เพจ บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ, 19 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    พระสกิทาคามี

    ๑. พระสกิทาคามี อารมณ์ทุกอย่างเหมือนพระโสดาบันทั้งหมด ตัดสังโยชน์สามเหมือนกัน แต่ว่ามีการบรรเทาความรักในระหว่างเพศ บรรเทาความร่ำรวย บรรเทาความโกรธ เมื่อสามอย่างนี้มันบรรเทาความหลงก็เลยบรรเทาด้วย กำลังใจของพระสกิทาคามี มีข้อสังเกตดังนี้

    ประการที่หนึ่ง อารมณ์จะไม่มีความกำเริบในระหว่างเพศ จิตใจเยือกเย็นลงแต่ยังไม่หมด เบาลง

    ประการที่สอง เรื่องความโลภ ความอยากรวย ความดิ้นรนของความอยากรวยเบาลง ความรู้สึกว่าพอเริ่มมี แต่การทำความดีความขยันหมั่นเพียรยังปรากฎ แต่ว่าจิตไม่ดิ้นรนเกินไป

    สิ่งที่เราจะสังเกตได้ง่าย สำหรับพระสกิทาคามีนั่นก็คือ กำลังความโกรธลดลงมาก การถูกด่า ถูกนินทา โกรธเบา บางทีก็โกรธช้าไป

    -พระสกิทา.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    พระอนาคามี

    ๑. ถ้าจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าสู่พระอนาคามีมรรคได้มันเข้ามาเอง ทำไป ๆ จิตมันก็โทรมลงมา คือว่า จิตหมดกำลังในด้านความชั่ว ทรงความดีมากขึ้น มีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศมีความสลดใจ คือถ้าจิตไม่มีความรู้สึกระหว่างเพศ อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระอนาคามีมรรค ถ้าหากว่าจิตเราไม่พอใจในศีล ๕ มีความพอใจในศีล ๘ แล้วก็มีความมั่นคงในศีล ๘ อย่างนี้ ท่านถือว่าเริ่มเข้าอนาคามีมรรค เรียกว่าเดินทางเข้าหาพระอนาคามีต่อไป ถ้าจิตมีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ คือถ้าหมดความรู้สึกก็ถือว่าเป็น พระอนาคามีผล และต่อมาถ้าจิตลดจากความโกรธ ความไม่พอใจ ปฏิฆะ คืออารมณ์กระทบกระทั่งใจนิด ๆ หน่อย ๆ ความไม่พอใจการแสดงออกน่าจะมีสำหรับคนในปกครอง ถ้าทำไม่ดีต้องดุ ต้องด่า ต้องว่า ต้องลงโทษ อันนี้เป็นธรรมดา เป็นการหวังดี แต่ว่าเนื้อแท้จริง ๆ จิตคิดประทุษร้ายไม่มี เป็นการหวังดีแก่คนทุกคน คือตัดตัวปฏิฆะ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ถือว่าเต็มภาคภูมิของ พระอนาคามีผล

    รวมความว่าจากพระสกิทาคามีแล้วจะเป็นพระอนาคามีก็คือ

    • สังเกตว่าใจเราพอใจในศีล ๘ รักษาศีล ๘ ได้ครบถ้วนจริง ๆ

    • จิตตัดอารมณ์ในกามารมณ์ได้เด็ดขาด ไม่มีความรู้สึก

    • ตัดความโกรธ ความพยาบาทได้เด็ดขาดอย่างนี้เป็น พระอนาคามีผล

    -ถ้าจิตของบ.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    พระอรหันต์

    ๑. อารมณ์พระอรหันต์ นั่นคือจิตคิดว่าไม่หลงในรูปฌานและอรูปฌาน จิตไม่มีมานะการถือตัวถือตน จิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกนอกรีดนอกรอย จิตไม่ติดในอวิชชา คือ ฉันทะกับราคะ ฉันทะความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลกไม่มีราคะ จิตเห็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลกสวยไม่มี ไม่พอใจในสามโลก จิตพอใจจุดเดียวคือนิพพาน นี่เป็นอารมณ์พระอรหันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์พระอรหันต์ คือยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ไล่ลงมาอีกทีนะจิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า ธรรมดาคนเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องป่วย ต้องมีการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ คนเกิดมาแล้วต้องตาย ความปรารถนาไม่สมหวังย่อมมีแก่ทุกคน ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้วก็จิตคิดว่าถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ฉันไปนิพพานเมื่อนั้นใจสบาย

    ๒. ศีลเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา ร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุ ขันธ์ ๕ คือร่างกาย อย่าไปเสียดายมัน มันจะพังเมื่อใดก็เชิญมันพัง เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์อยู่ที่นี่

    ๓. อรหัตผลนี่เป็นของไม่ยาก ก็ตัดกามฉันทะกับราคะ คือไม่สนใจกับร่างกายของเราด้วย ไม่สนใจกับร่างกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจกับวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ช้ามันก็สลายตัว ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา เราไม่ถือว่ามันเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของเราและเราก็ไม่ถือวาทะของบุคคลอื่น ไม่ถืออารมณ์ของบุคคลอื่น ทำใจให้แช่มชื่นอยู่อย่างเดียวว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทรัพย์สินในโลกไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันพังเมื่อไรพอใจเมื่อนั้น ขึ้นชื่อว่าความเกิดมีขันธ์ ๕ ร่างกายอย่างนี้จะไม่มีสำหรับเรา ความเป็นเทวดาหรือพรหมจะไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการคือนิพพานนี่แค่นี้เท่านั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรยากถ้าพูดกันแบบง่าย ๆ แต่ความจริงพูดกันมาเยอะ ทำอารมณ์ให้มันทรงตัวเถอะ มันก็ไม่ลำบากมันก็สำเร็จมรรค สำเร็จผล

    -อารมณ์พระอ.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่อง วิธีทรงความดีที่ถูกต้อง

    “ข้อสำคัญจงจำ ไว้ว่า จงอย่าคิดว่าเราดีไว้เสมอ มองดูความบกพร่องของจิตว่าจิตเราบกพร่องตรงไหนบ้าง พยายามแก้ไขให้สู่ระดับความดี อย่างนี้เป็นความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงต้องการ บรรดาลูกรักของพ่อทุกคนปฏิปทาใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธ เจ้ามีความชนะในมารฉันใดขอบรรดาลูกรักทั้งหลายจงชนะในมารฉันนั้นด้วยกำลังใจ ที่ทรงความดี”

    คำสอน พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    -วิธีทรงความดีที่.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่อง อย่าคิดมากเรื่องสมาธิ

    “ที่นี้การฝึกอารมณ์บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทส่วนใหญ่ มักจะไปบ่นว่าอารมณ์ไม่ทรงตัวบ้าง อารมณ์ไม่สงัดบ้างอย่างนี้เป็นความคิดมากเกินไป คนที่มีอารมณ์สงัดจริงๆ นะมีเฉพาะพระอรหันต์ ขึ้นไปเท่านั้น ถ้าต่ำกว่าพระอรหันต์จะถือว่า อารมณ์สนิททรงตัวสนิท ไม่คิดอะไรอีก ไม่มีอรหัตมรรค ยังมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน คนที่มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน คือ พระอรหัตผล ในเมื่อเรายังไม่เป็นพระอรหันต์จิตก็ต้องฟุ้งซ่านเป็นของธรรมดาที่มี การที่จะทรงตัวให้อารมณ์อยู่เป็นปกติ ก็ต้องใช้เวลาน้อยๆ วันหนึ่งถ้าเราสามารถ ทรงสมาธิได้จริงๆ สัก 5 นาทีหรือ 10 นาที ก็ควรจะพอใจเพราะว่า เวลาที่จิตทรงสมาธิ เวลานั้นพระพุทธเจ้าถือว่า จิตว่างจากกิเลส ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระสารีบุตรว่า “สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร บุคคลใดมีจิตว่างจาก กิเลส วันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง ตถาคตถือว่า บุคคลนั้นมีจิตไม่ว่างจากฌาน”

    คำสอน พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    -อย่าคิดมากเรื่อง.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่อง อย่าทะนง

    “อย่าทะนงตน คิดว่าเราเป็นคนดี ถ้าคิดว่าดีเป็นผู้วิเศษเมื่อไร

    เมื่อนั้นแหละกรรมใหญ่อันตรายใหญ่จะมาถึงท่าน

    ที่เราเรียกกันว่าความประมาท”

    คำสอน พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    -อย่าทะนงอย่าทะน.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่อง กรรมบท10 เตรียมสกิทาคามี

    “๑.ทางกาย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม และไม่ดื่มสุราเมรัย นี่ร่วมกันทั้ง ๒ อย่างนะ ทั้งศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ ศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ นี่เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันอยู่บ้างบางตอน นี่เราเอามาร่วมกันเข้าก็

    ๑. ไม่ฆ่าสัตว์
    ๒. ไม่ลักทรัพย์
    ๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม
    ๔. ไม่ดื่มสุราเมรัย เราจะงดเว้นไม่ปฏิบัติอย่างนี้ต่อไป มันอาจเผลอได้บ้างเป็นของธรรมดาใหม่ ๆ

    ๒. ทางวาจา กรรมบถ ๑๐ มี ๔
    ศีล ๕ มี ๑
    วาจาของกรรมบถ ๑๐ ก็คือ
    ๑. ไม่พูดปด เหมือนกับศีล ๕
    ๒. ไม่พูดหยาบ
    ๓. ไม่ส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน หรือนินทาชาวบ้าน
    ๔. ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ประโยชน์เป็น ๔ อย่าง ท่านบอกว่าเราจะเว้น ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อเหลวไหล วาจาใดที่ไม่เป็นประโยชน์เราไม่พูด นี่วาจา

    ศีลไม่ห้ามใจ แต่กรรมบถห้ามใจ ทางด้านจิตใจ มี ๓ คือ
    ๑. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สมบัติของชาวบ้านนี่เราไม่ต้องการ ไม่เอา เขาไม่ให้ เราไม่ต้องการ ไม่คิดอยากได้ด้วยทางใจ
    ๒. ความโกรธ ยังมี แต่โกรธแล้วก็หายไป ไม่จองล้างจองผลาญ จองเวรจองกรรมกับใคร
    ๓. ยอมรับนับถือคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความดี หมายความว่ายอมปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า สัมมาทิฎฐิ”

    -กรรมบท10-เตรียมสกิ.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ความสำคัญของพระจาตุจอมกิตติ

    จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

    ตัดตอนมาจาก เทปสรุปผลการท่องเชียงแสน

    ลูกรักทั้งหลายจากรายงานผลการไปนมัสการปูชนียสถานพระธาตุจอมกิตติ และพระธาตุดอยตุง ตลอดจนบ้านเกิดเมืองเดิมที่เราตั้งประเทศไทยของบรรดาลูกรักทั้งหลายซึ่งสถานที่แห่งนี้ เชียงแสน หรือโยนกนคร ในสมัยที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาประทับบนดอยน้อย สมัยนั้นยังเป็นป่าอยู่ไม่ใช่เมือง ยังไม่มีถิ่นฐานบ้านช่องเป็นเมือง มีแต่บ้านเล็กๆ เวลานั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงเสยพระเกศาอธิษฐานให้หลุดมา ๓ เส้น (พระเกศาพระพุทธเจ้าปกติไม่มีการร่วงหล่น) แล้วทางอธิษฐานวางพระเกศาลง จมลงไปในหินบนยอดดอยน้อย แล้วทรงพยากรณ์ว่า เขตนี้ต่อไปจะสามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี เราจึงถือว่าสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญสำหรับประเทศไทยทีเดียว

    สิ่งที่พ่อดีใจมากที่สุดนั่นก็คือ ลูกทุกคนของพ่อเป็นคนดี เมื่อได้รับคำสั่งเพียงวาระแรกให้ปฏิบัติก็พร้อมที่จะปฏิบัติทั้ง ๆ ที่การฝึกพระกรรมฐานในด้านนี้ ลูกทุกคนก็คงจะผ่านไปแล้วไม่เกิน ๑๐ วัน

    ท่านที่เป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม ถ้าสิ่งใดเป็นความรู้ใหม่เราก็ถือว่าเป็นศิษย์การรู้ของลูกทุกคนรู้สึกว่า รู้ได้แจ่มใสมาก และก็มีความฉลาดพอ ความฉลาดของลูกในข้อนี้พ่อต้องสรรเสริญคือ การที่ลูกไม่ประมาทไม่ใช้จิตของตนเองเป็นเครื่องรู้ “แต่อาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระบรมครูบ้าง อาศัยบารมีท่านแม่บ้าง ท่านปู่ ท่านย่า เป็นต้น ให้เข้ามาช่วยตน อย่างนี้เป็นการทำที่ถูกต้อง”

    คนทุกคนถ้าได้ทิพจักขุญาณก็ดี ได้อภิญญาเล็กที่เรียกว่า “มโนมยิทธิ” ก็ดี ถ้าใช้แต่กำลังใจของตนเองภายในไม่ช้าความทะนงตนมันก็เกิด เมื่อความทะนงตนเกิดขึ้นกิเลสก็จะเข้าสิงใจ เมื่อกิเลสเข้าสิงแล้ว อุปาทานมันก็จะเข้าเกาะใจ พออุปาทานเกาะใจตรงนี้แหละทุกสิ่งทุกอย่างมันพลาดจากความเป็นจริงไปหมด

    เป็นอันว่า ลูกรักทุคนปฏิบัติตนได้ดีมาก เป็นคนที่น่ารักอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้พ่อเพิ่มความรักลูกขึ้นอีกมาก และผลที่ลูกทุกคนรายงานมานี้เป็นที่ถูกใจพ่อมาก เพราะว่าพ่อคิดไม่ถึงว่าลูกของพ่อได้รับคำสั่งเป็นวาระแรก จะมีความสามารถถึงขนาดนี้ ความสามารถอย่างนี้ต้องถือว่า เกือบจะถึงที่สุดในจุดของความสามารถยังขาดอีกนิดเดียวที่วงการสมาธิยังไม่สว่างเต็มที่ แต่ลูกอย่าคิดสลดใจ เพราะว่าวงการสมาธิจะสว่างเต็มที่ได้นั้นต้องเป็นพระอรหันต์ แต่สำหรับพระอรหันต์เองก็มีความสว่างไม่กว้างจะเห็นได้เฉพาะจุด ในเมื่อวงการสมาธิไม่กว้าง พระอรหันต์ท่านทำยังไงจะแนะวิธีให้

    อันดับแรก ถ้าเราจะไปทางไหน สมมติว่า เราอยากจะรู้เหตุการณ์ข้างหน้าทั้งหมดที่เรียกว่า อนาคตังสญาณ ในเวลากลางคืนหัวค่ำหรือเช้ามืด เราก็ใช้ฌานควบวิปัสสนาญาณขึ้นนิพพาน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าจะถามท่านที่เคารพท่านใดท่านหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ก็ได้ เวลาท่านตอบ ภาพจะปรากฏ อย่างนี้เรียกว่า รู้เหตุการณ์ในอนาคต “จงอย่ารู้เอง จงรู้ด้วยการถาม ไม่มีการผิดพลาด”

    ประการที่สอง ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น เราจะไปที่ใดก็ตาม ก่อนออกเดินทางก็จงคิดตั้งจิตอธิษฐาน ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถ้ามีอะไรอยู่บ้างในระหว่างทางที่จะผ่านไป มีอะไร มีปริมาณเท่าใด มีจำนวนเท่าใด ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นภาพนั้น ได้ด้วยอำนาจบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ เพียงเท่านี้เราก็จะรู้หมด แต่การเห็นภาพอย่าลืมถาม ถ้าไม่ถามภาพก็กราบทูลถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะรู้อะไรได้ดีทุกอย่าง

    ผลงานของลูกทุกคนพ่อขอชม แต่จงอย่าลืมนะ ถ้าชมว่าดีแล้วจงอย่าเหลิง ถ้าเหลิงเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น

    ที่ลูกทุกคนรายงานมาว่า ตัวยังดีไม่พอ ยังต้องอาศัยการศึกษาฝึกฝนต่อไป อันนี้ถูกต้องลูก เพราะลูกยังไม่เป็นพระอรหันต์ และก็จงอย่าลืมว่า “พระอรหันต์ทุกท่าน ท่านก็ไม่เคยคิดว่าท่านดีแล้ว ท่านยิ่งมีความขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนในเรื่องขันธ์ ๕ และเรื่องของฌานสมาบัติเพื่อความอยู่เป็นสุขของกาย ความจริงกายมันไม่สุข แต่ว่าจิตมันสุขจนกว่าร่างกายนี้มันพังก็จะเข้าถึงคำว่า

    “นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง”

    ในขณะที่เราเดินทางไปคราวนั้น บรรดาเทวดา และพรหม ตอนจนบรรดาปิยะสหายตั้งแต่ก่อนออกจากวัด ก็ล้อมรอบกันไปหมด ทั้งพื้นแผ่นดินและในอากาศ ดูเหมือนว่าเต็มจักรวาลจะดูแพรวพราวแน่นขนัดเต็มไปด้วยเทวดา และพรหม ตลอดทาง อันนี้เป็นของจริงเพราะว่าเราไม่ได้เกิดกันแต่เพียงชาติเดียว ท่านพวกนั้นเป็นนักรบ ท่านพวกนั้นเป็นไทยเดิม ท่านพวกนั้นเป็นผู้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อการทรงอยู่ของบ้านเมือง ในเมื่อท่านเห็นเพื่อนเก่า สหายเก่าไปไหนท่านก็ดีใจให้การอุปการะตามความสามารถ แต่ลูกอย่าไปคิดนะว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์หรือพระอริยะเจ้าทั้งหลายก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี จะป้องกันทุกสิ่งทุกอย่างได้เสียทั้งหมด ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีใครในโลกนี้ป่วยไข้ไม่สบาย ไม่มีใครในโลกนี้ทุกข์กายทุกข์ใจ เทวดาช่วยได้หมดและจงอย่าลืมว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมสุคต พระองค์ก็แก่เป็น ป่วยเป็น และก็นิพพาน คือตายเป็น

    ในเมื่อท่านเอง ท่านก็เป็นอย่างนี้ได้ ท่านก็ช่วยเราได้เฉพาะจุด จุดที่จะพึงช่วยนั่นก็คือมันเป็นเหตุไม่เกินวิสัย

    เป็นอันว่าการเดินทางไปคราวนี้ พ่อขอชื่นชมยินดีในความสามารถของลูกทุกคน และลูกทุกคนมีความสามัคคีกันดีมากเป็นพี่พอใจยิ่งของพ่อ นอกจากคนที่เขาตามเราไปประเภทตามไปดู เราไม่รู้หรอกว่า พวกเราน่ะเป็นพวกกุลี ค่ำไหนนอนนั่น ไม่หวั่นไม่หวาด รักษาเอกราชเสรี คนที่เขาตามเราไปด้วยนี้รู้สึกว่า จะสำรวยมากไปสักหน่อย แต่อย่าไปว่าเขาเลยลูก เพราะว่าใจเขายังเข้าไม่ถึงความดีในพระพุทธศาสนา หรือว่าจิตใจเขายังเข้าไม่ถึงความดีของความเป็นไท ยังไม่รู้จักสภาวะที่โบราณท่านว่า ถ้าลงบันได ๓ ขั้นไปแล้วหรือลงบันไดบ้านไปแล้ว จงอย่าคิดว่าที่นั้น ๆ มีความสุข ความสุขที่เราจะเลือกได้ก็คือบนบ้านของเรา

    ลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีนี้ไว้เหมือนเกลือรักษาความเค็มนะลูก คนที่ร่วมเดินทางไปกับเรามีหลายพวก และพวกที่คอยดักดูเราอยู่ข้างหน้าก็มีหลายพวก พ่อรู้ แม้แต่หน้าเขาพ่อก็เห็น แต่พ่อก็ทำเป็นไม่รู้ ว่าที่เขาไปกับเราเพื่ออะไร ส่วนใหญ่มักอยากจะไปดูการไปดูนี่ก็ดี แต่ทว่าเขาเห็นพิธีกรรมของเราเข้า เขาก็จะหาว่าเราบ้า ๆ บอ ๆ และยิ่งฟังรายงานของลูกเข้ายิ่งแล้วใหญ่ เขาคิดว่าเราเป็นบ้า แต่ความจริงบ้าได้อย่างนี้มันก็น่าบ้า ถ้าลูกบ้า พ่อก็เป็นหัวหน้าบ้า แต่เราบ้าตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เราบ้าได้แบบนี้ เราก็ควรจะภูมิใจ

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทก์ความผิดของตัวไว้เสมอ อย่าไปยุ่งกับคนอื่น คตินี้ นักปฏิบัติทุกคนเขาจะประณามตัวเองเข้าไว้เสมอ อารมณ์ยุ่งอยู่กับกามราคะนิดหนึ่งเขาจะประณามว่าเลวทันที ของอะไรก็ดี ถ้าชมว่าสวย ชมว่างาม เมื่อรู้สึกขึ้นมาก็รู้สึกว่าใจของเรามันเลวเสียแล้วรึนี่ แค่นี้เขาตำหนิตัวเขาแล้ว แล้วยิ่งไปเพ่งโทษของบุคคลอื่นไปแสดงอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น ทำให้บุคคลอื่นได้รับความเร่าร้อน นั่นแสดงว่ากิเลสมันไหลออกมาทางกายและทางวาจา มันล้นออกมาจากใจมันเลวเกินที่จะเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ นี่เราต้องประณามอย่างนี้ แล้วทางที่ไปจะไปไหน เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังเป็นไม่ได้ ต้องไปขึ้นต้นมาจากนรกมันไม่เหมาะสำหรับเรา นี่เราต้องประณามตัวไว้เป็นปกติอย่าเที่ยวประณามคนอื่นเขา

    -โจทยัตตานัง-จงกล่.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ถ้าเรายังรู้สึกว่าคนอื่นเขาชั่วก็แสดงว่าเราชั่วมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราดีแล้วไม่มีใครชั่ว เพราะว่าเรายอมรับนับถือกฎของกรรม อะไรจะมีชั่ว เรายังนินทาว่าร้ายบุคคลอื่นนั่นเรายังชั่วอยู่ อาการอย่างนี้จงลืมเสียให้หมด

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ถ้าคนจะถึงอรหันต์ ทีนี้อารมณ์ใจมันสบายทุกอย่าง คือว่า ไม่หลงในฌาน ฌานทุกอย่าง ทั้งรูปฌาน และ อรูปฌาน เราพอใจแต่คิดแต่เพียงว่า นี่เป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อริยะเบื้องสูงเท่านั้น ไม่ใช่มานั่งหลงว่ากันทั้งวันทั้งคืน นั่งกรรมฐานตลอดวันตลอดคืน นั่นมันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ ทีนี้หลงในฌานไม่มีตัวมานะ ถือว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา ไม่มีและ อารมณ์ฟุ้งซ่าน สอดส่ายไปสู่อารมณ์อกุศล ไม่มี และตัวสุดท้าย ก็เห็นว่า โลกทั้ง ๓ โลก คือ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีความหมายสำหรับเรา

    เห็นสภาวะของโลกทุกอย่างนี้ ทั้ง ๓ โลก มันเป็นแกนของความทุกข์ สิ่งที่มีความสุขที่สุด คือ พระนิพพาน อันนี้ถ้าเป็น สุกขวิปัสสโก ท่านจะมีความสบายมาก สบายในอารมณ์ ยอมรับนับถือกฎธรรมดา ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระนิพพานมีจริง และพระนิพพานเป็นแดนของความสุขจริง แม้ท่านจะไม่เห็น

    หากว่า วิชชา ๓ ก็ดี อภิญญา ๖ ก็ดี ปฎิสัมภิทาญาณ ก็ดี นี่เขาไปที่นิพพานได้เลย จะสามารถเห็น พระนิพพาน ได้เท่าๆ กับ เห็นของที่มองอยู่ข้างหน้า แล้วเขาก็จะรู้สภาวะว่า ถ้าเขาทิ้งอัตภาพนี้แล้ว เขาจะไปอยู่ตรงไหน เพราะพระนิพพาน ไม่ได้มีสภาพสูญ เขาก็เข้าสู่จุดของเขาเลยที่พระนิพพาน เข้าที่อยู่ได้ ไปไหว้พระพุทธเจ้าได้

    คัดลอกจาก หนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ
    ของ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วีระ ถาวโรมหาเถร เล่ม ๑

    -ทีนี้.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    จิตลอยไปตัดใจไปนิพพาน
    ผู้ถาม หนูนั่งกรรมฐานที่ ซอยสายลม บ้าน เจ้ากรมเสริม ปรากฏว่าน้ำตาไหลและดวงจิตล่องลอยออกไปไม่ค่อยจะกลับมา เลยตัดสินใจว่าตายวันนี้ขอไปนิพพานทันที อย่างนี้พอมีโอกาสไปได้ไหมคะ เพราะตอนนั้นใจมันลอยไปแล้ว …?
    หลวงพ่อ ใจมันลอยไป แล้วใครมันนึกล่ะ ใจลอยไปมันหมายความว่ายังไง เอาล่ะไม่เป็นไร ถือว่าตัดสินใจถูกดีกว่า นั้นแหละถูกต้องนะ อย่างนั้นแน่นอน ถ้าตายเวลานั้นไปนิพพานจริง ๆ เอาอย่างนี้ดีกว่า ง่ายดี !
    ผู้ถาม ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยหรือครับหลวงพ่อ…?
    หลวงพ่อ ก็ลงทุนเยอะ ลงมุนต้องทิ้งบ้านมา ต้องเสียค่ารถมา ต้องเสียความสุขที่อยู่ที่บ้าน เสียความสุขที่อยู่โรงหนัง เสียความสุขในโรงเหล้า โอ๊ะ ! ลงทุนมาก โดยเฉพาะลงทุนหนักก็ตือ ต้องลงทุนทำลายกิเลส เวลานั้นจิตบริสุทธิ์จริง ๆ ขณะที่จิตลอยออก จิตนึกถึงพระนิพพานนี่ จะต้องถือว่าจิตบริสุทธิ์มาก ถ้าตายเวลานั้นไปทันที ตัดใจไปนิพพานก่อนตาย
    ผู้ถาม หนูฟังในที่หลายแห่งของหลวงพ่อว่า จิตสุดท้ายใกล้จะตาย บุญมันจะรวมตัวกันและสามารถไปนิพพานได้ แต่ถ้าหากว่าตอนนั้น ตัดได้บ้าง ตัดไม่ได้บ้างโดยเฉพาะตอนสามีมายั่ว รู้สึกว่าตัดไม่ได้สักที เกิดในตอนนั้น จะไปนิพพานได้หรือเปล่าเจ้าคะ…?
    หลวงพ่อ เอ…มายั่วว่ายังไง ยั่วท่าไหน ตอนที่ป่วยหนัก ๆ ไม่มีใครเขาเข้ามายุ่งหรอก ตอนป่วยหนัก ๆ จริง ๆ นะ อารมณ์มันก็วางอยู่แล้ว วางความรักในระหว่างเพศนะ มันไปไม่ไหวแล้ว ความต้องการความร่ำรวยมันก็ไม่ต้องการแล้ว วางความโกรธ คิดจะไปตีกับใครมันก็ไม่มีแล้ว ตอนนั้นมันวางอยู่แล้ว อีตอนที่ยังไม่เครียดซิ วางไม่ได้นะ
    ผู้ถาม มีข้อแม้เหมือนกันนะ
    หลวงพ่อ มีข้อแม้ แต่ว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าหากว่าได้ มโนยิทธิ ตอนเช้ามืดขึ้นไปนิพพานให้จิตสบาย แล้วก็ตัดสินใจว่า ตายเมื่อไรขอมาที่นี่เมื่อนั้น อันนี้ไม่พลาดแน่ เอาง่าย ๆ ดีกว่านะ

    1504557662_606_จิตลอยไปตัดใจไปนิพพานผ.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่อง…หมาของหลวงพ่อ

    มีหมาอยู่ตัวหนึ่งทำท่าแหยๆ เรียก ไอ้ตี๋ๆ ทำท่าเหมือนตี๋ แต่อย่าไปโกงเชียวนะ พ่อสู้ไม่ว่าใคร ตัวเล็กแต่คอยวิ่งส่งวิ่งรับ ที่แรกเรานึกสงสาร ไอ้ตัวนี้จะสู้ใครเขาได้ ที่ไหนได้พวกไปแหย่หน่อยเดียวฟัดดะ ปกติท่าทางเรียบร้อย วันหนึ่งแม่ศรีเขามาบอกชื่อ ตัวนั้นชื่อนั้นๆ ตัวนี้ชื่อนี้ พอเรียก พระยา หน่อย หูรี่วิ่งเข้ามา แม่ศรีเขาบอกเดียวนั้นก็เรียกเดียวนั้นเลยหูรี่แสดงออกชัด ดีอกดีใจ เป็นชื่อเก่าเขา
    มีตัวหนึ่งตัวเล็กที่สุด ป่วยตั้งแต่เกิดตั้งหลายเดือน มันไม่ยอมหายกับเขาเสียที เราก็หนักใจว่ามันจะตาย ท่านย่ามาบอก”ไปเรียกมัน ชูศรี ซิ “หูรี่วิ่งมาหาเลยคำแรกเท่านั้นนะมันรู้จักชื่อ เราระยำไม่รู้จักชื่อหมา มันแปลกจริงๆ น่าอัศจรรย์ ทำท่าหาย ทำท่าดีใจ
    “เพราะฉนั้นเห็นสุนัขจะดูถูกไม่ได้ว่าเป็นหมานะเจ้าคะ”
    สุนัข นี้เขาไม่ได้แปลว่าหมา เขาแปลว่า เล็บงาม ถ้าหมายตามศัพท์คือ สา สุนัขนี่ไม่แน่บางตัวเป็นพระโพธิสัตว์

    มีอีกตัวตอนนี้มันแก่ ไม่ใช่ป่วย เดินจะไม่ไหว ชื่อ โคล่า
    เมื่อวานนอนดูอยู่ พระท่านมาถามว่า “รู้จักโคล่าไหม ?”
    ถาม “ทำไมครับ? ”
    ท่านบอกว่า “เธอเห็นมันแปลกอะไรบ้างไหม”
    บอก “เห็นครับ ”
    เพราะว่าเจ้านี่เวลาแม่มันอยู่มันกินมูมมาม กินเสร็จแล้วก็ออกไปเกะกะโวยวาย เจ้าแม่มันเป็นสุนัขเรียบร้อย เวลาเขาให้กินยังไม่กิน นั่งเรียบร้อย พอแม่มันตาย

    วันนั้นทำเหมือนแม่มันเลย เหมือนหมดทุกอย่างจนกะทั่งถึงวันนี้นะ
    แล้วตอนก่อนนี้ขึ้นไปรับแขก แม่มันขึ้นไปเป็นเพื่อนพอแม่มันตายแล้ว ก็เจอะโคล่าอยู่ข้างล่าง บอก
    “โคล่า ตอนนี้แม่ตายแล้วนะ หลวงพ่อไม่มีเพื่อน ไปอยู่เป็นเพื่อน ”
    พอรุ่งขึ้นก็ไปถึงที่ พอต่อมา บอก
    “โคล่า กินข้าวถ้าหากอิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง ไปขอป้าเขานะ”
    ถึงเวลากินก็เข้าไปไม่ต้องนำ ทุกอย่างบอกคราวเดียว ถ้าทำผิดปั๊บเขาก็ทำแบบขออภัย สั่งงานสั่งคราวเดียวจำตลอดชีวิต
    เวลาใกล้เพลสั่งไว้ว่า” เวลาหลวงพ่อหลับหรือเผลอมาเรียกด้วยนะ”
    พอ ๔ โมงมาเรียกตอนหลังบอกมันยาวเกินไป ๑๕ นาทีเพลค่อยมาเรียกนะ อีก ๑๕ นาทีเพลมาเรียกจริงๆ เตือน
    พระท่านก็เลยมาบอกว่า “เจ้าโคล่าเป็นพระโพธิสัตว์”
    แล้วท่านยังบอกต่อว่า คนสงเคราะห์เลี้ยงพระโพธิสัตว์มีอานิสงส์มาก
    “แล้วทำไมถึงมาเกิดเป็นสุนัขละคะ…?”
    ลงมาช่วย สุนัขหรือแมว ถ้าพระเลี้ยงตายแล้วไปสวรรค์ทุกตัว ได้เปรียบมาก “อย่างนั้นสุนัขที่แสนรู้ต้องมีเบื้องหลังแน่นอน”
    สุนัขแสนรู้นี่ถ้าไม่ได้เกิดเป็นเทวดาก็คนแน่ เพราะตัวเมตตาเข้าถึง ทานบารมีเก่าเขามีเมตตาบารมี บารมีเริ่มเข้าสนองพวกนี้ได้เปรียบเราเยอะ คนนี่ไม่แน่นอน จะไปอบายภูมิก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมก็ได้ มีคนสงเคราะห์ไม่ลงต่ำแน่

    จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๐ หน้า ๒๗-๒๙

    -หมาของหลวงพ่อมี.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  14. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    พิธีสะเดาะเคราะห์ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    คำว่า เคราะห์กรรม เป็นวิธีเรียกของพรหมณ์ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า กฏของกรรม
    คณาจารย์ต่างๆ เรียกไม่เหมือนกันแต่ผลมันเหมือนกัน นั่นคือ ความทุกข์ ถ้าอยากทราบว่า ความทุกข์มาจากไหน ก็จะเล่าให้ฟัง

    ประการแรก การป่วยไข้ไม่สบายทางร่างกาย มาจากกรรมปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

    ประการที่ ๒ ความทุกข์เกิดจากไฟไหม้บ้าง ขโมยปล้น ขโมยจี้ ลมพัดให้บ้านพัง น้ำท่วม มาจากโทษอทินนาทาน การลักขโมยของเขาจากชาติก่อน

    ประการที่ ๓ เคราะห์กรรมที่ทำให้คนใต้บังคับบัญชาดื้อด้าน ว่ายากสอนยากไม่เชื่อฟัง มาจากโทษกาเมสุมิจฉาจาร เจ้าชู้จัดในชาติก่อน

    ประการที่ ๔ เราพูดดีแต่คนอื่นไม่ชอบฟัง ไม่เชื่อฟัง มาจากโทษมุสาวาทจากชาติก่อน

    ประการที่ ๕ การเป็นโรคปวดหัวบ่อยๆ หรือโรคประสาทก็ดี เป็นบ้าก็ดี เป็นโทษมาจากกฏของกรรม คือ ดื่มสุราเมรัย ในชาติก่อน อันนี้เป็นหลักหยาบๆ หลักใหญ่นะอย่างคนตาบอด ในสมัยชาติก่อน เขาทำบุญเห็นแล้ว แกล้งทำเป็นไม่เห็น อย่างคนหูหนวก เขาทำบุญสุนทาน เขาฟังเทศน์ฟังธรรมกันแกล้งส่งเสียงกลบ
    เขาฟังเทศน์ฟังธรรม เขาคุยกันด้วยความเคารพในธรรม เราแกล้งส่งเสียงกลบ เกิดเป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติอย่างนี้เป็นต้น

    ก็รวมความว่า ขึ้นชื่อว่า เคราะห์กรรม คือ กฏของกรรมเก่าของเราในชาติก่อน คนทุกคนที่เกิดมานี้ที่ไม่มีกรรมเก่า ที่กรรมไม่ดี ไม่มีนะ ไม่เคยทำบาปนี้ไม่มี…

    ทีนี้คำว่า สะเดาะเคราะห์ หมายความว่า ทำให้เคราะห์หมด
    คำว่า สะเดาะเคราะห์ไม่มีศัพย์ในทางพระพุทธศาสนา เป็นศัพย์ของคณาจารย์ต่างๆ ในทางพระพุทธศาสนาไม่มี ในเมื่อไม่มี ทำไมวัดท่าซุงจีงบอกว่า สะเดาะเคราะห์ ก็เลยบอกว่าพูดตามเขา ทีนี้การทำคราวนี้ไม่ใช่สะเดาะเคราะห์ เป็นการสร้างความดี
    ความโชคดีให้เกิดขึ้น คือ หมายความว่าทำบุญให้มีกำลังสูง

    คำว่า เคราะห์ คือ บาป เราล้างไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าทำความดีให้มีกำลังสูงกว่า คำว่า เคราะห์จะเปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนกับคนยืนอยู่
    เวลานี้อยู่ในร่มมันก็ร้อน ถ้ายืนกลางแดดมันก็ร้อน ถ้าทำบุญน้อยๆ ก็เหมือนกับมีร่มเล็กๆ ไปกางบังอยู่มันก็เย็นไปหน่อยหนึ่ง ทำบุญที่มีอานิสงส์มากๆ ก็เหมือนกับมีคนเอาน้ำไปราดให้
    ก็มีความเย็น ถ้าทำ บุญที่มีกำลังสูงใหญ่อย่างเราเจริญกรรมฐาน เหมือนกับเราแช่ในอ่างน้ำ ถึงเราจะอยู่กลางแจ้ง กลางแดด ความร้อนมันก็น้อยไป ข้อนี้ฉันใด การสะเดาะเคราะห์ก็เหมือนกัน การสะเดาะเคราะห์ไม่ได้ทำให้หมดไป

    ตัวอย่าง : ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่
    ในครั้งหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมครูทางเทศน์เรื่อง กายคตานุสสติกรรมฐาน กับ อสุภกรรมฐาน สองอย่าง
    คำว่า กายคตานุสสติกรรมฐาน หมายถึงการพิจารณาร่างกายของตนเอง …อสุภกรรมฐาน ให้เห็นว่าร่างกายทุกคนเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกทั้งหมด พระ ๖๐ องค์เศษๆ ฟังแล้วพิจารณาตามเกิดความสลดใจเห็นว่าร่างกายของคนมีความสกปรกมาก มีความเบื่อหน่าย หลังจากเทศน์จบองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงบอกว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฉันจะเข้าไปอยู่ในถ้ำ ๑๕ วัน ขณะที่อยู่ในถ้ำ ๑๕ วันห้ามมิให้คนอื่นเข้าพบ นอกจากพระที่ส่งอาหาร

    บรรดาพระ ๖๐ องค์เศษๆ เหล่านั้น เมื่อฟังเทศน์จบก็พิจารณาร่างกายว่ามันสกปรก มีความรังเกียจร่างกายมาก ท่านเปรียบเทียบบอกว่า เหมือนหนุ่มสาวที่อาบน้ำใหม่ๆ แต่งตัวสวยๆ แล้วมีคนเอางูเน่ามาคล้องคอ หรือเอาสุนัขเน่ามาแบกที่บ่าหรือใส่ที่บ่า มีความรังเกียจขนาดนั้น ในที่สุดก็ฆ่าตัวตายเองบ้าง จ้างคนอื่นฆ่าบ้าง พอครบ ๑๕ วันพระพุทธเจ้าก็ออกจากถ้ำ ก็มีพระถามว่า การที่พระองค์ทรงเทศน์ กายคตานุสสติ อสุภกรรมฐาน ทั้งสองอย่าง ทรงทราบหรือไม่ว่าพระ ๖๐ องค์เศษๆ จะฆ่าตัวตาย หรือจ้างคนอื่นฆ่าตัวตาย พระพุทธเจ้าบอกว่าทราบ ในเมื่อทรงทราบพระก็ถามว่า ทำไมจึงเทศน์ทั้งที่ทราบว่าเขาจะฆ่าตัวตาย พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า ขึ้นชื่อ กฏของกรรม ไม่มีใครหนีพ้น จะเทศน์อย่างนั้นหรือไม่เทศน์ก็ตาม เขาก็ต้องฆ่าตัวตาย หรือจ้างคนอื่นฆ่าตัวตาย เพราะกฏของกรรมเดิม
    กรรมเดิมที่พระพวกนี้เคยเป็นพรานฆ่าเนื้อ ฆ่าสัตว์มาก่อน มันติดตามมาทัน เขาต้องตายแบบนั้น

    ฉะนั้นก่อนจะตาย ตถาคตจึงเทศน์กายคตานุสสติกรรมฐาน อสุภกรรมฐานสองอย่างรวมกันให้เขาพิจารณาเบื่อในร่างกาย ในเมื่อเขาตาย เขาไปนิพพานไม่ดีกว่าหรือ

    ทีนี้การทำคราวนี้ ก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ทำลายให้เคราะห์หมดไป การทำลายเคราะห์ คือ บาป ทำลายไม่ได้โยม แต่ว่าเราทำบุญให้มีกำลังสูงขึ้น อย่างญาติพุทธบริษัทที่มานั่งที่นี่ทุกคน ไม่ใช่มีแต่เคราะห์ โชคก็มี คือชาติก่อนมีทั้งความดีมีทั้งความชั่ว มีทั้งบุญและบาป
    ขณะใดที่มีการป่วยไข้ไม่สบาย นั่นคือผลของบาปเข้าสนอง
    แต่ว่าทุกคนมีทรัพย์สินอยู่ได้เพราะผลของทาน ทานการให้ในชาติก่อน ทำให้คนมีทรัพย์สิน แต่การมีทรัพย์สินทำไมจึงไม่เสมอกัน อย่างทานที่มีกำลังสูงสุดในด้านวัตถุก็คือ วิหารทาน
    เป็นทานที่มีกำลังสูงมาก ทานที่รองลงมาก็คือ สังฆทาน สังฆทานนี่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่เคยถวายสังฆทานแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต ตายแล้วเกิดกี่ชาติก็ตาม ถ้ายังไม่เข้าพระนิพพานเพียงใด จะไม่พบกับความยากจนเข็ญใจ
    จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีทุกชาติ ทีนี้คนที่เขาเป็นเศรษฐมหาเศรษฐีเพราะว่า เขาเคยถวายสังฆทานในกาลก่อน อันนี้เป็นผลอันหนึ่งที่เราจะทำ เพื่อเป็นการหลีกเร้นกฏของกรรม คือ บาป บาปถึงแม้มันจะกลั่นแกล้งขนาดไหนก็ตาม แต่เรามีกำลังบุญสูง คือคล้ายๆ กับสุนัขไล่กัด ถ้าเราวิ่งเร็วมันก็กัดไม่ทัน ถึงกัดทันก็กัดไม่ถนัด

    ประการที่สอง ต่อนี้ไปจะให้ญาติโยมทั้งหลายรับศีล การสมาทานศีลมีอานิสงส์ ๓ อย่างคือ

    ๑. สีเลนะ สุคะติง ยันติ คนที่มีศีลอยู่แล้ว เวลามีชีวิตอยู่ก็มีความเป็นปกติสุข
    ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้ามีความสุข

    ๒. สีเลนะ โภคะสัมปะทา ในขณะที่มีชีวิตอยู่เรามีศีลบริสุทธิ์ ทรัพย์สินก็ไม่เปลือง
    ก็มีการเป็นอยู่ดีในการครองทรัพย์สิน ตายไปก็ร่ำรวยมาก

    ๓. สีเลนะ นิพพุติง ยันติ คนที่รักษาศีลได้ดี จะไปนิพพานได้โดยง่าย

    นี่คืออานิสงส์ของศีล หลังจากนั้นไปจะให้ญาติโยมพุทธบริษัท เจริญวิปัสสนา คือเจริญกรรมฐาน
    ใช้กำลังพุทธานุสติกรรมฐานเป็นกำลัง นี่เป็นบุญใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา
    บุญในพระพุทธศาสนามี ๓ ชั้น คือ ทาน ศีล ภาวนา ภาวนานี่เป็นบุญใหญ่ที่สุด
    จะให้ญาติโยมภาวนาว่า พุทโธ เป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ
    ใช้เวลา ๑๐ นาที จงอย่านึกว่าแค่ ๑๐ นาที จะมีบุญน้อย ความจริงไม่ใช่น้อย มีกำลังมากเหลือเกิน
    การนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่าง มัฏฐกุลฑลีเทพบุตร หรือ สุปติฏฐิตเทพบุตร ซึ่งเขาไม่เคยนับถือพระพุทธเจ้า
    เขานึกถึงท่านอยากให้ท่านมารักษาโรคให้หาย เพียงเท่านี้ไม่ได้เคารพอย่างเรา
    เขาตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบน สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก
    แต่นี่เรา เจริญพระกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยอารมณ์ของความเคารพจริงๆ
    อานิสงส์มากไปกว่านั้น ปรารถนานิพพานในชาตินี้ยังได้

    หลังจากนั้นจะมีพระเจริญพระอภิธรรม สวดอภิธรรมมาติกา คำว่า มาติกา เขาสวดสำหรับคนตาย และพวกเราตายแล้วหรือยัง แต่ความจริงเขาไม่ได้สวดเพื่อคนตาย คนตายไม่ได้ฟัง เขาสวดให้คนที่ยังไม่ตายฟัง เพราะบทมาติกานี่อานิสงส์มาก เพียงแค่รับฟังอย่างไม่รู้เรื่อง อย่างค้างคาว ๕๐๐ ตัว ฟังสวดอภิธรรมเพียงแค่เพลิดเพลิน
    ไม่ทราบผู้สวดเป็นพระ ไม่ทราบว่าธรรมที่สวดเป็นธรรมะ เพลินไป
    ผลที่สุดเท้าก็หลุดจากที่เกาะหล่นลงมาตายทั้ง ๕๐๐ ตัว
    หลังจากตายจากความเป็นค้างคาวแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก ในเมื่อพระพุทะเจ้าองค์นี้มาตรัส เขาเกิดเป็นลูกชาวประมง ในที่สุดเขาก็ฟังอภิธรรม เพียงแค่จบเดียวโดยย่อ ก็บรรลุพระอรหันต์ทั้งหมด นี่แค่สัตว์เดรัจฉานนะเขาไม่รู้เรื่อง ยังมีอานิสงส์อย่างนี้ ฟังแล้วชาติเดียวเกิดเป็นเทวดาและหลังจากนั้นมาก็เป็นพระอรหันต์

    ท่านทั้งหลายฟังแล้วด้วยความเคารพ รู้ว่าท่านผู้สวดเป็นพระ คำสวดเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและฟังด้วยความตั้งใจจริงอย่างนี้ ถ้าปรารถนิพพานชาตินี้ยังได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหม เวลานั้นก็เจอะพระศรีอาริยเมตตรัย ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์จบเดียวก็ป็นพระอรหันต์ นี่เป็นของไม่ยาก ง่ายๆ นะ ตั้งใจให้ดีนะหลังจากนั้นพิธีสะเดาะเคราะห์จะเกิดขึ้นนั่นคือว่าจะให้ พระบังสกุลตาย ตอนที่ พระบังกุลตาย ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ให้ตั้งใจคิดว่า เวลานี้ขอผลของความชั่วทั้งหมดบาปกรรมที่ทำมาแล้วจาก… (การละเมิดศีล ๕)…ที่ทำให้จิตใจเรามีความทุกข์ มีความเร่าร้อน ให้มันสลายตัวไป พร้อมกับคำบังสกุลตายของพระ

    หลังจากนั้นพระจะ บังสกุลเป็น ตอนนั้นบรรดาพุทธบริษัท ก็ตั้งใจคิดว่า เวลานี้เราเกิดใหม่พร้อมความดี คือ

    ๑. ศีลที่เราสมาทานแล้ว

    ๒. สังฆทานที่เราทำแล้วมีอานิสงส์ใหญ่

    ๓. การภาวนาซึ่งเราทำแล้ว

    ๔. วันนี้บวชเณร ๘๕ องค์ บวชชีพราหมณ์ ๖๐ องค์เศษๆ คนทั้งหมดที่บวชเป็นนักเรียนโรงเรียนสุธรรมยานเถระวิทยา เป็นนักเรียนที่ได้สมาบัติ คือได้ฌานโลกีย์ทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาบัติขั้นอภิญญา เขาสามารถไปเที่ยวสวรรค์ นรกได้ เพราะโรงเรียนนี้มีกฏบังคับ เด็กที่เข้าโรงเรียนนี้ ต้องเจริญกรรมฐานก่อน ต้องสอบกันก่อนว่าเที่ยวสวรรค์นรกได้หรือเปล่า ระลึกชาติได้หรือเปล่า
    ถ้าทำไม่ได้เข้าโรงเรียนนี้ไม่ได้ เมื่อเข้ามาได้แล้วก็มีการซักซ้อมทุกอาทิตย์ เป็นอันว่าเณรและชีพวกนี้เป็นผู้ทรงฌาน เป็นผู้ปฏิบัติตนเพื่อพระโสดาปัตติมรรค ทำบุญมีอานิสงส์มาก

    ฉะนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าต้องการทำบุญให้มากขึ้น
    เวลาเลิกแล้วก็เอาสตางค์มาใส่ขัน ตั้งใจบวชเณรบวชชี
    มากก็ได้น้อยก็ได้ ๕ สตางค์ก็ได้ ๑๐ สตางค์ก็ได้ สลึงก็ได้
    บาทก็ได้ ตามชอบใจ ตามที่จะพึงทำได้ ให้ตั้งใจคิดว่า
    เวลานี้เราบวชเณรบวชชี

    สำหรับการบวชเณรนี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าเป็นพ่อแม่ของเณร ถ้าลูกบวชหนึ่งองค์ เขาจะมีอานิสงส์เกิดเป็นเทวดานางฟ้า หรือเป็นพรหมได้คนละ ๑๕ กัป ลูกชายได้ ๓๐ กัป ญาติโยมที่ไม่ใช่พ่อแม่ของเณร จะได้อานิสงส์คนละ ๔ กัป ทีนี้มัน ๘๕ องค์นี่ เอา ๔ คูณ ๘๕ เข้าได้เท่าไหร่ก็รวมความว่าก็ได้ ๓๐๐ กัปกว่า ถ้าเราตายจากชาตินี้เป็นเทวดาหรือพรหม ก็สามารถเป็นเทวดาหรือพรหม อยู่ได้ถึง ๓๔๐ กัป ในเมื่อท่านทั้งหลายมีบุญขนาดนี้ก็อยู่ไม่ถึง ๓๐๐ กัป ไปนิพพานแน่ ก็เป็นอันว่ามีความดีใหญ่

    (จากหนังสือสมบัติพ่อให้หน้า ๒๔๓ -๒๔๘)

    -หลวงพ.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    พื้นฐานการเจริญพระกรรมฐาน
    ผู้ถาม หลวงพ่อครับ การเจริญพระกรรมฐาน ต้องมีพื้นฐานอะไรบ้างครับ?
    หลวงพ่อ พื้นฐานเหรอ… ถ้าเป็นชายต้องมีกางเกง… พื้นฐานจริง ๆ ก็มี ศรัทธา ความเชื่อ ตัวนี้ตัวเดียว พระศาสนาเรา ถ้าไม่มีความเชื่อเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรเป็นผล และต้องใช้ ปัญญา ร่วมด้วยนะ เขาแนะนำกันมาเราคิดดู มันควรหรือไม่ควร แต่อีกสิ่งที่เป็นฤทธิ์ มันเกินวิสัยที่เราจะคิด อย่างฤทธิ์ของวิชชา ๓ ฤทธิ์ของอภิญญา ฤทธิ์ของปฏิสัมภิทาญาณ นี่เราคิดไม่ได้ เพราะขืนคิดบ้า คิดยังไงมันก็ไม่ลงตัว มันจะเหมือนกับที่เราคิดไม่ได้ เราจะตัดความสามารถของฤทธิ์ก็ตัดไม่ลง
    อย่าง วิชชา ๓ มีทิพจักขุญาณ ถือว่ามีฤทธิ์ทางใจ ตามธรรมดาเราไม่สามารถเห็นสิ่งของที่ลี้ลับได้ใช่ไหม… แต่ถ้าเขาได้ ทิพจักขุญาณ..คุณ! ไม่มีอะไรหนาเขาเลย อย่าว่าแต่วางข้างหน้าเลย วางมุมรูปไหนเขาก็รู้ วางโลกไหนก็ได้ทุกโลก นี่ถ้าเขารู้จักใช้นะ ที่ฝึกไปแล้วไม่รู้จักใช้นี่เยอะ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เศษ ๆ หน่อย ๆ เอาไปแล้วไม่รู้จะใช้อะไรดี บางทีก็ปล่อยบูดไปเลยมีเยอะแยะจริง ๆ แล้วถ้าได้แล้วเขาต้องฝึกซ้อม ทำอยู่เสมอๆ ได้ง่ายเกินไปเลยปล่อยหายง่าย อย่างนี้มีเยอะแยะ

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    กำนันจัน, พระยาศรีสิทธิสงคราม, หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    (คัดลอกเฉพาะบางตอนจากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษตั้งแต่ย่อหน้า ๒ ของหน้า ๘๔-๑๐๐)

    …ฯลฯ ท่านเกิดเป็นพระยาโกษาเหล็ก บั้นปลายชีวิตท่านลาราชกิจราชการ เพราะเป็นคนแก่ ไปจำศีลภาวนา เจริญพระกรรมฐานวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตามปกติของคนแก่ ตายจากพระยาโกษาเหล็ก ด้วยกำลังฌานไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม นอนสบายพักได้หนึ่ง ก็ต้องเสด็จลงมาอีกแล้ว กรุงศรีอยุทธยาแตกยับเยิน

    วาระที่ ๑๑ นี้ท่านพรหมพระเจ้ามังรายมหาราชก็มาเกิดเป็นขุนดาบของพระเจ้าตากสินมหาราช คือ พระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราช สมัยกรุงธนบุรี ก่อนกรุงศรีอยุทธยาแตกท่านผู้นี้เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยคณะนายทหารของชาติ เป็นกำนัน ชื่อว่า กำนันจัน หนวดเขี้ยว มีรูปร่างหน้าตาสวยมีเสน่ห์ กินหมาก สูบบุหรี่ ร่างท้วมนิดๆ เนื้อเต็ม หน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นที่รักของบรรดาประชาชนทั้งหลายที่ปกครอง ชาวบ้านรักท่านกำนันมาก ถึงกับตั้งให้เป็น “ขุนบานไท” ซึ่งเป็นตำแหน่งของชาวบ้านตั้งให้ ไม่ใช่ตำแหน่งข้าราชการ แต่ทุกคนเรียกว่า “พ่อ” มีอำนาจมาก อำนาจของท่านคือ ความดี วันทั้งวันใครๆ ก็จะเห็นกำนันจันหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ถ้าเราจะพูดกันแบบคนเลวๆ ก็จะหาว่า ท่านกำนันจันเป็นคนอ่อนแอ แต่เนื้อแท้จริงๆ ลูกรักท่านกำนันจันเป็นคนเข้มแข็ง เป็นคนชนะใจคนทั้งตำบล และก็ชนะใจคนหลายๆ ตำบลทุกคนที่พบกำนันจันก็จะหมอบราบคาบแก้ว ไม่ใช่กลัวลานด้วยอำนาจ แต่กลัวด้วยอำนาจความรัก ซึ่งความจริงท่านก็เป็นทหารนั่นเอง ไม่งั้นจะสู้พม่าอยู่ได้ยังไงที่ค่ายบางระจัน

    ต่อมาเมื่อสงครามเกิด เพราะพม่าจะเขาตีกรุงศรีอยุทธยา ท่านกำนันจันหนวดเขี้ยว กับบรรดาเพื่อนที่รัก รวบรวมกำลังของคนไทยในชาติเท่าที่จะพอหาได้ ตั้งค่ายสู้รบกับข้าศึกทั้งๆ ที่รัฐบาลไม่มีโอกาสจะสนับสนุนกำนันจันได้เลย เขาเรียกว่า ค่ายบางระจัน คำว่าบางระจันนี่คงไม่ได้หมายว่า เอาชื่อกำนันจันมาตั้งชื่อค่าย หรืออาจจะมีความหมายอย่างนั้นพ่อก็ไม่รู้ แต่ตำบลนั้นเขาอาจจะชื่อตำบลบางระจันมาก่อนก็ได้

    ความจริงเวลานั้น ถ้ารัฐบาลฉลาด พ่อคิดว่า ข้าศึกไม่สามารถตีกรุงศรีอยุทธยาได้ทั้งนี้ เพราะกำลังประชาชนส่วนใหญ่ต่อสู้กับข้าศึก มันเป็นโอกาสดีที่เราจะสร้างกองโจรได้ดี ทางฝ่ายรัฐบาลเวลานั้นหาคนดียาก กษัตริย์เวลานั้นจะเป็นใครก็ตาม พ่อขอประณามว่าเป็นกษัตริย์ที่มีอารมณ์โง่ที่สุด เป็นสมัยของข้าราชการที่โง่ที่สุด ถ้าหากว่าประชาชนเขาสู้ เราเป็นรัฐบาลก็เอาทหารไปในนามของประชาชน มันก็ไม่ยากไปช่วยกัน หรือมิฉะนั้นก็ยาตราทัพเข้าไปโจมตีเบื้องหลังของข้าศึก หรือทำเป็นหน่วยกองโจรก็ได้ สนับสนุนคนในค่ายบางระจัน

    แต่นี่คนในค่ายบางระจันจะขอปืน ทางราชการก็เกรงว่า ข้าศึกจะแย่งปืนในระหว่างทาง จนกระทั่งพระยาอะไรท่านหนึ่ง ท่านอุตส่าห์ไปช่วยหล่อปืนให้ ท่านยังเดินทางไปได้ แล้วทำไมทหารจึงไปไม่ได้ นี่ความโง่ของรัฐบาลสมัยนั้น มันก็เท่ากับความโง่ของรัฐบาลสมัยหนึ่ง หรืออาจจะเป็น สมัยที่ทำให้ชาติล่มจมเกือบทรงตัวอยู่ไม่ได้ จะเป็นสมัยใดบ้าง พ่อไม่พูด หวังว่าลูกๆ คงเข้าใจดี และคงจะจำหน้าและชื่อคนในคนในสมัยที่พ่อพูดนี้ได้ดีกว่าพวกนี้ ถ้าเข้ามาบริหารประเทศเมื่อใด เมื่อนั้นแหละประเทศเราก็ย่ำแย่ แต่ทว่าพวกเราแย่ เขารวย บางรายจะเป็นผู้แทนสักที ลงทุนกันเป็นล้าน เงินเดือนผู้แทนเท่าไหร่ เป็นอันว่ารัฐบาลสมัยนั้นซวยที่สุด มันเป็นชะตาของประเทศ

    ในที่สุดค่ายบางระจันก็แตก ตามประวัติศาสตร์เขาเรียกว่า คนในค่ายบางระจันตายทั้งหมด แต่พ่อว่า คนในสมัยนั้นเขาไม่โง่เท่าคนเขียนประวัติศาสตร์ คนลงแต่งค่ายได้ เกณฑ์คนมาร่วมรบได้โดยไม่มีเงินดาวน์ เงินเดือน เบี้ยหวัด ก็ไม่มี สมารถตั้งเป็นกองทัพต่อสู้ข้าศึกได้เป็นเดือนๆ แล้วจะคนที่ไหนเขายอมตายทั้งหมด

    พ่อเคยพบนักเลงคนหนึ่ง เขาคุยเรื่องตีรันฟันแทงเก่ง ถามเขาว่า คุณเคยหนีบ้างไหม แกยิ้ม แกบอกว่า ผมพูดมาตั้งหลายชั่วโมงไม่มีใครถาม มีท่านองค์เดียวถาม และบอกว่า ถ้านักเลงจริงๆ ต้องมีหนี ถ้าไม่หนีไม่ใช่นักเลง เพราะถ้าเราสู้เขาไม่ได้เราก้ต้องถอยก่อน ถอยเพื่อไปตั้งหลักต่อสู้กับเขาใหม่ นี่จึงจะเป็นนักเลงได้ แต่ว่าถ้าถือตัวว่าเป็นนักเลง แต่ตัวเองไม่สามารถจะถอยในเมื่อกำลังสู้เขาไม่ได้ ยังงั้นไม่ใช่นักเลงแท้ เขาถือว่าคนโง่

    ค่ายบางระจันมีกำนันจันพร้อมด้วยเพื่อนๆ เมื่อพม่าตีค่ายแตกก็เป็นของธรรมดาที่จะต้องเสียกำลังไปประมาณ ๑ ใน ๔ ของกำลังทั้งหมด แต่ว่าเมื่อสถานที่ตั้งมั่นแตกยับเยิน อยู่ไม่ได้ก็ต้องสลายตัว การสลายตัวคราวนั้นก็ไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนามมาอีก เก็บเงียบปิดเป็นความลับ ฉะนั้น นักบันทึกประวัติศาสตร์จึงเขียนว่า ค่ายบางระจันแตกพร้อมด้วยทุกคนตาย ถ้าปล่อยให้ตายแบบนั้นก็ไม่ใช่กำนันจันขุนดาบฝีมือดี

    กำนันจันคุมกำลังส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ถอยออกจากค่ายไป ในเมื่อข้าศึกมีกำลังมากกว่า จะสู้แบบประจันหน้ากันไม่ได้จึงได้แยกย้ายออก ตั้งเป็นกองโจรทำลายข้าศึกที่ออกหาเสบียง เห็นข้าศึกมามากกว่าก็ใช้ธนูหน้าไม้ยิงตัดกำลัง ถ้าข้าศึกมาน้อยก็เข่นฆ่าเสียพินาศ เป็นอันว่าสมัยนั้นแม้กกรุงจะแตก แต่ว่ากำลังของประชาชนที่อยู่นอกกรุงยังรวมกำลังกัน อยู่เป็นจุดๆ แบบเสรีไทย ตั้งกลุ่มกันอยู่เรียงรายตั้งแต่จังหวัดสิงห์บุรี ถึงสุพรรณบุรี มีกำลัง ๑๐ จุด ต่อมาขยายไปถึงราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ตั้งเป็นกำลังใหญ่เข้าไว้

    ต่อมาเมื่อประเทศไทยหวังในการกู้ชาติ โดยการนำของพระเจ้าตากสิน ก็ได้กำลังพวกนี้นี่แหละเข้ามาเป็นกำลังใหญ่ช่วยกู้ชาติ เขาไม่ได้เป็นทหารของรัฐโดยตรง แต่ว่าเขาเป็นทหารของประเทศ เป็นกันทั้งผู้ชายผู้หญิง เมื่อเลิกศึกสงครามแล้วก็ฝึกปรือกันสอนกัน พวกนี้แก่ไป คนใหม่เกิดขึ้น สั่งสอนยุทธวิธีกันตั้งแต่เด็ก จึงมีความชิน ความชำนาญยุทธวิธีในการรบ รบบนหลังช้าง รบบนหลังม้า รบบนหลังควาย รบในทางเดินราบ เขาทำกันละก็สร้างความสามัคคี ตั้งหมวด ตั้งหมู่ ตั้งกองไว้ ที่เรียกกันว่า กำนัน ใครเป็นกำนันก็ชื่อว่า เป็นผู้บังคับกอง ใครเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ชื่อว่า ผู้บังคับหมวด ใครเป็นสารวัตรคนนั้นเป็นผู้บังคับหมู่ ใครเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ก็เป็นผู้บังคับหมู่ จัดกำลังกองทัพประชาชนกันไว้เงียบๆ ฝึกยุทธวิธีสั่งสมเสบียงอาหาร

    เมื่อเราหวังในการกู้ชาติ กำลังท่านพวกนี้ก็พยายามตัดกำลังข้าศึกนับตั้งแต่เดินทัพเข้ามา หน่วยไหนแหลมออกไปหาอาหาร หรือลาดตระเวน ชาวบ้านธรรมดานี่แหละจะทำท่าไปหากินตามปกติ แต่อาวุธอยู่ไม่ไกลนัก อาวุธสำคัญคือ ธนู กับหน้าไม้ ใช้เป็นอาวุธยาว ติดยางน่อง ซึ่งถูกแล้วเลือดออกนิดเดียวก็ตายได้ ยางน่องที่ติดปลายธนูนี่เข้าทำลายกำลังข้าศึกด้วยการตัดอาหารการบริโภค เพราะข้าศึกมันมีเสบียงมาไม่ไพอ ยังออกตระเวนกวาดเสบียงจากชาวบ้านด้วย เราก็ค่อยๆ ริดรอนไป ถ้ากำลังมากก็ริดรอนทีละคน ๒ คน ถึง ๑๐ คน แอบตามสุมทุมพุ่มไม้แบบกองโจร ถ้าข้าศึกมากลุ่มน้อย นั่นหมายถึงตายทั้งหมด แล้วทุกคนหลบเข้าป่า ทำท่าเป็นชาวไร่ชาวนาปกติ

    เมื่อพระเจ้าตากสินกู้ชาติสำเร็จแล้ว กรุงศรีอยุทธยายับเยินจนไม่สามารถบูรณะเป็นเมืองหลวงต่อไปได้ พระองค์จึงตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง แต่สงครามก็ยังไม่เสร็จสิ้น

    ตอนนี้พรหมพระเจ้ามังรายมหาราชหายสาบสูญจากกำนันจัน มาเป็นขุนดาบคู่พระทัยของพระเจ้าตากสินมหาราช ชื่อว่า พระยาศรีสิทธิสงครามประจำกองทัพหลวง

    ในเวลานั้นแบ่งเป็น ๓ ทัพ คือ ทัพของวังหน้า หนึ่ง ทัพของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สอง และทัพหลวง สำหรับทัพหลวงนี่เป็นทัพซ่อม เมื่อข้าศึกมา ทัพของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และเจ้าพระยาสุรสีห์ก็ต้องนำทัพออกไปก่อนตามกำลังทหารที่มีอยู่ พระเจ้าตากสินอยู่ข้างหลัง พระองค์ก็ใช้ให้นายทหารคู่พระทัย ๑๐ คน นำกำลังออกไปตามสมควร หรือไม่พระองค์ก็เสด็จเอง นายทหารคู่พระทัย ๑๐ ท่านนี้ฝีมือดีมาก การรบ คำว่า “แพ้ไม่มี” เข้าที่ไหนพังที่นั่น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงรับสั่งให้ “ชะตา” ของประเทศไทยอยู่ในตำแหน่ง “กูผู้ชนะ” นักรบทั้ง ๑๐ ท่านนี้ พ่อถามท่านบอกว่ามี

    ๑. พระยาศรีสิทธิสงคราม

    ๒. พระยาปราบอริราชศัตรู (เสริม)

    ๓. พระยาศัตรูพินาศ (ประชา)

    ๔. พระยาองอาจราชสงคราม (ไม่เกิด)

    ๕. พระยาสามเมืองระย่อ (ไม่เกิด)

    ๖. พระพนอราชบาท (ไม่เกิด)

    ๗. พระยาไพรีพินาศ (ไม่เกิด)

    ๘. พระยาปราบราชปัจจามิตร (ไม่เกิด)

    ๙. พระยาราชมิตรราชา (ไม่เกิด)

    ๑๐. พระยามหาพิชัยสงคราม (ไม่เกิด)

    พูดถึงการสิ้นอำนาจของพระเจ้าตากสินมหาราชนี่ ตามประวัติศาสตร์เห็นจะเป็นเขียนผิด ความจริงคนเขียนประวัติศาสตร์เขียนไม่ผิด แต่เขียนถูกตามรับสั่งของพระเจ้าตากสินมหาราช กับสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เพราะถ้าหากเขียนถูกตามเรื่องราว ประเทศไทยเราอาจจะต้องย่อยยับเพราะเวลานั้นเป็นการแสดงละครอย่างดีมาก

    สมัยนั้นบ้านเมืองเรายับเยินมาก คนไทยแตกกระจัดกระจาย ไทยไม่เป็นไท ท่านจำต้องมารวบรวมไทย การเกิดเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม นายทหารเอกก็ต้องทำหน้าที่นี้

    อยุทธยาเราแตกครั้งหลังเพราะอะไร เพราะคนไทยเราแตกความสามัคคี ไม่รักความเป็นไท คล้ายๆ กับคนไทยใกล้ๆ สมัยปัจจุบันที่ชาวบ้านไม่รู้จักคำว่า รัฐธรรมนูญเป็นยังไง ก็เรียกร้องรับธรรมนูญ ชาวบ้านเขารังเกียจสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร เพราะมาเคี่ยวเข็ญเขา เข้าไปแล้วไม่ได้เป็นผู้แทนจริงๆ ไปกอบโกยอำนาจ กอบโกยทรัพย์สิน ทำให้เขาเสียหายมาก คนที่อยากจะเป็นผู้แทนราษฏรก็ให้คำมั่นสัญญากับบรรดาประชาชนไว้ยังไง แต่เวลาเข้าไปในสภาแล้วก็อยากเป็นรัฐบาล แทนที่จะเข้าไปควบคุมรัฐบาล กลับอยากเป็นรัฐบาลซะเอง ความมุ่งหมายปลายทางที่ประกาศให้สัญญากับประชาชนไว้ก็ไม่เป็นไปตามความมุ่งหมาย การเมืองของประเทศใดก็ตาม ที่ยังมีพรรคการเมืองอยู่ เราก็ยังไม่เรียกประชาธิปไตย ถ้าเป็นพรรคเป็นกลุ่มเขาเรียกคณาธิปไตย แต่อย่างไหนจะดีไม่ดีไม่ขอวิจารณ์

    พระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์เป็นคนรักชาติ เมื่อกกรุงศีอยุธยาแตกครั้งหลังยับเยินมาก พระองค์มีกำลัง ๕๐๐ คน ตีฝ่าข้าศึกออกไป รวบรวมกำลังคนได้ไม่เกินพันคน ก็กำลังใหญ่ๆ ๑๐ จุด ของกำนันจันนั่นแหละ กลับมากู้กรุงศรีอยุทธยา สามารถกู้คนไทยได้ทั้งชาติ นี่เราต้องถือว่าเป็นบารมีของพระเจ้าแผ่นดินที่สามารถรวบรวมคนสำคัญไว้ได้ เช่น พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ดี กรมพระราชวังบวรก็ดี นี่ต้องถือเป็นคู่บารมี เป็นคนที่มีบุญคุณต่อประเทศชาติมาก เวลานั้นตอนกรุงแตกมีคนขายชาติ แต่สมัยพพระเจ้าตากไม่มคนขายชาติ เพราะถ้ามีคนขายชาติละก็ ถูกกำจัดเสียหมดไม่เหลือ ดูคนคิดคดทรยศอย่างพระยาสรรค์ก็ถูกประหารชีวิต การปกครองกันต้องทำแบบนี้จึงจะถูก ไม่ควรปล่อยให้ไอ้พวกขอมเก่าเข้ามาทำลายชาติ เวลานี้เรามักนิยมขอมเก่ากัน ทั้งๆ ที่มันทำลายชาติไทยตั้งหลายวาระ และมันก็อ้างว่าจะทำโน่นให้เจริญ จะทำนี่ใหห้เจริญ แต่มันบ่อนทำลายทุกอย่าง

    เมื่อพระเจ้าตากสินขึ้นมาเป็นกษัตริย์ พระองค์ไม่ได้เป็นลูกกษัตริย์ ไม่มีราชสมบัติมาก่อน การรบทัพจับศึกมีไม่ได้หยุด นึกดูก็แล้วกัน ท่านเป็นพ่อบ้าน เพียงแค่พ่อบ้านแม่เรือน ก็รู้อยู่ว่าการจับจ่ายใช้สอยมันมากมายเพียงใด ถ้าเป็นเรื่องของประเทศล่ะจะจับจ่ายใช้สอยกันมากมายขนาดไหน เงินที่ใช้สอย เบี้ยหวัด เบี้ยบำนาญ เงินเดือนข้าราชการ ของท่านก็ไม่มี ผลที่สุดในฐานะที่พระองค์มีเชื้อสายจีนมาก่อน ท่านจึงต้องอาศัยจีนคือ “ขอยืมเงินเจ้าสัวคนจีนเขามา” เพราะเป็นหนี้ เบี้ยหวัด เบี้ยบำนาญข้าราชการเขาอยู่มาก

    ฉะนั้น มาบั้นปลายของชีวิต ท่านจึงมาคิดว่า “ถ้าเราจะเป็นกษัตริย์ต่อไป เราก็ต้องใช้หนี้เขา เงินก็ไม่มีใช้หนี้เขา” จึงได้เรียกสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เข้ามาพบในวันหนึ่ง ให้ทรงเครื่องรบขัดดาบมาด้วย เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกท่านก็แปลกใจคิดว่าคงจะมีเรื่องร้าย ครั้นเข้ามาแล้วก็ปรากฏว่า พระเจ้าตากสินอยู่ ทรงอยู่องค์เดียวในห้องพระ ทรงขาวทั้งชุด นั่งชักลูกประคำ พระพุทธยอดฟ้าเห็นแบบนั้นก็ไม่กล้าเข้ามา เพราะขัดดาบมาด้วย พระเจ้าตากสินเห็นเข้า ก็ทรงเรียกว่า

    “ด้วงเรอะ เข้ามาซิ เอาดาบเข้ามาด้วย” (ความจริงท่านเป็นเพื่อนกัน)

    พระพุทธยอดฟ้าจะถอดดาบเก็บข้างนอกก็จำเป็นต้องถือเข้ามา แล้ววางดาบไว้ห่างๆ หมอบคลานเข้าไปเฝ้า

    พระเจ้าตากสินรับสั่งว่า “หยิบดาบมาให้ใกล้”

    พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็เลยเอามือกกระทุ้งดาบออกนอกประตูไป ในฐานะที่พระมหากษัตริยืประทับอยู่องค์เดียว การถือดาบเข้าไปอย่างนั้นย่อมไม่เหมาะ และอยู่ในชุดนักรบ

    พระเจ้าตากสินจึงถามว่า “ด้วง อยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม”

    พระพุทธยอดฟ้าก็กราบทูลว่า “ไม่เคยคิด พระพุทธเจ้าข้า”

    พระเจ้าตากสินจึงบอกว่า “ด้วง จะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน” แล้วทรงเล่าเรื่องตามความเป็นจริงให้ทราบ แล้วบอกว่า “อีกไม่กี่วัน เจ้าสัวเขาจะมาทวงเงินเขา ด้วงก็รู้อยู่แล้วนี่ว่า ฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนที่สุด ฉันไม่มีทรัพย์สินที่ไหนมาเลย ต้องกู้เงินเจ้าสัวเขามาจับจ่ายใช้สอย เวลานี้ฉันเป็นหนี้ เบี้ยหวัด เงินเดือน เงินปี ของข้าราชการอยู่มาก ยังชำระไม่หมด การรบทัพจับศึกก็ไม่เสร็จ ทำอยู่ตลอดเวลา การจับจ่ายใช้สอยมันก็มาก ถ้าฉันจะเอาเงินไปใช้หนี้เขาก็ไม่พอ เราก็ต้องกู้หนี้ยืมสินเขาใหม่อีก และเงินเก่าเราก็ไม่มีให้เขาพร้อมดอกเบี้ย ฉันลำบากมา ถ้ากระไรก็ดี ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เวลานี้เขมรแข็งเมือง ให้ด้วงยกไปตีเขมร เอาลูกชาย ๒ คนของฉันไปด้วย และเมื่อตีเขมรได้แล้ว ไม่ต้องเอาลูกชายฉันมา ให้ครองอยู่ที่นั่น ด้วงกลับมา ด้วงต้องเป็นกษัตริย์ สำหรับเงินที่จะต้องใช้ให้แก่ข้าราชการ เบี้ยหวัด เงินปีต่างๆ ที่คั่งค้างฉันเตรียมไว้แล้ว และเงินส่วนหนึ่งสำหรับใช้ภายในประเทศฉันก็เตรียมไว้แล้ว และเงินอีกส่วนหนึ่งที่จะใช้เวลาด้วงเป็นกษัตริย์ฉันก็เตรียมไว้แล้ว รวมเป็น ๓ ส่วน ด้วยกัน ซึ่งในระยะเวลาไม่ช้า เจ้าสัวเขาจะมาทวงเงินของเขา ซึ่งตอนนี้แหละ ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่น และฉันจะต้องพ้นจากตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดิน แต่ด้วงทำงานคราวนี้ต้องทำในรูปปฏิวัติ หรือในรูปขบถยึดอำนาจจากฉัน แต่การยึดเฉยๆ ใครๆ เขาก็จะคิดว่าด้วงเป็นคนอกตัญญู เห่อเหิมมาก ฉันทำทีเหมือนว่าเป็นนักบวช และทำเป็นสติฟั่นเฟือน ในที่สุดกลับมาแล้ว ด้วงก็จับฉันประหารชีวิต แต่การประหารชีวิตฉันนั้น จะประหารจริงหรือหลอก ก็ให้เป็นวิธีของด้วง ฉันพร้อมยอมตายเพื่อชาติ”

    เห็นไหมลูกหลานที่รัก คนดีท่านทำอย่างนี้ ท่านไม่มานั่งเมามันเพื่อต้องการรัฐธรรมนูญ ต้องการรัฐสภา เวลาประกาศกับประชนก็ว่าต้องการเป็นตัวแทนของประชาชนชาวไทย แต่เมื่อเลือกเข้าไปแล้วก็อยากเป็นรัฐมนตรีมุ่งความเป็นใหญ่

    แต่นี่พระเจ้าตากสินมหาราช ท่านไม่ต้องการอย่างนั้น เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเวลานั้นได้ทราบความเป็นจริง และพระเจ้าตากสินมีพระทัยมั่นคงต้องการให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่อย่างนันประเทศไทยเราจะทรงตัวอยู่ไม่ได้ เพราะท่านกู้เงินของคนจีน ถ้าไม่มีให้เขา ก็อย่าลืมว่าประเทศไทยกับประเทศจีนน่ะ กำลังมันต่างกัน เราเองก็เพิ่งตั้งตัวได้ใหม่ๆ เพียงแต่จีนเขาใช้กำลังใกล้ๆ กับเรา เราก็สู้เขาไม่ได้ ถ้าเขาหหาว่าเราโกงเขา นี่เนื้อแท้ความจริงเป็นอย่างนี้

    แต่ทว่าต่อภายหลัง พระยาสรรค์บุรี ทำงานเกินอำนาจที่สั่งไว้ จับพระเจ้าตากสินเอาจริงๆ จับแบบเอาจริง แต่ตอนเข้าไปจับนั้น ท่านท้าวผกาพรหมบอกว่า ขุนดาบ ๑๐ พระยาของพระเจ้าตากสินนี่จะสู้ เพราะมีกำลังรักษาพระองค์อยู่พอสมควร พระยาสรรค์บุรี ไปเอากำลังมาจากกรุงศรีอยุทธยา เนื้อแท้จริงๆ ถ้ารบกันพระยาสรรค์ก็หัวขาด แต่ทว่าพระเจ้าตากสินคิดว่า ถ้าเกิดสู้กันจริงๆ งานที่คิดไว้ก็ไม่เป็นผลเพราะว่า ขุนดาบ ๑๐ พระยานี่ไม่รู้เรื่อง ถ้ารบก็ต้องรบถึงขั้นแตกหักกันจริงๆ พระองค์จึงห้ามปราม ๑๐ พระยานั่น ปล่อยให้พระยาสรรค์จับ

    เรื่องการลงโทษ พระสงฆ์ ของพระเจ้าตากสินเรื่องนี้ก็หลอกกัน เมื่อพระสงฆ์ทำผิดเรียกมาสอบสวน เวลาจะลงโทษ ก็เอานักโทษมาโกนหัวเอาผ้าเหลืองนุ่งแล้วก็เฆี่ยน เขาก็หาว่าท่านบ้าเฆี่ยนพระ แต่ความจริงพระไม่ได้ถูกเฆี่ยน พระองค์ทำให้คนอื่นเขาเห็นว่าบ้า นี่สติฟั่นเฟือน การจับให้ออกจากพระมหากษัตริย์ก็เป็นของธรรมดา

    เมื่อพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทราบเรื่องพระยาสรรค์ทำเกินเหตุ จึงยกทัพกลับจับพระยาสรรค์บรี ประหารชีวิตเสีย ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นสมเด็จพระพุทะยอดฟ้าจุฬาโลก มีคำสั่งให้เอาพระเจ้าตากสินมหาราชไปประหารชีวิต โดยการใส่กระสอบแล้วทบด้วยท่อนจันทน์จนตาย แต่คนที่อยู่ในกระสอบไม่ใช่ พระเจ้าตากสิน ครั้งแรกมีราชองครักษ์ของพระองค์มีความจงรักภักดีมาก อาสาตายแทนพระเจ้าตากสิน แต่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าไม่เอา ให้เอานักโทษประหารชีวิตมาใส่กระสอบทุบด้วยท่อนจันทน์ตายแทน ราชองครักษ์นั้นก็ถูกฆ่าด้วยในฐานะที่รู้เรื่องเข้าเดี๋ยวปากจะมากไป และแล้วกลางคืนวันหนึ่งก็ลงเรือจากปากท่อไปยังนครศรีธรรมราช บวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แถวนั้นเขาเรียกว่า “หลวงตาพรหมมา” ปัจจุบันเรายังพบซากกุฏิอยู่เชิงเขาแถวนั้นเป็นป่าลึก สงัดมาก ท่านเจริญพระกรรมฐานอยู่ที่นั้นจนสิ้นชีวิต

    หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็สั่งประหารชีวิตลูกชายพพระเจ้าตากสิน ๒ คน บอกว่า “ตัดบัวแล้วจงอย่าไว้ใย” แต่ปรากฏว่าลูกชายคนหนึ่งไปโผล่ที่นครศรีธรรมราช เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำงานที่นั่น อีกคนหนึ่งไปค้าขายเรื่อสำเภากับต่างประเทศ

    เป็นอันว่า พระเจ้าตากสินมหาราชก็ถูกประหารชีวิตตามรับสั่งของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตามความเป็นจริงท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้

    มิช้ามินานเจ้าสัวเขาก็มาทวงเงินคืน พร้อมกับเอาถ้วยโถโอชามมาขายด้วย พอเรือสำเภาของเจ้าสัวเลี้ยวเข้ามาในเขตจันทบุรีตราด ก็ถูกลมสลาตัน คือ ลมหอกลมดาบพักกระหน่ำจนเรือจมอยู่ที่นั่น

    เป็นอันว่า ทั้งสองพระองค์ยอมเสียชื่อเสียง เสียศักดิ์ศรีทั้งสองฝ่ายก็ต้องขอบคุณท่าน “สมเด็จพระเจ้าตากสินมาหาราชยอมเสียชื่อเสียงให้คนเขาเข้าใจว่าเป็นบ้า และถูกออกจากกษัตริย์”

    “สมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ก็ต้องยอมเสียชื่อในฐานะเป็นขบถ” แต่ความจริงทั้ง ๒ ท่านนี้ทำเพื่อไทยทั้งชาติ
    ให้ชาติไทยทรงอยู่

    ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ “ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม”

    เท่าที่พ่อนำเอาเรื่องของพระเจ้าพรหมมหาราชมาพูดก็ดี หรือนำเอาเรื่องของพระราชาองค์เก่าๆ ตั้งแต่พระราชบิดาของพระเจ้าอชุตราช มาพูดก็ดี และก็มาพุดถึงการรบก็ดี พ่อมีความมุ่งหมายอยู่ว่า “ต้องการให้ลูกรักของพ่อทุกคนรู้จักความจริง” ความจริงที่เราหนีไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า “สัจจธรรม” คือธรรมะที่พระอริยเจ้าทรงไว้ หรือ ธรรมะที่ทำให้คนเป็นพระอริยเจ้า

    พ่อขอเตือนลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้เสมอว่า ขณะที่ฟังพ่อพูดให้ตั้งใจไว้ในสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา ฟังไปด้วย ใช้ศีล สมาธิ ปัญญา รวมตัวกันเข้าไว้ในใจจุดเดียวกันจะทำให้สะอาด

    ศีล ขัดเกลาภาคพื้นของใจให้ดี

    สมาธิ จับอารมณ์ใจให้นั่ง

    ปัญญา ชำระล้างความสกปรกของจิต จิตมีอารมณ์ผ่องใส

    เมื่อจิตมีอารมณ์ผ่องใส กำลังใจก็เป็นทิพย์ เมื่อกำลังใจเป็นทิพย์อยากจะรู้อะไรก็รู้ได้ทันทีทันใด ที่เราเรียกกันว่า ใช้ทิพย์จักขุญาณ หรือจุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุบันนังสญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และยถากรรมมุตาญาณ โดยเฉพาะลูกรักของพ่อทุกคนได้อภิญญาเล็ก คือ มโนมยิทธิ หมายถึงมีฤทธิ์ทางใจ คำว่า ฤทธิ์ทางใจ ก็คือ ใจมีฤทธิ์ คำว่า ฤทธ์ หมายถึง เก่ง คือ ใจเก่งกว่าใจธรรมดา สามารถถอดจิตออกจากร่างไปสู่ภพต่างๆ ได้ เราจะไปเที่ยวเมืองสรรค์ก็ได้ ไปเที่ยวพรหมโลกก็ได้ ไปเที่ยวเมืองนิพพานก็ได้ ไปเที่ยวเมืองนรกก็ได้ สู่แดนเปรต อสุรกายก็ได้ และในโลกมนุษย์นี่จะไปมุมไหนก็ได้ ประเทศไหนๆ ก็ไปได้ บ้านใครสำนักงานไหนเขาหวงเราก้ไปได้ นี่การมีฤทธิ์ทางใจเป็นของดี

    แต่ทว่ามีบางคน ตำหนิพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนหลักวิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ เพียงสอนขั้นสุขวิปัสโกอย่างเดียวก็พอ คำว่า สุขวิปัสโก หมายความว่า จิตสะอาดปราศจากกิเลส ไม่มีความรักในเพศ ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง จิตมีอารมณ์เป็นสุข จิตมีความเยือกเย็น ไม่มีทุกข์ มีอารมณ์สบาย นี่ความเป็นพระอรหันต์

    เตวิชโช (วิชชาสาม) สามารถทำทิพย์จักขุญาณให้ปรากฏ และหมดกิเลสสามารถระลึกชาติได้ มีวิชชาแปดอย่างที่เรียกว่า ญาณ ๘

    ฉฬภิญโญ หมายถึงอภิญญาหก สามารถเนรมิตอะไรก็ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีทิพย์จักขุญาณ มีญาณแปดครบเช่นเดียวกับ เตวิชโช และมีอิทธิฤทธิ์ มีฤทธิ์ทางใจ เป็นต้น และจิตหมดกิเลส

    ปฏิสัมภิทาญาณ หมายถึงความู้พิเศษ สามารถรู้ธรรมะทุกอย่าง ทรงพระไตรปิฏก คำว่า ไม่รู้ ไม่มี และสามารถรู้ภาษาสัตว์ และภาษาทุกภาษา ได้โดยไม่ต้องศึกษา แต่ทว่าเนื้อแท้ก็คือ ความเป็นพระอรหันต์ มีความรู้ทั้ง เตว

    -พระยาศรีสิทธิส.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    บุญอะไรจึงเกิดมาสวย

    ฯลฯ…..แล้วกลับตามย้อนถอยหลังมาว่า ทำไมพระนางรูปนันทาจึงสวยมาก ตอนนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ในที่บางตอน ท่านกล่าวว่า พระนางรูปนันทาเป็นคนในตระกูลศากยราช เกิดในตระกูลของเจ้าก็จริงแหล่ แต่ทว่าเป็นเจ้าที่มีความสวยงดงามเป็นกรณีพิเศษ ไม่มีหญิงใดในกรุงกบิลพัสดุ์มหานครจะสวยเท่าพระนางรูปนันทา

    คำว่า รูปนันทา แปลว่า มีรูปเป็นเครื่องบันเทิง คือมีรูปเป็นเครื่องดีใจ สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า ในอดีตชาติก่อน คือว่าทุกชาติที่ผ่านมามันเป็นนิสัยนะ พระพุทธเจ้าบอกว่านิสัยนี้ละไม่ได้ คนจะละนิสัยได้มีคนเดียวคือพระพุทธเจ้า ถ้ายังไม่เป็นพระพุทธเจ้าเพียงใด ก็ทรงนิสัยตามนั้น เมื่อได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ละนิสัยนั้ นได้ มีองค์เดียว คนอื่นนอกจากพระพุทธเจ้าแม้แต่พระอรหันต์ทั้งหลายก็ละนิสัยเดิมไม่ได้ อย่างพระสารีบุตรอดีตเห็นจะเกิดเป็นลิงมามาก เป็นอัครสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เวลาพบลำคลองหรือลำราง พระอื่นค่อย ๆ ข้ามไป หรือค่อยๆ ถกผ้าลุยน้ำไป แต่พระสารีบุตรขัดเขมรแล้วก็โดดไป เป็นอันว่านิสัยนี้ทิ้งไม่ได้แม้ว่าจะเป็นอัครสาวก

    สำหรับพระนางรูปนันทาก็เหมือนกัน ที่สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาตรัสว่า ชาติในอดีตของรูปนันทาทุกชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ นี่หมายความว่าทุกชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ เวลาที่เธอจะทำบุญทำทาน ภาชนะทุกอย่างต้องสะอาดหมด ตั้งแต่สมัยเป็นคนยากจนก็ตามที ภาชนะมันอาจจะไม่ดีเท่าชาวบ้านเขา แต่ว่าการทำความสะอาดภาชนะที่จะไปทำบุญต้องสะอาด ถ้าไม่สะอาดเธอไม่ทำ ต่อมาจนกระทั่งเป็นลูกเศรษฐีหรือลูกกษัตริย์ มาก็หลายวาระ เวลาที่จัดภัตตาหารไปถวายพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ภาชนะทุกอย่างเธอต้องล้างเอง ต้องเช็ดเอง ต้องทำเองทุกอย่างจนกระทั่งเป็นที่พอใจ

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัยที่รูปนันทาเป็นคนชอบความสะอาด รักความสะอาด เวลาให้ทานหรือบำเพ็ญกองการกุศล เหตุนี้เป็นปัจจัยให้รูปนันทาเป็นคนสวยทุกชาติ มาชาติสุดท้ายนี่เป็นคนสวยที่สุด แต่ว่าไอ้ความสวยก็อยู่ไม่ได้นาน แล้วองค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้กล่าวแก่บุคคลทั้งหล ายว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความจริงท่านเทศน์กับพระกับคน แต่พระนั่งอยู่ใกล้จึงปรารภกับพระว่า

    ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงดูสภาวะของหญิงที่มีรูปงามที่ถวายงานพัดตถาคตอยู่ ในไม่ช้าไม่นานเท่าไร องค์สมเด็จพระบรมครูคือตถาคตเทศน์ไม่ทันจะจบเธอก็ตาย เวลานี้กระดูกเรี่ยรายลงบนพื้นปฐพี จะหาสิ่งที่ปรากฎเป็นร่างกายนี้ก็ไม่ปรากฎฉันใด พวกท่านทั้งหลายที่สดับรับรสพุทธพจน์เทศนาอยู่เวลานี ้ ภายหลังไม่ช้าจากวันนี้ไป วันคืนล่วงไปๆ ชีวิตก็เสื่อมไปทีละน้อย เข้าไปหาความตาย ถ้าอายุยืนสักหน่อยก็มีอายุถึงแก่ แก่แล้วก็ตาย ถ้าบาปกรรมที่เป็นอกุศลทำไว้มากไซร้ เช่น ปาณาติบาต ก็สามารถจะตัดชีวตไปในระหว่างกลางให้ถึงแก่ความตายได ้ ฉะนั้น พวกเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต อย่าคิดว่าชีวิตจะยืนยาวต่อไป

    แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนำมาซึ่งอริยสัจโดยย่อ นั่นก็หมายความว่า เธอทั้งหลายจงรู้สภาพว่าการเกิดนั้นมีสภาพเป็นทุกข์ การทรงชีวิตอยู่นั้นมีสภาพเป็นทุกข์ทุกอย่าง ความหิวก็เป็นทุกข์ ความกระหายก็เป็นทุกข์ การป่วยไข้ไม่สบายก็เป็นทุกข์ การประกอบการงานก็เป็นทุกข์ การปวดอุจจาระปัสสาวะก็เป็นทุกข์ มีความปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ มันทุกข์ทั้งหมด เพราะว่าปรากฎแล้วว่าคนเกิดมาแล้วไม่มีความสุขแท้จริง

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    หลวงพ่อเห็นผีปอบที่ท่าลาน

    “..สมัยเมื่ออาตมายังอยู่วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เคยพบผีปอบ คราวนั้นอาตมาไปเรือยนต์ขนาดเล็กไปจอดนอนพักที่ท่าลาน เพื่อไปสืบราคาค่าเหล็ก ค่าปูนว่าราคาเท่าไร พอไปจอดก็มีคนมาทำบุญ ตอนกลางคืนเวลาตี 2 ตื่นขึ้นมาเห็นคนผู้ชายและผู้หญิงแต่งตัวไม่ดี วิ่งมายืนที่หน้าตลิ่ง และมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่บนหลังคาเรือยนต์ แล้วกวักมือบอกว่า “มึงเก่งจริงมาซิวะ”

    ผลที่สุดพวกนั้นมองเห็นคนบนหลังคาเรือเข้าจึงวิ่งหนีไปหมดเลย จึงถามคนบนหลังคาเรือว่า “เป็นใคร” ให้ลงมา ท่านบอกว่า “ท่านชื่อพรสวรรค์” และพวกที่มาเป็นพวก “ผีปอบ” ตอนเช้าถามพวกแถวนั้นว่ามีผีปอบไหม เขาบอกว่า “มีมาก”

    ผีปอบก็เป็นผีที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนธรรมดาอย่างเรานี่เอง

    “ผ้ายันต์แดง” คือ “ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม” นี่ผีปอบหนี อาตมาเคยใช้มาแล้ว และให้ขอบารมีท่านพรสวรรค์ท่านอยู่บนพระนิพพานแล้ว ให้ท่านช่วยสงเคราะห์เพราะท่านปราบผีเก่ง..”

    *คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน เรื่องที่ 127 หน้า 267 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ความตายมีกับคนทุกคนที่เกิดมาในโลก ไม่มีใครจะไม่ตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าใครทั้งหมดในโลกทั้งสาม คือ มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ก็ต้องตายเหมือนกัน ตอนแรกคิดแค่ตายก่อนนะ ก็ค่อย ๆ คิดถึงความตาย ความตายท่านเรียกว่า มรณานุสสติ แต่ว่าถ้าพูดถึงสังโยชน์ก็เป็น สักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ ท่านให้คิดว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายคือธาตุ ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ รวมกันขึ้นเป็นร่างกาย แล้วก็มีอาการ ๓๒ ในเมื่ออาการทั้งหมดนี้ไม่ใช่เราแล้วใครเป็นเรา ตัวเราจริง ๆ ก็คือ จิต ตามภาษาหนังสือเรียกว่า จิต ตามภาษานักปฏิบัติเรียกว่าอทิสสมานกาย คำว่า อทิสสมานกาย ก็แปลว่า ร่างกายที่ไม่สามารถจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า อย่างที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทส่วนใหญ่ที่ได้มโนมยิทธิ ขึ้นไปบนสวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ตาม หรือไปไหนก็ตาม ตัวนั้นมันไป ร่างกายที่เป็นเนื้อมันไม่ได้ไปด้วย ตัวนั้นจริง ๆ น่ะคือเรา เราคือจิต หรือ อทิสสมานกาย ฉะนั้น เมื่อเราคือจิตหรืออทิสสมานกายในเมื่อร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่สามารถจะบังคับมันได้ถ้าของต่าง ๆ จะเป็นอะไรก็ตามถ้าเป็นของเราจริง ๆ มันต้องมีอยู่ภายใต้อำนาจของเรา ทีนี้เราไม่สามารถจะบังคับร่างกายได้ ร่างกายจะแก่เราไม่ต้องการแก่ มันก็แก่ เราไม่ต้องการ อาการป่วยไข้ไม่สบาย แต่ร่างกายมันจะป่วยเสียอย่าง มันก็ป่วย มันก็ไม่เชื่อเรา ถึงวาระที่มันจะตายเราก็บังคับมันไม่ได้

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    อยากไปนิพพานก่อนหลวงพ่อ
    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยากจะกราบพึ่งบารมีหลวงพ่อเจ้าค่ะ คือลูกปรารถนาที่จะไปมรรคผลนิพพานให้มันเร็วกว่าที่เขากำหนด เพราะมันเบื่อหน่ายร่างกายเหลือเกิน แต่ใจหนึ่งก็ไม่ห่วง แต่ใจหนึ่งก็ยังเป็นห่วง ไม่ห่วงตัวแต่ห่วงหลวงพ่อ อยากจะขออนุญาตหลวงพ่อตายก่อน ไปก่อนจะได้ไหม หรือว่าจะกลายเป็นลูกอกตัญญูขอหลวงพ่อ ได้โปรดอโหสิกรรมด้วยเถิดเจ้าค่ะ?
    หลวงพ่อ นี่…คนนี้อยู่ใกล้วัดไหน อ้าว…เผื่อพระบังสุกุลไง
    ผู้ถาม อ๋อ…เวลาตายหรือครับ?
    หลวงพ่อ ใช่…อย่างนั้นจะแนะนำให้ตายอย่าง พระโคธิกะ ก็แล้วกัน คือปาดเชือดคอตาย
    ผู้ถาม เขาว่าฆ่าตัวตายก็ตกนรกนะ…หลวงพ่อนะ
    หลวงพ่อ แต่ไปนิพพานนะ พระโคธิกะไปนิพพานนะ ถ้าเบื่อร่างกาย เบื่อจริง ๆ นะ คิดว่าร่างกายเป็นศัตรู เราหิวก็เพราะร่างกาย ป่วยไข้ไม่สบายเพราะร่างกาย มีทุกข์ทุกอย่างเพราะร่างกาย เราไม่ต้องการมันอีก ขึ้นชื่อว่าร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ อาการ ๓๒ อย่างนี้ไม่มีกับเรา เราต้องการนิพพาน เพียงแค่นนี้ก็ไปนิพพาน แต่ระวังมันเจ็บนะ เอาอย่างนี้ดีกว่า เอาตายแบบสบาย ๆ ดีกว่า อยู่เรื่อย ๆไปจนกว่าจะตายเอง ฆ่าตัวตายเดี๋ยวเกิดเจ็บขึ้นมา จิตใจฟุ้งซ่านลงนรกไปเลย
    ผู้ถาม ต้องเบื่อจริง ๆ จึงจะไปนิพพานได้
    หลวงพ่อ ใช่ ๆ
    ผู้ถาม เบื่อ ๆ อยาก ๆ เบื่อเฉพาะตอน
    หลวงพ่อ เบื่อ ๆ แต่ว่าห่วงหลวงพ่อ ไม่เบื่อจริง เบื่อต้องเป็น สังขารุเปขาญาณ ตัดทุกอย่างอารมณ์มันจะทรงตัวเอง ไม่ใช่ไปสร้างมันเกิดขึ้น ให้มันเกิดเอง ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของธรรมดา เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีกังวล ถ้าอยู่เราก็ต้องบริหารร่างกายตามธรรมดา ต้องกินข้าว ต้องถ่ายส้วม ต้องไปขี้น่ะ ต้องป่วย ต้องรักษาโรค อย่างพระพุทธเจ้าเห็นไหม
    แต่ว่าเวลาขันธ์ ๕ จะพัง มันก็เป็นเรื่องของมัน “เตสัง วูปะสะโม สุโข การเข้าไปสงบสังขารนั่นย่อมเป็นสุข” นั่นหมายความอารมณ์เราเป็นสุขจากร่างกาย เราไม่เดือดร้อนเพราะร่างกาย ร่างกายจะอยู่ก็เชิญอยู่ จะตายก็เชิญตาย ทำจิตให้เป็นสุขนะ
    ผู้ถาม เอาแค่นี้นะครับ
    หลวงพ่อ ค่อย ๆ ไป ค่อย ๆ ทำ แต่แค่เบื่อจริง ๆ ยังไป นิพพานไม่ได้นะ เบื่อเป็น นิพพาญาณ แต่อนาคามีต้องเป็น สังขารุเปกขาญาณ วางเฉยในขันธ์ ๕

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...