เปรียบเทียบผลบุญชนิดต่างๆ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย thanan, 13 มกราคม 2005.

  1. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,666
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,210
    - การให้ทานโสดาบันท่านเดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานแก่ปุถุชนจำนวนมาก
    - การให้ทานโสดาบัน 100 ท่าน ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานโสดาบันท่านเดียว
    - การให้ทานสกทาคามีบุคคลท่านเดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานโสดาบัน 100 ท่าน
    - การให้ทานสกทาคามีบุคคล 100 ท่าน ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานสกทาคามีบุคคลท่านเดียว
    - การให้ทานอนาคามีบุคคลท่านเดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานสกทาคามีบุคคล 100 ท่าน
    - การให้ทานอนาคามีบุคคล 100 ท่าน ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานอนาคามีบุคคลท่านเดียว
    - การให้ทานพระอรหันต์ท่านเดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานอนาคามีบุคคล 100 ท่าน
    - การให้ทานพระอรหันต์ 100 ท่าน ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานพระอรหันต์ท่านเดียว
    - การให้ทานพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์เดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานพระอรหันต์ 100 ท่าน
    - การให้ทานพระปัจเจกพุทธเจ้า 100 พระองค์ ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์เดียว
    - การให้ทานพระสัพพัญญูพุทธเจ้าพระองค์เดียว ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานพระปัจเจกพุทธเจ้า 100 พระองค์
    - การให้ทานภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข (สังฆทาน - การให้ทานโดยไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นภิกษุรูปนั้นรูปนี้) ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
    - การสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง 4 (ให้โดยไม่เจาะจงผู้รับว่าต้องเป็นภิกษุรูปนั้นรูปนี้) ได้ผลบุญมากกว่าให้ทานภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
    - การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ได้ผลบุญมากกว่า การสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง 4
    - การรักษาศีล 5 ได้ผลบุญมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ
    - การเจริญเมตตาจิต (เป็นการทำสมาธิรูปแบบหนึ่ง) แม้เพียงเวลาสูดดมของหอม ได้ผลบุญมากกว่าการรักษาศีล 5
    - การเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงลัดนิ้วมือ (การเจริญอนิจจสัญญาคือการพิจารณาถึงความไม่เที่ยง ซึ่งเป็นการเจริญวิปัสสนาอย่างหนึ่ง เพียงลัดนิ้วมือคือเพียงเท่าเวลาที่ดีดนิ้วมือ 1 ครั้ง) ได้ผลบุญมากกว่าการเจริญเมตตาจิตแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม
     
  2. Tom

    Tom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2005
    โพสต์:
    266
    ค่าพลัง:
    +289
    อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง
     
  3. เสาวนีย์

    เสาวนีย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +251
    อนุโมทนาด้วยบุญค่ะ
    สาธุ
    ^/\^
    แต่นะค่ะ ขออนุญาตเตือนนิดหน่อยนะค่ะ กรุณาอย่าเลือกทำแต่ในสิ่งที่เจ้าของกระทู้นำมาบอก ว่าเป็นการสร้างทานบารมีที่ได้อานิสงค์ผลบุญบารมีมากกว่าทานอื่น ๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำควบคู่กันไปไม่ใช่เลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเพียงสองสามอย่าง เพราะจะทำให้บารมี 10 ทัศไม่เต็มบริบูรณ์ สมมติ เลือกการเจริญอนิจจสัญญาอยู่ เพราะเป็นสิ่งที่ได้อานิสงค์ผลบุญบารมีสูงดี แล้วก็ไม่ต้องไปเสียตังค์ด้วย แต่พอเพื่อนมาชวนไปดื่มเหล้า ก็เฮตามไป จะเพราะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เอามาอ้างไม่ถูกทั้งนั้น มันเสี่ยง! บางท่านบอกว่า "ไปเพื่อเข้าสังคม ไม่ดื่มเหล้าหรอก" ประมาณว่า แน่ใจตัวเองขนาดนั้น โดนเพื่อนชวน ลูกค้าชวน จะขัดก็ขัดไม่ได้ หรือ พูดจากวนหรือพูดเสียดสีหน่อย ทนได้เหรอ ซึ่งแน่นอนว่า บางคนย่อมทำได้ บางคนเลือดขึ้นหน้า เหอๆ ... แล้วแน่ใจตัวเองกันแค่ไหนว่าไปแล้วไม่หลุดไปกับก๊วนด้วย แล้วยังมาอ้างอีกว่า "ใคร ๆ ก็ดื่ม...ไม่เห็นแปลกเลย... เวลารวมก๊วนแล้วไม่มีเหล้า จะไปสนุกอะไร...นาน ๆ ที ดื่มไม่เป็นไรหรอก" เก้าล้านเหตุผลที่จะนำมาอ้าง แต่ข้อให้พึ่งสังวรณ์ไว้ว่า กฎแห่งกรรม ไม่เคยละเว้นใครจะเอาเหตุผลอะไรมาอ้างก็ไม่ฟัง แล้วคิดเหรอ จาก นาน ๆที ดื่มที อีกหน่อย ก็เป็นอาจิณกรรม ไปเลยก็ได้ พอเหล้าเข้าปาก พอเมาได้ที่ แน่ใจเหรอว่า ศีลข้ออื่น ๆ จะไม่ผิดตามมาเป็นขบวนรถไฟเลย มันมีโอกาสเป็นไปได้มาก พอเป็นอย่างนี้นะรับรอง อบายขุมต่าง ๆ กำลังรอรับอยู่
    มันเป็นการเสี่ยงต่อการผิดศีล หากหลีกเลี่ยงได้ควรหลีก หากรู้ว่า เป็นคนใจอ่อน จิตใจยังไม่ตั้งมั่น ยังไม่มั่นคงในศีล 5 และคิดว่า เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงซะ เพราะเป็นการเสี่ยงต่อการผิดศีล
    และอย่าไปคิดนะค่ะ เออ! เราเจริญเมตตาหรือจริญอนิจจสัญญา แล้ว ได้ผลบุญมากกว่ารักษาศีล การให้ทานเสียอีก ศีลไม่ต้องไปถือมันหรอก ความคิดดูเหมือนด้อยไปนิด เราเคยมีความคิดด้อย ๆ แบบนี้เหมือนกัน เช่น คำพูดที่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"
    อุอิ ตอนนั้นม.ต้นเอง ย้อนกลับไปดู ตอนนั้น "โอ๊ะ! ไอ้เด็กโง่คนนั้นเป็นใคร มันช่างโง่จริงๆ มันมั่วเนี่ยหว่า" ตอนนั้นคิดนะ ได้รู้ธรรมะ(รู้ประเภทแบบ งู ๆ ปลาแบบปลาซิวปลาสร้อยเลย ตอนนั้นนะ)ก็โอเคแล้ว และยังมีความคิดอีกนะคะว่า แล้วแถมไปบอกพ่ออีกนะ บาตรก็ไม่เห็นต้องใส่ มีพระอยู่ในใจแล้ว กรรมแท้ๆ มันโง่เขลาเบาปัญญาจริงๆ หากย้อนไปดู นำกลับมาคิดตอนนี้ เออ! เราไม่เข้าใจเองนี่หว่า คำว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต" ธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัส สั่งสอนสัตว์โลก ต้องทำตัวยังไง ตอนนี้ก็กระจ่างมาอีกระดับ ซึ่งได้ผลสรุปว่า ต้องกระทำทั้ง กายวาจาใจ ทั้งทานศีลภาวนา ควบคู่กันไป ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ดีมากเหมือนใจเราต้องการ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำเลย แต่ธรรมะที่รู้ก็ยังคงได้เป็นงู ๆ ปลา ๆ ปลาซิวปลาสร้อยแต่อาจแบบตัวโตสักนิด

    ข้อความด้านล่างนี้ คัดลอกบางส่วนมาจาก หนังสือ อยู่ในบุญ
    ศีล เป็นภาษาอินเดีย แปลว่า ปกติ แต่คำว่าปกตินี้เราเอามาพูดกัน จนกระทั่งต้องถามว่า ปกติ แปลว่าอะไร?
    ปกติ แปลว่า สิ่งที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เช่นร่างกายมีอุณหภูมิประมาณ 37 แต่หากร่างกายมากกว่าหรือน้อยกว่านิด ก็คือผิดปกติ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดมาตรฐานแห่งความประพฤติปกติ ทางกายกับทางวาจาของคนเราไว้ ว่ามีอยู่ด้วย 5 ประการด้วย คือ
    1.ไม่ฆ่าสัตว์
    2.ไม่ลักทรัพย์
    3.ไม่ประพฤติผิดในกามหรือไม่เจ้าชู้

    ถ้าใครล่วงละเมิด 3 ประการนี้เข้า ก็หมายความว่า ความประพฤติทางกายของเขาผิดปกติ ซึ่งเป็นการผิดปกติทั้งทางด้านศีลธรรมและทางด้านจิตใจไปด้วยในตัว เมื่อผิดปกติอย่างนี้แสดงว่าเขากำลังหาบาปใส่ตัว เพราะกำลังทำให้ใจของตนเองขุ่นมัวไป
    4.ไม่พูดเท็จ
    ในเวลาเดียวกัน ถ้าหลอกลวงโดยพูดโกหกกันเมื่อไรก็ผิดปกติคน เพราะพอไปหลอกลวงกันเข้า ใจก็ขุ่น ใจก็มัว แล้วกรรมแห่งการที่ใจขุ่นใจมัวนี้ ก็จะบีบคั้นใจของเรา ให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ นานอีกมากมาย
    5.ไม่ดื่มสุรา
    ความเป็นปกติทั้ง 4 ประการ จะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีสติ หากขาดสติเมื่อไร ความปกติทั้ง 4 ไม่ประการไม่อยู่หรอก
    สิ่งที่สติของเราแพ้ก็คือ สุราและยาเสพติด เพราะถ้าสติมาเจอกับสิ่งเหล่านี้ สติก็จะขาดไปแล้วความประพฤติทั้ง 4
    ประการที่กล่าวมาข้างต้นก็จะกลายเป็นผิดปกติขึ้นมา
    ศีล 5 รักษาเพื่อไม่ให้ไปทำผิดทำพลาด เป็นการักษาความดีขั้นพื้นฐาน คือ ไม่ยอมทำความชั่ว ไม่ให้กิเลสกำเริบ
    ความสำคัญของการรักษาศีลทั้ง 5 ข้อ ก็อยู่ตรงที่ว่า
    1.ทำให้เราไม่ไปก่อบาปก่อกรรม ไม่ไปก่อความเดือดร้อนเสียให้กับตนเองและผู้อื่น
    2.การที่เราควบคุมตัวเองด้วยศีลก็เท่ากับว่าเราสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้วิปริต คือ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนให้กับตัวเองและผู้อื่น
    3.ยิ่งกว่านั้น ที่แน่ๆ จากการที่มีศีลทั้ง 5 ข้อนี้อย่างบริบูรณ์ จะเป็นผลให้เราพร้อมที่จะทำความดีในรูปแบบอื่น ๆ ได้อีกมาก
    4.เมื่อทุกคนสามารถรักษาศีลทั้ง 5 ข้อนี้ พร้อมกับประพฤติปฎิบัตตนตามกฎหมายทางโลก ก็จะกลายเป็นความมั่นคงของประเทศชาติไปด้วยในตัว
     
  4. ไจ่ไจ๋

    ไจ่ไจ๋ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สำหรับคุณเจ้าของกระทู้ ขออนุโมทนาครับ สำหรับคุณผู้รู้น้อย ผมก็ขออนุโมทนาด้วยเช่นกัน แต่ต่อไปกรุณาใจเย็นๆในการตอบกระทู้สักเล็กน้อย เพราะหากแม้นเจตนาดี แต่ถ้าพูดวกไปวนมา คนจะงง เดี๋ยวพาลจะเข้าใจผิดว่า สองคนนี่เค้าขัดแย้งกันอยุ่หรือเปล่า ต่อไปกรุณาเรียบเรียงให้เรียบร้อย อ่านได้เข้าใจง่าย แล้วค่อยโพสครับ

    ด้วยจิตใจที่เป็นกลาง
     
  5. MissyKelly

    MissyKelly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,190
    ไม่เข้าใจอ่ะค่ะ
     
  6. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    เค้าพิมพ์ ผิด นะสิ ตะเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...