เพจ บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ, 19 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่อง ถ้าอยากบวช ต้องคิดว่าบวชเพื่อสิ้นทุกข์เท่านั้น

    “การบวชนี่ลูกเอ๋ยตั้งใจให้ดี อย่าถือว่าบวชเป็นประเพณี เพราะการเป็นพระนี่ลงอเวจีง่าย เข้าใจไหม อย่านึกว่า บางคนเขาบวชพระไม่ได้ อย่างพวกผู้หญิงนี่บอกเสียเปรียบผู้ชาย บวชพระไม่ได้ การบวชพระ ถ้าเราพลาด เราลงอเวจีง่ายฆราวาสลงอเวจียาก

    รวมความว่า ถ้าบวชต้องหวังอย่างเดียว ต้องบวชเพื่อสิ้นทุกข์ ใช่ไหม บวชเพื่อความสิ้นทุกข์ หมายถึง การตัดกิเลส และจงอย่าคิดว่า บางคนถ้าบวชไม่ได้นาน ผลของการบวชจะน้อยไป ความจริงไม่น้อย นี่จำให้ดีนะ บางคนบวช ๕ วัน ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง พรรษาเดียวบ้างต้องสึก และสึกไปเป็นฆราวาสแล้ว จงอย่าลืมว่า อานิสงส์ของการบวช หรือผลบุญของการบวชยังหนุนเราอยู่”

    คำสอน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง

    -ถ้าอยากบวช-ต้องคิ.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    พระสยามเทวาธิราชคือใคร

    พระสยามเทวาธิราช นี่นะ เริ่มมีเมื่อสมัยก่อน รัชกาลที่ ๔ มีนะ แต่ก่อนพระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นก็บูชาเทวาชื่อนั้นชื่อนี้ ที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นคนสำคัญ ขออย่างนั้นอย่างนี้ต่อมา สมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นนักปราชญ์ เป็นนักบาลี ก็มาตั้งชื่อใหม่ว่า พระสยามเทวาธิราช หมายถึงว่า เทวดาทั้งหมดที่รักษาประเทศสยาม ทีนี้ที่ถามว่า ให้คุณให้โทษทางไหน ให้โทษนี้ก็ไม่ทราบ ให้คุณนี่ก็ไม่รู้ แต่ท่านเป็นเทวดาเอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เมื่อปี ๒๕๑๘ ปีนั้นพระเจ้าอยู่หัวนิมนต์เข้าไป ที่ไป พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พอเข้าไปทำบุญ วันจักรี พอเข้าไปนั่งปั๊บไม่ต้องคุยกับใครละ บรรดาพระสยามเทวาธิราชมากันเยอะแยะเลย โอ้โฮ้ไม่ใช่องค์เดียว ๒ องค์นะ ไม่ทราบว่าจะมากเท่าใดในบริเวณเต็มไปหมด ไม่ใช่เฉพาะในวังนะ เราก็ชักสงสัยว่าองค์ไหนชื่อ พระสยามเทวาธิราช พอถามว่าองค์ไหนชื่อ พระสยามเทวาธิราช ให้บอก ชี้องค์นั้นก็ไม่ใช่ ชี้องค์นี้ก็ไม่ใช่ ต่างคนต่างบอกชื่อของตัวหมด ก็เลยนึกขึ้นมาว่า เออ ยังไงเทวดานี่ เลยบอกว่า ถ้าไม่ใช่ พระสยามเทวาธราช แล้วมาทำไมล่ะ พระเจ้าอยู่หัวก็ดี พระราชินีก็ดี ท่านทำบุญเพื่อ พระสยามเทวาธิราช ท่านก็บอกว่า เขาอยากเรียกผมอย่างนั้นทำไมล่ะ ผมไม่ได้ชื่อนั้นนี่ ก็รวมความว่า พระสยามเทวาธิราช จริงก็เป็นเทวดาที่รักษาประเทศไทยทั้งหมด สมัยก่อนเรียกประเทศสยามใช่ไหมถ้าถามว่าให้คุณแบบไหน ก็ต้องถือว่า เทวดามีความดีอะไรบ้าง แต่ละคนมีความสามารถไม่เสมอกัน อันนี้ตอบไม่ได้ เกินวิสัย

    ที่มา โอวาทหลวงพ่อเล่ม3

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ความจริงคำว่า ปลุกเสก ไม่ใช่ปลุกเสก เป็นการอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหมด ขออานุภาพพรหมและเทวดาทั้งหมด และครูบาอาจารย์ ขอให้สงเคราะห์ เพื่อทำอะไร ถ้าจิตใจเราน้อมไปก็ถือว่าถึงด้วย แล้วการขอบารมีเขาต้องขอรอบ ๆ ทุกอย่างเพื่อคนที่บูชาพระองค์นี้

    ที่เขาเรียกว่า ปลุกเสก ความจริงไม่ใช่ปลุกเสก ถ้าพระไปปลุกท่านไม่ได้ ท่านตื่นแล้ว พุทโธ เขาแปลว่าตื่นแล้วหรือเบิกบานแล้ว หรือว่ารู้แล้ว

    ทีนี้เราจะทำก็มีอย่างเดียวว่าขออาราธนาบารมีใคร ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ก็ควรจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านมาไหม คำว่ามาอาจจะไม่มา แต่เห็นฉัพพรรณรังสีหรือเปล่า ถ้าเห็นฉัพพรรณรังสีท่านครบถ้วน แสดงว่าท่านมาแน่ แต่จะว่าท่านมาทุกองค์น่ะ ท่านไม่มาหรอก ที่เราเห็นภาพท่านเวลาเจริญมโนมยิทธิน่ะ เป็นรัศมี ๖ ประการ คือพวยพุ่งรัศมีมา เหมือนกับพระองค์นั่งอยู่ข้างหน้า

    ในสมัยที่พระองค์มีชีวิตอยู่ก็เหมือนกัน เวลาที่ท่านจะสงเคราะห์ใครที่อยู่ไกล พระองค์ก็อยู่ในที่ประทับ แล้วเปล่งฉัพพรรณรังสีออกไป ก็เหมือนกับพระองค์นั่งอยู่ข้างหน้า แล้วคุยกันได้ทุกเรื่อง

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๑๘๑ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    -ปลุกเสก-ไม.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เมื่อท้าวเวสสุวรรณพบหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    เมื่อฉันบวชใหม่ๆ ในพรรษาแรก วันนั้นหลวงพ่อปานบวงสรวงจะเชิญพระพักตร์พระพุทธรูปไปที่เขาวงพระจันทร์ ฉันถามว่า “หลวงพ่อครับ เวลาหลวงพ่อเชิญนี่ ท้าวเวสสุวัณ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านมาไหม”

    ท่านบอก “เอ็งเจริญกรรมฐานหรือเปล่า?”
    บอก “เจริญครับ”
    ท่านบอก “แกเห็นไหม?”
    บอก “ไม่เห็นครับ”
    ท่านบอก “ถุย ขี้หมา”
    ความจริงหลวงพ่อปานตาไม่ดีมองเห็นคนเป็นขี้หมาไปได้…

    ท่านบอก “ถุย ขี้หมา ไม่เคยเห็นหรือ”
    บอก “ไม่เคยเห็น”
    ท่านบอก “เอางี้ซี เวลาฉันเชิญมานะ แกต้องการจะพบองค์ไหนก็เชิญองค์นั้น แกเจริญกรรมฐานเวลาเท่าไหร่”
    บอก “ตามปกติตี ๒ ครับ”
    ท่านบอก “เวลาตี ๒ เชิญให้ท่านไปพบที่แกนอน”

    ฉันตั้งนาฬิกาปลุก ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาทำวัตรเสร็จ เหลือเวลาอีก ๕ นาทีก็เข้าเจริญพระกรรมฐาน พอตี ๒ เป๋ง กุฏิมีฝานะ แต่มองแล้วเหมือนไม่มีฝาทางด้านเหนือ นุ่งขาวห่มสไบเฉียงนะ ไม้พลองแบบพลองลูกเสือ มาลิ่วๆ เห็นชัด มาถึงยืนปุ๊บบนหน้าต่าง หัวไม่สูงยันขื่อ มาถึงมายืนปั๊บ ฉันขนลุกซู่ ปอดลอย มันยิ่งกว่ากลัวอีก ทั้งๆ ที่ท่านมาสวย
    ก็เลยบอก “กลับไปก่อนเถอะท่านอาจารย์ เชิญกลับไปได้แล้ว ขอบคุณที่มาให้เห็น”
    ท่านถาม “กลัวผมทำไมครับ”
    ถามทำไมถึงรู้สึกกลัว
    ท่านบอก “ท่านเป็นเทวดา นึกในใจก็รู้หมด” ท่านก็เลยคุย บอก “ท่านอย่ากลัวผมซิ ท่านอย่ากลัวผมซิ ท่านกับผมน่ะเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนนะ” ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม
    ท่านบอก “กระบองที่เตรียมมา ไม่ได้เตรียมมาตีท่านหรอกนะ ผมเอายันกันจะล้ม”
    ถาม “ทำไม”
    ท่านบอก “เจอะนักเลงเก่า เกรงกลัวจะสู้กัน”

    ท่านเล่าให้ฟังถึงอดีตชาติ บอกในสมัยหนึ่งเราทั้งสองต่างคนต่างเป็นลูกกษัตริย์ ท่านเล่ามายาวมากให้หายกลัว
    ท่านบอกว่า “ทำไมต้องการพบองค์เดียวล่ะ”
    ก็เลยบอกว่า “เขาว่าท้าวเวสสุวัณเป็นยักษ์”
    ท่านถามว่า “เห็นเขี้ยวผมไหม”
    บอก “ยังไม่เห็น”
    ถาม “มีหรือไม่มี”
    ท่านบอก “อยากเห็นไหมล่ะ”
    บอก “อยากเห็นเขี้ยวออกทางจมูก”
    ท่านบอก “นี่มันไม่ใช่เขี้ยวยักษ์ มันเขี้ยวหมู”
    ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่
    บอก “นี่ท่านยังไม่แปลกจากของเก่านะ ยังเหมือนเดิม”

    สรุปแล้วว่า “ท่านมานี่ ท่านนุ่งขาวห่มขาวใช่ไหม” ท่านบอกว่า “ไม่ใช่นะ เข้าเขตพระต้องใช้นุ่งเหลืองห่มเหลือง แต่กลางคืนท่านเห็นเป็นขาวไปเอง
    ถามว่า “ความจริงท่านแต่งตัวอย่างไร”
    ท่านบอก “ปกติแต่งตัว เหมือนคนธรรมดา”
    ก็ถามว่า “ถ้าแต่งตัวเต็มที่”
    ท่านเลยแต่งตัวเต็มที่เลย แต่งเครื่องทรง แสงสว่างจ้าเหมือนกับพรหม ที่เขาเขียนเป็นยักษ์ บอก “ไอ้คนเขียนมันไม่รู้จักผม”

    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านมีสภาพเหมือนกันแบบนี้ สวยเหมือนพรหม

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่องพระพุทธชินราช

    จาก หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา เล่ม ๔

    ตามที่หลวงพ่อท่านได้สร้าง “พระพุทธชินราช” ประดิษฐานเป็นพระประธานไว้ที่วิหาร 100 เมตร เพื่อไว้สักการะบูชาของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธรูปองค์นี้สร้างได้สวยสดงดงามมาก นอกจากญาติโยมทั้งหลายจะได้อานิสงส์ในการร่วมสร้างกันแล้ว หลวงพ่อท่านได้บอกว่า พระพุทธชินาชองค์นี้ ถ้าเกิดฝนแล้งจะอธิษฐานขอฝนก็ได้

    ในโอกาสนี้จึงขอนำเรื่องราวของพระพุทธชินราช ที่หลวงพ่อเคยประสบเหตุการณ์มาแล้ว มาเล่าสู่กันฟัง…

    เนื่องจากมีผู้หญิงคนหนึ่งนำพระพุทธชินราชมาให้หลวงพ่อปลุกเสก เมื่อหลวงพ่อปลุกเสกแล้ว บอกว่า “เอาพระพุทธชินรารมาให้เสก ไม่รู้ฉันจะเสกบทไหน…กลัวท่านจะเสกหัวฉันเข้าน่ะซิ” พอยกมือขึ้นอาราธนาบารมีท่าน…ท่านบอก “มันก็ยี่ห้อเดียวกับแก แกก็ติดชินราช”

    ถูกของท่าน ที่ว่าถูกของท่านคือว่า พระพุทธรูปที่นำมาถวาย ถ้าหากว่ามันไม่เกินวิสัยจริงๆ ฉันต้องทำเรือนแก้วให้ได้ เพราะว่าฉันชอบชินราช เพราะอะไร… “ชินราข” เขาแปลว่า “ชนะ”

    เหตุเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี
    เรื่องพระพุทธชินราช เริ่มต้นมันมีอยู่คราวหนึ่ง คือว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่คิดว่าจะสร้างพระพุทธชินราช คืนหนึ่งก็เข้านอน ตอนหนุ่มๆนะ เป็นพระ ตื่นขึ้นมาตีสอง ตะเกียงมันก็ไม่ได้จุด มันมืดตื้อ เห็นขาวๆหน้าประตูด้านใน เหนือประตูขึ้นไป

    ถามว่า “ใคร?” บอกว่า “ฉัน…พระพุทธชินราช”

    ถามว่า “มายังไงครับ?” บอกว่า “จะมาอยู่ด้วย”

    เราก็นึก เอ….ท่านจะอยู่ยังไง…พอคิดว่าท่านจะอยู่ยังไง…แล้วท่านก็หายไป แต่จิตเรารักพระพุทธชินราชอยู่ตลอดเวลาเพราะท่านสวย ดูแล้วดูไม่อิ่ม

    แล้วก็ปีนั้นต่อมาอีก ๒ เดือน ฉันก็ไปอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วก็จะไปเข้าที่อำเภออู่ทอง ตอนนั้นป่ามันมีเยอะ เราก็จะไปซื้อไม้ที่มันถูกต้องตามกฏหมาย คือว่าต้นไม้ออกจากโรงเรื่อยนี่มันถูก คือออกจากที่นี่มันถูก พอไปก็เอาเรือไปจอดที่ตลาดบางลี่ ก็มีเรือเรี่ยไรอยู่ลำ เขาจอดอยู่ทางด้านโน้น

    พอเรือเราไปจอด ปรากฏว่าพวกผู้หญิง จีนบ้าง ไทยบ้าง แบกโตก แบกขันแตก แบกเครื่องทองเหลือง ลงไปเป็นแถวสัก 20 ราย ขนาดแบกไปเลยนะ

    ไปถึงแวะไปทางเรือก็ถาม “ทำไมโยม…?”

    บอก “เอาเครื่องทองเหลือง ทองขาวทำบุญ”

    “อ้าว…ก็ลำโน้นเขาโฆษณาจะสร้างรอยพระพุทธบาท” ไอ้เราเครื่องขยายเสียงก็ไม่มี จะไปซื้อไม้ เครื่องขยายเสียงจะมีได้ยังไงเล่า เขาถามว่า “จะสร้างอะไร?”

    บอก “ไม่ได้สร้างล่ะ จะมาซื้อไม้”

    คนอื่นเขาก็กลับไปหมด ก็เหลือผู้หญิงจีนอยู่คนหนึ่ง แกไม่ยอมไป แกก็พูดอยู่อย่างนั้นแหละ ถาม”ไม่สร้างอะไรรึ?”

    พูดไป พูดมา พูดมาพูดไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราคิดว่าจะสร้างพระพุทธชินราช แต่ว่ากำหนดไว้อีก ๓ ปีจึงจะสร้าง ไม่ได้สร้างปีนั้นเพราะเห็นว่าท่านมาคงจะเป็นสัญญลักษณ์ แกถามขึ้นมาก็เลยนึกขึ้นมาได้”ฉันจะสร้างเมือนกันแหละโยม…แต่อีก ๓ ปี”

    แกบอก “เอางี้ก็แล้วกัน ๓ ปี ฉันจะฝากไปด้วย”

    ได้เรื่องเลย…ขันลงหินแกสวยมาก เราเห็นยังนึกเสียดายของเก่า แต่ว่าของเก่าหรือไม่เก่าเราเสียดายไม่ได้ เวลาสร้างต้องทุบกันแน่ ฝากไปด้วย ๓ ปี ก็ไม่เป็นไร เลยบอกว่า

    “เอางี้ดีกว่าโยม เวลาที่ฉันจะสร้าง ฉันจะมาใหม่”

    แกบอก “ไม่ได้หรอก ดีไม่ดีฉันจะตายเสียก่อน”

    แกก็ให้สตางค์ ๑๐ บาทเป็นค่าแรงงาน ให้ค่าบำเหน็จแล้วแกก็เดินกลับบ้านไป แกกลับขึ้นไปมือเปล่านี่ พวกนั้นก็ถามว่า

    “ขันแกไปไหนล่ะ?”

    “ลำนั้นเขาสร้างเหมือนกันนะ แต่สร้างพระพุทธชินราช”

    แกพูดเท่านั้นแหละ ยายพวกนั้นแบกลงมาอีกแล้ว

    “ท่านทำไมโกหกฉันล่ะ?”

    แล้วกัน แหม..ซวยเลย เราเสียยี่ห้อ บอก “ทำไมเล่า?”

    “ก็ท่านจะสร้างพระพุทธชินราช ทำไมท่านไม่รับของล่ะ” ก็บอกว่า “อีก ๓ ปีนะโยม”

    “อ้าว…ถ้ายังงั้นฉันก็ฝากบ้างสิ” แกก็เลยฝากไว้

    ปรากฏว่า แกถือของลงมา ต่างคนต่างฝาก ก็ไม่ต้องนอนกันละ ปรากฏว่าเรือไม่มีที่นอน ทำยังไงล่ะ…มันชักจะยุ่งเสียแล้ว ก็คิดว่าเรื่องมันใหญ่ไปมากแล้ว เลยต้องตกบันไดพลอยโจน เช้าต้องจอดอยู่อีก เช่าเรือต่อเขาอีกลำ ของมันอยู่ในเรือยนต์เต็ม ก็เช่าเรือเขา เขาถามว่า “เช่าทำไม?” บอก “ใส่ของ”

    เจ้าของเรือเขาก็ดี บอกว่า

    “ไม่ต้องเช่า..วัดนี้ ถ้าวัดอื่นอาจจะต้องเช่า”

    “เสียเวลานะโยม หลายวันนะ”

    “เสียเวลาก็ไม่เป็นไร เรือไม่ได้ใช้”

    เขาก็มาคุมเรือให้เอง เอาของใส่จอดอยู่ที่นั่น รุ่งขึ้นมึงมา กูมา ผลที่สุดเห็นท่ามันจะเต็มลำอยู่แล้ว ทองเหลืองทองขาวนะ ก็จะลากลับ กลับไม่ได้อีกแล้ว เรือวิ่งมาจะออกปากคลอง มึงเรียก กูเรียก ร้องไห้จะตาย ไม่มีที่ใส่ ก็นึกว่า เออ..ตกลงไม้เม้ย..ไม่ต้องหากันละ ไอ้เราอุตส่าห์ไม่เรี่ยไร วิ่งไปเรียบๆ มึงกวักกูกวัก กวักผ้าก็ต้องแวะ ต้องกลับมานอนที่เดิมใหม่ ผลที่สุดก็เลยขึ้นไปที่เทศบาล ถามว่า “มีเครื่องขยายเสียงไหม..ขอเช่า”

    ปลัดเทศบาลก็แปลกเหมือนกัน บอกว่า “ถ้าวัดอื่นต้องเช่า แต่วัดนี้ไม่ต้องเช่า ผมให้พนักงานไปเสร็จ”

    “เออ…ก็ดีเหมือนกัน มีคนร่วมมมือได้ด้วยดี…เสร็จ”

    เป็นอันว่ากว่าจะถึงวัด ทองเหลืองทองขาวเต็มทั้งเรือต่อเรือยนต์ สมัยนั้นเงินมันยังแพงอยู่นะ ยังได้เงินมาอีก ๒ หมื่นบาท มันเป็นการบังคับว่าต้องทำแหงๆ ไม่ทำไม่ได้ ใช่ไหม..

    ฝนตกตั้งแต่เริ่มสร้าง
    เมื่อมาหาช่างก็รู้สึกว่ามันพอไปหมด เขาเรียกว่า “พอหมด” ทองก็พอ เงินก็พอ ไปถามเขาว่าจะเอาเท่าไร…ก็พออีก ยังขาดเงินอีกอย่างเดียว คือการจัดงาน อันนี้ไม่ใช่ของแปลก เป็นอันว่าของท่านครบเสร็จ เวลาจัดงานก็มาตกลงกับช่าง ช่างบอกว่า

    “พอเริ่มปั้นหุ่น ฝนตกหนัก ปั้นหุ่นเสร็จ เอาสีผึ้งใส่ ฝนตกอีก เอาดินทรายทับ ฝนตกอีก”

    เขาลากหุ่นไปจากกรุงเทพฯ ไปที่วัดบางนมโค พอไปถึง ฝนตกใหญ่ ทีนี้ก็มาถึงวันหล่อ ตามธรรมดาวันหล่อพระ ฝนต้องตกปรอยๆ ตกหยิมๆ จึงจะดี ใช่ไหม…วันนั้นไม่หยิมละ ล่อเม็ดโป้งๆเลย พอเทเสร็จฝนก็ลงจั้กๆ น้ำนอง พอเลิกแล้วหุ่นเย็นก็ให้ช่างทุบ ช่างไม่ยอมทุบหุ่น บอกว่า

    “ลักษณะอย่างนี้ พระเสียหมด หมายความว่าจะยกหุ่นมากรุงเทพฯเลย แล้วก็มาแต่ง ถ้าเสียหายก็ต้องทำกันใหม่เลย”

    ก็เลยบอกว่า “ไม่ได้หรอก งานมันยังมีอยู่ พิธีกรรมฉันเป็นคนทำนะ พิธีกรรมเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าผลเสียหายเกิดขึ้น ก็แสดงว่าคนที่ทำพิธีกรรมน่ะทำไม่ถูก”

    ช่างแกเกิดไม่ยอมทุบ ก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ผลที่สุดก็ตัดสินใจ เสียเป็นเสีย ลักษณะฝนตกแบบนี้เขาต้องเสีย พอทุบหุ่นออกมาแล้ว เรียบร้อยเกือบไม่ต้องแต่ง อีตาช่างน้ำตาไหล บอกว่า “ผมไม่เคยเจอะเลย”เพราะยังไงๆก็ต้องมาแต่งที่กรุงเทพฯให้เรียบร้อย เอาตะไบขัดให้ดี ใช่ไหม…แล้วก็ปิดทองเสร็จ เขาก็เอาไป

    พอดีฝนมันแล้งจัด ชาวบ้านเขาจะไปเล่นนางแมวนางหมาอะไรนั่นแหละนะ แบบสมัยเก่า ฉันก็ไปยืนที่หน้าต่าง ถามเขาว่า “ทำไมเล่า?” บอก “จะไปเล่นขอฝน”

    บอกว่า “กลับไปเถอะ พรุ่งนี้เขาจะเอาพระพุทธชินราชมาจากกรุงเทพฯ ฝนจะตกตลอดตามที่ต้องการ” ไอ้เราก็โม้ไปอย่างงั้นละ โม้ส่งเดช เจ้าพวกนั้นทำยังไง…วันรุ่งขึ้นมันก็มากันเต็มวัดเลย ไม่ใช่ตำบลเดียว ๒-๓ ตำบล ฝนมันไม่ตกนี่ แกก็มานั่งคอยพระพุทธชินราช ฝนจะตกไหม…

    ไอ้เราก็ชักใจเสีย จะไปไหนก็ไปไม่ได้ ถ้าฝนไม่ตกมันคงทุบเราแน่ ก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ บังเอิญก็ได้ พุทธานุภาพก็ได้ พอเรือที่บรรทุกพระพุทธชินราชไปถึง พอจอดเทียบท่าวัดฝนตก ๒ ชั่วโมงเต็ม ตกขนาดไม่ลืมหูลืมตา ล่อเต็มที่จั้กๆตั้งเวลาได้ ๒ ชั่วโมง

    ก็เป็นอันว่าการแบกพระขึ้นเป็นของไม่ยาก เขาดีใจกันใหญ่ ช่วยแบกพระบ้าง ช่วยแบกคนบ้าง มันล่อกันเต็มที่เลย พอขึ้นมาเสร็จ เขาก็ตั้งกฏเลย แกเลยบังคับต้องทำบุญ ๓ วัน พวกนั้นเขาทำเอง ก็เลยบอกว่า

    “แกจะทำสักกี่ร้อยวันก็เชิญ ฉันอยู่วัดไม่ต้องบิณฑบาต”

    เขาก็ขนกันทำบุญ พอทำบุญเสร็จ เขาเวียนเทียนเสร็จก็เข้าที่ ทีหลังก็ขอท่านตอนเย็น ขอให้ฝนตกพอดีๆเท่าที่ข้าวเขาต้องการ ตกตลอดทุกวัน

    อธิษฐานขอฝนตกที่อื่นก็ได้
    ตอนนั้นมีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง รุ่งขึ้นอีกปีหนึ่งก็ไปสร้างโบสถ์ที่ จ. ราชบุรี เขาให้ไปสร้างโบสถ์ แต่มันเป็นที่แนวลึกเข้าไปที่ใกล้ๆแม่น้ำ บางที่เราไปง่าย เขาไม่ให้สร้างหรอก ไอ้ที่ชาวบ้านทำไม่ถึงละเราไป

    ก่อนจะไปก็อาราธนาท่าน ขอบารมีท่าน ไม่ได้แบกท่านไปด้วยหรอกนะ ถ้าเรือบ่ายหน้าเข้าคลองเล็กละก้อ…พอไปถึงที่เรียบร้อย ขอให้ฝนตกใหญ่ ๒ ชั่วโมง แล้วก็ไป ก็น่าแปลกเรือเราไม่ได้บรรทุกท่านไป แต่เรานึกถึงท่าน ขณะที่เรือวิ่งไปเดือนเมษายนไม่มีแสงแดดเลย ไอ้เมฆนี่ที่จะบังทับไปอยู่ตลอดเวลา แปลกดีเหมือนกัน

    เมื่อไปถึง พอเรือเบนเข้าคลองเล็กปรากฏว่าฝนตกพรำๆไปถึงที่พอนั่งเรียบร้อยแล้วฝนตกลงมา 2 ชั่วโมง มีโยมคนหนึ่งมาบอก

    “ท่าน..ดินสูงมาก ได้อีกสักชั่วโมงก็ดี” เอางั้นอีก ไอ้เราก็ปากหมา บอก “เอาตีสองนะโยม…เอาอีก ๒ ชั่วโมง”

    เราก็นึกว่าตีสองใครจะไปนั่งอยู่มันกลับไปหมด ตกก็ตกไม่ตกก็ช่าง มันต้องกลับไปหมด ใช่ไหม…ที่ไหนได้ คนที่มามันไม่ยอมกลับ มันคอยดูตีสองอีก ซวยละเรา…เอายังไงกันแน่นะ มันก็นั่งดูนาฬิกา ถาม “อยู่ทำไม?”

    “ก็ท่านบอกตีสองฝนจะตก”

    เราก็เลยบอกว่า “ฉันพูดไปยังงั้นแหละ ด้วยพุทธานุภาพ ท่านจะให้หรือไม่ให้ ฉันบังคับไม่ได้นะ”

    เขาก็บอก “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวขอดูใหม่”

    ดาวที่เต็มฟ้าไม่มีมัวสักนิดเดียว เห็นดาวสบาย เค้าก็ไม่มี พอนาฬิกาตีเป๋ง…ลงพั๊วทันที ล่ออีก ๒ ชั่วโมง

    แต่ก็แปลก พอฉันจำจะต้องย้ายวัด เพราะครบ ๒๐ พรรษาตามที่หลวงพ่อปานท่านสั่ง ก็เอามาไม่ได้เพราะว่าเป็นของสงฆ์ พอออกมาไม่ได้ พออยู่ข้างหลังใครไปขอเท่าไรฝนก็ไม่ตกเป็นไง…?

    ถามท่านว่า “ทำไมจึงเป็นยังงั้น?”

    บอก “ไม่มีใครเขารู้จักฉันนี่ แม้แต่ไหว้ยังไหว้ไม่ถูกเลย” นี่เรื่องของพระพุทธชินราช ท่านให้ผลดีจริงๆ

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

    พ่อสอนลูก

    ๑. ขอลูกรักจงรักษากายไว้ด้วยดี
    อย่าเอากายไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
    และจงรักษาวาจาไว้ให้ดี
    อย่าพูดปดมดเท็จที่ไม่ตรงความจริง
    อย่าพูดคำหยาบหรือด่าคนอื่น
    อย่าใช้วาจาเป็นเครื่องทำลายความสามัคคี
    คือ ยุให้คนแตกร้าวกัน
    อย่าใช้วาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์
    ด้านใจจงรักษาใจไว้ด้วยดี
    คือ ไม่อยากได้ของๆ ใครที่เขาไม่เต็มใจให้
    ไม่โกรธแค้นอาฆาต พยาบาทใคร
    ไม่เมาใจจนเห็นผิด คิดว่าตัวเป็นคนประเสริฐ
    อารมณ์เหล่านี้เป็นพื้นฐานที่จะให้เข้าถึงพระนิพพาน
    เมื่อรักษากายใจได้ดังนี้แล้ว
    ต่อไปใจจะสะอาดขึ้นทีละน้อย
    จนไม่ต้องระวังทั้งกาย วาจา ใจ
    จะทรงไว้แต่ความดีอย่างเดียว ในที่สุดก็ถึงนิพพาน

    ๒. ลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้ว่าท่านกับเรามีสภาวะเหมือนกัน
    คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนไปในท่ามกลาง
    และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด
    ท่านกับเราก็เสมอกันเสมอกัน โดยไตรลักษณ์
    คือ อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้
    ทุกขัง เมื่อมีความเป็นอยู่ต้องทำมาหากิน
    ทางอาชีพทำการงานเลี้ยงชีพ
    สุขบ้างทุกข์บ้าง ไปตามสภาพของคนที่มีชีวิต
    ในที่สุดชีวิตก็สลายตัวไป
    จงจำไว้ว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นในร่างกายจนเกินไป
    อย่ายึดถือในทรัพย์สินมากเกินไป
    จงจำไว้ว่าเราจะต้องตาย
    ถ้าเรายังไม่ดีพอ ตายแล้วเราก็ต้องเกิดอีก
    เกิดแล้วเราก็มีทุกข์ เกิดเป็นคนมีทุกข์อย่างคน
    เกิดเป็นสัตว์มีทุกข์อย่างสัตว์
    เกิดเป็นอสุรกายเป็นทุกข์อย่างอสุรกาย
    เกิดเป็นเปรตเป็นทุกข์อย่างเปรต
    เกิดเป็นสัตว์นรกเป็นทุกข์อย่างสัตว์นรก
    เกิดเป็นเทวดาสุขอย่างเทวดา
    เกิดเป็นพรหมสุขอย่างพรหม
    แต่สุดท้ายไม่นานผลที่สุด
    ก็ละความสุขนั้น มาหาความทุกข์
    สู้ไปพระนิพพานไม่ได้
    นิพพานมีความสุขที่เป็นเอกันตบรมสุข เป็นความสุขที่ยอดเยี่ยม

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    จากหนังสือ หนังสือ หลวงพ่อธุดงค์ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ฝึกธุดงค์

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย จะขอเล่าความเป็นมาสมัยที่บวชใหม่ๆ เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อเห็นปฏิปทาในปัจจุบันก็ดี เมื่อเห็นความเป็นมาต่างๆ ในปัจจุบันก็ตาม อาจจะคิดว่า ตอนบวชใหม่ ๆ คงจะเป็นพระที่มีการเคร่งครัดมัธยัสถ์มาก เพราะว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน
    คำว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อปาน นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็จงอย่าคิดว่า เหมือนหลวงพ่อปาน ทุกองค์ หรือว่าจะปฏิบัติคล้ายคลึงหลวงพ่อปานทุกองค์ก็หาไม่ ความจริง พระที่ปฏิบัติตามหลวงพ่อปานจริง ๆ มีไม่ถึงร้อยละสอง ขอกล่าวด้วยความจริงใจ นอกนั้นก็เป็นพระที่อาศัยบารมีกินทั้งนั้น แต่ทว่ามีอาการเบ่ง เวลาไปทางไหนเขาบอกว่าพระวัดบางนมโค คนก็มีความเคารพ ถือว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อปาน นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาจะถือว่า หัวหน้าท่านดี แต่ลูกน้องจะดีเหมือนกันทั้งหมด ไม่ใช่

    แม้แต่ที่วัดท่าซุงเอง ก็เหมือนกัน ก็จงอย่าคิดว่า ท่านจะเป็นนักสมถวิปัสสนากันทุกองค์ บางองค์ก็ยังถือว่า ปฏิบัติถูกตามพระธรรมวินัยใช้ได้ก็มีอยู่ บางองค์ที่มีการเคร่งครัดมัธยัสถ์ในสมถภาวนาก็มีอยู่ ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ว่าพระส่วนใหญ่ ประกอบกับงานของวัดห่วงงานวัด ในใจในงานวัดดี อาจจะมีบ้างที่ขี้เกียจ จะมีบ้างหรือเปล่า ก็มองไม่เห็นแต่ถือว่าทำงานกันตามหน้าที่ รู้สึกว่า จะดีกว่าสมัยนั้นมาก ก็รวมความว่า มาเล่าเรื่องอาตมาเองก็แล้วกัน คนอื่นจะไปนินทาเขาทำไม (ความจริงไม่ตั้งใจนินทา แต่ล่อเข้าแล้ว ไม่ใช่นินทาเล่าสู่กันฟัง)

    เมื่อสมัยที่บวชใหม่ ๆ ก็มีผ้าห่มไม่ดี ผ้าก็เป็นผ้าดิบ เมื่อบวชเข้ามาแล้ว รู้สึกว่าบวชเข้ามาประมาณ 1 เดือน อารมณ์ของพระ 1 เดือนนี่ ความเป็นพระน้อยเต็มที นอกจากระวังพระธรรมวินัย เพราะว่า เห็นอะไรมันดีหมด เห็นทรัพย์สินต่าง ๆ ก็ดีหมด เห็นสาว ๆ ก็สวยหมด (อีตอนเห็นสาว ๆ สวยหมดนี่ มันจะดีมากเกินไป) ก็มาคิดในใจว่า ผ้าเหลืองไม่ได้ทำให้กิเลสหด ถ้าอย่างนั้นก็ลองปฏิบัติธุดงค์ (ธุดงค์ 13 นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทมันไม่จำเป็นต้องเข้าป่าเข้ารกเสมอไปหรอก)
    ไปถามหลวงพ่อปานท่านบอกว่า อยากจะปฏิบัติธุดงค์ตามแบบฉบับใน ธรรมวิภาคปริเฉท 2 จะทำได้ไหม ท่านบอกว่า ทำได้ ท่านถามว่า เธอต้องการอะไร
    ก็ต้องการ อันดับแรก เอกาสนิกังคะ ก็หมายความว่า กินข้าวเวลาเดียว
    2. เตจีวริกังคะ ใช้ผ้า 3 ผืน (เอาภาษาไทยดีกว่า) เอา 2 อย่างนี่ก่อน
    หลวงพ่อปานบอกได้ฉันจะขึ้นให้ แล้วท่านก็แนะนำการปฏิบัติธุดงค์ กินข้าวเวลาเดียวใช้ผ้า 3 ผืน
    แต่ความจริงเขามีผ้าอาบน้ำฝนเพิ่มขึ้นมา ก็มีเป็นผ้าผลัด เมื่อถึงเวลาวันโกนทีก็ซักย้อมสบง จีวร ใช้ผ้าอาบนุ่ง ย้อมกันที วันโกนก็ย้อมที ผ้าสมัยนั้นต้องย้อม เพระสีตกผ้าสีตกนี่ดี ทำให้พระสีสวยเพราะสีผ้าตกเข้ามาในเนื้อพระ
    ลองกินข้าวเวลาเดียวอยู่ 1 ปี อาหารที่วัดบางนมโคเวลานั้นไม่ได้ฟุ่มเฟือยไม่ได้มากมายเหมือนกับวัดท่าซุงเวลานี้ มันก็เหมือนวัดท่าซุงเมื่ออาตมามาอยู่ใหม่ ๆ คือ ไม่ค่อยจะมีอะไรกิน หลวงพ่อปานจึงต้องแกงหม้อใหญ่ ๆ 1 หม้อ หุงข้าวกระทะ ข้าวบิณฑบาตก็ไม่พอกิน แกงก็ไม่พอ กับข้าวที่ฉันเช้าแล้ว ก็ต้องเก็บไว้เพล ก็รวมความว่าเพลกับเช้า กินข้าวเหมือนกัน

    พอมาถือเอกาเช้า กับข้าวที่ถือว่าเป็นพื้นฐานก็คือ ปลาย่าง ปลาย่างกับน้ำปลาแล้วก็พริกแห้งบ้าง พริกขี้หนูบ้าง อะไรก็ตามเท่าที่มี หั่น ๆ ใส่ กินเป็นประจำอย่างนี้ทุกวัน บางทีมีผักบุ้ง ก็เอาผักบุ้งมาต้ม กินกับน้ำปลา กับพริก พริกก็เผ็ด น้ำปลาก็เค็ม ผักบุ้งก็จืด ๆ ก็ใช้ได้ แบบนี้ 1 ปี สังเกตดูแล้วว่า กิเลสมันตกไหม ถึงแม้ว่าจะกินข้าวเวลาเดียว ถือผ้า 3 ผืน ก็ทำตัวเสมอกับพระต่าง ๆ คือว่า ก็ยังสมาคมกับท่านตามปกติ เวลาที่ว่างจากการเจริญกรรมฐาน สำหรับกรรมฐานนี่ว่ากันปกติตั้งแต่วันแรก

    ก็เป็นอันว่า กินข้าวเวลาเดียวมา 1 ปี สังเกตดูกำลังจิตใจ ทั้ง ๆ ที่เจริญสมาธิกรรมฐานด้วย สมัยแรกก็ใช้ภาวนาว่า พุทโธ อย่างเดียว และใช้กำลังวิปัสสนาญาณบ้าง ก็ไม่มากก็ทำแบบนกแก้ว นกขุนทอง แต่ว่าภาวนาไม่เลิก ภาวนานี่ไม่เลิกแน่ เดินไปเดินมาก็ภาวนา เว้นไว้แต่คุยกับเพื่อน คุยกับเพื่อนก็คุยไป เมื่อเลิกคุยก็ภาวนา เวลาไปบิณฑบาตก็ว่า อิติปิโสฯ ว่าเรื่อยไปจนกว่าจะกลับ นึกในใจนะ อย่างนี้ 1 ปี กิเลสไม่ตกเลย มองดูสาว ๆ ยังสวย มองดูเงินทองยังมีค่า มองดูทุกอย่างท่าทางมันยังดี ก็นึกในใจว่า การถือเอกา กินข้าวเวลาเดียว บางคนเขาถือว่าเคร่งครัดมัธยัสถ์ แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว กิเลสยังท่วมหัวตามเดิม
    ต่อมาเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า หลังจากนี้ไป เราจะไม่กินของคาว จะเรียกว่า กินเจหรือกินเจ๊อะไรก็ตามใจเถอะขึ้นชื่อว่าของคาวไม่กิน แต่ก็ไม่บอกชาวบ้านให้ทราบถ้าบอกแล้ว เขาจะทำมาลำบาก เราก็บิณฑบาตมาแล้ว อะไรก็ตามที่มันเป็นของคาว เราก็ไม่กินนั่งกินรวมวงกับพระธรรมดา ๆ ไม่ได้แยกไปไหน เลือกกินแต่ของที่มันไม่มีคาว ขณะที่ไม่กินของคาวนี่ใช้เวลา 3 ปี ก็ยังกินข้าวเวลาเดียวตามเดิม ในที่สุด กิเลสก็ไม่ตก สาวก็ยังสวย เงินก็ยังมีค่า วัตถุต่าง ๆ ก็ยังมีค่ามากสวยสดงดงาม เลยมีความเข้าใจว่าการที่เราปฏิบัติทางกายแบบนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ท่านตรัสว่า มรรคผล ไม่ได้เกิดจากทางกาย มันเกิดจากทางใจ

    แต่ว่ามีอะไรแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ขณะที่ตั้งใจว่า จะไม่กินของคาว บังเอิญวันหนึ่งในระหว่างที่ยังไม่กินของคาวนั่น มีญาติโยมเขาถวายข้าวต้มเครื่อง เขานิมนต์ทั้งวัด จะไม่ฉันก็เกรงใจเขา จะฉันก็คิดว่ามันเสียสัจจะ เขาบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเจ้าค่ะ โปรดสักชามหนึ่งเถิด ถึงแม้ว่าจะถือว่า ไม่ฉันของคาว ก็โปรดสักชาม พอกินเข้าไป ช้อนที่หนึ่งทำท่าอืด พอช้อนที่สองอาเจียนทันที อาเจียนอย่างหนัก
    ญาติโยมตกใจ ต้องหาของไม่มีคาวมาให้พอพ้น 3 ปีไปแล้ว ก็กินของคาวตามเดิม ตอนที่ถือเอกาด้วย ไม่กินของคาวด้วย บรรดาญาติโยมทั้งหลาย กิเลสมันก็ดีตามเดิม ยังไม่ไปไหนเลย สาวสวยก็ยังสวยตามเดิม เงินมีค่า ก็ยังมีค่าตามเดิม วัตถุต่างๆ ก็ยังสวยสดงดงามตามเดิม อารมณ์ต่าง ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนัก เว้นไว้ว่า จะคุมด้วยกำลังของภาวนา หรือพิจารณาบ้างในบางโอกาสเท่านั้นเอง
    ก็เป็นอันว่า ปฏิปทาเดิมจริง ๆ และสำหรับการปฏิบัติตัว ก็เหมือนกันพระท่านนั่งคุยที่ไหนไปที่ไหน ก็ไปด้วยกัน เว้นไว้แต่เวลาอยู่เราก็อยู่ในป่าช้าของเราตามปกติ เวลาออกมาก็คุย คุยสนุกสนานตามปกติธรรมดา ไม่แสดงตัวว่า ฉันกับเธอน่ะไม่เหมือนกันนะ ตัดมานะตัวนี้ออกไป

    ต่อมาก็มีความรู้สึกทางใจว่า เรานี่คงไม่สามารถชนะกิเลสแน่ ถ้าไม่ชนะกิเลส เราจะอยู่หรือเราจะสึกในเมื่อเราออกพรรษาไปแล้ว ก็มานั่งปรึกษากัน 3 องค์ว่า ถ้าเราอยู่ต่อไปเราก็ขาดจากงานที่เราเป็นลูกจ้างเขา นี่เราลาเขามาเพียงแค่ไม่กี่เดือนเวลานี้มันก็ครบแล้ว ถ้าหากว่าเกินเวลาไป ถ้าเราสึกไป เขาก็ไม่จ้างเรา ถ้าเราจะอยู่ ถ้าอยู่ไม่ตลอด มันก็ไม่ดีเหมือนกัน เวลานี้กิเลสทุกอย่างมันก็ห้ำหั่นเรา เราไม่ได้หั่นกิเลส ถ้าอย่างนั้น เอาอย่างนี้ดีกว่า เราสึกกันดีกว่า สึกไปหากิเลส อยู่กับกิเลสให้มันช่ำใจ ให้มันเบื่อกิเลส เพราะการเคล้าคลึงกับกิเลส ในเมื่อเราเบื่อกิเลส เราก็บวชใหม่ ปรึกษากันตอนเช้า
    พอดีตอนเช้า หลวงพ่อปานท่านก็เดินผ่านมาถึงหน้าบันได ท่านก็เอาไม้เท้า เคาะบันได ป๊อก ๆๆ หันไปหาท่าน ยกมือไหว้ ท่านบอก ว่าอย่างไร อยากไปหา เป็นขี้ข้ากิเลสอย่างนั้นรึ มันไม่มีทางชนะมันหรอก ออกไปแล้ว นอกจากตัวเราคนเดียว เราก็ห่วงขันธ์ 5 ต่อไปไม่ช้า นี่คุณระหว่างที่บวชอยู่นี่ ผู้หญิงเขาจองหลายคนนะ ทั้งสามองค์นี่ แกอย่านึกว่าฉันเป็นพระแก่ฉันไม่รู้นะ ฉันรู้ว่าใครเขาจองเธอหลายคน และที่เขาจองเธอหลายคนนี่ สักคนหนึ่งในจำนวนนั้นอาจจะชนะใจเธอ

    ในเมื่อเขาชนะใจเธอแล้ว เธอก็แต่งงานกับเขา แต่งงานก็เลยเป็น ขันธ์ 10 คนเดียวขันธ์ 5 สองคนขันธ์ 10 ต่อมา ลูกออกมา ก็เป็น ขันธ์ 15 ลูกออกมาอีก ก็เป็นขันธ์ 20 เพียงแค่ขันธ์ 5 อย่างเดียว ยังมีทุกข์อย่างนี้ จะต้องการขันธ์ 20,30,40 ขันธ์ มันจะมีความสุขได้อย่างไร ความห่วงใยที่คิดว่าจะตัดกิเลส มันตัดไม่ออก กิเลสมันพอกมากขึ้น ตัดสินใจเองก็แล้วกันนะ ว่าอยากจะเป็นอิสระ หรืออยากจะเป็นขี้ข้าเขาต่อไป

    ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม ท่านก็เดินกลับ เราก็นึกในใจว่า เอ..มีเมีย เราก็เป็นขี้ข้าเมีย มีลูก เราก็เป็นขี้ข้าลูก ไปไหนไม่มีอิสระ บวชต่อไปดีกว่า เมื่อมันทนไม่ไหวจริง ๆ เราก็สึก สึกแล้วเรารับจ้างที่เดิมไม่ได้ เราก็ทำมาหากิน ปลูกผักปลูกหญ้าไปตามเรื่องตามราวก็แล้วกัน ฐานะก็พอมีอยู่บ้าง มันไม่ร่ำไม่รวยก็ช่างมันเถอะ มีพอกินไปวันหนึ่ง ๆ ก็ตัดสินใจอยู่

    นี่เป็นเรื่องราวปกติธรรมดา ๆ นะญาติโยมนะ อย่าไปนึกว่าพระที่กินข้าวเวลาเดียวเคร่งครัดดีกว่าพระอื่น อย่าไปคิดนะ แต่องค์อื่นนั้นอาจจะดีก็ได้ แต่อาตมากิเลสมันท่วมหัวมาแล้ว กินข้าวเวลาเดียว แล้วแถมกินเจประเภทไม่บอกชาวบ้านนี่ มันพิลึกพิลั่นละ กับข้าวที่เขาหามาให้เขาใส่บาตรมาให้ บางทีมันก็มีคาวทั้งหมด ทำอย่างไร เอาน้ำปลากับหัวหอมมาเป็นกับข้าว หัวหอมธรรมดานี่ เป็นกับข้าว กินเป็นปกติ อย่างนี้กิเลสมันยังไม่หดเลย ถ้าเราจะถือมังสวิรัติ หรือกินเจจริง ๆ กิเลสมันจะหดได้อย่างไร เขาทำกับข้าวเวลานี้มันดีมากกับข้าวเจนี่ บางทีไม่รู้ว่าเจ แหม…มีอะไรหลอกเป็นหมูบ้าง เป็นเนื้อบ้าง เป็นไก่บ้าง ตักไปพับ อ้าว…นี่มันไม่ใช่นี่หว่า มันของปลอม

    ก็รวมความว่า คนอื่นอาจจะลดได้ แต่อาตมามันไม่ลด ก็ตัดสินใจว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราออกธุดงค์กัน ธุดงค์ในวัดเราก็ทำแล้วคือ ใช้ผ้าสามผืน และถือเอกาบางครั้งเราก็ถือเนสัชชิ และโยเฉพาะอย่างยิ่ง กรรมฐานก็ทำแล้วเป็นปกติ กิเลสมันยังไม่ลดไปสักตัว ราคะ ความรัก มันยังมี โลภะ ความโลภ มันยังมี โทสะ ความโกรธ มันยังมี โมหะ ความหลง มันยังมี มันยังมีตัวอยาก จึงตัดสินใจธุดงค์
    พรรษาที่สอง ตัดสินใจธุดงค์ หลวงพ่อปานก็ฝึกธุดงค์ให้ ท่านก็ถามว่า เธอจะธุดงค์อย่างปกติ หรืออุกฤษฏ์ ก็ถามว่า ปกติเป็นอย่างไรขอรับ ท่านบอก ปกติก็เดินไปตามหลังบ้าน ปักกลดตามหลังบ้านชาวบ้านเขาก็ใส่บาตร ถ้าอุกฤษฏ์จะต้องเข้าป่าลึก ถ้าดีไม่พอเทวดาไม่ให้ข้ากิน ถ้าคืนไหน วันไหน จิตใจเราบริสุทธิ์ รุ่งเช้าเทวดาจะใส่บาตรให้ ก็เลยตัดสินใจบอกว่า ผมต้องการอุกฤษฏ์ครับ ทำมันอย่างจริงๆ เอาจริง ๆ ท่านก็เลยฝึกธุดงค์ให้

    อันดับแรกก็ฝึกธุดงค์ในป่าช้า หาทางบิณฑบาตกับเทวดา หากินกับเทวดานี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มันยากจริง ๆ เอาบาตรไปแขวนกับต้นไม้ แล้วยืนหลับตาพักหนึ่งทำแบบนี้ มาประมาณ 15 วัน
    ต่อมา เป็นวันที่ 16 หรือ 17 จำไม่ได้ หลับตาภาวนาอยู่เฉย ๆ พอจิตเป็นสุขความจริง วันแรก ๆ มันทำไม่ถูก ก็คิดว่า เมื่อไรเทวดาจะมา ๆ ภาวนาไป คิดถึงเทวดาไป จิตมันฟุ้งซ่าน วันนั้นตัดสินใจตามนี้ เทวดาจะมา หรือไม่มาก็ช่างเถิด ฉันก็มีข้าวกินจากพระอื่น เขาบิณฑบาตมาให้ ก็ทำใจสบาย จับอานาปานสติ แล้วก็เจริญพุทธานุสสติ เห็นภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น ที่ท่านเคยแสดงให้ปรากฏ สวยอร่ามมาก

    โอ้โห..แท่นใหญ่เบ้อเร่อ ยิ้มแฉ่ง ริมฝีปากแดง ผมดำ สวยสดงดงาม ก็มีคนปฏิบัติอยู่คนหนึ่งชื่อ พุฒ ท่านเรียก มหาพุฒ ๆ เมื่อเห็นท่าน ก็ดูท่านเพลิน ชื่นใจ ประเดี๋ยวได้ยินเสียงฝาบาตรดังก๊ง แล้วมหาพุฒก็บอกว่า คุณ..ลืมตาได้แล้ว เทวดาใส่บาตรแล้ว วันนี้คุณทำถูก ทำอย่างนี้ต่อไปทุกวันนะ จะไม่พลาดจากการได้กินข้าวจากเทวดา แล้วภาพท่านก็หายไป
    พอลืมตาขึ้นมา เปิดฝาบาตรดู มีข้าวในบาตร สีเหลือง ๆ น้อย ๆ และมีดอกไม้ที่ไม่เคยเห็นมาในกาลก่อนมีอยู่ 1 ดอก เอาข้าวมากินมันมีรสหวานน้อย ๆ มีอารมณ์ชุ่มชื่นตอนนี้ก็ได้ท่าแล้ว วันหลังต่อมาก็ใช้วิธีแบบนี้ หลับตาพับ ไม่สนใจแล้วกับใคร สนใจกับภาพพระพุทธเจ้าอย่างเดียวภาวนา พุทโธ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ และนึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น ตอนแรกท่านมาให้เห็นตอนหลังเรานึกเห็นเอาเอง นึกเห็นเอาเองจิตก็เห็นภาพชัดเจน เหมือนกับที่ท่านมาให้เห็นพอได้ยินเสียงฝาบาตร ก๊ง ก็ยกมือไหว้พระพุทธเจ้าเสร็จ ลืมตาขึ้นมา มีข้าวตามเดิม ซ้อมอย่างนี้อยู่ในป่าช้า 15 วัน

    ถ้าถามว่า ในยามปกติหลังจากนั้นกับพระอื่น ก็เล่นกับเขาธรรมดา เขาคุยสนุกเราก็คุยสนุก เขาแบบไหน เราก็แบบนั้น ก็ถือว่า แค่อะไรก็แค่กัน เวลาปกติก็เป็นเวลาปกติ
    หลังจากนั้น เมื่อครบ 15 วันเสร็จ ท่านส่งไปที่ป่า โน่น… ป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี 3 องค์ไปซ้อมกันที่นั่น ท่านบอกว่า อีคราวนี้แหละแกถ้าแกไม่ได้กินข้าวเทวดาไม่ให้ แกก็ไม่ต้องกินอะไรทั้งหมด เพราะไม่มีวัดที่อาศัย ไม่มีบ้านที่อาศัย ก็ไม่ไกลบ้านนัก แต่มันอยู่ในป่า กว่าจะเดินออกไปถึงบ้านได้ก็ 2-3 ชั่วโมง ก็ยังไกลหนักเข้าไป ความหวังไม่มีที่พึ่งอื่น อารมณ์ใจก็ยิ่งเป็นสุข อารมณ์ก็เป็น เอกัคคตารมณ์ นั่นก็หมายความว่า ทุกวัน กินข้าวเทวดาได้ทุกวัน
    และที่ดีไปกว่านั้นในป่าที่มีความสุขจริง ๆ ก็คือว่ากลางวันทั้ง ๆ ที่อยู่ไกลบ้านแสนไกลก็มีคนมาเป็นเพื่อนคุย แต่คนที่มาคุยนั่น ทุกคนตาแข็งหมด ไม่มีใครกระพริบตา พวกนี้ไม่กลัวผงเข้าตา เป็นผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง ผู้หญิงแก่ ผู้ชายแก่ก็ดี เราถือว่า ท่านเป็นครูเวลานี้เราอายุ 20 ปีกว่า ๆ ท่าน 50-60 ปี ไม่ช้าเราก็ 50-60 ปี เหมือนท่าน พอเห็นท่านปั๊บ..เรามีความคิดอย่างนั้น

    ท่านผู้นั้นก็ยิ้ม ถามว่า ท่านมีความรู้สึกอย่างนี้หรือ ก็ตอบว่า ใช่ถามว่า โยมทำไมถึงมีความรู้ว่าอาตมาคิดอย่างนี้ล่ะ โยมก็บอกว่า โยมเป็นคนแก่เดิมทีเดียวก็มีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน โยมรู้ใจคน บางวันก็หาคนแก่ไม่ได้ มีแต่คนสาววัยรุ่น กับสาวเต็มตัว อายุไม่เกิน 18 ปี ถ้าเต็มตัว วัยรุ่นก็ 13-14-15-16 นี่ มาเป็นฝูงนำอะไรต่ออะไรมาดะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่นำมาก็เป็นดอกไม้มาถวาย แล้วก็นั่งทำตาเล็กตาน้อย (ผู้หญิงคงรู้เรื่องกระมัง ตาเล็กตาน้อยนี่)

    พอเห็นเธอทำแบบนั้นก็เลย บอกว่าหนูฉันน่ะ แก่แล้วนะ แล้วก็มีสาวคนหนึ่งบอกว่าเขาแก่กว่านี้ผู้หญิงเขายังเอาทำผัวกันเลย นี่ทำไม แก่เท่านี้จะเป็นผัวผู้หญิงไม่ได้รึ ก็ตอบว่าถ้าแก่ธรรมดา พอเป็นผัวผู้หญิงได้ แต่แก่เป็นพระนี่มันมีเมียไม่ได้เธอก็ถามว่า จะไม่สึกแน่รึก็ตอบว่า ถ้ายังไม่อยากสึก ก็ไม่สึก ถ้าอยากสึกเมื่อไร ก็จะสึก เธอถามว่า มีกำหนดไหม ก็บอกว่า กำหนดไม่มี
    คุยไปคุยมาคุยมาคุยไป เผลอประเดี๋ยวเดียว หันหน้ามากินน้ำมารินน้ำจากกระติกพอหันไปอีกที แม่เจ้าประคุณเอ๋ย พ้นจากความเป็นคนสาว ฟันเฟินไม่มีแล้ว ตาโหล หนังเหี่ยวไปแล้ว บอก นี่ ที่ฉันไม่มีเมียเพราะกลัวแบบนี้ ก็ถามว่า กลัวอะไร ก็กลัวไอ้หนังเหี่ยวแบบนี้ เมื่อกี้มันสาวผ่องใส ยังน่ากอดน่ารัด นี่เวลานี้ แม้แต่มือจะแตะตาจะมองเห็น ยังไม่อยากจะมองเห็นเลย แกก็หัวเราะชอบใจ

    แกก็เลยบอกว่า ท่าน..เริ่มชนะแล้วนะ ถาม ชนะอะไร บอกว่า ชนะความงาม ก็เลยบอกว่า ยัง เมื่อกี้ยังเห็นว่าเธอสวยอยู่ แต่ฉันก็คิดว่าที่ไม่ต้องการเธอเป็นเมียก็เพราะอะไรรู้ไหม เธอถามว่า เพราะอะไร เพระว่าเธอเป็นนางฟ้า เธอไม่ใช่คน ฉันไม่อยากจะเอาลมมาทำเมียฉัน เธอก็หัวเราะชอบใจ กลับมาสาวใหม่บอก รู้แล้วก็แล้วไป ดีแล้ว ฉลาดอย่างนี้ก็ดีแล้ว สักวันหนึ่งข้างหน้าคงเจอะกัน (นั่นแน่ แกมีลีลาหลายลีลา)

    ต่อไปอีกวันหนึ่งเว้นไป 1 วัน พอวันที่ 3 หลังจากวันนั้นนะก็ปรากฏว่า มีเสียงสาวคุยแหมเสียงเพรียก เสียงเพราะโหยหวน (คำว่า โหยหวน ไม่ใช่เสียงผีนะ) เสียงนิ่มนวลเสียงน่าฟัง พอออกมาจากป่า แทนที่จะเป็นสาว กลายเป็นเสือโคร่งฝูงเบ้อเร่อ เดินย่างสามขุมเข้ามา ก็นึกในใจ มองไปหาเพื่อ ถาม เฮ้ย..มีความรู้สึกอย่างไรโว้ย..!

    เพื่อนก็บอกว่า ไอ้เสือพวกนี้มันไม่กระพริบตานะ เลยบอกว่า ตามธรรมดา เสือมันเห็นคนมันไม่กระพริบตา เพื่อนก็บอกว่า ไม่ใช่หรอก สังเกตดูให้ดี เจ้าเสือพวกนี้ขนมันไม่พอง ถ้าเสือจริง ๆ ขนมันพอง และอีกประการหนึ่ง เสือมาเป็นฝูงอย่างนี้ไม่มี ตามประเพณีเสือไม่มี ต้องไปเดี่ยว อย่างเก่งเขาก็ไป 2 ตัว ผัวเมีย แต่เดินห่างกัน แต่นี่มันมาเป็นฝูง คงไม่ใช่เสือธรรมดา ก็เป็นเสืออย่างวานซืนนี้แหละ ผมคิดว่า พวกวานซืนนี้คงจะมา เพื่อว่าอย่างนั้น

    ในเมื่อสรุปแล้ว ก็เป็นอันว่า เมื่อเสือฝูงนั้นเข้ามาใกล้ พวกเราก็นั่งเฉย ๆ กินข้าวกินน้ำตามธรรมดา ๆ เขาสูบบุหรี่ก็สูบไป อยากทำอะไรก็ทำ ทำท่าเหมือนกับไม่รู้ว่าเสือมา มีเสือตัวหนึ่งรำคาญ ถามว่า ไม่กลัวเสือหรือเจ้าคะ (เสือเสียท่า คำว่า เจ้าคะ นี่เป็นผู้หญิง) บอกว่า เอาแล้ว แม่เสือกระบาก เอ๊ย.. มาทำไม วานซืนนี้ก็มาเป็นรูปผู้หญิงสาวแล้วก็แก่ วันนี้มาเป็นเสือ ไอ้พวกแกเป็นเสือแบบนี้ ฉันจึงไม่มีเมีย
    เพราะอะไรรู้ไหม ถ้ามีสภาพเป็นเสือแบบนี้ยังคอยยังชั่ว สำคัญหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เสียงเพราะ จริยานิ่มนวล แต่ถ้าเผลอเมื่อไรเธอก็คว้าเสือกระบากขว้างฉัน นี่ฉันก็แย่น่ะซิ แล้วพวกเธอก็ฮา…ครืน กลับร่างกายเป็นนางฟ้า ทีนี้เป็นนางฟ้าเต็มอัตรา ไม่ใช่คนแล้ว เปล่งปลั่ง สวยสดงดงามมาก ลีลาดีมาก เธอก็บอกว่า พวกฉันนี่ ที่ท่านบิณฑบาต พวกฉันนี่มาใส่บาตรทุกวัน เห็นว่าท่านมี พรหมวิหาร 4 ครบถ้วนบริบูรณ์ จำให้ดีนะ

    เห็นว่าท่านมี พรหมวิหาร 4 ครบถ้วนบริบูรณ์ ประการหนึ่ง
    ประการที่สอง มี พุทธานุสสติ
    ประการที่สาม มี ธัมมานุสสติ
    ประการที่สี่ มี สังฆานุสสติ
    ประการที่ห้า มี สีลานุสสติ
    ประการที่หก มี มรณัสสติ
    ประการที่เจ็ด มี อุปสมานุสสติ คือ ถือพระนิพพานเป็นที่ไป จึงมาใส่บาตรให้

    ก็เป็นอันว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกฉันจะไม่มารบกวน ก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ว่าง ๆ ก็มาคุยกันนะ อย่าปล่อยฉันเหงาเกินไปนะ ถ้ามาคุยทีหลังก็ไม่ต้องปลอมกันมาเป็นนางฟ้า ก็นางฟ้ากันไปเลย แล้วบอกว่า ทำบุญอะไรจึงเป็นนางฟ้าอย่างนี้ใครทำบุญอะไรใครอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร พ่อแม่ (โคตรเหง้าเหล่ากอ ไม่ได้ถามเขานะ) ชื่ออะไรบอกกันมาแล้วทำบุญแบบไหน จะได้ไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง เขาบอกว่า เออ..ถ้าอย่างนั้นก็ดีนะ ว่าง ๆ ฉันจะมาเล่าสู่กันฟังว่า ใครทำบุญอะไร จะเอาพวกฉันมาแต่ละคน ๆ
    แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อยู่บ้านใกล้เคียงกับวัดของท่านก็มีนะ นี่ 2 คนนี่อยู่บ้านใกล้ๆ ถามว่า ชื่ออะไร แกก็บอกชื่อ ถามว่า เป็นอะไรตายเป็นไข้ตาย เป็นคนใส่บาตรอยู่เสมอ อาศัยการใส่บาตรกับท่าน ฉันก็ไม่รู้ว่าเวลาใส่บาตรท่านภาวนา อิติปิโสฯ แต่ว่าเวลาก่อนจะตาย เห็นภาพพระพุทธเจ้าเด่นชัดมาก
    แล้วท่านก็บอกว่า เธอใส่บาตรกับพระที่ภาวนา อิติปิโสฯ นี่ จะไปนรกไม่ได้ ต้องไปสวรรค์ แล้วฉันก็อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ถามว่า โยมชื่ออะไร ?
    เธอก็ตอบว่า ฉันชื่อ “ภู” คนบางนมโคทั้งหมด รู้จักคนชื่อ “ภู” ทั้งหมดในสมัยนั้น..!
    ((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))

    1504569067_781_จากหนังสือ-หนังสือ-หลวงพ.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    จากหนังสือ หนังสือ หลวงพ่อธุดงค์ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๑

    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ วันที่บันทึกเป็น วันที่ 7 พฤษภาคม 2533 ตรงกับ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 รุ่งขึ้น คือ วันพรุ่งนี้ จะเป็น วันวิสาขบูชา
    ก็หวนคิดถึงความหลัง ในสมัยเมื่อบวชพรรษาที่ 1 ผ่านไป กำลังจะเข้าพรรษาที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ วันนี้ วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ใกล้จะวิสาขบูชา วันนี้ยังอยู่ที่ ป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี กำลังฝึกวิธีการธุดงค์แบบอุกฤษฏ์
    การฝึกธุดงค์เวลานั้นก็แบกเอาตำราของนักธรรมโทไปด้วยทั้งหมด นักธรรมโทมีหนังสืออะไรบ้าง แบกไปด้วย ถ้าจะถามว่าเป็นนักปฏิบัติ ทำไมต้องแบกหนังสือไป ก็ต้องขอตอบว่า ปริยัติ กับปฏิบัติมันห่างกันไม่ได้ ถ้าใช้ปริยัติอย่างเดียวไม่ใช้ปฏิบัติควบคุมอย่างนี้จะพบกับความเป็นมิจฉาทิฏฐิเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการอ่านหนังสือ แล้วใช้อารมณ์คิด อารมณ์คิดที่คิด ก็คิดด้วยอารมณ์หยาบ อารมณ์ที่เต็มไปด้วย นิวรณ์ 5 ประการ ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดตัวปัญญา
    ฉะนั้น ความเข้าใจของนักปริยัติโดยตรงไม่ค่อยจะตรงกับความเป็นจริงในพระพุทธศาสนา ฉะนั้นเมื่อจะปฏิบัติ ก็ต้องมีปริยัติด้วย เรียนนักธรรมตรีจบไปแล้ว ที่นั่นเขาไม่มีการสอบบาลีกัน ที่ วันบางนมโค แต่เรียนจริง ๆ เรียนทีวัดบ้านแพน เป็นวัดเจ้าคณะตำบล ก็แบกตำราวิชานักธรรมโทไปหมด ท่องแบบคล่องเพราะเงียบสงัดไม่มีใครกวน อ่านหนังสือเข้าใจ

    เวลาอ่านหนังสือไม่เข้าใจตอนไหน ก็ขีดเส้นใต้ไว้ เวลาอ่าน อ่านช้า ๆ ตั้งใจอ่านคราวละ 4 ใบ อ่านไปจบ 4 ใบ เวลาอ่าน ตั้งใจจำทุกตัวอักษร ทุกถ้อยคำ แล้วก็วางหนังสือนิดหนึ่ง นึกทบทวนดู จำได้หรือยัง หรือสงสัยหรือยัง ถ้ายัง ก็ดูใหม่เป็นวาระที่ 2 ดูช้า ๆ ดูเที่ยวที่ 2 เที่ยวที่ 2 เริ่มสงสัย แล้วก็ดูเที่ยวที่ 3 แก้สงสัยไปในตัวเสร็จ

    ถ้าข้อไหนแก้สงสัยไม่ได้ข้อนั้นขีดไว้ เอาไว้ถามบรรดาครูบาอาจารย์ที่ท่านจะมาสอนในเวลากลางคืน แล้วดีไม่ดีท่านก็มาสอนในเวลากลางวัน ถ้าถามว่า ครูบาอาจารย์มาจากไหน ต้องตอบว่า ไม่ทราบครูบาอาจารย์ที่มาสอน บางทีก็เป็นฆราวาส เป็นผู้ชายก็มี เป็นผู้หญิงก็มี เป็นคนแก่ก็มี เป็นคนหนุ่ม คนสาวก็มี เป็นพระก็มี ท่านจะมาตามความจำเป็น

    ก็เป็นอันว่า ขณะวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลานั้น วันนี้ กำลังเงียบสงัด เวลาประมาณ 6 โมงเย็น (นี่ก็ 6 โมงเย็นครึ่ง เวลาที่บันทึกนี่) ก็นึกถึงความหลังขึ้นมาว่า วันนั้นเราอยู่ในป่าศรีประจันต์ ด้านทิศตะวันออก เรากำลังนั่งอ่านหนังสือ แล้วขีดเส้นใต้ตัวที่ไม่เข้าใจ ทั้งสององค์ก็ทำเช่นเดียวกัน เพราะเรียนมาด้วยกัน ทำด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกัน เมื่อขีดเส้นใต้เสร็จ รู้สึกว่าการอ่านหนังสือมันเหนื่อย บางจุดก็คิดไม่ออก ก็เริ่มเจริญกรรมฐาน ทำกรรมฐานพอจิตสบาย พอมีอารมณ์เป็นสุข

    กรรมฐานจริง ๆ ไม่ได้คิดหวังต้องการฌานสมาบัติ ต้องการอะไร ไม่มี มีความต้องการอย่างเดียวคือ จิตเป็นสุข ถ้าขณะใดจิตเป็นสุข ถือว่าเราถึงกรรมฐานกองนั้น ถ้าขณะทำไปจิตยังไม่เป็นสุข ถือว่าใช้ไม่ได้ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน แต่ว่าทำไป ๆ เมื่อจิตถึงที่สุดของอารมณ์ คำว่า ที่สุดของอารมณ์ ก็หมายถึงอารมณ์ที่จะพึงได้ จะถามว่า ฌานชั้นไหนน่ะไม่ได้ มันได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น อย่างนักเรียน ป.1 เขาเก่งที่สุดของ ป.1 นักเรียน ป.2 ก็เก่งที่สุดของ ป.2 เอาเก่งที่สุดก็แล้วกัน คืออารมณ์ถึงที่สุด
    เมื่ออารมณ์ถึงที่สุดแล้ว ตำราเดิมก็เกิดมาคือ ตำราตุ่มน้ำ หวังว่าท่านพุทธบริษัทคงจำตำราตุ่มน้ำได้ เมื่อจิตถึงที่สุด ตำราตุ่มน้ำก็ปรากฏขึ้น นั่นคือ มันก็ไปตามจุดที่ต้องการของมัน มันไปของมันเองไม่มีการบังคับ ไม่ได้นึกว่าจะไปมันก็ไป ไปในสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่จะไป ก็ไปสวรรค์กันบ้าง ไปพรหมกันบ้าง ไปนรกบ้าง ไปแดนเปรตบ้าง ไปแดนอสุรกายบ้าง ไปดินแดนมนุษย์บ้าง ตามเรื่องตามราว

    ถ้าไปถึงในสถานที่นั้น ถ้าพบใครคนใดคนหนึ่งหรือหลาย ๆ คน ก็ถามชื่อเขาว่า ก่อนที่ท่านจะตายนี่ ท่านอยู่ที่ไหน ท่านชื่ออะไร นามสกุลว่าอย่างไรมีลูกเต้า มีสามี มีภรรยาชื่ออะไร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ทำอะไรไว้จึงตกนรก ทำอะไรไว้จึงขึ้นสวรรค์ทำอะไรไว้จึงเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม อย่างนี้เป็นต้น
    ท่านพุทธบริษัท อย่างนี้จะหาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม มันก็ยังไม่ได้นะ ทั้งนี้เพราะว่าในฐานะที่เราห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็พยายามทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พอไปในแดนต่าง ๆ เสร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ มีความรู้สึกว่า ชีวิตของเราล่อแหลม เนื่องจากความตายมาก เพราะอะไร เราอยู่ในป่าตามลำพังถึงแม้ว่าจะอยู่ 3 องค์ ก็เหมือนอยู่องค์เดียว ความกลัวก็คือ

    ประการที่หนึ่ง กลัวเสือจะกิน แต่ยุงจะกิน ริ้นจะกัดไม่กลัว เพราะยุงไม่กิน ริ้นไม่กัด
    ประการที่สอง อาจจะงูกัดตาย
    ประการที่สาม อาจจะป่วยตาย
    ประการที่สี่ ถ้าครองอารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้น เทวดาไม่เลี้ยง นางฟ้าไม่เลี้ยง ก็อดข้าว ตาย แต่กำลังใจก็มีอยู่ว่า ถ้ามันจะตาย ก็ตายเถอะ เราจะตายด้วยกำลังของปีติในธรรมะ ของพระพุทธเจ้า
    ขณะเมื่อตัดสินใจอย่างนี้เวลาที่ตัดสินใจเวลานั้น นั่งอยู่ที่ชั้นดาวดึงส์ อยู่ที่มุมหนึ่งของจุฬามณีเจดียสถาน เห็นพระกับเทวดาท่านมามาก ก็นึกในใจว่า ก่อนจะเกิด เรามาจากไหนแต่ความจริงถ้าใช้ จุตูปปาตญาณ ก็ทราบ แต่มันก็ไม่แน่ อาจจะเป็นอุปาทาน นึกในใจว่ามีพระองค์ไหนบ้างที่ท่านจะเมตตาบอกเราว่า ก่อนที่เราเกิดมาจากไหน

    พอนึกเพียงเท่านี้ ก็มีพระองค์หนึ่งท่านเข้ามาใกล้ แต่พระองค์นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นพระที่ต้องเคารพอย่างสูงนั่นคือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบอกว่า สัพพเกสี ก่อนที่เธอจะไปเกิดเป็นคน เธอไปจากพรหมชั้นที่ 4 เวลานั้น หลายชาติมาแล้ว

    เธอปรารถนาพุทธภูมิ เวลานี้เธอก็ตั้งใจปรารถนาพุทธภูมิ ตามที่หลวงพ่อปานสอน อันนี้ถูกต้อง แต่ว่าการเป็นพุทธภูมิของเธอไม่ตอลดรอดฝั่ง เพียงเข้าได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ เธอก็ต้องลาพุทธภูมิ ก็ถามท่านว่า จะลาชาติไหน และชาติไหนจะได้ 99 เปอร์เซ็นต์ ท่านก็บอกว่า ชาตินี้แหละ มันเป็นชาติสุดท้าย
    ถ้าเธอเอาจริง ๆ ก็จบกันชาตินี้ พุทธภูมิ แต่ความจริงนี่เธอก็ทำจริงมาทุกอย่าง เอาจริงทุกอย่าง ทำชนิดที่เรียกว่า คนอื่นเขาไม่ค่อยจะทำกัน ไม่ใช่ไม่มีคนทำอย่างนี้ พระที่ทำอย่างนี้ มี คนที่ทำอย่างนี้ มี แต่ว่ามีจำนวนน้อย เธอมาจากพรหมชั้นที่ 4 เวลาตายแล้วต้องกลับขึ้นไปสูงกว่านั้น ความรู้สึกในเวลานั้นก็คิดว่า คงจะเป็นพรหมชั้นที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ก็ว่ากัน ตามเรื่องตามราว

    พอคิดอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า ไม่ถูก ต้องไม่ใช่ดินแดนของพรหม แต่ว่าก่อนจะตายเธอต้องรับภาระพุทธภูมิก่อน เมื่อเธอลาจากพุทธภูมิแล้ว เธอต้องทำงานพุทธภูมิจนกว่าจะสิ้นลมปราณ ก็เลยถามท่านว่า การสิ้นลมปราณ เมื่อไรกันแน่ อายุเท่าไร ท่านก็เลยบอกว่าสุดแล้วแต่กฏของกรรม กรรมมันมี 3 อย่าง
    1. กุศลกรรม กรรมที่เป็นบุญ คือ ความดี ความดีส่งผลให้อยู่อายุเท่าไรก็อยู่อายุเท่านั้น
    2. กรรมที่เป็นอกุศล คือ ผลของความชั่ว มันจะมาลิดรอนเมื่อไร ก็ต้องอยู่ได้แค่นั้นตามคำสั่ง ถ้างานนั้นยังไม่เสร็จตามคำสั่งเพียงใด เธอก็ยังตายไม่ได้

    ก็ถามว่า ใครจะเป็นคนสั่ง ท่านก็ตอบว่า วันนั้นจะรู้เอง ถามว่า วันนั้น เวลากี่ปีพระเจ้าข้า ท่านบอกว่า การนับปี นับเดือน นับวันนั้นไม่ถูก สุดแล้วแต่กำลังใจของเธอ ถ้ากำลังใจของเธอถึงวันนั้นเมื่อไร จะทราบเรื่องนี้ แต่ก็บอกว่า ขึ้นชื่อว่า ความตาย ยังไม่มีในป่า ในป่าของอำเภอศรีประจันต์
    ตอนนั้นท่านก็นิ่ง อาตมาก็นิ่งเหมือนกัน นึกในใจว่าข้อความใดที่เราอ่านหนังสือแล้ววันนี้ ที่มีความไม่เข้าใจ เราขีดเส้นไว้ มีพระองค์ใดไหมที่จะสอนเรา หรือเทวดาองค์ไหน หรือพรหมองค์ไหน

    พอนึกอย่างนี้ ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่าฉันนี่แหละจะเป็นคนสอน ท่านก็แนะนำให้บอกว่า ถ้าหากว่าจะสอบตามวิธีกรรม ที่เขาสอบต้องตอบอย่างนี้ ต้องมีความเข้าใจอย่างนี้ แต่ว่าถ้าจะเอาจริงตามแบบปฏิบัติในพุทธศาสนาจริง ต้องมีความเข้าใจอย่างนี้ คือมันผิดกัน รู้สึกว่ามันผิดกันมาก แล้วท่านก็ อธิบายให้ฟังจนมีความเข้าใจทุกข้อ

    หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ต่อจากนี้ไป เธอก็ไปที่เก่าของเธอก็แล้วกันนะ ฉันจะเข้า จุฬามณีเจดียสถาน เพราะพรหม เทวดา พระอริยเจ้าท่านคอยอยู่ ก็ถามท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้น จะเข้าไปบ้างได้ไหม อยากจะเจอะพรหม เจอะเทวดามาก ๆ เจอะพระอริยเจ้า เพราะมีความเคารพในพระอริยเจ้ามาก ท่านบอกว่า เข้าได้ แล้วท่านก็เสด็จเข้าไป อาตมาเองก็เดินเข้าไป ก็พอดีอีก 2 องค์ก็มาพร้อมกัน เข้าไปพร้อมกัน เข้าไปก็เห็นว่า พระอริยเจ้า นั่งเป็นกลุ่ม ๆ ความจริง คำว่า พระอริยเจ้า บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ท่านตายไปแล้ว นั่นมันเรื่องหนึ่งต่างหาก สำหรับพระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย ที่มีความสำคัญที่ท่านเป็นพระก็มี ท่านเป็นอุบาสก อุบาสิกา คือ ผู้หญิง ผู้ชายที่ยังไม่ได้บวชก็มี เป็น พระอริยเจ้า ท่านนั่งตามลำดับของท่าน

    ต่างคนต่างตั้งใจสดับ รับรสพุทธพจน์เทศนาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพุทธบริษัทอ่านมาถึงตอนนี้แล้วจะรู้สึกว่า อาตมาบ้าหรือเปล่าก็ไม่ทราบก็ไหน ๆ มันก็บ้ามาหลายสิบปีแล้ว ก็บ้ามันต่อไป
    หลังจากท่านเทศน์เสร็จ ท่านก็หายไป อาตมาก็หันไปมองพระอริยเจ้า ที่สนใจก็คือพระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย ที่ตายแล้วนมัสการท่าน ท่านก็ยิ้ม ท่านก็จับมือไม้ ท่านก็ชี้มือชี้ไม้แสดงว่ารู้จักกันมาก่อนก็เยอะแยะในชาติก่อน ๆ แต่พระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย นี่ก็หลาย พระอรหันต์ก็มี พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีก็มี ฆราวาสที่เป็นอนาคามี ทั้งผู้หญิง ผู้ชายก็มี พระโสดาบันก็มี สกิทาคามีก็มี

    เมื่อเห็นฆราวาสท่านเป็นพระอริยเจ้า ก็รู้สึกอายท่าน ว่าท่านนุ่งกางเกง ท่านนุ่งผ้าโจงกระเบน ท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่เรายังไม่ใช่พระอริยเจ้าเราเลวกว่าท่านมาก ที่รู้จักท่านก็มีเยอะ และพระอริยเจ้าผู้ชาย ผู้หญิงนะ แหม..ญาติโยมบางคนก็แต่งตัวรุ่งริ่ง ๆ ผ้าเก่าแล้วเก่าอีก คนแต่งตัวดี ๆ ไม่ค่อยมี มีแต่คนจน ๆ แสนจน จนน้อยบ้าง จนมากบ้าง จนจริง ๆ ดูเครื่องแต่งตัว

    แต่ถ้าดูความเป็นทิพย์ของท่าน มีความผ่องใสมาก ขอดูภาพเดิมท่านนะ ที่รู้เครื่องแต่งตัวและที่รู้จักกันก็มีที่ไม่รู้จักกันก็มี ที่รู้จักกันก็มีหลายคน ที่รู้จักกันก็รู้สึกว่า บรรดาประชาชนบางคน ดูถูกดูหมิ่นท่านว่า เป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น

    ก็รวมความว่า วันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในอดีต คือ ก่อนเข้าพรรษาที่ 2 มานั่งคิดนอนคิดถึงความหลังว่า เราอยู่ในป่าศรีประจันต์ หลังจากนั้นก็กลับก็คิดว่า อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพียงแค่พักเดียว พอกลับลงมาปรากฏว่า ได้อรุณพอดี ก็จึงหยิบบาตรขึ้นสะพายตั้งใจว่า จะอาศัยต้นไม้ต้นไหนเป็นที่บิณฑบาต เคยแขวนต้นไม้ พอสะพายบาตรเสร็จ พอหันหน้ามา จะเดินทางจากกลด ก็ปรากฏว่ามีเทวดา กับนางฟ้า เป็นอากาสเทวดาก็มี รุกขเทวดาก็มี ภุมเทวดาก็มี ท่านยืนเป็นแถวอยู่

    ท่านบอกว่า วันนี้ไม่ต้องเดินไกลเจ้าค่ะ เพราะว่าเมื่อคืนไม่ได้หลับตลอดคืน ไม่ต้องเดินไกล ฉันมาคอยแล้ว ท่านก็ใส่บาตร พอใส่บาตรแล้วท่านก็ยกมือ สาธุ ท่านบอกว่า ที่ท่านคิดว่า ท่านไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า แต่ก็จงอย่าลืมว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เลยบอกว่า พระโพธิสัตว์มีบารมีไม่เท่าพระอริยเจ้าท่าน ท่านมีความบริสุทธิ์แล้ว อย่างพระโสดาบัน ท่านก็ตัดสังโยชน์ 3 ได้ พระสกิทาคามี ก็เช่นเดียวกันพระอนาคามี ท่านตัดสังโยชน์ 5 ได้

    แต่ว่าพระโพธิสัตว์ ตัดอะไรยังไม่ได้ แม้แต่นิวรณ์ ยังมีเต็มตัว แต่เทวดา กับนางฟ้าท่านก็บอกว่า ก็ไม่ใช่ของแปลก ในเมื่อทำบุญ ได้บุญก็แล้วกัน เมื่อท่านพูดเท่านั้นแล้ว ท่านก็นั่งลงยกมือไหว้ แล้วก็หายไป พวกนี้ไม่ต้องเดิน หายไปเฉย ๆ

    เป็นอันว่า วันนั้นข้าวเยอะ แต่กับข้าวไม่มี มีแต่ข้าวสีเหลืองเฉย ๆ อีก 2 องค์ก็ยิ้ม บอกวันนี้เราสบายนะ เราเที่ยวกันแบบนี้ เรามีความสดชื่น และได้รับความรุ้ คิดว่า ปีนี้เราต้องสอบนักธรรมโทได้แน่ เพราะว่าเราได้ครูใหญ่สอนวิชาถึง 2 ประเภท ทั้งด้านปริยัติ และด้านปฏิบัติ ให้มีความเข้าใจในตำราทั้ง 2 อย่าง ถ้าเขาสอบด้านปริยัติ ให้ตอบอย่างนี้ถ้าจะปฏิบัติ ให้มีความเข้าใจอย่างนี้

    นี่แหละท่านพุทธบริษัท เรื่องปริยัติ กับปฏิบัติ มันขัดกันตรงนี้แหละ เพราะว่าความเข้าใจไม่เสมอกัน แต่ปฏิบัติก็เหมือนกัน ปฏิบัติ ถ้าได้ถึงไหน มีความเข้าใจถึงนั่น อย่างคนที่เป็นพระโสดาบันจะเข้าใจเรื่องราวของสกิทาคามีนั้นไม่ได้ ความเข้าใจยังผิดมากเกือบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ท่านได้พระสกิทาคามี จะเข้าใจเรื่องของอนาคามี ก็ยังไม่ถึงยังไม่ถูกอีก ท่านที่ได้อนาคามี จะเข้าใจเรื่องอรหันต์ก็ไม่ได้ อรหันต์ธรรมดา จะไปเข้าใจเรื่องอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา นี่ก็ไม่ได้ ต้องถึงขั้นจริง ๆ จึงจะตอบถูก เข้าใจถูก รู้ถูก

    ป็นอันว่า เมื่อฉันข้าวเสร็จก็ปรึกษากันว่า เราทั้งสามคนจะนอนหรือไม่นอนอีก 2 องค์ก็ตอบว่าเราต้องนอน ร่างกายต้องเป็นร่างกาย เมื่อคืนนี้ร่างกายมันนั่ง มันนั่งทั้งข้างล่างและก็นั่งทั้งข้างบน ไม่มีเวลาพักผ่อนให้คลายตัวมันบ้าง แต่การนอนของเรา ก็ต้องนอนอย่างพระ ตามที่หลวงพ่อปานท่านสอน อย่างไร ๆ อย่าทิ้งคำสอนของหลวงพ่อปาน เพราะ คำสอนของหลวงพ่อปานนี้ กับพระที่ท่านสอนข้างบนนั้น ช่างเหมือนกันจริง ๆ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ต่างคนต่างก็เข้ากลดนอน

    เวลานอนทำอย่างไร บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นอนธรรมดา ๆ ไม่ใช่วิเศษวิโสอะไรจงอย่าคิดว่า อาตมานี่เป็นผู้วิเศษวิโส ยังก่อน ต้องถามกันก่อนว่า นิวรณ์ทั้ง 5 ประการน่ะ ตัวไหนตัดขาดบ้าง (คำว่า นิวรณ์ แปลว่า กิเลส หยาบ ที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง คือเป็นคนไร้ปัญญา) ก็ต้องขอตอบว่า นิวรณ์ทั้ง 5 ประการ ครบถ้วนบริบูรณ์ ดี หรือเลว ความเลว ยังมีอยู่ทั้ง 5 อย่าง ความรักในระหว่างเพศก็มี อารมณ์ไม่พอใจก็มี ความง่วงเหงาหาวนอนก็มี ความฟุ้งซ่านคิดนอกลู่นอกทางก็มี อาการสงสัยก็มี ความเลวทั้ง 5 อย่างนี้ ยังมีครบ

    ฉะนั้น ท่านพุทธบริษัทจงอย่าคิดว่าอาตมาเป็นคนดี ยังเป็นคนเลวเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเป็นประเภทที่ เลว ค่อยๆ แคะความเลวออก แต่มันก็ไม่ออก นิวรณ์มันเหนียวเหลือเกิน ทีนี้ถ้าจะถามว่าในขณะที่อยู่ในป่า ถ้านิวรณ์กวนใจ จะทำอย่างไร ก็ต้องขอตอบสั้น ๆ ว่า ในบาลีท่านบอกว่าเหมือนกับไม้สดที่แช่น้ำ ยางมันก็สด น้ำมันก็เปียก มันก็ชุ่มทั้งยาง ยางก็ชุ่ม น้ำก็เปียก ถ้าไม้สดยกขึ้นมาจากน้ำ วางไว้บนตลิ่ง วางไว้บนคาน น้ำมันจะแห้งจากไม้สด แต่ยางยังมีอยู่ฉันใด พระที่กำลังธุดงค์อยู่ในป่า ก็เหมือนไม้สด ที่ยกขึ้นมาจากน้ำ วางไว้บนคานฉันนั้น

    ในเมื่อนิวรณ์มันจะเข้ามากวนใจก็ต้องทราบทันทีว่า เวลานี้เรากำลังหนีความชั่วกำลังแสวงหาความดี ถ้านิวรณ์ตัวนี้เข้ามาสิงใจเรา พรุ่งนี้เราจะอดข้าว เสืออาจจะกัดตายก็ได้ งูอาจจะกัดตายก็ได้ จะเป็นโรคตายก็ได้ และพรุ่งนี้เทวดานางฟ้า อาจจะไม่ให้ข้าวกินก็ได้ เราจะยอมแพ้นิวรณ์ไม่ได้ เราจะไม่ชนะนิวรณ์ แต่ว่าเราจะยันนิวรณ์ไว้

    ถ้าอารมณ์นิวรณ์เกิดขึ้นปั๊บ ก็มีความรู้สึกตัว ก็ตัดทันที นิวรณ์ตัวต้นตัดด้วย กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐาน นิวรณ์ตัวที่ 2 ตัดด้วยพรหมวิหาร 4 หรือกสิณ 4 ไม่ยาก เพราะคล่องไปแล้ว ถ้านิวรณ์ตัวที่ 5 เกิดขึ้นก็ไม่ยาก ขยับใจปั๊บเปิดเลย ไปสวรรค์โน่น สวรรค์คนมาก รื่นเริงมาก หายง่วงไปเอง พอนิวรณ์ตัวที่ 4 เกิดขึ้น ความฟุ้งซ่านรำคาญ อันนี้ไม่หนัก

    จับภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น เห็นแย้มพระโอษฐ์ปั๊บ หายฟุ้งซ่านทันที ถ้าอารมณ์สงสัยเกิดขึ้นมาเมื่อไร จับพระพุทธเจ้าทันที มองดูพระพุทธเจ้าเห็นลุงพุฒชื่นใจหมดสงสัย แค่นี้พอ นี่เป็นวิธีตัด คือ ถือว่าเป็นการฝึกขั้นต้นในการที่จะเข้าธุดงค์ในป่าแต่ก็เป็นขั้นอุกฤษฏ์ เวลานี้ยังอยู่ที่ป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นวันแรม 14 ค่ำ เดือน 6 วันรุ่งขึ้นพรุ่งนี้จะเป็น วันวิสาขบูชา เราก็จะทำพิธีวิสาขบูชาในป่า เราจะทำกันอย่างไร
    ((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))

    -หนังสือ-หลวงพ.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ 2

    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็ยังเป็น วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 เพราะว่า บันทึกติดต่อกัน สำหรับตอนนี้ก็มาพูดถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของป่าศรีประจันต์ พอวันรุ่งขึ้นเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก็มานั่งปรึกษากัน 3 องค์ว่า วันนี้เป็น วันวิสาขบูชา เราจะบูชาพระพุทธเจ้า กันที่ไหน เพื่อนทั้ง 2 องค์ก็บอกว่า การบูชาที่ไหนก็ถึงพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่าเรานึกเห็นท่านเมื่อไร ก็ถึงเมื่อนั้น
    การเห็นบรรดาท่านพุทธบริษัทบางท่านก็บอกว่า อาจจะเป็นพุทธนิมิตบ้าง อาจเป็นองค์จริงบ้าง ทั้งนี้ไม่ขอวิจารณ์ ก็ถือว่า ถ้าเห็นภาพพระพุทธเจ้าได้ เป็นใช้ได้ จะเป็นภาพเป็นพุทธนิมิตก็ตาม ภาพเขียนก็ตาม ภาพปั้นก็ตามเราถือว่า นั่นคือ พระพุทธเจ้าเพราะจิตเราไม่ติดที่รูป จิตเราติดที่พระพุทธเจ้า คือ ธรรมะของพระองค์

    ขณะที่นั่งคุยกันว่า เราจะทำอย่างไรดี เป็นวันวิสาขบูชา เราจะเวียนเทียน เราก็ไม่มีเจดีย์ เราจะบูชาพระพุทธรูป เราก็ไม่มี เราก็บูชานึกถึงพระ จะนั่งกันเฉย ๆ ก็ดูท่ากระไรอยู่คิดว่าเอาอย่างนี้ดีไหม เราใช้วิชาตุ่มน้ำ ดีไหม ตุ่มน้ำในห้องของอาตมา สององค์ก็บอกว่าแกก็ใช้วิชาตุ่มน้ำก็แล้วกัน ข้าไม่ต้องหรอก ข้าไม่ต้องเข้าตุ่มน้ำ ถามว่า เราจะไปไหนกันดี เขาก็เลยบอกว่าทางที่ดีก็คือ พระจุฬามณี

    เวลานั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้ง 2 องค์เขามีความสนใจเรื่อง นิพพานเพราะว่าทั้ง 2 องค์นั่นเขาปรารถนา สาวกภูมิ แต่อาตมาปรารถนา พุทธภูมิ เรื่องนิพพานยังไม่เข้าใจ ขอพูดด้วยความจริงใจว่า ไม่เข้าใจเรื่องนิพพานจริง ๆ และการไปไหนได้ ก็ไปแค่ยันพรหมไม่ถึงนิพพาน (นี่เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้)
    ก็เป็นอันว่า ตัดสินใจกันว่า ถ้าอย่างนั้นเราไปพระจุฬามณี สององค์ก็บอกว่าถ้าเราไปที่พระจุฬามณี แล้วเราจะเลยไปไหน ก็คุยกันบอกว่า เราก็ไปแค่จุฬามณีก็พอ เพราะว่าที่พระจุฬามณีนั่นใช้เวลา 1 วันของท่าน เท่ากับ 100 ปีของเรา เราไปชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวมันก็ 24 ชั่วโมง แล้วไปที่นั่นก็มีแต่ความสดชื่น มีแต่ความเอิบอิ่ม มีแต่ความปลาบปลื้มใจอารมณ์ มีอารมณ์เป็นสุข ร่างกายเป็นอย่างไร ก็ช่างหัวมันเป็นไร เรื่องร่างกาย เราไม่เกี่ยว ถ้าเราอยู่กับมัน เราเกี่ยว เราไปจากมันเราไม่เกี่ยว ก็ตกลงกันบอกว่า ถ้าอย่างนั้นประเดี๋ยวประมาณสัก 3 โมงเช้า เราไปกัน

    ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั่นเอง บรรดาท่านทั้งหลาย ก็ปรากฏว่ามีเสือลาดพาดกลอน 2 เสือ อาตมาจะไม่เรียกว่า 2 ตัว ทั้งนี้ก็เพราะว่า จะเป็นการปรามาสครูบาอาจารย์ สองเสือย่างสามขุมเข้ามา ท่าทางดุดัน องอาจมาก ทำท่าคล้ายกับว่าจะกิน พวกเราทั้ง 3 คนเห็นเข้าก็นึกในใจว่า เสือมาแล้ว ทุกวันเราเห็นแต่เพียง เสือปลาบ้าง เสือดาวบ้าง แต่วันนี้เจอะลายพาดกลอน แล้วก็ยาวมาก ใหญ่มาก

    ถ้าแกจะกินเราก็รู้สึกว่า 3 คนอิ่มพอดี ๆ ทุกคน ตั้งใจเลิกพูด ตอนนี้เลิกพูดแล้ว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าทุกคนยังกลัวตายอยู่ไม่ใช่ไม่กลัวตาย ก็นึกในใจว่า เวลานี้เสือมา ถ้าเสือทำร้ายเรา เราก็ต้องตาย แต่ความตายของเรามีความหาย นั่นคือถ้าเราตายเวลานี้ เราจะไปอยู่พรหม (นี่อาตมา คิดอย่างนี้นะ อีก 2 องค์เขาคิดอย่างไรก็ไม่ทราบ) อีก 2 องค์ดูเหมือนว่า จะตั้งใจไปนิพพานเลย

    แต่ว่าอาตมาเอง ไม่เข้าใจเรื่องนิพพาน ก็คิดว่า ถ้าตายเวลานี้เราอยู่พรหม ทำไมจึงจะไปพรหม ถ้าหากว่า เราจะไปชั้นดุสิตไม่ดีหรือ ในเมื่อเราปรารถนาพุทธภูมิ ก็มีความรู้สึกว่า ชั้นดุสิตนี่มีนางฟ้ามาก พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งมีนางฟ้าเป็นบริวาร เป็นหมื่น ๆ แล้วก็สวยเสียด้วย เรื่องภารกิจ ความห่วงใยกังวลก็ยังมีอยู่ ถ้าไปอยู่พรหมเราอยู่คนเดียว พรหมองค์หนึ่ง วิมานหลังหนึ่งมีพรหมองค์เดียว ไม่มีบริวารสำหรับบริวารก็มีวิมานคนละหลัง ไม่อยู่ร่วมกัน เราชอบ อารมณ์เป็นสุข

    เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็เริ่มจับอานาปานสติ แล้วเสือก็ย่าง 3 ขุมเข้ามา หลับตานึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น เห็นชัดเจนแจ่มใสมาก เห็นตามเดิม ท่านอยู่กับ ลุงพุฒ คือ มหาพุฒ เห็นท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ ก็ชื่นใจ คิดว่าเอาละช่างมัน คราวนี้กายเนื้อมันจะตาย แต่กายที่ไม่ใช่กายเนื้อ เราจะไปพรหม
    แล้วเสียงลุงพุฒก็ถามมาบอกว่า ไปแค่พรหมน่ะพอใจแล้วหรือ ก็ เรียนท่านบอกว่า ในเมื่อมาจากพรหม ก็ขอไปพรหม ท่านก็บอกว่า ไปชั้นดุสิตไม่ดีหรือ เป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ก็บอกว่าผู้หญิงมาก และผู้หญิงที่นั่นก็สวยมาก ก็เกรงว่า กำลังใจจะยุ่งกับผู้หญิงมากเกินไป เดี๋ยวกังวลจะมีมาก ก็ขอไปอยู่พรหม ไปอยู่คนเดียว ท่านก็บอก ตามใจ

    นั่งทำสมาธิไป จิตใจจับที่ภาพพระพุทธเจ้าอย่างเดียวไม่ไปไหน ก็คิดว่าร่างกายมันจะเป็นอาหารของเสือเวลานี้ ก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจแล้ว แล้วก็ประกอบกับความรู้สึกว่าคิดว่าดี ถ้าตายเวลานี้ ดี เราอยู่กับพระพุทธเจ้า อย่างไร ๆ เราก็ไม่ลงนรกจิตใจชุ่มชื่นต่างคนต่างทำสมาธิกัน

    อีก 2 องค์ เขานึกอย่างไร อาตมาไม่ทราบ สักพักใหญ่ ๆ เสือก็ไม่กิน พอลืมตาขึ้นมาดูเสือนั่งข้างหน้าเฉย ๆ นั่งมองคนนั้น นั่งมองคนนี้ ในเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็ถามเสือว่า ทำไมแกจึงไม่กินฉันล่ะ เสือขยับหนวด ขยับปาก แต่ไม่ใช่แยกเขี้ยว ไม่ใช่ขยับเขี้ยว เสือขยับหนวด ขยับปาก ก็บอกว่า เสือ 2 ตัวนี่ไม่กินโว้ย เสือ 2 ตัวนี่ อยากจะรู้ว่า ลูกศิษย์ที่ปล่อยเข้ามาอยู่ป่าศรีประจันต์นี่ มันจะมีกำลังใจขนาดไหน มันจะมีความกล้าหรือมีความกลัว การตัดสินใจผิด หรือตัดสินใจถูก

    เสียงเสือตัวที่พูดตัวแรก เสียงเหมือนหลวงพ่อปานชัด (เสือพูดภาษาคน) และเสือที่สองก็พูดเบา ๆ เหมือนเสียงหลวงพ่อจง ท่านบอกว่า การตัดสินใจแบบนี้ถูกต้องทุกองค์ สององค์นั่นตัดสินใจเพื่อนิพพานตรง เพราะเป็นพุทธสาวก ปรารถนาสาวกภูมิถูกต้อง ต้องทำอย่างนี้และองค์นี้ปรารถนาพรหม ก็ดี เพราะปรารถนาพุทธภูมิตั้งใจไปพรหม

    รวมความว่าทุกองค์ตัดสินใจถูก ความกลัวย่อมมีแก่คนทุกคน บุคคลใดถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ก็ตาม ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยังไม่ใช่ม้าอาชาไนย หรือไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิต้องกลัว แต่การกลัวของพวกคุณทั้งหมด ถูกต้อง เป็นการกลัวที่ถูก คือ กลัวเสือจะกิน แต่ก็ไม่กลัวในการที่จะไปเป็นพรหม ไปนิพพาน
    หลังจากนั้น เสือทั้ง 2 เสือ ค่อย ๆ คลายตัว เป็น หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อจง ในเมื่อกลายเป็นหลวงพ่อทั้งสอง ก็ลุกขึ้นกราบท่านด้วยความเคารพอิ่มใจ ชื่นใจ น้ำตาไหล ท่านถามว่า ดีใจรึ บอก ดีใจขอรับ ถามว่า หลวงพ่อเป็นเสือได้อย่างไร ท่านบอกว่า มันเรื่องของฉัน ฉันจะเป็นเสือฉันจะเป็นแมว ฉันจะเป็นอะไร มันเรื่องของฉัน ไม่ต้องถาม

    พวกเธอทำตามคำสั่งให้ดีที่สุด แล้วการกระทำของพวกเธอทั้งหมด นี่มันไม่พ้นสายตาของฉัน ก็ถามว่าหลวงพ่อส่งตาทิพย์มาดูหรือ ท่านก็เลยบอกว่า งานของฉันมาก ไม่มีเวลาจะดูพวกเธอ แต่ว่าเทวดาเขารายงาน เทวดารายงานทุกอิริยาบถที่เธอทำ เธอจะนั่งท่าไหน จะนอนท่าไหนเขาบอกหมด

    ก็รวมความว่า ไม่พ้นสายตาของท่าน เพราะเทวดาบอก ท่านก็เลยบอกว่า วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ทุกองค์ก็ตั้งใจไปพระจุฬามณีเจดียสถานก็แล้วกัน ไปตั้งใจอธิษฐานว่าจะอยู่ที่นี้จนกว่าจะได้อรุณ จึงจะลง ถ้าตัดสินใจอย่างนั้น พอได้อรุณปั๊บมันจะเคลื่อนลงทันที เมื่อท่านสอนแบบนั้นแล้ว ท่านก็หายไป เราก็กราบตามหลังท่านไม่รู้ว่าท่านไปอย่างไร ร่องรอยก็ไม่มีเงาก็ไม่มี ไม่รู้ว่าหายไปไหน

    เมื่อหลวงพ่อทั้งสองหายไป พวกเราก็ดีใจ คิดว่า โอ้โฮ..เสือใหญ่นี่จำไว้เลยว่า เสือใหญ่เสือลายพาดกลอนแบบนี้ แล้วก็เข้ามาขนไม่พอง แสดงว่าเสือไม่จริง เป็นเสือปลอม เป็นอันว่าท่านสอนแนะนำให้ไปพระจุฬามณีเจดียสถาน เราก็ไปกัน ก็ตัดสินใจว่า เราไปกันเดี๋ยวนี้ไม่ต้องตั้งท่า
    คำว่าเดี๋ยวนี้ปั๊บ ก็ปรากฎว่า ถึงพระจุฬามณีเจดียสถาน เป็นการอวดอุตริมนุสสธรรมไหม ท่านพุทธบริษัท เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อธิศีลสิกขา อธิจิตสิขา อธิปัญญาสิกขา ทำเสียให้ครบถ้วนละก็ จะไม่มีอะไรสงสัย ไม่มีอะไรตำหนิ และก็ไม่มีอะไรจะชม จะเป็นอุเปกขาญาณได้

    ก็รวมความว่า เมื่อถึงพระจุฬามณีเจดียสถาน สิ่งที่พบก็คือ อาจจะเป็น พระพุทธเจ้าเนรมิตก็ได้ หรือพระพุทธเจ้าองค์จริงก็ได้ใครก็ไม่รู้ แต่ที่เห็นก็เห็นว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์จริงสวยงามอร่ามมาก มีแพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ไพเราะมากจับใจ ชื่นใจ การแสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ลีลาไม่มาก สำนวนไม่มาก ท่านเทศน์ชัด ๆ เทศนาตรง ๆ เทศน์ให้เข้าใจเรื่องขันธ์ 5 ขันธ์ ของใครก็ตาม ไม่มีการทรงตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ชอบใจจริง ๆ อยู่คำหนึ่งชอบมาก เทศน์ทั้งกัณฑ์ ชอบมากอยู่คำหนึ่งว่า

    เวลานี้ท่านทั้งหลาย ท่านที่ตายจากความเป็นคนมาเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี ร่างกายของทุกท่านไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุข แม้ว่าท่านทั้งหลายที่ยังไม่ตายจากความเป็นคน แต่เวลานี้ชำระร่างกายอันประกอบไปด้วยขันธ์ 5 ใช้อทิสมานกายขึ้นมานั่งอยู่ที่นี่ ร่างกายอันนี้ของท่านก็ไม่มีทุกข์อย่างขันธ์ 5 ธรรมดา เป็นร่างกายที่มีความสุข ฉะนั้นขอทุกคนจงอย่าประมาทในชีวิต จงอย่าคิดว่าเราจะอยู่กับโลกตลอดกาล ตลอดสมัย แต่จงตัดสินใจตายก่อนอายุขัย หรือตามกาลเวลา ถ้าเวลายังมีอยู่เพียงใด ตัดสินใจทำลายกิเลสให้พ้นไป

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สักกายทิฎฐิ ให้มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ทำอารมณ์ใจวางเฉยในร่างกาย มันจะแก่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของมัน มันจะป่วยก็เป็นหน้าที่ของมัน เพราะกฎของกรรม มันจะตายก็เป็นหน้าที่ของมัน ถ้าร่างกายมันตายเมื่อไร ที่ไปของเรา คือ นิพพาน ถ้ากำลังใจยังไม่ถึง นิพพาน เราก็มาค้างสวรรค์ หรือค้างพรหมโลก เท่านี้เราก็มีความสุข
    ท่านเทศน์เยอะ นั่งฟังกันตั้งแต่เวลา 4 โมงเช้า ถึงเวลา 6 นาฬิกา ก็รู้สึกว่าไม่นานหลังจากนั้น ร่างกายก็กลับลงมา เป็นวันแรมค่ำหนึ่ง เดือน 6 พอกลับลงมาแล้ว ทีนี้ไม่ทันจะถือบาตร ปรากฎว่า เทวดา นางฟ้า ซึ่งเป็นกุมเทวดาบ้าง รุกขเทวดาบ้าง อากาสเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง ท่านนั่งกันเป็นแถวอยู่แล้ว พร้อมในการใส่บาตร แต่ว่าการใส่บาตรของท่านมันแปลก จะกี่องค์ก็ตาม ปริมาณอาหารเท่าเดิม

    ถ้าท่านมาองค์เดียว การใส่บาตรก็มีปริมาณอาหารเท่านั้น มาหลายองค์ ต่างคนต่างใส่ ปริมาณอาหารเท่าเดิม คือ อิ่มพอดี กินอิ่มแล้วมีความชุ่มชื่น แม้แต่น้ำก็ไม่ค่อยอยาก ความกระหายไม่มี ชุ่มชื่นมาก อารมณ์มีความสุขในเมื่ออารมณ์มีความสุข มันก็มีความสบายทั้งวันทั้งคืน แต่ว่าท่านทั้งหลาย การเกิดขึ้นมาแล้ว ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มีเป็นของธรรมดา ท่านใส่บาตรแล้ว ต่างคนต่างก็ไป

    เป็นอันว่าการไม่ได้นอนทั้ง 2 คืนติดต่อกัน อาการทางร่างประสาทมันก็เครียดถึงเวลาประมาณ 4 โมงเช้า ตอนนั้นอาตมาปวดศีรษะมาก มันปวดมากผิดปกติ ปวดจัดถึงกับต้องนอน นั่งไม่ได้ นึกในใจว่า ทุกขเวทนาจงมีกับร่างกายอย่างเดียว จงอย่ามีกับใจของเรา แต่ใจมันเกาะร่างกาย มันก็ต้องมี แต่เราไม่สนใจมัน มันเจ็บ ก็เชิญเจ็บ มันปวด ก็ทนปวด มันจะเจ็บ จะปวดไปไม่นานนัก ไม่ช้าร่างกายนี้ก็พัง ในเมื่อร่างกายนี้มันพัง มันก็ไม่มีใครเขาต้องการ ร่างกายที่พังแล้ว ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ยังดีกว่าร่างกายที่เน่า ไม่ช้าเรากับร่างกายจะแยกกัน จุดที่เราจะไปนั้นคือ พรหม

    พอคิดเพียงเท่านี้ก็เห็นองค์สมเด็จพระชินสีห์ คือ พระพุทธเจ้า ชัดเจนแจ่มใสมาก กับลุงพุฒ ท่านมาหน้าตักประมาณ 8 ศอกเศษ ๆ สวยสดงดงาม มีฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ ทรงแย้มพระโอษฐ์ สักประเดี๋ยวท่านก็หายไป แต่ใจยังนึกถึงภาพอยู่ ใจยังจับภาพอยู่

    พอสักครู่เดียวก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูด เป็นเด็กผู้หญิง ยืนอยู่บนยอดไม้ เรียกว่าหลวงพี่ ๆ หนูอยู่ที่นี่ แหงนหน้าขึ้นไป ก็ปรากฏว่าเป็นน้องสาวคนเล็ก เธอตายตั้งแต่ 4 ปี เมื่อเธอคลอดออกมาแล้ว รู้สึกว่า ขณะที่ทรงตัวได้ เธอไม่ยอมนอนกับแม่ นอนกับอาตมาตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ จะไปไหนก็ต้องอุ้มไปด้วย ไปโรงเรียนก็ต้องเอาไปด้วย แต่สิ่งที่เธอเคร่งครัดทุกอย่าง ถ้าแม่สั่งจำได้ดีมาก และปฏิบัติได้ดี
    ถ้าพี่ปฏิบัติพลาด น้องจะเตือนว่า แม่สอนอย่างนี้นะ พี่นะไม่ไม่ให้พูดอย่างนี้ แม่ไม่ให้ทำอย่างนี้ รู้สึกว่าเป็นน้องสาวที่ดีมาก แต่ว่าเธอต้องมาตายเมื่ออายุ 4 ปี หลังจากเธอตายไปแล้ว วันนั้นก็หลายปี หลายปีมา ไม่พบเธอ เธอก็บอกว่าหลวงพี่ ๆ ปวดศีรษะมากหรือ แหงนขึ้นไปเห็นเข้า ก็บอกว่า เออ..น้อง พี่ปวดมาก

    เธอชื่ออุบล เธอก็บอกว่า ประเดี๋ยวพ่อจะมา ถามว่า พ่อไหน เธอก็บอกว่า พ่อพระอินทร์ พ่อพระอินทร์ท่านจะมารักษาให้ แล้วถามว่า หนูเวลานี้อยู่ที่ไหน เธอก็บอกว่า อยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

    ก็ถามว่า บุญอะไร ที่อยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เธอก็บอกว่า ที่แม่สอนกรรมฐานว่า พุทโธ หนูทำกรรมฐานได้ดีเป็นฌาน 4 แต่ว่าเวลาที่จะตายเวลานั้นพี่ไม่อยู่ไปข้างนอกบ้านหนูป่วยหนัก มีอาการอยากน้ำ และร้อนภายในมากเรียกหาพี่ไม่พบ จิตก็เลยวุ่นวายไปหน่อยคิดถึงพี่ ทั้ง ๆ ที่ในอากาศก็มีเทวดา มีนางฟ้ามาก มาชวนให้ไปอยู่ ในที่สุดคอยพี่ไม่ไหวก็ต้องไปแต่ว่าไปชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เพราะว่าตายนอกฌาน ไม่ได้เข้าฌานตาย เป็นกำลังเศษของฌาน 4

    พอเธอพูดเท่านั้น ก็ปรากฎว่า ท้าวโกสีย์ คือ พระอินทร์ ท่านก็มาถึงท่านก็มาในรูปเต็มอัตรา คือ เขียวป๋อมาเลย มาเต็มที่ รองเท้าก็สวย เครื่องแต่งกายก็สวยอีก 2 องค์ลุกขึ้น ทำท่าจะกราบ ท่านก็ยกมือห้ามว่า พระคุณเจ้าอย่างกราบผมเลยครับ อีก 2 องค์ก็บอกว่า อาตมาทั้ง 2 องค์ยังไม่เป็น พระโสดาบัน
    แต่ว่าท้าวโกสีย์เวลานี้เป็น พระโสดาบันขึ้นไปนานแล้ว อาจจะเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง ผมก็ไหว้ได้ ท่านบอก ไม่ควรขอรับ ร่างกายของท่านเป็นพระ แม้ว่าใจยังเป็นพระไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม แต่ควรถือศักดิ์ศรีของผ้าเหลืองเข้าไว้ก่อน และรักษาฌานสมาบัติ วิปัสสนาญาณที่พึงทำได้ อย่างนี้ใช้ได้

    วันนี้ผมจะมารักษาลูกชายผมเธอปวดศีรษะมาก พระทั้ง 2 องค์ถามว่าเป็นโรคอะไร ท่านบอกง่า ไม่ต่องถาม เป็นกฎของกรรม เพราะลูกชายคนนี้ เป็นนักรบทุกชาติ ขึ้นชื่อว่าการรบจะมีการเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน กรรมทั้งหลายเหล่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะมีบุญมากเท่าไรก็ตาม มันก็ตามทัน มันก็มาเบียดเบียน

    ในที่สุด ท่านก็มาใกล้ๆ แล้วบอกว่า คุณ ขออภัยนะครับท่านก็เอามือมาที่ศีรษะ 2 มือ ทำเหมือนกับ กอบของทั้งกอบไปครั้งหนึ่ง แล้วก็วางทิ้ง กอบครั้งหนึ่งก็ทิ้ง กอบครั้งหนึ่งไปทิ้ง มันเบาออกไปเยอะอีกครั้งทิ้งหายเลย ท่านก็เลยบอกคาถาให้ว่า คาถาบทนี้ มีคาถาอยู่ 4 คำ ถ้าคุณจะรักษากัน จะเป็นโรคอะไรก็ตาม ทั้ง 3 องค์นี่ และการอยู่ในป่าของคุณ จะไม่อยู่ในป่าเฉพาะคราวนี้คราวเดียว ต่อไป การธุดงค์จะมีเรื่อยทุกปีจนกว่าจะครบ 10 ปี ถ้าจะเป็นอะไรขึ้นมา จะปวดศีรษะ ปวดท้อง ปวดอะไรก็ตาม ใช้คาถา 4 คำ แล้วก็กอบแบบผมทำนี่ แล้วก็เวลาจะทำ นึกถึงผม ผมจะมาช่วย แค่กอบทิ้ง 3 ครั้ง จะหายทันที

    ต้องขอภัยท่านพุทะบริษัท คาถานั้นลืม คาถา 4 คำนั่นลืมจริง ๆ เพราะท่านบอกว่า ถ้าจะทำให้คนอื่น ต้องยกครู 1 สลึง ถ้าทำกันเองระหว่างพระ ก็ไม่ต้องยกครู และที่ต้องลืมเพราะว่า ต่อมา ชาวบ้านปวดศีรษะบ้าง เป็นโรคอะไรบ้าง ก็ให้กอบ กอบให้ก็หายทันที แต่สลึงหนึ่ง บางคนไม่ให้ ถ้าคนไหนไม่ให้ คนกอบป่วยตามนั้น โดนคนโกงเข้า 3 ครั้ง เลยบอกศาลา เลิกคาถาบนนี้ไม่ใช้กัน เพราะไอ้คนเลว ๆ มันมีมาก เป็นที่น่าเสียดายที่คาถาของพระอินทร์ท่านให้ไว้ แล้วก็หายไป และไม่กล้าขอท่านใหม่

    ต่อมาเมื่อหายจากปวดแล้ว ท่านก็แนะนำต่าง ๆ แนะนำถึงวิธี ลีลาการปฏิบัติ แล้วท่านก็เรียกประชุมเทวดา มีทั้งภุมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดา บอกว่า พระองค์นี้ลูกชายฉันนะ ถ้าจะไปที่ไหนก็ตาม ให้ตามอารักขาในเขตของตัว ถ้าท่านจะไปพ้นเขต ให้แจ้งเทวดาในเขตนั้น ตามอารักขาต่อไป อย่าให้มีอันตรายนะ ถ้าลูกของฉันมีอันตรายเมื่อไร พวกเธอมีโทษหนัก

    และอีก 2 องค์นี่ ก็เหมือนกัน ในฐานที่ท่านเป็นเพื่อนกัน เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามสมควร ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พระอริยเจ้า ยังเป็นปุถุชน ก็ถือว่า เป็นบุคคลผู้หวังทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน ถึงแม่ว่ายังมีความดีไม่ครบถ้วน แต่ความดีก็ยังอยู่ทุกวัน เพิ่มพูนทุกวัน ต้องรักษาไว้อย่าให้มีอันตราย ต้องรักษาเช่นเดียวกับลูกชายของฉัน ท่านกล่าวแล้วท่านก็ไป เมื่อไปแล้วพวกเราก็มานั่งอยู่ มันก็มีความสุข คิดว่า ที่ตรงนี้นะ เราอยู่กันมาเกือบ 10 วัน อยากจะย้าย ก็คิดว่า จะย้ายไปทางไหนดี

    พอคิดว่าจะย้ายไปทางไหนดี ก็ปรากฏ คนแก่คนหนึ่ง แก่อายุประมาณสัก 60 ปี ท่านเดินทางมา เป็นคนป่า ท่าทางคนป่าชัดๆ มีมีดเหน็บขัดหลัง มีย่าม ใส่อะไรบ้างก็ไม่ทราบ ในย่าม ปรากฏว่า ท่านเดินมา ท่านเห็นเข้า ท่านก็มานั่งยกมือไหว้ มาถึงท่านก็ถามเลย บอกว่า ท่านทั้ง 3 องค์ อยากจะย้ายที่ใช่ไหมครับ ถามว่า ทำไมโยมจึงรู้

    โยมแก่ก็บอกว่า ไอ้เรื่องที่ผมจะรู้ เพราะอะไรไม่ใช่หน้าที่ของท่าน เอาแต่เพียงเรียกว่า ท่านอยากจะย้ายใช่ไหม ก็ตอบว่าใช่ ท่านก็บอกว่า ถ้าย้ายนะ ก็ย้ายไปฝั่งทิศตะวันตกของอำเภอศรีประจันต์ ด้านโน้น มีดินแดนที่มีความสำคัญอยู่จุดหนึ่ง นั่นคือ ดอนเจดีย์ เจดีย์พระนเรศวรมหาราช บรรจุเครื่องกษัตริย์ ที่พระมหาอุปราชแต่งตัวเวลานั้น ทั้งของ้าว ทั้งมีด อะไรก็ตาม ทั้งหมดเครื่องแต่งกายทั้งหมด มาฝังไว้ที่นั้น

    ((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))

    -อ-ศรีประจันต์-ตอนที่-2.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ 3

    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันที่บันทึกวันนี้ เป็น วันที่ 8 พฤษภาคม 2533 เป็นวันวิสาขบูชา
    ต่อนี้ไปก็มาคุยกัน ถึงเรื่อง อำเภอศรีประจันต์ ของจังหวัดสุพรรณบุรี กันต่อไป เมื่อตอนที่แล้วมายับยั้งอยู่ตอนที่ว่า มานั่งคิดว่า เรานั่งกันอยู่ที่นี่หลายวัน เราจะเคลื่อนที่ไปบ้างดีกว่า ในป่าก็รกชัฎ ป่าศรีประจันต์เวลานั้น บางจุดก็เป็นป่าโปร่ง บางจุดก็เป็นป่าทึบ มีไผ่ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ ไม่ใช่ป่าสูงนัก ต้นไม้ใหญ่ก็มีบ้าง ต้นไม้เล็กก็มีบ้าง เอาแน่นอนไม่ได้จริง ๆ

    กำลังนั่งคุยกัน หารือว่าควรจะย้ายที่ ก็ปรากฎว่า เป็นเวลาพอดี มีชายแก่คนหนึ่งอายุประมาณ 60 ปี ท่านนุ่งกางเกงขาสั้นไม่มีเสื้อ มีผ้าขาวม้าห้อยไหล่มาด้วย และก็มีมีดเหน็บเหน็บมาข้างหลังแบบคนป่า เดินตรงเข้ามาแล้วก็มานั่งยกมือไหว้ ท่านถามว่า ท่านจะย้ายที่หรือขอรับ ทุกคนเมื่อฟังก็แปลกใจ ต่างคนต่างมองหน้ากันว่า เราปรึกษาหารือกันแบบนี้ ท่านได้ยินได้อย่างไร

    จึงถามว่า คุณลุงทราบหรือว่า อาจมาจะย้ายที่ ท่านบอกว่า เป็นธรรมดาของลีลาของคน ผมไม่ใช่หมอดู และก็ไม่ใช่ผู้วิเศษ แต่เห็นว่าท่านพักกันอยู่ที่นี้ ลองนั่งชุมนุมกันแบบนี้ ก็แสดงว่าจะปรึกษาหารือกันว่า อาจจะย้ายที่ก็ได้ เพราะตรงนี้เป็นป่าต่ำไป ไม่ค่อยจะสวยนัก ป่าของศรีประจันต์นี่ เดินจากผักไห่มาประมาณ 2 วันถึงที่นี่ จะเดินจากที่นี่ไปที่อำเภอศรีประจันต์ใช้เวลาเดินธรรมดา ๆ ก็ 2 วัน เพราะต้องลัดเลาะ ลัดไปในที่ต่าง ๆ

    แต่ว่าถ้ารู้ทางลัด ก็เดินประเดี๋ยวเดียวก็ถึง ก็ถามว่า คุณลุงเดินบ่อยหรือ ท่านบอกว่า ท่านเป็นคนที่นี่ ท่านเกิดในป่า บ้านท่านอยู่ไกลจากที่นี่ ไปทางด้านของอำเภอผักไห่ ไม่มากนัก ก็เดินที่นี่อยู่เสมอ การไปศรีประจันต์ ท่านไปเกือบทุกวัน รู้ทางลัด ไปประเดี๋ยวเดียวก็ถึง

    เลยถามท่าน บอกว่า ถ้าอย่างนั้น จะย้ายจากที่นี่ไปศรีประจันต์เลยหรือว่าจะอยู่ป่าแถวนี้ก่อน ท่านบอกว่า ป่าแถวนี้ มันก็อย่างนั้นแหละ แต่ว่าไปถึงอำเภอศรีประจันต์ ข้ามฟากไปด้านตะวันตก ที่นั่นจะมีที่สำคัญ เป็นที่ควรระลึกแห่งหนึ่งนั่นคือ ดอนเจดีย์ เป็นที่พระนเรศวร สร้างฝังเครื่องแต่งตัว อาวุธ ของพระมหาอุปราช เป็นการตัดไม้ข่มนาม

    ก็เลยชักสงสัย ถามว่าคุณลุงรู้เรื่องราวนี้หรือ ท่านบอกว่า รู้ เพราะอายุท่าน 60 ปีกว่าแล้ว รัชกาลที่ 6 ก็เพิ่งสวรรคตไป ถอยหลังจากนี้ไปแค่ 10 ปีเศษ ๆ ตัวท่านเองเกิดทันสมัยรัชกาลที่ 4 เราก็ไม่เถียง เถียงไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่า มันไม่รู้จริง

    คิดว่าท่านคงจะรู้เรื่อง เลยถามความเป็นมาว่า สมัยที่รัชกาลที่ 6 ท่านมาทำพิธีกรรมที่ดอนเจดีย์ ท่านทำแบบไหน ท่านก็บอกว่า เวลานั้นท่านก็ยังหนุ่มแน่นกว่านี้ ประมาณสัก 20 ปีละมั้ง ท่านว่าอย่างนั้น ถอยหลังไปประมาณอายุ 40 ปีเศษ ๆ ท่านก็มาร่วมงานด้วยในการร่วมงานเวลานั้น

    รัชกาลที่ 6 ก็ใช้พราหมณ์บวงสรวงเชิญเทพเจ้า ก็ถามท่านว่าพราหมณ์บวงสรวงเชิญเทพเจ้า เทพเจ้ามาไหม ท่านก็บอกว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเทพเจ้าของพราหมณ์มาหรือไม่มา ผมไม่รู้ แต่ว่า ตอนนั้นก็มีพระอยู่หลายองค์ด้วยกัน พระที่มีความสำคัญมาก มีพระองค์หนึ่งเป็น พระอรหันต์ เป็นพระที่อยู่ใกล้ๆ วัดป่าเลไลย์ ถามว่าอยู่ใกล้หรือเป็นพระของวัดป่าเลไลย์จริง ๆ ท่านบอก ไม่ใช่พระวัดป่าเลไลย์เป็นพระที่อยู่ใกล้ ๆ วัดป่าเลไลย์ เวลานั้นตั้งสำนักอยู่ที่ วัดประชุมสงฆ์ มีกุฏิเพียง 3 หลัง และก็ไม่มีการเจริญรุ่งเรือง ท่านแก่มากแล้ว ต้องตะบันหมากกิน แต่เขาลือกันว่าพระองค์นี้เป็นพระอรหันต์ ชาวบ้านเขาลือกัน ก็ถามว่า ลุงเชื่อไหมครับ บอก ผมก็เชื่อสิ ผมเป็นคนนับถือพระนี่

    เวลานั้นท่านก็นิมนต์พระองค์นี้มาด้วย และก็มีพระมาอีกหลายองค์ มากองค์ด้วยกัน ในจำนวนพระที่มาทั้งหมด ปรากฏว่า เป็นพระอรหันต์เสีย 6 องค์ นอกจากนั้นก็เป็นพระผู้ทรงฌาน แต่ว่าพระทั้งหมดเท่าที่สังเกตมา จะฟังพระองค์แก่องค์เดียว ถ้าพระแก่พูดอย่างไร พระทั้งหมดจะฟัง และปฏิบัติตามทั้งหมด ก็แสดงว่า พระองค์แก่ที่สุด คือพระตะบันหมากกิน ข้างวัดป่าเลไลย์ (วัดประชุมสงฆ์) ก็ต้องเป็นพระอรหันต์

    ก็ถามว่า คุณลุงเชื่อว่าเป็นอรหันต์เพราะการที่พระอื่นเชื่อใช่ไหม ท่านบอกไม่ใช่หรอกผมสังเกตดู เพราะเวลาทำพิธีจริงๆ ท่านบอก การตัดไม้ข่มนามคราวนั้นมีผล พระแก่ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านนั่งต้นแถวก็เลยถามท่านว่า ดอนเจดีย์อยู่ไกลไหม ก็อยากจะไปดอนเจดีย์ ท่านก็บอกว่า ถ้าไปทางตรงจากตรงนี้นะ ทิศทางที่ท่านคิดจะไปนี่จะต้องใช้เวลาเดิน 3 วัน(คำว่า ตรง หมายความว่า ตรงชาวบ้านเขาเดินกัน) แต่ถ้ารู้จักทางลัด จะใช้เวลาไม่นานนักก็ถึง ก็ถามว่าคุณโยมจะไปไหน ผมจะพาไปทุกแห่ง เพราะป่าทั้งหมดนี่ จะเป็นป่าสุพรรณบุรี ศรีประจันต์สามชุก ท่าช้าง เดิมบางนางบวช ที่ไหนก็ตาม ผมรู้จักหมดทุกแห่ง คนแถวนั้น ใครชื่ออะไรอยู่ที่ไหน ผมรู้จักหมด ผีที่ตายไปแล้วอยู่ที่ไหน ใครชื่ออะไร ผมรู้จักหมด

    อีตอนนี้ชักสงสัยว่า ลุง รู้จักชื่อคนมันไม่ยาก มันก็ยากมากถ้าถามกันพอรู้ แต่รู้จักชื่อผีนี่สิ ผีที่ประจำถิ่น ท่านบอกว่า ผีประจำถิ่นมันก็ไปจากคน ก็เลยไม่เถียงกัน 3 คน ต่างคนต่างมองหน้ากันว่า ชักจะแปลก ๆ ก็เริ่มสงสัยว่า ลีลาที่ท่านพูดเดิมตั้งแต่เข้ามาทีแรก ก็รู้ว่าจะย้ายสถานที่ ตอนนี้มาชักเริ่มจะรู้ทุกอย่าง รู้จักทั้งคน รู้จักทั้งผี นี่มันแปลกเสียแล้ว ต่างคนเหมือนกับนัดกัน ต่างคนต่างก็มองหน้ากัน และก็พยายามคุย ก็พยายามชำเลืองดูตาคุณลุง ตาคุณลุงผ่องใสเหมือนกับตาหนุ่ม ตาหนุ่มตาสาวยังสู้ไม่ได้เลย ผ่องใสมาก แต่ว่าตาคุณลุงไม่กระพริบ

    อาตมาก็นึกในใจว่า เอ๊ะ…วานนี้โยมท่านมาสั่งว่าให้เทวดาที่นี่อารักขาทั้งหมด ถ้าจะไปไหน ให้ไปส่ง แล้วก็ให้มองหมายกับเทวดาที่นั่น นี่สงสัยท่าจะเป็นเทวดา พอนึกเท่านั้นคุณลุงแก่ท่านก็บอกว่า ท่านนึกอย่างนั้นมันก็ถูก แต่ว่ายังไม่ตรงตามความเป็นจริง ผมไม่ใช่รุกขเทวดา ไม่ใช่ภุมเทวดาที่นี่ จะเรียกผมว่า เทวดา ก็เรียกไม่ได้ แต่มันจะไม่ถูกนัก ก็ถามว่าเรียกอะไรถึงจะถูกล่ะลุง ก็เรียก ลุง อย่างคุณว่านั่นแหละถูก ก็ต้องถือว่า เป็นลุงธรรมดา ๆ ไม่ใช่ลุงพี่ของพ่อ ไม่ใช่พี่ชายของพ่อก็แล้วกัน แล้วถามว่า คุณลุงเกิดมาน่ะ มีอาชีพอะไร ท่านบอก ผมก็ไม่มีอาชีพอะไร ก็เดินไปเดินมา เดินมาเดินไปแบบนี้ มีอะไร เจอะอะไร ก็กินตามเรื่องตามราวไป บ้านผมก็อยู่ในป่า ผักหญ้าก็มีเยอะ ตำลึงก็มี หน่อไม้ก็มี หัวเผือกหัวมันก็เยอะแยะ ไม่ต้องทำบาป ไม่ต้องทำกรรม ลุงก็ว่าเรื่อยไป

    ก็สรุปแล้วก็บอก เอ้า..ถ้าอย่างนั้น ลุง อาตมาทั้ง 3 คน ไปตามลุงไป ลุงจะพาไปศรีประจันต์ใช่ไหม ท่านบอกว่าใช่ ท่านถามว่า จะไปแค่อำเภอศรีประจันต์ หรือจะไปดอนเจดีย์ถามท่านว่าที่ดอนเจดีย์มีภูเขาไหม ท่านบอกว่า ทิศเหนือของดอนเจดีย์มีภูเขา ทางด้านทิศตะวันออกก็มีภูเขา แต่ว่าภูเขาไม่สูง ภูเขาต่ำ ๆ ผมรู้จักภูเขาพิเศษอยู่ลูกหนึ่งเหมาะสำหรับพระธุดงค์ ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาชั่วคราว (เอ๊ะ..พูดไม่เหมือนชาวบ้านภูเขาชั่วคราวมันก็ต้องทำขึ้นมา)

    ท่านบอกว่า เป็นภูเขาชั่วคราว ท่านบอกว่า มีถ้ำสวยงามมาก หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันตก และด้านทิศใต้มีเขาย้อยไปบังแสงแดดเวลาบ่าย ด้านหน้ามีสนามหญ้า มีบริเวณสวนดอกไม้ มีทางเดินเล่น มีธารน้ำไหล น่าอยู่มาก ท่านจะไปไหมล่ะ พอได้ฟังก็น้ำลายไหล ก็นึกในใจว่า มันจะไกลเกินไปไหม ถ้าเวลาจะกลับ จะกลับอย่างไร

    พอนึกในใจ ท่านบอก เวลากลับไม่เป็นไร นึกถึงผมสิครับ ผมเป็นคนแก่ ผมเป็นลูกศิษย์ของพระอรหันต์ องค์นั้น (นั่นแน่ ชักขยับเข้ามาแล้ว) ทีนี้หากว่าใครก็ตาม ถ้ามีความสัมพันธ์กับผม ถ้ารู้สึกนึกอย่างไรละก็ ผมจะรู้หมดทุกอย่าง ถ้าต้องการสิ่งไหน ถ้าผมหาทำให้ไม่ได้ ผมจะวานเพื่อนของผมที่มีความสามารถช่วยทำให้

    สำหรับดินแดนนี้ทั้งหมดไม่ต้องวานใคร ผมคนเดียวพร้อม ผมรู้จักทั้งหมด ป่ามีเท่าไร เขามีกี่ลูก ถ้ำมีเท่าไร ต้นไม้มีกี่ต้น (เอ๊ะ..ชักเอาแล้ว ชักรู้จักต้นไม้มีกี่ต้น เราก็ปล่อยแกไปเถอะ นึก ตานี่โม้มาก) นึกในใจว่าลุงนี่โม้มาก แกก็ยิ้ม แกบอก ครับ นึกไปก่อนเถอะว่า ผมโม้ นึกก็ไม่ได้ นึกก็รู้ และต่อไปจะทราบเองว่า ผมไม่โม้ เป็นอันว่า ถ้าอย่างนั้นทุกท่านเตรียมตัวออกเดินทาง

    ทุกคนก็เริ่มต้นทำท่าจะชุมนุมเทวดา ขอลาเดินทาง ท่านบอกว่า ไม่ต้องชุมนุมเทวดาหรอกครับ เทวดาที่นี่ก็พร้อมแล้ว พอท่านพูดเท่านั้น เห็นเทวดาพึ่บ หลายร้อยองค์เป็นภุมเทวดาบ้าง เป็นรุกขเทวดาล้าง เป็นเทพธิดาบ้าง เทวดาผู้หญิงบอกว่าท่านเจ้าคะจะไปหรือ ไม่โปรดฉันก่อนหรือ ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าไปพักที่ไหนไม่ไกลเกินไป ก็ตามไปสงเคราะห์ที่นั่นก็แล้วกัน ฉันก็ขอบคุณทุกท่าน เพราะว่าทุกท่านเมตตาปรานีเสมอ

    ขณะที่ใช้เวลาทั้งคืน ตลอดคืน จะไปบิณฑบาตก็ไม่ต้องท่านมาคอยใส่อยู่แล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าไปที่ใหม่จะมีใครเขาใส่บาตรไหม ท่านผู้นั้นก็บอกว่า เจ้าของที่เขาก็ใส่ แต่ฉันอาจจะไปกันนะ เมื่อคุยกันเสร็จ ก็ลาท่าน ท่านลุงก็ออกหน้า ดึงมีดออกจากฝักขาวจั๊ว มีดเหน็บใหญ่ เดินไปก็ถางต้นไม้เล็ก ๆ ต้นไม้เล็กๆ ขวางหน้า ท่านก็ตัด ตัดก็เหวี่ยงไปข้างทาง ทำให้พวกเราเดินสบาย พอเดินไปท่านก็คุยไปบอก ต้นยางต้นนี้นะ เจอะต้นยางต้นหนึ่ง

    ต้นนี้ แหม..ชาวบ้านชอบมาสุมไฟทำเป็นหลุม สุมไฟเอาน้ำมันกันทุกวัน และก็ชมต้นไม้เรื่อย ๆ ไป เดินไปประมาณสัก 10 นาที แต่ความจริง เราอยู่ฝั่งตะวันออกของอำเภอศรีประจันต์ ถ้าจะไปอำเภอศรีประจันต์จริง ๆ ไปฝั่งตะวันตกที่ดอนเจดีย์ จะต้องข้ามแม่น้ำท่าจีน แต่ว่าใช้เวลาเดินไปประมาณ 10 นาที
    ลุงก็ชี้ให้ดูยอดไม้ต้นโน้น ยอดไม้ต้นนี้ ชี้ไปชี้มา ชี้ปั๊บไปที่เจดีย์ บอกว่า เจดีย์องค์นี้ละครับเป็นเจดีย์ที่รัชกาลที่ 6 มาสร้างไว้ ก็ตกใจ ก็บอกว่า ลุง นี่เราเดินมาประมาณ 10 นาทีนะ เมื่อกี้นี้อาตมาดูในเวลา ท่านก็เลยบอกว่า ผมบอกแล้วว่า ผมรู้จักทางลัด ถ้าทางที่ชาวบ้านเขาเดินกัน ต้องใช้เวลาหลายวันนะครับ นี่ผมรู้จักทางลัด ผมเป็นเด็กที่นี่ ผมเป็นเด็กป่านี้

    ก็เลยถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นในเจดีย์ พระนเรศวรมหาราชฝังอะไรไว้บ้าง ท่านบอก ฝังของ้าว ฝังอาวุธทั้งหมด ที่อยู่บนคอช้างของพระมหาอุปราช ก็บอกว่า เวลานั้น ช้างของพระมหาอุปราชเขาก็หนีไปแล้ว พระมหาอุปราชถูกฆ่าตาย ควาญก็ขับไสไป ท่านบอกไม่ไป ไม่ได้ไป ถูกปืน ควาญช้าง ถูกปืนตาย จับได้ทั้งช้าง จับได้ทั้งสรรพาวุธ ทั้งกูบช้างทั้งหมด อาวุธทุกอย่างฝังไว้ที่นี่ แล้วก็เครื่องแต่งกายของมหากษัตริย์ พระมหาอุปราชฝังไว้ตรงนี้

    ก็ถามว่า การรบ รบตรงนี้หรือเปล่า ท่านบอก การรบ รบที่ลาดหญ้า ไม่ใช่ที่นี่ แต่ว่าการจะสร้างเจดีย์ไว้ที่ลาดหญ้า ก็ไม่เหมาะเพราะเป็นสนามรบ ท่านก็คิดว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า กษัตริย์เบื้องหลัง ก็คงจะไม่รับศึกที่กำแพงเมืองอย่างที่แล้วมา ถ้าไม่รับศึกที่กำแพงเมือง เจดีย์ก็จะกลายเป็นแดนสนามรบไป เอามาตั้งไว้ตรงนี้มันเหมาะกว่า ก็ถามว่า พิธีกรรมซ้ำสาป ท่านบอก คำสาปของพระอรหันต์มีผล หลังจากนั้นมาพม่าก็สงบไปพักหนึ่ง ต่อมาอยุธยาเสื่อมจากความเจริญทางใจ ความชิงดีชิงเด่นกันมีขึ้นการสามัคคีน้อยไป ในที่สุดพม่าก็มาล้อมเมือง และก็ พระยาราม กับคนหลายคน ก็เป็นไส้ศึก เรียกว่า เป็นแนวที่ 5 ให้พม่า ในที่สุดพม่าก็ตีอยุธยาแตก ตอนนั้น พระยาวชิรปราการ คือ พระเจ้าตากสิน ก็นำกำลังพลประมาณ 500 คน ออกไป ตีฝ่าพม่าไป

    เป็นอันว่า เวลานั้นขึ้นชื่อว่า การจบอยุธยา แล้วต่อมาก็มาสร้าง กรุงธนบุรี แล้วท่านก็บอกว่า คำสาปของพระอรหันต์ ท่านสาปตามกฏของกรรม จะฝืนกฏของกรรมไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าต่อไปเบื้องหน้าจะเห็นว่าประเทศไทยเราเวลานี้ก็ถูกข้าศึกล้อมเข้ามา ฝรั่งเศสก็เข้า อังกฤษก็เข้า แต่เวลานี้พม่าเป็นทาสของอังกฤษ เขมรและลาวเป็นทาสของฝรั่งเศส แต่ทว่าไทยยังเป็นอิสระเพราะว่ารัชกาลที่ 5 มีความฉลาด รู้ผ่อนสั้นผ่อนยาว ยอมเสียอวัยวะดีกว่าเสียชีวิต ยอมเสียทรัพย์สิน ดีกว่าเสียร่างกาย ยอมเสียอวัยวะ ดีกว่ายอมเสียร่างกาย คือ ความตาย

    ((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))

    -อ-ศรีประจันต์-ตอนที่-3.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๔

    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อตอนที่แล้วมาหยุดอยู่ที่ดอนเจดีย์ ครั้นมาถึง ดอนเจดีย์คุณลุงก็เล่าความเป็นมาตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดว่า ท่านรู้ว่าพระองค์นั้นเป็น พระอรหันต์ท่านก็ประกาศด้วยว่า ท่านเป็นลูกศิษย์

    แล้วท่านก็ถามว่า พวกท่านจะอยู่ที่ดอนเจดีย์นี่ หรือว่าจะไปไหน ก็บอกว่า ใกล้บ้านเกินไป ห่างจากที่นี่ไปประมาณไม่ถึงกิโลเมตร ก็ปรากฏว่ามีบ้านอยู่ การมาธุดงค์คราวนี้เป็นการฝึกครั้งแรก ต้องการไม่พบบ้านจริง ๆ ถ้าไม่มีข้าวจะกินเพราะความดี ก็ให้มันตายไปเลย แล้วลุงก็เลย ถามว่า พวกท่านกิเลสหมดหรือยัง ก็เลยตอบท่านบอกว่า

    ถ้ากิเลสหมดก็ไม่ต้องมาธุดงค์ การมาธุดงค์ มาฝึกเพื่อทำลายกิเลส ไม่ใช่เป็นพระที่กิเลสหมดอย่างพระมหากัสสป พระมหากัสสปท่านไปธุดงค์ ก็เป็นการฝึกพระที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นอรหันต์แล้ว ก็ฝึกความเป็นอยู่ในป่า เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติของพระรุ่นหลัง

    ลุงก็เลยบอกว่า กิเลสไม่หมด อยู่ไกลคนเกินไป ถ้าเทวดาเขาไม่เมตตาจะว่าอย่างไรก็เลยบอกท่านบอกว่า เรื่องการ….เทวดานั้นไม่มี มีแต่ว่าตัวเอง พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทก์ความผิดตัวเองไว้เสมอ หรือว่า จงเตือนตนด้วยตนเองเพราะว่าการมา ก่อนที่จะมา ก็ฝึกที่ป่าช้าวัดบางนมโค ไม่มีข้าวกินมา 16 วัน ต้องอาศัยข้าวที่พระบิณฑบาตกิน

    พอวันที่ 17 ตัดสินใจคิดว่า เทวดาจะให้ หรือไม่ให้เป็นเรื่องของเทวดาท่านจะเมตตา แต่เราขอถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งจับภาพพระพุทธเจ้าไว้ให้ทรงตัว เพียงแค่นี้เทวดาก็ให้กิน เมื่อมาอยู่ในป่า ก็ใช้ตำราแบบนั้นก็ได้กินทุกวัน แต่บางวันที่ไปเที่ยวไกลเกินไป กลับมาสว่างไม่ทันจะออกบิณฑบาตก็ปรากฏว่า เทวดาท่านก็มาใส่ให้ถึงที่ ท่านเมตตาอย่างนี้ เมื่ออยู่ฝั่งตะวันออก เทวดา และนางฟ้า เมตตา มาฝั่งตะวันตก เทวดา นางฟ้าไม่เมตตา ก็ตามใจท่าน จะยอมตายในป่า

    ลุงฟังแล้วก็มองจ้องหน้า จ้องหน้าองค์โน้นที จ้องหน้าองค์นี้ที แล้วลุงก็ถามว่าทุกท่านตัดสินใจตามนี้หรือ ก็บอกว่า ตามนี้ ต่อไปท่านจ้องหน้า 2 องค์เพื่อนกัน ท่านลิงเล็ก กับลิงขาว ถามว่าท่าน 2 องค์นี่ ปรารถนาสาวกภูมิใช่ไหม ท่าน 2 องค์ก็ตอบว่า ใช่ ก็หันมาถามอาตมาว่า ท่านปรารถนาพุทธภูมิใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่

    ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านพุทธภูมิก็แสดงว่า เป็นหัวหน้า เพราะสาวกภูมิต้องตามหลัง แต่ว่าสาวกภูมิทั้ง 2 องค์นี่ ผมมีความสงสัยว่า เวลานี้สามารถตัดสังโยชน์ 3 ได้แล้วในพรรษาที่ 2 ท่านทั้ง 2 องค์ก็บอกว่า อาตมาไม่กล้าพยากรณ์ตัวเองอย่างนั้น มันเป็นความประมาท และทะนงตนเกินไป ลุงก็เลยบอกว่า ผมเป็นคนช่างสังเกต เพราะอาจารย์ของผมเป็นพระอรหันต์

    สังเกตว่า อาการอย่างนี้ เป็นพระที่ตัดสังโยชน์ 3 ได้ แต่ว่าเป็นสังโยชน์ 3 อย่างหยาบอย่างนี้เทวดาเมตตา สำหรับพระโพธิสัตว์ก็เช่นเดียวกัน ท่านปรารถนาพุทธภูมิ พระโพธิสัตว์นี่เทวดามีความเคารพ จึงคิดว่า เทวดา และนางฟ้าคงจะเมตตาต่อไป เลยบอกท่านบอกว่า ความดียังไม่พอ ความปรารถนามันมีอยู่ เหมือนกับคนที่ตั้งใจอยากจะเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าเวลานี้ ที่สักกระแบะมือหนึ่งก็ไม่มี ทุนสักไพหนึ่งก็ไม่มีจะถือว่าดีไม่ได้ ลุงก็บอกว่า ถ้าเราพูดกันมันก็ไม่จบ

    เลยถามว่า คุณลุงอยากจะทราบว่า คุณลุงบ้านอยู่ที่ไหนท่านบอกว่า บ้านของผมอยู่ที่บ้านดึง ถาม บ้านดึงที่อำเภอผักไห่มีหรือ ท่านก็ตอบว่า มี ถามว่า มันอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่ามันอยู่ที่บ้านผมตั้งอยู่ เขาเรียกว่า บ้านดึง และก็มี ผู้ใหญ่บ้าน ชื่อ อิน ที่ผมไปผมมาที่ไหนได้ไม่ไป ที่ผมมานี่ก็เหมือนกัน

    ผมจะมาธุระที่อำเภอศรีประจันต์ ท่านผู้ใหญ่อิน ท่านก็บอกว่าลูกชายของท่าน กับเพื่อนมาธุดงค์อยู่ที่นี่ ให้ช่วยสงเคราะห์ พาไปที่ดอนเจดีย์ด้วย และก็นอกจากที่ดอนเจดีย์นี้ให้ไปภูเขาชั่วคราว ภูเขาชั่วคราวก็หมายความว่า ช้างในมีธารน้ำใสมีเตียง มีตั่ง เป็นที่นั่ง เป็นที่นอนสบาย และก็มีสวนดอกไม้ มีสวนหย่อม มีพุ่มไม้สว่างไสวทางด้านทิศตะวันตกก็มีเงื้อมภูเขา บังแสงพระอาทิตย์ที่จะสาดมาเวลาตอนบ่าย

    เมื่อฟังท่านแล้วก็คิดในใจว่า ลุงนี่แปลก อยู่บ้านดึงผู้ใหญ่บ้านชื่ออินก็เลยไม่ถามท่านต่อไป ก็เลยบอกกับท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลุง อาตมาอยากจะไปที่ภูเขาชั่วคราวไปพักที่นั่นให้มันมีความสุข ท่านก็บอกว่า ดูดอนเจดีย์นี่เสียก่อน ตรงนี้พระนเรศวรสร้างไว้ ข้างในมีรูปร่างลักษณะเป็นแบบนี้เป็นเจดีย์เล็ก ๆ ไม่โตนัก แต่เวลานี้รัชกาลที่ 6 ท่านสร้างคลุมไว้ทำหลักฐาน ใหญ่โตมาก แล้วก็มองตามภาพ มองไปมองมา ลุงบอกว่า ถึงภูเขาชั่วคราวแล้ว (เจอะดี เป็นการลองฝึกธุดงค์นะ ถึงภูเขาชั่วคราว)

    พอท่านพูดอย่างนั้นก็ปรากฏว่า เจดีย์ ดอนเจดีย์หายไป มาถึงถ้ำ ถ้ำมีความสวยสดงดงามมาก ไกลจากดอนเจดีย์ประมาณสัก 10 กิโล เดินดูบริเวณสนามหญ้าก็สวย ทางเดินก็ดี เป็นสถานที่จงกรม มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ในบริเวณกลางลานประมาณสัก 30 ต้น เป็นที่บิณฑบาตอย่างสบายๆ มีเตียง มีตั่งเป็นที่นอน มีสระน้ำ

    เมื่อถึงที่นั้นเสร็จ ลุงก็บอกว่า ผมจะลากลับนะครับ ก็เลยบอกกับลุงบอกว่า เวลากลับอาตมาอยากจะให้ลุงช่วย ช่วยพากลับ เพราะไอ้ทางลัดนี่จำไม่ได้เลย มาประเดี๋ยวเดียวมันถึง มันแปลกใจ ท่านบอกว่า ไม่น่าจะแปลกใจถ้าหากว่าคนบ้านดึงนำมาจะไปที่ไหนก็ตามใกล้ทั้งหมด ถามว่าคุณลุงชื่ออะไร จำได้ไหม ท่านถามว่าทำไมจะจำได้ หรือไม่ได้ชื่อของผมน่ะถามแปลก ๆ

    ท่านก็บอกว่า ผมชื่อ วิ เป็นลูกศิษย์ของผู้ใหญ่อิน ถ้าผู้ใหญ่อินจะสร้างอะไรก็ตาม ผมเป็นช่างนะ ทำทุกอย่างได้ตามความพอใจ ผมจะทำอะไรให้ดูสักอย่างไหมล่ะก็บอกว่า อยากจะดู กลางคืนที่นี่มันมืดใช่ไหม ก็บอกว่า ใช่ ท่านมีเทียนมาหรือเปล่า บอกเทียนหมดแล้ว กลางคืนก็ใช้นั่งเดาสุ่มกัน

    ถ้าอย่างนั้นผมจะทำเทียนให้ เทียนอันนี้ถ้ามันยังไม่มืดเทียนจะไม่ติด ถ้าอากาศมืดเมื่อไรหรือแสงพระอาทิตย์หรี่ลงเมื่อไร จะมีแสงเทียนปรากฏขึ้นและสว่างทั่วบริเวณ หากว่าท่านต้องการให้เทียนดับ ท่านก็นึกว่า เทียนนี้จงดับ เทียนก็จะดับ ถ้าต้องการให้เทียนติดก็นึกว่า เทียนนี้จงติด เทียนก็จะติด ทั้ง 2 คนก็มองหน้ากันว่า ลุงวินี่ แกไม่กระพริบตาสายตาแจ่มใส แกจะทำเทียน บอกถ้าอย่างนั้นลุงทำ
    คุณลุงก็บอกว่า เทียนตั้งตรงนี้นะครับมันจะสว่างทั่วบริเวณของถ้ำ พอตกลงว่าตั้งตรงนี้ก็ดี เพียงเท่านี้เทียนปรากฏเป็นเทียนเฉย ๆ ไม่มีไฟ ลุงก็บอกว่า ลองดูซิ ท่านลองนึกว่า เอ้าเทียนจงมีไฟเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ เทียนก็มีไฟทันที เทียนจงดับ นึกว่า เทียนจงดับ เทียนก็ดับทันที แล้วท่านบอกว่า เทียนนี่เป็นอัตโนมัติ นั่นก็หมายความว่า ถ้าอากาศมันมืดจริง ๆ เทียนจะสว่างขึ้นเองโดยไม่ต้องสั่ง

    แล้วท่านลุงก็ลาไป การลาของท่านลุงก็เป็นของไม่แปลก แบบคนธรรมดา ๆ แต่ที่แปลกก็มีอยู่ว่า เวลาเดิน ลุงเดินไป 2-3 ก้าว ลุงหายไปเลย พวกเราก็หันมายิ้มกันบอกว่านี่เราถูกต้มแล้วนะ วิ นี่หมายถึง วิษณุกรรมเทพบุตร บ้านดึง ก็คือ ดาวดึงส์ ผู้ใหญ่อิน ก็คือ พระอินทร์ คือ โยมผม ท่านทั้ง 2 ก็เห็นด้วย ท่านทั้ง 2 ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเอากันให้แน่ใจกันไปเลย เวลานี้เราตัดสินใจไปดาวดึงส์กันดีกว่า ไปพิสูจน์กัน ก็ตกลง

    เมื่อวางของเสร็จเรียบร้อยแล้ว จัดที่หลับที่นอนดีแล้ว ก็ขึ้นนั่งเตียงคนละเตียงมันเป็นเตียงหิน แต่ว่าอ่อนนุ่ม คล้าย ๆ ใครเอาผ้าที่นุ่มนิ่มมาปูไว้ แล้วก็อุ่น ไม่เย็นแฉะ ขึ้นนั่งเตียงปั๊บหลับตาปุ๊บ มันก็ไม่ยาก เป็นของที่ทำจนชิน เพียงแค่นึกปั๊บ มันก็ไปปุ๊บ ถึงดาวดึงส์พอเข้าไปถึงก็ไปที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เวลานั้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ว่าง ไม่มีใครเลย คิดว่าจะเข้าไปในเวชยันตวิมาน ก็ไม่น่ารัก เช้ามืดเกินไป ก็พอดีเห็นเทวดาท่านหนึ่งเดินมา ก็แสดงคารวะในท่าน ทักทายปราศรัยท่าน

    ท่านบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ท้าวโกสีย์กำลังสั่งงานอยู่ ประเดี๋ยวจะออกมา ท่านทราบ ท่านให้ผมมาบอกท่านว่าให้คอยประเดี๋ยวเดียว ก็เป็นอันว่า คอยอยู่ประเดี๋ยวเดียว ปรากฏว่า ท้าวโกสียสักกเทวราช ท่านก็ออกมา เมื่อท่านออกมาแล้ว ท่านก็ถามว่า คุณมาธุระอะไรกัน ก็เลยบอกท่านบอกว่า มีคุณลุงพิเศษชื่อ วิ อยู่บ้านดึง แต่ผู้ใหญ่บ้านชื่อ อิน อาตมานี่สงสัยว่า บ้านดึง ก็คือ ดาวดึงส์ ลุงวิ ก็คือ วิษณุกรรม ใช่ไหม โยมก็เลยบอกว่า ใช่ ท่านบอกว่า โยมเห็นว่าคุณอยู่ที่นั่นมานานแล้ว มันจำเจเกินไป ก็ควรจะย้ายที่ สถานที่ ที่จะย้าย ก็ควรจะเป็นที่ศรีประจันต์ฝั่งด้านตะวันตก เพราะมีอะไรดีมากๆ

    หลังจากนั้น ท่านก็เรียก วิษณุกรรมเทพบุตร มาหา ท่านวิษณุกรรมเทพบุตรนี่ความจริงท่านสวยมาก แต่ท่านมาใน 2 รูป รูปขางหน้าก็เป็นเทวดา รูปข้างหลังก็เป็นลุง เป็นลุงวิ ท่านถามว่า จำได้ไหมครับ ก็บอกว่า จำได้ ที่มานี่ก็สงสัย

    ท่านเลยบอก ต่อนี้ไปท่านไม่ต้องวิตกกังวล หากว่าท่านจะไปอยู่ที่ไหน บอกผม นึกถึงผมก็แล้วกัน เพราะท่านท้าวโกสียสักกเทวราชท่านอนุมัติไว้ ให้ทำทุกอย่างเพื่อท่าน เพื่อความสุข ก็เลยถามว่าการมาธุดงค์มีความสุขมันจะดีหรือ ท่านบอกว่า ความสุข หรือความทุกข์มันไม่สำคัญให้กายสุขไว้ก่อน ใจจะได้มีความสบาย

    เพราะเวลานี้ยังตัดกิเลสกันไม่ได้ ถ้าร่างกายเป็นทุกข์ ความทุกข์ทางกายเกิดขึ้น กิเลสก็เลยไม่หมด มันต้องมีกายสุขพอสมควร แล้วก็ใช้ความสุขเป็นวิปัสสนาญาณ มาเจอะเทวดาสอนวิปัสสนาญาณเข้าอีกแล้ว ก็ถามว่าจะทำอย่างไร ท่านก็เลยบอกว่าอย่าลืมว่า ภูเขาลูกนั้นมันเป็นภูเขาชั่วคราว คำว่า ชั่วคราวมันเป็น อนิจจัง ถ้าพวกท่านกลับไปหมด ภูเขาลูกนั้นก็จะสลายตัว จะหายไป มันก็เป็นอนัตตา เพียงเท่านี้พอหรือยัง ก็บอกท่านบอกว่า พอแล้ว เข้าใจแล้ว

    หลังจากนั้นก็ลากลับ กลับมาถึงที่พักพวกเราก็มีความสุข เดินไปเที่ยวบริเวณ เดินจงกรมบ้าง คำว่า เดินจงกรม มันไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร ญาติโยมพุทธบริษัทก็เดินกันแบบธรรมดา ๆ เดินกันไปคุยกันไปก็ได้ แต่ปากก็คุยกันไป แต่ใจส่วนหนึ่งก็คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็น อนิจจัง เรามาอยู่นี่ชั่วคราว มันก็เป็นของไม่เที่ยง ไม่ช้าเราก็กลับ เมื่อกลับแล้วที่นี่หายไปจากเรา ก็เป็น อนัตตา เราหายไปจากที่นี่ เราก็เป็นอนัตตา

    รวมความว่า การเกิดมาเป็นของไม่ดี มันต้องมีความลำบากอย่างนี้ เจ้านายที่มีความสำคัญ ก็คือ กิเลส ถ้ากิเลสยังท่วมหัวเราเพียงใด ความสุขก็ไม่มีกับเราเพียงนั้น เดินไปก็คุยกันไป ชี้โน่นดูนี่ ก็ดูว่าต้นไม้ทุกต้นทำเป็นระเบียบทั้งหมด นี่อาศัยกำลังใจของวิษณุกรรมเทพบุตรองค์เดียว พอถึงเวลาค่ำก็กลับเข้าที่นอน พอเข้าที่นอนปั๊บ ต่างคนต่างอยู่ทีนี้ไม่คุยกันแล้ว ค่ำแล้ว หน้าที่ของใครก็เป็นหน้าที่ของใคร ใครจะทำอย่างไรก็ทำไปตามชอบใจของตนเอง

    เวลาประมาณสักตี 2 เสียงดังโครมคราม ๆ ในธารน้ำไหลในถ้ำ ทุกองค์ตื่นจากที่นอนพอลุกจากที่นอนมาดูที่ธารน้ำไหล ปรากฏว่า มีเสือ 4-5 ตัวกำลังเล่นน้ำอยู่ ก็นึกในใจว่าเจ้าเสือนี่มันเข้ามาอย่างไร แล้วทำไมถึงมาเล่นน้ำที่นี่ มันจะเล่นแต่น้ำ หรือเล่นเราด้วยก็ยังไม่แน่ ก็มองไปมองมา ดูเสือ เสือก็ทำท่า ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เล่นน้ำกันตามสบาย ๆ เลยทุกคนก็นั่งมองดู ก็คิดในใจว่า

    การเกิดของคน การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเป็นของไม่ดีอย่างนี้ ถ้าเราพลาดจากความเป็นคนเป็นเทวดา หรือเป็นพรหมก็ยังดี ถ้าไปเกิดในอบายภูมิ ถึงแม้จะเป็นเสือ เป็นสัตว์ที่มีอำนาจมากก็มีความลำบากด้วยอาหาร เวลานี้มาเล่นน้ำกันในเวลาดึก แต่ความจริง มันไม่ใช่เวลาอาบน้ำ มันเวลานอน เป็นเวลาพักผ่อนเฉพาะคน แต่เวลากลางคืน เป็นเวลาหากินของเสือ แต่เสือนี่จะมีความสุข หรือความทุกข์

    เมื่อคิดไปแล้วก็เห็นว่า เสือมีความทุกข์ เพราะว่าเสือมีความหิว การอาบน้ำแสดงว่าเสือมี ความร้อน ความร้อนมันก็เป็นทุกข์ เมื่ออาบน้ำมีความเย็น ก็เป็นสุขชั่วคราว ถ้าขึ้นไปจากน้ำ ประเดี๋ยวก็อาจจะร้อนใหม่ แล้วก็ในที่สุด เสือนี่ก็ต้องแก่ แล้วก็ต้องตายเช่นเดียวกับเรา เราก็มีสภาพเช่นเดียวกับเสือ ถ้าเวลานี้บังเอิญเสือเห็นเราเข้าเสือจะกินเราเราก็ตามใจเสือ เราจะไม่ยอมดิ้นให้มันเจ็บ ให้มันเจ็บแค่เสือกัด ประเดี๋ยวมันก็ตายเมื่อตายเราก็มีความสุข ที่ไปของเราก็คือ พรหม

    อาตมาคิดอย่างนั้นนะ แต่ว่ามาถาม 2 องค์ทีหลัง 2 องค์ท่านก็บอกว่า ที่ตายของท่าน ท่านตายแล้ว ที่ไปของท่านก็คือ นิพพาน มีอารมณ์ต่างกัน พระโพธิสัตว์ กับสาวก มีอารมณ์ไม่เสมอกัน พระโพธิสัตว์ไม่ค่อยเข้าใจนิพพานนัก อาตมาไม่เข้าใจเลยเวลานั้น เรื่องนิพพานแล้วก็จิตหวังนิพพานไม่มีอยู่ ต้องการอย่างเดียวคือ เป็นพระพุทธเจ้า

    พอคิดอย่างนั้นเสร็จ เสือก็ยังไม่เลิกเล่นน้ำ เราก็เลยนั่งสมาธิตรงนั้นคิดในใจว่าขออุทิศร่างกายให้เป็นอาหารของเสือ เสือจะได้มีความสุข ตั้งใจจับสมาธิปั๊บ จิตหลุดออกจากกายไปโน่นไปป๋ออยู่ ดาวดึงส์เทวโลก โยมผู้หญิงท่านก็ถามว่า คุณมาทำไม ก็เลยบอกว่าปล่อยร่างกายให้เสือมันกิน ท่านบอก เสือไม่กินหรอก เสือนี่กินคนไม่ได้ ถาม ทำไมล่ะโยมก็เสือ 4 ตัวนี่ ขอโทษท่านนะ ท่านก็ยกมือไหว้ว่า เสือ 4 องค์ คือ

    เสือที่ 1 คือ เสือหลวงพ่อปาน
    เสือที่ 2 คือ เสือหลวงพ่อสุข
    เสือที่ 3 คือ เสือหลวงพ่อจง
    เสือที่ 4 คือ เสือหลวงพ่อจาด

    ทั้ง 4 องค์นี่เป็นเพื่อนกันมาพิสูจน์กำลังใจของคุณว่ามาที่ใหม่นี่คุณจะกลัวหรือไม่กลัว และว่าคุณจะทำอย่างไรในเมื่อเห็นเสือมาอยู่ใกล้ ๆ จะทำอย่างไร จะตกใจกลัววิ่งหนีแบบไหน เวลานี้คุณตั้งใจถูกแล้ว คุณจะกลับไปหรือยังเล่า ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันจะลากลับ โยมก็บอก กลับก็ดี ประเดี๋ยวครูบาอาจารย์จะได้แสดงตัว

    เมื่อกลับลงมาแล้ว ก็ปรากฏว่า หลวงพ่อปานแสดงองค์ก่อน จากเสือในน้ำขึ้นมาพอขึ้นจากพื้นน้ำนั่งปั๊บ เป็นหลวงพ่อปานทันที แล้วก็ หลวงพ่อจงเป็นองค์ที่ 2 หลวงพ่อจาดเป็นองค์ที่ 3 หลวงพ่อสุข เป็นองค์ที่ 4 แล้วก็บอกว่า
    เออ..ตัดสินใจอย่างนี้ดีนะ อย่าลืมว่าเทวดาท่านสงเคราะห์ จงทำความดีที่เทวดาชอบใจ ถ้าหากว่าเธอสงสัยว่า เทวดาชอบใจอะไรบ้าง ให้ไปถามโยมเธอที่สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถามโยมผู้ชายก็ได้ ถามโยมผู้หญิงก็ได้ พอหลวงพ่อปานพูดจบ เสียงก้องมาจากข้างนอกว่า ตามคำแนะนำที่หลวงพ่อปานสอนน่ะถูกต้องทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องไปถามใครอีก ก็ไม่ทราบว่าเสียงใคร แล้วก็เงียบไป

    แล้วท่านก็บอกว่า ท่านก็ขอกลับ หลวงพ่อมาเท่านี้ เตือนเท่านี้ จะกลับนะ จำไว้ว่า ถ้าเสือธรรมดาจะไม่มาเล่นน้ำในเวลากลางคืน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในถ้ำ เสือถ้าจะกินคนต้องคนนอนที่แจ้ง เพราะว่าเวลาจะกินคน หรือกินสัตว์ เสือจะต้องโดดคาบ แล้วก็โดดต่อไป ในถ้ำนี้หมอบ หรือคลานเข้ามาคาบลากออกไป เสือไม่ทำอย่างนั้น เวลาเสือจะกิน จะต้องโดดพับจับได้ แล้วก็โดดออก ที่นี่ถ้ำต่ำ โดดไม่ได้ แล้วท่านก็ลากลับ

    เมื่อท่านลากลับเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราก็กราบสถานที่ท่านนั่ง ก็จัดบริเวณที่ท่านนั่งไว้ เอาหินมาวางเรียงรายให้ล้อมรอบว่า ที่ตรงนี้เราจะไม่เหยียบ จะไม่เดินเหยียบลงไป เราจะไม่นั่ง ไม่นอนที่ตรงนั้น เพราะเป็นที่ครูบาอาจารย์ท่านนั่งสอนทั้ง 4 องค์

    หลังจากนั้นแล้ว ก็ต่างคนต่างตัดสินใจว่า เราจะนั่งกันตรงนี้ข้าง ๆ นี้ เราฟังคำสอนจากหลวงพ่อปาน หลวงพ่อ 4 องค์ ท่านมาพร้อมกันในที่ใด เราจะนั่งตรงนั้นจนกว่าจะตลอดรุ่ง เมื่อตัดสินใจเสร็จ ต่างคนต่างเข้าสมาธิ ต่างคนต่างนั่งเข้าสมาธิจิตอารมณ์สงัด เวลานั้นไม่เที่ยวแล้ว สงัดตัดสินใจจับอารมณ์ดิ่งที่สุด จิตมีอารมณ์สว่างโพลง จนไม่รู้สึกภายนอก เขาเรียกกันว่า ฌาน 4 อารมณ์เป็น เอกัคคตา ดี ตัดสินใจว่า ถ้า 6 โมงเช้าเมื่อไร เราจะมีความรู้สึกตัว

    พอถึงเวลา 6 โมงเช้า ก็รู้สึกตัวทันที ลืมตาขึ้นมาเห็นนาฬิกา 6 โมงเช้าพอดี ก็หยิบบาตรขึ้นมา จะออกบิณฑบาต จะไปแขวนต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง แต่ว่าพอโผล่ออกจากปากถ้ำก็เจอะเทวดา 2 ท่าน กับนางฟ้า 2 ท่าน วันนี้ท่านแต่งตัวเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าชัด สวยจริง ๆ (อย่าลืมนะ คำว่า สวย เลวานั้นนึกไม่ได้นึกแล้วอดข้าว)

    ก็นึกตามความเป็นจริงว่า เป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี ท่านไม่มีขันธ์ 5 ท่านมีความสวยสดงดงาม สวยทั้งข้างนอก และสวยทั้งข้างใน อารมณ์ใจไม่เหมือนเรา ก็รับบาตรจากท่าน ท่านใส่บาตร และท่านใส่ดอกไม้คนละดอก แล้วท่านนั่งยกมือไหว้ ท่านก็ลาไป พวกเราก็กลับมากินข้าว มากินข้าวกินปลาเสร็จแปรงฟันดีแล้ว ก็นั่งเจริญกรรมฐานไปนานแสนนาน จนกว่าจะถึงตะวันเที่ยง จึงคลายกรรมฐานออกมาพักผ่อน นอนคุยกัน

    ((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))

    1504568107_924_ป่า-อ-ศรีประจันต์-ตอนที่.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ฝึกอตีตังสญาณ ในป่าศรีประจันต์ ตอนที่ ๑

    วันนี้ วันที่ 9 พฤษภาคม 2533 วันนี้ก็จะคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัทเรื่อง ซ้อมอตีตังสญาณ ที่ป่าศรีประจันต์ ตามเดิม ขณะอยู่ที่ป่าศรีประจันต์ รู้สึกว่ามีความสุขมากเพราะว่าในสถานที่นี้ ลุงวิก็มาสร้างภูเขาให้ สร้างถ้ำให้ มีสนามเดิน มีสนามหญ้า มีสวนดอกไม้ มีต้นไม้ใหญ่พุ่มไสว มีเตียงนอน นุ่มนิ่ม เตียงเป็นหิน แต่ว่านุ่มนิ่ม ภายในถ้ำก็มีธารน้ำไหล อากาศก็สบาย มีความสุข ที่นี่มีความสุขกว่าที่ป่าศรีประจันต์ด้านตะวันออกมาก ฝั่งทิศตะวันออก อยู่กับโคนต้นไม้ แต่ก็มีความสุข
    แต่ว่าป่าเวลานั้น บรรดาท่านทั้งหลาย หากว่าท่านทั้งหลายมีอายุประมาณสัก 60 ปีเศษ ๆ ขึ้นไป ก็จะเข้าใจถึงป่าในเวลานั้น ถ้ามีอายุน้อยกว่านั้นจะมีความเข้าใจยาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าเวลานั้นมีป่ามาก ประเทศไทยมีที่ว่างน้อย คนไทยยังน้อยคนไทยมีประมาณ 10 ล้านเศษ ๆ เครื่องจักรเครื่องกลทำลายป่ายังไม่มี ต้นไม้ต้องใช้เลื่อย เลื่อยบ้าง ใช้ขวานฟันบ้าง กว่าจะตัดออกสักต้นก็แสนยาก ดินแดนที่ทำมาหากินก็หาง่าย

    ถ้าใครต้องการป่าที่ไหนจะทำไร่ไถนา ก็ไปตัดต้นไม้ตรงโน้นไว้ต้นหนึ่ง มุมนี้ไว้ต้นหนึ่งมุมนี้ไว้ต้นหนึ่ง มุมนี้ไว้ต้นหนึ่งแสดงว่าที่ตรงนี้เป็นที่ของฉัน หลังจากนั้นก็ไปขอใบเหยียบย่ำจากเจ้าหน้าที่ แล้วก็มาค่อย ๆ ถางป่า ป่ามีมาก ความเย็นก็สูง อากาศตอนเย็น ๆ ประมาณสัก 3 โมงเย็น ก็เริ่มเย็นมากแล้ว 4 โมงเย็นน้ำค้างตก 5 โมงเย็น ถ้านั่งข้างนอก จีวรเปียก ป่ามันหนาว และก็มีความเย็นสูงมาก แค่ป่าใกล้ ๆ เป็นป่าสำหรับฝึกธุดงค์ชั้นอุกฤษฏ์ที่หลวงพ่อปานท่านให้ปฏิบัติก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยเสือสางนางไม้ เก้ง ละมั่ง กระต่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนัขจิ้งจอกและหมาป่าก็ยังมี ที่หายากเข้ามานิด ก็คือ ช้าง ช้างมีเหมือนกัน แต่นาน ๆ จะพบสักทีหนึ่ง

    เป็นอันว่า การอยู่ฝั่งทิศตะวันออกของ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ก็อยู่แบบชนิดที่เรียกว่า คนอยู่ป่าใหม่ ๆ เวลาตื่นขึ้นเช้า กลดที่บังน้ำค้างก็เปียกโชกน้ำไหลโกร๊ก ดีไม่ดี ก็ขึ้นลงข้างล่าง ทีนี้พอลุงวิท่านพามา มาอยู่ที่ถ้ำชั่วคราว ขอเรียกตามท่าน อยู่ที่ถ้ำ และเขาชั่วคราว (มันจะเป็นชั่วคราวหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) ที่นี่มีความสุข

    สถานที่เดินก็มีเงื้อมเขาชะโงกมาเป็นหลังคา น้ำค้างตกลงมาก็ไม่ถูก มีลานสำหรับเดินเล่น มีลานหญ้ามีต้นไม้สวย ๆ มีดอกไม้สวย ๆ และก็ไม่ต้องบำรุง ไม่ต้องรดน้ำ ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด สวยจริง ๆ กลางคืนเสียงจักจั่นเรไรร้อง เสียงไพเราะ นาน ๆ จะได้ยินเสียงเสือร้องสักครั้งหนึ่ง เสือร้องกลางคืนเสียงครืด ๆ ๆ ไม่ใช่ปี๊บ ๆ ๆ ก็มีความสุขอยู่กันอย่างสบาย

    แต่การอยู่ธุดงค์ต้องระมัดระวัง นั่นก็คือว่าการที่จะต้องอดข้าวกินจะต้องระวังทางด้านจิตใจ ไม่ให้นิวรณ์กวนใจ ขึ้นชื่อว่า นิวรณ์ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันต้องกวนตลอดเวลา คำว่า นิวรณ์ เดี๋ยวท่านจะไม่ทราบว่าอะไร บางท่านไม่ทราบ คำว่า นิวรณ์ เป็นภาษาบาลีตามพระไตรปิฏกท่านแปลว่า เป็นกิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง นั่นก็หมายความว่าคนใดถ้านิวรณ์รบกวนใจ ประจำใจอยู่ เวลานั้นเป็นคนไร้ปัญญา นิวรณ์ 5 ประการก็คือ

    1. ความรักในระหว่างเพศ ขอเจาะเอาสั้น ๆ คือ รักรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ก็ขอบอกสั้น ๆ ว่า ความรักระหว่างเพศ รักแก้ว ถ้วยโถโอชามสร้อยถนิมพิมพา ก็รักแค่นั้นแหละ ความรุ่มร้อนมันมีน้อย ถ้าเกิดรักคนสวยขึ้นมานี่ ความเร่าร้อนมันมีมาก เลยถือใช้คำนี้เป็นคำสำคัญ และก็
    2. อารมณ์ไม่พอใจ จะต้องมีอารมณ์แช่มชื่นอยู่เสมอ
    3. ความง่วงในขณะที่ปฏิบัติความดี
    4. อารมณ์ฟุ้งซ่านนอกรีตนอกรอย สร้างวิมานในอากาศ
    5. สงสัยในความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกฏของกรรม

    รวมความว่า ทั้ง 5 อย่างนี้ จะต้องไม่ให้เป็นเจ้าหัวใจ มันมีได้ แต่ทว่า มันก็ต้องมีไม่ใช่ไม่มี แต่มันมีขึ้นเดี๋ยวเดียว ต้องรีบตกลงไป
    ถ้า กามฉันทะ เกิดขึ้น ก็ใช้ ภายคตานุสสติ กับอสุภกรรมฐาน เข้าหักล้าง
    ถ้า ความโกรธ ความพยาบาท เกิดขึ้น ใช้ พรหมวิหาร 4 เข้าหักล้าง
    ถ้า ความง่วง เกิดขึ้น เอาน้ำล้างหน้า หักล้าง
    ถ้า ความฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นจับ อานาปานสติ หักล้าง
    ถ้า ความสงสัยเกิดขึ้น ใช้ ปัญญา ใคร่ครวญความเป็นจริง ถึงความ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ความแก่ ความเก่า ในท่ามกลาง การเปลี่ยนแปลงในท่ามกลางการแตกสลายในที่สุด
    ค่อย ๆ ทำมันไปตามนี้เบา ๆ ไม่ต้องเรียนมาก เวลาที่เข้าป่าเพิ่งได้นักธรรมตรี กำลังจะเรียนนักธรรมโท และเวลาว่างก็อ่านแบบนักธรรมโทไปด้วย หนังสืออธิบายด้วย ถ้าหากว่าไม่เข้าใจตอนไหนก็ขีด ๆ เส้นใต้ ไว้ถามพระท่านต่อไป พระท่านอธิบายเข้าใจง่าย ๆ ไม่ยากเหมือนครูสอน

    ต่อมาวันหนึ่งก็มานั่งหารือกันว่า บรรดาพวกเราทั้งหลายก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ขณะที่เราฝึกอยู่ที่ป่าช้าวัดบางนมโค ตอนนั้นหลวงพ่อปานสั่งอะไรไว้เป็นสำคัญ สิ่งที่สั่งไว้เป็นสำคัญก็คือ อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาแล้ว

    อย่างที่ป่าช้าวัดบางนมโค มีอะไรบ้างต้องเขียนแต่ละสมัย ไปรายงานให้หลวงพ่อปานทราบ เวลาที่เราไปเที่ยว วัดบางปลาหมอก็กลับมาเขียนรายงานให้ทราบว่า ในอดีตมีอะไรบ้าง ไปเที่ยววัดหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกก็ต้องรายงานให้ทราบ ไปเที่ยววัดสามกอ ก็ต้องรายงานให้ทราบ อย่างนี้เป็นต้น
    ทีนี้ก่อนจะมา หลวงพ่อปานสั่งว่า เธอจะไปที่ไหนก็ตาม ไปพักที่ไหนก็ตาม ต้องรู้อดีตของที่นั่น แต่ทว่า

    ความสำคัญที่พวกเรารู้ บางทีหลวงพ่อปานก็ขีด ๆ ว่า ถูก บางทีก็บอกว่าถูก แต่ไม่ครบถ้วน บางทีก็บอกว่า ถูก แต่ว่าผิดสมัย สมัยที่น่าจะรู้มากกว่านี้ ทำไมจึงไม่รู้ ก็รวมความว่า เรารู้ไม่จริง
    ความรู้จริงต้องอาศัยตามที่ อาจารย์ทองบอก อาจารย์ทองบอกว่า การรู้ด้วยกำลังของฌาน 4 ยังมีอุปาทานกินมาก ถ้าจะรู้จริง ๆ ไม่พลาด ต้องอาศัยถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง คือ ถามพระพุทธเจ้าเอง

    ที่นี้ สมัยที่อยู่ฝั่งทิศตะวันออกของแม่น้ำศรีประจันต์ ใกล้อำเภอผักไห่ เราไม่มีเวลาจะทำกลางวันก็แย่ กลางคืนก็เครียดจากความหนาว เวลานี้เรามีความสุขสบายแล้วในเรื่องการรู้เรื่องราวสถานที่ต่าง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งตรงนั้นทั้งทั่วประเทศ หรือทั่วโลก เราอยากจะรู้อะไรที่ไหน เราก็สามารถรู้ได้ แต่ว่าพวกเราจะรู้กันอย่างไร เอามาสอบกันดีไหมต่างคนต่างใช้อตีตังสญาณ แล้วมาสอบกัน เพื่อนทั้ง 2 ก็ค้าน
    ท่านลิงขาวบอกว่า ทำอย่างนั้นได้ แต่ว่าอุปาทานมันจะกินมาก ยิ่งเรามีความสนใจมาก อุปาทานก็กินมาก และอีกประการที่ 2 เราไม่มีเครื่องสอบสวน เอากันอย่างนี้ดีกว่าทางที่ดี ถามตรงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นการรบกวนท่านเกินไปไหม ความจริงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ไม่น่าจะกวนพระพุทธเจ้า

    ท่านอีกองค์หนึ่ง ท่านลิงเล็กก็บอกว่า เป็นความจริง เรื่องอย่างนี้ไม่น่าจะกวนก็คิดว่าอย่างน้อยที่สุด ท่านเจ้าของที่ คือ ภุมเทวดาท่านต้องรู้ ภุมเทวดาไม่ใช่ว่าจะมีขอบเขต และมีร่างกายเป็นทิพย์ มีใจเป็นทิพย์ มีอารมณ์เป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์ มีหูเป็นทิพย์ ทิพย์ทั้งหมด ถ้าหากว่าภุมเทวดาท่านบอกว่า ความรู้ท่านแคบไป เราเอาแค่ท่านรู้ หลังจากนั้นก็ถามรุกขเทวดา รุกขนางฟ้า ถ้ารุกขเทวดา รุกขานางฟ้า ท่านบอกเราแคบเกินไป เราก็ถามอากาสเทวดา ต่อไปดีไหม ทุกองค์ก็เห็นพร้อมใจกันบอก ดี
    ทีนี้เราจะรู้อะไรก่อน เพื่อนก็บอกว่า เวลานี้เรามาอยู่ใกล้ดอนเจดีย์ ดอนเจดีย์เป็นสถานที่ไม่ทราบว่าประวัติศาสตร์เขาเขียนกันว่าอย่างไร จริง ๆ แล้วมีความเข้าใจว่า ฝังศพพระมหาอุปราช เขาว่าอย่างนั้น ทีนี้เราก็ไม่แน่ใจว่า คนเขียนเขาจะเขียนถูก หรือเขียนผิดหรือเราจะรู้ถูกรู้ผิด เราก็ไม่ทราบ เราจะถามใคร ทั้ง 2 องค์ก็นิ่ง

    เมื่อนิ่งแล้วก็เสียงดังคล้าย ๆ หินโยนตึ๊กข้างหลัง เหลียวไปดู เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวสวย เขาใช้ชุดทรงสีขาวนุ่งผ้าพื้น ใส่รองเท้าเชิงงอน ใส่เสื้อเรียบ ๆ มีเครื่องผูกหัวน่ะ ผูกผมนิดหน่อย เป็นผู้ชาย เดินมาแล้วก็ยกมือไหว้ถามว่า ท่านคุยกันเรื่องอะไรครับ ก็ถามว่าคุณมาจากไหน ท่านก็ตอบตรงไปตรงมาว่าผมเป็นภุมเทวดาที่นี่ครับ

    ท่านวิ (ลุงวิ) สั่งผมไว้ว่าท่านมีธุระอะไร ถ้าไม่เกินวิสัยของผม ให้ผมบอก ถ้าเกินวิสัยของผม ให้ถามรุกขเทวดาต่อ ถ้ารุกขเทวดาตอบไม่ได้ ถามอากาสเทวดาชั้นจาตุมหาราช ถ้าเกินวิสัยจากท่านนั้นก็ให้ถามตรงท่านวิเลย สำหรับท่านวิอะไร ๆ ก็รู้หมด

    เลยถามว่า ท่านเป็นภุมเทวดาอยู่ที่นี่นานไหม ท่านบอกว่า ถ้าจะนับอายุมนุษย์ก็ประมาณ 300 ปีเศษแล้ว ก็ถามว่า ถ้านับอายุเทวดาจะเท่าไร ท่านบอกว่าใช้ 50 หารสิครับ 50 ปีของมนุษย์เป็น 1 วันของผม 300 ปีนี่มันกี่วัน 6 วันเท่านั้นเอง ก็ถาม ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเวลาหลับเวลานอน ท่านบอก เทวดาไม่มีความจำเป็นต้องนอน เทวดาไม่มีความจำเป็นต้องหลับ คำว่า เหนื่อยของเทวดา ไม่มี เพราะเทวดาไม่มีขันธ์ 5

    เลยถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้นที่ดอนเจดีย์นี่อยากจะทราบว่า เขาฝังศพพระมหาอุปราชใช่ไหม ท่านบอกว่า ไม่มีใครเขาเอาข้าศึกมาบูชาหรอกครับ (แหม..ท่านตอบน่ารัก) พระมหาอุปราชกษัตริย์ของพม่าเวลานั้นเป็นศัตรูกับคนไทย ยกทัพมาย่ำยี่ ไทยอาศัย พระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมาก จึงเข้าชนช้างกัน ในที่สุด ก็ฟันพระมหาอุปราชตาย และพระเอกาทศรถก็ฆ่านายทหารของเขาตายพร้อมกัน ทีนี้

    ศพคนเลว ๆ แบบนี้ ไม่มีใครบูชา ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้นเขาฝังอะไรไว้ล่ะ ท่านบอก เขาฝังเครื่องสาตราวุธที่มีอยู่บนหลังช้างทั้งหมด ก็ถามว่า ช้างไม่วิ่งหนีหรือ ท่านตอบ ช้างมันวิ่งหนีไม่ได้เพราะควาญช้างก็ถูกฆ่าตายเช่นเดียวกัน จับช้างได้จึงเอากูบช้างลงมา อาวุธทั้งหมดในนั้นมีครบ ถอดเครื่องกษัตริย์วางไว้ แล้วก็นำมาขุดหลุมฝังที่ตรงนี้ แล้วทำเจดีย์ครอบ ก่อนที่จะฝัง เขาทำพิธีกรรมเหยียบย่ำกันอย่างหนัก

    เรียกว่า สาปให้พม่าฉิบหายขายตนไปเลย เมื่อถามท่านต่อมาว่า การเหยียบย่ำใครเหยียบ ก็บอกว่า พราหมณ์หรือเจ้าพิธีกรรมเป็นคนเหยียบ ไม่ใช่พระนเรศวรเป็นคนเหยียบ และตอนทำพิธีกรรมเหยียบย่ำแล้ว เขาทำอ่างเก็บไว้ เวลานี้ของทั้งหลายเหล่านั้นยังอยู่ดี เขาทำเป็นอ่างเก็บดีเรียบร้อย ไม่มีสนิม และก็ปิดสนิท

    หลังจากนั้นก็ทำเจดีย์ เมื่อทำเจดีย์เสร็จ ก็นิมนต์พระมาสวด พระมาทำพิธีกรรมพระแก่ที่เป็นหัวหน้าที่สุดเป็น อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เวลานั้นมีพระอรหันต์มาร่วมจริง ๆ 6 องค์ นอกจากนั้นก็เป็นพระอันดับต่ำลงมา พระทรงฌานโลกีย์ แล้วก็ถามท่านต่อไปแล้วอย่างไรต่อไป ท่านก็บอกว่า ถามเท่านี้ ตอบเท่านี้ แล้วจะเอาอย่างไรอีกล่ะ

    ก็ถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นคำสาปของพระอรหันต์จะมีผลขนาดไหน ท่านตอบว่าคำสาปของพระอรหันต์ ท่านลุงวิบอกแล้ว บอกว่า ประเทศไทย ก็เป็นประเทศไทย ไม่เป็นประเทศราช ไม่เป็นขี้ข้าของพม่าต่อไป แต่พม่ายังจะมีการรุกรานประเทศไทยต่อไปอีก ตามกฎของกรรมของคนไทย และก็เป็นกรรมของทหารพม่า

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าทหารพม่า เจ้านายยกทัพมา มันก็ต้องตายกัน พลัดลูกพลัดเมีย พลัดพ่อพลัดแม่ ผู้หญิงเป็นหม้ายไปตาม ๆ กัน ก็รวมความว่า สงครามไม่มีอะไรดี สงครามมีแต่ความโหดร้าย แล้วต่อไปประเทศไทยก็ต้องย้ายไปที่ บางกอก คือฝั่งธนบุรี หลังจากนั้นจะต้องอยู่ฝั่ง กรุงเทพ คือ ฝั่งบางกอกใหญ่

    แล้วก็ถามท่านบอกว่า เวลานี้ก็อยู่ที่กรุงเทพแล้ว ก็อยากจะทราบจริง ๆ เอากันจริง ๆ นะว่า พระนเรศวรมหาราชทรงสวรรคตขณะที่จะยกทัพไปตีพม่า กำลังใจของท่านเวลานั้นมีกำลังใจอย่างเดียว คือ ฆ่า หรือจับ ยึดประเทศชาติให้ได้ ทำลายพม่าให้ได้ กำลังใจเต็มอารมณ์ของความบาป อยากจะทราบว่า พระนเรศวรตกนรกหรือเปล่า ท่านภุมเทวดาท่านก็บอกว่าไม่ตกนรกครับ เลยถามท่านบอกว่า ขนาดที่บาปยกทัพจะไปรบกันน่ะ มีแต่อาวุธ ทั้งกำลังใจตั้งใจจะห้ำหั่นกัน ท่านภุมเทวดาท่านก็บอกว่า ความจริงการยกทัพไปรบก็มีอารมณ์ 2 อย่าง

    1. อยากจะห้ำหั่นข้าศึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องการมากอย่างยิ่ง คือ ยึดพื้นที่ และประการที่

    2 มีความต้องการ ให้บุคคลภายหลังในประเทศของเรา อยู่ร่มเย็นเป็นสุขด้วยความเมตตาปรานี จะได้ไม่ถูกบรรดาพม่าทั้งหลายรบกวนต่อไป กำลังใจเป็นทั้งบุญ และบาปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักรบทุกคนที่ไปรบนั้นหรือเวลาอื่นก็ตาม ทุกคนตื่นขึ้นเช้าเป็นนักบุญหมด พอเทวดาบอกอย่างนั้น ก็ตกใจว่า นักรบเป็นนักบุญหมด ถาม นักรบเป็นนักบุญอย่างไร ท่านก็ตอบว่า นักรบทุกคน ตื่นขึ้นมาแล้ว นึกถึงพระอันดับแรก พระที่ห้อยอยู่ที่คอ ความจริงนะ พระจริง ๆ ไปรบมากกว่าคนไปรบ คน 30 คน มีพระเกิน 100 องค์ที่ร่วมรบ

    เป็นอันว่า นักรบทุกคนเวลาตื่นขึ้นเช้าไม่อยากตาย ปลุกพระ อาราธนาบารมีพระให้ช่วย คำว่า พระที่ห้อยคอ นี่หมายถึง พระพุทธเจ้า และก็หมายถึง พระสงฆ์ผู้ทำพระ เขานึกถึงพระที่ห้อยคอแล้ว เขาก็ปลุกด้วยคาถาตามที่เขาเรียนมา เป็นการอาราธนาบารมีของความปลอดภัยของตัว เขาเป็นนักบุญทุกวัน

    ในเมื่อเขาเป็นนักบุญอย่างนี้ ถ้าถูกฆ่าตายในขณะที่จิตใจนึกถึงพระ แทนที่เขาจะไปนรก เขาไปสวรรค์ทันที เพราะใจนึกถึงพระ (เอาเข้านั่น) และพระนเรศวรมหาราชก็เช่นเดียวกัน พระองค์ไม่ได้นึกถึงพระเฉพาะป้องกันพระองค์เอง นึกถึงพระให้ป้องกันทหารในกองทัพทั้งหมด นึกว่าขอให้ชนะข้าศึก เพื่อให้คนไทยทั้งหมดมีความสุข เมตตาสูงมาก ฉะนั้น พระนเรศวรมหาราชท่านจึงไม่ลงนรก

    เมื่อฟังไปแล้วก็คิดว่า เอ๊ะ…นี่เราได้ความรู้จากเทวดา เราคิดกันมานานแล้วว่า ถ้านักรบต้องตกนรก นี่ไม่ใช่เสียแล้ว เทวดาพูด เราต้องเชื่อ ถ้าใครจะไม่เชื่อ ก็เชิญไปซักเทวดาที่ศรีประจันต์ก็แล้วกัน ข้าง ๆ กับดอนเจดีย์ เลยถามไปนิดว่า ขอต่ออีกหน่อยได้ไหม ท่านถามว่า ต่ออะไร อยากจะถามว่า พระนเรศวรมหาราชทรงสวรรคตแล้ว ไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน

    ท่านตอบทันทีเลยว่า นักรบไปอยู่ชั้นจาตุมหาราชเป็นนายของพวกผม ถามว่า เวลานี้พระนเรศวรมหาราชอยู่ทิศไหน ท่านบอกว่า เวลานี้พระนเรศวรมหาราชอยู่ทิศตะวันออกของประเทศไทย คำว่า ตะวันออก นี่หมายถึง ประเทศไหน หรือแหล่งไหน ท่านบอก ไม่ใช่

    เวลานี้พระนเรศวรมหาราชเกิดเป็นคนแล้ว และอยู่ในประเทศด้านทิศตะวันออกของประเทศไทย จึงถามว่าท่านบอกว่า พระนเรศวรมหาราชเป็นคนไทย หรือเป็นคนแขก หรือเป็นคนลาว หรือเป็นฝรั่ง ท่านบอกว่า เป็นคนไทยที่เกิดในเมืองฝรั่ง และในกาลต่อไปข้างหน้าวาระเข้ามาถึง พระนเรศวรมหาราชจะเข้ามาครองประเทศไทยในฐานะเป็น พระมหากษัตริย์

    บรรดาท่านพุทธบริษัทอ่านเรื่องนี้แล้ว ทิ้งไว้ก่อนนะอย่าเชื่อนะอย่างไปเชื่อ ถ้าจะเชื่อก็ถามท่านผู้รู้จริง ๆ อันนี้เป็นการฟังจากภุมเทวดา ถามว่า เป็นกษัตริย์จะเป็นกษัตริย์นักรบไหม ท่านบอกว่า ขึ้นชื่อว่า พระนเรศวร เกิดชาติไหน รบชาตินั้น แต่การรบตอนหลัง พระนเรศวรจะไม่มีเวลาพักผ่อน

    ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นกษัตริย์ก็จะรบเรื่อยไป จนกระทั่งยันวันตายเลย บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คนไทยทั้งชาติไม่ต้องทำมาหากินกันละ ก็รบกันอย่างเดียว ภุมเทวดาท่านบอกว่า ไม่ใช่ คนไทยทั้งชาติ ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน แต่พระนเรศวรมหาราชจะตั้งหน้าตั้งตารบ ถามว่า รบองค์เดียวหรือ ท่านบอกว่า มีคู่หูรบ ถามว่า รบกับอะไร รบกับใคร รบอย่างไร ท่านบอกว่า รบกับความยากจนของคนทั้งชาตินั่นคือ พระนเรศวรมหาราชมีพระเมตตากรุณากับคนไทยมามาก
    ในกาลก่อนที่ต้องการรบ ก็เพราะว่า ต้องการให้บรรดาประชาชนมีความสุข ถ้าพม่ารบกวนอย่างนั้น คน

    ไทยจะมีความสุขไม่ได้ จะตั้งตัวไม่ได้ ก็มีความจำเป็นต้องรบ เสี่ยงชีวิตแม้ต้องปีนค่าย เอาปากคาบดาบ เอามือยึดค่าย เท้าปีนค่ายก็เอาขึ้นไปฟันกับข้าศึก ถ้าพลาดพลั้งมันก็ต้องตาย เสียสละชีวิตของพระองค์ เพื่อคนไทยทั้งชาติขนาดนี้

    และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นนิสัย ขึ้นชื่อว่า นิสัย นี่ละไม่ได้ ดู พระสารีบุตร เคยเป็นลิงเหมือนกัน นิสัยลิงต้องโดด เมื่อถึงลำคลอง ลำรางพอจะข้ามได้ก็ไม่ข้าม กระโดด จนกระทั่งพระบวชใหม่สงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงบอกว่า กิเลส ละได้ แต่นิสัย ละไม่ได้ ขนาดเป็น อัครสาวก

    ทีนี้สำหรับ พระนเรศวรมหาราชเป็นนักรบ เป็นนิสัย เกิดชาติไหน ก็ต้องรบชาตินั้น ในเมื่อเกิดชาติตอนหลังขึ้นมา โอกาสที่จะรบอย่างนั้นมันไม่มี เพราะว่า มีแม่ทัพ มีนายกอง มีรัฐบาลควบคุมงานการบริหาร รัฐบาลควบคุม พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องวางแผนรบกับความยากจนของบรรดาประชาชนชาวไทย ถามท่านว่า อีกกี่ปี จะถึงวาระที่พระนเรศวรมหาราชมาครองประเทศไทย ท่านบอกว่า หากว่าท่านอยู่ไปไม่ตาย ไม่นานนักท่านก็มาครองประเทศไทยแน่ เวลาที่ถาม เป็นสมัยของรัชกาลที่ 8

    ((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))

    1504567868_148_ฝึกอตีตังสญาณ-ในป่าศรีป.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ฝึกอตีตังสญาณ ในป่าศรีประจันต์ ตอนที่ ๒

    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็ยังเป็น วันที่ 9 พฤษภาคม 2533 ก็เป็นอันว่าเมื่อท่านภุมเทวดาท่านเล่าให้ฟัง ต่างคนต่างก็บันทึก ก็บอกท่านก่อน บอกว่าอย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่ด้วยกันก่อน
    ท่านบอก ไม่ไปหรอกครับ ผมมีหน้าที่เฝ้าพวกท่านอยู่ตามหน้าที่ เวลานี้หน้าที่อย่างอื่น องค์อื่นทำแทน และภุมเทวดามีด้วยกันหลายองค์ ที่นี่ผมมีหน้าที่คอยดูแลรักษาท่านโดยเฉพาะ ท่านมีอะไรก็เรียกใช้ได้เลยขอรับ รู้สึกว่าเทวดาท่านใจดี ก็พากันบันทึก

    เมื่อบันทึกเสร็จก็ถามท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วาจาของท่านซึ่งเป็นเทวดาย่อมเป็นวาจาจริง ก็มีโลกเดียวโลกมนุษย์ ที่พูดจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ทีนี้ก็อยากจะทราบว่าของที่ท่านพูดทั้งหมด จะมีอะไรตามความเป็นจริงบ้างขนาดไหน จะพิสูจน์กันได้อย่างไร มีอะไรเป็นสัญลักษณ์
    ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ท่านไปที่นั่น เวลาท่านจะไป ท่านก็บอกผม ผมจะพาไป จะไห้ชี้จุดหลักเขต กำหนดเขตที่เขาจะทำเจดีย์กัน มันยังมีหมุดอยู่ หมุดเขตนี่เป็นหิน ปักอยู่ 4 ทิศ แต่ทว่าเวลานี้ดินกลบไปหมดแล้ว

    ผมจะชี้ให้ท่านดู และจะช่วยท่านขุดคุ้ยขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ว่า ที่นี่เป็นสถานที่ฝังอาวุธยุทโธปกรณ์และกูบช้าง ตลอดจนเครื่องกษัตริย์จริง ๆ และก็ที่หินตรงนั้นจะมีภาษาเขียนเป็นภาษาพิเศษ เป็นศัพท์ย่อ แช่งไว้ด้วย ก็ถามว่า คำแช่ง เป็นคำแช่งของใคร ท่านบอก เป็นคำแช่งของคณาจารย์ ไม่ใช่พระอรหันต์ พระอรหันต์มีหน้าที่เพียงพยากรณ์อย่างเดียว ไม่แช่งใคร

    หลังจากนั้นก็ไปดูกัน ต้นไม้มันก็รก หญ้ามันก็รก เทวดาท่านก็แหวก ความจริงไม่ใช่ใช้มือแหวก อย่าไปนั่งนึกว่า เทวดาใช้มืออย่างคนนะ นี่แค่ภุมเทวดา ท่านก็ดีกว่าเราเยอะ ท่านบอก ตรงนี้ครับ
    หญ้าแหวกหายไป ดินแหวกหายไป เห็นหลักชัยชนะตระหง่าน ใหญ่โตมากกว้างประมาณ 4 ฟุต ยางก็ประมาณ 4 ฟุต เขียนเป็นอักษรขอมจารึกไว้ แล้วก็มีเหมือนกันทั้ง 4 ด้าน ดูครบ 4 ด้าน เมื่อเดินกลับมาใหม่ ต้นหญ้ากับดินมันก็มีเหมือนเดิม

    แต่ความจริงที่เห็นไม่ใช่แหวกต้นหญ้าไม่ใช่รื้อดิน แต่อำนาจของเทวดาทำให้เราเห็น เวลานี้เสาหินที่ว่าเป็นเขตนี่ยังอยู่ข้างนอกเขตบริเวณรั้ว หากว่าใครจะพิสูจน์ก็ลองเอาแทรกเตอร์ไปไถดูก็แล้วกันมันก็จะลึกประมาณสัก 1 เมตร แต่ว่าถ้าไม่พบ ก็อย่ามาด่ากันก็แล้วกันนะ ต้องบอกเทวดากันเสียก่อน
    หลังจากนั้นก็มาคุยกันต่อไปว่า นี่ฉันมานานแล้ว ไม่ได้ทำรายงานส่งหลวงพ่อปาน กลับไปคงถูกดุ ท่านภุมเทวดาก็บอกว่า หลวงพ่อปานท่านไม่ดุหรอก ท่านรู้เพราะว่าพวกท่านมีความหนักใจและมีความทุกข์ในสถานที่อยู่ จะบันทึกกลางวันเวลาบันทึกก็น้อย กลางคืนก็นอนน้อย อากาศก็เย็นจัด ฉะนั้น ท่านท้าวโกสีย์สักกเทวราช จึงมีบัญชาให้ท่านวิษณุกรรมเทพบุตร มาสร้างภูเขาชั่วคราว แล้วก็สร้างถ้ำชั่วคราว สร้างสถานที่ชั่วคราวให้อยู่

    ท่านภุมเทวดาท่านก็ถามว่า ท่านจะอยู่ที่นี่นานไหม ก็เรียนให้ท่านทราบว่า จะกลับก่อนเข้าพรรษาสักหนึ่งวันพระ อย่างช้าก็เป็นวันพระขึ้น 8 ค่ำเดือน 8 จะกลับ จะอยู่ที่นี่ให้นาน ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ก็เลยถามท่านบอกว่า สถานที่ตรงนี้ ที่ภูเขาตั้งนี้ เดิมทีมีอะไรเป็นสำคัญบ้าง เคยมีบ้านมีเมืองไหม
    ท่านก็บอกว่า สมัยก่อนบ้านเมืองมันมีเยอะ ตรงนี้ก็เป็นวังของพระมหากษัตริย์ เวลานั้นมันเป็นเมืองเล็ก ๆ เป็นหย่อม ๆ คือ เป็นหัวหน้าคนนั่นเอง เป็น พ่อบ้าน เมืองก็ไม่ใหญ่นัก ขนาดใหญ่โตจริง ๆ ก็เท่าเขตอำเภอ และมีกำลังในกองทัพก็ประมาณ 4-500 คน ต้องมีกองทัพกันคนอื่นเข้ามารุกราน และก็สถานที่นี้มีความเจริญรุ่งเรือง

    ท่านก็ชี้ไปภูเขาลูกหนึ่งว่า ภูเขาลูกนั้น เป็นคลังเก็บทรัพย์สมบัติของกษัตริย์ในสมัยนั้น ก็ถามว่าเวลานี้มีถ้ำเป็นที่เข้าไปไหม ท่านบอกว่า ถ้าจะเข้าตามทางที่มนุษย์เข้าจริง มันเข้ายาก แต่ว่าถ้าจะเข้าไปอย่างผมเข้า มันก็เข้าไม่ยาก ท่านจะไปไหมล่ะ ก็บอกว่า ไป ท่านบอกว่า ไปละก็ต้องทิ้งกายไว้ตรงนี้นะ กายนอก ไอ้กระสอบข้างนอก ทิ้งไว้ตรงนี้ เอากายในที่เหมือนกายผมนี่ไปด้วยกัน ไปที่ไหนก็ไปได้ ก็เลยตกลงใจบอก เอ้า..ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกัน

    เมื่อตัดสินใจว่าไป ก็ออกจากกายนอก เหลือแต่กายในไปด้วยกัน กายในของเราก็สวยไม่แพ้ภุมเทวดา เดินไปด้วยกัน เดินไปแป๊บเดียวก็ถึง พอไปถึงก็ต้องตกใจ หน้าถ้ำมีหินปิด ปิดหลายชั้น และก็สูงมาก ยาวมาก เข้าไปข้างใน กลายเป็นถ้ำใหญ่ มีความยาวเหยียดหลายเส้น และมีความกว้างพอสมควร ข้างในก็ไปเจอะ เทวดาชั้นจาตุมหาราช 4 องค์
    พอเข้าไปข้างใน ท่านก็ยกมือไหว้ บอก อ้าว..เพื่อนเก่ามาแล้วหรือ ก็เลยตกใจถามว่าฉันเป็นเพื่อนกับท่านหรือ ท่านบอก แหม.. ท่านนี่มันลืมง่าย เป็นคนเกิดง่าย ตายง่าย เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวตาย เดี๋ยวเกิด เกิดไม่รู้กี่ครั้ง ตายไม่รู้กี่ครั้ง

    สมัยที่ท่านอยู่กับผมนี่ ก็อยู่แถวนี้แต่บริเวณเขตนี้ ก็เป็นที่อารักขาของพวกเรา ท่านก็เป็นเจ้าของอารักขา แต่เวลานี้ไปแล้วก็ลืม ทำลืม เรื่องก็บอกว่าไม่ทำลืมหรอก มันลืมจริง ๆ ก็ถามว่า ที่นี่มีอะไรบ้าง ท่านก็มองปราดไป ไอ้ตาข้างในนี่ มันดีกว่าตาข้างนอกเยอะ

    ถ้าจะว่ากันจริง ๆ ก็คือ กายทิพย์ ตามันก็ทิพย์เห็นหมด ทองเหลืองอร่าม ทองแท่งใหญ่ ทองแท่งเล็ก มันจะยาวจริง ๆ ประมาณสัก 500 เมตร ตั้งเป็นทิวแถว ต่อมาก็เป็นทองรูปพรรณ เป็นเพชรนิลจินดา เป็นเงินเบี้ยที่เขาใช้กันบ้าง เป็นแท่งทองแท่งเงินบ้าง ที่เขาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน

    ก็ถามว่าท่านเทวดาชั้นจาตุมหาราชว่า ไอ้ของทั้งหลายเหล่านี้ มันมาอยู่ได้อย่างไร ท่านก็บอกว่า กษัตริย์สมัยนั้น เขาเก็บที่นี่เป็นการเก็บหลบข้าศึก แต่มีทางช่องเข้าต่างหาก ท่านก็ทำให้ดูช่อง ไอ้ช่องนั้นก็เป็นช่องลดเลี้ยวเคี้ยวคด เดินยาวมากกว่าจะออกปากทางได้ เป็นสถานที่ลี้ลับป้องกันไม่ให้ข้าศึกรู้และก็เวลาจะใช้ ก็นำมาใช้มีคนรู้เฉพาะ ไม่รู้มาก คือเป็นเจ้าหน้าที่เป็นชั้น ๆ ไม่ใช่รู้ทั้งหมดก็ไม่ต้องอธิบาย
    เป็นอันว่า ชมดีแล้ว ก็นึกเชื่อภุมเทวดานี่ท่านเก่งจริง ก็เลยถามเทวดาชั้นจาตุมหาราชท่านหนึ่ง ท่านนี้แต่งตัวสวย คาดเข็มขัดเป็นเพชร แพรวพราวเป็นระยับ ที่คอมีเพชร ที่เสื้อมีเพชร ถามว่า ท่านเป็นเทวดาชั้นไหน ท่านบอกว่า ผมเป็นเทวดาชั้น มหาอำมาตย์ ถามว่าท่านประจำอยู่ที่นี่หรือ

    ท่านบอกเปล่า ก็รู้ว่าท่านจะมา ผมก็เลยมาดักที่นี่ ที่นี่เป็นอาณาเขตอารักขาของพวกผม มีภุมเทวดาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ถามว่า กษัตริย์องค์นั้น ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินเวลานี้ไปเกิดที่ไหน ท่านก็หันหน้ามายิ้ม ๆ ท่านบอก กษัตริย์องค์นั้น เวลานี้เป็นพระ

    ก็ถามว่า ถ้าพระองค์นั้นจะเอาทรัพย์สินนี่จะได้ไหม ท่านบอกพระองค์นั้น ถึงแม้จะเป็นกษัตริย์มาก่อน เป็นเจ้าของมาก่อน ก็ไม่มีสิทธิ เพราะทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิราช เมื่อตายไปแล้ว ก็หมดอำนาจที่จะพึงครอบครอง

    ถามว่า เวลานี้พระองค์นั้นอยู่ที่ไหน ท่านบอก นี่ กำลังคุยอยู่นี่ พระที่กำลังคุยอยู่นี่ นี่เจ้าของนะ เขาจึงพาให้มาดู ไม่ได้เคยเป็นเจ้าของมาก่อน เขาไม่ให้เห็นหรอก และก็ถามว่าถ้าอย่างนั้น ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าฉันจะเอาไปสักชิ้นหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ให้หลวงพ่อปานดูจะได้ไหม

    ท่านบอกว่า ท่านต้องการจริงๆ ผมให้มากกว่า 1 ชิ้น แต่ว่าหากว่าท่านจะพร้อม ยอมที่จะถูกหลวงพ่อปานด่า ถามว่า ทำไม ท่านก็เลยบอกว่า ที่หลวงพ่อปานสั่งมา ผมได้ยินทั้งหมด หลวงพ่อปานบวงสรวงผมไปด้วยนะ ก่อนที่ท่านจะมา ห้ามติดลาภ ห้ามติดยศ ห้ามติดสรรเสริญ ห้ามติดความสุข นี่พวกท่านก็ชักจะเผลอมา 2-3วัน ติดความสุขในถ้ำนี่ มันไม่ดีนะ ถ้านำทรัพย์สมบัติไปชิ้นเดียวเท่านั้น หลวงพ่อปานจะสั่งระงับการธุดงค์ทันที

    แหม.. อยากจะกราบเทวดาองค์นั้นที่ท่านเตือน พอนึกในใจว่า อยากจะกราบความดีของท่าน ท่านบอกไม่ต้องกราบผมหรอก เพียงแค่ไม่ฝืนกันก็ดีแล้ว ท่านทำดีแล้ว ผมจะช่วยอารักขาทุกอย่าง
    ภุมเทวดาที่มาด้วยนี่ เขามีหน้าที่แค่ผู้ใหญ่บ้าน ผมมีหน้าที่เสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอะไรก็บอกภุมเทวดามา ถ้าเกินวิสัยของเขา เขาก็บอกนายอำเภอ บอกกำนัน แล้วก็มาบอกผม ถ้าเกินวิสัยของผม ผมก็บอกท้าวมหาราช เกินวิสัยท้าวมหาราช ท้าวมหาราชก็ทูลพระอินทร์ทราบ ก็หมดเรื่องกัน ก็เลยขอบใจท่าน

    และก็ถามว่าภูเขาลูกนี่ ถ้าจะพูดไปได้ไหม ท่านบอกว่า ควรเอาเครื่องบัดกรี บัดกรีปากเสีย ทิ้งเลย แต่ความจริงเวลานั้น ท่านสั่งมา ก็รับคำก็ไม่ได้พูดกับใครเลย เวลานี้ก็ไม่ได้พูดกับใคร พูดคนเดียว นั่งพูดคนเดียว แล้วเขาก็ไปเขียนเป็นหนังสือ จะหาว่าผิดสัจจะก็ไม่ได้และใครอยากรวย ก็ไป คอหักตายไม่รู้ด้วย เป็นอันว่าถ้าอย่างนั้นก็ลาท่านเทวดากลับ พอจะกลับทั้ง 4 องค์ก็มาส่งทั้งหมด

    พอมาถึงสถานที่พัก เทวดาใหญ่ท่านมหาอำมาตย์ก็บอกว่า ท่านอย่าประมาทในชีวิตสิครับ สถานที่ใดมีความสุข สถานที่นั้นก็มีความทุกข์ ก็ถามว่า เอ๊ะ ลุงเทวดา มาเทศน์ให้ฟังอีกแล้ว ไหนลองเทศน์ให้ละเอียดหน่อยสิ มันเป็นอย่างไร ท่านบอก สถานที่นี้มีความสุข แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในสถานที่นี้มันมีความทุกข์ คือตัวพวกท่านทั้ง 3 องค์นั่นแหละ ท่านมีความทุกข์จาก

    1. ความเหนื่อยจากการเดินจงกรม
    2. นั่งมากเกินไปก็เหนื่อย
    3. นอนมากเกินไปก็เหนื่อย ยืน เดินมากเกินไปก็เหนื่อย
    4. ท่านต้องมีความทุกข์เรื่องอาหาร ถ้าปฏิบัติไม่ดีหน่อยเดียว ไม่ได้กินอาหาร

    ก็เป็นอันว่า ที่ท่านมีอาหารฉันอยู่ทุกวันนี้ เพราะท่านมีความดี แต่ท่านก็อย่าลืมความดี ร่างกายมีความสุขจิตใจมีความสุข แต่อย่าลืมทุกข์ที่มันคืบคลานเข้ามาหาจงตั้งหน้าตั้งตาเจริญ วิปัสสนาญาณ กับสมถภาวนา ให้ทรงตัว

    แล้วท่านก็บอกว่า ท่านท้าวมหาราช คือ ท่านท้าวเวสสุวัณสั่งมา ท่านบอกว่า สิ่งที่ต้องการจะรู้ทั้งหมด ถ้ามีอะไรไม่เกินวิสัย ที่ท่านท้าวเวสสุวัณจะบอกได้ ท่านจะบอกให้ จะได้ทำรายงานให้หลวงพ่อปานทราบ

    เวลานี้ท่านก็จดเสียสิว่า เขาลูกนั้น ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของเขาชั่วคราวลูกนี้ ประมาณ 7 กิโลเมตร บ้านแถวนั้นเขาเรียกกันว่า บ้านเดื่อ แต่สมัยต่อไปข้างหน้า เขาก็เลิกเรียกแล้ว ไม่รู้เรียกอะไร มันเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีต้นมะเดื่ออยู่ต้นหนึ่ง เขาเลยเรียกว่า บ้านเดื่อ

    เขาลูกนี้ เขาก็เรียกว่า เขาบ้านเดื่อ และก็มีทองมาก มีทรัพย์สมบัติมาก มีเพชรนิลจินดามาก มีน้ำหนักของทองจริง ๆ ไม่น้อยกว่า 50 ตัน ทองรูปพรรณต่างหาก มีเทวดาชั้นจาตุมหาราชรักษาอยู่ 4 องค์ องค์ที่เป็นหัวหน้า เป็นชั้นมหาอำมาตย์ประดับเพชร และก็มีภุมเทวดาเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีสัมภเวสีทั้งหลายนับพันเป็นบริวาร สำหรับทำร้ายและมุ่งร้าย ขัดขวางบุคคลที่จะมาทำลายทรัพย์สิน พอบันทึกเสร็จ ท่านก็บอกว่า จบแล้ว

    พอจบแล้วท่านก็จะลาไป ก็บอกเดี๋ยวก่อน ๆ เพื่อนเก่าไหน ๆ ก็บอกว่าเป็นเพื่อนเก่าเราก็คุยกันก่อน วันพรุ่งนี้พบกันใหม่ได้ไหม ท่านบอก พร้อมเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านต้องการพบผมเมื่อไร นึกถึงผม เรียกผมว่า นายจัน

    ถามว่า จันน่ะ เป็นชื่อของเทวดา หรือเป็นชื่อสมัยเป็นคน ท่านบอก สมัยเป็นคน สมัยเป็นคน ผมชื่อ นายจัน สมัยที่พระนเรศวรมหาราชมารบที่นี่ ผมมารบด้วย ก็ถามบอก เออ..แล้วแกทำไมไม่ตายล่ะ เวลานั้นแกตายหรือเปล่าผมไม่เคยตาย ผมออกทัพจับศึกทุกครั้ง ไม่เคยตายและก็ไม่เคยบาดเจ็บ
    ถามว่า หนังเหนียวหรือ บอก หนังผมก็ไม่เหนียว หรืออาจจะเหนียวก็ได้ ผมก็รู้ไม่ได้ แต่ผมไม่เคยถูกอาวุธ จึงได้ถามว่า ในเมื่อรบกันทำไมจึงไม่ถูกอาวุธ ท่านบอกว่า ผมเป็นกองเสบียง หุงข้าวเลี้ยงทหาร ไอ้ข้าว ไอ้กับ ไอ้หมูเนื้อต่าง ๆ ผมกินพุงปลิ้น ทหารได้กินไม่เท่าผมหรอก ผมมันทหารกองเสบียง เขาเรียก พลาธิการ

    ก็เป็นอันว่า เวลานั้นก็รู้เรื่องราวความเป็นมาต่าง ๆ จึงถามบอกว่า ตามที่ท่านรุกขเทวดาบอกน่ะ ตรงไหม ท่านบอกว่า ตรง จึงถามว่า เวลาที่พระเอกาทศรถ กับพระนเรศวรมหาราช รบที่ตรงนี้ หรือรบที่ตรงอื่น
    ท่านบอก เท่าที่รบกันจริง ๆ ที่ลาดหญ้า ไม่ใช่ที่ตรงนี้ ทุ่งลาดหญ้า จังหวัดกาญจนบุรี ทัพเข้าไปปะทะกันที่นั่น และก็ทำการรบกันที่นั่น ในเมื่อพระมหาอุปราชเสียท่ากองทัพก็ถอย กองทัพไทยก็ตีหนัก เข้าก็ใช้ยิงปืนมาถึงพระเอกาทศรถกับพระนเรศวรมหาราช แต่บังเอิญท่านมีพระแคล้วคลาด มีพระหนังเหนียว ไม่เป็นไร

    และในที่สุด เมื่อฆ่าพระมหาอุปราชตาย ก็คิดว่าจะทำเจดีย์ที่ตรงนั้น ก็มีนายทหารผู้ใหญ่ค้านว่า ที่ตรงนี้เป็นที่รบกันเป็นที่ย่ำเหยียบ ถ้าทำเจดีย์ไม่ช้าเจดีย์ก็พัง สัญญลักษณ์ก็จะสลายตัว มาทำที่ป่าศรีประจันต์ดีกว่า จึงหาแหล่งที่จะทำแล้วมาทำที่ป่าศรีประจันต์นี่

    ก็เป็นอันว่า ท่านพุทธบริษัท ท่านอ่านประวัติศาสตร์ก็ดี ฟังมาก็ดี ถ้อยคำของเทวดาค้านกับประวัติศาสตร์ก็ไม่ขอบอกว่า ประวัติศาสตร์ผิด และเสียงที่อาตมาฟังนี่ อาจจะฟังผิดก็ได้ ฉะนั้น อย่าไปโทษ ใครผิดใครถูกเลย อ่านเป็นเรื่องนิทานไปก็แล้วกัน

    เป็นอันว่า พอพูดจบ ท่านเทวดาก็ลากลับ เพราะมันค่ำมากแล้ว พวกเราก็เข้าเจริญสมาธิตามธรรมดา ญาติโยมทั้งหลายอ่านมาถึงตอนนี้ ก็จงอย่าเพิ่งชมว่าดีนะ โดยมากจะเข้าใจพระผิด พระไม่ทันจะดี ก็บอกว่าดีเสียแล้ว ถ้าพระหลงดี ก็จะเหลิงจากความดีที่ยังมีความดีไม่ถึง ดีไม่ดีพระองค์นั้นก็จะลงนรกไป
    ที่ทำได้อย่างนี้ พบกับเทวดาก็ได้ ถอดกายภายในไปเที่ยวก็ได้ ไปทั้งกายภายใน และกายภายนอกก็ได้ อย่างนี้ยังไม่ชื่อว่าดีเพราะอะไร เพราะว่ายังเป็นฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์นี่ยังไม่พ้นปากของอบายภูมิ คือ ยังไม่พ้นนรก ถ้าพลาดเมื่อไร ก็ลงนรกเมื่อนั้น ก็ต้องดูกำลังใจว่า กำลังใจตัดนิวรณ์ 5 ประการครบหรือเปล่า

    1. ความรักในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ยังอยู่เต็มแหง ๆ นี่มันเป็นความเลว แต่ว่าที่มันยังอยู่ก็เพราะอยู่คนเดียวไม่พบสาวที่ไหน ถ้าพบสาวเข้าเมื่อไรอาจจะหลงใหลใฝ่ฝันในสาวก็ได้ นี่ยังไม่เจอะกันของที่ยังไม่สัมผัสกัน จะถือว่าตัดได้นั่นไม่ได้ อารมณ์ยังมี แต่ว่าคอยกดอารมณ์ไว้ด้วย กายคตานุสสติ กับอสุภกรรมฐาน คอยยับยั้งไว้

    และประการที่ 2 อารมณ์ไม่พอใจ มีไหม ยังมีไม่พอใจใคร โดยมากไม่พอใจตัวเองที่การคล่องตัวยังไม่มี ไอ้สิ่งที่เราต้องการนี่มันก็เป็นอารมณ์เลวที่ยังไม่ควร ถ้าความไม่พอใจในตัวเองมี ความไม่พอใจในบุคคลอื่นก็ต้องมี ต้องยับยั้งไว้ด้วย พรหมวิหาร 4 เข้าสมาธิคิดว่า เราจะไม่ไปไหน จับ อานาปานสติ กับพุทธานุสสติ พอจิตทรงตัวนิดหน่อย ก็คลายอารมณ์นิดหนึ่ง ใช้กำลังวิปัสสนาญาณ เห็นว่า ร่างกายเป็นทุกข์ ทุกขังในอริยสัจ จะต้องกิน จะต้องใช้ จะต้องเดิน จะต้องขี้ จะต้องเยี่ยว จะต้องหนาว จะต้องร้อน จะต้องป่วยไข้ไม่สบาย จะต้องแก่ จะต้องตาย ร่างกายนี่เป็นฐานที่มาของความทุกข์ เราไม่ควรจะเมาร่างกายต่อไป

    แต่เวลานั้น ปรารถนาพระโพธิญาณ คิดว่า เราต้องการอย่างเดียว คือ พระโพธิญาณ ถ้าถึงพระโพธิญาณเมื่อไร เวลานั้นเราก็ไปนิพพาน

    ตอนนั้นขอยอมรับว่า ไม่เข้าใจเรื่องนิพพานจริง ๆ แต่ 2 องค์นั่น เขาไม่มีอะไร ปั๊บเขาจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ มันต่างกันตั้งเยอะ ทั้ง 2 องค์ท่านเก่งกว่าตั้งเยอะ ลิงขาวกับลิงเล็ก (แต่ลิงขาวตัวจริงนะ ไม่ใช่ลิงขาวปลอม ๆ ลิงขาวที่เป็นช่อดอกไม้นั่นไม่ใช่มันคนละตัว)

    ถ้าลิงขาวจริง ๆ ท่านเก่ง ท่านเป็นพระอริยเจ้า คือ อย่างที่ลุงวิบอกท่าน ท่านตัดสังโยชน์ 3 ได้แล้ว (ลิงขาว กับลิงเล็ก) นั่นหมายถึงเป็น พระโสดาบัน หรือสกิทาคามี ท่านบอกว่า ได้โสดาบันอย่างหยาบ ก็หมายถึง อย่างต้น ก็ยังดีกว่าเราเยอะ อาตมายังไม่ได้อะไรเลย อย่าลืมนะ อย่างนี้ยังอยู่ในขั้นเลวนะ ญาติโยมนะ ยังเลวอยู่ ยังมีนิวรณ์ 5 อยู่ แต่ว่าที่อยู่ได้เพราะอดกลั้น

    หลังจากนั้นเวลาที่ทำไป เมื่อคลายจากอารมณ์จากสมถะ ก็เข้ามาจับวิปัสสนาญาณทีนี้ต่อไปก็จับวิปัสสนาญาณ บวกสมถะนั่นหมายความว่าใช้วิปัสสนาญาณนำหน้า ใช้สมถะตามหลัง คือ ใช้กำลังวิปัสสนาญาณพิจารณา และใช้อานาปานสติควบ ทำทั้ง 2 อย่างประเดี๋ยวเดียวจิตตก

    คำว่า จิตตก ก็หมายความว่า จิตตกจากภวังค์ นั่นก็หมายความว่า จิตตกจากอารมณ์เดิม จิตมีความละเอียด มีอารมณ์ดิ่ง ลมเกือบจะไม่กระทบร่างกายภายในอย่างนี้เขาเรียก สมาบัติขั้นสูงของฌานโลกีย์ จิตตกในสมาบัติมีอารมณ์ดิ่ง มีความสุข มีเอกัคคตารมณ์ มีความแน่นสนิท มีจิตสว่างโพลง สักครู่หนึ่ง
    เมื่อกำลังมันเต็มที่ มันก็หลุด กายภายในหลุดจากกายภายนอก มันไปของมันเองไป บื้ด.ก็ขึ้นไปพระจุฬามณีเจดียสถานเวลาขึ้นไป ต่างคนต่างขึ้น ต่างคนต่างไม่นัดหมายกัน มันก็ไปพร้อมกัน ตามกันขึ้นไป แป๊บเดียวก็ถึง พระจุฬามณีเจดียสถาน

    ก่อนที่จะเข้าพระจุฬามณี เห็นหลวงพ่อปานยืนอยู่ กราบหลวงพ่อปานท่าน ท่านบอกทำดีแล้วลูก ทำอย่างนี้ถูก และการที่บันทึกไว้นั่นก็ถูกต้อง เป็นที่พอใจของพ่อ เห็นไหมท่านอยู่วัด เราอยู่ป่า เราทำอะไรท่านก็รู้

    จึงเข้าไปนมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับพระอรหันต์ ก็ตามท่านเข้าไป ท่านก็พาไปกราบพระพุทธเจ้า ใครจะว่าพระพุทธเจ้าเป็นพุทธนิมิต อะไรก็ตามเถอะ ไม่ว่าใครละ ขอถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน เป็นรูปพระพุทธเจ้าใช้ได้ อันนี้ไม่เถียงกัน แล้วกราบพระอรหันต์ทั้งหมด
    ก็มีพระองค์หนึ่ง ท่านมาลูบศีรษะคือ พระมหากัสสป ท่านบอกว่า นักธุดงค์นี่ต้องเป็นนักธุดงค์จริง ๆ นะ อย่าธุดงค์หวังเงินหวังทอง เห็นเงินเห็นทองเป็นของดี นี่ไม่ใช่นักธุดงค์ โอ..โดนด่าเข้าแล้ว

    ก็ถามว่า เท่าที่ผมล้อเทวดา เป็นความผิดหรือครับ ท่านบอกว่า มันไม่เป็นความผิด แต่ว่ามันก็เป็นปรามาส ปรามาสในความดี ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่า อย่าหลงในรูปเสียง กลิ่น รส และสัมผัส อย่าทำใจให้เศร้าหมอง อย่าทำใจให้มัวหมอง

    เรื่องของอดีต เป็นเรื่องของอดีต เรื่องของปัจจุบัน เป็นเรื่องของปัจจุบัน เวลานี้เราต้องการพระโพธิญาณ ปักใจไว้เพื่อพระโพธิญาณอย่างเดียว ก็พอดีได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสว่า กัสสปพูดถูกแล้ว กัสสปพูดถูกแล้ว

    ((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))

    -ในป่าศรีป.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  14. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ผู้ถาม “หลวงพ่อครับ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ ?”

    หลวงพ่อ “สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ……การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซีคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียนของผู้ใหญ่หนังสือเรียนของพระหนังสือธรรมะต่างๆ ดูตัวอย่างพระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุด จึงทำให้เป็นพระที่มีปัญญามาก อย่างเงินที่เขาถวายฉันไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้าง รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล ๔ อย่าง

    ๑. สร้างพระพุทธรูป
    ๒. วิหารทาน
    ๓. สังฆทาน
    ๔. ธรรมทาน

    ทั้งหมดนี้ ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก ๕๐ สตางค์ เป็นอันว่า การทำบุญเอาแค่พอสมควร แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกันไม่ต้องสร้างทั้งหลัง”

    ผู้ถาม “กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้าง อานิสงส์ จะต่างกันหรือไม่ขอรับ ?”

    หลวงพ่อ “ต่างกัน คือได้ช้า ได้เร็ว ต่างกันก็เหมือนท่าน จูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้น และยามที่ ๒ จิตเป็นห่วงยายที่บ้าน ไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์ เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ ๓ ใกล้สว่าง จึงตัดสินใจถวาย แล้วประกาศว่า

    “ชิตัง เม ชิตัง เม” พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยิน ก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่ จึงนำผ้าสาฎก และทรัพย์สินต่างๆมาให้ มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่งต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้น จะได้เป็นมหาเศรษฐีถ้าถวายยามที่ ๒ จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ ๓ จะได้เป็นคหบดีใหญ่ที่ได้น้อย เพราะถวายช้าเกินไป พระองค์จึงตรัสว่า การบำเพ็ญกุศลผล ความดีในศาสนาของเรานี้ จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง คือเร็วๆ ไวๆ”

    -หลวงพ่อครับ-กุศล.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญมรณภาพแล้วท่านไปพระนิพพาน

    “..ขึ้นไปพระจุฬามณีเจดียสถาน บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พอจะเข้าประตูก็พบพระอรหันต์องค์หนึ่งออกมา ท่านคือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ถามท่านว่า “หลวงพ่ออยู่ที่ไหนครับ” ท่านบอกว่า “แกเสือกบอกเขาไปแล้วว่า ข้าไปอยู่นิพพาน แกมาถามข้าทำไม” ถามต่อว่า “หลวงพ่อไปหรือเปล่า ถ้าไม่ไปผมโกหกเขานะ”

    ท่านตอบว่า “ไม่โกหกหรอก ข้าไปนิพพานแน่” เรื่องที่เขาพูดหาว่าข้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่ตั้งฐานกำหนดลมไว้ 7 ฐาน เกินพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ 3 ฐาน เขาเลยหาว่าข้าแข่งบารมีกับพระพุทธเจ้า แต่ความเป็นจริงเจตนาของข้ามันเป็นอย่างนี้ ไอ้คนจิตฟุ้งซ่าน ถ้าจะมีอารมณ์จิตเป็นสมาธิจะต้องจับหลาย ๆ แห่ง เพราะต้องระวังมากอารมณ์จึงจะทรงอยู่ นี่เขาไม่สนใจกัน มีแกคนเดียวที่เข้าใจดี และกายเทพ กายพรหม กายธรรม กายนิพพานก็เหมือนกัน ก็มีแกคนเดียวที่เข้าใจข้า นอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้า เอาเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนมาสอน”

    กายทิพย์ หมายความว่า ได้อุปจารฌานเล็กน้อย จัดเป็นกายทิพย์

    กายเทพ ก็เข้าถึงอุปจารฌาน จะเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาได้เหมือนกัน ถ้าพูดถึงกายภายในเหมือนกันหมด

    กายพรหม ก็เป็นที่ทรงฌานได้ครบองค์ฌาน พอตายแล้วไปเป็นพรหม ก็เลยเรียกว่ากายพรหม

    กายธรรม ก็หมายถึงว่า ได้อริยเจ้า

    กายนิพพาน ก็หมายถึงว่า คนนั้นได้อรหันต์แล้ว

    ท่านบอกว่า “มีแกคนเดียวที่พอพูดให้ชาวบ้านเขาฟัง มันตรงตามความประสงค์ของข้านอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้า ๆ บอ ๆ บางคนหาว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ข้าก็ไม่ว่าอะไรเขาหรอก”

    หลังจากนั้นอาตมาก็ลาท่านเข้าไปในพระจุฬามณี วันนี้พระอรหันต์เต็มเอี๊ยด พรหมออกมาหมดแล้ว เทวดาก็ยังไม่กลับ พระอรหันต์เหมือนเอาดาวไปวางไว้สวยสะพรั่ง ร่างกายเป็นเหมือนแก้ว พระอรหันต์นิพพานแล้วบ้าง พระอรหันต์คนบ้าง ก็สวยเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีต่าง ๆ สวยมาก..”

    *คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน เรื่องที่ 12 หน้า 56 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ธงมหาพิชัยสงคราม

    สำหรับ ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ที่นำมาแจกจ่ายครั้งนี้ ได้ทำขึ้นครั้งแรก ๑๐๐,๐๐๐ ผืน นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๙๐,๐๐๐ ผืน มีเหลือนำมาแจกจ่ายคราวนี้เพียง ๑๐,๐๐๐ ผืน

    การทำผ้ายันต์นี้ ก็ทำจากตำราของ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานเคยทำเพื่อมอบให้เป็นธงนำทัพเข้าตีข้าศึก

    ได้ตำราทำยันต์พิชัยสงคราม

    ตามตำราบอกว่า ใครอยากเรียนตำรานี้ไปทำต่อ ต้องนำดาบสองเล่มออกไปรำกลางแจ้ง หากเกิดฟ้าผ่าในขณะรำดาบจึงจะเรียนตำรานี้ได้ อาตมาเป็นพระไม่สามารถจะนำดาบออกไปรำได้ แต่ก็อยากเรียนตำรา จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า

    หากตนมีบุญบารมีที่จะเรียนตำรานี้ได้แล้ว เวลาถือดาบออกพ้นจากชายคาขอให้เกิดฟ้าผ่า

    เมื่อตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็ถือดาบ ๒ เล่ม ออกนอกชายคา พอพ้นจากชายคาเท่านั้นแหละฟ้าก็ผ่าขึ้น ๒-๓ ครั้ง จึงมั่นใจได้ว่าครูได้อนุญาตให้เรียนตำรานี้ได้แล้ว จึงได้เรียนตำรามาทำผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามขึ้น

    มีพระเถระทางเหนือช่วยปลุกเสกด้วย

    และเมื่อทำด้วยตัวเองแล้ว ก็ได้อาราธนาพระเถระผู้ทรงวิทยาคมในภาคเหนือหลายรูปมาช่วยปลุกเสกให้เมื่อเดือนสิงหาคม จึงได้นำออกแจกจ่ายแก่ทหารทางภาคเหนือ ปรากฏว่าได้ผลดี

    มีฐานปฏิบัติการบางแห่งที่ทหารรับผ้ายันต์ไปแล้ว ถูกถล่มด้วยปืน ค. และจรวดฐานแหลกหมด แต่ทหารในฐานปลอดภัยทุกคน ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม คนเราเมื่อถึงกำหนดจะต้องอสัญกรรมแล้วก็หนีความตายไม่พ้น แม้แต่ผู้บรรยายหรือผู้ทำผ้ายันต์นี้ก็ต้องตาย

    อานุภาพของผ้ายันต์

    ผ้ายันต์นี้จะช่วยได้ก็เพียงแต่ว่า หากเรามีเคราะห์กรรมจากอดีต เช่น เคยทำปาณาติบาต แรงอุปฆาตกรรม จะมาตัดรอนชีวิตเราให้หมดไปในเวลาอันไม่สมควร หากเรามีเคราะห์ถึงฆาตอย่างนี้ ผ้ายันต์จะช่วยให้เคราะห์เบาบางลง เพียงแค่ให้เราบาดเจ็บไม่ถึงตาย

    หากเคราะห์เราไม่ถึงฆาต เพียงแต่มีเคราะห์จะได้รับบาดเจ็บ ยันต์นี้จะช่วยไม่ให้เราบาดเจ็บเลย แม้แต่ถูกปืนหรือสะเก็ดระเบิดก็จะไม่ทำให้เราเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว ลูกปืนที่มากระทบเราจะมีค่าเท่ากับแมลงตัวหนึ่งบินมาปะทะเท่านั้น

    ขอให้ทุกท่านถือว่า ยันต์ธงมหาพิชัยสงคราม เป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำคัญกว่า “เหรียญเอกราช” ที่ได้รับแจกไป

    ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดจะไม่มีผล

    และทั้งธงและเหรียญจะไม่มีผลในทางป้องกันตัวเลย หากเรานำไปใช้ในทางที่ผิดคิดมิชอบ หรือยิ่งคนที่คิดคดทรยศต่อชาติบ้านเมืองด้วยแล้ว อาตมาอยากให้เขามารับโดยเร็ว เพราะเหรียญและธงจะช่วยสนับสนุนให้เขาประสบความวิบัติเร็วเข้า

    มีอยู่รายหนึ่งมาขอผ้ายันต์จากอาตมา อาตมาไม่ให้เพราะเกรงว่าเขาจะนำไปใช้ในทางที่ผิด จะทำให้ชีวิตเขาสั้นเข้า
    แต่เขารับรองตนเองเช่นนั้น อาตมาก็มอบให้ไป และได้ทราบต่อมาภายหลังว่า เขานำผ้ายันต์ไปใช้ในทางที่ผิดตามที่อาตมาคาดการณ์ไว้ ผลที่สุดเขาก็ถูกยิงตาย

    สุดท้ายนี้ ขอตั้งจิตอธิษฐาน ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ทหารทุกคน จงมีความสุขความเจริญและปลอดภัย ชนะข้าศึกตลอดกาล..สวัสดี.

    (อ้างอิงจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๓๒๐ ประจำ
    เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐ หน้า ๔๓-๕๒ “ธรรมกถา”)

    -สำหรั.png

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ร่างกายนี้จริง ๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นเรือนร่างที่ กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม สร้างขึ้นโดยเฉพาะ เราคือ จิต หรือ อทิสมานกาย เข้ามาสิงสถิตอยู่ในมัน เมื่อถึงวาระที่มันจะพังเราห้ามไม่ได้ การจะไปสวรรค์ การจะไปนรก ร่างกายก็ไม่ได้ไปด้วย สังเกตคนตาย คนที่ตายแล้ว ตายดีมีบุญไปสวรรค์ มีบาปไปนรก ก็เห็นว่าร่างกายของทุกคนถูกเขาฝังบ้าง ถูกเขาเผาบ้าง ร่างกายไม่ได้ไปด้วย ไอ้ส่วนที่ไปจริง ๆ น่ะคือเรา ตามภาษาหนังสือเรียกว่า จิต ตามภาษานักปฏิบัติเรียกว่า อทิสสมานกาย ผู้ที่ได้ทิพจักขุญาณเรียกว่า อทิสสมานกาย แต่เป็นกายที่ไม่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ

    คำว่า เรา จริง ๆ คือ อทิสสมานกาย ไม่ใช่ร่างกายเนื้อ เมื่อจิตคิดแยกว่าร่างกายกับเรามันแยกไปได้ อย่างนี้เป็นวิปัสสนาขั้นสูง เราก็มาคิดตามความเป็นจริงว่าในเมื่อร่างกายที่เราอาศัยอยู่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วก็มันไม่เป็นแท่งทึบ ไม่มีการทรงตัว มีความสกปรกเป็นปกติ เราไม่ต้องการมันอีก ขึ้นชื่อว่าร่างกายอย่างนี้เราจะมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร เราไม่ขอจับร่างกายนี้เป็นเรือนร่างอีกต่อไป เราต้องการพระนิพพานจุดเดียว อย่างนี้ถือว่าเป็นการ ตัดอวิชชา

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๑๗ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    -ๆ-ไม่ใช่เ.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ท่านกวนอูตายแล้วไปสวรรค์

    “..เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ไฟฟ้ายังสว่าง เวลานั้นอาตมาอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ขโมยมันมาซุ่มอยู่ในป่าไผ่จะขึ้นหลังกุฏิพระครูวิชาญฯ เพราะมีพระพุทธรูปเก่ามากขณะนั่งอยู่นั้นอาตมาเห็นคนแต่งตัวเป็นเจ๊กเครื่องแบบนักรบมาถึงนั่งกราบแบบเจ๊ก ถามว่า “ใคร” ตอบว่า “ผมกวนอูครับ” ถามว่า “มาทำไม” ตอบว่า “พวกโจรมันมาซุ่มอยู่หลังป่าไผ่ 5 คน” ถามว่า “จะทำอย่างไร เพราะวัดไม่มีอาวุธ ไม่มีปืน ขโมยมีปืนไหม” ท่านตอบว่า “มีปืนทุกคน กลางคืนตอนดึกมันจะใช้ยารมให้หลับก่อน ตอนดึกลมจะพัดเข้า มันจะขึ้นหลังกุฏิพระครูวิชาญฯ์ ผมจะจัดกองทัพของผมเอง ก็หมาของท่านนั้นแหละจัดเป็นกองทัพ” วัดปากคลองมะขามเฒ่าตอนนั้นมีหมา 3 ฝูง ของอาตมาฝูงหนึ่ง ของพระครูวิชาญฯฝูงหนึ่ง ลูกศิษย์ครูหง่าฝูงหนึ่ง รวมแล้ว 50 กว่าตัว ปกติหมา 3 ฝูงนี่มันจะเข้ากันไม่ได้มันอยู่ตามเขตของมัน ท่านกวนอูบอกว่า “พอ 3 ทุ่มผมจะจัดกองทัพ พอถึงตี 1 กว่า ๆ หมาไม่นอนกันแล้ว พอตี 2 เสียงโฮกมันเข้าถึงกุฏิแล้ว ถ้าเห่า ๆ มันยังไม่เข้า มันกำลังจะใช้ยาเข้ารม หมาเงียบหมด เงียบสนิทนึกว่าหมาหลับ พอเสียงโฮกไปดู ได้ทั้งปืนได้ทั้งเสื้อ ผ้าขาวม้า ได้ปืน 2 กระบอก มีดพก 1 เล่ม ขโมยหนีเข้าป่า มันกัดหน้าแหลกรานเลย” ท่านกวนอูบอก “พรุ่งนี้บอกตำรวจได้ทั้ง 5 คน” ก็ได้จริง ๆ หมาตั้ง 3 ฝูง ปืนยิงมันกัดเสียปืนหล่น

    ทราบทีหลังว่า ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่ามีศาลาท่านกวนอู และอาตมาก็อยู่ใกล้ศาลาท่าน ต่อมาวันหลังนึกถึงท่านกวนอูวันที่ท่านมาในภาพนักรบจีน เลยอยากถามท่านว่า “จริง ๆ แล้วท่านเป็นอะไร” ท่านก็มาใหม่เป็นเทวดาใส่ชฎาพราวเลย จึงถามท่านว่า “ท่านเป็นนักรบ เป็นเทวดาได้อย่างไร” ท่านตอบว่า “นักรบก็ทำบุญเป็นนะครับ สมัยโบราณยามว่างก็ทำบุญกันอยู่เรื่อย ท่านนึกถึงพระที่อกอยู่เรื่อย”..”

    *คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน เรื่องที่ 74 หน้า 181 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    “เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เห็นว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง เมื่อมีความเกิดขึ้นแล้วก็ต้องตาย ถ้ายังไม่ตายก็มีความป่วยไข้ไม่สบาย มีความทรุดโทรม และต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ และต้องรับผลของกรรมดีและกรรมชั่ว เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เกิดแล้วมีอันที่จะต้องตาย มีอันที่จะต้องสลาย มีความป่วยไข้ไม่สบาย เป็นอารมณ์ที่มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาแล้วไม่ต้องการ ทั้งๆ ที่สัตว์และมนุษย์ทั้งหลายไม่ต้องการนั่นแหละ มันก็จะเป็นของมันอย่างนั้น อาการอย่างนั้นเป็นอาการตรง อาการจริงตามกฎธรรมดาของโลกว่า มันไม่เที่ยง

    ในเมื่อมันไม่เที่ยงแล้ว ความผันแปรของมันก็เป็นเหตุให้จิตใจเป็นทุกข์ เพราะว่าจิตใจไม่มีความปรารถนาอย่างนั้น ไอ้สิ่งใดที่ไม่มีความปรารถนา ถ้าสิ่งนั้นมันเกิดขึ้น มันก็เป็นอาการของความทุกข์ จิตใจก็ดิ้นรน นี่โลกนี้เป็นทุกข์ ตามที่ท่านกล่าวว่า ทุกขัง เป็นความจริง.”

    จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๘๙ หน้าที่ ๕๙ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    สำหรับบุคคลทั้งหลายที่เกิดมาเป็นคน มาจากพรหมก็ดี มาจากสวรรค์ก็ดี มาจากมนุษย์ก็ดี บุคคลประเภทนี้องค์สมเด็จพระชินศรีกล่าวว่า ทรงแนะนำได้ ๓ ประการด้วยกัน คือบางคนมาจากสวรรค์ก็ดี มาจากพรหมโลกก็ดี ย่อมมีบารมีต่างกัน ถ้าเขาอบรมธรรมไว้ด้วยดีแล้วในกาลก่อน ที่จะเกิดเป็นเทวดา หรือพรหม คนประเภทนี้ที่องค์สมเด็จพระชินศรีทรงเรียกว่า อุคฆติตัญญู เป็นคนที่มีปัญญาดี อัจฉริยะดี มีปฏิภาณว่องไว สามารถจะแนะนำสิ่งใดก็ได้ ด้วยหัวย่อด้วยหัวข้อแห่งความดี ที่สามารถจะทำให้เขาผู้นั้นมีความเข้าใจ และประพฤติปฏิบัติดีได้โดยไม่ยาก

    พวกที่ ๒ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคกล่าวว่า พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ที่มาเกิดเป็นคนนี้ บางทีบุญบารมีน้อย คนประเภทนี้ก็จัดว่ามีปัญญาค่อนข้าง จะดีแล้วมีความประพฤติอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ทว่าปัญญาน้อยลงไปหน่อยหนึ่ง เวลาฟังคำแนะนำคำสั่งสอนตักเตือนเพียงหัวข้อไม่เข้าใจ ต้องขยายความจึงจะเป็นเหตุให้เขาเข้าใจ จึงจะ ปฏิบัติดีถึงที่สุด (วิปจิตัญญู)

    สำหรับคนที่ตายจากมนุษย์เกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้ องค์สมเด็จพระชินศรีเรียกคนประเภทนั้นว่า พวกเนยยะ เป็นอันว่าจะสั่งสอนให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้านั้นไม่ได้ แต่จะให้ตั้งใจไว้ในไตรสรณคมน์ คือมีความเคารพในพระสงฆ์ สามารถจะทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ที่เรียกกันว่า พุทธศาสนิกชน หรือ พุทธมามกะ อย่างนี้ได้ เป็นอันว่าขอบรรดาท่านศาสนิกชนทั้งหลาย เมื่อสดับพระธรรมเทศนาแล้ว จงเข้าใจว่าคนในโลกนี้ องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ทรงยกไว้ ๔ ประเภท

    สำหรับคนที่มาจากอบายภูมินี้เป็นพวก ปทปรมะ สอนอย่างไรก็เอาดีไม่ได้ ต้องยกไว้

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๑๕๒ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...