"เมื่อพระพุทธเจ้าถูกด่า"

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 30 พฤษภาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,238
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> buddha(14).jpg </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ครั้งหนึ่ง ณ แคว้นปัญจาละที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นโกศล มีกรุงโกสัมพีเป็นเมืองหลวง เมื่อพระพุทธองค์เข้าไปในเมือง ทรงถูกเหล่าชนมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งได้รับสินจ้างจากพระนางมาคันทิยาผู้ผูกอาฆาตในพระพุทธองค์ ติดตามด่าประจานเฉพาะพระพักตร์(ต่อหน้า) ด้วยถ้อยคำชั้นต่ำ หยาบช้า ไม่ใช่ผู้ดีในทุกที่ทุกแห่งที่เสด็จไป จนท่านพระอานนท์ทนฟังไม่ไหว ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่าควรจะเสด็จหนีไปเมืองอื่นเสีย

    มูลเหตุที่นางมาคันทิยาผูกอาฆาตพระพุทธเจ้า เกิดจากเมื่อตอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปโปรดแสดงธรรมแก่บิดาและมารดาของนางมาคันทิยา(ตอนนั้นยังเป็นเด็กรุ่น) เมื่อบิดามารดาของนางคันทิยาเห็นพระสิริโฉมอันหล่อเหลางดงามที่สุดของพระพุทธเจ้า ก็ถูกอกถูกใจนักหนา จึงประสงค์จะยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของพระพุทธองค์ แต่พระพุทธเจ้ากลับตรัสตอบว่า
    พราหมณ์....เมื่อได้เห็นนางตัณหา นางราคา และนางอรดี ซึ่งทรงความงามเหนือสามโลก เราก็หาพอใจแต่น้อยไม่ ก็ทำไมเล่าเราจะพอใจในสรีระแห่งธิดาของท่านซึ่งเต็มไปด้วยมูตรและคูถ พราหมณ์เอย อย่าว่าแต่จะให้แตะต้องด้วยมือเลย เราไม่ปรารถนาจะแตะต้องธิดาของท่านแม้ด้วยเท้าหรอกนะ
    พระดำรัสตอนสุดท้ายของพระผู้มีพระภาคนี้ เป็นเสมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงบนใบหน้าของบุตรีพราหมณ์ นางรู้สึกร้อนผ่านไปหมดทั้งร่าง
    สำหรับสตรีสาว อะไรจะเป็นเรื่องเจ็บปวดยิ่งไปกว่าการเสนอตัวให้ชาย แล้วถูกเขาเขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดี ดังนั้นนัยน์ตาซึ่งเคยหวานเยิ้มของนาง จึงถูกเคี่ยวให้เหือดแห้งไปด้วยไฟโทสะใบหน้าซึ่งเคยถูกชมว่างามเหมือนจันทร์เพ็ญนั้น บัดนี้ได้ถูกเมฆคือความโกรธเคลื่อนเข้ามาบดบังเสียแล้ว
    นางผูกใจเจ็บในพระศาสดาสุดประมาณพระตถาคตเจ้าสังเกตเห็นกิริยาอาการของนางโดยตลอดแต่หาสนพระทัยอันใดไม่ ทรงแสดงอนุปุพพิกถา พรรณนาถึงเรื่องทาน ศีล ผลแห่งทาน ศีล โทษของกาม และอานิสงส์แห่งการหลีกเร้นออกจากกาม ที่เรียกว่า เนกขัมมะ ฟอกอัธยาศัยแห่งพราหมณ์และพราหมณี จนทรงเห็นว่ามีจิตอ่อน ควรแก่พระธรรม เทศนา ชั้นสูง แล้วพระผู้มีพระภาคก็ทรงประกาศ สามุกกังสิกาธรรมเทศนา คือ อริยสัจ ๔ ประหนึ่งช่างย้อมผู้ฉลาด ฟอกผ้าให้สะอาดแล้วนำมาย้อมสีที่ตนต้องการ
    พระธรรมเทศนา จบลงด้วยการสำเร็จมรรคผลของพราหมณ์และพราหมณี พระพุทธองค์เสด็จลุกจากอาสนะ ทิ้งมาคันทิยคามไว้เบื้องหลัง มุ่งสู่ชนบทอื่นเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ต่อไป
    ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด ในการที่จะแก้แค้นพระศาสดา เครื่องมือในการใช้ความพยายามของนางมีอย่างเดียวคือความงาม เมื่อมีความพยายาม ความสำเร็จยอมตามมาเสมอและในความพยายามนั้น ถ้าจังหวะดีก็จะทำให้สำเร็จเร็วขึ้นดังนั้นต่อมาไม่ช้านัก นางได้เป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทนแห่งโกสัมพี โดยวิธีใดไม่แจ้ง นับว่าได้เป็นใหญ่เป็นโตพอที่จะหาทางแก้แค้นพระศาสดาได้โดยสะดวก ดังนั้นเมื่อนางทราบว่า พระตถาคตเจ้าเสด็จมาโกสัมพี นางจึงยินดียิ่งนัก จึงจ้างบริวารของนางบ้าง ทาสและกรรมกรบ้าง ให้เที่ยวติตตามต่าพระศาสดาทุกมุมเมือง ทุกหนทุกแห่งที่พระองค์ทรงเหยียบย่างไป ด้วยวัตถุเป็นเครื่องบริภาษ 10 ประการ ซึ่งถือว่า หยาบคาย บาดหูอย่างรุนแรงที่สุดในยุคสมัยนั้น คือ “เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นบ้า เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นวัว เจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์นรก เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน สุคติของเจ้าไม่มี และเจ้าหวังได้ทุคติอย่างเดียว..ฯลฯ”
    แม้พระพุทธองค์ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบแล้วจะไม่ทรงรู้สึกหวั่นไหวไปตามคำด่าคำว่าของคนทั้งหลาย แต่พระอานนท์กลับทนมิได้ จึงกราบทูลแนะนำไปว่า

    “พระองค์ผู้เจริญ อย่าอยู่เลยที่นี่ คนเขาด่ามากเหลือเกิน”
    จะไปไหน อานนท์ พระศาสดาตรัส
    “ไปเมืองอื่นเถิดพระเจ้าข้า สาวัตถี ราชคฤห์ สาเกต หรือเมืองไหนๆ ก็ได้ ที่ไม่ใช่โกสัมพี”
    ถ้าเขาด่าเราที่นั่นอีก?
    “ก็ไปเมืองอื่นอีก พระเจ้าข้า”
    ถ้าที่เมืองนั้นเขาด่าเราอีก?
    “ไปต่อไป พระเจ้าข้า”
    “อย่าเลย อานนท์ เธออย่าพอใจให้ตถาคตทำอย่างนั้นถ้าจะต้องทำอย่างเธอว่า เราจะไม่มีแผ่นดินอยู่
    มนุษย์เราอยู่ที่ไหนจะไม่ให้มีคนรักคนชังนั้น เห็นจะไม่ไดเรื่องเกิดขึ้นที่ใดควรให้ระงับลง ณ ที่นั่นเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป อานนท์ เรื่องที่เกิดขึ้นแก่ตถาคตนั้นจะไม่ยืดยาวเกิน ๗ วัน คือจะต้องระงับลงภายใน ๗ วันเท่านั้น..."
    แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสต่อไปว่า
    "อานนท์...เราจะอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สงคราม ต้องทนต่อลูกศรซึ่งมาจากทิศทั้ง ๔ เพราะคนในโลกนี้ส่วนมากเป็นคนชั่ว คอยแส่หาแต่โทษของผู้อื่น เธอจงดูเถิด...พระราชาทั้งหลายย่อมทรงราชพาหนะตัวที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ชุมนุมชน เป็นสัตว์ที่ออกชุมนุมชนได้ อานนท์เอยในหมู่มนุษย์นี้ ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด ม้าอัสดร ม้าสินธพ พญาช้างตระกูลมหานาคที่ได้รับฝึกแล้ว จัดเป็นสัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ แต่คนที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น"
    ดูก่อน อานนท์ ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกัน เพราะเห็นว่าพอสู้กันได้(ยังถือว่าธรรมดาๆ) แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตน เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด
    ผู้มีความอดทน มีเมตตา ยอมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่าย สามารถขุดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้ คุณธรรมทั้งมวล มีศีล สมาธิ เป็นต้น ยอมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้น
    ในที่สุด ทาสและกรรมกรที่พระนางมาคันทิยาว่าจ้างมาด่าพระมหาสมณะก็เลิกราไปเอง เพราะเขาทั้งหลายรู้สึกว่าเขากำลังด่าเสาศิลาแท่งทึบ ซึ่งไม่หวั่นไหวเลย
    ความพยายามของพระนางมาคันทิยาเป็นอันล้มเหลวอาวุโส..พระศาสดาเคยตรัสไว้ว่า
    ภูเขาศิลาล้วนยอมไม่หวั่นไหวด้วยลมจากทิศทั้ง ๔ ฉันใด บัณฑิตยอมไม่หวั่นไหว เพราะด่านินทาและคำสรรเสริญฉันนั้น
    และที่สุด ผลกรรมก็ตามทันพระนางมาคันทิยาอย่างสาสมที่สุด ภายหลังจากที่พระนางมาคันทิยากลั่นแกล้งพระศาสดาไม่สมประสงค์ก็หันมาริษยาหาโทษให้พระนางสามาวดี พระนางถูกกล่าวหาหลายเรื่องจนพระเจ้าอุเทนทรงเชื่อ และจะประหารชีวิตพระนางสามาวดี แต่พระองค์ทรงทราบข้อเท็จจริงภายหลัง จึงสั่งประหารชีวิตพระนางมาคันทิยาพร้อมทั้งบริวารและญาติ ด้วยวิธีที่ทารุณอย่างยิ่ง นั่นก็คือการขุดหลุมฝังพระนางมาคันทิยาพร้อมด้วยบริวารผู้สมคบคิดแล้วเผาทั้งเป็นก่อนที่จะใช้ไถคราดจนอวัยวะทั้งปวงขาดกระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างน่าสยดสยองที่สุด พระนางมาคันทิยาจึงจบชีวิตลงด้วยกรรมที่พระนางก่อขึ้นเองด้วยอาการดังนี้
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ������������� : #Topic-081016083631919�����˭��٧�ش���§�˹ ������鹹Թ�� ���������������� ��������
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2009
  2. ugudei

    ugudei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +254
    คนแถวนี้น่าจะอ่านบ้างจะได้เลิกทำเรื่องโง่ๆซะที
     
  3. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    เรื่องของนางมาคันทิยานี้ เป็นตัวอย่างของผู้หญิงที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม สวยแต่เพียงกายภายนอก แต่ในใจเป็นอันธพาล .. สกปรก สงสารนางสามาวดีและบริวารของนาง ที่โดนเผาทั้งเป็น ด้วยการวางแผน ของคนเพียงคนเดียว เคยคิดเหมือนกันนะคะ ว่าทำไมคนพาลเพียงคนเดียว สามารถทำให้คนอื่น เขาเดือดร้อนได้เป็นจำนวนมาก ทำกับพระพุทธเจ้าแบบนั้นได้ยังไง เธอไม่รู้เลยเหรอ ว่าอะไรควร และ ไม่ควร น่าเสียดายที่ได้เกิดมาพบพระพุทธองค์แล้ว แต่กลับไม่เกิดศรัทธา แถมยังไปทำชั่วกับท่านอีก อ่านแล้วจะจำ จะไม่เอาเป็นเยี่ยนอย่างเด็ดขาด กลัวนรกอเวจีค่ะ .. อ่านแล้วรู้สึก แย่กับนางคนนี้ค่ะ

    อนุโมทนา สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2010
  4. Igiko_L

    Igiko_L เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,407
    ค่าพลัง:
    +2,836
    เป็นตัวอย่างที่ดีของการทำใจให้อดทนต่อคำพูดของคนพาล หนูโดนประจำ ไม่รู้พวกนี้ทำไมชอบยุ่งกับหนูนักนะ หนูจะสอบไม่ได้ จะเรียนที่ไหน จะสนใจอยากรู้ทำไม ไม่ได้ขอเงินพวกเค้าเรียนสักหน่อย ธุระตัวเองมีไม่สนใจ ตากับหู คอยแต่จะฟังเรื่องผิดพลาดคนอื่น จะได้พูดซ่ำเติมเหยียบย้ำ (หนูโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่ก็พยายามเฉยๆเดินหนีไปที่อื่น แต่ถ้าเป็นเวลาทำงาน ขายน้ำมันขวด ก็หลบไม่ได้ ได้แต่ทำไม่ได้ยินไม่สนใจ ทั้งๆที่ในใจ ทั้งแค้น ทั้งอาย ทั้งโมโหตัวเอง ที่มันโง่ สอบเข้าแพทย์ไม่ได้ ทำให้ถูก ถากถางแบบนี้ ตอนนี้ก็ย้ายมาอยู่หอพักแล้วคะ)
    ได้อ่านแล้ว คิดจะจะอดทน ไม่โกรธตอบ จะพยายามขันติๆให้มาก
    สาธุๆ
     
  5. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    เรื่องของพระนางสามาวดีซึ่งเป็นพระมเหสีเอกที่พระเจ้าอุเทนทรงรักมาก จึงเป็นที่อิจฉาของพระนางมาคันทิยา อีกทั้งพระนางสามาวดีเป็นอุบาสิกาผู้เลื่อมใสในพระพุทธองค์ จึงพลอยทำให้พระนางมาคันทิยาซึ่งแค้นพระพุทธองค์อยู่แล้วพาลเกลียดพระนางสามาวดีไปด้วย
    พระนางมาคันทิยาได้ออกอุบายต่างๆเพื่อใส่ร้ายพระนางสามาวดีหลายครั้งหลายหน เช่นเอางูพิษไปไว้ในพิณในห้องของพระนางสามาวดีเพื่อให้พระเจ้าอุเทนระแวงว่าพระนางสามาวดีคิดปลงพระชนม์ของพระองค์ จึงทรงสั่งให้ประหารชีวิตพระนางสามาวดีพร้อมทั้งบริวาร แต่ด้วยอานุภาพแห่งเมตตา ทำให้ลูกศรที่ยิงออกไปเลี้ยวกลับไม่ยอมทำร้ายพระนางสามาวดีและบริวาร พระเจ้าอุเทนจึงทรงทราบถึงความบริสุทธิ์ของพระนางสามาวดี จากนั้นพระนางยังเป็นกัลยาณมิตรให้พระเจ้าอุเทนโดยได้นิมนต์พระพุทธองค์มาเทศน์โปรดพระเจ้าอุเทนจนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
    ต่อมาพระนางมาคันทิยาจึงใช้ให้คนไปลอบเผาตำหนักของพระนางสามาวดี ทำให้พระนางและบริวารตายสิ้นในกองเพลิง พระเจ้าอุเทนได้สืบสวนจนทราบว่าพระนางมาคันทิยาเป็นผู้บงการ จึงทรงให้ประหารผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหลายด้วยการฝังแค่เอว เอาฟางสุมแล้วจุดไฟ เสร็จแล้วเอาคราดเหล็กไถจนร่างกายขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนพระนางมาคันทิยาโดนประหารอย่างสยดสยองที่สุด คือให้จับพระนางมัดไว้แล้วเชือดเนื้อออกทีละชิ้นนำไปทอดในน้ำมัน เอาเนื้อให้สุนัขกินจนตาย
    การที่พระนางสามาวดีและบริวารถูกไฟคลอกตายก็เพราะกรรมที่เคยเผาร่างของพระปัจเจกพุทธเจ้า โดยในชาติหนึ่งพระนางและบริวารได้พากันไปเล่นน้ำ เมื่อขึ้นมาก็หนาวจึงก่อไฟเผากองฟางเพื่อแก้หนาว บังเอิญที่กองฟางนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ เมื่อฟางยุบลง พวกนางจึงทราบว่าได้เผาพระปัจเจกพุทธเจ้าไปโดยไม่ตั้งใจ ตอนนี้กรรมยังไม่มีเพราะไม่มีเจตนา แต่ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเป็นที่เคารพของพระราชา ด้วยความกลัวว่าจะมีผู้ล่วงรู้เรื่องนี้จึงได้พากันหาฟืนจำนวนมากมาเผาเพื่อทำลายร่างของพระปัจเจกพุทธเจ้าตลอดทั้งคืน ตอนนี้แหละที่เกิดกรรมหนักเพราะคิดทำลายร่างของพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้านิโรธสมาบัติอยู่ จึงไม่มีอันตรายใดๆทำร้ายพระองค์แม้ชายจีวรได้เลย แต่กระนั้น กรรมชั่วนั้นก็ได้ตามผจญพระนางสามาวดีและบริวารทำให้พวกนางต้องตายในกองเพลิงมาหลายร้อยชาติแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2010
  6. linake119

    linake119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +578
    นั่นเป็นผลกรรมของผู้ที่ทำต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งตายเพราะไฟมาเป็นเวลา ๕๐๐ ชาติ และชาติที่ ๕๐๐ ท่านได้พบพระพุทธเจ้า ได้สำเร็จมรรคผลก่อนเป็นพระโสดาบัน แต่ก่อนที่จะเสียชีวิตนางได้คุณธรรมขั้นสูงกว่านั้น ส่วนบิดาและมารดาของนางมาคันฑิยา ได้เป็นพระอนาคามี และขอออกบวชกับพระพุทธเจ้า

    ที่จริงกรรมที่นางมาคันฑิยาได้กระทำแล้วคือ การผูกใจเจ็บต่อพระศาสดา ก็เป็นบาปเวรมากพออยู่แล้วในใจ มาตอนหลังมีความพยายามจะทำร้ายพระองค์ด้วยวิธีการต่างๆอีก เป็นการมุ่งร้าย กรรมก็จะให้ผลเร็วขึ้น สุดท้ายนางต้องตายอย่างทรมานที่สุดเพราะได้กระทำกรรมซึ่งร้ายกาจมากคือ เผาพระอริยเจ้าถึง ๕๐๐ พระองค์ให้เสียชีวิต ดังนั้นกรรมนี้หนักและแรงมาก พระเจ้าอุเทนซึ่งเป็นพระราชสวามี ที่จริงมีความเคารพในพระนางสามาวดีอยู่แล้วตั้งแต่ครั้งที่จะประหารพระนางสามาวดีและบริวาร ๕๐๐ ครั้งแรกด้วยธนูพิเศษ แต่ธนูนั้นไม่สามารถกระทำอันตรายใดๆ แก่พระนางสามาและบริวารได้ เนื่องจากเป็นพระอริยเจ้าและได้แผ่เมตตาไว้ แต่ธนูนั้นกลับย้อนกลับมาทำร้ายพระเจ้าอุเทน ซึ่งเหตุแห่งการประหารนั้นเกิดจากความริษยาของพระนางมาคันฑิยาที่เห็นใครมีความจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ และใส่ความ แต่ตอนหลังพระเจ้าอุเทนรู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไร และได้เห็นอัศจรรย์นั้นก็พลันคิดว่า "ดูเถิด แม้แต่ธนูซึ่งไม่มีชีวิต ก็ยังรู้ถึงคุณของพระนางสามา และบริวาร ไม่ทำร้ายนางกลับมาทำร้ายเราเอง เราเป็นซึงราชาผู้ประเสริฐกว่าใครทั้งหลาย จะไม่อาจรู้คุณของพระนางนั้นไม่ได้" ว่าแล้วก็จะกราบเพื่อขอขมาพระนางสามาวดี พระนางสามาวดีบอกว่า "ไม่ได้หรอกพระเจ้าค่ะ จำต้องไปขอขมาต่อบิดาของหม่อมฉัน"จึงกราบบังคมทูลเชิญเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าจนได้เลือมใส จนได้ตั้งอยู่ในไตรสรณคม ตอนหลังก็ได้ไว้ใจพระนางสามาวดีมาตลอด ซึ่งนางมาคันฑิยาไม่อาจรู้ได้เลย ก็พยายามหาทางกลั่นแกล้งอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เพราะพระเจ้าอุเทนรู้ทัน ดังนั้นเมื่อถึงที่สุด นางได้จ้างพี่ชายนางให้ไปปิดปราสาทของนางมาคันฑิยาและจุดไฟเผาเสีย ในครั้งนั้น พระนางสามาวดีก็ได้ให้โอวาสแก่บริวารเป็นครั้งสุดท้ายว่า "ท่านทั้งหลาย ความตายกำลังจะมีมาถึงเราในอีกไม่ช้านี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้ตั้งอยู่ในความเมตตา พึงเสียสละซึ่งร่างกายและขันธ์ทั้งหลายเถิด ทุกคนได้เข้าวิปัสสนาจนได้บรรลุธรรมขั้นสูง แม้พระนางสามาวดีเองก็ได้บรรลุพระอนาคามี บางคนก็ได้บรรลุเป็นพระสกิทาคา และอนาคามีด้วยเช่นกันครับ
    เมื่อนางมาคันฑิยาเผาพระนางสามาวดีเสร็จ พระเจ้าอุเทนก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ก่อน จนกระทั่งนางมาคันฑิยาตายใจเข้าใจว่าพระเจ้าอุเทนไม่โปรดพระนางสามาวดี ก็เลยเผยความลับออกมาว่า นางเป็นผู้ทำเอง เพื่อขจัดภัยร้ายให้กับพระเจ้าอุเทน
    พระเจ้าอุเทนก็เลยกล่าวว่า "น้องนางทำดีมาก พี่ใคร่ได้ให้รางวัลพิเศษแก่นาง แต่ครั้นจะให้รางวัลพิเศษแก่นางนั้นคนเดียวก็ไม่บังควร เพราะนางกระทำแล้วซึ่งกรรมอันดีต่อเราเป็นพิเศษ ดังนั้นเราจะให้รางวัลแก่บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายของน้องนางด้วย"
    นางมาคันฑิยาก็เข้าใจว่าเป็นความจริง ก็กราบทูลขอบพระทัย และพระเจ้าอุเทนนั้นก็ได้ให้ทำประกาศว่า "ผู้ใดเป็นญาติของพระนางมาคันฑิยา จงได้มาแสดงตัวในพระราชวัง เพื่อรับรางวัลใหญ่ เนื่องจากพระนางมาคันฑิยาได้กำจัดภัยร้ายให้กับพระเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าอยู่หัวปรารถนาจะตอบแทนคุณ"
    ในขณะนั้น ทั่วทั้งเมืองโกสัมพีก็กล่าวขานกัน คนที่เป็นญาติและไม่ใช่ญาติของนางมาคันฑิยานั้นก็มาแสดงตัว และก็พอได้ในระยะเวลาเหมาะสม ก็เรียกให้มารวมกันในสวนด้านนอกพระราชวัง โดยได้ให้ทหารเตรียมขุดหลุมเอาไว้เรียบร้อยแล้วลึกเพียงครึ่งตัว ซึ่งในครั้งนั้นบรรดาคนที่เป็นทั้งญาติและมิใช่ญาติของพระนางมาคันฑิยามารายงานตัวถึง ๕๐๐ คนที่เดียว เมื่อมาถึงสวนนั้นเห็นมีหลุมที่ขุดไว้แล้ว ๕๐๐ หลุม ก็รู้ว่ามรณภัยมาถึงตัว ก็เตรียมหนี แต่ถูกบรรดาทหารบังคับด้วยอาวุธทั้งหลายให้ลงไป แล้วฝังเพียงครึ่งตัว แล้วหลังจากนั้นก็เอาสำลีชุบน้ำมันพันร่าง เอาฟางโรย แล้วจุดไฟเผาทั้ง ๕๐๐ คน พวกที่ไม่ใช่ญาติของนางมาคันฑิยานั้นก็รู้ตัวเองว่า เป็นผู้โลภในรางวัลอันไม่ควรได้ เมื่อไฟมาถึงตัวก็ได้ยินเสียงร้องระงมไปทั่ว หลังจากนั้น เหล่าทหารก็จัดรถม้าที่มีอาวุธที่รถ แล้วก็วิ่งใส่ร่างของคนทั้ง ๕๐๐ ฉีกร่างทั้งหมดแล้วก็ไถกลบ กลายเป็นปุ๋ยอย่างดี หลังจากนั้น นางมาค้นฑิยา ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าคนทั้ง ๕๐๐ นั้นถูกทหารล้างผลาญชีวิตไปแล้ว ก็ไปตามคำทูลเชิญของทหาร ซึ่งทหารก็เชิญมายังลานที่เดียวกัน แล้วก็จับนางมาคันฑิยามัดไว้กับหลัก แล้วก็เตรียมกระทะตั้งน้ำมันเดือดๆ แล้วก็นำเอาผ้ายัดใส่ปากนาง แล้วเฉือนเนื้อบริเวณโคนขา แล้วน้ำไปทอด แล้วบังคับให้นางกิน กระทำดังนั้นจนกระทั่งนางสิ้นชีวิต
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กล่าวกันโดยทั่วไปของเมืองโกสัมพีและเมืองใกล้เคียงดังนั้น ทางพระภิกษูเมื่อได้รู้ข่าวก็ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าถึงบุพกรรมของนางสามาวดี และพระพุทธองค์เองก็กล่าวถึงบุพกรรมของพระองค์เองเช่นกันที่ต้องโดนนางมาคันฑิยามาจ้างคนด่า เพราะพระองค์เคยปรามาสพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้ ไม่เคารพเนื่องจากสมัยนั้นเกิดเป็นนักเลง แล้วกล่าวว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าต่างๆ ดังนั้น กรรมจึงตามมาสนองทันในชาตินี้
    ดังนั้นเรื่องของกฎแห่งกรรมนั้นเที่ยงธรรมยิ่งนัก ไม่มีละเว้นใครเลย แม้แต่ผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้า เมื่อยังมีขันธ์อยู่ก็ต้องรับไปเป็นเรื่องปรกติ ดังนั้นหากเราทำจิตให้อยู่เหนือบุญบาป ก็จะพ้นกฎแห่งกรรมนั้นได้ ไม่ต้องมารับ ต้องละสุข จึงจะละทุกข์ได้

    เล่ามาซะยาว ที่จริงก็แค่ครูพักลักจำ ผมว่าคุณถิ่นธรรมมีข้อมูลที่ดีกว่าผมมากนัก(เท่าที่เคยได้อ่านผลงาน)ก เป็นวิชาการ ชอบครับ ที่จริงเรื่องของพระเจ้าอุเทนก็เป็นเรื่องที่สนุก ไว้วันหลังคุณถิ่นธรรมนำเอามาฝากก็ดีนะครับ
     
  7. bluemachine

    bluemachine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +184
    อโหสิกรรมกันเถอะครับ
     
  8. toomdoi

    toomdoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +839
    อนุโมทนา
    บุรุษและอิสตรีที่หลงผิดย่อมทำให้ศาสนามั่วหมอง ทั่งในอดีตและปัจจุบัน

    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
     

แชร์หน้านี้

Loading...