เพิ่มพลังให้ตนเอง

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 21 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (1) พลังคำพูดด้านบวก<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p>[​IMG]
    </O:p>
    <O:p> </O:p>
    คุณทราบหรือไม่ว่า จิตสำนึก และจิตใต้สำนึก เป็นตัวควบคุมการกระทำของ<O:p></O:p>
    คนเราทั้งหมด และสิ่งควบคุมจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกอีกทีนั้น ก็คือ คำพูด <O:p></O:p>
    นั่นเอง !!!<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    นักปราชญ์ตะวันออก มักจะสอนให้คนเราระมัดระวังในการใช้คำพูดให้ดี<O:p></O:p>
    ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    คำพูดด้านลบ ถ้าได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเกิดจากตัวเราเองหรือ<O:p></O:p>
    ผู้ใกล้ชิด หรือผู้อื่น จะถูกจิตใต้สำนึกบันทึกสะสมไว้ตลอดเวลา ซึ่งจะส่ง<O:p></O:p>
    ผลให้จิตใจ ห่อเหี่ยว เศร้าหมอง ใจเสีย ใจหาย เจ็บใจ คับแค้น <O:p></O:p>
    เป็นต้น<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    ตัวอย่างคำพูดจากตนเอง<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผมทำไม่ได้ ผมทำไม่เป็น ผมไม่เคยทำ ผมเป็นคนโชคร้าย ผมแก่เกินไป<O:p></O:p>
    ผมไม่มีความสามารถ ผมเป็นคนจน ผมไม่แข็งแรง ผมคิดไม่เป็น ผมไม่มี<O:p></O:p>
    เงิน ผมเรียนน้อย <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    ตัวอย่างคำพูดจากผู้ใกล้ชิดและผู้อื่น<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    โง่งี่เง่า คนไม่เอาไหน คนซื่อบื้อ คนขี้โรค คนสารเลว เซ็ง น่าเบื่อ<O:p></O:p>
    คนปัญญาทึบ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง คนประสาท คนไม่มีความจำ<O:p></O:p>
    คนปัญญาอ่อน<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เมื่อจิตใต้สำนึกได้บันทึกคำพูดเหล่านี้ไว้ ไม่เร็วก็ช้า สักวันหนึ่ง ก็จะสะท้อน<O:p></O:p>
    หรือระบายออกมา และเมื่อนั้น ก็จะก่อให้เกิดความผิดปกติขึ้นแก่ร่างกาย<O:p></O:p>
    และจิตใจของคนนั้น ส่งผลเสียตั้งแต่น้อยจนถึงมาก เป็นต้นว่า เป็นคน<O:p></O:p>
    อ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรง ท้อแท้ สิ้นหวัง เครียด จนถึงเจ็บป่วย เป็นต้น<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะเปลี่ยนคำพูดด้านลบ มาเป็นด้านบวกกัน<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    ตัวอย่างการเปลี่ยนคำพูดจากด้านลบมาเป็นด้านบวก<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผมทำไม่ได้ เปลี่ยนเป็น ผมต้องทำให้ได้<O:p></O:p>
    ผมไม่เคยทำ เปลี่ยนเป็น ผมจะลองทำเดี๋ยวนี้<O:p></O:p>
    ผมรู้แต่ภาษาอังกฤษ เปลี่ยนเป็น ผมจะเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ<O:p></O:p>
    ให้ได้หลาย ๆ ภาษา<O:p></O:p>
    ผมเคยทำอย่างนี้ เปลี่ยนเป็น ผมจะคิดใหม่ทำใหม่ทั้งหมด<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    คำพูดดี ๆ ที่ควรจะพูดให้แก่ตัวเอง วันละ 2 เวลา โดยเฉพาะเวลาเช้าและ<O:p></O:p>
    ก่อนนอน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คลื่นสมองต่ำ (ควรพูดเสียงดังพอสมควร แต่<O:p></O:p>
    ให้หนักแน่น) และแต่ละเวลา ควรพูดย้ำสัก 3 ครั้ง ปฏิบัติเช่นนี้ต่อเนื่อง<O:p></O:p>
    กัน 1 เดือนขึ้นไป ก็จะเริ่มเห็นผลดีชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้เป็นคนมีความ<O:p></O:p>
    มั่นใจในตนเองสูงขึ้น เรียนหนังสือดีขึ้น ความรู้สึกดี ๆ กับคนรอบข้าง และ<O:p></O:p>
    จะประสบความสำเร็จตามที่พูดไว้กับตัวเอง แต่สิ่งสำคัญก็คือ <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (2) พลังสติ



    [​IMG]


    พลังสติ หมายถึง สภาวะที่จิตใจของคนเราเป็นหนึ่งเดียวในการจดจ่อกับ
    สิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน

    สติ คือ ความรู้สึก, ความรู้สึกผิดชอบ, ความระลึกได้
    (ถ้าจะให้เข้าใจได้ง่าย หมายถึง นึกได้ ระลึกได้ ไม่ลืม ไม่เผลอ)

    มักจะใช้คู่กับคำอื่น ที่รู้จักกันดี ได้แก่
    สติปัญญา สติใช้คู่กับปัญญา หมายถึง ปัญญารอบคอบ
    สติสัมปชัญญะ สติใช้คู่กับสัมปชัญญะ หมายถึง ความระลึกได้และ
    ความรู้ตัว, ความรู้สึกตัวด้วยความรอบคอบ

    เราเคยเป็นบ่อยหรือไม่ เมื่อเรากำลังทำภารกิจใดอยู่ เช่น กำลังเรียนหนังสือ
    กำลังทำงาน กำลังประชุม กำลังเล่นกีฬา เป็นต้น แต่จิตใจเราจะล่องลอยไป
    เรื่องอื่น ๆ สภาวะเช่นนี้แหละเป็นสภาวะที่เราไม่ค่อยมีสติ

    คนเราพอจะแบ่งออกได้ เป็น 3 ประเภท ตามระดับของพลังสติ

    1. คนที่มีพลังสติน้อย คนประเภทนี้ มักจะควบคุมจิตใจของตนเองไม่ค่อยได้
    มีสมาธิสั้น มีความสามารถในการควบคุมจิตใจของตนเองให้จดจ่อกับภารกิจใน
    ปัจจุบันได้น้อย มักปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปกับเรื่องในอดีต หรือในอนาคต
    เสมอ ควบคุมความคิดของตนเองไม่ค่อยได้ สิ่งเร้ารอบตัวมีอิทธิพลต่อจิตใจและ
    อารมณ์ของคนประเภทนี้มากที่สุด

    2. คนที่มีพลังสติค่อนข้างดี หรือมีสมาธิค่อนข้างสุง มีความสามารถในการ
    ควบคุมจิตใจของตนเองให้จดจ่อกับภารกิจที่ทำในปัจจุบันได้ค่อนข้างดี
    สามารถควบคุมความคิดของตนเองให้คิดในเรื่องที่ควรคิด (คิดในเรื่องที่จะทำให้
    จิตใจเบิกบานสดใส) และไม่คิดในเรื่องที่ไม่ควรคิด (คิดในเรื่องที่จะทำให้จิตใจ
    เศร้าหมอง) ได้อย่างดี สิ่งเร้ารอบตัวมีอิทธิพลต่อจิตใจและอารมณ์ของคน
    ประเภทนี้น้อยกว่าคนประเภทแรกมาก

    3. คนที่มีพลังสติดีมาก มีสติหรือมีสมาธิสูง สามารถควบคุมจิตใจของตนเอง
    ได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถควบคุมจิตใจของตนเองให้จดจ่อกับภารกิจที่ทำ
    ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเป็นระยะเวลานาน สามารถควบคุมจิตใจตนเอง ให้อยู่ เหนือสิ่งเร้ารอบตัวที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของเรา ให้หันเหออกไปจาก สิ่งที่ตัวเองทำอยู่ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เช่น ดูหนังสือได้อย่างมีสมาธิ ในขณะที่คนรอบข้างคุยกันเสียงดังอย่างสนุกสนาน ไม่ทานอาหารที่เป็นโทษ ต่อร่างกายทั้ง ๆ ที่เพื่อนทุกคนในโต๊ะอาหารกำลังทานอาหารนั้น อยู่อย่าง เอร็ดอร่อย เป็นต้น


    ความจริงทุกคนมีสติด้วยกันทุกคน จะต่างกันก็แต่เพียงว่า บางคนได้รับการฝึกฝน
    ในเรื่องนี้มามากก็มีสติสูง บางคนได้รับการฝึกฝนในเรื่องนี้มาน้อยก็เป็นคนที่ไม่
    ค่อยมีสติ

    คนที่มีสติสูงก็จะมีความรู้สึกตัวสูงทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ สามารถควบคุม
    ทุกอิริยาบถของชีวิตได้อย่างเหมาะสม เช่น การนั่ง ยืน เดิน วิ่ง เป็นต้น
    บุคคลเหล่านี้จะมีบุคคลิกภาพที่สง่างาม สำรวม สามารถควบคุมพฤติกรรม
    ของชีวิตของตัวเองได้


    สติจึงเปรียบเหมือนหางเสือของชีวิตที่คอยควบคุมชีวิตของคนเราให้เดินไปตาม
    ทิศทางที่เรามุ่งหมายได้อย่างรวดเร็ว แน่นอน และมั่นคง

    การฝึกสติหรือฝึกสมาธิจึงเป็นความจำเป็นพื้นฐานในการพัฒนาของทุกเรื่องใน
    ชีวิตของคนเรา



    วิธีทดสอบสติแบบง่าย ๆ

    1. ลองถามตัวเองดูว่า รู้หรือไม่ว่าตอนนี้เรากำลังหายใจเข้าหรือออก
    ถ้าไม่รู้ต้องหยุดคิด แสดงว่ายังไม่มีสติเท่าไร เรามักไม่ค่อยรู้ทัน
    ลมหายใจของเรา ลืมลมหายใจกันเป็นส่วนมาก

    2. ดูสิ่งกระทบ ว่าจิตใจเราหวั่นไหวหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน มีความฉับไวใน
    ความคิดหรือไม่ หากเกิดอารมณ์ขึ้น เรารู้ทันอารมณ์หรือไม่
    หากเราไม่หวั่นไหว ไม่มีอารมณ์ ไม่เสียใจ ไม่ดีใจ มีแต่ความสงบ
    วางเฉย นั่นหมายถึง จิตมีสติ ไม่มีการปรุงแต่งอารมณ์

    3. คนที่มีอารมณ์มาก แสดงว่า สติอ่อน คนที่มีอารมณ์น้อย แสดงว่า
    สติมาก คนที่โกรธแล้วหายไว แสดงว่า สติมาเร็ว แต่ถ้าโกรธแล้ว
    ค้างอยู่นาน แสดงว่า สติมาช้า

    4. ดูพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ว่า คิด พูด ทำ เป็นสาระมากน้อย
    เพียงใด ถ้าสติมาก ชีวิตก็จะเป็นสาระมาก ถ้าสติน้อย ชีวิตก็จะเป็น
    สาระน้อยไปด้วย

    5. นับลมหายใจ คนที่สามารถนับลมหายใจเข้าออกลึก ๆ ของตัวเองได้
    นับ 1 - 20 (หายใจเข้า 1 ครั้ง และหายใจออก 1 ครั้ง นับ 1) อย่าง
    ต่อเนื่อง โดยไม่ลืมหรือไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลย จัดได้ว่าเป็นคนที่มีสติดี

    6. คนที่พอหัวถึงหมอน ก็นอนหลับแล้ว เป็นคนที่มีสติดี


    ประโยชน์ของสติ

    1. ทำให้เป็นคนสงบเย็น เพื่อน บริวาร และบุคคลอื่น อยากเข้าใกล้
    2. ทำให้ความจำดี ไม่ค่อยลืมอะไรง่าย
    3. ทำให้เป็นคนมีจิตใจดี กินได้ นอนหลับ
    4. ทำให้ชีวิตมีความสุข เพราะสติจะช่วยหยุดการกระทำที่ไม่ดี
    ระงับกิเลส และอกุศลไม่ให้เกิดขึ้นในใจ


    วิธีเพิ่มพลังสติให้กับตนเองแบบง่าย ๆ ใช้กับชีวิตประจำวัน

    1. ให้เฝ้าติดตามดูจิต รักษาอารมณ์ให้พอดี ๆ ตามหลักทางสายกลาง
    เมื่อกระทบกับอารมณ์ที่ทำให้ไม่พอใจ หรืออารมณ์ที่ทำให้พอใจ
    พยายามรักษาใจให้เป็นปกติ ไม่แสดงออกจนเกินไป

    2. ฝึกหัดหายใจให้ยาวขึ้นกว่าปกติ การหายใจยาว แสดงถึง ความมี
    สุขภาพกาย และสุขภาพใจที่ดี และจะทำให้รู้สึกตัวชัดเจน
    ทั้งยังช่วยให้จิตใจสงบ ร่างกายสบาย

    3. คิดดี พูดดี และทำดี อย่างมีสติ และมีสาระ คือ คิดให้รอบคอบ
    คิดให้ดีก่อนที่จะพูด และคิดให้ดีก่อนที่จะทำ

    4. ช่วงเวลาก่อนนอน 10-20 นาที ควรจักทบทวนชีวิตตั้งแต่ตื่นนอน
    ในตอนเช้าเป็นต้นมา จนถึงเวลานี้ มีเรื่องที่ทำให้เราพอใจ และไม่
    พอใจอะไรบ้าง ที่มากระทบอารมณ์ของเรา ให้ตั้งสติทบทวนดู เพื่อ
    จะได้เป็นบทเรียนไว้แก้ไขปรับปรุงตัวต่อไป ไม่ให้ผิดพลาดอีก แล้ว
    พยายามปล่อยวางเสีย เพราะอดีตผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

    5. ก่อนนอน จะนั่งหรือจะนอนก็ได้ นับลมหายใจเข้าออก โดยหายใจ
    ลึก ๆ นับ 1 – 20 (หายใจเข้า 1 ครั้ง และหายใจออก 1 ครั้ง
    นับ 1 ในใจ) อย่างต่อเนื่อง หากลืมไม่รู้นับถึงไหนแล้ว
    ให้ขึ้นต้นใหม่ ทำ 3 รอบติดต่อกัน (หากทำไม่ได้ ก็ทำเท่าที่
    ทำได้ และวันต่อไปให้พยายามทำใหม่) (จะทำเวลาเครียด
    หรือเวลาอื่นใดตามสะดวกก็ได้)

    6. หมั่นนั่งสมาธิเป็นประจำ จะช่วยให้ใจสงบ และเพิ่มความมีสติระลึกรู้
    ได้เป็นอย่างดี



    จงหมั่นฝึกฝนเจริญสติบ่อย ๆ ก็จะเป็นการเพิ่มพลังสติให้กับตัวเอง
    ไม่นานนักแล้วท่านจะพบว่า ท่านจะมีพลังสติเพิ่มขึ้นมากทีเดียว




    อ้างอิง : 1. เกียรติวรรณ อมาตยกุล , “พลังแห่งความเชื่อมั่น”, 2540
    2. ดร.สนอง วรอุไร, “ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข”, 2548
    3. พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก, “สติ เป็นธรรมเอก”, 2551
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (3) พลังจิต



    [​IMG]


    คำจำกัดความของ จิต ในแง่วิทยาศาสตร์และธรรมชาติ

    จิต เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง ที่มีความถี่ละเอียด เกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา
    และเคลื่อนที่เร็วมาก เพียงแค่นึกก็ไปถึงทันที ไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหน


    หน้าที่ของจิต

    จิต มีหน้าที่ 3 อย่าง

    1. รับสิ่งกระทบจากภายนอก (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เข้ามาปรุงแต่ง
    เป็นอารมณ์ ถ้าสิ่งกระทบไม่ดี อารมณ์ก็จะไม่ดี ถ้าสิ่งกระทบดี
    อารมณ์ก็จะดี

    2. สั่งสมองให้คิด สั่งปากให้พูด และสั่งร่างกายให้ทำ

    3. สั่งสมพฤติกรรม ทั้งดีและไม่ดี ที่คิดพูดและทำ ไปแล้ว


    วิธีตรวจวัดพลังจิต แบบง่าย ๆ

    1. เรานอนแต่ละวันกี่ชั่วโมง ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ยังอยากจะนอนต่อ
    อีกหรือไม่ ยังง่วงเหงาหาวนอนหรือไม่ ถ้ายังอยากจะนอนต่อ
    ยังง่วงเหงาหาวนอนอยู่อีก แสดงว่า พลังยังพร่อง ต้องเติมพลัง

    (คนที่ฝึกจิตมาดี จะมีพลังเต็มที่ สามารถทำงานได้ทั้งวัน
    เป็นระยะเวลานานกว่าคนธรรมดา ถึงแม้จะนอนน้อยก็ตาม)

    2. จิตของเรามีพลังเพียงใด ให้ดูจากความขยันของเรา หากความ
    ขยันเพิ่มขึ้น ความขี้เกียจจะลดลง นั่นแสดงว่า จิตของเรามี
    พลัง

    (แต่จิตจะต้องได้รับการฝึกฝนด้วย ที่เรียกว่า การเจริญจิต พัฒนาจิต
    การฝึกอบรมจิตใจ จิตที่ได้รับการฝึกฝนดี ย่อมนำความสุขมาให้
    สมดังพระพุทธภาษิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)


    คนสมัยนี้ส่วนมาก มักจะใช้เวลาไปกับการดูแลร่างกายมากกว่าจิต
    จึงควรหันมาสนใจในการเพิ่มพลังจิตให้มากขึ้น โดยมีเป้าประสงค์
    ดังนี้

    1. ให้จิตใจเข้มแข็งมั่นคง เจริญงอกงามไปด้วยคุณธรรมทั้งหลาย
    เช่น มีเมตตากรุณา ความขยันหมั่นเพียร และความอดทน
    2. มีสมาธิดี
    3. มีความสดชื่น เบิกบาน เป็นสุขผ่องใส อยู่เสมอ


    วิธีเพิ่มพลังจิต

    1. หมั่นทำจิตให้บริสุทธิ์ มีจิตเป็นปกติ ด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา
    (ถ้าจิตผิดปกติแล้ว ก็ทำให้เกิดโรคได้มากมาย)
    2. มีความพอใจ และมีความสุขกับการทำงาน กิจกรรม หรืองาน
    อดิเรก ซึ่งเป็นอุบายทำให้จิตปกติ
    3. พยายามลดความวิตกกังวล ความระแวง ความซึมเศร้า ความจำ
    เสื่อม นอนไม่หลับ โดยพยายามทำจิตใจให้สงบ แก้ไขที่
    ต้นเหตุ และรีบรักษาพยาบาล
    4. เพิ่มพลังจิตด้วยสมาธิ ซึ่งเป็นขั้นต้น เป็นการฝึกจิตที่ดี ทำให้จิต
    มีพลัง และหมั่นเติมเต็มให้แก่จิตอยู่เสมอ
    5. เพิ่มพลังจิตด้วยสติ โดยฝึกไปพร้อม ๆ กับสมาธิ ปกติสติจะเกิด
    ขึ้นพร้อม ๆ กับการฝึกสมาธิอยู่แล้ว
    6. เพิ่มพลังจิตด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด จะทรงพลังสุด ๆ

    (หมายเหตุ : สมาธิขั้นต้น ได้แก่ ขณิกสมาธิ เกิดจากจิตที่นิ่งชั่ว
    ขณะสั้น ๆ เหมาะสำหรับนำไปใช้ในการศึกษาเล่าเรียนและการทำงาน
    สมาธิขั้นกลาง ได้แก่ อุปจารสมาธิ เกิดจากจิตที่สงบนิ่งนานขึ้น
    และมีพลังงานมากขึ้น เหมาะสำหรับใช้ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้
    เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ส่วน สมาธิขั้นสูง ได้แก่ อัปปนาสมาธิ จิตจะนิ่ง
    จนเป็นฌาน ถอดจิตออก ไม่รับรู้สิ่งกระทบใด ๆ)


    การเพิ่มพลังจิต เพื่อนำไปใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวัน การประกอบ
    กิจการงาน หรือการศึกษาเล่าเรียน ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็น่าจะ
    เพียงพอแล้วในเบื้องต้น

    ส่วนท่านที่สนใจในระดับที่สูงขึ้นไป ก็ควรผ่านการฝึกฝนในระดับเบื้องต้น
    ก่อน และศึกษาเรียนรู้และฝึกปฏิบัติจากผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ใน
    ระดับสูงโดยตรงต่อไป



    ----------------------------------------------------------------------------
    อ้างอิง : 1. ดร. สนอง วรอุไร, " ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข", 2548
    2. ภันเต คุณารัตนา มหาเถระ, "สติ ด้วยภาษาง่าย ๆ", 2544
    (แปลและเรียบเรียงโดย พ.ญ.ชวาลา เธียรธนู จาก
    Mindfulness in Plain Engligh by Venerable
    Henepola Gunaratana Mahathera)
    3. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข, "คู่มือการดูแล
    สุขภาพจิตผู้สูงอายุ", 2543
    4. เกียรติวรรณ อมาตยกุล, "พลังแห่งความเชื่อมั่น",2540
    5. พุทธทาสภิกขุ, "ความมีจิตปรกติ คือ ยาวิเศษ",2526
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (4) พลังกาย




    [​IMG]



    ในแต่ละวัน คนเราจะใช้พลังทั้งกายและใจ มากน้อยแตกต่างกันไป
    บางคนทำงานในแต่ละวันด้วยพลังกาย พลังกายจึงหมดไปเป็นจำนวน
    มาก บางคนทำงานท่ามกลางความกดดันสูง มีความเครียดมาก
    พลังใจจึงหมดไปเมื่อสิ้นวันเป็นจำนวนมาก

    ในครั้งนี้จะขอกล่าวเฉพาะการเพิ่มพลังกายให้ตนเอง

    พลังกายที่แข็งแรง หมายถึง การมีสุขภาพกายที่ดี ร่างกายแข็งแรง
    สมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน สามารถประกอบ
    กิจการงานในชีวิตประจำวันได้ดี และยาวนานกว่าปกติ ความเหนื่อย
    น้อยลง มีความอดทนสูง มีความกระปรี้กระเปร่า ว่องไวและ
    กระฉับกระเฉง

    แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ร่างกายเราแข็งแรงแล้ว หรือเรียกว่า
    ร่างกายเราฟิตแล้ว

    ข้อทดสอบความฟิตของร่างกาย แบบง่าย ๆ

    1. ท่านปฏิบัติภารกิจในชีวิตประจำวัน ท่านรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือ
    อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง หรือง่วงเหงาหาวนอน กว่าปกติหรือไม่

    2. ท่านมีน้ำหนักตัว เกินหรือน้อยกว่า มาตรฐาน มากหรือไม่
    ชาย ส่วนสูง (ซม.) - 100 = น้ำหนักมาตรฐานชาย (กก.)
    หญิง ส่วนสูง (ซม.) - 110 = น้ำหนักมาตรฐานหญิง (กก.)

    3. ท่านรับประทานอาหารได้และนอนหลับดี หรือไม่

    4. ท่านเดินขึ้นที่สูง หรือที่ลาดชัน เช่น ขึ้นสะพานลอย รู้สึกเหนื่อยกว่า
    ปกติ หรือไม่

    5. ท่านรู้สึกตัวว่า มีความคล่องแคล่วว่องไว กระฉับกระเฉง และมี
    ความยืดหยุ่นดี หรือไม่

    6. ท่านได้ออกกำลังให้หัวใจท่านบ้างหรือไม่ เช่น วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ
    หรือถีบจักรยาน

    7. ท่านได้ตรวจร่างกายที่จำเป็น เป็นระยะ ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์
    บ้างหรือไม่


    เป้าประสงค์ในการเพิ่มพลังกาย

    1. ให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น พร้อมสู้งานหนักกว่าปกติได้ดี
    2. ร่างกายสมส่วน
    3. ไม่เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะขึ้นที่สูง
    4. มีความคล่องแคล่วว่องไว และมีความยืดหยุ่นสูง
    ในการปฏิบัติงานและป้องกันอุบัติเหตุ
    5. มีหัวใจที่แข็งแรง
    6. โรคต่าง ๆ เหล่านี้ มักจะหายไป ได้แก่ โรคเครียด
    โรคประสาท โรคกระเพาะ และโรคหัวใจ
    7. มีภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มขึ้น เช่น หวัด ภูมิแพ้
    8. มีความสดใส ร่าเริง เป็นนิจ


    การออกกำลังกาย มีหลายวิธีที่นิยมกัน แต่จะเน้นไม่เหมือนกัน

    ฟิตเนส เซ็นเตอร์ เน้น กล้ามเนื้อ
    วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ จักรยาน เน้น หัวใจ
    โยคะ เน้น ความยืดหยุ่น การหายใจ
    แอโรบิก เน้น ความยืดหยุ่น ความคล่องแคล่ว
    ว่องไว และหัวใจ

    ข้อควรระวัง

    1. เด็ก ผู้ใหญ่ควรระมัดระวังให้มาก เมื่อเด็กมักจะไปออกกำลัง
    ตามผู้ใหญ่ ควรระมัดระวังอันตราย และความพอเหมาะ
    พอควรสำหรับเด็กด้วย
    2. ผู้สูงอายุ การวิ่งมากจะทำให้ให้หัวเข่าเจ็บ อักเสบ และเสื่อมเร็ว
    กว่าปกติ ทั้งยังไม่เหมาะกับการเต้นแอโรบิก
    ควรออกกำลังด้วยการเดินให้มาก หรือ เดินเร็วหรือวิ่ง
    เหยาะบ้าง (บางโอกาส)
    3. ผู้ออกกำลังในฟิตเนส เซ็นเตอร์ มักจะเน้นไปที่กล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่
    แต่ขาดการออกกำลังหัวใจ ปอด ให้แข็งแรง จึงควรเสริม
    การออกกำลังหัวใจ และปอด ให้แข็งแรงด้วย
    4. ผู้ออกกำลังด้วยกีฬากอล์ฟ ควรระมัดระวังยาพ่นฆ่าแมลงตกค้าง ตาม
    แฟร์เวย์และกรีน ให้มาก เพราะจะหายใจรับยาเต็ม ๆ เมื่อฉีด
    พ่นใหม่ ๆ ทางสนามก็ควรกำหนดเวลาฉีดพ่นที่ปลอดภัย
    โดยประกาศให้นักกอล์ฟได้ทราบให้ชัดเจน และตรวจสาร
    อันตรายตกค้างเป็นประจำด้วย
    5. ผู้ออกกำลังด้วยการว่ายน้ำตามสระว่ายน้ำ ควรระมัดระวังในเวลา
    พนักงานประจำสระใส่คลอรีน เพื่อฆ่าเชื้อโรคในสระ เวลา
    ใส่ใหม่ ๆ และใกล้กับผู้ว่ายน้ำอยู่จะอันตรายมาก มีผู้ได้รับ
    อันตรายแล้ว พนักงานควรใส่ในเวลากลางคืน เมื่อปิดสระ
    หรือเช้ามืด ยังไม่เปิดสระ ที่ไม่มีผู้ว่ายน้ำแล้ว โดยทิ้งระยะ
    เวลาห่างจากเวลาที่เปิดบริการให้มาก แต่บางสระมีเครื่อง
    ทันสมัย ใส่อัตโนมัติก็จะลดอันตรายไปได้มาก


    วิธีเพิ่มพลังกายให้ตนเอง ที่ได้ผลในเวลารวดเร็ว

    1. วิเคราะห์ความเหมาะสมของตนเองก่อน ว่าจะเหมาะกับการออกกำลัง
    กายประเภทใด
    2. ปกติ การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มพลังที่เหมาะสมและได้ผลในเวลา
    รวดเร็ว ได้แก่ วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ และจักรยาน โดยให้หัวใจทำงาน
    เพิ่มขึ้น หรือรู้สึกเหนื่อยกว่าปกติพอสมควร แต่ละครั้ง ไม่น้อยกว่า
    20 นาที 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ตามหลักออกกำลังแบบแอโรบิก ของ
    ดร. คูเปอร์ (ว่ายน้ำ ไม่ใช่ ไปลอยคอเล่นกันในสระ แต่ต้องว่ายเอา
    ระยะทาง)
    3. สำหรับ ผู้สูงอายุ ควรออกกำลังกายด้วยการเดินดีที่สุด หรือเดินเร็ว
    หรือเดินสลับวิ่งบ้างในบางโอกาส แต่ไม่ควรมากเกินไป จะเป็น
    อันตรายต่อข้อเข่า
    4. สำหรับ ผู้มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย
    5. ผู้มีร่างกายผอมบาง หากประสงค์จะเพิ่มกล้ามเนื้อ ควรออกกำลัง
    ในฟิตเนส เซ็นเตอร์ โดยมีหลักสำคัญ "กล้ามเนื้อ ชอบงานหนัก"
    จึงจะได้ผล และอยู่ในความควบคุมของผู้สอนที่มีความรู้และประสบการณ์
    6. ผู้มีร่างกายท้วม หรืออ้วน หากประสงค์จะลด ควรลดอาหารประเภท
    ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง พร้อมทั้งออกกำลังกาย
    เผาผลาญแคลอรีให้มากกว่าที่รับประทานเข้าไป
    7. ผู้ที่รู้สึกตัวไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ก็ควรจะต้องออกแรง เช่น เล่นกีฬา หรือ
    ทำไร่ ทำสวน ทำสวนครัว ก็ได้ และดีเสียอีก เป็นประโยชน์ในทาง
    เศรษฐกิจด้วย


    ทั้งหมด ก็กล่าวได้แต่เพียงหลักการสั้น ๆ เท่านั้น หากมีผู้สนใจก็คงต้องเข้าสู่
    ภาคการปฏิบัติกันเลย


    -------------------------------------------------------------------------------

    อ้างอิง : 1. สุรศักดิ์ ชวยานันท์ , "วิธีเสริมพลังกายและพลังใจ จาก
    ธรรมชาติ", 2547
    2. สุรศักดิ์ ชวยานันท์, "แนวคิดสู่สุขภาพที่ดี", 2545
    3. สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุข,
    " คู่มือการออกกำลังกายพื้นฐานสำหรับผู้สูงอายุ"
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (5) พลังสมอง




    [​IMG]


    โลกเราเจริญก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะพลังสมองของคนเรา
    นั่นเอง ! คำกล่าวนี้ ไม่ได้เกินเลยความเป็นจริงเลย

    แต่คุณทราบไหมว่า ทุกวันนี้ เราใช้สมองกันเพียง 1 ใน 3 ของ
    ศักยภาพของสมองเท่านั้น หากเราสามารถฝึกสมอง 2 ใน 3 ที่ยัง
    ไม่ได้ใช้งาน มาใช้งานได้แล้ว ผู้นั้นจะฉลาดเพิ่ม 3 เท่า ตามคำ
    กล่าวของ ศาสตราจารย์ จิจิซุ ริฮิโคะ สาขาแพทยศาสตร์
    มหาวิทยาลัยโตเกียว

    ความจริงอีกประการหนึ่ง สมองมนุษย์ยิ่งใช้ยิ่งเจริญ และวงการแพทย์
    เชื่อว่า สมองของมนุษย์ยังสามารถพัฒนาต่อไปได้ แม้เมื่อเข้าสู่
    วัยชรา นั่นก็หมายความว่า สามารถจะใช้งานไปได้จนกว่าจะหมด
    อายุขัยเลยทีเดียว ซึ่งความจริงนี้ ไม่ค่อยจะได้ทราบกัน เป็นอวัยวะ
    เดียวที่ยังคงความเป็นหนุ่มสาว ในขณะที่อวัยวะอื่นเสื่อมทรุดโทรม
    ไปจนหมดสิ้น

    แต่มีข้อแม้อยู่บ้างว่า เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ อย่าเฉื่อยชาเป็นอันขาด
    เพราะนั่นจะเป็นสาเหตุสำคัญของ สมองเสื่อม

    มารู้จักกับหน้าที่ที่สำคัญของสมอง แบบชาวบ้าน กันก่อน
    1. เรียนรู้
    2. จำ
    3. คิดและวิเคราะห์
    4. ตัดสินใจ

    การวัดพลังสมองในโลกสมัยใหม่
    1. จำนวนการจดสิทธิบัตรคิดค้นอะไรใหม่ ๆ
    2. ความจำในความรู้ที่เป็นประโยชน์ที่ดีที่สุดและล่าสุด
    3. ความสามารถในการแข่งขันในทุกที่และทุกโอกาส
    4. ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลทุกมุมโลกในเวลาที่ต้องการ
    5. การสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายที่กว้างขวาง
    6. การแก้ปัญหายาก ๆ และซับซ้อน ได้สำเร็จ และนำไปใช้ประโยชน์
    7. การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ทรัพยากรที่มีอยู่ในโลก
    8. ความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการและเทคโนโลยี

    อาหารบำรุงสมอง
    1. ปลา
    2. ผักและผลไม้
    3. ลดอาหารไขมัน
    4. จิตสงบ / สมาธิ


    วิธีเพิ่มพลังสมองให้ทรงพลัง

    1. ปรับเปลี่ยนการใช้สมองส่วนใหญ่ซึ่งใช้กันมาก จาก "จำ"
    มาเป็น "คิดและวิเคราะห์" ให้มากขึ้น

    2. ปรับเปลี่ยนกระบวนการคิด ให้ถูกต้อง โดยแบ่งเป็น
    คิดสร้างสรรค์ (คิดต่อยอด, คิดสิ่งใหม่ ๆ) และคิดแก้ปัญหา
    (อริยสัจจ์ 4) รวมทั้ง คิดแบบ 360 องศา, คิดอย่างเป็นลำดับ
    ขั้นตอน อย่างมีเหตุมีผล, คิดใหม่ทำใหม่ คิดนอกกรอบ
    หาข้อมูลเป็น และรู้จักประยุกต์เป็น เป็นต้น

    3. ปรับเปลี่ยนพัฒนาความจำให้ดีขึ้น โดยการหมั่นทบทวนอยู่เสมอ
    เพราะสิ่งที่จำได้ในวันนี้ พรุ่งนี้ก็จะลืมไปครึ่งหนึ่งแล้ว
    เหลืออยู่เพียงครึ่งหนึ่ง แล้ววันมะรืนนี้ก็จะลืมไปอีกครึ่งหนึ่ง ไป
    เรื่อย ๆ จนจำอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้มีการทบทวน

    4. ปรับเปลี่ยนกระบวนการตัดสินใจให้ถูกต้อง ว่าจำเป็นต้องตัดสินใจ
    เมื่อไร และเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด

    5. บริหารสมอง เพื่อช่วยให้สมองแข็งแรงและทำงานอย่างสมดุล
    ทั้ง 2 ซีก รวมทั้ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้มากขึ้น และ
    ยังช่วยทำให้เกิดการผ่อนคลายความตึงเครียด ซึ่งสามารถจะฝึกได้
    ในทุกระดับอายุ ทั้งหมดมีอยู่ 4 กลุ่ม (การเคลื่อนไหวสลับข้าง,
    การยืดร่างกาย, การเคลื่อนไหวเพื่อกระตุ้น และท่าบริหารร่างกาย
    ง่าย ๆ) เช่น เดินแบบ Marching, วิ่งเหยาะอยู่กับที่, นวดขมับด้วย
    นิ้วชี้วนเป็นวงกลม, สองมือปิดตาสักพัก และใช้นิ้วมือ 2 ข้าง เคาะ
    ศีรษะเบา ๆ ทั่วศีรษะ เป็นต้น

    6. ผู้ที่ใช้แรงงาน ควรหาโอกาสฝึกใช้สมองบ้าง และผู้ที่ทำงานใช้สมอง
    ก็ควรหาโอกาสออกกำลังกายบ้าง จะทำให้สมองแจ่มใสดียิ่งขึ้น

    7. หายใจ เข้า-ออก ช้า ๆ และลึก ๆ แต่อย่ากลั้นลมหายใจ (สมอง
    ต้องการออกซิเจน)

    8. ดื่มน้ำบริสุทธิ์ให้มาก วันละ 8 - 12 แก้ว (สมองเป็นอวัยวะที่
    สูญเสียน้ำได้รวดเร็วมาก)

    9. นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง จะทำให้ความคิดอ่านแจ่มใส

    10. ศึกษาค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ต อ่านหนังสือตำรา ชมนิทรรศการ
    งานแสดงต่าง ๆ ให้มาก และไต่ถามหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์
    จากผู้รู้ เป็นต้น ในการที่จะคิดต่อยอด หรือคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ



    หวังว่า ท่านคงจะเริ่มเพิ่มพลังสมองของท่านตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ...
    แล้วความสำเร็จจะเป็นของท่านอย่างแน่นอน


    -----------------------------------------------------------------------------
    อ้างอิง : 1. มนต์ทิวา ชัยพิพัฒนานันท์, กำเนิดความคิด , 2530
    2. ป. แผนสำเร็จ, วิธีสร้างสมองให้เป็นอัจฉริยะ กับ เข็มทิศ
    สงครามธุรกิจ, 2540
    3. ดร. พัชรีวัลย์ เกตุแก่นจันทร์, การบริหารสมอง, 2544
    4. Toyoo Toyosawa, คิดเป็น ก็รวยได้, 2548
    (แปลและเรียบเรียงโดย ผศ. ประยูร เชี่ยววัฒนา และ
    Nobuhiko Aikawa)
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (6) พลังสมาธิ



    [​IMG]


    ก่อนอื่น ขอมาทำความเข้าใจในเบื้องต้นให้ตรงกันสักเล็กน้อย ก่อนว่า

    สมาธิ คือ อะไร

    สมาธิ คือ ความตั้งมั่นแห่งจิต ความสำรวมใจให้แน่วแน่ เพื่อเพ็งเล็งใน
    สิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยพิจารณาอย่างเคร่งเครียด เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง
    ในสิ่งนั้น นั่นคือความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
    พ.ศ. 2525 ที่ได้ให้ความหมายไว้

    คราวนี้ ลองมาดูความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
    ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 11 ของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ได้ให้ความหมาย
    ของคำว่า สมาธิ หมายถึง ความมีใจตั้งมั่น ความตั้งมั่นคงแห่งจิต การ
    ทำให้ใจสงบแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน การมีจิตกำหนดแน่วแน่อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    โดยเฉพาะ


    ประโยชน์ของสมาธิ

    ตามปกติ มนุษย์หรือสัตว์นั้นมีสมาธิโดยธรรมชาติในตัวอยู่แล้ว เช่น ในการ
    วาดเขียนวงกลม หรือ แมวที่จ้องตะครุบหนู นั่นเป็นสมาธิโดยธรรมชาติ
    แต่จะยิ่งดีมากขึ้น ถ้าได้รับการฝึกฝนและทำซ้ำบ่อย ๆ จนเคยชิน

    ยังมีผู้เข้าใจผิดว่า สมาธิเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ที่จริงแล้ว นายแพทย์เฉก
    ธนะสิริ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "สมาธิกับคุณภาพชีวิต" ว่า สมาธิเป็นเรื่อง
    ของธรรมชาติโดยแท้ ไม่เกี่ยวกับศาสนา สมาธิสามารถจะฝึกหัดปฏิบัติ
    กันได้ ทุกชาติทุกภาษาและทุกศาสนา อันแตกต่างไปจากคำว่า วิปัสสนา
    หรือวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นเรื่องของพุทธศาสนา โดยเฉพาะศาสนาอื่น
    ไม่มีกล่าวไว้ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ค้นพบวิถีทางด้วยพระองค์เอง

    นายแพทย์เฉก ได้กล่าวต่อไปอีกว่า สมาธินั้น สามารถนำเอาไปใช้ทั้ง
    ทางที่ดีและทางที่ชั่ว ถ้าสมาธิถูกนำไปใช้ในทางที่ดี เรียกว่า สัมมาสมาธิ
    ถ้าสมาธิถูกนำไปไปใช้ในทางที่ชั่ว เรียกว่า มิจฉาสมาธิ

    ส่วนประโยชน์ของสมาธิ นายแพทย์เฉก ได้กล่าวว่า ตามหลักทาง
    พุทธศาสนา มี 4 ประการ

    1. เพื่อความสุขทันตาเห็น เป็นประโยชน์ขั้นต้น ขณะที่มีขณิกะสมาธิ
    คือ เมื่อจิตรวมตัวกันนิ่งดีนั้น เราจะรู้สึก มีความอิ่มเอิบใจ และเกิด
    ความสุขความสบายใจที่เกิดขึ้นจากจิตว่างชั่วขณะ ด้วยอำนาจของ
    สมาธิข่มทับไว้

    2. เพื่อความสมบูรณ์ของสติสัมปชัญญะ คือทำให้มีสติ คือความระลึกได้
    และสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวเองตลอดเวลาไม่เกิดความประมาท จะคิด
    จะพูดจะทำกิจการใด ก็รอบคอบว่องไว มีความจำดี ตัดสินใจได้รวดเร็ว
    และตัดสินด้วยเหตุและผล ปฏิภาณเฉียบแหลมและว่องไว และที่สำคัญ
    ที่สุดคือ ความมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ในการดำเนินชีวิตและเป็นแสง
    ส่องทางเพื่อการปฏิบัติธรรมให้ลึกซึ้งต่อไป

    3. เพื่อให้กิเลสลดน้อยและหมดไป หมายถึง การห่ำหั่นกิเลสภายในจิตใจ
    ให้บรรเทาเบาบางจนหมดไปในที่สุด นั่นคือ บรรลุถึงมรรคผลนิพพาน

    4. เพื่ออำนาจอันเป็นทิพย์ โดยเฉพาะบางคนอาจเกิดมีอำนาจทิพย์ เช่น
    หูทิพย์ ตาทิพย์ หรืออำนาจพิเศษเหนือกว่าธรรมชาติ ที่เรียกว่า อภิญญา
    ถ้าเกิดหลงติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เดรัจฉานวิชา
    ไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้เลย


    ส่วนประโยชน์ของสมาธิ ทางโลก มี 7 ประการ

    1. เพื่อใช้ในการต่อสู้การรบและเสริมให้เกิดความกล้าหาญ

    2. เพื่อประกอบกิจการงานและการดำรงชีวิต

    3. เพื่อการศึกษาเล่าเรียน ความประพฤติและการเข้าใจตัวเอง

    4. เพื่อการกีฬา

    5. เพื่อการรักษาโรคให้แก่ตัวเอง

    6. เพื่อการรักษาโรคให้แก่ผู้อื่น

    7. เพื่อการเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่


    ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "ประโยชน์ของการ
    ฝึกสมาธิ" ว่า

    ... ก่อนฝึกสมาธิที่โรงเรียน ผมสอบได้ที่โหล่ทุกวิชา เพราะว่าไม่ค่อยสนใจ
    อะไร ไม่ค่อยมีสมาธิในการเรียน เป็นเด็กเกเร ชอบชกต่อย แต่หลังจาก
    ได้ฝึกสมาธิมาระยะหนึ่ง ปรากฏว่า ความจำดีมาก มีสมาธิในการเรียนมากขึ้น
    เวลาคุณครูสอนอะไร เราจำได้และสอบได้ดีขึ้น ปรากฏว่า หลังจากนั้นไม่นาน
    เริ่มสอบได้ที่หนึ่งทุกวิชา จากที่โหล่มาเป็นที่หนึ่งเลยครับ และจากเด็กที่
    เต็มไปด้วยความรุนแรง ความโกรธ ความโมโห ตอนนี้กลายเป็นคนที่ยิ้ม
    ตลอดเวลา เดินไปเดินมาก็ยิ้ม ให้คนโน้นคนนี้ ใครจะมายั่วอย่างไร ใครจะมา
    ด่า ใครจะมาว่า ตอนนี้ไม่สนใจแล้ว ได้แต่ยิ้ม เราไม่โกรธ เราไม่โมโหโคร
    เริ่มควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้นมากทีเดียว เรื่องการเรียนดีขึ้น ...


    สำหรับเบื้องหลังความสำเร็จของการคิดค้นระบบที่ควบคุมยานอวกาศให้ร่อน
    ลงโดยอัตโนมัติสู่พื้นผิวของดาวอังคาร นั้น ดร. อาจอง ได้กล่าวว่า เมื่อ
    สร้างเสร็จ องค์การนาซ่าได้นำไปทดสอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ปรากฏว่า
    ใช้ไม่ได้ ทำให้ยานอวกาศพัง ให้กลับไปทำใหม่ ก็พยายามกลับมาวิจัย
    วิเคราะห์ ออกแบบใหม่ แล้วจึงนำไปให้องค์การทดสอบใหม่ ปรากฏว่า ใช้
    ไม่ได้ถึง 3 ครั้ง โครงการส่งยานอวกาศไปดาวอังคารนี้ ประธานาธิบดี
    ก็ได้เร่งรัดมา บอกว่าล่าช้าแล้ว และส่วนอื่นของยานอวกาศก็เสร็จเรียบร้อย
    แล้ว เหลือแต่ส่วนของ ดร. อาจอง เท่านั้น

    เมื่อคิดมากแล้ว คิดไม่ออก ก็เลยเลิกคิดชั่วคราว เลยปีนขึ้นไปอยู่บนภูเขา
    ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐอเมริกา แล้วไปนั่งเฉย ๆ คนเดียว พยายาม
    ปล่อยวางทุกอย่าง แล้วก็หันจิตใจเข้ามาในตัวเรา พอจิตว่าง ความรู้มันก็
    เกิดขึ้นมาเฉย ๆ แว้บเข้ามาว่าจะสร้างอย่างไร ก็เลยดีอกดีใจ วิ่งลงมาจาก
    ภูเขา วิ่งกลับเข้ามาในห้องทดลอง และก็สร้างตามที่เข้าใจบนยอดเขา
    เสร็จแล้วก็เอาไปยื่นให้องค์การนาซ่า เมื่อทดสอบแล้ว เขาดีอกดีใจกันใหญ่
    บอกว่าใช้ได้แล้ว ใช้ได้แล้ว เขาเลยให้สร้าง 3 ชุดด้วยกัน เขาเอาไป
    ประกอบในยานอวกาศไวกิ้ง 1 และเก็บไว้เป็นตัวสำรองในยานอวกาศไวกิ้ง 2
    และไวกิ้ง 3 ปรากฏว่า ประสบผลสำเร็จอย่างงดงามดี ควบคุมยานอวกาศ
    ให้ค่อย ๆ ร่อนลงสู่พื้นผิวของดาวอังคารโดยไม่เกิดปัญหาอะไรเลย

    นี่แหละคือประโยชน์ของการฝึกสมาธิโดยแท้จริง เมื่อฝึกสมาธิให้จิตสงบ
    แล้ว ความรู้มันเกิดขึ้น ปัญญามันเกิดขึ้น

    ดร. อาจอง ยังได้กล่าวต่อไปว่า ถ้าเผื่อเราได้ปลูกฝังการฝึกสมาธิให้กับ
    เด็ก ๆ ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ รับรองว่าเด็กคนนั้นจะเก่งอย่างมากทีเดียว เขาจะ
    มีสติปัญญาสูงขึ้น พอโตขึ้นมาเขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งในโลก
    เขาจะเป็นนักการเมืองที่มีคุณธรรม และเขาจะมีความสามารถพิเศษคนหนึ่ง
    เขาจะทำอะไรก็ได้ เขาจะเป็นนักธุรกิจ เขาก็จะสามารถบริหารงานได้ประสบ
    ความสำเร็จที่ดีที่สุด เขาจะมีปัญญาในตัวของเขา


    วิธีทดสอบความไม่มีสมาธิ ในเบื้องต้น

    1. จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน หดหู่ เศร้าหมอง
    2. มีความเครียด
    3. มีความกลัว ระแวง
    4. ความจำไม่ค่อยดี ลืมโน่น เผลอนี่
    5. ใจลอยบ่อย ไม่ค่อยมีสติ หรือขาดสติ
    6. นอนไม่ค่อยหลับ
    7. คิดมาก คิดวกวน สับสน
    8. ทำงานมักผิดพลาดบ่อย
    9. เรียนหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่อง
    10. มองท้องฟ้าก็ไม่แจ่มใส มองอะไรก็มัว ๆ ไม่แจ่มชัด
    11. ไม่ค่อยสดชื่น แจ่มใส ร่าเริง


    วิธีเพิ่มพลังสมาธิ ให้จิตสงบตั้งมั่น

    1. จิตนั้น โดยปกติไม่สงบ ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย เพราะนิวรณ์
    คือกิเลส เป็นเครื่องกั้น วิธีปฏิบัติทำจิตให้สงบนั้น ก็คือ สมถกรรมฐาน
    ทำจิตให้ตั้งมั่น อยู่ในอารมณ์ของสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่น จิตจึงสงบลงได้

    2. พยายามข่มนิวรณ์ให้ลง ถ้าข่มนิวรณ์ลงได้ จิตก็เป็นสมาธิ นิวรณ์ มี 5
    คือ กามฉันทะ (ความพอใจในกาม, ความต้องการกามคุณ) พยาบาท
    (ความคิดร้าย, ความขัดเคืองแค้นใจ) ถีนมิทธะ (ความหดหู่และเซื่องซึม)
    อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและร้อนใจ, ความกระวนกระวายกลุ้มกังวล)
    และวิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)

    3. กายคตาสติ อสุภกรรมฐาน แก้กามฉันทะ (ต้องมีโยนิโสมนสิการด้วย)
    เมตตา แก้พยาบาท (ต้องมีโยนิโสมนสิการด้วย)
    อาโลกสัญญา พุทธานุสสติ แก้ถีนมิทธะ (ต้องมีโยนิโสมนสิการด้วย)
    อานาปานสติ แก้อุทธัจจกุกกุจจะ (ต้องมีโยนิโสมนสิการด้วย)
    ธาตุกรรมฐาน แก้วิจิกิจฉา (ต้องมีโยนิโสมนสิการด้วย)

    (หมายเหตุ โยนิโสมนสิการ ความกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย หมาย
    ความว่า ความรู้จักเหตุที่จะให้เกิดผล)

    4. ขณะปฏิบัติงาน บางครั้งเกิดความเบื่อหน่าย ทำสมาธิในขณะเบื่อหน่าย
    พิจารณาความรู้สึก การทำงาน ส่วนประกอบของความเบื่อ หากรู้สึก
    โกรธ ทำสมาธิในขณะโกรธ สำรวจกลไกของความโกรธ อย่าวิ่งหนี
    ถ้าเกิดอารมณ์เศร้า ทำสมาธิ สำรวจความรู้สึกเศร้า อย่างไม่ยึดและ
    พยายามสาวถึงมัน อย่าหนี สำรวจความซับซ้อนของความรู้สึก เป็น
    วิธีเดียว ที่จัดการเมื่อเกิดความเศร้าครั้งต่อไป

    5. การเพิ่มความจำนั้น จะต้องพยายามเข้าใจในสิ่งที่ต้องการจะจำให้ลึกซึ้ง
    ด้วย อย่าเพียงแต่ท่องจำ และหมั่นทบทวนอยู่เสมอ เพราะวันรุ่งขึ้น ก็จะ
    ลืมไปครึ่งหนึ่งแล้ว และวันมะรืนนี้ ก็จะลืมไปอีกครึ่งหนึ่งอีก ไปเรื่อย ๆ
    ถ้าไม่มีการทบทวน

    6. ปกติการฝึกสมาธิ ก็จะเป็นการฝึกสติไปด้วยในตัว แต่ก็มีบทฝึกสติโดย
    เฉพาะ เช่น การเจริญสติตามแนวของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ โดย
    อาศัยหลักสติปัฏฐาน เป็นการเจริญสติแบบเน้นเรื่องการขยันทำความ
    รู้สึกตัวไปกับการเคลื่อนไหวของกาย เพื่อให้สติตื่นรู้อยู่เสมอ ไม่ต้องใช้
    ความคิดอะไรเลย แต่ไม่ห้ามความคิดและไม่ตามความคิด ให้รู้เท่าทัน
    ความคิดและปล่อยให้ผ่านไป ไม่มุ่งเอาแต่ความสงบเพียงอย่างเดียว
    วิธีนี้ทำให้แม้นอนอยู่ก็ไม่ป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติธรรม

    7. ท่านที่นอนไม่ค่อยหลับ ลองพักผ่อนด้วยการทำอานาปานสติ เช่น
    นอนที่เก้าอี้เอน ข้างหน้าต่าง ทำลมหายใจให้เป็นสมาธิ ด้วยลมหาย
    ใจนี้ จะเป็นการพักผ่อนที่ยิ่งกว่าการนอนหลับ ทำลมหายใจสักชั่วโมง
    จะดีกว่านอนหลับสัก 5 ชั่วโมง กำหนดลมหายใจให้ละเอียด ๆ จะหลับ
    ไปเลยก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ต้องหลับ ให้ระบบประสาทระงับ ความร้อนใน
    ร่างกายระงับ กล้ามเนื้อเส้นเอ็นระงับ นี่เป็นการพักผ่อน จะเรียกว่า
    หย่อนใจก็ได้ แต่ว่าเป็นการหย่อนใจในทางธรรม นี่เป็นการพักผ่อนที่ดี
    ไม่มีการพักผ่อนไหนจะดีเท่า การไปพักผ่อนด้วยการดูหนังฟังเพลงนั้น
    ไม่เรียกว่าไปพักผ่อน ป่วยการเปล่า ๆ

    8. การหาความสุขทันใจนึก ก็ให้ทำอานาปานสติ ให้ลมหายใจระงับ ให้
    ร่างกายระงับ ประสาทระงับ จะเป็นสุขได้ในเวลา 2-3 นาที ทันใจนึก
    จะไปหาอะไรมากินมาดื่ม ป่วยการเปล่า ๆ

    9. เมื่อพบโชคร้าย หรือข่าวร้าย เข้ามา มีความกลัดกลุ้ม วิตกกังวล
    ก็ให้ทำอานาปานสติ ระงับมัน ขับไล่มันออกไป

    10. เมื่อเจ็บป่วย ไม่สบาย ก็ให้ทำอานาปานสติ เพื่อระงับความปวด
    ความเจ็บป่วย ก็จะช่วยให้บรรเทาไปได้เป็นอย่างดีทีเดียว



    โดยสรุป เห็นว่า ควรมาเพิ่มพลังให้ตนเอง ด้วยพลังสมาธิ ซึ่งมีหลายวิธี
    เฉพาะพุทธศาสนาก็มีถึง 40 วิธี ศาสนาหรือลัทธิอื่นก็มีมากมายวิธีด้วยกัน

    จะทำอานาปานสติ หรือสติกำหนดลมหายใจเข้าออกก็ได้ ซึ่งจะให้ประโยชน์
    แก่ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่ อยู่ในท้อง ถ้าแม่รู้จักทำอานาปานสติ เด็ก
    ในท้องก็ได้รับประโยชน์ เป็นเด็กที่แข็งแรง เข้มแข็ง เฉลียวฉลาด พอถึง
    วัยรุ่น ถ้ารู้จักทำอานาปานสติ จะไม่ไปเที่ยวเตร่ในที่ที่ไม่ควรไป วัยหนุ่มสาว
    ก็จะสดชื่น แจ่มใส เป็นคนสงบเยือกเย็น วัยผู้ใหญ่ และวัยผู้สูงอายุ ก็เช่นกัน
    จะมีประโยชน์ทั้งนั้น ในการเป็นพ่อบ้านแม่เรือน และดำเนินชีวิตในวัยชรา
    ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อน

    และจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบานได้ ก็ด้วยอำนาจของอานาปานสติ และจะ
    เข้าใจใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตื่นจากอวิชชา ตื่นจากกิเลสทั้งปวง


    --------------------------------------------------------------------------------

    อ้างอิง : 1. หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ, วิธีฝึกสติในชีวิตประจำวัน, 2523
    2. นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ, สมาธิกับคุณภาพชีวิต, 2528
    3. ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา, ประโยชน์ของการฝึกสมาธิ, 2530
    4. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ, สมาธิในพระพุทธ
    ศาสนา, 2534
    5. พุทธทาสภิกขุ, การใช้อานาปานสติให้เป็นประโยชน์ในบ้านเรือน,
    2542
    6. ภันเต คุณารัตนา มหาเถระ, สติ ด้วยภาษาง่าย ๆ , 2544
    7. ดร. ชัยวัฒน์ คุประตกุล, คุยกับชัยวัฒน์, 2547
    8. พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก, สติ เป็นธรรมเอก, 2551
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (7) พลังการหายใจ




    [​IMG]



    การหายใจ ใคร ๆ ก็ทราบความสำคัญกันทั้งนั้น เราหายใจกันทุกเวลา
    แต่การหายใจให้ถูกต้อง และเป็นผลดีต่อกายและใจ นั้น ทำอย่างไร
    เป็นเรื่องที่เราควรจะได้มาทบทวนกัน เพื่อเพิ่มพลังการหายใจให้เพิ่มขึ้น

    การหายใจ เป็นการนำก๊าซออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย และนำก๊าซคาร์บอน
    ไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเสีย ออกจากร่างกาย ทำให้ชีวิตของคนเรา
    ดำรงอยู่ได้

    อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ ได้แก่ จมูก หลอดลม และปอด

    ส่วนมาก คนเรามักจะไม่ค่อยสนใจ เรื่องการหายใจเท่าใดนัก ถือว่า
    เป็นไปตามกลไกธรรมชาติอัตโนมัติ


    ลักษณะการหายใจโดยทั่วไป คือ หายใจสั้นหรือเรียกว่า หายใจตื้น


    ยิ่งถ้ามีความเครียด วิตกกังวล โกรธ กลัว เศร้า เหนื่อย หรืออารมณ์
    เสีย ก็ยิ่งหายใจสั้นหรือตื้น และหายใจถี่ยิ่งขึ้น

    ผลเสียของการหายใจโดยทั่วไป

    1. ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยเกินไป
    2. มีอากาศเก่าตกค้างอยู่ในปอดมาก
    3. มักจะอ่อนเพลีย มึนงง เหนื่อยง่าย และใจสั่น
    4. ร่างกายอ่อนแอ



    วิธีเพิ่มพลังการหายใจ

    1. เมื่อนึกถึงการหายใจที่ถูกต้องได้เมื่อไร ก็ให้ปฏิบัติเมื่อนั้น
    (ควรหายใจเอาอากาศที่บริสุทธิ์ด้วย)

    2. บริหารกาย (หายใจเข้า-ออก) ช่วงเช้า หรือเย็น วันละ 1 ครั้ง

    3. ก่อนนอน ให้บริหารท่าผ่อนคลาย วันละ 1 ครั้ง


    รายละเอียด

    1. ลักษณะการหายใจที่ถูกต้อง คือ หายใจยาวหรือลึก โดยสังเกต
    หายใจเข้า ท้องจะพอง และหายใจออก ท้องจะยุบ
    (หายใจเข้า ช้า ๆ สัก 3 วินาที และหายใจออก ช้า ๆ
    สัก 3 วินาที)

    ผลดีของการหายใจที่ถูกต้อง

    1. ร่างกายได้รับออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น
    2. มีอากาศเก่าตกค้างอยู่ในปอดน้อย
    3. ความเครียด หอบหืด ไซนัส ก็จะบรรเทาลง
    4. นอนหลับดีขึ้น
    5. ไม่ค่อยอ่อนเพลีย สมองไม่มึนงง ไม่เหนื่อยง่าย และใจ
    ไม่สั่น
    6. ร่างกายแข็งแรงขึ้น อายุยืน


    2. บริหารกาย (หายใจเข้า-ออก)

    ยืนตรง ให้เท้าทั้งสองห่างกันพอสมควร (เพื่อมิให้ล้มง่าย)
    มือทั้งสองเหยียดตรง อยู่ด้านหน้า ระหว่างขา หลังมือหันออกไป
    ด้านหน้า

    จากนั้น ให้หายใจเข้าช้า ๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นช้า ๆ
    ไปข้างหน้า จนกระทั่ง มือทั้งสองข้างอยู่เหนือศีรษะ หันฝ่ามือไป
    ด้านหน้าแขนเหยียดตรง และยกมือให้เลยศีรษะไปด้านหลังมาก ๆ
    เท่าที่จะทำได้ ลำตัวจะแอ่นโค้งไปข้างหลัง

    จากนั้น ให้ลดแขนทั้งสองข้างลง พร้อมกับหายใจออก
    จนแขนมาอยู่ด้านหน้า ระหว่างขา หลังมือหันออกไปด้านหน้า

    (ทำ 30 ครั้ง)

    (ท่านี้ นอกจากบริหารการหายใจแล้ว ยังช่วยลดกล้ามเนื้อหน้าท้อง
    ไปในตัวด้วย และทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง)


    3. บริหารท่าผ่อนคลาย

    ก่อนนอน ให้นอนหงายบนเตียงนอน ในท่าสบาย ผ่อนคลายทุกส่วน
    มือและเท้า กางออกเล็กน้อย หงายมือ หลับตา สูดหายใจเข้าออก
    ลึก ๆ ยาว ๆ สัก 20 ครั้ง จะทำให้รู้สึกดีขึ้นและช่วยให้นอนหลับง่าย
    ขึ้นด้วย


    <<<>>>

    ดร. แอนดรู ไวล์ แพทย์แนวหน้าผู้บุกเบิกการบำบัดรักษาโรคและการ
    ดูแลสุขภาพด้วยวิธีการแพทย์แบบผสมผสาน ได้กล่าวถึง ความสำคัญ
    ของการหายใจว่า

    "ลมหายใจเป็นตัวเชื่อมระหว่างร่างกายกับจิตใจและจิตสำนึก
    ลมหายใจเป็นกุญแจสำคัญที่จะควบคุมอารมณ์ทั้งหลาย และควบคุม
    การทำงานของระบบประสาทสั่งการอัตโนมัติ

    นอกจากนี้ ลมหายใจยังเป็นดัชนีบ่งถึงการแปรผันในจิตใจต่อเรื่องที่
    ผ่านเข้ามา หากให้ความสนใจกับลมหายใจ เราจะสามารถเคลื่อน
    เข้าสู่การผ่อนคลายและเข้าสู่สมาธิโดยอัตโนมัติ และทำให้สัมผัสถึง
    ปัจจับสำคัญแห่งการ "ดำรงอยู่" ซึ่งมิได้อาศัยเพียงแต่ร่างกายเท่านั้น"

    <<<>>>


    พระภิกษุ พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) หรือที่รู้จักกันดี
    ว่า ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "วิทยาศาสตร์การหายใจ"
    ซึ่งท่านได้แปลและเรียบเรียงมาจากหนังสือ "Science of Breath"
    ของ Yogi Ramacharaka บางตอนความว่า

    "ผู้ที่หายใจถูกต้องสมบูรณ์ดี มักจะไม่ค่อยหนาว ไม่ค่อยเป็นหวัด
    และเป็นผู้ที่มีเลือดอบอุ่นทั่วร่างกายมากมาย ซึ่งทำให้ผู้นั้นสามารถ
    ต่อต้านความเปลี่ยนแปลงในอุณหภูมิหนาวร้อนข้างนอกได้"

    การหายใจสมบูรณ์แบบ แบบโยคี มี 3 ขั้นตอน

    1. ยืนหรือนั่งตั้งตัวตรง หายใจเข้าทางรูจมูกให้สม่ำเสมอสูดเข้าไปให้
    เต็มปอด
    2. กลั้นลมหายใจไว้สัก 2-3 วินาที (เพื่อให้ปอดดูดเอาออกซิเจนไว้
    ฟอกโลหิต และเพิ่มกำลังปราณพลานุภาพพลังงานแห่งชีวิต)
    3. หายใจออกช้า ๆ และแขม่วช่องท้องเข้าไปเล็กน้อย

    ประโยชน์ของการหายใจสมบูรณ์แบบ แบบโยคี

    1. ปลอดภัยรอดพ้นจากวัณโรค
    (ผู้ที่เป็นวัณโรคเกือบทั้งหมด เป็นคนมีทรวงอกแคบลีบ เพราะหายใจ
    บกพร่อง ไม่ถูกต้อง)
    2. พ้นจากการเป็นหวัดบ่อย
    3. เมื่อถูกอากาศหนาวเย็นเกินไป ให้หายใจสมบูรณ์แบบ จะรู้สึกอบอุ่น
    ไปทั่วตัว

    เมื่อรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เพราะใช้กำลังไปมาก เช่น เหนื่อยจากการ
    เล่นกีฬา ให้หายใจดังนี้

    1. สูดลมหายใจเข้า (ตามวิธีสมบูรณ์แบบ)
    2. เก็บกลั้นหายใจไว้ 2-3 วินาที
    3. ทำท่าปากจู๋ หรือท่าผิวปาก แล้วเป่าปากออกมา ให้แรงพอสมควร
    แล้วหยุดชั่วขณะหนึ่ง แล้วเป่าปากออกมาอีกให้แรงพอสมควร
    เป็นระยะ ๆ จนกว่าอากาศจะออกจากปอดจนหมด

    การหายใจแบบนี้ จะทำให้สดชื่น หายเหนื่อยได้เร็วขึ้น


    ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านลองปฏิบัติดู จะ
    ช่วยเพิ่มพลังการหายใจได้เป็นอย่างดี สุขภาพก็จะแข็งแรงเป็นเงาตามตัว
    นำไปสู่ความมีอายุยืนในที่สุด


    -------------------------------------------------------------------------------

    อ้างอิง : 1. กองบรรณาธิการนิตยสารชีวจิต, คู่มือหายใจให้เป็น"
    (แถมให้ผู้อ่าน ในวาระขึ้นปีที่ 4 ของนิตยสารชีวจิต)
    (ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์)
    2. นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 37 16 เมษายน 2543
    3. พระภิกษุ พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์),
    วิทยาศาสตร์การหายใจ, (ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์)
    (แปลและเรียบเรียงจาก Science of Breath ของ
    Yogi Ramacharaka)
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (8) พลังความเชื่อมั่น (ในตนเอง)




    [​IMG]



    ถ้าท่านมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำได้
    ท่านก็ทำได้ เพราะท่านจะมีความมานะพยายาม
    ทำให้สำเร็จ ตามที่ท่านเชื่อมั่น

    ถ้าท่านไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะทำได้
    ท่านก็ทำไม่ได้ เพราะท่านจะล้มเหลวตั้งแต่ต้นแล้ว
    เพราะจิตใจท่านไม่สู้แล้ว ตั้งแต่ต้นทีเดียว

    ในการปฏิบัติงานให้ประสบความสำเร็จสูงนั้น
    ประการแรกทีเดียว ท่านจะต้องมีความเชื่อมั่นก่อน

    ถ้าเราขาดความเชื่อมั่นในตนเองเสียแล้ว
    จะทำให้ผู้อื่นประเมินเราในทางลบทันที ไม่เป็นที่น่า
    เชื่อถือของผู้อื่นอีกต่อไป

    ถ้าคุณเป็นข้าราชการหรือลูกจ้างบริษัท ห้างร้าน
    คุณจะต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่ ผู้บังคับบัญชาหรือ
    นายจ้างให้ได้ ว่าคุณสามารถจะปฏิบัติงานที่ได้รับ
    มอบหมายได้เป็นอย่างดี และคุณควรจะสร้างความ
    เชื่อมั่นต่อไปว่า คุณจะสามารถปฏิบัติงานในตำแหน่ง
    ที่สูงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ด้วย


    ผู้ที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง มักมีลักษณะดังนี้

    1. บุคลิกภาพเสีย ทำให้ไม่ค่อยกล้าแสดงออก ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ
    2. จิตใจจะห่อเหี่ยว เศร้าหมอง กังวลใจ
    3. สุขภาพจะไม่ค่อยแข็งแรง
    4. ผู้อื่นจะมองเราในแง่ลบ ไม่ค่อยเป็นที่น่าเชื่อถือของบุคคลอื่น
    และไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก
    5. ทำให้ตกต่ำ ขาดความเจริญก้าวหน้า
    6. รายได้หรือผลตอบแทน มักจะน้อยกว่าผู้ที่มีความเชื่อมั่นสูง


    มาเพิ่มพลังความเชื่อมั่นในตนเองให้สูง

    1. ปรับปรุงบุคลิกภาพใหม่ให้เหมาะสม ในทุกด้าน
    2. เพิ่มพลังกายและพลังจิตให้แข็งแรงและสมบูรณ์
    3. พัฒนาความรู้และความสามารถในงาน ให้รองรับโลกแห่ง
    ยุคดิจิตอลได้ รวมทั้งการค้นหาข้อมูล การตัดสินใจ และ
    การแก้ปัญหา
    4. พัฒนาความสามารถในด้านภาษาและการติดต่อสื่อสาร ให้สามารถ
    ใช้งานได้ดี (ควรครอบคลุมทั่วโลก)
    5. สร้างพลังความเชื่อมั่นเป็นพิเศษ
    5.1 การแสดงออก ทุกครั้งที่แสดงออก ต้องพกความ
    เชื่อมั่นสูงสุด
    5.2 เรียนรู้วิธีให้ผู้อื่นคล้อยตามและยอมรับ
    5.3 ให้เกิดการนับถือตนเอง และประชาสัมพันธ์ตนเอง
    ให้เกิดการยอมรับ (ขายตนเองให้ได้)
    6. สร้างจุดแข็งให้เพิ่มขึ้น และลบจุดอ่อนให้น้อยลง


    ถ้าคุณทำได้ โดยเพิ่มพลังความเชื่อมั่นในตนเองให้สูงแล้ว คุณก็จะ
    สามารถสร้างรายได้ ให้กับตนเอง สูงอย่างที่คาดไม่ถึงทีเดียว คุณภาพ
    ชีวิตก็จะดีขึ้น และแน่นอนจะประสบความสำเร็จในชีวิต ตามที่คุณคาด
    หมายไว้ได้โดยไม่ยาก
     
  9. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +10,787
    เป็นบทความที่ดีมาก ๆ ทุกคนน่าจะได้มาอ่านน่ะครับ
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (9) พลังความหวัง

    [​IMG]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]บางคนอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง กับคนที่กล่าวอย่างน้อยใจว่า [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]"อย่าไปหวังอะไรเลย ชาตินี้ หวังไปก็เท่านั้น มีแต่จะทำให้ผิดหวัง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เปล่า ๆ หวังมาก ก็ผิดหวังมาก ถ้าไม่หวังเสียดีกว่า จะได้ไม่[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผิดหวัง"[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความหวัง [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]จริงหรือเปล่ากับคำกล่าวข้างต้น ความหวัง คือ อะไร และคนเราควร[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]จะมีความหวังหรือไม่ อย่างไร[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความหวัง คือ ความคาดว่าจะได้ ปองไว้ หรือหมายไว้ และก่อนที่จะ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตอบว่า คนเราควรจะมีความหวังหรือไม่ อย่างไรนั้น ขอให้ลองอ่าน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ข้อความต่อไปนี้ก่อน แล้วคุณจะพบคำตอบ[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความหวัง กับ ความสำเร็จ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คนเราต้องการความสำเร็จหรือไม่ ถ้าตอบว่า ต้องการ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คนที่ไม่ได้ตั้งความหวังไว้เลย อยู่ไปวัน ๆ ย่อมจะหาความสำเร็จอันใด[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มิได้เลย[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คนที่ตั้งความหวังไว้สูงเกินไป ก็เช่นเดียวกัน โอกาสจะประสบความ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สำเร็จก็ยากนัก เรียกว่า เกินเอื้อม[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คนที่ตั้งความหวังไว้ต่ำเกินไป ก็เป็นการง่ายเกินไป แล้วเมื่อไร จึงจะ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ประสบความสำเร็จสูง ๆ กับเขาบ้าง และเป็นการประเมินศักยภาพ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ของตนเองต่ำไปด้วย [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]จริงครับ คนเราโดยปกติต้องการความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น ก่อนจะพบกับ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความสำเร็จนั้น ความหวังต้องมาก่อน จึงจะสำเร็จตามที่ได้หวังไว้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การตั้งความหวังนั้น จะต้องตั้งความหวังในสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่ใช่ความหวัง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ที่เลื่อนลอย หรือเป็นความหวังที่ลม ๆ แล้ง ๆ ความหวังที่เป็นนามธรรม[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ก็ยากที่จะสำเร็จหรือไม่มีทางเป็นไปได้ การวัดผลก็ยาก เช่น หวังความ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สุขสบาย หวังไม่มีโรคภัย หวังไม่เจ็บป่วย หวังไม่แก่ให้หนุ่มสาวตลอด[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เป็นต้น [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ฉะนั้น คนเราผู้ต้องการความสำเร็จ ควรจะมีการตั้งความหวังไว้ ที่[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เหมาะสม ไม่ควรตั้งต่ำไป หรือสูงเกินไป ควรตั้งให้สูงเท่าที่เราจะสามารถ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ จึงจะประสบความสำเร็จได้ และควรเป็น[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความหวังที่ท้าทายด้วย[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การตั้งความหวังที่เหมาะสมและมีทางเป็นไปได้ ได้แก่ หวังให้ธุรกิจ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ไม่ขาดทุน หวังปลดหนี้ หวังให้ธุรกิจมีกำไรพอควร หวังมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่า[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ที่เป็นอยู่ หวังใช้ชีวิตอย่างพอเพียง หวังมีบ้านเล็ก ๆ สักหลัง หวังให้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ลูก ๆ เก่งภาษาอังกฤษ หวังให้ปีนี้มีสุขภาพที่ดีขึ้น เป็นต้น ส่วนแผนงาน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เป้าหมาย และรายละเอียด เป็นสิ่งที่จะต้องทำต่อไปให้ชัดเจน [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความหวัง กับ การสิ้นความหวัง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ดร. เอลิซาเบธ คูบเลอร์รอสส์ ได้กล่าวว่า "ผู้ที่ป่วยหนัก ยังจะมี[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]กำลังใจมากกว่า ผู้ที่รู้สึกว่า ตนเองหมดสิ้นความหวังแล้วในชีวิตนี้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เสียอีก"[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ดร. แฟลนเดอร์ ดันบาร์ จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียง ได้กล่าวถึงผู้ป่วย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]2 คน ที่มีอาการป่วยทัดเทียมกัน[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คนหนึ่งกล่าวกับเขาว่า "ผมสิ้นความหวังแล้ว สุดแต่หมอจะรักษา[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ก็แล้วกัน"[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ส่วนอีกคนกล่าวว่า "ผมจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้สุขภาพของ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมดีขึ้น"[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปรากฏว่า คนแรกนั้นถึงแก่ความตาย ในเวลาไม่นาน ส่วนคนที่สอง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สุขภาพกลับฟื้นอย่างรวดเร็ว[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความหวัง กับ กำลังใจ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในชั่วชีวิตของคนเรา ย่อมต้องเคยประสบทั้งความสมหวังและความ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผิดหวัง มาด้วยกันทั้งนั้น วนเวียนผ่านมาในชีวิต ครั้งแล้วครั้งเล่า[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เมื่อยามผิดหวัง ก็ย่อมต้องการกำลังใจ จากญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ที่ใกล้ชิด หรือผู้ใหญ่ที่ให้การเคารพนับถือ เพื่อลุกขึ้นสู้ใหม่ พร้อม[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]กับความหวังใหม่[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความหวัง กับ การมานะพยายาม[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เมื่อตั้งความหวังไว้แล้ว ถ้าไม่ทำอะไร รอคอยความสำเร็จอย่างเดียว[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ก็เหมือนกับ การบนบานศาลกล่าว รอคอยแต่โชคชะตาวาสนาบุญ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]บันดาล ก็ยากเหลือเกินที่จะประสบความสำเร็จดังหวังไว้ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การมานะพยายามอย่างเต็มที่ จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เป็นอย่างดีตามที่ได้หวังไว้ [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การมานะพยายาม นั้น ต้องแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ แก้ไขปัญหา[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อุปสรรคที่ขัดขวาง ปรึกษาผู้รู้ ผู้ประสบความสำเร็จมาก่อน ไม่งอมือ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]งอเท้า[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แนวทางการเพิ่มพลังความหวังให้ตนเอง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]1. เมื่อท่านเหนื่อยล้า อ่อนแรง จากความผิดหวังมานับไม่ถ้วน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ขอท่านจงพักผ่อนคลายความเหนื่อยล้า อ่อนแรง เสียก่อน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ด้วยการพักผ่อนทั้งกายและใจให้เต็มที่ เป็นเวลาพอสมควรแล้ว[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ให้เริ่มต้นกันใหม่ ลุกขึ้นสู้ใหม่ ด้วยใจที่มุ่งมั่น เข็มแข็ง และอดทน [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]2. จงเอาความพ่ายแพ้ ในครั้งก่อน ๆ มาเป็นบทเรียน เพื่อก้าวไป[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ข้างหน้าอย่างมั่นคง[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]3. ตั้งความหวังใหม่ ก้าวเดินไปทีละขั้น ด้วยความมานะพยายาม [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พร้อมกับประเมินผลความสำเร็จแต่ละขั้นไป[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]4. เมื่อท่านทำได้สำเร็จแล้ว แต่ละขั้น อย่าลืม ให้รางวัลตนเองด้วย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เป็นสิ่งเล็กน้อยก็ยังดี [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]5. หากพบอุปสรรคขัดขวาง ไม่เป็นตามที่ได้หวังไว้ ก็ให้ใช้ความรู้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความสามารถให้เต็มที่ ศึกษาค้นคว้าวิธีแก้ไข หรือปรึกษาผู้รู้ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]หรือหน่วยงานของรัฐเพื่อขอความช่วยเหลือทันที[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]6. เมื่อพบกับปัญหา ขอให้คิดว่า ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และต้องคิดว่า ปัญหาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราตื่นเท่านั้น เวลาเรา[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]หลับไม่เห็นมีปัญหาเลย หลับเมื่อไรหมดปัญหาเมื่อนั้น [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เมื่อเผชิญกับปัญหา ขออย่าเครียดก็แล้วกัน ค่อย ๆ คิดแก้ปัญหาไป [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ทุกปัญหาแก้ได้ที่ตัวเรา นั่นเอง ถึงแม้บางครั้ง ปัญหาจะประดัง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]กันมาพร้อม ๆ กันหลายปัญหาก็ตามที[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]7. การขอกำลังใจ หรือขอสนับสนุน จากผู้ใกล้ชิด หรือคนรอบข้าง [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ย่อมเป็นสิ่งที่ดีควรปฏิบัติ [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]8. การจะบริหารความหวังให้ประสบความสำเร็จนั้น ย่อมต้องอาศัย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สติปัญญา และความสามารถ เป็นสำคัญ [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]9. หากยังไม่สำเร็จ ก็ต้องสำรวจตรวจตราว่า เรายังมีข้อบกพร่องในสิ่งใด[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ขอให้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้รอบคอบ และขออย่าให้มีการสิ้น[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความหวังก็แล้วกัน[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]10. จงอย่าพูดว่า "ทำไม่ได้ ทำไม่ได้ ทำไม่ได้" แต่ควรพูดเสียใหม่ว่า [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]"ฉันต้องทำได้ ฉันต้องทำได้ ฉันต้องทำได้" ฉันจะสานความหวัง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ของฉันให้เป็นจริงให้ได้[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]11. การที่คุณมีจิตใจที่เข้มแข็ง เมื่อรวมกับพลังความหวัง และความประสบ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความสำเร็จแล้ว จะสามารถยืดอายุของคุณออกไปได้อีกนานทีเดียว [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อย่างที่คุณไม่คาดคิดเลย[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อย่าลืม ! เพิ่มพลังความหวังให้ตัวคุณเอง เสียแต่วันนี้ แล้วลงมือกระทำ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ทันที นั่นแหละ คือหนทางนำให้คุณพบกับความสำเร็จอย่างแน่นอน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในไม่ช้า[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]------------------------------------------------------------------------------[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อ้างอิง : 1. พลังแห่งความหวัง แปลจาก The Power of Hope [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ของ Maurice Lamm แปลโดย วิษุวัต , 2541[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]2. ดร. สนอง วรอุไร, ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข, 2548[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2009
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (10) พลังความคิดสร้างสรรค์




    [​IMG]



    การที่โลกเราเจริญมาโดยลำดับ จากยุคหิน มาจนถึงยุคดิจิตอล ใน
    ปัจจุบันนี้ ก็เพราะความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เรา นั่นเอง

    ลองคิดดู ถ้ามนุษย์เราไม่มีความคิดสร้างสรรค์เสียแล้ว โลกเราก็
    คงเป็นเหมือนกับยุคหิน อาศัยอยู่ตามถ้ำ ยังชีพอยู่ได้โดยการล่าสัตว์

    การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้แก่โลกนั้น เป็นสิ่งที่สังคมและชาวโลก
    ยกย่องชื่นชมเสมอ เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์มอบไว้เป็นของขวัญแก่
    โลก ยามที่เกิดมาในโลกใบนี้และจากโลกใบนี้ไป

    ลองตรองกันดูอีกที เราเกิดมาทั้งที ควรจะมีอะไรมอบให้แก่โลก
    ใบนี้ไว้เป็นอนุสรณ์กันบ้าง ไม่ควรจะมามือเปล่า แล้วก็ไปมือเปล่า


    ความคิดสร้างสรรค์ คือ อะไร

    ความคิดสร้างสรรค์ คือ ความคิดอะไรใหม่ ๆ ที่เป็นไปในทางบวก
    เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราดีขึ้น หรือสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิม

    ความคิดสร้างสรรค์ ต่างกับ จินตนาการ อย่างไร
    ความคิดสร้างสรรค์ เป็นความคิดใหม่ ๆ ในทางบวก ต่างกับ
    จินตนาการ ที่เป็นการสร้างภาพขึ้นในจิตใจ แต่ความคิดสร้างสรรค์
    นั้น จะต้องอาศัยการจินตนาการประกอบด้วยอย่างมาก จึงจะประสบ
    ความสำเร็จ


    มาเพิ่มพลังความคิดสร้างสรรค์กันดีกว่า เพื่อมอบให้แก่โลกใบนี้

    1. ให้เริ่มคิดต่อยอดจากสิ่งใกล้ตัวก่อน อาจจะเป็นของใช้ในชีวิต
    ประจำวันก็ได้
    2. เริ่มคิดจากความไม่สะดวกสบายที่ได้รับ คิดทำอย่างไร จึงจะ
    ให้ดีขึ้น สะดวกสบายขึ้น
    3. ศึกษาของแบบเดียวกัน ที่มีผู้เคยทำไว้ก่อน ทั้งในและต่างประเทศ
    4. วางแผนแบ่งเป็นขั้นตอน และดำเนินไปทีละขั้น ด้วยความรอบคอบ
    5. ช่วยกันคิดสร้างสรรค์เป็นทีม อาจช่วยให้ประสบความสำเร็จเร็วขึ้น
    6. การพักผ่อนนอนหลับ อย่างพอเพียง จะช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์
    ดีขึ้น
    7. หมั่นนั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ จิตใต้สำนึกจะช่วยให้คิดออกง่ายขึ้น
    8. ป้องกันการสูญเสียพลังไปโดยเปล่าประโยชน์ เช่น ความโกรธ
    ความเครียด ความวิตกกังวล ความท้อแท้ใจ ความผิดหวัง เป็นต้น
    9. ใช้พลังจินตนาการที่เป็นไปได้ ช่วยให้มาก
    10. รีบจดลิขสิทธิ์ หากความคิดนั้นประสบความสำเร็จ และใช้ได้ผลดี
    11. ความคิดสร้างสรรค์ที่ประสบความสำเร็จ และได้ผลดีแล้ว อาจ
    นำไปผลิตในเชิงธุรกิจต่อไป
    12. ความสำเร็จจากความคิดสร้างสรรค์ของท่าน อาจเป็นจุดเปลี่ยน
    ให้ชีวิตของท่านผลิกผันไปในทางที่ดีขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว


    หวังว่า พลังความคิดสร้างสรรค์ของท่านคงจะเพิ่มขึ้นอย่างมากทีเดียว
    และช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ มอบเป็นของขวัญให้แก่โลกใบนี้ที่ท่าน
    อยู่ต่อไป โลกจะได้สรรเสริญและคิดถึงบุญคุณของท่านไปอีกนานแสน
    นาน

    ---------------------------------------------------------------------------

    อ้างอิง 1. ไชยวัฒน์, พลังชีวิต , 2510
    2. เกียรติวรรณ อมาตยกุล, พลังแห่งความเชื่อมั่น , 2540




    [​IMG]


    (ภาพจากอินเตอร์เน็ต ขอขอบคุณ)
    <SCRIPT type=text/javascript>var gaJsHost = ((&quot;https:&quot; == document.location.protocol) ? &quot;https://ssl.&quot; : &quot;http://www.&quot;);document.write(unescape(&quot;<script src='&quot; + gaJsHost + &quot;google-analytics.com/ga.js' type='text/javascript'%3E%3C/script%3E&quot;));</SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript>var pageTracker = _gat._getTracker(&quot;UA-5766210-1&quot;);pageTracker._trackPageview();</SCRIPT>
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (11) พลังจินตนาการ




    [​IMG]


    ก่อนอื่น ขอเริ่มที่ จินตนาการ คือ อะไร และมีประโยชน์อย่างไร
    จินตนาการ คือ การสร้างภาพขึ้นในจิตใจ นั่นเอง
    ส่วนจินตนาการ จะมีประโยชน์อย่างไรนั้น ขอเชิญท่านอ่าน
    และติดตามจากบทความนี้


    ขอให้คุณลองจินตนาการตามไปช้า ๆ ดังนี้


    คุณกำลังยืนอยู่ชายทะเล กลางหาดทรายที่กว้างไกลสุดสายตา
    เบื้องหลังเป็นทิวสนสลับกับทิวมะพร้าวยาวเหยียด

    ในขณะที่เป็นเวลารุ่งอรุณ ท้องฟ้าเป็นสีเงินสีทอง ดวงอาทิตย์กำลัง
    โผล่ที่ขอบฟ้า

    ท้องทะเลเรียบปราศจากคลื่นลม มองเห็นเรือประมงลอยลำอยู่ลิบ ๆ
    3-4 ลำ ได้ยินเสียงคลื่นลูกเล็ก ๆ ทะยอยเข้าสู่ฝั่งดังซาดซ่า

    บรรยากาศเช้านี้เงียบสงบ ปราศจากผู้คน ลมพัดอ่อน ๆ มาต้อง
    ตัวเรา อากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย

    คุณกำลังมองไปที่ดวงอาทิตย์ ... พร้อมกับสูดลมหายใจลึก ๆ


    คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ บ้าง นั่นคือ ประโยชน์จาก
    พลังแห่งจินตนาการ นั่นเอง !!!


    คราวนี้ คุณลองจินตนาการต่อ ช้า ๆ ดังนี้

    คุณนั่งลงที่หาดทรายนั้น โดยนั่งแบบขัดสมาธิ มองไปที่ดวงอาทิตย์
    ซึ่งกำลังเป็นสีแดง ดวงใหญ่ กำลังค่อย ๆ โผล่จากท้องทะเล ช้า ๆ
    หายใจลึก ๆ ยาว ๆ ทำใจให้สงบ ผ่อนคลาย

    นั่งสักพัก ดวงอาทิตย์จะเป็นสีเหลือง แสงอาทิตย์จะส่องแสงมาต้อง
    ตัวเรา แสงจะค่อย ๆ แรงขึ้น ๆ จนเรารู้สึกได้ และจะรู้สึกอุ่นขึ้น ๆ
    นั่งมองดวงอาทิตย์สลับกับหลับตาบ้างเป็นครั้งคราว นั่งอยู่ประมาณ
    30 นาที

    นั่นคือ พลังที่ท่านได้รับจากดวงอาทิตย์

    คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ อบอุ่น และมีพลังเพิ่มขึ้น

    นั่นคือ ประโยชน์จากพลังแห่งจินตนาการ นั่นเอง !!!


    ที่กล่าวมานี้ เป็นตัวอย่างให้คุณหัดจินตนาการ เพื่อผ่อนคลาย
    สบายใจ อบอู่น และมีพลังเพิ่ม

    คุณอาจจินตนาการถึงสถานที่สักแห่งหนึ่งที่คุณเคยไปมาแล้วจริง ๆ
    ที่มีความสวยงาม และประทับใจเป็นพิเศษ โดยทำดังกล่าวข้างต้น
    และต่อไป หากท่านจะไปพักผ่อนยังสถานที่ใด ที่มีความสวยงาม
    อย่าลืม ! ทำดังกล่าวข้างต้น

    ท่านจะได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้นทีเดียว มากกว่าที่ท่านจะไปชม
    เพียงผ่านไปเท่านั้น


    หากเมื่อใด ที่ท่านเกิดความเครียด หรือไม่สบายใจขึ้นมา ท่านลอง
    นั่งสมาธิ หลับตาจินตนาการถึง สถานที่สวยงาม ประทับใจ ที่ท่าน
    เคยไปมา จะทำให้ท่านหายเครียด และสบายใจ ในเวลาที่ไม่นานนัก


    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นประโยชน์เพียงด้านเดียวของจินตนาการ
    เท่านั้น คือช่วยในด้านสุขภาพ คลายเครียด ก่อให้เกิดความสบายใจ
    พลังจินตนาการสามารถนำไปใช้ในด้านความคิดสร้างสรรค์ เช่น
    ความคิดสร้างสรรค์ในด้านวิทยาศาสตร์ ด้านศิลปะ ด้านการเขียน
    ด้านการแสดง เป็นต้น และด้านอื่น ๆ อีก ช่วยให้โลกมีความเจริญ
    ก้าวหน้าในทุกด้าน

    ไอสไตน์ กล่าวว่า "จินตนาการมีคุณค่ากว่าความรู้มากมายนัก
    (Imagination is more important than knowledge.)" *

    Disareli นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ กล่าวว่า "จินตนาการเป็นตัวกำหนด
    ชะตาของโลก ( Imagination rules the world.)" *


    วิธีเพิ่มพลังจินตนาการ

    1. หาโอกาสเดินทางไปพักผ่อนยังสถานที่ที่ท่านชื่นชอบ
    2. หาโอกาสไปชมงานแสดงความก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์
    ด้านศิลปะ ด้านการแสดง หรือด้านอื่น ๆ ที่ท่านชื่นชอบ
    3. หาโอกาสไปชมผลิตภัณฑ์หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ท่านชื่นชอบ
    4. ฝึกจินตนาการให้เหมือนกับเราได้ไปอยู่ ณ สถานที่นั้น ๆ จริง ๆ
    5. หมั่นฝึกจินตนาการบ่อย ๆ ให้เหมือนกับการฝึกออกกำลังกาย
    ประจำวัน
    6. ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
    ของเรา ช่วยในการจินตนาการให้มาก
    7. พักผ่อนนอนหลับให้พอเพียง
    8. หมั่นฝึกสมาธิทำใจให้สงบ


    ขอให้ทุกท่าน ได้ใช้จินตนาการของท่านให้มาก เพื่อช่วยให้ท่านได้มี
    สุขภาพดีขึ้น และนำไปใช้กับความคิดสร้างสรรค์ของท่าน จะนำมาซึ่ง
    ความสำเร็จ ได้โดยไม่ยาก และทำให้ท่านมีความเจริญรุ่งเรือง สมหวัง
    ในชีวิตต่อไป


    -------------------------------------------------------------------------

    * เกียรติวรรณ อมาตยกุล , พลังแห่งความเชื่อมั่น , 2540



    [​IMG]
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    (12) ป้องกันการสูญเสียพลัง


    [​IMG]


    การเพิ่มพลังให้ตนเองนั้น มีประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพ
    ให้สูงขึ้น หากเราสามารถเพิ่มพลังแต่ละด้านให้เพิ่มขึ้น
    แม้เพียงด้านละเล็กละน้อยแล้ว พลังที่เพิ่มเมื่อรวมกันเข้า
    แล้ว ไม่น้อยเลยทีเดียว ทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น
    มาก ผู้นั้นก็จะมีศักยภาพที่สูงขึ้น จะปฏิบัติอะไรก็จะประสบ
    ความสำเร็จได้ง่ายขึ้น

    เราได้เพิ่มพลังให้ตนเองมาแล้วถึง 11 ด้านด้วยกัน ได้แก่

    1. พลังคำพูดด้านบวก
    2. พลังสติ
    3. พลังจิต
    4. พลังกาย
    5. พลังสมอง
    6. พลังสมาธิ
    7. พลังการหายใจ
    8. พลังความเชื่อมั่น (ในตนเอง)
    9. พลังความหวัง
    10. พลังความคิดสร้างสรรค์
    11. พลังจินตนาการ

    สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่สำคัญ นอกจากเราจะมุ่งเพิ่มพลังให้
    ตนเองแล้ว เราควรป้องกันการสูญเสียพลังด้วย สิ่งที่ทำให้เรา
    สูญเสียพลัง มีด้วยกันหลายประการ เช่น

    1. ความโกรธ
    2. ความเครียดและวิตกกังวล
    3. ความกลัว
    4. ความเบื่อหน่าย
    5. ความผิดหวังและล้มเหลว
    6. ความเหนื่อยผิดปกติ
    7. ความหดหู่เศร้าหมอง
    8. ความอ่อนแอ
    9. ความง่วงเหงาหาวนอน

    จึงควรหาทางป้องกันเสียแต่เนิ่น ๆ ประการสำคัญก็คือ จะต้อง
    หาสาเหตุให้พบ แก้ไขที่ต้นเหตุ และใช้ธรรมะช่วยในการป้องกัน
    และแก้ไขการสูญเสียพลังไปโดยใช่เหตุด้วย เช่น

    1. ความโกรธ ใช้ ความเมตตา
    2. ความเครียดวิตกกังวล ใช้ สมาธิ การพักผ่อน
    และออกกำลังกาย
    3. ความกลัว ใช้ ค้นหาความจริง และกล้า
    เผชิญกับความจริง
    4. ความเบื่อหน่าย ใช้ ปล่อยวาง และฝึกชอบ
    ในสิ่งที่ไม่ชอบบ้าง
    5. ความผิดหวังและล้มเหลว ใช้ แก้ไขสิ่งบกพร่องให้ได้
    6. ความเหนื่อยผิดปกติ ใช้ แก้ไขความผิดปกติและเสริม
    พลัง
    7. ความหดหู่เศร้าหมอง ใช้ ฝึกทำใจให้เบิกบาน
    อยู่เสมอ
    8. ความอ่อนแอ ใช้ ฝึกความเข้มแข็ง และความ
    มั่นใจ
    9. ความง่วงเหงาหาวนอน ใช้ พักผ่อนให้เพียงพอ


    ก็เชื่อเหลือเกินว่า ท่านจะสามารถป้องกันการสูญเสียพลังได้เป็นอย่างดี
    ทีเดียว ทั้งนี้ ท่านจะต้องหมั่นปฏิบัติให้ชำนาญ

    ขอให้ทุกท่านจงมีพลังกายที่แข็งแรง มีพลังใจที่เข้มแข็ง มีความสุข
    กายสบายใจ จิตใจปลอดโปร่งแจ่มใส ปราศจากความเศร้าหมองใด ๆ
    และประสบความสำเร็จ ตามที่ท่านได้มุ่งหมายไว้ทุกประการ



    ขอขอบคุณมากครับ ที่กรุณาติดตามมาโดยตลอด



    [​IMG]


    http://www.oknation.net/blog/surasakc
     
  14. Nutuk

    Nutuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +347
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
    สาธ สาธุ สาธุ

    <!-- / message -->
    _______________________________
    สว่างตา ด้วยแสงไฟ สว่างใจ ด้วยแสงธรรม
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
     
  15. Nutuk

    Nutuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +347
    อนุโมทนาค่ะ สาธุ..สาธุ<!-- google_ad_section_end -->

    *****************************************************************************

    รักนั้นมีค่า...เมื่อคุณคิดที่จะรักษาและเก็บมันไว้ได้นานเท่านานที่คุณมี
     

แชร์หน้านี้

Loading...