เตรียมตัวให้พร้อม...มันกำลังมา!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย >_<.ST.>_<, 6 พฤศจิกายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ สัตว์ในโลกันต์ นั้น "กัดกินที่ความเป็นตน (อัตตา)"

    +++ ปัญหามีอยู่ว่า ผู้ได้มโนมยิทธินั้น เวลาออกรู้เห็นต่าง ๆ มี "ความเป็นตน" ปรากฏอยู่ด้วยหรือไม่

    +++ และ ผู้ได้มโนมยิทธินั้น ๆ สามารถ "ม้างตน" จนไม่เหลือ "ร่องรอยของความเป็นตน" ได้หรือไม่

    +++ เพราะเวลา "ลงไปในโลกันต์" นั้น จะไม่มีผู้ใด (ที่ยังมีความเป็นตน) ให้ความช่วยเหลือใด ๆ ได้

    +++ ขั้นต่ำที่สุดต้อง "ม้างกาย จนเป็นเนื้อเดียวกันกับ อวกาศได้"

    +++ ต้องอาศัยการ ถอดกายจิต สู่อวกาศ แล้วหยุดจิต ต่อด้วย จางคลายสลายอัตตา จนเป็นเนื้ออวกาศ (มีเวิ้งว้าง ปรากฏผสมอยู่ด้วย)

    +++ ตรงนี้เป็น "คร่าว ๆ" เท่านั้น ไม่สามารถ มโนเอาเองได้ สภาวะแวดล้อมทั้งหมด ต้องถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ทั้งหมด

    +++ การผ่านชั้นบันยากาศต่าง ๆ ต้องรับรู้และสัมผัสได้ในทุก ๆ ชั้น โดยเฉพาะชั้น ionosphere ต้อง "อาบโอโซน" ได้จริง

    +++ รวมทั้งในเวลาที่ "ชน" ขยะอวกาศ (หลัก ๆ เป็นของ เมกา) ต้องรู้สึกได้จริง แม้เวลาถอนจิตแล้ว "ยังเจ็บตัวอยู่" เป็นต้น

    +++ ลองหาเอาในกลุ่มผู้ฝึก มโนมยิทธิ เอานะ หากมีใครทำในบริเวณนี้ได้ ก็ขอให้เขาสอนให้ก่อน ตรงนี้ยังเข้าโลกันต์ไม่ได้นะ ยังโดนกินได้อยู่


    +++ กลุ่มฝึกของผมเป็นกลุ่มการฝึก มหาสติปัฏฐาน 4 จนรู้จัก "อัตตา" แล้วฝึก "ม้างอัตตา" จนจิต "ไม่ใช้ธรรมารมณ์ ไม่ใช้ความเป็นตน"

    +++ เหลือแต่ "สติ/สภาวะรู้" เท่านั้น ดังนั้น อัตตา (ธรรมารมณ์) จึงไม่สามารถปรากฏ หรือ มีวี่แววใด ๆ ให้ตรวจจับพิรุธได้ (ไม่โดนกิน)
    +++ ปัจจุบัน สามารถเจอได้โดยทั่วไป มีมากกว่า 7/11 ;)

    +++ ในระดับ "อุปนิสัย" อาจแค่ "โดนกิน" ไม่กี่ครั้ง ก็อาจนิสัยเปลี่ยนได้ แล้วก็จะพ้นโลกันต์ upgrade เข้าสู่อเวจี ต่อไป

    +++ แต่ถ้าหาก ระดับ "อุปนิสัย" เกิดความ "เมามันส์" ในการ กิน/ถูกกิน (สัตว์ย่อมติดในทุกข์) แล้วกลายเป็น ปรมัถต์นิสัย

    +++ ตรงนี้ก็จะ teleport ความเป็นตน เข้าสู่ ขุมสนามพลังแรงกดดันที่เข้มข้นกว่าเก่า

    +++ สัตว์ในขุมที่เข้มข้นกว่า จะดุร้ายกว่ากันมาก ทั้งหมดอยู่ที่ คำ ๆ เดียว นั่นคือ "นิสัย" เท่านั้น

    +++ อีกประการหนึ่ง สัตว์ในโลกันต์นั้นมี อัตตา ที่เข้มข้นสูงจัด แต่ จะไม่มีสติรู้ตนเองได้เลย

    +++ ให้สังเกตุที่ "นิสัย และ อัตตา" ว่ามีความ "มั่นคง มุ่งตรง แบบ ไร้สติ" ก็พอมองออกได้ นะครับ


    +++ ปล. กระทู้นี้อยู่ในห้อง ภัยพิบัติเด้อ... ไม่ใช่ห้อง ทัวร์โลกันต์ เด้อ... ;)
     
  2. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    อ่านไปอ่านมาชักอยากไปเห็นอะ แต่ ไม่มีปัญญาจะออกไปเห็นเองได้ แค่เร่งความเพียรตัวเองให้พ้นวัฐฐะนี้ก็เวลาไม่พอแล้ว ไปดูทางนี้อีกสงสัยตัวเอง ชาตินี้จะไม่พ้นเอา
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195

    ตรงกันค่ะพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ที่ไปค้นหามาจากหนังสือพุทธวจน เกี่ยวกับเรื่องสัตถันตรกัปป์ (การใช้อาวุธติดต่อกันไม่หยุดหย่อน) ซึ่งในยุคสมัยนี้ของเรากำลังเป็นไปคล้ายมนุษย์สมัยสิ้นพุทธันดรเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่ขณะนี้อยู่ในช่วงกึ่งพุทธกาล การจะเข้าไปสู่ในยุคนั้นเหลือเวลาต้องอีก 2,400 กว่าปี หากต้องเป็นไปอย่างนี้เรื่อย ๆ แล้วโลกเราจะต้องดำเนินไปอย่างไรค่ะ

    ผลจากความไม่มีธรรมะของมนุษย์ (อย่างเบา)

    ภิกษุ ทั้งหลาย. ! สมัยใด ราชา (ผู้ปกครอง) ทั้งหลายไม่ตั้งอยู่ในธรรม,
    สมัยนั้น ราชยุตต์ (ข้าราชการ) ทั้งหลายก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม;
    เมื่อ ราชยุตต์ทั้งหลาย ไม่ตั้งอยู่ในธรรม,
    พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม;
    เมื่อ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ไม่ตั้งอยู่ในธรรม,
    ชาวเมืองและชาวชนบททั้งหลาย ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม;
    เมื่อ ชาวเมืองและชาวชนบททั้งหลาย ไม่ตั้งอยู่ในธรรม,

    ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ก็มีปริวรรต (การเคลื่อนที่,การหมุนเวียน) ไม่สม่ำเสมอ;
    เมื่อ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ มีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ,
    ดาวนักษัตรและดาวทั้งหลาย ก็มีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ;
    เมื่อ ดาวนักษัตรและดาวทั้งหลาย มีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ,
    คืนและวัน ก็มีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ;
    เมื่อ คืนและวัน มีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ,
    เดือนและปักษ์ ก็มีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ;
    เมื่อ เดือนและปักษ์ มีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ,
    ฤดูและปี ก็มีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ;
    เมื่อ ฤดูและปี มีปริวรรตไม่สม่ำเสมอ,
    ลม (ทุกชนิด)ก็พัดไปไม่สม่ำเสมอ;
    เมื่อ ลม (ทุกชนิด) พัดไปไม่สม่ำเสมอ,
    ปัญชสา (ระบบแห่งทิศทางลมอันถูกต้อง) ก็แปรปรวน;
    เมื่อ ปัญชสา แปรปรวน, เทวดาทั้งหลาย ก็ระส่ำระสาย;
    เมื่อ เทวดาทั้งหลาย ระส่ำระสาย, ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่เหมาะสม;
    เมื่อ ฝนตก ลงมาอย่างไม่เหมาะสม, พืชพรรณข้าวทั้งหลาย ก็แก่และสุกไม่สม่ำเสมอ;

    ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย บริโภคพืชพรรณ
    ข้าวทั้งหลายอันมีความแก่และสุกไม่สม่ำเสมอ
    ก็กลายเป็นผู้มีอายุสั้น ผิวพรรณทราม ทุพพลภาพและมีโรคภัยไข้เจ็บมาก.


    ผลจากความไม่มีธรรมะของมนุษย์ (อย่างหนัก)

    ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อพระราชา มีการกระทำ ชนิดที่เป็นไปแต่เพียงเพื่อการคุ้มครองอารักขา, แต่มิได้เป็นไปเพื่อการกระทำให้เกิดทรัพย์ แก่บุคคลผู้ไม่มีทรัพย์ทั้งหลายดังนั้นแล้ว ความยากจนขัดสน ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด

    เพราะความยากจนขัดสนเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด อทินนาทาน (ลักทรัพย์) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด

    เพราะอทินนาทานเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด การใช้ศัสตราวุธโดยวิธีการต่างๆ ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด

    เพราะการใช้ศัสตราวุธโดยวิธีการต่างๆ เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ปาณาติบาต (ซึ่งหมายถึงการฆ่ามนุษย์ด้วยกัน) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด

    เพราะปาณาติบาตเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด มุสาวาท (การหลอกลวงคดโกง) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด

    (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาจาก ๘ หมื่นปีเหลือเพียง ๔ หมื่นปี)

    เพราะมุสาวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ปิสุณาวาท (การพูดจายุแหย่เพื่อการแตกกันเป็นก๊กเป็นหมู่ทำลายความสามัคคี) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด

    (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒ หมื่นปี)

    เพราะปิสุณาวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุดกาเมสุมิจฉาจาร (การทำชู้ การละเมิดของรักของบุคคลอื่น) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด

    (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑ หมื่นปี)

    เพราะกาเมสุมิจฉาจารเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ผรุสวาท และ สัมผัปปลาปวาท (การใช้คำหยาบ และคำพูดเพ้อเจ้อเพื่อความสำราญ) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด

    (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕ พันปี)

    เพราะผรุสวาทและสัมผัปปลาปวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด อภิชฌาและพยาบาท(แผนการกอบโกยและการทำลายล้าง) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด

    (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒,๕๐๐-
    ๒,๐๐๐ ปี)


    เพราะอภิชฌาและพยาบาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิดชนิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว นิยมความชั่ว) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด

    (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑,๐๐๐ ปี)

    เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด (อกุศล) ธรรมทั้งสาม คือ อธัมมราคะ (ความยินดีที่ไม่เป็นธรรม) วิสมโลภะ (ความโลภไม่สิ้นสุด) มิจฉาธรรม(การประพฤติตามอำนาจกิเลส) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด (อย่างไม่แยกกัน)

    (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕๐๐ ปี)

    เพราะ (อกุศล) ธรรม ทั้งสาม ... นั้นเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด (อกุศล) ธรรมทั้งหลาย คือไม่ปฏิบัติอย่างถูกต้องในมารดา, บิดา, สมณพราหมณ์ไม่มี กุลเชฏฐาปจายนธรรม (ความอ่อนน้อมตามฐานะสูง ต่ำ )ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด

    (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒๕๐-
    ๒๐๐-๑๐๐ ปี)




    สมัยนั้น จักมีสมัยที่มนุษย์มีอายุขัยลดลงมาเหลือเพียง ๑๐ ปี (จักมีลักษณะแห่งความเสื่อมเสียมีประการต่างๆ ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า) : หญิงอายุ ๕ ปี ก็มีบุตร รสทั้งห้า คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และรสเค็ม ก็ไม่ปรากฏมนุษย์ทั้งหลาย กินหญ้าที่เรียกว่า กุท๎รูสกะ (ซึ่งนิยมแปลกันว่าหญ้ากับแก้) แทนการกินข้าว กุศลกรรมบถหายไป ไม่มีร่องรอย, อกุศลกรรมบถ รุ่งเรืองถึงที่สุดในหมู่มนุษย์ ไม่มีคำพูดว่ากุศล จึงไม่มีการทำกุศลมนุษย์สมัยนั้น จักไม่ยกย่องสรรเสริญ ความเคารพเกื้อกูลต่อมารดา (มัตเตยยธรรม), ความเคารพ เกื้อกูลต่อบิดา (เปตเตยยธรรม), ความเคารพเกื้อกูลต่อสมณะ (สามัญญธรรม), ความเคารพเกื้อกูลต่อพราหมณ์(พรหมัญญธรรม), และกุลเชฏฐาปจายนธรรม, เหมือนอย่าง ที่มนุษย์ยกย่องกันอยู่ในสมัยนี้ ไม่มีคำพูดว่า แม่ น้าชาย น้าหญิง พ่อ อา ลุง ป้า ภรรยาของอาจารย์ และคำพูดว่าเมียของครู; สัตว์โลกจักกระทำการสัมเภท (สมสู่สำส่อน)เช่นเดียวกันกับแพะ แกะ ไก่ สุกร สุนัข สุนัขจิ้งจอก;ความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดฆ่าเป็นไปอย่างแรงกล้า แม้ในระหว่างมารดากับบุตร บุตรกับมารดา บิดากับบุตร บุตรกับบิดา พี่กับน้อง น้องกับพี่ ทั้งชายและหญิง เหมือนกับที่นายพรานมีความรู้สึกต่อเนื้อทั้งหลาย.

    ในสมัยนั้น จักมี สัตถันตรกัปป์ (การใช้ศัสตราวุธติดต่อกันไม่หยุดหย่อน) ตลอดเวลา ๗ วัน : สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จักมีความสำคัญแก่กันและกัน ราวกะว่าเนื้อ; แต่ละคนมีศัสตราวุธในมือ ปลงชีวิตซึ่งกันและกันราวกะว่า ฆ่าปลา ฆ่าเนื้อ.

    (มีมนุษย์หลายคน ไม่เข้าร่วมวงสัตถันตรกัปป์ด้วยความกลัว หนีไปซ่อนตัวอยู่ในที่ที่พอจะซ่อนตัวได้ตลอด ๗ วันแล้วกลับออกมาพบกันและกัน ยินดีสวมกอดกัน กล่าวแก่กันและ
    กันในที่นั้นว่า มีโชคดีที่รอดมาได้ แล้วก็ตกลงกันในการตั้งต้นประพฤติธรรมกันใหม่ต่อไป ชีวิตมนุษย์ก็ค่อยเจริญขึ้น จาก ๑๐ ปีตามลำดับๆ จนถึงสมัย ๘ หมื่นปี อีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งเป็นสมัยแห่งศาสนาของพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า เมตเตยยสัมมาสัมพุทธะ).
    ปา. ที. ๑๑/๗๐-๘๐/๓๙-๔๗.
     
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ท่านธรรม-ชาติ jityim สื่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หรอกค่ะ แต่ มีคำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้พิจารณากันค่ะ

    คำกล่าวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์....ดาวเคราะห์โลกจะบอบช้ำมากเพียงใด และมนุษย์จะต้องเผชิญชะตากรรมรุนแรงระดับใด มนุษย์ทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างยิ่ง จักรวาลจะไม่ตัดสินใจกระทำทางเทคนิคต่อระบบโลกผ่านปรากฎการณ์ทั้งสามแบบ คือ พายุหมุน แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ที่กล่าวไว้ข้างต้นพร้อม ๆ กันโดยไม่มีความจำเป็นเสมอ เพราะมันหมายถึงเคราะห์ภัยของมนุษย์ที่ต้องเผชิญอย่างสาหัส แต่เมื่อถึงวลาที่ดูจะเหมือนว่าจะเป็นเหตุผลอย่างเพียงพอต่อการตัดสินใจที่จะขยับเคลื่อนแนวแกนแม่เหล็กโลกที่เหลืออยู่ให้สำร็จ ภัยพิบัติในบางพื้นที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้

    เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา มันเกิดจากการจงใจกระทำของจักรวาลเพื่อเป้าหมายในการสร้างโลก มิใช่การสิ้นโลกอย่างที่คิด

    ภัยพิบัติใด ๆ มนุษย์ต้องเผชิญที่ผ่านมานั้นมันเป็นบทเรียนสั้น ๆ บทหนึ่งสำหรับทุกคนก่อนถึงวันสิ้นยุคพลังงานเก่าเท่านั้นเอง หลังจากนั้นมันจะเป็นคืนวันมหัศจรรยฺของมนุษย์โลกในฟ้าใหม่พิกัดใหม่ในจักรวาลเดิมตลอดไปได้อีกนาน จนกว่าจะเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญครั้งใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้อีก ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้ แม้จักรวาลเองก็ไม่รู้ล่วงหน้าได้เช่นกัน

    จักรวาลรู้เพียงแต่ว่ามนุษย์ต้องเผชิญภัยแบบใดบ้าง ทั้งในมิติกาลเวลาโลก และในมิติคู่ขนานไม่ว่าจะเป็นภัยทางธรรมชาติ และภัยจากมนุษย์ด้วยกันเอง และภัยจากนอกระบบโลกในด้านที่เป็นความจริงตามกฎจักรวาลอันเป็นสากล และด้านที่จักรวาลมีส่วนร่วมผลักดันให้กระบวนการต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างเหมาะสม

    ขณะที่มนุษย์แต่ละคนเคลื่อนกงล้อแห่งกรรมของตนเองไปด้วยการตัดสินในกระทำผิด ๆ ถูก ๆ โดยสั่นสะเทือนด้านลบมากกว่าด้านบวกที่ปรากฎในมิติคู่ขนาน พลังงานคุณสมบัติด้านลบจะเกิดขึ้นเป็นปริมาณมาก มันจะไม่เป็นผลดีต่อโลกมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากความสมดุลทางพลังงานของดาวเคราะห์โลกจะเสียไป วิกฤตโลกจากธรรมชาติและจากจิตสำนึกด้วยกันเอง มันจะแสดงตัวออกมาหลากหลายรูปแบบ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปรากฎการณ์ หรือมายาจากกระบวนการเพื่อเปลี่ยนปลงทางพลังงาน เพื่อการอยู่ของระบบโลกที่ต้องสมดุลเสมอไป โดยกระบวนการรักษาความสมดุลเช่นนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งไปในจักรวาล ทันทีที่แห่งใดแห่งหนึ่งเกิดการเสียสมดุลขึ้น มันเป็นกฎเกณฑ์สากลของจักรวาลทางพลังงานเสมือนเป็นระบบอัตโนมัติ ถ้าเป็นระบบโลกแล้ว การกระทำทางจิตสำนึกของมนุษย์นี้เท่านั้นคือตัวการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงตามมา ดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรีดวงนี้ จึงจำเป็นต้องยกระดับความสมดุลทางพลังงานครั้งใหญ่เป็นครั้งที่สี่แล้ว ไม่นับครั้งเล็กครั้งน้อยที่ผ่านมา

    มนุษย์สามารถช่วยเหลือโลกได้

    จากการคำนวณสูตรสมการทางพลังงานที่วัดค่าได้ในปี 2535 การกระทำทางเทคนิคต่อระบบโลกจะต้องใช้พลังงานมหาศาล เนื่องจากจิตสำนึกของมนุษย์โลกมีการสั่นสะเทือนด้านบวก เพื่อปลดปล่อยพลังงานออกมาให้แก่ระบบโลกอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โลกจึงมีพลังงานใหม่ที่ทดแทนที่เสียสมดุลไปไม่มากพอ การถ่ายเทพลังงานจำนวนมากจากภายนอกเข้าสู่ระบบโลกเท่าที่คำนวณไว้จึงมีความจำเป็นดังกล่าวแล้ว

    เมื่อพลังงานที่ถูกส่งเข้ามาใหม่ มีความเข้มข้นสูงกายภาพโลกย่อมสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงตามไปด้วย

    ถ้ามนุษย์ต้องการลดทอนพลังอำนาจที่รุนแรงจากมายาของกระบวนการทางเทคนิคในครั้งนี้ให้ได้ จงกระทำที่จิตสำนึกของตนเองกันเสียแต่บัดนี้ โดยเร่งระดมกันสร้างพลังงานความรักคือ พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าด้านบวกที่เกิดจากการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวก ด้วยการมอบพลังงานความรักให้แก่เพื่อนมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในระบบโลก ซึ่งเป็นระบบเดียวกันผ่านประสบการณ์การอดทน อดกลั้น และการให้อภัยด้วยจิตสำนึกที่ถูกต้องแท้จริงให้จงได้

    การกระทำทางจิตสำนึกดัวกล่าว มิได้เป็นการร้องขอของจักรวาลใด ๆ มนุษย์ทุกคนต้องตัดสินในกระทำด้วยตัวของมันเอง ต่างล้วนมีกลไกในการแสดงพลังอำนาจนี้กันทุกคนแล้ว ถ้ามนุษย์กระทำได้ ภัยพิบัติใด ๆ ที่ร้ายแรงก็บรรเทาลงได้เมื่อนั้น

    ดาวเคราะห์โลกจะบอบบ้ำมากเพียงใด และมนุษย์จะต้องเผชิญชะตากรรมที่รุนแรงระดับใด มนุษย์ทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างยิ่ง


    ทุกคำกล่าวนั้น นำคำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้พิจารณากันค่ะ และตนเองก็เห็นว่า ภัยที่เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ ติดตามสถานกาณ์ต่างประเทศแล้วมิได้ลดลงไปแต่อย่างใด มีแต่จะยกระดับความรุนแรงได้ทุกเมื่อ และสภาพภูมิอากาศก็มีแต่ย่ำแย่ลงทุกทีนะค่ะ

     
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    เรื่องอะไรค่ะ ? จะว่าไปแล้วก็มีเหมือนกันค่ะว่า ข้อมูลที่เรานำมาลงนี้ ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์หรือไม่ แต่ก็ถือเป็นการนำเสนอด้วยหลักของเหตุที่มา กับผลที่มี หากแม้นว่า ปัจจัยบางอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ก็คงไม่พ้นจาก 4 เหตุที่ขณะนี้การคืนความสมดุลให้แก่ดาวเคราะห์โลกที่กำลังเผชิญกันอยู่ คือ สงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์กับมหันตภัยธรรมชาติ มนุษย์กับเชื้อโรคร้าย และมนุษย์กับเจ้ากรรมนายเวร คุณไร้กรอบคิดว่าอย่างนั้นไหมค่ะ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ในบท "ปา. ที. ๑๑/๗๐-๘๐/๓๙-๔๗." นั้น พระพุทธองค์ ทรงรู้และเข้าใจมากว่า 2500 ปีแล้ว

    +++ ตรงนี้สำคัญ "สัตถันตรกัปป์ (การใช้ศัสตราวุธติดต่อกันไม่หยุดหย่อน) ตลอดเวลา ๗ วัน"

    +++ ผมเข้าใจว่า "น่าจะเป็นในช่วงที่ โลกมนุษย์ อยู่ในระหว่างการผ่าน จุดตัด X พอดี"

    +++ ในบริเวณ จุดตัด X นี้ จะเป็นช่วง peak สูงสุด คล้ายกับเป็น "นรกในภิภพ" ทีเดียว

    +++ แรงโน้มถ่วงเข้มข้นสูงจัด แรงบีบอัด ความเครียด ความไร้สติ จะอยู่ในช่วง peak ตรงนี้

    +++ พระพุทธองค์ ทรงรู้มาก่อนแล้ว กลุ่มฝึกของพวกผมเป็นเพียงแค่ รู้ตาม พระพุทธองค์ เท่านั้น นะครับ
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" ที่คุณ jityim กล่าวถึงนี้ น่าจะเป็น "จิตจักรวาล" ที่กล่าวถึงกัน โดยทั่วไป

    +++ ตามความเป็นจริงแล้ว "จักรวาล และ กาลอวกาศ" ไม่มี ความเป็นจิต ด้วยตัวของมันเอง

    +++ แม้ว่า "ต้นกำเนิด" ของ "จิต และ วัตถุ (อณู)" จะมีต้นกำเนิดจากภาค Dynamic ของกาลอวกาศ ก็ตาม

    +++ แต่ตัว "เนื้ออวกาศ" ไม่ได้มี ความเป็นจิต ด้วยตัวของมันเอง (ตรงนี้ให้คุณ jityim วางไว้ก่อน)


    +++ จิตบางดวง หรือ บางคน สามารถ map จิตเข้ากับ เนื้ออวกาศ ได้ (มีมาก่อนพุทธกาล)

    +++ ไม่ว่าจะ บังเอิญหรือไม่ ก็ตาม "การสื่อสารทางจิตต่าง ๆ" ไม่ใช่การสื่อสารระหว่าง "จิต กับ เนื้ออวกาศ"

    +++ หาก "สติ+สัมปชัญญะ" ไม่สามารถ "มีเสถียรภาพ" ได้เพียงพอ ณ ขณะ map เข้ากับเนื้ออวกาศ

    +++ ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่า "เนื้ออวกาศ" สามารถสื่อสารได้ ตรงนี้ให้คุณ jityim ทำ remark ได้เลยว่า เป็นความ "เข้าใจผิด"

    +++ จิตในขณะนั้น อยู่ในสภาพ "ไร้รูป ไร้ลักษณะ" แต่ยังมี "วจี+มโน จิตตะสังขาร" เป็นองค์ประกอบอยู่

    +++ และตัว "มโนจิตตะสังขาร" นั้นเอง ทึ่เข้าใจเอาเองว่า "เนื้ออวกาศ สื่อสารกลับมาได้"

    +++ ตรงนี้ คือ "ตัวมโน สื่อสาร กับตนเอง" และเข้าใจเอาเอง

    +++ ยามใดที่ยัง "ดับ/หยุด" ตัวมโน ไม่ได้/ไม่เป็น เหตุการณ์แบบนี้ ย่อมมีได้ เป็นธรรมดา

    +++ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จิตที่ไม่ได้ "อยู่" ในเนื้ออวกาศไม่มี (ก็ให้วางไว้ก่อนเช่นกัน)


    +++ จิตต่าง ๆ ที่ "อยู่" ในเนื้ออวกาศ ย่อมเป็นธรรมดา ที่ได้ "เรียนรู้" กาลอวกาศต่าง ๆ

    +++ ไม่ต่างอะไรกับการที่คุณ jityim "อยู่" ในโลกใบนี้ ก็ย่อม "เรียนรู้" โลกใบนี้ เป็นแบบเดียวกัน

    +++ การที่กล่าวกันว่า "จิตจักรวาล" นั้น ขอให้เข้าใจตามนี้ไว้ก่อน ว่า เป็น "จิตนั้น ๆ สื่อสาร"

    +++ ไม่ใช่ "ตัวเนื้ออวกาศ" สื่อสาร ดังนั้น ให้เข้าใจตรง ๆ ไปที่ "เนื้อหา" ของการสื่อให้ดี ๆ

    +++ ก็จะเข้าใจได้เองว่า "เป็นการเตือนภัย" จากจิตที่ "อยู่" ในเนื้ออวกาศเฉย ๆ

    +++ ไม่ได้หมายความว่า "ตัวเนื้ออวกาศ" จะทำการ ลงโทษ หรือ แทรกแซง ใด ๆ มายังโลกมนุษย์

    +++ ตัวเนื้ออวกาศเอง เป็นแค่เพียง "ภาชนะ" หนึ่ง ๆ เท่านั้น ที่มี "สารแขวนลอย" อลเวงด้วย "ความโน้มถ่วง"

    +++ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้ ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกับ "บุคลาทิษฐาน" ใด ๆ ทั้งสิ้น

    +++ ยามใดที่คุณ jityim ทำ "มหาสติ" ได้แล้ว และ "ยังมีชีวิตอยู่" ก็จะค่อย ๆ เข้าใจได้เอง นะครับ
     
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    พอได้มาอ่านทวนซ้ำเรื่องโลกันต์นรก ทำให้มองเห็นภาพมนุษย์ปัจจุบันก่อกรรมทำชั่วกันง่ายดายอันอาจเนื่องมาจากสาเหตุทิฐิความเห็น "ยักษ์นอกศาสนา" ก็อาจเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกของเราเข้าสู่ยุคมืดมนอนธกาน น่ากลัวและน่าสงสารเหมือนกันหากต้องลงไปอยู่ที่นรกขุมนี้ นำรายละเอียดมาฝากเพิ่มเติมค่ะ

    "ยักษ์นอกศาสนา" ได้รับเคราะห์ภัยหนักน่าจะมีทิฐิสามสิ่งนี้เป็นสำคัญ คิดว่านะค่ะ...

    คือความเชื่อผิดๆโดยเฉพาะ 3 ประการนี้ คือ
    1. อุทเฉททิฏฐิ (ตายแล้วสูญ)
    2. อกิริยทิฎฐิ (กรรมไม่มีผล ทำอะไรก็ไม่ต้องรับกรรม จะปล้น จะฆ่า จะข่มขืน ก็ไม่ต้องชดใช้ ไม่มีบาปไม่มีความผิด)
    3. อเหตุกทิฎฐิ (ทุกอย่างเกิดขึ้นเอง โลกเกิดเอง สัตว์เกิดขึ้นเอง ไม่มีเหตุ ไม่มีที่มาให้เกิด)

    โลกันตนรก คือนรกที่อยู่สุดขอบสุริยจักรวาลหรือสุดขอบของทางช้างเผือก ... ?
    http://pantip.com/topic/31011537/comment10

    โลกันตนรก-

    โลกันตนรก นี้ เป็นนรกขุมพิเศษ เป็นนรกขุมใหญ่
    แปลกประหลาดกว่าบรรดานรกทั้งหลาย เพราะอยู่
    นอกจักรวาล สถานที่ตั้งของนรกขุมนี้ อยู่ในระหว่าง
    โลกจักรวาล ๓ โลก ก็เหมือนกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอก
    เอามาตั้งชิดติดกันเข้า ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลาง
    จักรวาลต่างๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ
    ๓ ดอกนั้น บริเวณตรงช่องว่างนั่นเอง เป็นสถานที่ตั้ง
    แห่งโลกันตนรก ซึ่งแปลว่านรกที่อยู่สุดโลกจักรวาล

    ก็ในโลกันตนรกนั้น มีความมืดมนยิ่งนัก แสงดาว
    แสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่มืดมน
    อนธการ สามารถห้ามเสียงซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่ง
    จักษุวิญญาณเปรียบปานดังคนหลับตาในคราวเดือนดับ
    ข้างแรมฉะนั้น การที่มีสภาพมืดมนมากเช่นนี้ ก็เพราะ
    อยู่นอกจักรวาลพ้นจากโลกสวรรค์โลกมนุษย์
    ออกไปนั่นเอง

    สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันตนรกนี้ มีร่างกายใหญ่โตยิ่งนัก
    มีเล็บมือเล็บเท้ายาวนักหนา ต้องใช้เล็บมือเล็บเท้าเกาะ
    อยู่ตามชายเชิงจักรวาลห้อยโหนโยนตัวอยู่ชั่วนิรันดร์
    เปรียบปานเหมือนเช่นกับค้างคาว ห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้
    ฉะนั้น ครั้นได้ประสบการณ์ทรมานอย่างแสนสาหัส
    เช่นนี้ เขาก็ได้แต่รำพึงอยู๋ในใจว่า
    "ทำไม ตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่ จะมีแต่ตูผู้เดียว
    ดอกกระมัง"

    ที่เขารำพึงออกมาเช่นนี้ ก็เพราะว่าสถานที่นั้นมันเป็น
    สถานที่มืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์โลกันตนรก
    ด้วยกัน หรือมองไม่เห็นอะไรเลยนั่นเอง ตลอดเวลานาน
    เหล่าสัตว์นรกเหล่านั้นไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหน
    โยนตัวเปะปะไป ด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ
    ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องมือของกันและกันเข้าแล้ว
    ก็สำคัญว่าพบปะอาหารจึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มีกิริยา
    ขวนขวายคว้าฉวยจับกุมกัน ต่างคนต่างก็จะตะครุบ
    กันกินเป็นอาหาร เมื่อต่างก็ปล้ำฟัดกัดกันอยู่อย่างนี้
    ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือที่เกาะอยู่ เลยพากันพลัดตก
    ลงไปข้างล่าง

    สถานที่เบื้องล่าง ซึ่งเขาพลัดตกลงมานั้น มันไม่ใช่
    พื้นที่ธรรมดา โดยที่แท้เป็นทะเลน้ำกรดอันเย็นยะเยือก
    ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจนัก ครั้นเขากอดคอพากันพลัด
    ตกลงมา พอถึงพื้นน้ำแล้ว บัดเดี๋ยวใจ ตัวตนร่างกาย
    ของเขาก็เปื่อยพังแหลกลงสิ้นไม่มีชิ้นดีเพราะฤทธิ์
    น้ำกรดอันเยือกเย็นกัดเอา ให้เหลวแหลกละลาย
    ประดุจดังก้อนอุจจาระซึ่งตกลงไปในน้ำฉะนั้น
    เขาก็ถึงแต่ความสิ้นใจตายไปในบัดใจนั้นเอง
    แล้วก็กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเหมือนเก่า
    ให้รู้สึกหนาวเย็นเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกาย
    ปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบาก
    ยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหาร
    ด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม ฯลฯ
    เฝ้าเวียนตายเวียนเกิด ด้วยความทุกข์ทรมาน
    อยู่อย่างนี้ ไม่มีวันสิ้นสุดชั่วพุทธันดรหนึ่ง
    จึงจะพ้นทุกข์โทษจากโลกันตนรกนี้

    มีเรื่องที่ควรทราบ ซึ่งจะกล่าวแทรกไว้ในที่นี้
    ก็คือว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเรา
    ท่านทั้งหลาย ไดท้ทรงมีพระมหากรุณาโปรด
    ประทานพระพุทธฎีกาไว้ว่า "รูปปติ โข ภิกขเว"
    เป็นอาทิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ที่ชื่อว่า รูป เพราะอรรถว่าเป็นสิ่ง
    ที่จะต้องสลายไป เพราะความเย็นบ้าง เพราะความ
    ร้อนบ้าง" ดังนี้เป็นต้น

    จึงมีปัญหาว่า ที่ว่ารูปต้องสลายไป เพราะความเย็น
    นั้นคืออย่างไรกัน? ก็รูปของสัตว์ที่เกิดในโลกันตนรก
    นี่เอง ที่จะต้องแตกสลายไปเพราะความเย็น ฯลฯ

    สัตว์ทั้งหลายได้ก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่า จึงต้อง
    มาตกอยู่ในโลกันตนรกนี้? สัตว์ทั้งหลายได้เคย
    ประกอบกรรมร้ายกาจหยาบช้าลามกนัก คือ
    ประทุษร้ายทรมานบิดามารดา เพราะปราศจาก
    กตัญญูกตเวที หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล ไม่เชื่อ
    บุญบาป ไม่เชื่อนรกสวรรค์แล้วประกอบการ
    อันเป็นบาปอยู่เป็นนิตย์ อีกประการหนึ่ง ได้ประกอบ
    กรรมชั่วยิ่งนัก เช่นประทุษร้ายท่านผู้ทรงศีลทรงธรรม
    หรือกระทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำ
    ทุกวัน อำนาจกุศลอันหนักเหล่านั้น จึงชักนำให้
    ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีปกติมืออยู่เป็นนิตย์
    ต่อเมื่อมีองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เสด็จมาอุบัติตรัสในโลก จึงจะมีโอกาสปรากฏเป็น
    แสงสว่างขึ้นแวบหนึ่งประมาณชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะ
    มาตรว่าลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น นี่แหละคือสภาพ
    แห่งโลกันตนรก


    -จำนวนนรก-

    เพื่อให้จำกันง่ายๆ บรรดานรกทั้งหมดที่กล่าวมา
    มีอยู่ทั้งหมด ๔๕๗ ขุม คือ
    ๑. มหานรก ๘ ขุม
    ๒. อุสสุทนรก ๑๒๘ ขุม
    ๓. ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
    ๔. โลกันตนรก ๑ ขุม
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ กาแลคซี่ นั่นแหละที่ดูเหมือน "ดอกปทุมชาติ" ที่ภาษาในยุค 2500 กว่าปีมาแล้ว พอจะอธิบายได้ ในสมัยนั้น ยังไม่มี NASA หรือ อินเทอเนท ต่าง ๆ การอธิบายย่อมยุ่งยากกว่านี้มาก
    +++ ตรงนี้แหละที่ผมมักจะใช้คำพูดว่า "นอกภพภูมิ" แต่ไม่มีใครรู้เรื่อง
    +++ คงรู้จัก ไนโตรเจนเหลวนะ ที่โดนปุ๊บแข็งปั๊บหนะ ในขุมนี้ "เย็นกว่า" ไนโตรเจนเหลว

    +++ เมื่อสัตว์พลัดตกลงไป (ในบริเวณใจกลางขุม) ทั้งความเย็น+แรงบีบอัด ที่เข้มข้น จึงบดขยี้ ซากสัตว์ให้แหลกในพริบตา
    +++ ตรงนี้แหละ คือ การ "ดับ/เกิด" แบบทันที อัตโนมัติ
    +++ ตรงนี้ "ไม่จำเป็น" มีเป็นส่วนน้อย ไม่ถึง 1% ที่มีโอกาส "ได้สติ" จากแสงของ พุทธันดร เท่านั้น

    +++ อาการจริงของ "สัตว์ในโลกันต์" จะมีโอกาส "ได้สติ" ก็ต่อเมื่อ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ บันลุ เท่านั้น

    +++ คำว่า "โอกาสได้สติ" ไม่ได้หมายความว่า "ต้องได้สติ"

    +++ สัตว์เกือบทั้งหมด พอได้สติปุ๊บ ก็เกิดอาการ "สติ เกิด/ดับ" แบบทันที โดยไม่สามารถ "ดำรงค์สติ" ได้เลย และส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น จึงทำให้ต้อง "อยู่ต่อไป" อีกหลาย พุทธันดร

    +++ ผู้เขียน หรือ ผู้แปล ที่คุณ jityim ยกมานี้ ที่ระบุว่า "ชั่วพุทธันดรหนึ่งจึงจะพ้นทุกข์โทษจากโลกันตนรกนี้" จึง ไม่ตรงกับ ความเป็นจริง

    +++ โอกาสที่จะได้ "สติ" นั้น ใน 1 พุทธันดร มีได้แค่เพียง 1 ครั้ง เท่านั้น

    +++ แล้วโอกาสที่จะ "ตั้งสติ" ได้เลยในทีเดียวนั้น จะมีสัตว์ซักกี่ตัวที่ "ทำได้"

    +++ ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่ไม่เคย "ตั้งสติ" ได้มาก่อน จะต้อง "ทำ" สักกี่ 100 ครั้ง จึงจะ "ตั้งสติ" ได้จริง

    +++ อาการตามธรรมชาติของผู้ที่ "ไม่รู้จักสติ" เมื่อยามใดที่ "ได้สติ" เมื่อไร ยามนั้น มันก็จะ "ดับลง" ในแทบจะทันที ตรงนี้แหละที่เป็นคำพูดที่เรียกว่า "สติ เกิด/ดับ" ดังนั้นจึงควรที่จะ "ชัดเจน" ได้ว่า เป็นการอธิบาย ชี้ ไปที่บุคคล ประเภทไหน มากกว่า

    +++ อาการ "สติ เกิด/ดับ" เป็นอาการตามธรรมชาติของ จิต ที่ไม่ประกอบสติ แล้ว สัตว์ในโลกันต์ล่ะ มันจะ "พ้น" ภายใน 1 พุทธันดร ตามที่ยกมาจริงหรือ

    +++ เท่าที่กลุ่มฝึกรู้มานั้น บางตัวผ่านมา เป็นพัน หรือ เป็นหมื่น พุทธันดรมาแล้ว ก็ยังดักดานอยู่อย่างเดิมนั่นเอง สติก็ยังไม่สามารถ "ตั้ง" ขึ้นมาได้เลย
    +++ กรรมทั้งหมดที่กล่าวมานี้ หลักใหญ่ ๆ มาจากสิ่งที่เรียกว่า "เพ่งโทษ" เกือบทั้งสิ้น จากนั้นก็เป็นกรรมที่สืบเนื่องมาจาก เพ่งโทษ นั่นเอง นะครับ
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เรียนท่านอาจารย์ ธรรม-ชาติ

    กระผมมีเรื่องสงสัยว่าเมื่อสิ้นกัปป์หนึ่งแล้ว โลกถูกทำลายล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว นรกและสวรรค์ก็ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว ดวงจิตวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายจะไปอยู่ที่ไหนครับ ในระหว่างที่รอให้โลกบังเกิดขึ้นมาใหม่ในกัปป์ต่อไปครับ

    ปล.มีสหายทางธรรม ฝากคำถามมาว่า ใครเป็นผู้สร้างโลกและทำลายโลกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2018
  11. มิติที่แปด

    มิติที่แปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +26
    ความคิดแบบนี้มีมาเป็นพันๆปีแล้ว มาแน่ มาแน่เนี่ย

    เอาในเอเชียนี่ก็ในจีน โลกจะมีการทำลายล้าง ต้องเตรียมตัว จนแตกเป็นหลายนิกาย เช่นพวกลัทธิบัวขาว ถ้าคนสมัยนั้นมีอายุยืนยาวจนถึงสมัยนี้ หมายความว่ารอและเตรียมตัวมาพันกว่าปีแล้วมั้ง
     
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    การปรับพลังงานใหญ่ในครั้งนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แจ้งว่าเป็นการปรับในรอบ 12,500 ปีค่ะ

    และโลกกำลังประสบกับสภาวะนี้แล้วปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่ โดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เตือนไว้มาให้พิจารณากันค่ะ

    จุดดับบนดวงอาทิตย์


    จุดดับบนดวงอาทิตย์ เกิดจากพลังงานที่ถูกผลักดันให้พุ่งผ่านออกมาจากใจกลางของดวงอาทิตย์ ขณะที่ก๊าซเหลวทั้ง 7 ที่อยู่ภายในแกนกลางดวงอาทิตย์หล่อหลอมทำปฏิกริยากันอยู่ภายในเพื่อให้เกิดการเผาไหม้หรือเผาผลาญ ทำให้เกิดเป็น "จุดดำ" หรือ จุดดับขึ้น ซึ่งการเผาไหม้เป็นเปลวไฟร้อนที่พุ่งผ่านออกมาสู่ภายนอกนั้น จะทำให้ก๊าซไนโตรเจนที่เป็นเปลือกนอกของดวงอาทิตย์เกิดการระเบิดแตกตัวออก แล้วแผ่พลังอำนาจความร้อนและแสงสว่างไปทั่วทั้งจักรวาลในทุกทิศทาง

    ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองช้า ๆ คือ 360 วัน ต่อหนึ่งรอบ เพื่อกำกับให้ก๊าซเหลวทั้งหลายภายในใจกลางสามารถรวมตัวกันอยู่เป็นจุด ๆ รวมทั้งสิ้น 6 จุด รอบ ๆ พื้นผิวของใจกลางดวงอาทิตย์นั้นได้ โดยกำหนดให้

    ระยะห่างจากจุดดำแต่ละจุด เท่ากับ 26.67 ล้านไมล์เท่ากันทุกจุด เส้นผ่าศูนย์กลางของจุดดำทั้ง 6 จุด เท่ากับ 800 ไมล์เท่ากันทุกจุด

    ในสภาวะปกติ ดวงอาทิตย์จะมีจุดดำหรือจุดดับเกิดขึ้น 6 จุดเสมอ โดยตำแหน่งของจุดดำเหล่านี้จะเคลื่อนย้ายไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์อย่างสัมพันธ์กันตลอด มันจะไม่มีการดับหายไปไหนและมันจะไม่มีการลดจำนวนต่ำกว่า 6 จุด มันต้องเป็นของมันเช่นนั้นตลอดไป

    ยกเว้นในโอกาสพิเศษที่ต้องการพลังงานจากดวงอาทิตย์มากกว่าเดิม จักรวาลอาจกำหนดจุดดำเพิ่มขึ้นได้

    กรณีการชำระโลกครั้งที่ 4 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปลายยุคพลังงานเก่านี้ จะต้องใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์เข้าช่วยเหลือด้วยในระยะสุดท้ายของการชำระโลก จุดดำจากดวงอาทิตย์จะถูกกำหนดให้เพิ่มขึ้นจำนวนจาก 6 จุด เป็น 11 จุด

    สิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายต้องรู้ก็คือ "จุดดำ" บนดวงอาทิตย์ มิใช่ "จุดดับ" แต่อย่างใด เพราะนักวิทยาศาตร์โลกเข้าใจว่าจุดดำบนดวงอาทิตย์คือจุดดับ จึงคิดไกลไปใหญ่โตว่าอีกนานเท่านั้นเท่านี้ดวงอาทิตย์จะดับ เพราะสองตารู้เห็นอยู่จึงเกิดอาการ "คาดเดา" แล้ววิตกจริตเอง ทีบางสิ่งที่ควรรู้เพราะน่าห่วงใยกว่ากลับไม่รู้และไม่วิตกหวาดกลัวเอาเสียเลย ทั้ง ๆ ที่ภัยใกล้จะมาถึงฝ่าเท้าของตนอยู่แล้ว เช่น กรณีการสร้างเทคโนโลยีขยะขึ้นมาจนรกโลก ทำให้โลกเสียสมดุลด้านน้ำหนักมวล ซึ่งจะมีผลต่อแรงเหวี่ยวรอบตัวเองและการโคจรรอบดวงดาทิตย์ต้องแปรเปลี่ยน ทำให้แกนหมุนของโลกเอียงจากแนวดิ่งมากขึ้นไปอีก และโลกหมุนไปแกว่งไป เป็นต้น ซึ่งทำให้ความสมดุลทางพลังงานของดาวเคราะห์โลกสูญเสียไปอย่างร้ายแรงอีกด้วย แต่กลับไม่มีใครคิดกัน

    การจัดระบบโลกใหม่ เพื่อสร้างความสมดุลครั้งใหญ่ ด้วยการชำระปฏิกูลทางกายภาพและพลังงานขยะออกไปจากระบบโลก และยกระดับจิตสำนึกมนุษย์ที่ตกต่ำให้สูงขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้จิตสำนึกแต่ละคนป้อนพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กดานบวกให้แก่ดาวเคราะห์โลกของตนได้อย่างแท้จริง โดยไม่เหลวไหลทำร้ายทำลายโลก จนทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้เสียความสมดุลไปจนใกล้วิกฤติ

    ปรากฎการณ์ที่จุดดำบนดวงดาทิตย์ เพิ่มขึ้นจาก 6 จุด เป็น 11 จุดนี้ มันจะทำให้ ความเข้มของแสงสว่าง พลังงานความร้อนแรง และรังสีต่าง ๆ จากดวงอาทิตย์ ที่แผ่ผ่านมายังโลกและจักรวาลนี้เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่าตัว นั่นหมายความว่า โลกจะมีอุณภูมิหรือความร้อนสูงมาก น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกจะละลายทำให้น้ำในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบหกหมื่นปี นอกจากนั้นความร้อนจะทำให้น้ำระเหยขึ้นไปในบรรยากาศจำนวนมาก ในประเทศไทยเมื่อตกลงมาเป็นฝนจะมีปริมาณน้ำฝนสูงมากไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านและในต่างซีกโลก โดยฝนจะตกไม่น้อยกว่าสิบห่าในเวลาที่ต่อเนื่องกันในช่วงเวลาชำระโลก อุทกภัยครั้งใหญ่ของโลกเสรีที่จะชำระแผ่นดินและเกาะในทะเลให้จมหายไปรวม 1 ใน 3 ของแผ่นดินเดิมจะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มนุษย์จะต้องระวังภัยวิกฤติจากสิ่งแวดล้อมไว้ให้ดี
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ เป็นคำถามที่ดีมาก และเคยเป็นคำถามที่ผมเคยสงสัยในช่วงที่ยังฝึกกรรมฐาน มาไม่ถึงในเรื่อง "นอกภพภูมิ"

    +++ หลังจากนั้นแล้ว ผมก็แปลกใจว่า เนื้อเพลงในซีรี่ส์ พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก ในท่อนนี้มีมาได้อย่างไร ทำไมเนื้อเพลงท่อนนี้ จึงได้ตรงกับอาการจริง ๆ "...พระองค์ทรงค้นพบ การเวียนจบของจักรวาล หนทางที่จะว่ายผ่าน วัฏสงสารอันปลดปลง"
    +++ คำว่า "โลก" ในที่นี้ให้หมายถึง "โลกธาตุ = Galaxy" (โลกธาตุขนาดใหญ่ มี แสนโกฏิจักรวาล) ส่วน "จักรวาล = Stars Systems"

    +++ คำว่า "นรก-สวรรค์" ให้มองเป็น "อุณหภูมิ-ความดัน (ภพ-ภูมิ)" ดวงวิญญาณจิตต่าง ๆ ให้มองไปที่ความ "หยาบ-ละเอียด ของกาย (Density)"

    +++ Galaxy หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ = 1 กัปป Galaxy

    +++ ระบบสุริยะ โคจรเข้าสู่หลุมดำ แล้ว วนออกสู่หลุมขาว จนกลับเข้าสู่บริเวณเดิม = 1 กัปป วงจรชีวิต (Galaxy Arm Circles)

    +++ 1 กัปปวงจรชีวิต ที่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดถึง 5 พระองค์เรียกว่า = ภัทรกัปป

    +++ เมื่อภัทรกัปปถูกทำลาย คำว่า 60000 สูญกัปป จะไม่นับที่ กัปปของวงจรชีวิตอีก เพราะ ไม่มีวงจรนี้เหลืออยู่

    +++ Galaxy แอนโดรมีด้า ผนวกกับ ทางช้างเผือก จนกว่าจะลงตัวเรียบร้อย พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่าเป็น 60000 สูญกัปป (เมื่อเทียบกับ กัปปของ ทางช้างเผือก)

    +++ พระโพธิสัตว์ จะไม่มาบังเกิดเป็น พรพุทธเจ้า เมื่อ สัตว์ทั้งหลายมี "ทุกข์/สุข" มากเกินไป ดังนั้น หลังจาก 60000 สูญกัปป ผ่านพ้น จึงเป็น "กาลสมควร"
    =============================================

    +++ ณ ขณะที่ "โลกธาตุ" โดนทำลาย หลายแสน จักรวาล "แตกระเบิด" อุณภูมิ-ความดัน-แรงโน้มถ่วง ระส่ำระสาย

    +++ จิตที่อยู่ในระดับ forth density ขึ้นไป ก็จะถูก "อพยพ" ไปยัง โลกธาตุ = Galaxy อื่น

    +++ จิตที่อยู่ในระดับ fifth density ขึ้นไป ก็จะ Teleport ตนเอง ไปยัง โลกธาตุ = Galaxy อื่นได้ด้วยตนเอง

    +++ จิตที่อยู่ในระดับ third density อย่างมนุษย์และเดรัจฉาน หากไม่มี third density อื่นเข้ามาช่วยเหลือในการอพยพ "กายย่อมแตกดับ"

    +++ จากนั้น จิตจะถูกแบ่งระดับ density ตามธรรมชาติของตัวมันเอง ผู้ที่มี สติ/ปัญญา เมื่อจิตออกจากร่าง จะเป็น forth/fifth density แล้วแต่ระดับของ "สติ"

    +++ ส่วนผู้ที่ "ไม่รู้จักสติ" จะตกลงมาสู่ second density ซึ่ง ธรรมารมณ์ (ทุกข์) จะทำการ Teleport ไปยัง โลกธาตุอื่น ที่สอดคล้องต้องกัน

    +++ คงพูดได้แบบสั้น ๆ ว่า "สวรรค์ อพยพ สวรรค์ ส่วน นรก อพยพ นรก" คงกล่าวได้ในลักษณะนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของ จิต/กาย
    +++ ระบบกลไกทางธรรมชาติในระดับ "คอสมิก" ที่ไม่ใช่ "บุคลาธิษฐาน" ไม่เกี่ยวกับ GOD ใด ๆ นะครับ

    +++ ปล. หากมีใครบอกว่าเป็น "ยาห์เวห์" ก็ลองให้เขา "ขอ" ให้ "ยาห์เวห์" ช่วยสะกดชื่อเป็นภาษาอังกฤษที่ "ถูกต้อง" ให้เขาด้วย ให้ "ยาห์เวห์" สะกดชื่อด้วยตนเอง คนในโลกจะได้ สะกดและอ่านชื่อได้ ใกล้เคียงความเป็นจริงได้มากกว่านี้ นะครับ

    +++ ลองอ่านในลิ้งค์ข้างล่างประกอบกันไปด้วย ก็จะเป็นประโยชน์บ้างพอสมควร นะครับ

    https://palungjit.org/threads/กายในกาย-ประสบการณ์ภพภูมิ-กายทิพย์.507094/page-2#post-8250429
    https://palungjit.org/threads/ฝึก-กรรม-ฐาน-ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย.512443/page-18#post-9054334
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    โมทนาสาธุครับ ท่านอาจารย์ธรรม-ชาติ

    อธิบายความได้กระจ่างแจ้งดีแท้ครับ ความรู้เหล่านี้กระผมไม่สามารถจะหาอ่านจากที่ไหนได้เลย นอกจากได้มาอ่านจากท่านอาจารย์ครั้งนี้แหละครับ กราบขอบพระคุณอย่างยิ่ง ที่กรุณามาให้ความรู้แก่กระผมและเพื่อนๆในเว็ปพลังจิตแห่งนี้ครับ

    อ้อ ยังมีอีกเรื่องที่กระผมสงสัย รบกวนขอความรู้อีกหน่อยนะครับ คือกระผมสงสัยเรื่องการแบ่งภาคดวงจิต จากหนึ่งดวงออกเป็นหลายๆดวง ลงมาเกิดกายในโลกมนุษย์นี้ เป็นหลายๆบุคคลในเวลาเดียวกัน เรื่องเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ครับ ถ้าไม่จริงทำไมความเชื่อเหล่านี้ จึงยังปรากฏแพร่หลายอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ครับ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ สิ่งไหนที่ฝึกได้ ก็สามารถนำมาเล่าสู่กันฟังได้ ตามประสพการณ์เท่านั้น นะครับ
    +++ การแบ่งภาคดวงจิตหลายดวง สามารถทำได้โดยการ "ยิงตัวดูออกมาหลาย ๆ ตัว" (อัตตาจิต/ตัวดู/ผู้รู้/หลุมดำ/วิญญาณขันธ์ ชื่อต่างกัน แต่เป็นตัวเดียวกัน)

    +++ แต่อาการที่เรียกว่า "เป็น/ตัวเป็น ๆ" จะมีได้แค่ "ตัวเดียว" เท่านั้น คือ ตัวที่ "ยึด" เอาเป็น "ตน" (เคยโพสท์ไว้ในเรื่อง "การใช้" สักกายะทิฐิ) นอกนั้น จะเป็น "ตัวที่โดนบังคับ หรือ สั่งงาน" จากตัวที่ "เป็น" เพียงตัวเดียว

    +++ การทำ "อวตาร" ก็ใช้วิธีเดียวกัน คือ "แยก/ยิง ตัวดูออกมาก่อน" แล้วจึง "ให้ตัวดูลงไปในกาย (ที่เลือกไว้)" จากนั้นจึง "เข้าไปเป็นตัวดู ในกายนั้น ๆ จนกายนั้น เป็น ตน" จากนั้นจึง "ปล่อย ตน ตัวนั้นไว้เฉย ๆ" (ตัวดูถูกรู้) จากนั้นจึง "กลับมา เป็น รู้ ที่ตัวเก่า" (กายเดียว เป็น หลายกาย)(อิทธิวิธีในพระไตรปิฏก)

    +++ ณ ขณะนั้น ตัวดูจะมี 2 ตัว ให้ตัวเรา/กายเรา ตัดความสัมพันธ์กับ ตัวดูตัวใหม่/ร่างใหม่ ให้ขาดออกจากกัน ให้เป็นภาค "เกิดขึ้น/ตั้งอยู่ แต่ไม่ทำให้มัน ดับไป" มันก็จะ "อยู่" และเป็น อิสระ จากตัวดูเดิม และเป็นตัว "อวตาร" ที่เป็นตัวของตัวเอง ในกลุ่มฝึก ผมให้ศิษย์ผู้หนึ่งทำเพียงคนเดียว และตัว "อวตาร" นี้ ผู้ที่ฝึกรุ่นหลัง ๆ ก็ยัง "เห็นและติดต่อได้" แม้ว่าจะไม่เคย รู้/รู้จัก มาก่อนก็ตาม

    +++ ส่วนการให้ ลงมาเกิดกายในโลกมนุษย์นี้ เป็นหลายๆบุคคลในเวลาเดียวกัน หากเป็นไปตามวิธีที่ผมกล่าวมา ก็น่าจะเป็นไปได้ แต่ในภายภาคหน้า "จิต" ที่แยกมาจากจิตเดิมเหล่านั้น จะเป็น "อิสระ" ด้วยตัวมันเอง แล้วจะกลายเป็น "คนอื่น" ไป หากไม่เรียก "ตัวดู" นั้น ๆ กลับมาผนวกกับตัวดั้งเดิม เพื่อรวม "ประสพการณ์" เข้ามารวบรวมไว้ด้วยกัน (หลายกาย เป็น กายเดียว)(อิทธิวิธีในพระไตรปิฏก)

    +++ คำถามที่กล่าวมานี้ "สามารถทำได้" แต่ปัญหาอยู่ที่ "ทำไปเพื่ออะไร" หากทำไปเพื่อ "ร่นระยะเวลา ในการรวบรวม ประสพการณ์" ก็น่าจะโอเค แต่ถ้าหากไม่ปล่อยให้ตัวใหม่เป็นอิสระแล้ว (ปล่อยตัวอวตาร) มันก็เป็น "ดาบ 2 คม" เหมือนกัน เพราะมันจะทำให้ "ตัวเจ้าของ" วุ่นวายได้ และ ตรงนี้ "เป็นทางเสื่อม"

    +++ สิ่งเหล่านี้ "เป็นของชั่วคราว" เท่านั้น เมื่อเสร็จภาระหนึ่ง ๆ แล้ว เจ้าของก็ต้อง "วางให้เป็น" ไม่งั้นก็ต้อง "ติดพันเป็นภาระ" กันอีกนาน นะครับ
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ธรรม-ชาติ ที่ให้ความกระจ่างครับ

    ที่กระผมถามเรื่องนี้ ก็เพราะมีอยู่หลายท่านในปัจจุบันนี้ ที่กล่าวว่าเขาเป็นดวงจิตขององค์พระศรีอาริยะเมตไตรย ลงมาเกิดกายในโลกมนุษย์นี้ และเท่าที่กระผมสังเกตุดู ก็เห็นว่าเขาพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิได้มีเจตนาจะโกหกหลอกลวงแต่อย่างใด จึงสงสัยว่าทำไมพระศรีฯ จึงมีหลายคนนัก เลยมาคิดว่าพระศรีฯองค์จริงบนสวรรค์ ท่านอาจจะแบ่งภาคดวงจิต อวตารลงมาเกิดเป็นหลายคนก็เป็นได้นั่นเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2018
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ความจริงผมและกลุ่มฝึก ไม่เคยสนใจในเรื่องพระศรี แต่เห็นเป็นคำถามที่ดี และมีความเกี่ยวข้องกับการทำ อวตาร

    +++ เมื่อคืนก็เลยลองให้กลุ่มฝึกทดลองคุยกับท่านดู ก็ได้ความว่า ท่านได้เคยทำอยู่จริง เป็นการทำแบบ อวตาร ตามที่กล่าวไว้ในโพสท์ที่แล้ว

    +++ เป็นแบบเดียวกับใน วรรคนี้
    +++ ท่านทำตามที่เห็นควร และทำแค่ทีละตัว แต่มีทั้งหมด 7 ตัวด้วยกัน ตัวแรก ทำเมื่อ "หลายอสงไขย" มาแล้ว

    +++ ปัจจุบัน มี 3 ตัวอยู่ใน "หิมพานต์" เป็น ฤษี 2 กับ ชาวบ้าน 1

    +++ ในโลกมนุษย์มี 4 ยุโรป 1 ตะวันออกไกล (จีนญี่ปุ่นเกาหลี) 1 เป็นพระตามป่าดงในไทย 1 (ไม่ดังไม่มีใครรู้จัก) และเป็นฆราวาสปฏิบัติธรรม 1 (ไม่ดังไม่มีใครรู้จัก)

    +++ ผมถามท่านว่า "ทำไปทำไม" ท่านว่าทำเพื่อ "เร่งบารมี" แล้วก็ถามต่อว่า มันจะเป็นทางตรงเหรอ ท่านก็บอกว่า "ก็เห็นทำกันทุกท่าน (พระพุทธเจ้า)"

    +++ ก็เลยถามท่านว่า "จะเก็บมารวมกับจิตเดิมหรือไม่" ท่านก็ว่า "เร็ว ๆ นี้" (เร็ว ๆ นี้ของท่าน ผมคงไม่ได้อยู่รอนะ)

    +++ ก็ถามท่านอีกว่า "พระศรีอวตาร" ที่พอมีคนรู้จักในเมืองไทยนั้นใช่ท่านหรือไม่ ท่านว่า "ไม่ใช่"

    +++ สื่อสารกันในระดับกลุ่ม ก็ได้คำตอบตรงกัน แต่บางครั้ง ก็ใช้ภาษาเหลื่อม ๆ กันไปบ้างนิดหน่อย แต่เนื้อหาตรงกันหมด

    +++ ปกติกลุ่มที่ผมฝึกให้ จะไม่ค่อย สื่อสารกับจิตอื่นเท่าไร เว้นแต่บางครั้ง จิตอื่นเข้ามาสื่อสารเอง แต่ก็จะใช้ทั้งกลุ่มเข้าร่วมตรวจสอบ เพื่อป้องกัน "มโนแทรก"

    +++ ดังนั้นในเวลาเกิดปรากฏการณ์อะไร ก็จะ ตรวจสอบซึ่งกันและกันแบบเฉพาะหน้า ส่วนใหญ่จะได้ความตรงกันทั้งหมด

    +++ สรุปคำตอบ คือ พระศรีที่มีคนรู้จักนั้น "ไม่ใช่" รวมทั้ง ดช. ปลาบู่ ด้วย ท่านมาเร่งบารมี ไม่ได้มาเพื่อให้ใครรู้จัก

    +++ คงได้คร่าว ๆ แค่นี้ และก็คงหายสงสัยได้บ้าง นะครับ
     
  18. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +708
    ร่างอวตารท่านจะออกมาช่วยคนตอนภัยธรรมชาติมาไหมครับอาจารย์
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    สนใจเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ ท่านทอนเงินถามดีจังเลย หลาย ๆ คนอยากได้คำตอบนี้ ตอนแรกกะว่าท่านเกษมคงต้องถามต่อเพราะเห็นมีข้อมูลเยอะมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านคงได้คำตอบแล้วมั้งเลยนิ่งไป

    ปัจจุบันแสดงว่ายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ และคำว่า "อวตาร" เป็นการแบ่งแยกมาจากตัวตนดั้งเดิม ความรู้ความสามารถมีคูณสมบัติพิเศษที่สั่งสมไว้มาก่อนที่จะแยกตัวอวตารติดมาด้วยไหมค่ะ ถ้าตัว "อวตาร" ที่แยกออกมาเป็นอิสระ มาเรียนรู้ประสบการณ์เพื่อสร้างบารมี ถ้าอย่างนั้นบารมีที่สั่งสมไว้เป็นคุณสมบัติเดิมแต่เริ่มแรกก็ต้องติดตัว "อวตาร" มาด้วย ส่วนประสบการณ์ชีวิตและการตัดสินใจเป็นอิสระของสิทธิของแต่ละตนใช่ไหมค่ะ

    ยังไม่หายสงสัยเลยค่ะ เพราะทุกคนกำลังรอท่านอยู่ว่าท่านจะลงมาบำเพ็ญบารมีในช่วงยุคกึ่งพุทธกาล ที่เกิดภัยพิบัตินี้ไหม? นะค่ะ และสิ่งที่เชื่อกันมาตลอดนั้น เท่าที่ติดตามข่าวสาร และคำทำนายในศาสนาต่าง ๆ ทั่วโลก ความเชื่อนี้ไม่ได้มีเฉพาะประเทศไทยเท่านั้นค่ะ ศาสนาต่าง ๆ ทั่วโลกก็ล้วนกล่าวถึงเรื่องนี้กันค่ะ

    และอีกประเด็นหนึ่ง เรื่องคำพุทธทำนายที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ที่หลายเคยสับสนว่าเป็นใคร ตนเองเคยกล่าวไว้ในกระทู้ "อหังการวิเศษมาร" เกี่ยวกับเรื่อง แสงธรรมได้ส่องลงมายังโลกอีกครา เมื่อเกิดพระมิกราชโพธิญาณที่เกิดขึ้นในมัฌชิมประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงฤทธิ์ และก็ได้ความมาว่า สององค์นั้น คือ หลวงปู่มั่น และ หลวงปู่เสาร์ ที่ตรงกับคำพุทธทำนายนะค่ะ และเป็นจริงดั่งที่ว่า แสงธรรมได้ส่องมายังโลกอีกครา นั้นคือ องค์ธรรมิกราชา ราชาแห่งธรรม หรือ แสงธรรมโลกุตระที่เปิดลงมายังโลกในยุคกึ่งพุทธกาลนี้แล้ว ดั่งที่หลวงปู่ดู่กล่าวว่า จะเป็นยุคอภิญญาสาธารณะ ยุคที่คนมีความรู้ยิ่ง หรือ ได้สัมผัสธรรมโลกุตระกันได้ง่ายขึ้น อันมีสาเหตุเนื่องมาจาก การยกระดับพลังงาน ซึ่งจักรวาลได้สื่อว่า มีมนุษย์จำนวน 144,000 คนได้เข้าถึงธรรมอันสูงสุดแล้วนั่นเอง จึงเป็น จึงเข้าใจน่าจะเป็นกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่นด้วย ตามที่ท่านเคยโพสในกระทู้หนึ่งไว้นะค่ะ

    ก็เลยอยากทราบว่า "ท่านจะมาเก็บรวมกับจิตเดิมหรือไม่" ท่านว่า"เร็ว ๆ นี้" (เร็ว ๆ นี้ของท่านผมคงไม่ได้อยู่รอแล้วนะ) คำว่าเร็ว ๆ นี้ หมายความว่า "กึ่งพุทธกาลนี้" หรือ เป็นในยุคศาสนาของท่านค่ะ เพราะท่านธรรม-ชาติ กล่าวไว้ว่า "ผมไม่ได้อยู่รอแล้วนะ" ตนเองเข้าใจว่า ท่านลาพุทธภูมิแล้ว ท่านคงไม่รอถึงศาสนาพระศรีอาริย์แน่เลยค่ะ ก็ถ้าอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่ในช่วงศาสนาของท่าน ก็ต้องเป็นยุคกึ่งพุทธกาลนี้ จะเป็นได้ไหม!!!ค่ะว่าท่านอาจจะลงหรือไม่ลงมา หรือถ้าลงมาก็เป็น "อวตาร" ดำเนินการแทน หรือไม่แล้ว ที่ว่า"ผมคงไม่อยู่รอแล้วนะ" ถ้าท่านลงมาสร้างบารมีในยุคกึ่งพุทธกาลนี้ กว่าจะถึงโลกใหม่ ณ วันนั้น คงใช้ระยะเวลาอีกนานนะค่ะ เป็นอย่างนี้หรือเปล่าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2018
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ปฏิปทาพระโพธิสัตว์

    สำหรับผู้ที่บำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิต้องสร้างกำลังใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นการก้าวเข้าสู่ฐานะพุทธภูมิจะไม่มีผล การปรารถนาพุทธภูมิเป็นของดี แต่จะต้องทำความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราปฏิบัตินี้เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เราต้องการรื้อสัตว์ขนสัตว์ที่มีความทุกข์ให้มีความสุข ฉะนั้นขณะใดที่กำลังใจปรารถนาพุทธภูมิ จิตจะต้องคิดอยู่เสมอว่า

    "ทุกข์ของตนไม่มีความหมาย แต่ว่าทุกข์ของชาวประชาทั้งหลายเป็นภาระของเรา"


    เขาทำกำลังใจกันแบบนี้ หมายความว่าเราจะทุกข์แค่ไหนมันเป็นเรื่องของเราไม่มีความสำคัญ จิตใจของเรานั้นคิดว่าเราจะพ้นทุกข์ได้ ก็เพราะว่าเราช่วยเหลือให้ความสุขแก่บรรดาประชาชนที่มีความทุกข์ ถ้าเราเปลื้องทุกข์ของเขาได้เราก็เป็นคนหมดทุกข์ เราสร้างให้เขาเป็นคนมีความสุขได้ เราก็เป็นคนมีความสุข จิตของพระโพธิสัตว์มีอารมณ์อย่างนี้ แต่ทว่าให้เป็นไปตามบารมี เพราะว่าบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการเริ่มต้นแห่งการปรารถนาพุทธภูมิ

    กำลังใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาปรานี ก็จะมีบริษัทมาก จะมีพวกมาก มีบริวารมาก การมีพวกมาก มีลูกน้องมาก มีบริวารมาก เป็นการฝึกกำลังใจของนักปฏิบัติเพื่อพุทธภูมิ เพื่อจะได้ซ้อมกำลังใจของเราว่าเรามีความหนักแน่นเพียงใด ถ้าจิตใจของเรามีความท้อถอย นั่นหมายความว่ากำลังใจการจะก้าวเข้าไปหาพุทธภูมิมีกำลังอ่อนมาก นักปรารถนาพุทธภูมิจะต้องมีทั้งขันติและก็โสรัจจะ ขันติ...มีความอดทนต่อความยากลำบากทุกประการ เพื่อความสุขของปวงชน โสรัจจะ...ถึงแม้จะกระทบกระทั่งที่ทำให้ใจตนไม่สบายเพียงใดก็ตาม ก็ทำหน้าแช่มชื่นไว้เสมอ

    นี่เป็นก้าวแรกสำหรับพุทธภูมิท่านผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ แต่ทว่ากำลังใจอีกส่วนหนึ่งจะละเว้นไม่ได้นั่นคือ พระนิพพาน จงอย่าคิดว่าถ้าจิตเราเกาะพระนิพพานแล้ว ใช่ว่าความเป็นพุทธภูมิจะหายไป ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้ต้องถือว่าเป็นผู้มีกำลังใจต่ำ ก้าวไม่ถึงก้าวสำคัญของพุทธภูมิ พุทธภูมิจะต้องมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า เราเป็นผู้ต้องการพระนิพพานอารมณ์ใด ที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงแนะนำในด้านวิปัสสนาญาณ ต้องเกาะให้ติดและมีกำลังจิตใช้ปัญญาพิจารณาไว้เสมอ เพื่อความสุขของจิต เพื่อปัญญาเลิศนอกจากนั้นแล้วก็มีจิตตั้งไว้เสมอว่าถ้าหากจิตของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเมื่อไร เมื่อนั้นบารมีของเรานี้ไซร้จะเข้าเต็มเปี่ยมในขั้นพุทธวิสัย ชื่อว่าการปรารถนาพระโพธิญาณของเรานี้เข้าถึงแน่ แต่ว่าการที่เราจะเข้าพระนิพพานคนเดียวเราไม่เข้า มองใจเข้าไว้ว่าบุคคลใดที่มีความทุกข์ในโลกที่ยังมีฉลาดไม่พอ บุคคลนั้นเราเองจะเป็นผู้อุ้มเขไป
    าสู่แดนเอกัณตบรมสุขคือพระนิพพาน อันนี้เป็นกำลังใจของท่านที่ปรารถนาพระโพธิญาณ

    -:พระมหาวีระ ถาวโร



    ในความคิดของผมคิดว่า ถ้าไม่เกินกฏแห่งกรรมแล้ว ท่านต้องออกมาช่วยอย่างแน่นอน เพราะมันเป็น ปฏิปทาพระโพธิสัตว์ ทุกๆพระองค์ ดูตัวอย่างในหลวง ร.9 ที่พระองค์ได้ทรงกระทำมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ก็คงจะได้คำตอบเป็นอย่างดีแล้วนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2018
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...