมพ์และค่ากระดาษ

 

เป็นหรือเปล่าไม่รู้ แต่มีหลายๆอย่างตรงตามนั้น
ยกเว้นเรื่องเสพข่าวนะ ช่วงนี้อ่านแต่ข่าวหดหู่

 

ผมเป็น Light Yagami คับ

 

ตรงเป๊ะทุกอย่างเลย

 

ขอบคุณมากๆๆครับ พอดีจะมีโปรแกรมคลื่นความถี่พิเศษให้ทั้งหมด 3 โปรแกรมครับ เป็นการฟังไปด้วยอ่านไปด้วยซึ่งจะได้เข้าใจกลไกของจิตมากขึ้นครับ

 

Light Worker การถ่ายทอดสัญญาณจากจักรวาล

 

ขอบคุณมากๆๆครับ

 

การใช้คลื่นความถี่ จะเกิดการยกระดับแบบก้าวกระโดด

https://spiritualwavelink.wordpress.com/2017/02/28/การใช้คลื่นความถี่-จะเก/

 

11เหตุผลที่คุณต้องอ่านหนังสือ Light Worker

#Lightworker #นักรบแห่งแสงสว่าง #รหัสลับมนุษย์พันธุ์ใหม่

หนังสือเล่มนี้สำคัญกับคุณอย่างไร?

Light Worker – รหัสลับมนุษย์พันธุ์ใหม่ >> https://goo.gl/gh90JX
——————————————–

 

คุ

#Lightworker #นักรบแห่งแสงสว่าง #รหัสลับมนุษย์พันธุ์ใหม่


——————————————–

 

การใช้คลื่นความถี่ จะเกิดการยกระดับแบบก้าวกระโดด

คลื่นความถี่ที่ผมนำมาใช้เป็นการทำให้สนามพลังนิวรอนหรือคลื่นไฟฟ้าในสมองได้รับการกระตุ้นในส่วนของประสาทความรับรู้และความคิด ต่อเนื่องไปยังจิตและสติ ซึ่งผมพบว่าตัวรับรู้หรือสติของจิตในมนุษย์ที่ผ่านมาเป็นการรับรู้แบบผิดพลาด เป็นการรับรู้อย่างไม่มีระบบ เป็นการรับรู้ที่ไม่มีคุณภาพ แต่การใช้คลื่นความถี่ไปปรับการรับรู้ใหม่ของเซลล์สมองและประสาทของจิต จะเกิดการยกระดับแบบก้าวกระโดด

ปัจจุบันมีการนำคลื่นความถี่มาช่วยในการบำบัดมากมายเพื่อกระตุ้นการตอบสนองเช่น คลื่นความถี่ในระดับแกมมา40-70 เฮิรตซ์ เป็นความถี่ที่นักวิทยาศาสตร์ทางจิตทั่วโลกเชื่อกันว่า ความถี่ชนิดนี้ทำให้เกิดวิปัสสนาหรือความรู้ในเชิงสติสัมปชัญญะอย่างครบถ้วน

อย่างไรก็ตาม การนำความถี่นี้มาใช้จำเป็นต้องได้รับการถ่ายทอดหรือได้รับการเชื่อมต่อจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง จึงจะทำให้เราสามารถยกระดับความสำนึกรู้ให้ผ่านตัวตนเก่าได้อย่างง่ายดาย

ผู้คนในทุกวันนี้ยังติดอยู่กับตัวตนเก่า ยังติดอยู่กับความคิดด้านลบโดยไม่รู้ตัว และคนส่วนใหญ่จะยึดติดกับการใช้ความคิดด้านลบที่รับเข้ามาในประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่กำเนิดมา เป็นจุดที่ทำให้ชีวิตของผู้คนจำนวนมากเหล่านั้นไม่สามารถเข้าถึงความตระหนักรู้ได้

การที่เราจะหลุดพ้นจากความคิดเก่าได้ต้องผ่านจุดโอเมก้า (Omega Point) ซึ่งเป็นกระบวนการทางจิตที่เกิดการสั่นสะเทือนอย่างสุดขีด คำว่าโอเมก้าเป็นภาษากรีกในยุคโบราณแต่ปัจจุบันผมใช้ภาษาง่าย ๆ ว่า ช็อตเซลล์(Shock Cell) ซึ่งผมเขียนไว้ในหนังสือหลายเล่มที่ผ่านมา

การผ่านจุดโอเมก้าหรือจุดช็อตเซลล์จะทำให้ได้รับประสบการณ์สูงสุดเพื่อเปลี่ยนจิตวิญญาณมนุษย์ ก่อให้เกิดความรู้แจ้งจากประสบการณ์แห่งมนุษย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ…ตัวเราเข้าใจตัวเราเองอย่างแท้จริง

ก่อนหน้านี้เราไม่เคยเข้าใจตัวเอง ก่อนหน้านี้เราไม่รู้จักตัวเองดีเพียงพอ และก่อนหน้านี้เราไม่รู้ว่าความปรารถนาที่แท้จริงหรือจิตวิญญาณสูงสุดของเราคืออะไร แต่ถ้าได้เข้าโปรแกรม Spiritual Jumping App แล้ว จู่ ๆ เหมือนกับการพลิกขั้วจากขั้วบวกไปขั้วลบหรือพลิกจากขั้วลบมาเป็นขั้วบวก เกิดความสมดุลของจิตอย่างฉับพลัน

จากหนังสือ โค้ชพลังจิต 7D

อาจารย์สถิตธรรม เพ็ญสุข

ครูทางจิตวิญญาณยุคใหม่

 

เห้อ อ่านๆดู หัวข้อแล้ว
ก็แค่พวก
- ไม่มีจุดหมายชัดเจนในชีวิต ถึงมีก็คงแบบคลุมเครือไปไกล ว่าอยากเปลี่ยนแปลงโลก หรือเป็นเจ้าลัทธิ
- อาจจะมีปมแต่เด็กๆ โดยโทษสังคมคนรอบข้างเป็นส่วนใหญ่ ไม่โทษตัวเอง
- ชอบเก็บตัว อยู่คนเดียว แต่ลึกๆโหยหา ความรัก จากคนอื่น?
- ไม่ดูโทรทัศน์ แล้วดูอะไร การ์ตูน หนัง ซีรีย์ จากคอมพิวเตอร์ - มือถือแทนงี้หรอ ? หรืออ่านนิยาย เพื่อขยายขอบเขตจินตนการ
หรือจะบอก ว่าไม่สนใจข้อมูล ข่าวสาร ความเป็นไป เรื่องชาวบ้าน ซุบซิบ นินทา เรื่องแฟชั่น
แต่แล้วว ดันสนใจในความรู้สึกของผู้คนรอบข้างแทน ซะงั้น

- ไม่กล้าลงมือทำอะไร เพราะไม่ชอบแข่งขัน
แต่กลับคิด ว่าตนเกิดมาพร้อม บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และ ก็เหมือนกับ คนทั่วไป ที่ต้องการ เป็นที่ยอมรับ

 

https://spiritualwavelink.wordpress.com/2016/11/10/11-11-รหัสลับพลังจิต-จักรวาล/

 

https://spiritualwavelink.wordpress.com/2016/10/04/วิชาต่อจิต-ความลับของจั/

 

คุณผู้อ่านที่มีโอกาสดูภาพยนตร์ที่เป็นซีรีย์ฮิตในอเมริกา เรื่อง “ฮีโร่ มนุษย์กลายพันธุ์กู้โลก” ซึ่งเป็นหนังวิทยาศาสตร์ตื่นเต้นลึกลับที่ได้เปิดเผยถึงภัยพิบัติโลก ความพิกลพิการของสังคมมนุษย์นานัปการที่วิวัฒนาการชาติพันธุ์มนุษย์ทั้งทางโลกวัตถุและกายภาพ จนทำให้ความเชื่อในเรื่องบุญบาปไม่อยู่ในสำนึกอันเป็นบรรทัดฐานทางจิตใจอีกต่อไป การต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออยู่รอดเลยเหลือเป็นสัญชาตญาณเดียวเช่นยุคดึกดำบรรพ์

ภาพยนตร์เรื่องนี้ เริ่มเผยแพร่ออกอากาศเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ.2006 การนำเสนอภารกิจยิ่งใหญ่ในการกอบกู้โลกจากมหันตภัยต่าง ๆ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้อย่างมากมายให้แก่ผู้คนทุกมุมโลกที่ได้รับชม

วัฒนธรรมแห่งจิตสำนึกในการเกื้อกูลและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสันติสุขและความดีงาม ถูกหยิบยกเข้ามาในใจของมนุษย์โดยไม่รู้ตัว

แม้เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง “ฮีโร่” จะเป็นเพียงนวนิยายที่ถูกสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้น แต่เนื้อหาเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้เปิดโอกาสให้มีการกระตุ้นจิตสำนึก และภาพเคลื่อนไหวทางจิตวิญญาณที่ต้องการกอบกู้ความล้มเหลวทางศีลธรรม และการแสวงหาความร่วมมือในการใช้ภูมิปัญญาหรือสติบริสุทธิ์ในการกอบกู้โลก

การกอบกู้โลกนั้น…เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดสำหรับมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหมด แต่บริบทสำคัญที่สุดก็คือ การกอบกู้จิตใจภายในของมนุษย์ทุกคนให้ตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ที่แท้จริงแห่งความเป็นคนและบรรลุถึงเป้าหมายแห่งการเกิดมาในดาวเคราะห์โลกดวงนี้

ในทำนองเดียวกัน หากเรื่องราวใน “ฮีโร่” จะเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารทางจิตที่พยายามบอกเล่าถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ตั้งแต่หลังปี ค.ศ.2012 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นการที่โลกถูกทำลายล้างด้วยระเบิดปรมาณูมหาประลัยกัลป์ อันเป็นสงครามล้างโลกหรือการกดปุ่มระเบิดโดยชาติมหาอำนาจที่มุ่งทำลายศัตรู โดยลืมไปว่าการกระทำดังกล่าวคือการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของมวลมนุษยชาติ นั่นเอง

การมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรือเรื่องเพ้อเจ้องมงาย ในพุทธศาสนาก็พูดถึงสภาวะอนาคตังสญาณ คือการเข้าไปรู้เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกาล ที่ผู้มีญาณพิเศษหรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถล่วงรู้ได้

เช่นเดียวกับ ยีน ดิกสัน ผู้มีชื่อเสียงในด้านตาทิพย์ในสหรัฐอเมริกา มีญาณพิเศษที่เห็นอนาคตของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี้ ว่าจะถูกลอบยิงและเสียชีวิตที่เมืองดัลลัส ถึงขั้นโทรศัพท์ไปเตือนห้ามประธานาธิบดีไม่ให้ไปดัลลัส แต่ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี้ ไม่เชื่อ คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ในที่สุดโลกก็สูญเสียบุคคลสำคัญไปอีกผู้หนึ่งโดยไม่วันหวนคืน



มีคำพูดของมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก 2 ท่านที่กล่าวไว้เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว น่าสนใจอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “อนาคตของมนุษยชาติ”

บุคคลทั้งสองได้แก่ กฤษณมูรติ และ ดร.เดวิด โบฮ์ม

กฤษณมูรติ ผู้หยั่งรู้ทางด้านจิตวิญญาณ มีชื่อเต็มว่า ชิฑฑู กฤษณมูรติ เกิดที่เมืองมัทนะพาลี เมืองเล็กๆ ในรัฐแคว้นอันตรประเทศ ทางตอนใต้ของอินเดีย เมื่ออายุได้ 14 ปี กฤษณมูรติถูกเลือกโดย ซีดับลิว ลีด บี เทอร์ บุคคลสำคัญคนหนึ่งในเทวญาณวิทยา ให้เป็นผู้ที่จะมาเป็นยานแห่งครูโลกต่อจากพระคริสต์และพระพุทธเจ้า กฤษณมูรติจึงถูกนำมาเลี้ยงดูอย่างระมัดระวังและเอาใจใส่โดยผู้นำของสมาคม เพื่อเตรียมพร้อมให้เขารับบทบาทอันพิเศษนี้รองรับการกลับมาของครูโลก ได้มีการก่อตั้งสมาคม “ดวงดาวแห่งตะวันออก” ซึ่งเป็นองค์กรใหญ่ มีสมาชิกและทรัพย์สินมากมาย

แต่ในปี พ.ศ.2472 เขากลับสร้างความประหลาดใจและงุนงงอย่างยิ่งให้กับเหล่าสมาชิกสมาคมเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากกฤษณมูรติได้ประกาศสละทิ้งทุกบทบาทที่ตั้งขึ้นเพื่อเขา และแยกทางจากสมาคมเทวญาณ

กฤษณมูรติประกาศชัดเจนว่าไม่ต้องการก่อตั้งศาสนาใหม่ แต่สิ่งที่เขาสนใจเพียงประการเดียว คือ “ปลดปล่อยมนุษย์” ให้เป็นอิสระ โดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ อย่างสิ้นเชิง

เป็นเวลา 70 ปี ที่กฤษณมูรติเดินทางทั่วโลกอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อพูดกับสาธารณชน เสวนากับผู้ที่สนใจฟังและค้นหาด้วยใจที่เปิดกว้าง อีกทั้งด้วยความใส่ใจเป็นห่วงเป็นใยต่อเยาวชนในฐานะอนาคตของมวลมนุษย์ จึงได้ก่อตั้งโรงเรียนขึ้นในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และอินเดีย โดยมีนักคิด นักเขียน กวี ศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ บุคคลสำคัญมากมาย รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการที่มีอำนาจทางการเมืองซึ่งมิตรที่คุ้นเคยกับกฤษณมูรติเป็นการส่วนตัว ได้ร่วมเสวนาเพื่อค้นหาปัญหาที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน

ส่วน ดร.เดวิด โบฮ์ม เป็นนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ชั้นนำของโลกชาวอเมริกัน เกิดและเติบโตในรัฐเพนซิลวาเนีย จากการพูดคุยกับไอน์สไตน์ที่ปรินซ์ตันทำให้โบฮ์มเข้าใจความจริงของจักรวาล หลังเรียนจบโบฮ์มจะทุ่มเทชีวิตให้กับการค้นหาความจริง ทำให้เขาตัดสินใจเป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีและเป็นศาสตราจารย์ที่ปรินซ์ตัน โดยได้แต่งตำราฟิสิกส์ว่าด้วยทฤษฎีควอนตัม (Quantum theory) เสร็จในปี ค.ศ.1951 ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นตำราควอนตัมฟิสิกส์ที่ดีเยี่ยมและยังใช้กันอยู่ในทุกวันนี้

โบฮ์มต้องระหกระเหทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดจากสหรัฐอเมริกาไปอาศัยต่างแดน เพราะถูกคุกคามเสรีภาพ โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และถูกเรียกตัวไปสอบสวนโดยคณะกรรมการตรวจสอบกิจการที่ไม่เป็นอเมริกัน (Un-American Activities Committee) ในยุครัฐบาลขวาจัดของสหรัฐอเมริกา

เขาอพยพหลบหนีไปบราซิล ก่อนย้ายไปอิสราเอล และในที่สุดได้ทำงานค้นคว้าวิจัยในประเทศอังกฤษเรื่อยมา มีผู้ให้ความเห็นไว้ว่า การที่ ดร.เดวิด โบฮ์ม ต้องเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ น่าจะมีส่วนที่ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้รับรางวัลโนเบล ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะได้

ดร.เดวิด โบฮ์ม ได้เสนอทฤษฎีสำคัญเกี่ยวกับควอนตัมฟิสิกส์ไว้หลายประการ และเช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ควอนตัมฟิสิกส์อีกหลายคน ที่มักพบกับปรากฏการณ์ไม่ธรรมดาและไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผลหรือสามัญสำนึกปกติ ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้ ดร.เดวิด โบฮ์ม นักวิทยาศาสตร์ควอนตัมฟิสิกส์อีกหลายคนหันมาสนใจศาสนาและปรัชญาตะวันออก

ดร.เดวิด โบฮ์ม ได้รับอิทธิพลจาก กฤษณมูรติ นักปราชญ์ชาวอินเดีย และได้ให้ความสนใจสมาธิภาวนาอย่างมาก เขาเชื่อว่าเมื่อมนุษย์มีความรู้สมบูรณ์ขึ้น วิทยาศาสตร์กับศิลปะที่เคยเป็นคนละเรื่องกันอย่างที่เราเข้าใจในปัจจุบันจะผสมกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด เพราะความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ของมนุษย์นั่นเองที่ทำให้ศาสตร์สาขาต่าง ๆ และศิลปะกลายเป็นคนละเรื่องแยกขาดออกจากกัน

เขาเชื่อว่า ภายใต้ความไม่แน่นอนและสับสนนั้น แท้จริงมีกฎเกณฑ์หรือความเป็นระเบียบที่แฝงเร้นอยู่ เรียกว่า Implicate order แต่การเข้าถึงความเป็นระเบียบที่แฝงเร้นอยู่นั้น จะต้องอาศัยภูมิจิตภูมิปัญญาที่แตกต่างออกไปจากจิตคิดแบบวิทยาศาสตร์เดิม คือต้องเป็นจิตที่ผ่านการฝึกฝนมาดี และเป็นอิสระจากกรอบความคิด ภาษา โดยเฉพาะระบบสัญลักษณ์ได้กลายเป็นพันธนาการจองจำวิธีคิดของวิทยาศาสตร์แบบเดิมไปเสียแล้ว

ที่สำคัญคณิตศาสตร์ก็เป็นระบบสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง และวิทยาศาสตร์เก่าได้ติดยึดกับคำอธิบายที่เป็นตัวเลขและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์มากเสียจนไม่สามารถรับรู้ความจริงแบบอื่นได้ เรียกว่า ต้องทำทุกอย่างให้เป็นตัวเลขจึงจะคุยกันแบบวิทยาศาสตร์ได้

ดร.เดวิด โบฮ์ม คิดว่า กรอบความคิด ภาษา และสัญลักษณ์เหล่านั้นมีปัญหา การที่จะก้าวพ้นจากอุปาทานการติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ได้ นักวิทยาศาสตร์ต้องฝึกให้รู้เท่าทันวิธีคิดและจิตรับรู้ของตนเองด้วย ในระยะหลังนี้จึงเห็นนักวิทยาศาสตร์หันมาสนใจศาสตร์ทางจิตและศาสนาตะวันออกมากขึ้น โดยมีการจัดการสนทนาระหว่างนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก กับ องค์ดาไลลามะผู้นำจิตวิญญาณแห่งทิเบตที่จัดขึ้นทุก 2 ปี ติดต่อกันมากว่า 20 ปี ทำให้เห็นได้ว่าศาสนาและภูมิปัญญาตะวันออกสามารถให้คำตอบเกี่ยวกับธรรมชาติของสรรพสิ่งได้น่าสนใจและลุ่มลึก ยิ่งกว่าทัศนะแบบวัตถุนิยมกลไกของวิทยาศาสตร์เสียอีก



ทั้งคู่พูดคล้ายกันว่า สมองซับซ้อนและมีคุณสมบัติที่พัฒนาได้เรื่อย ๆ สิ่งที่มนุษย์จะต้องค้นพบมากกว่านั้น ไม่ใช่เรื่องของการพัฒนาทางโลกวัตถุ แต่เป็นการพัฒนาภายใน ขณะเดียวกันผู้ที่ทำร้ายมนุษย์ได้มากที่สุดก็คือตัวมนุษย์เอง จุดเปลี่ยนของโลกก็อยู่ที่ตัวมนุษย์เอง และเชื่อว่ามนุษย์ยังคงแสวงหาตลอดเวลาตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงทุกวันนี้ การแสวงหาของมนุษย์จะทำให้มนุษย์พบคำตอบที่ดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม…ระหว่างเส้นทางในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตมนุษย์อาจโดนหลอก โดนมายาของความคิดตนเองเล่นงาน โดนความปรารถนา ความต้องการเล่นงาน แต่ในที่สุดมนุษย์จะค้นพบความรัก ถ้าไม่มีความรักความเมตตาก็จะไม่มีปัญญา ความรักจะเป็นส่วนให้คุณได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งมหาศาลที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเอง



ที่มา: บทความจากหนังสือ “กุญแจสู่มิติที่ 5”

อาจารย์สถิตธรรม เพ็ญสุข ครูทางจิตวิญญาณยุคใหม่

สนใจอ่านหนังสือฉบับเต็ม ได้ที่นี่ https://goo.gl/9HlBhy

CR:ภาพ https://goo.gl/olwLv6

 

การใช้คลื่นความถี่นี้เองที่ผมถือว่าเป็นนวัตกรรมทางจิตที่สามารถเร่งกระบวนการของการฝึกจิต
ให้เกิดสภาวะและประสบการณ์ต่างๆทางจิตได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ
แต่สำหรับบางคนแล้วการส่งคลื่นความถี่เข้าสู่จิตหรือที่เรียกว่าการ
“เชื่อมจิต” นั้น


เป็นเรื่องที่จะทำใจเชื่อได้ยากเพราะท่านอาจมองไม่เห็นคลื่นความถี่เหล่านั้นทางตาหรือสัมผัสได้โดยตรง


เฉกเช่นเดียวกับคลื่นสัญญาณ wifi
หรือโทรศัพท์ที่ท่านไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้
ทว่าคลื่นความถี่ที่ท่านอาจารย์ส่งเป็นกระแสจิตออกมาจะสามารถเปลี่ยนแปลงระบบจิต


และระบบความคิดของท่านให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็วได้โดยที่ท่านไม่รู้ตัว
ดังนั้น เพื่อที่ท่านจะมีประสบการณ์ที่เรียกว่าการเชื่อมคลื่นความถี่หรือการเชื่อมจิตนั้น
ขอให้ท่านทดลองกับประสบการณ์ของท่านเองในลิงค์ด้านล่างนี้

 

การรวมจิตวิญญาณตาที่สาม

ตาที่สาม…ตามความหมายของผมก็คือ การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณจากการใช้ศูนย์ประสาทที่อยู่ในต่อมไพนีลแกรนด์ที่อยู่บริเวณท้ายทอย เชื่อมกับศูนย์ประสาทที่อยู่กลางกระม่อมที่เรียกว่า ต่อมพิทูทารี่ ทั้งสองต่อมนี้เชื่อมกับตาที่สามที่อยู่แกนกลางสมอง มีหลายวิธีที่คุณสามารถฝึกการเชื่อมต่อปัญญาญาณหรือตาที่สาม ด้วยการเปิดหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตผ่าน You Tube ในหัวข้อ

“The Third eye meditation”

และ “Tuning Third eye”

หรือดูจากที่นี่ https://www.youtube.com/playlist?list=PLMAiZFOMOrmdHL-SZTOBze9rS7Um_fuwH

วิธีนี้คุณจะได้รับการเชื่อมต่อตาที่สามในเบื้องต้น

ผมมีวิธีง่ายๆ แนะนำในการฝึกตาที่สามก็คือ การเพ่งความรู้สึกไปที่กึ่งกลางหน้าผาก ซึ่งกึ่งกลางระหว่างคิ้วซ้ายและคิ้วขวามีพลังงานของการหมุนอยู่ตลอดเวลา ผมฝึกฝนเช่นนี้ต่อเนื่องกันยาวนานมา 10 กว่าปี ความรับรู้ของตาที่สามดีขึ้น ทำให้เกิดความเข้าใจและมองเห็นภายในได้ดี เข้าถึงญาณทัศนะในสภาวะต่างๆ ได้แจ่มใสมาก

สำหรับบุคคลที่เริ่มฝึกใหม่ขอแนะนำว่า หลังจากเชื่อมต่อหรือจูนตาที่สามจาก You Tubeแล้ว ควรมีเวลานอนสมาธิหรือนั่งสมาธิอีกระยะหนึ่ง โดยจับความรู้สึกของคุณไปไว้ที่ตาที่สาม บางท่านอาจใช่แผ่นแมนดาลาที่มีลักษณะกลมๆ เล็กๆ วางไว้กลางหน้าผาก หรืออาจใช้เป็นก้อนคริสตัลเล็กๆ ก็ได้เช่นกัน แล้วจับความรู้สึกไว้ที่ตาที่สามตลอดเวลา จะสัมผัสสภาวะการเชื่อมต่อระหว่างตาที่สามของคุณกับความรับรู้ของจิตวิญญาณหรือจิตเหนือสำนึก และนำไปสู่การเชื่อมต่อพลังจิตที่ 7 โดยปริยาย

ตาที่สามเป็นจุดรวมแสงของดวงวิญญาณมนุษย์ในขณะที่มีชีวิตอยู่ แต่หลังจากสิ้นชีวิตไปแล้ว…ดวงวิญญาณจะเดินทางผ่านตาที่สามนี้ โดยการเข้าสู่มิติที่ 5 มิติที่ 6 มิติที่ 7 หรือในภพภูมิต่างๆ ที่ชะตากรรมหรือวิถีกรรมของบุคคลคนนั้นได้กระทำไว้

การฝึกฝนด้วยการเพ่งตาที่สามเป็นประจำ ทำให้มีความรับรู้ในเรื่องของดวงวิญญาณ เช่นเดียวกับวิถีของพระลามะทิเบตที่เข้าในถ้ำมืด อยู่กับความมืดจนจิตเกิดความสว่างไสว และมองเห็นในความมืดได้ เมื่อมองเห็นความมืดได้แล้ว จากนั้นเริ่มจูนตาที่สามในการมองเห็นสรรพสิ่งของจักรวาล แม้อยู่ในถ้ำมืดไม่มีแสงไฟไม่มีอะไรเลยแต่กลับมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด นั่นคือการกระตุ้นตาที่สามในวิธีโบราณของทิเบตเดิม

ในคัมภีร์มรกตของอียิปต์โบราณกล่าวถึงการเชื่อมตาที่สาม โดยเชื่อมต่อไปยังมหาพีระมิด แล้วให้ตาที่สามของเราเป็นจุดศูนย์กลางของยอดพีระมิด ทำเช่นนี้เรื่อยไปจะมีสภาวะทางจิตเกิดขึ้นในที่สุด คือสามารถเชื่อมโยงกับสนามพลังงานในมหาพีระมิดหรือพลังงานอีเทอร์ที่อยู่ในคลื่นแม่เหล็กรอบๆ พีระมิดได้ ทำให้เราสัมผัสกับมิติอื่นได้ในที่สุดนั่นเอง

อีกวิธีในการเปิดตาที่สาม ด้วยการฝึกฝนจากการทำสมาธิโดยเฉพาะสมาธิทิเบต ด้วยการเพ่งความรู้สึกไปที่ตาที่สามตลอดเวลาของการทำสมาธิ ซึ่งจะเกิดสภาวะหน่วงนำ จนเกิดระเบิดในต่อมไร้ท่อและเกิดการสัมผัสภายในตาที่สามได้อย่างกระจ่างใสในที่สุด

ที่มาจากหนังสือ พลังจิตที่ 7

อาจารย์สถิตธรรม เพ็ญสุข

ครูทางจิตวิญญาณยุคใหม่

***********************************************************************



หลังจากที่ท่านฟังคลื่นความถี่นี้ติดต่อกัน กระบวนการเชื่อมต่อของจิตภายในจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และระยะเวลาของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับระดับจิต ขอให้ท่านฝึกฝนด้วยการฟังคลื่นความถี่อย่างต่อเนื่อง แล้วเข้าระบบ “การตั้งระบบจิตเงินล้าน” หรือ “โค้ชส่วนตัว ปลดล็อคชีวิต” เพื่อเร่งกระบวนการและตั้งระบบจิตเข้าสู่ความมั่งคั่งร่ำรวยได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด



อาจารย์สถิตธรรม เพ็ญสุข
ครูทางจิตวิญญาณยุคใหม่


Lightworker #นักรบแห่งแสงสว่าง #รหัสลับมนุษย์พันธุ์ใหม่ สนใจอ่านฉบับเต็มสั่งซื้อที่นี่ ——————————————– E-Book :Light Worker – รหัสลับมนุษย์พันธุ์ใหม่ >> https://goo.gl/gh90JX ——————————————–


https://spiritualwavelink.wordpress.com/

โปรแกรม : ตั้งรหัสจิตสู่ความร่ำรวยแบบฉับพลัน https://goo.gl/dRmwpU



– คัมภีร์โค้ชส่วนตัว : https://goo.gl/I8JLIS



***********************************************************************

The Master Coach Academy
2/1 ซ.ประดิพัทธ์ 10,ถ.ประดิพัทธ์ สี่แยกสะพานควาย กรุงเทพฯ 10400
โทร 092-365 6554
เวลาทำการ [ อังคาร – ศุกร์ เวลา 10:00 – 18:00 ] [ เสาร์ – อาทิตย์ เวลา 09:30 – 18:00 ]

[COLOR=rgba(0, 0, 0, 0.7)][/COLOR]

 

เกิดเป็นไล้เวริคเกอร์แสนหนักใจ ไม่ทำไรก็โดนบ่นเหมือนคนบ้า
ทำอะไรทีก็ต้องมีคนอย่างว่า ใครว่าบ้าก็ต้องทนดิ้นสู้ไป