เทพผู้มีฤทธิ์เดชเดชะมาจากไหน? ทำไมจึงสามารถเนรมิต ให้พรผู้คนให้สมหวังได้ แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรา เราถึงต้องกราบไหว้บูชาท่านด้วย...

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 4 กุมภาพันธ์ 2017.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    FB_IMG_1486179746044.jpg

    เทพผู้มีฤทธิ์เดชเดชะมาจากไหน? ทำไมจึงสามารถเนรมิต ให้พรผู้คนให้สมหวังได้ แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรา เราถึงต้องกราบไหว้บูชาท่านด้วย...

    หลายคนคงไม่เคยนึกถึงการมาขององค์เทพ หรือที่เราเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นแหละ ส่วนมากมีคนพูดให้ฟังบ้าง ชักชวนบ้าง จึงได้รู้จัก แต่รู้ไหมว่าท่านเหล่านั้นมาจากไหน? คำตอบก็คือ เกิดจากปุถุชนคนธรรมดาอย่างพวกเรานี่แหละ และเขาเหล่านั้นก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อนทั้งสิ้น แต่อาศัยการสร้างบารมีทั้ง ๑๐ ทัศ มาดีแล้ว (ในช่วงที่เป็นมนุษย์) เช่นการให้ทาน รักษาศีล เนกขัมมะ ปัญญา ขันติ วิริยะ สัจจะ อธิฐาน เมตตา อุเบกขา เป็นต้น เหล่านี้ เมื่อสะสมบุญบารมีเต็มที่ดีแล้ว พร้อมทั้งได้ฌานสมาบัติ มีอภิญญาต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เวลาตายจากภพมนุษย์ก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพผู้ทรงฤทธิ์ หรือบำเพ็ญอิทธิบาทสี่สำเร็จ กายก็เป็นทิพย์ได้เองเป็นอัศจรรย์ อายุเป็นกัปป์เป็นกัลป์ยาวนาน ท่องเที่ยวไปในแดนต่างๆได้ดังปรารถนา มีเวลาที่เป็นทิพย์ยาวนาน แต่ส่วนใหญ่ ที่ลงมาช่วยเหลือผู้คน จะอยู่ที่เทวโลก มากกว่าชั้นพรหม เพราะเป็นที่พำนักของเหล่าเทพผู้มีบารมีเต็มรอบแล้วเป็นส่วนใหญ่ คือชั้นดุสิตฯ หรือเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่รอลงมาเพื่อตรัสรู้ หรือบรรลุธรรมตามกำหนดเวลาของแต่ละองค์ ในขณะที่รอ ก็อาจจะมาผ่านฌานหรือสมาธิของผู้ที่เคยเป็นบริวารตนหรือเคยร่วมบุญกันมาก่อน หรือคอยรักษาศาสนสถานที่สำคัญๆ ตามวัดต่างๆที่ผู้คนกราบใหว้สักการะบูชา ส่วนคนที่ท่านคอยช่วยเหลือติดตามก็มีมากตามวิถีบุญบารมีที่ท่านอาจจะให้ช่วยสร้างบารมีด้วยเพื่อต่อไปจะได้เป็นกำลังช่วยท่านอีกแรงเวลาลงมาตรัสรู้ธรรมอันสูงสุด จึงใช้ทิพยจักขุ ตรวจดูว่าควรช่วยเรื่องอะไรดี และควรช่วยดีหรือไม่ และบุญของคนนั้นพอจะรองรับการช่วยเหลือนี้ได้หรือไม่ การให้พรจะสัมฤทธิ์รึเปล่าก็ขึ้นอยู่กับตัวนี้ คือบุญบารมีของคนรับนั่นเอง แต่นอกจากเทพชั้นดุสิตแล้ว ก็ยังมีเทพอีกหลายชั้น เช่น จาตุมมหาราชิกา ดาวดึงค์ นิมมานรดี หรือ ปรนิมมิตวสวัตดี เว้นชั้นยามา เพราะมีน้อยที่สุดที่จะลงมาวุ่นวายกับคน ปัจจุบันมีชั้นจาตุมฯ มามากสุดคือนาคราช ครุฑ ยักษา คนธรรณ์ วิทยาธร ฤาษี ฯลฯ เหล่านี้มักอยู่ชั้นจาตุมฯ เพราะใกล้กับมนุษย์และมาง่ายสุด แต่เทพของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู จะอยู่ชั้น 5 หรือชั้น 6 เป็นส่วนใหญ่ เรียกว่า มหาเทพ มหาเทวี แต่ชั้น 6 จะเป็นที่ของเหล่าพญามารด้วยครึ่งนึง แบ่งเขตการปกครอง แต่ก็จัดอยู่ในกลุ่มเทพผู้ทรงฤทธิ์เช่นกัน แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิมากกว่าสัมมาทิฏฐิ พวกนี้จะบ้าอำนาจ มักใหญ่ใฝ่สูง โลภโมโทสัน หาความพอไม่เจอ มักมากในกามคุณ ชอบสะสมบริวารใว้ใช้งานมากๆ ทำทุกอย่างด้วยเงินเป็นส่วนใหญ่ หลงความยิ่งใหญ่หัวปักหัวปำ ใครพูดให้เจ็บช้ำ สั่งฆ่า สั่งลงโทษอย่างเดียว แบบสไตล์ฮิตเลอร์ หรือพวกนาซีที่โหดร้าย สังเกตุดูว่าคนพวกนี้ มีทุกอย่างครบพร้อม แค่นั่งชี้นิ้ว คนก็ตายเป็นเบือ ไม่ต่างอะไรกับปิศาจร้ายผู้มีอานุภาพมาก เทวดายังกลัวเลย! เพราะบารมีเขามีมาก บริวารก็มาก นี่คือเหตุผลที่คนส่วนมากกลัวพวกมีอิทธิพล แต่การตายของเขาย่อมมีนรกภูมิเป็นที่ไป หลังจากชดใช้กรรมเสร็จ ส่วนที่เป็นบุญที่เคยกอบกู้เอกราช ปกครองไพร่ฟ้าประชาชนในกลุ่มของเขาให้เป็นสุข บุญนี้ก็ส่งผลให้ไปเป็นเทพฝ่ายมารได้เช่นกัน หรืออีกอย่างก็คือทำบุญเอาหน้า ทุ่มทุนมากกว่าคนอื่น ทำแบบไม่บริสุทธิ์ใจ หวังเพียงให้คนนับหน้าถือตาว่าตัวเองดีและทำมากกว่าใครๆ และคนที่มีแนวคิดแบบเดียวกันจึงได้มาเป็นบริวารของเขาโดยง่าย แค่ฟังเขาพูดไม่กี่คำก็เชื่อแล้ว เช่นเดียวกับพวกเราที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คนที่มีบุญเมื่อได้ฟังเนื้อความหรือบทธรรมอันเป็นเรื่องจรรโลงใจตนก็อาจจะสามารถพิจารณาในจิตเกิดปิติ มีปัญญาแจ้งสว่างเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพราะสายบุญของใครของมันเป็นเหตุ เทพผู้เคยมีบริวารมาก ก็ต้องกลับมาช่วยเหลือบริวารตน ไม่ให้หลงทาง ก่อนจะถูกฝ่ายมารดึงตัวไปเข้าพวก เพราะสติปัญญาน้อย อาจจะหลงผิดได้ง่าย ก็มีมาก เทพกับมารจึงเป็นคู่อริกันมายาวนานจวบจนปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น แม้จะมาเกิดเป็นคนแล้วก็ไม่วายต้องรบราฆ่าฟันกันเหมือนเดิม ดุจตอนอยู่บนสวรรค์หรือชั้นเทวโลกนั่นเอง

    การขอพรนั้น ผู้ขอกับผู้ให้ต้องมีบุญสัมพันธ์กันจึงจะได้ผล และการขอพรก็เปรียบดังเราใช้คนอื่นไปซื้อของที่เราอยากได้ อย่างใดอย่างนึงหรือหลายอย่างก็ตามแต่ หากเราไม่มีปัจจัยหรือเงินทองที่จะฝากเขาไปซื้อหรือบุญที่จะรองรับของสิ่งนั้นที่เราอยากได้ ก็ไม่มีทางได้มาแน่นอน แม้ผู้ที่เราฝากไปนั้นจะเก่งอาจสามารถเพียงใดก็ตาม ย่อมทำได้ยาก เช่นเงินอาจจะไม่พอ หรือเจ้าของเขาไม่อยากขายให้ (เจ้ากรรมนายเวรบังใว้) นี่คืออย่างที่หนึ่ง อย่างที่สองคือ เปรียบดังเราอยากได้อะไรแล้ว คนที่เขารักและห่วงใยเราเขาอยากซื้อให้ อยากช่วยให้เราสมหวัง เลยควักตังค์ตัวเองซื้อมา หรือช่วยในเรื่องที่เราปรารถนาให้สำเร็จ เพราะเขาอาจจะมองว่า เราเคยมีบุญคุณกับเขามาก่อน หรือเคยช่วยเขามาก่อน จึงอยากตอบแทนบ้าง อย่างที่สามคือ จ้างไปซื้อของที่เราอยากได้มาให้ เพราะมองไม่เห็นใครแล้ว หรือขอยืมก่อน จะผ่อนจ่ายทีหลัง ดังที่เราชอบเอานั่นเอานี่ไปติดสินบนเทพเทวดาก่อนนั่นแหละว่า จะให้นั่นให้นี่ถ้าได้สมหวัง ทั้งที่บุญตัวเองไม่พอจะได้สิ่งนั้นเลย หากเทพเทวดาหรือมารปิศาจตนใดเห็นแก่ลาภสักการะก็อาจจะช่วยก่อน เพราะหวังจะได้กินหัวหมูหรือของเซ่นใหว้ต่างๆ ตามที่คนขอได้เอ่ยใว้นั้น จึงได้ช่วยให้สำเร็จ แต่ลักษณะแบบนี้มีข้อเสียมากกว่าข้อดี เพราะผิดกฎสวรรค์หรือกฎของชาวทิพย์ทั้้งหลาย และหากได้มากก็ต้องผ่อนส่งยาวนานใช้หนี้กันไม่หมด หากบุญน้อยก็อาจจะโดนจับตัวไปเป็นบริวารเพื่อใช้งานหลังจากตายไปแล้วก็มีมาก พวกนี้จัดอยู่ในฝ่ายมาร มากกว่าฝ่ายดี ตามวิบากกฎแห่งกรรมถือว่าไม่ผิดเพราะเราเป็นหนี้เขา ก็ต้องไปชดใช้ตามวาระเป็นธรรมดา ไม่มีใครช่วยได้ แต่ในกรณีเราไปขอแต่ไม่เอ่ยว่าจะให้อะไร เมื่อสำเร็จค่อยให้ทีหลังเป็นการแสดงความขอบคุณ แบบนี้ไม่ผิด ถือว่าตั้งจิตใว้ชอบ ไม่ผิดสัจจะอะไร...

    ให้ทุกคนรู้ใว้เถอะว่า ในเทวโลกหรือพรหมโลกนั้น ไม่มีศาสนาใดๆทั้งสิ้น มีแต่ภพภูมิมนุษย์เท่านั้นที่แบ่งชนชั้นการนับถือกันเอง ในเทวโลกหรือชาวโลกทิพย์จะแบ่งหรือแยกชนชั้นด้วยบุญและบาป ใครทำบุญสั่งสมบารมีมาดีกว่า ก็จะได้เป็นใหญ่ในเทวโลกชั้นนั้นๆ ไม่มีติดสินบนหรือยัดเยียดให้กันได้แบบโลกมนุษย์ ทั้งที่ความสามารถไม่มี ในเทวโลกเทพทุกองค์จะมีสิ่งให้สังเกตุว่าบุญมากหรือบุญน้อย ก็คือแสงสว่าง และบริวาร พร้อมทั้งวิมารอันใหญ่โต แสงสว่างเกิดจากการทำบุญที่มีจิตอันบริสุทธิ์ จึงมีแสงสว่างมาก เทพบางองค์มีวิมานหลังใหญ่โต เพราะทำบุญใว้มาก แต่แสงสว่างมีน้อย เพราะใจไม่บริสุทธิ์ เต็มร้อย แต่บางองค์วิมานหลังเล็ก แต่มีแสงสว่างมาก เพราะจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องดี แม้เทพเหล่าอื่นมองเห็นก็ย่อมให้ความเคารพ เพราะเขาจะถือว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูง กว่าเทพที่มีแสงสว่างน้อย และหากเทพองค์ใดแสงเริ่มจะเลือนหาย ก็หมายถึง ใกล้เวลาลงไปจุติยังภพภูมิอื่นแล้ว นี่แหละที่พวกเทวดากลัวกัน เพราะเขาเรียกว่า ต้องตายจากความเป็นเทพเทวดา จึงมีเหตุให้เทวดาองค์หนึ่งที่รู้ว่าหากตายจากเทวดาแล้วต้องลงนรกแน่นอน เลยไปขอให้พระพุทธองค์ช่วยเหลือ ช่วงที่ท่านขึ้นไปโปรดพุทธมารดาในชั้นดาวดึงค์ฯ เลยได้บทสวดที่เรียกว่า อุณหิสวิชัย เป็นการต่ออายุให้เทวดาที่กำลังจะหมดบุญให้อยู่ต่อได้อีกนั่นเอง.

    บทความนี้เขียนเพื่อให้ทำความเข้าใจในเรื่องที่หลายคนอาจจะสงสัยให้เข้าใจได้ แต่อาจจะไม่ละเอียดมากนัก เพราะบางอย่างไม่สามารถจะเขียนได้ เพราะอยู่เหนือความเข้าใจของคนส่วนมาก หลายอย่างอยู่นอกตำราจึงยากที่จะเชื่อถือ เพราะหลักฐานไม่มี อ้างอิงไม่ได้ แต่พิสูทธิ์ได้ด้วยจิตเราเท่านั้น ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินสิ่งใด หากบางคำบางประโยคผิดไปก็ขอรับใว้แต่เพียงผู้เดียว และโปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย เพราะอาจจะเป็นเหตุที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ในเรื่องที่เขียน และเมื่ออ่านแล้วควรใช้วิจารณญานพิจารณาให้มากๆ จะดีที่สุด ถือหลักกาลามสูตร ใว้ก็จะดีมาก เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องเหนือจินตนาการของคนทั่วไป หากเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ก็ขออนุโมทนา ให้มีสติปัญญาแก่กล้าเพิ่มพูน กุศลใดๆที่ทำในครั้งนี้และที่ทำมาก่อนแล้วก็ดี ขออุทิศถวายแด่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ แลคุรุเทวาทั้งหลาย ผู้เมตตาให้แสงสว่างนำทางเดินอันดีงามแก่ผู้คนผู้ยังมีธุลีในตาอยู่ให้มองเห็นทางเดินที่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม พร้อมทั้งเพื่อนกัลยาณมิตรทั้งหลาย ให้ได้เกิดปัญญา มีวิชชาแจ่มแจ้ง ไร้สิ่งเคลือบแคลงสงสัย มีใจเป็นอริยะ หมดสิ้นอาสวะกิเลส ทุกท่านทุกคนเทอญ....สาธุ สาธุ สาธุ

    เครดิต เฟสบุ้ค การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เดินทางสู่ความว่างแห่งปัญญา
     
  2. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    มีคำว่าเทพ ต้องมีคำว่าการใช้กำลัง ยุคนี้เทพหลายองค์ ตีกันไปมาเป็นแมลงวัน
    เห็นมนุษย์เป็นสิ่งทดลอง เขาแค่ต้องการวัคซีนจากเราไปรักษาสารพัดโรค ให้คนป่วยจริงๆ หายทุกข์ ก็คนที่ชอบบนบานสารเกล่านั่นแหละ ไม่ได้ดังใจก็อย่าโทษเทพกันนะ เพราะเทพมะใช่หมอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...