เว็บพลังจิต เนื้อแท้อันตรธาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด, 24 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    rabbit_sleepyrabbit_sleepy มาด้วยเดี่ยวนี้นะตาเอกสาร!
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1414648/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    พอดีพักนี้คิดเรื่องพระอรหันต์กับพระไตรปิฏก(ตำรา)อยู่พอดี
    เห็นว่า โลกกับธรรมนี้มันต่างกันจริงๆหนอ ยิ่งทางโลกที่ยังต้องยึดๆๆๆพระตำราไว้เป็นหลักยึดเหนี่ยวอยู่ ยิ่งผู้ที่ศึกษาจนเป็นผู้รู้ตำราดีแล้ว และแล้ว. . .

    ผู้รู้พระตำราหลายๆท่านก็เอาความรู้ตำรานั้นไปตรวจสอบธรรม...
    ธรรมในที่นี้ผมหมายถึงพระอรหันต์นั้นละ บ้างก็ตำหนิติเตียนพระอรหันต์ว่าทำผิดจากกฏในพระตำรา จนเป็นเรื่องราวระหว่างพระกับพระ โยมกับพระ วุ่นวายปวดหมอง เพราะโลกไม่เข้าใจธรรมแท้ๆ คงไม่เข้าใจจริงๆ

    ไอ้กระผมก็ขอจินตนาการให้อ่านกันเล่นๆนะครับ
    โลกควรจำไว้ ระรึกไว้ว่า ก็พระอรหันต์นั่นละคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์(ไม่เชื่อก็ช่าง)

    และหากจะเอาพระตำรามาตรวจสอบพระอรหันต์ ก็ให้ระรึกถึงคำสอนสุดท้ายของพระศาสดาไว้ด้วย ที่ทรงตรัสไว้ว่า
    ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถอะ..
    แล้วลองพิจารณาว่า สิ่งใดคือประโยชน์ตน
    แล้วใครละที่ทำประโยชน์ตนได้ถึงพร้อมแล้ว
    และเมื่อทำประโยชน์ตนได้ถึงพร้อมแล้ว อะไรคือประโยชน์ต่อผู้อื่น

    อย่าลืมว่าพระอรหันต์นั้นจิตท่านพ้นหมดแล้วนะครับ ท่านเป็นพระอรหันต์ที่จิต
    อาบัติใดๆไม่ได้แล้วนะครับ ที่ทำ ก็ทำตามสมมุติ ทำเพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้ที่ยังไม่พ้นดู
    ถ้าท่านทำผิดจากพระตำราก็คงเพราะ ท่านหวังทำประโยชน์ต่อผู้อื่น
    ให้สมกับกฏสุดท้ายหรือคำสั่งสุดท้าย ของพระศาสดานั้นละ ก็คือท่านไม่ได้ทำผิดจากพระตำราก็เพราะคำสั่งสุดท้ายของพระศาสดานี้เอง

    ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถอะ..
    *******************************************

    เรื่อยเปื่อย คงไม่เกี่ยวกับกระทู้หรอกครับ
     
  3. crazycow

    crazycow สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +1
    มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ถูกความกลัวคุกคามเอาแล้ว ย่อมยึดถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง สวนศักดิ์สิทธิ์บ้าง รุกขเจดีย์บ้าง ว่าเป็นที่พึ่งของตนๆ : นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันทำความเกษมให้ได้เลย, นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด ; ผู้ใดถือเอาสิ่งนั้นๆเป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง ได้.
    ส่วนผู้ใด ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว เห็นอริยสัจทั้งสี่ ด้วยปัญญาอันถูกต้อง คือ เห็นทุกข์, เห็นเหตุเป็นเครื่องให้เกิดขึ้นของทุกข์, เห็นความก้าวล่วงเสียได้ซึ่งทุกข์, และเห็นมรรคประกอบด้วยองค์แปด อันประเสริฐ ซึ่งเป็นเครื่องให้ถึงความเข้าไปสงบรำงับแห่งทุกข์ : นั่นแหละคือ ที่พึ่งอันเกษม,นั่นคือ ที่พึ่งอันสูงสุด ; ผู้ใดถือเอาที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้แท้.
    อริยสัจจากพระโอษฐ์
    - ธ. ขุ ๒๕/๔๐/๒๔.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2011
  4. wacaholic

    wacaholic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +214
    สภาพของโลก

    ในโลก คือ ชุมนุมของมนุษย์ มี 3 ลักษณะคือ

    1. สิ่งที่ให้โทษส่วนเดียว เช่น ยาพิษ
    2 สิ่งที่ให้โทษเมื่อเกินพอดี เช่น เหล้า
    3. สิ่งที่ใช้ดำรงชีวิต เช่น อาหารและยาแต่ถ้าใช้ไม่ถูกก็อาจมีโทษได้



    คนพาล

    คนที่ไร้สติรู้คิด ลุ่มหลงในสิ่งที่อาจให้โทษและสิ่งที่ให้โทษ ย่อมยึดติดสิ่งนั้นเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตตน ยากที่จะถอนตัวออกมา ยอมที่จะได้รับสุขและทุกข์บ้าง แม้จะมีความสุขก็มีแค่ชั่ววูบ เป็นเหตุให้ยึดติดและผูกตัวเองไว้กับสิ่งนั้น และง่ายต่อการถูกคนอื่นชักจูงไปได้ง่าย


    บัณฑิต

    ผู้ซึ่ง รู้ เห็น ซึ่งความจริงนั้นแล้ว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งล่อตา ล่อใจ ย่อมเกิดความมีอิสระและมีความสุขจากเบื้องลึกแห่งจิตใจเกิดขึ้นแก่ตนเองด้วยตนเอง


    พระพุทธประสงค์

    สมเด็จพระบรมศาสดา ได้โปรดคำสอนอันหาค่าสิ้นสุดไม่ได้ให้แก่ มนุษย์ทั้งหลายซึ่ง ไม่ได้มีเจตนาแค่ไว้เพื่อให้ชม แต่ปราถนาที่จะให้เห็นซึ่งแก่นที่แท้จริงของ คุณและโทษ ที่มีในอยู่ในโลกนี้ ให้รู้ ดี รู้ ชั่ว ด้วย สติ และ ใช้ปัญญาพิจารณาดูด้วยตนเอง เพื่อไม่ให้หลงเข้ายึดติดไปกับสิ่งนั้นๆ
     
  5. wacaholic

    wacaholic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +214
    อะไรเป็นแก่นสารในพระพุทธศาสนา
    ๑. ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเหมือนกิ่งไม้ใบไม้

    ๒. ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือนสะเก็ดไม้

    ๓. ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเหมือนเปลือกไม้

    ๔. ญาณทัสสนะ หรือปัญญา เปรียบเหมือนกะพี้ไม้

    ๕. ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ ซึ่งใช้คำภาษาบาลี "อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ" เปรียบเหมือนแก่นไม้
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ตราบใดที่ยังมี อาณิสูตร นี้ พระสัทธรรมแท้ก็ยังไม่เลือนหายไปใหนนี่คือการสะกิดเตือนให้ไม่ลืม
     
  7. ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3,278
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,494
  8. ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3,278
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,494
    ขอให้สมาชิกทุกท่านร่วมมือกันรักษาพระพุทธศาสนาทั้งภาคปริิยัติ(ทฤษฎี)และภาคปฏิบัติให้เป็นมรดกแก่รุ่นลูกรุ่นหลานด้วยมหากุศลกรรมมั่นคงต่อไป

    ขออนุโมทนาในการช่วยกันสอดส่องดูแลสถาบันอันเป็นที่พึ่งและขัดเกลาจิตใจฯ
     
  9. ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3,278
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,494

    "ร่วมกันดูแลรักษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดากัน"

    ขออนุโมทนา
     
  10. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    Oho ยอดเยี่ยมกระเทียมเจียว !!! ฮฺฮฺฮฺฮฺ
     
  11. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    คำว่า "พระธรรมนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้า เพียงไปพบแล้วนำเอามาบอกต่อ "

    เขาอาศัยคำนี้มาลอกเอาคำสอนของศาสดาเรา เอาไปสอน ดัดแปลงใหม่ ให้เป็นของเขา

    หากเป็นเช่นนี้ แรงโน้มถ่วง หลอดไฟฟ้า มันก็มีอยู่แล้ว นิวตัน กับ เอดิสัน ไปพบแล้วเอามา
    ทำให้เกิดผลงาน ....อย่างนี้ มันเป็นการถูกต้องแล้วหรือ ?????

    พูดถึงขนาดว่า พระพุทธเจ้า สิทธัตถะ ทรงได้รับการเปิดจุด รับธรรมะ จาก พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ มาแล้ว และทรงสืบทอดกันต่อ ๆ มา......ผู้ที่ไม่รู้ก็หลงทางไปมากแล้ว ขอดูคำสอนก็ไม่มี อ้างว่า เข้าทรงมาบอกต่อ ศาสดาก็ไม่มี

    การอธิษฐานที่ว่า "หากไม่ได้บรรลุด้วยกำลังของมนุษยชาติจะพึงมี แม้เลือดในกายจักแห้งเหือดหายไป จ้กไม่ยอมลุกจากอาสนะนี้....." นี่คืออะไร ?? มิใช่ สัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ ??

    มาสืบทอดคำสอนที่เป็นของพระพุทธองค์ ผู้เป็นศาสดาของพวกเรากันเถิด

    แล้วเราจะยินยอมวางคำสอนของครูอาจารย์เราที่เคยเชื่อได้ไหม ???? หากขัดกับคำของศาสดา เมื่อพิสูจน์ว่า คำจริงเป็นอย่างนี้ ????? ท่านย่อมทราบเองได้แล้ว
     
  12. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    เอามาทบทวนครับ
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    การละขันธ์ ๕
    [๒๕๑] ฉันนั้นเหมือนกัน วัจฉะ บุคคลเมื่อบัญญัติว่าเป็นสัตว์ พึงบัญญัติเพราะรูปใด
    รูปนั้นตถาคตละได้แล้ว มีมูลรากอันขาดแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี
    มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ตถาคตพ้นจากการนับว่ารูปมีคุณอันลึก อันใครๆ ประมาณ
    ไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก. เปรียบเหมือนมหาสมุทรฉะนั้น ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะ
    กล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่า เกิดก็หามิได้ ไม่เกิด
    ก็หามิได้. บุคคลเมื่อบัญญัติว่าเป็นสัตว์ พึงบัญญัติเพราะเวทนาใด ... เพราะสัญญาใด ...
    เพราะสังขารเหล่าใด ... เพราะวิญญาณใด ... วิญญาณนั้น ตถาคตละได้แล้ว มีมูลรากอันขาดแล้ว
    ทำให้ดุจเป็นตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ตถาคตพ้นจากการ
    นับว่าวิญญาณ มีคุณอันลึก อันใครๆ ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก. เปรียบเหมือน
    มหาสมุทรฉะนั้น ไม่ควรกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็มี ไม่เกิด
    ก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่า เกิดก็หามิได้ ไม่เกิดก็หามิได้.

    ปริพาชกวัจฉโคตรถึงสรณคมน์
    [๒๕๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วัจฉโคตตปริพาชกได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่ท่านพระโคดม เปรียบเหมือนต้นสาละใหญ่ ในที่ใกล้บ้านหรือนิคม กิ่ง ใบ เปลือก
    สะเก็ด และกะพี้ ของต้นสาละใหญ่นั้น จะหลุดร่วง กะเทาะไปเพราะเป็นของไม่เที่ยง
    สมัยต่อมา ต้นสาละใหญ่นั้นปราศจาก กิ่ง ใบ เปลือก สะเก็ด และกะพี้แล้ว คงเหลืออยู่แต่
    แก่นล้วนๆ ฉันใด พระพุทธพจน์ของท่านพระโคดม ก็ฉันนั้น ปราศจากกิ่ง ใบ เปลือก
    สะเก็ด และกะพี้ คงเหลืออยู่แต่คำอันเป็นสาระล้วนๆ.
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของ
    พระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
    หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด ท่านพระโคดมทรงประกาศ
    ธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์นี้ถึงท่านพระโคดม พระธรรมและภิกษุสงฆ์
    ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดม จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต
    ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้แล.
    จบ อัคคิวัจฉโคตตสูตร ที่ ๒.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๑๘๘/๕๑๘
     

แชร์หน้านี้

Loading...