เช่าที่สงฆ์ทำนา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 5 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    เช่าที่สงฆ์ทำนา

    [​IMG]<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ เป็นวันเจ๊กเที่ยวพอดี หรือ ตรุษจีน เจ๊กเที่ยว วันนี้ได้รับเงินแต๊ะเอียมาก ใคร ๆ ก็มาแต๊ะเอียกัน แต่คำว่า แต๊ะเอีย นี่จะหมายความว่าอย่างไรก็ไม่ทราบ สำหรับใน ตอนนี้เป็นตอนที่ ๓ ของเล่มที่ ๒๐ ก็จะนำเรื่องของอำเภอสรรคบุรี มาเล่าสู่กันฟังต่อไป เพราะถือว่าเป็นเรื่องแปลก
    นั่นคือว่า วันหนึ่งขณะที่ยังพักอยู่ที่อำเภอสรรคบุรี ที่วัดศีรษะเมือง ก็มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ เช้า มาบอกว่า นาของเธอทำไม่ดี ไม่ได้รับผลดี ก็ถามว่า โยมซื้อที่นานี่ ซื้อมากี่ปีแล้ว โยมเช้าก็บอกว่า ฉันซื้อมา ๕ ปี ก็ถามว่า โยมสังเกตหรือเปล่าว่า ที่นาของโยมนี่ ปกติมีพวกกระเบื้อง มีพวกอิฐมากคล้าย ๆ กับเป็นที่วัดเก่า โยมเช้าก็บอกว่า ใช่เจ้าค่ะ จึงตอบว่า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นที่ธรณีสงฆ์ ถึงแม้ว่าโยมจะซื้อจากใครก็ตาม สิทธิของสงฆ์ยังไม่ขาด ในเมื่อสิทธิของสงฆ์ยังไม่ขาด ก็ถือว่า โยมเอาที่สงฆ์มาทำมาหากินโดยไม่ได้รับอนุญาต
    เธอก็ถามว่า จะทำอย่างไร ฉันจะขออนุญาตใคร ก็บอกเอาอย่างนี้ก็แล้ว ตามแบบที่หลวงพ่อปานท่านเคยแนะนำ คือว่า ให้โยมเช่าที่สงฆ์ ก็ถามว่า นามีกี่ไร่ เธอก็ตอบว่า นามี ๒๐ ไร่เศษ ถามว่า ให้เช่าปีละ ๑๐๐ บาท โยมจะเช่าได้ไหม แกบอกว่า ได้ เธอถามว่า จะเอาเงินไปให้ใคร ก็บอกว่า เงินไปให้เจ้าอาวาสวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ บอกว่าชำระหนี้สงฆ์ เช่าที่ดินทำมาหากิน จะเช่าอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต แกก็ตกลง
    เธอเลยบอกว่า ปีนี้ฉันต้องจ่าย ๖๐๐ บาท ถามว่า ทำไมต้องจ่ายตั้ง ๖๐๐ บาท แกบอกว่า ทำมา ๕ ปีแล้วเจ้าค่ะ ปีละ ๑๐๐ บาท ปีนี้อีกปี ก็อีก ๑๐๐ บาท ก็เป็น ๖๐๐ บาท เลยถามว่าหนักใจไหม เวลานั้นค่าของเงินยังสูง ก๋วยเตี๋ยวยังชามละ ๒๐ สตางค์ แกบอกว่า ไม่หนักใจ หลังจากนั้นแกก็นำเงินมาถวาย ๖๐๐ บาท จึงได้มอบให้เจ้าอาวาส บอกว่า เงินจำนวนนี้ จะไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้ในเรื่องของสงฆ์โดยเฉพาะ จะเป็นเงินก่อสร้างก็ตาม ซื้ออาหารถวายพระก็ได้ เป็นสังฆทาน ให้เป็นเรื่องของสงฆ์ไป ไม่ใช่เงินส่วนตัว เจ้าอาวาสก็รับคำ หลังจากนั้นก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ
    พอรุ่งขึ้นอีกปีหนึ่งก็เดินทางไปเทศน์อีก มาเที่ยวนี้ปรากฏว่า โยมเช้าเล่าให้ฟัง บอกว่าปีที่แล้วเป็นเรื่องแปลก หลังจากชำระหนี้สงฆ์แล้วก็ลงมือทำนา หว่านข้าว พอข้าวขึ้นดี ก็ปรากฏว่า ฝนแล้งติดต่อกัน ๒-๓ เดือน ช่วงกลางปี ข้าวของคนอื่นเสียหมด ต้องไถใหม่ หว่านใหม่ แต่ว่าของฉันเขียวชอุ่ม ไม่ต้องหว่านใหม่ ไม่ต้องไถใหม่ ไม่เสียหายเลย เลยบอกว่า โยมทำถูกต้องก็ดีแบบนี้แหละ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการเดา ความจริงไม่ได้มีความรู้จริง
    ที่ถามแกบอกว่า ที่ของโยมอาจจะเป็นที่วัด นั่นก็ไม่ใช่มีตาทิพย์ ตามที่สังเกตในเขตอำเภอสรรคบุรีเป็นเมืองด่านเก่า สมัยก่อนมีการรบราฆ่าฟันกันมาก วัดวาอารามก็พัง วัดบางสถานที่มีที่ประมาณ ๒ ไร่ก็มี บางที่เขตที่วัดเหลือ ๑ ไร่ ก็มี แสดงว่าการสร้างวัดซับซ้อนกัน หมายความว่า วัดเก่าพังไปก็สร้างวัดใหม่ และชื่อเดิมของวัดเก่าก็คงไว้ ขยักที่ไว้หน่อยหนึ่ง และสร้างวัดใหม่ทับลงไป ขยายที่ออกมา
    ก็เป็นอันว่า การเดานี่เป็นของไม่แปลก ที่ท่านบอกว่า ที่ธรณีสงฆ์ ถึงแม้ว่าเป็นวัดก็ตาม เป็นวัดที่มีพระอยู่ก็ตาม วัดที่ไม่มีพระอยู่ (วัดร้าง) ก็ตาม เหลือแต่อาคารพัง ๆ ก็ตาม หรือไม่มีอาคารเลยก็ตาม แต่ที่ที่เขาถวายเป็นที่ของสงฆ์แล้ว สงฆ์ยังไม่ขาดสิทธิ สิทธิของสงฆ์ยังมีอยู่ เรื่องของโยมเช้านี่ก็น่าคิดเช่นเดียวกัน ว่า อยู่ ๆ อาตมาก็เดาส่งเดช บังเอิญไปตรงเข้า และในที่สุดแกทำอย่างนั้นทุกปี นาแกไม่เสีย ชาวบ้านเสียเท่าไรก็ตาม ของแกไม่ยอมเสีย ภายหลังต่อมารู้สึกว่า เป็นคนมีกินมีใช้มากขึ้น เพราะผลของนาดี
    ต่อมาภายหลังจากนั้นก็กลับกรุงเทพฯ เมื่อกลับกรุงเทพฯ แล้วก็มีความเห็นว่า เวลานั้นป่ายังมีเยอะ คิดว่า การอยู่ในกรุงเทพฯ มีความคึกคักเกลื่อนกล่นไปด้วยผู้คน ไม่สะดวกในการเจริญสมถภาวนา ตอนนี้ญาติโยมโปรดทราบว่า ออกจากวัดบางนมโคมา เมื่อปี พ.. ๒๕๐๐ เมื่อปี พ.. ๒๕๐๐ นี่ป่วย แต่ก่อนที่จะป่วย ๓ ปี มีเสียงบอกว่า หลังจากนี้ไปอีก ๓ ปี คุณจะป่วย และคุณจะต้องนอนโรงพยาบาล ๒ ปี หลังจากนั้นแล้วให้ออกจากวัด เพราะพรรษาครบ ๒๐ หรือเกิน ๒๐ แล้ว ให้ออกจากวัด จึงจะได้ดี ถ้าไม่ออกจากวัด จะไม่ได้ดี คำว่า ได้ดี นี่หมายถึง ธรรมะ ไม่ใช่ยศฐานบรรดาศักดิ์ และความดีตามที่คุณต้องการ ต้องออกจากวัด
    เมื่อพรรษาที่ ๒๐ ก็บังเอิญป่วยจริง ๆ พอเข้าปีที่ ๓ ก็ป่วย ก่อนจะป่วยก็ฝังนิมิตพระอุโบสถ ๒ หลังควบกัน ท่านบอกว่า อีก ๓ ปี คุณจะป่วยหนัก นั่นหมายความว่า ปีนั้นเริ่มป่วย รู้ตัวว่าจะป่วยหนัก อาจจะทำอะไรไม่ได้ การก่อสร้างอาจจะทำไม่ได้ต่อไป ก็เลยสร้างโบสถ์ทีเดียว ๒ วัดพร้อมกันเข้ามาปีที่ ๒ เวลาไปตรวจงานก็เดินไม่ค่อยไหว ต้องพยุงกัน พอเข้าปีที่ ๓ โบสถ์ ๒ หลัง เสร็จพร้อมกัน ฝังนิมิตเดือนเดียวกัน เมื่อตัดนิมิตเสร็จ ก็เดินทางเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ
    หลังจากนั้นแล้วก็มาพักที่ วัดชิโนรส มี เจ้าคุณสุวรรณเวที เป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นคนชัยนาท ก็จึงได้มาเที่ยวชัยนาทได้ เพราะอาศัยท่านใช้มาบ้าง ท่านให้มาเทศน์แทนบ้าง เห็นว่าป่ามีความสุขก็อยากจะอยู่ป่าตามเดิม คิดว่าการออกจากวัดเข้าป่าตามเดิมจะมีความสุขมาก ประการที่หนึ่ง เราจะไม่ต้องบิณฑบาต เพราะจะถือว่าอาหารที่เทวดา นางฟ้าให้พอใจแล้ว ประการที่สอง ไม่ยุ่งกับคน เพราะการยุ่งกับคนนี่หนักใจมาก คนมีสภาพไม่ค่อยจะแน่นอน ท่านที่ตรงไปตรงมาก็มี ท่านที่โกงไปโกงมาก็มี บางทีตรงบ้างโกงบ้างก็มี ก็เลยคิดอยากจะออกป่า จึงหาทางขอย้ายมาอยู่วัด สำนักสงฆ์โพธิภาวนา หลังจังหวัดชัยนาท จำชื่อไม่ได้แน่ เพราะว่านานมาแล้ว เวลานั้นก็มี เจ้าคุณภาวนาภิรามเถระ เป็นเจ้าสำนัก ย้ายออกมาจากวัดในจังหวัด ไปตั้งเป็นสำนักวิปัสสนา
    พอเห็นสำนักเข้าก็ดีใจคิดว่า ที่นี่เป็นสำนักวิปัสสนา เป็นที่ถูกใจเรา และมีกุฏิเล็ก ๆ เป็นที่อยู่แคบ ๆ ก็ชอบใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะที่อยู่แคบ ๆ มีอยู่จำกัด ทำความสะอาดก็ง่าย ไม่ต้องวานใคร แค่กวาดแค่ ๒-๓ แกรกก็เกลี้ยงเกลา เรียบ ถู ๒-๓ ทีก็เกลี้ยงเกลาแล้ว ก็ชอบใจ แต่ครั้นมาอยู่ที่นี่เข้า เมื่อปี พ.. ๒๕๐๓ ต้องตกใจภายหลัง เพราะว่าการเจริญภาวนาของท่านใช้แบบเดียว ใช้แบบฉบับโดยเฉพาะของท่าน ที่เขาตั้งกันขึ้นใหม่
    สำหรับอาตมานั้น ช่ำชองในกรรมฐาน ๔๐ ก็เลยไม่เป็นที่ถูกใจของเจ้าของสำนัก และคณะปฏิบัติ นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ท่านให้เจริญอย่างท่าน ก็เลยบอกว่า ผมทำแล้ว อย่างนี้ก็ทำแล้ว พอบอกมา อย่างนี้ก็ทำแล้ว อย่างนั้นก็ทำแล้ว อย่างโน้นก็ทำแล้ว เราต้องการจะทำต่อ แต่ถ้าให้ทำตามท่าน เราก็ต้องถอยหลังกลับ ก็เลยเป็นที่หนักใจ อยู่ที่นั่นหลายปี ๒-๓ ปี ทนอยู่
    การทนอยู่นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ทนอยู่เพราะว่า ต้องการสงเคราะห์คน สงเคราะห์เด็ก วิธีสงเคราะห์มีอยู่ว่า ต้องตั้งตนเป็นหมอดู ความจริงการดูนี่ บางทีก็ขอให้แบมือดูบ้าง ขอดูหน้าบ้าง ก็ดูส่งเดชไป เนื้อแท้จริง ๆ ใช้กำลังใจ ใช้กำลังใจดูนี่ได้ผลมาก เพราะอันดับแรกจริง ๆ ที่เด็กจะเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กนักเรียนหญิง เด็กนักเรียนหญิงมาเป็นประจำ การมาของเธอมีความต้องการหนึ่ง ต้องการสอบไล่ได้ ประการสอง อยากจะรู้คู่ครอง เรื่องคู่ครองรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาจริง ๆ ก็เลยไม่หนักใจ
    แต่ว่าในเมื่อเธอถามอย่างนั้น ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขณะนี้เป็นนักเรียน เรื่องคู่ครองไม่แปลก คู่ครองเมื่อไรก็ได้ถ้าเราเรียนจบ ถ้าเรียนไม่จบได้คู่ครองก็ได้คู่ครองที่ไม่จบ มันจะไม่มีการจบในการครองเรือน ต้องเปลี่ยนหน้ากันอยู่เรื่อย ๆ อันดับแรกต้องมีความอดทน มีความมั่นคงในกิจการที่เราจะพึงทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาเรียน
    เธอก็ถามว่า ปีนี้จะสอบได้ไหม ก็เลยบอกว่า หลวงพ่อมีวิธีการ มีความรู้พอที่จะให้สอบไล่ได้ทุกคน เธอก็ถามว่า จะทำอย่างไรมีคาถาไหม ก็บอกว่า ถ้าก่อนหน้าวันสอบ ๓ วัน ให้มารับน้ำมนต์ แต่ว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอทุกคนจงอย่านอนดึก ตอนเย็นกลับบ้าน อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จ พักผ่อนดีแล้ว ทำการบ้านให้เสร็จ และดูหนังสือที่จะเรียนวันต่อไป และอย่านอนดึก อย่าฝืน วิชาความรู้ต้องดูตั้งแต่ต้นปี ไม่ใช่มารวบรวมปลายปี ถ้าหากว่าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ ให้เที่ยวเฉพาะคืนวันเสาร์ คืนวันอาทิตย์อย่าเที่ยว เพราะวันจันทร์ต้องเรียน เธอก็เชื่อ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่มีปัญหาต่าง ๆ ก็มาถาม ก็บอกให้
    เป็นอันว่า ทุกวันต้องมีเด็กนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กนักเรียนสตรีมาเป็นประจำ มีคนที่นั้นเขาบอกว่า โรงเรียนนี้สอบตกมาก ปกติแล้วได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์เศษ ๆ ส่วนใหญ่จะตกมาก ในเมื่อเธอได้รับคำแนะนำแบบนั้นก็ให้กำลังใจเธอทุกวัน ทุกวันเธอมากันเวลาพักตอนเที่ยง จนกระทั่งครูบาอาจารย์เขาเริ่มสงสัยคิดว่า เด็กจะติดไสยศาสตร์ ก็มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งท่านทราบ บอกว่าไม่ใช่ไสยศาสตร์ ที่นั่นเป็นพุทธศาสตร์ และแนะนำเด็กให้มีความขยันหมั่นเพียร
    แต่ปีนั้นพอกลางปีอาจารย์ใหญ่ก็แปลกใจว่า เด็กทำไมดีขึ้น พอถึงปลายปี สอบเด็กได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ไม่มีใครตกเลย ครูตกใจ ที่สงสัยว่าจะเป็นไสยศาสตร์ ในที่สุดก็มาเอง มาสังเกตการณ์ดูเองว่า เด็กมารับทราบอะไรไปจากที่นี่บ้าง สำหรับพ่อแม่ของเด็ก ก็มาทำบุญที่วัดนั้นมากขึ้น จนกระทั่งล้นศาลา
    ทีนี้ก็มาว่ากันถึงวัด วัดนี้ความจริงตั้งอยู่ห่างจากตลาดประมาณครึ่งกิโลเมตร และก็เดินไปบิณฑบาตในตลาด ทั้งสายเหนือและสายใต้ แต่ว่าเป็นที่น่าแปลกใจก็คือว่า อาหารพอแต่เพียงแค่เช้า ตอนเพลต้องทำอาหารกิน เมื่อไปอยู่ ๒-๓ วันก็คิดว่า เรามาอยู่กับท่าน เราก็ควรจะไปบิณฑบาต จะมานั่งกินนอนกิน เจ้าของบ้านก็จะหนักใจ แต่วิธีการบิณฑบาต ก็ใช้ อิติปิโส ภควาฯ ตามปกติ ตั้งแต่เริ่มห่มผ้าจะไปบิณฑบาต ก็นึกถึงบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ อิติปิโสฯ ทั้ง ๓ ห้อง นึกในใจพอสบาย ๆ ก็เดินนำหน้าพระ เพราะพระที่อยู่ท่านอ่อนอาวุโสกว่า
    เป็นอันว่า เด็กถือปิ่นโต ๒ เถา ตามพระไปตามปกติปิ่นโต ๒ เถา ไม่เต็ม วันนั้นปิ่นโต ๒ เถาเต็ม และต้องขอยืมเขามาอีกเถา และต้องหิ้วถ้วยแกงมาอีกด้วย พอวันที่สอง บอกให้เด็กเอาไป ๔ เถา ปรากฏว่า ๔ เถาก็ไม่พอ วันที่สาม ให้เด็กเอาไป ๖ เถา ๖ เถาก็ไม่พอ ก็เป็นอันว่า ให้ถือปิ่นโตวันละ ๖ เถา แต่ว่าถ้าอะไรมันเกินจากนั้นก็หิ้วมาก ให้หิ้วถ้วยที่เขาถวายมา
    ตอนแรกไปบิณฑบาตในตลาดทางสายใต้ก่อน ต่อมาทางสายเหนือทราบ ก็บอกว่า มาสายเหนือบ้างซิเจ้าคะ ก็เลยแบ่งกันไป ไปสายใต้ ๗ วัน ไปสายเหนือ ๗ วัน แต่ละสายก็ล้นแบบนั้น ปิ่นโต ๖ เถา ล้นเหมือนกัน ต่อมาตอนกลางไม่ได้ผ่าน ตอนกลางก็บอกว่าขอให้ผ่านสายกลางบ้าง ก็เดินผ่านสายกลาง ต้องเพิ่มปิ่นโตอีก ๓ เถา รวมความว่า ต้องใช้ปิ่นโต ๙ เถา และยังต้องหิ้วถ้วยพิเศษมาอีก ที่เกินจากปิ่นโต
    รวมความว่า การใช้บท อิติปิโส ภควาฯ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ได้หวังจะลาภยศ เป็นการรักษาสมาธิ เพราะเคยทำมาก่อน แต่ก็เป็นประโยชน์ให้บรรดาพุทธบริษัททุกคน เท่าที่ท่านเล่าให้ฟังบอกว่า ตั้งแต่ท่านไปบิณฑบาตฉันคล่องตัวขึ้นมาก การค้าการขายดีขึ้น เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าเขามีบัญชีเป็นที่สังเกต การค้าการขายดีขึ้น มีการคล่องตัวดีขึ้นมาก ขอให้ท่านบิณฑบาตเรื่อย ๆ ก็บิณฑบาตเรื่อย ๆ ไปปกติ
    ต่อมา ก็มีพระที่วัดนั้น ไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดพรวน ก็ให้ไปเป็นเพื่อนพรรษาหนึ่ง พอไปเป็นเพื่อนท่านเข้าก็ปรากฏว่า ปฏิปทาของท่านเก่งเป็นพิเศษ นั่นคือ เจ้าอาวาสเที่ยวทุกคืน ถึงเวลาตอนค่ำก็เข้าบ้าน กลับมาก็ดึกทุกคืน แต่ว่าที่นั่นก็เหมือนกัน มีสุนัขอยู่ฝูงใหญ่ อาตมาไปที่ไหนมีสุนัข ๑๒ ตัว ก็ตามไป สุนัขใหม่ก็ตามเข้ามา มีสุนัขฝูงใหญ่ ต่อมาเวลาไปบิณฑบาตข้าวก็ดี ปีนั้นก็แปลก น้ำท่วม ข้าวเสียหายหมด เรียกว่า ทุ่งขาวหลง
    ปรากฏว่า เมื่อออกพรรษาแล้ว อาตมาก็ไปกรุงเทพฯ เสียหนึ่งเดือน กลับออกมา หมาทุกตัวผอมหมด เด็กทุกคนก็บ่นว่า กินข้าวเวลาเดียวครับ ถามว่า ทำไม ก็บอกว่า ไปบิณฑบาตชาวบ้านเขาไม่ได้ใส่บาตร ข้าวในทุ่งนาเสียหมด เขาใส่บาตรเหมือนกัน แต่น้อยเจ้าเต็มทีไม่พอกิน พระก็ฉันเวลาเดียว เด็กก็กินเวลาเดียว เจ้าสุนัขก็ต้องอด คือ ๒-๓ วัน ได้กินครั้งหนึ่ง
    วันรุ่งขึ้นอาตมาไปบิณฑบาต น้ำยังท่วมมาก ต้องใช้เรือ ก็ให้เด็กเอากะละมังใหญ่ใส่ไปด้านท้าย และเอาบาตรใส่ไป ๔ ลูก ให้เด็กพายหัวพายท้าย พระเขาก็หัวเราะกัน เขาถามว่า จะไปใส่อะไร ก็บอกว่า จะไปใส่ข้าว เขาบอก ไปบิณฑบาตทุกวันมันไม่ได้ถึงครึ่งบาตรหรอกนะ ผมเอาไป ๒ ลูก ยังได้ลูกละไม่ถึงครึ่งบาตรเลย รวมแล้วได้วันละประมาณหนึ่งบาตร พระตั้งหลายองค์ ก็เลยบอกว่า ลองดูก็แล้วกัน เขาจะใส่หรือไม่ใส่ ก็เตรียมไป เผื่อว่าเขาจะใส่ เขาไม่ใส่ก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้แบกไม่ได้หาม ก็ใส่เรือมา
    วันนั้นพอไปบิณฑบาตเข้าจริง ๆ ทุกบ้านวิ่งกันวุ่นวายหมด หลวงน้ามาแล้ว ๆๆ ต่างคนต่างใส่บาตร บาตร ๔ ลูกเต็ม กะละมังที่เตรียมไปใส่ก็เต็ม เต็มทั้งบาตร ทั้งกาลามัง เจ้าสุนัขที่เลี้ยงไว้ในวัดทั้งหมด ในยามปกติที่เคยอยู่ มันจะต้องกินข้าวกับกับ ถ้าไม่มีกับ มันไม่กิน ถ้ามีกับที่ไม่ชอบใจมันก็ไม่กิน แต่คราวนี้เมื่อได้ข้าวมากแล้ว ให้ข้าวเปล่ากิน มันกินเสียย่ำแย่เลย เพราะมันหิวมาหลายวัน พระเขาก็แปลกใจว่า ทำไมท่านมาแค่เมื่อคืนนี้ และตอนเช้าไปบิณฑบาต ทำไมจึงมีคนใส่บาตรมากมายอย่างนี้
    ก็เลยนึกในใจว่า อำนาจพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ พุทโธอัปมาโน คุณพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ ธัมโมอัปมาโน คุณพระธรรมหาประมาณมิได้ สังโฆอัปมาโน คุณพระสงฆ์หาประมาณมิได้ เพราะว่าก่อนจะไป ใช้อิติปิโส ภควาฯ ตามเดิม บทนี้ใช้กันยันตาย บรรดาท่านพุทธบริษัท อะไรก็ตาม ต้องขึ้น อิติปิโสฯ กันก่อน เพราะถ้าเราไม่ไหว้พระพุทธเจ้า ไม่ไหว้พระธรรม ไม่ไหว้พระอริยสงฆ์ เราจะไหว้ใครกัน และนึกภาวนาด้วยความเคารพ
    แต่ก็เป็นที่น่าแปลก บรรดาท่านพุทธบริษัท ขณะนั้นปรากฏว่าน้ำขาวโพลน เลยยอดข้าว ชาวบ้านสิ้นความหวัง หลังจากนั้นไม่กี่วันน้ำลด น้ำลดก็ปรากฏว่าข้าวเขียวตามเดิม ชาวบ้านเขาดีใจกันมาก เขาบอกว่า ถ้าน้ำท่วมขนาดนี้นะครับ ตามปกติพวกผมต้องตายกันแน่ เพราะอะไร เพราะไม่มีข้าวจะกิน ข้าวต้องเสียหมด ทีนี้ปรากฏว่าข้าวดีตามเดิม ข้าวดีมาก
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อำนาจพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ย่อมมองเห็นกันชัด ๆ และหลังจากนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ขณะที่อยู่ที่วัดโพธิภาวนา หรืออะไร จำชื่อไม่ได้แล้ว ใครเดินไปแถวนั้นก็ดูด้วยก็แล้วกันนะ ที่จังหวัดชัยนาท มีเจ้าคุณภาวนาฯ ท่านเป็นหัวหน้าวัด แต่ว่าต่อมาก็เกิดความหนักใจนิดหน่อยเพราะอะไร เพราะว่าการเจริญกรรมฐานของท่านดีมาก ทุกคนก็ดีมาก แต่ว่าท่านไม่พอใจ ที่ไม่ทำตามท่าน ไอ้เราจะทำตามท่าน มันก็ไม่ไหวอีกเหมือนกัน คนเคยแบกไม้ซีกแล้วต่อมาก็แบกไม้ท่อน ต่อมาก็แบกซุง ต่อมาก็หามซุง แล้วให้กลับไปแบกไม้ซีกใหม่ มันก็แย่เหมือนกัน
    ในที่สุด เมื่อเห็นว่าท่านไม่พอใจ ก็ใช้วิธีย้าย วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านพระครูวิชาญชัยคุณ ชอบกันมาก ท่านกำลังมีเรื่องหนักในเรื่องโรงเรียน เขาฟ้องจะยึดโรงเรียน เพราะไปกู้เงินเขามาหรือเอาไม้เขามาก็ไม่ทราบ และเงินชำระไม่หมด เขาก็ฟ้องจะยึดโรงเรียน ก็เลยไปช่วยท่าน วิธีช่วยก็ไม่มีอะไร ใช้วิชาหมอดู เพราะวิชาหมอดูนี่เป็นเครื่องเรียกคนได้ดีมาก การดูหมอไม่เรียกเงินให้เงินค่าดูก็ไม่เอา และก็ดูให้ตามที่จะพึงให้ดู
    แต่ว่าทุกคนก็บอกว่า ตรงตามความเป็นจริง เขาให้ดูอะไรทราบไหม ไม่ได้ลงเลข ใครให้ดู ขอแบมือขวาบ้าง แบมือซ้ายบ้าง ดูหน้านิดหน่อยบ้าง ดูมันส่งเดช เอาตาไปจับที่มือเขา ใจเราก็คิดตามอารมณ์ของใจ ไม่รู้เส้นหรอกว่าเส้นไหนเป็นอย่างไร ๆ เขาถามก็บอก ไม่รู้ ฉันต้องดูทีเดียวทั้งมือ และก็พยากรณ์ตามความรู้สึก ก็เป็นที่ชอบใจของคน
    ในเมื่อเป็นที่ชอบใจของคน บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตเป็นกุศลก็เกิดขึ้น คนที่เขาดู ดูให้เขา ถ้ามันตรงตามความเป็นจริงอย่างนั้น ความเลื่อมใสมันก็เกิด ความศรัทธาก็เกิด ต่อมาก็ชวนกันมา เวลานั้นพระวันเจ้า เวลามีงาน ก็มีคนมาทำบุญมาก ในที่สุดเรื่องการมีคดีระหว่างพระครูวิชาญชัยคุณกับเข้าของเงินก็เลิกรากันไป ทั้งนี้เพราะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยการชำระหนี้ มาช่วยให้มีการส่งผ่อน ต้องส่งหนี้คืนโดยไม่มีดอก แต่ทว่าเป็นการส่งผ่อนเมื่อไรก็ได้ ก็ถือว่าได้ช่วยกันสร้างโรงเรียนปริยัติธรรมที่นั่นอีกหลังหนึ่ง ความจริงไม่ได้สร้าง ช่วยกู้หน้า แทนที่เขาจะรื้อโรงเรียนไป ให้โรงเรียนทรงตัวอยู่ อยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ตอนนี้หลายปีแล้วไม่ได้ไป ไม่ทราบว่าสภาพเป็นอย่างไร
    หลังจากอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ก็คิดว่า จะอยู่ช่วยที่นั่นเพียง ๒ ปี ก็บอกกับท่านพระครูวิชาญชัยคุณ บอก ผมขออยู่ ๒ ปี นะครับ แล้วผมจะเดินทางต่อไป ความมุ่งหมายจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรจะเข้าป่า เวลานั้นป่ายังมีมาก ออกจากหลังวัดสิงห์ไปเดี๋ยวเดียวก็พบป่าแล้ว อย่างนั่งรถไปจังหวัดกำแพงเพชรจะเห็นป่าทั้งสองข้าง เป็นป่าสักติดถนน ไม่ใช่ต้องเดินเป็นวัน ๆ อย่างสมัยนี้ คิดว่าโอกาสดีเมื่อไรจะเข้าป่าเมื่อนั้น
    แต่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน โอกาสที่จะเข้าป่ามันไม่มี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า หลวงพ่อสำเภา หลวงพ่อสำเภาอยู่ตรงข้ามกับจังหวัดชัยนาท ท่านมีความต้องการจะหาพระสอนกรรมฐาน เมื่อปี พ.. ๒๕๐๘ ต้องการให้หาพระสอนกรรมฐาน ก็ให้ เสริมศรี นามสกุลว่าอย่างไร ส่งศิริ มาติดต่อ ทีแรกก็ไปเช้า แล้ววันรุ่งขึ้นกลับ ไปเช้า รุ่งขึ้นกลับ ต่อมาท่านนิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่นั่น ก็ไปจำพรรษาที่นั่น ช่วยสอนกรรมฐาน ก็พอดี ได้ตำราของอาจารย์สุข ได้ตำรามโนม ยิทธิ ซึ่งเป็นวิชาที่ง่ายที่สุดมาสอน เป็นการสอนเต็มกำลัง ปีนั้นคนที่ฝึกก็ดีจริง ๆ สอนเต็มกำลัง ทุกคนไม่เกิน ๑๐ นาที สามารถไปได้ตามปกติ ไปได้สะดวกสบายมาก ท่องเที่ยวไปตามภพต่าง ๆ แบบสบาย ๆ ไปเป็นหมู่เป็นกลุ่มก็ได้ เรียกว่า เป็นที่น่าพอใจ
    แต่เมื่ออยู่ได้ไม่นานนัก ประมาณปีเศษ ๆ ก็ปรากฏว่า หลวงพ่อสำเภาตาย เมื่อก่อนที่หลวงพ่อสำเภาจะตาย รู้สึกว่าเจ้าอาวาสวัดท่าซุงไปนิมนต์ไว้แล้ว นิมนต์ ๓ ครั้ง ในเมื่อท่านนิมนต์ใหม่ ๆ ก็ไม่ยอมรับ แต่ครั้งที่ ๓ เขาไปนิมนต์ ก่อนที่เขาจะไปนิมนต์ ก็มีรูปภาพหลวงพ่อใหญ่ คือ ผู้สร้าง ผู้ทะนุบำรุงวัดนี้ก็แล้วกัน อย่าถือเป็นผู้สร้างเลยนะ เพราะวัดนี้ตั้งมานาน ก่อนกรุงศรีอยุธยาตั้งประมาณ ๓๐ ปี แล้วก็พัง เป็นวัดร้าง เมื่อปี พ.. ๒๓๓๒ หลวงพ่อใหญ่มาปักกลดที่นี่ และชาวบ้านเขาขอให้พักที่นี่ ให้เป็นเจ้าอาวาสที่นี่ เป็นเจ้าของวัด เห็นภาพท่าน ท่านบอกว่า วันนี้คุณเคยบำรุงให้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว ๒ ครั้ง ในอดีต ครั้งนี้ขอให้ทำเป็นครั้งที่ ๓ ครั้งสุดท้าย ต่อไปคุณจะไม่มีโอกาสเกิดมาได้ทำอีกต่อไปแล้ว คำว่า ไม่ได้เกิด นี่หมายความว่าอย่างไรก็ไม่ทราบ บรรดาท่านพุทธบริษัท
    เวลานี้สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว สวัสดี<o:p></o:p>
     
  2. ผาแดง

    ผาแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,640
    ค่าพลัง:
    +10,719
    ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว อนุโมทนาใน ธรรมทาน ครั้งนี้ด้วยครับ
     
  3. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +10,787
    หลวงพ่อของเรา ดีเหลือเกินครับ สาธุ ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงหลวงพ่อครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...