เมื่อโลกธาตุคว่ำ ด้วยเตโชวิปัสสนากรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 9 ธันวาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    .............. TechoVipassana.jpg
    เมื่อโลกธาตุคว่ำ ด้วยเตโชวิปัสสนากรรมฐาน

    “นานแค่ไหนแล้ว ที่เราไม่ได้รู้ ไม่ได้อ่านประสบการณ์การคว่ำโลกธาตุของพระสุปฏิปันโน เรื่องราวที่เคยได้อ่านเป็นบุญชีวิต มักมาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ที่บัดนี้ หลวงปู่หลวงพ่อล้วนทะยอยละสังขารไปตามธรรม พระอรหันต์เจ้าท่านได้เมตตาบอกเล่าประสบการณ์ภาวนาไว้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจว่า เมื่อเพียรจริงความหลุดพ้นย่อมเกิดขึ้นได้ ในวันนี้ ได้มีพระอริยสงฆ์ผู้ทำกิจจบสิ้นแล้วหลังจากเพียรและบวชจำพรรษาได้เพียงสามปี จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยทางสายเอกอุ และท่านได้เมตตาบอกเล่าประสบการณ์การภาวนาเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้มีศรัทธาต่อนิพพาน ได้ตระหนักว่าการคว่ำโลกธาตุเกิดขึ้นได้จริง และเกิดขึ้นได้เร็วหากปฏิบัติด้วยวิถีที่เป็นทางลัดตัดตรง เพียรเผากิเลสตรงตัวไม่อ้อมค้อม

    ขออนุโมทนาต่อพระคุณเจ้าสััญชัย จิตตภาโส พระผู้เป็นเนื้อนาบุญ ผู้จำพรรษาอยู่ ณ สำนักสงฆ์ลานหินปาโมกข์ จังหวัดสุรินทร์ ขอความปรารถนาอันยิ่งที่พระคุณเจ้าได้เมตตาบอกเล่า เพื่อเป็นสายธารแห่งธรรมให้แก่ผู้มั่นคงในนิพพาน จงสัมฤทธิ์ผลทุกประการด้วยเทอญ

    อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล

    10 มิถุนายน 2558
    *******************

    ก่อนจะได้มาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังนั้น ชีวิตของอาตมาก็เหมือนกับชาวพุทธโดยทั่วไป คือปฏิบัติดีที่สุด ได้แก่การทำทาน และรักษาศีล ซึ่งในขณะนั้นคิดอยู่เสมอว่า เราก็ทำดีที่สุดแล้วคงจะไม่เป็นอะไร กระทั่งปี 2554 ช่วงเปิดภาคเรียนเดือนพฤษภาคม อาตมาได้มีอาการเจ็บป่วยซึ่งเป็นมานานแล้ว คือกระเสาะกระแสะ 3 วันดี 4 วันไข้ แต่ครั้งนี้อาการป่วยรุนแรงจนถึงต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล และแพทย์ได้ตรวจเช็คอาการและวินิจฉัย โรคว่าเป็น โรคตับอักเสบ ไขมันพอกตับ ลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคกระเพาะอาการ โรคกรดไหลย้อน กรดเกิน ฯลฯ จึงทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียไม่มีแรง หลังจากพักรักษาตัวประมาณ 10 วัน สุขภาพร่างกายก็ดีขึ้น คุณหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลมาพักรักษาตัวที่บ้านได้ แต่เมื่อมาอยู่บ้านแล้วอาการต่าง ๆ ก็เหมือนจะทรงตัวอยู่ได้ แต่ก็ไม่ดีนัก จึงต้องแวะเวียนเข้า-ออก โรงพยาบาลในปี 2554 นั้น ถึง 3-4 ครั้ง แต่ละครั้งต้องนอนพักรักษาตัว 7-15 วัน จึงทำให้จิตใจท้อแท้ หดหู่

    ปลายปี 2554 อาตมาได้เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่มีชัย กามฉินโท ซึ่งเป็นบิดาบุญธรรมของข้าพเจ้า และท่านได้ทักข้าพเจ้าว่า “คนเราจะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้ตัวอีกยังไม่รีบปฏิบัติธรรม อีกหรือ”และท่านได้เมตตาแนะนำการปฏิบัติโดยย่อว่า อะไรเกิด รู้อ๋อ รู้อ๋อ รู้อ๋อ

    เดือนกุมภาพันธ์ 2555 คุณดวงมณี ตรงเที่ยง ลูกสาวของหลวงปู่ได้เป็นผู้ชักชวน และโน้มน้าวจิตใจของข้าพเจ้าให้คล้อยตาม เพื่อให้มาปฏิบัติธรรมสายเตโชวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอาตมาปฏิเสธ เนื่องจากธาตุขันธ์ไม่แข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บนั้นเข้าโรงพยาบาลแต่ละครั้งแต่ละครา เจ้ากรรมนายเวรก็ชักชวน เพื่อนฝูงมารุมกินโต๊ะข้าพเจ้ามากขึ้น มากขึ้น และโรคภัยไข้เจ็บที่ได้เพิ่มขึ้นมานั้น ทำให้ไม่สามารถที่จะนั่งกับพื้นได้เลย เพราะร่างกายจะมีความเจ็บปวด ทุรนทุราย ทั่วร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เนื่องจากอาตมาป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรังแทบจะทุกส่วนของร่างกาย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อรับปากน้องสาวแล้ว ก็จำเป็นต้องมา และเมื่อมาแล้ว ก็จะต้องสู้ เท่าที่จะสู้ได้ (แต่ต้องเต็มความสามารถนะ)

    …..

    วันแรกของการปฏิบัติ เมื่อรับกรรมฐาน อานาปานสติ แล้วเริ่มปฏิบัติ อาตมานั่งได้ประมาณ 10 นาที ความทุกขเวทนาจากความเจ็บปวดตามร่างกายไม่ว่าจะขา หัวเข่า ข้อเท้า เอว สะโพก แผ่นหลัง ต้นคอ ปลายนิ้วมือ ข้อมือ หัวไหล่ ข้อศอก ทุกอย่างระดมสรรพกำลังความเจ็บปวดยิ่งทวีขึ้นเป็นทวีคูณ จึงต้องลืมตามองดูผู้ปฏิบัติที่อยู่ข้าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสุภาพบุรุษ-สุภาพสตรี แต่ละคนนั่งนิ่ง หลังตรง ไม่ขยับเขยื้อน แล้วย้อนคิดถึงตนเอง ตายละหวา เราทำไมนั่งเหมือนลิง ลุกลี้ลุกลน แทบจะถอดใจวันละหลาย ๆ ครั้ง แรก ๆ ก็นึกชัง-โกรธ คุณดวงมณี (ปัจจุบันเป็นชีดวงมณี ตรงเที่ยง)ว่า เอาเถอะ จบคอร์สเมื่อไร เห็นดีกัน หลอกกันได้ว่านั่งเก้าอี้ก็ได้ แต่ด้วยบารมีของพ่อแม่ ครูอาจารย์-คุณพระศรีรัตนตรัย ที่ท่านได้เมตตาต่อข้าพเจ้าโดยช่วยเหลือสอน-สั่งในสภาวะธรรมอยู่เสมอ ๆ จึงทำให้พอที่จะประคับประคองตนนั่งกับเขาได้ เมื่อท้อเมื่อไร ก็คิดถึงแม่..คุณแม่พิกุล บุญช่วย..แม่ผู้ให้กำเนิด คิดถึงท่านอาจารย์ พระอาจารย์ พ่อแม่ครูอาจารย์ ก็ทำให้เกิดกำลังใจฮึดสู้ได้อีก และยิ่งเมื่อท่านอาจารย์อัจฉราวดี สอบอารมณ์ครั้งแรกนั้น คำแรกที่ท่านทัก ท่านบอกว่า ต้องสู้นะ ต้องสู้นะ คุณสัญชัย เพราะไม่มีรถขบวนอื่นให้ขึ้นอีกแล้ว มีขบวนนี้เป็นขบวนสุดท้ายแล้วนะ น้ำเสียงซึ่งเปล่งออกมาจากจิตที่มีแต่ความเมตตาหาที่สุดมิได้นั้น ทำให้ข้าพเจ้าเกิดกำลังใจฮึกเหิมที่จะต่อสู้ จะปฏิบัติต่อไป

    เมื่อจบคอร์ส เดือนกุมภาพันธ์ 2555 อาตมาพยายามมองหาน้องสาวว่า เอ๊ะ ดวงมณี ไปไหน ไม่เห็นมาหาพี่บ้างเลย นี่ก็จะกลับแล้วน่าจะมารอที่รถได้แล้วนะ มีเรื่องจะไหว้วานให้ส่งใบสมัคร ให้เข้าคอร์สต่อไปก็ไม่เห็นหัวเห็นหาง กล่าวจบก็เห็นชีดวงมณี เดินก้มหน้างุด ๆ ไม่กล้าสบตาอาตมาแล้วยกมือไหว้ พี่ใหญ่หนูขออนุโมทนาบุญกับพี่ใหญ่ด้วยนะ “เออ ส่งใบสมัครให้พี่ใหญ่ด้วยนะ”

    พูดจบ ดวงมณี ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกว่าจะถูกด่าซะแล้ว โล่งใจ ชอบการปฏิบัตินี่ไหมพี่ใหญ่ ดีมากเลย อาตมากล่าว ถ้าเป็นไปได้ อยากจะเข้าปฏิบัติทุกคอร์สเลยนะ

    (จากนั้นไม่นาน ท่านได้ออกบวชและจำพรรษาอยู่ที่ลานหินปาโมกข์ โดยปฏิบัติเตโชวิปัสสนาเฉลี่ยวันละ 6-7 ชั่วโมง และเข้าคอร์สภาวนาต่อเนื่องที่เตโชสถาน เทือกเขาพระพุทธบาทน้อย จ.สระบุรี)

    ….

    การภาวนาช่วงจิตได้พบความก้าวหน้าขั้นสูง

    หลังจากออกจากคอร์สเดือนมีนาคม 2558 ได้มีแขกที่จะขอไปปฏิบัติธรรมที่สถานปฏิบัติธรรมลานหิน-ป่าโมกข์ ตําบลแนงมุด อําเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ หนึ่งท่าน คือ ชีจริยา ซึ่งเป็นศิษย์เตโชฯ เช่นกัน เป็นคนจังหวัดสตูล

    ในวันหนึ่งในขณะกำลังรดน้ำต้นไม้ หลังจากเสร็จภาระกิจการเข้ากรรมฐานช่วงเวลา 14.00-16.00 น. ของทุกวันแล้ว

    อาตมา พระฮวด ต่อดอก และคณะพระภิกษุ-ชี-พราหมณ์ ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือปฏิบัติหน้าที่ ตามจิตอาสา บ้างก็รดน้ำต้นไม้ กวาดลาน ทำความสะอาดห้องน้ำ ฯลฯ ในขณะนั้นเอง คุณชีจริยา ได้พูดลอย ๆ ว่า คุณกัลย์รญาณ์ ที่เลื่อน 2 ขั้น เป็นสกิทาคามี นั่น อดีตชาติเธอได้อธิษฐานตั้งจิตขอเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ แต่ท่านก็ได้ลาพุทธภูมิแล้ว อาตมาสะดุดใจ ตรงนี้ก็เลยบอกว่า หลวงพ่อแปลกนะชี เป็นเวลาประมาณ 2-3 เดือนมาแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เวลาจิตตั้งมั่นบนศีรษะจะปรากฏเป็นเกศคล้ายกับพระพุทธรูป เป็นเช่นนี้มา 2-3 เดือน เป็นทุกครั้งที่จิตตั้งมั่น คุณชีจริยาจึงกล่าวว่า เอ๊ะ แปลกนะ หรือหลวงพ่อปรารถนา “พุทธภูมิ” หนูไม่รู้นะ แต่ลองอธิษฐานลา “พุทธภูมิ” ดูซิ ถ้าหลวงพ่อปรารถนาพระนิพพานในชาติปัจจุบัน

    โดยจิตขณะนั้น และสภาวะของจิตที่เกิดจากการภาวนา ทำให้ทราบกำลังของตนเองว่า “ทำเช่นใดถ้าหากเราเคยปรารถนาพุทธภูมิ ก็คงจะไม่สำเร็จเพราะหนทางข้างหน้าช่างยาว-ไกลนัก กอรปด้วยวิบากกรรมที่เกิดขึ้นในขณะภาวนานั้น ช่างทุกขเวทนา เจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส กล่าวคือ ความทุกข์นั้นบีบคั้นทั้งกายและจิตอยู่ตลอดเวลา จึงตระหนักในจิตว่า “ขอเป็นเพียงพุทธสาวกที่ดีและได้บรรลุมรรคผลนิพพานในปัจจุบันชาติ” และได้ตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมศาสดา, คุณพระศรีรัตนตรัย, พระอาจารย์สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี, ท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล และพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกชาติทุกภพ ทุกสมัย เท่านั้นก็พอแล้ว” เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงน้อมจิตขอถอนคำอธิษฐาน

    “หากคำอธิษฐานใด ๆ ของข้าพเจ้าที่ขวางกั้นต่อมรรค-ผลในชาติปัจจุบันแล้วไซร้ ข้าพเจ้าขอถอนคำ อธิษฐานนั้นและขอพระบรมศาสดา คุณพระศรีรัตนตรัย พ่อแม่ครูอาจารย์ได้โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วยเทอญ” หลังจากถอนคำอธิษฐานในวันแรก เมื่อจิตตั้งมั่น สิ่งที่เห็นคล้ายเกศพระพุทธรูปนั้นในวันแรกก็ยังคงอยู่แต่ก็ค่อย ๆ มลายจางหายไปในวันที่ 2-3-4-5 คงเหลือแต่รอยเหมือนรอยทองเหลืองบนศีรษะ เหตุการณ์นี้พัฒนาต่อไป คือ เมื่อจิตตั้งมั่น สิ่งที่ปรากฏแทนเกศบนเศียรพระพุทธรูปนั้น กลับกลายเป็นดอกบัวสีทองบานอร่ามบนศีรษะ เป็นเหมือนภาพช้าในภาพยนตร์ คือ จากตูมค่อยบานกระทั่งบานสะพรั่ง และปรากฏเป็นพระพุทธรูป ประทับบนดอกบัว จากนั้น สภาวะนี้เป็นเพียงวันเดียว

    วันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาภาวนาตามปกติ เมื่อจิตตั้งมั่น ดอกบัวสีทองก็บานอร่ามบนศีรษะ แต่ครั้งนี้ ปรากฎเป็นภาพเจ้าชายสิทธัตถะ ปางประสูติ ชูนิ้วมือขึ้น 1 นิ้ว แล้วเดินบนดอกบัวอีก 7 ก้าว เป็นดังภาพที่ได้เรียนพุทธประวัติ ตั้งแต่สมัยประถมศึกษาเช่นไรก็เช่นนั้นเลย สภาวธรรมที่ปรากฎเป็นพระพุทธเจ้าน้อยนี้เกิดขึ้นเพียงวันเดียวแล้วก็หายไป

    ……

    วันที่ 12 พฤษภาคม 2558 อาตมาติดภาระกิจนิมนต์นำพระไปบวชกับหลวงพ่อสุพรรณ พระอุปัชฌาย์ ณ วัดป่าโยธาประสิทธิ์ ต.ในเมือง อ. เมือง จ. สุรินทร์ ในขณะที่พระอุปัชฌาย์, พระกรรมวาจาจารย์ทั้ง 3 รูป ทำพิธีนั้น อาตมาได้ร่วมในพิธีคือเป็นพระลำดับ สภาวะธรรมที่เกิดเมื่อจิตตั้งมั่นลืมตาอยู่จึงรีบหรุบปิดเปลือกตา และตรึงจิตตามคำสอนของท่านอาจารย์อัจฉราวดี ว่า รู้อย่างเดียว, รู้ที่จุดสัมผัสอย่างเดียว, อย่างอื่นไม่ต้องสนใจ สภาวะจิตในขณะนั้น เจาะ ดิ่ง ชั้นสังขารลงไปอย่างรวดเร็ว และตัวจิตก็แจ้งให้รู้ว่า นี่แหละที่ท่านอาจารย์พร่ำสอนว่า ดิ่งลงไปขุดเจาะสังขาร เมื่อดิ่งลงไปยิ่งดิ่งยิ่งลึกตลอดเวลาประมาณ 45นาที-1 ชั่วโมงที่จิตดิ่งขุดลอกสังขารนั่น ก็มีเสียงดังขึ้นในจิตว่า “ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่านแล้ว” แต่ด้วยความตระหนักถึงคำสอนของท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าก็ยังคงดำรงสติ เพ่ง รู้อยู่ที่จุดสัมผัสตลอดเวลา

    สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ก่อนจะอธิษฐานลาพุทธภูมินั้น สิ่งใดก็ตามที่เกิดกับจิตเช่น สังขาร ความคิด อารมณ์ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เมื่อรับรู้จะไม่สามารถดำรงสภาวะนั้นได้เลย กล่าวคือ จะถูกสับบ้าง ผ่า ไฟเผา พายุถล่ม แผ่นดินถล่มทลายไปในชั่วพริบตา ซึ่งสภาวะเช่นนี้ท่านอาจารย์อัจฉราวดี และหลวงปู่มีชัย กามฉินโท บิดาบุญธรรมได้กล่าวว่า เป็นสภาวะที่เกิดปัญญา

    ในระหว่างการเดินทางโดยรถยนต์ จากลานหินป่าโมกข์ เพื่อมาเข้าคอร์สประจำเดือนพฤษภาคม 2558 นั้น ได้เกิดสภาวะธรรมดิ่งเจาะ-ลึกลงไปในชั้นของสังขารชั้นอาสวะอยู่ตลอดเวลา อาสวะที่กำลังดิ่ง เจาะ เผาสังขารนี้จิตแจ้งว่า เป็นกามอาสวะ เนื่องจากก่อนที่จิตจะดิ่งนั้น เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว สภาวธรรมที่เกิดเป็น มีสังขารที่ผุดมาเป็นเรื่องราคะ ปะทุ ทะลักทะลายออกมาอยู่ตลอดเวลา อาตมาจำคำสอนได้ขึ้นใจให้รู้อย่างเดียว

    เช้าวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 (วันที่ 2) ของการปฏิบัติ เมื่อท่านอาจารย์นิมนต์ให้เล่าสภาวะธรรม ท่านได้แสดงมุทิตาจิตที่ถึงความก้าวหน้า และได้กล่าวว่าเตือนให้ตระหนักอยู่เสมอว่า “อนาคามี” ก็สามารถตกลงได้ อาตมาก็น้อมนำคำสอนของท่านไว้ในจิตอยู่เสมอ และก็ได้ปฏิบัติภาวนาต่อไป

    ผลของการภาวนา มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ จากกระแสคุณพระศรีรัตนตรัย และพ่อแม่ครูอาจารย์ และที่ได้เมตตาแผ่พลังให้ ทำให้การปฏิบัติเกิดความก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ สภาวะที่ถล่มทลายนั้น ค่อยพัฒนาเป็นพลิกโลกธาตุ คว่ำโลกธาตุ ขอใช้คำว่า “คว่ำโลกธาตุ” จริง ๆ คือ เมื่อขุด-ดิ่งลงไปถึงชั้นอาสวะใด ๆ แผ่นดิน ภูเขา ก็พลิกกลับข้าง เหมือนเราลอกหนังแต่เป็นลอกหนังทั้งก้อน เช่นใดเช่นนั้น เมื่อถึงช่วงนี้ คำกล่าว “สิ้นชาติ ขาดภพ แล้วนะ” บังเกิดในจิต และมีกระแสคุณพระศรีรัตนตรัย พ่อแม่ครูอาจารย์ เต็มภูเขา และเมื่ออาตมาเดินเข้าไปในถ้ำพบหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านได้เรียกอาตมาว่า มา มานี่ มานั่งด้วยกัน แต่ด้วยบารมีของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล อาตมาก็ไม่กล้าที่จะนั่งเคียงท่าน และอีกฟากหนึ่งมีพระรูปหนึ่ง นั่งอยู่ข้าง ๆ ท่านมีพัดยศ แสดงสมณศักดิ์ แต่อาตมาไม่รู้ว่า เป็นชั้นใด อาตมาจะทรุดลงนั่ง ท่านกลับกล่าวว่า ไป ไป ไม่ใช่นั่งตรงนี้ พลันก็ได้ยินเสียงเรียก มานี่ มานี่ มานั่งกับพวกเราตรงนี้ เมื่ออาตมาชำเลืองมองไปตามเสียงเรียก พบว่า เป็นพระอรหันต์ 2 รูป กล่าวคือ

    หลวงพ่อฤาษี แห่งวัดท่าซุง อุทัยธานี


    หลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวัน สิงห์บุรี


    ภาพที่เกิดต่อจากนั้นเป็นภาพพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีทองสุกปลั่ง ได้เปลี่ยนสภาพจากสีทองเป็นแก้วใส และพระพุทธรูปนั้นได้แตกต่อหน้า-ต่อตา ตอนแรกข้าพเจ้าก็ตระหนกตกใจแต่เมื่อคิดถึงคำของท่าน พระอาจารย์สมเด็จฯ ที่ได้เมตตาสอนว่า บัญญัติก็ส่วนบัญญัติ ปรมัตถ์ก็ส่วนปรมัตถ์ จิตจึงเพ่งอยู่ที่จุดสัมผัสอยู่ตลอดเวลา

    อาตมาได้เล่าให้ท่านอาจารย์ตามที่กล่าวเบื้องต้นแล้วนั้น ท่านอาจารย์นิ่งเพียงครู่เดียวแล้วกล่าวว่า “ใช่ มีกระแสพระนิพพานจริง เชือกบางเส้นขาดแล้ว แต่ที่ยังไม่ขาดก็มี ต้องภาวนาต่อ”

    เวลา 18.30 น. ของวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 การปฏิบัติเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ณ ลานโพธิ์

    เมื่ออาตมากราบระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมศาสดาแล้วสิ่งซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมานานมากแล้วคือ ปิติ แต่ในขณะนั้น อาตมาเกิดปิติ ขนลุกจากศีรษะถึงฝ่าเท้า ขึ้นลง 2-3 ครั้ง เกิดขึ้นทั้งตัว แต่ก็ปล่อยให้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะท่านอาจารย์เคยสอนเช่นนั้นว่า อยากร้องก็ร้องไป ปิติก็ส่วนปิติ

    เมื่อถึงเวลาภาวนา จิตก็ตั้งมั่นเป็นมหาสติ ที่ท่านอาจารย์กำชับ-พร่ำสอน ศิษย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จิตรู้ได้ดิ่งทะลุทะลวง ขุดลอกชั้นอาสวะไปเรื่อยตลอดเวลา อาตมาก็มีหน้าที่เพียง รู้อย่างเดียว ตามคำสอน เมื่อขึ้นเรือนปฏิบัติ ความสืบเนื่องของสภาวะธรรมที่ปรากฎ เปลี่ยนเป็นจิตตั้งมั่น เป็นมหาสติ ปรากฏเป็นพระพุทธรูป จำนวนมากมาย นับไม่ถ้วน เป็นเหลืองอร่ามและค่อยแปรเปลี่ยนเป็นพระพุทธรูปแก้วใส เต็มไปหมดและท้ายที่สุดพระพุทธรูป แก้วก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ มลายหายไป

    โลกธาตุคว่ำ

    เช้าตรู่ของวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 เวลา 03.37 น. เสียงนาฬิกาปลุกดังแกร็ก เนื่องจากชำรุด จะปลุกเช่นนี้ของเวลานี้ทุก ๆ วัน ตื่นขึ้นมา จิตตั้งมั่น ทั้ง ๆ ที่ยังนอนอยู่ แต่จิตก็เป็นมหาสติ ภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะเกี่ยวข้องกับการบรรลุธรรมก็เกิดขึ้นในจิต

    “ภาพกล้วยน้ำว้า 2 หวี กำลังสุกงอม น่ารับประทาน” อาตมาก็รู้อย่างเดียว พลันจิตก็แจ้งว่า “อาสวะหมดไปแล้ว 1 กอง คงเหลือ 2 กอง” อาตมาก็ยังวางเฉย จำคำสอนขึ้นใจ รู้อย่างเดียว พลันจิตก็ตรึงอยู่ที่จุดสัมผัส กล้วย 2 หวีนั้นก็ระเบิดหายไป และโลกธาตุถล่มทลาย….

    ………..

    เมื่อท่านอาจารย์นิมนต์ในช่วงเช้า 22 พ.ค. 58 นั้น ท่านอาจารย์( ไม่ได้สอบถามสภาวะธรรมอันใด) ได้กล่าวขึ้นมาว่า “ขออนุโมทนาและแสดงความยินดีกับพระคุณเจ้าที่สิ้นชาติ ขาดภพแล้ว” พร้อมกับน้ำตาของท่านอาจารย์ที่คลอเบ้าทั้ง 2 ข้าง…..

    จิตอาตมา เข้าใจความรู้สึกของท่านอาจารย์ดี เพราะก็เคยเป็นครูมาก่อน


    “ไม่มีสิ่งใดที่พ่อแม่ครูอาจารย์จะดีใจกว่าลูกและศิษย์ประสบความสำเร็จ ยิ่งถึงขนาดสิ้นชาติ ขาดภพแล้ว พ่อ แม่ ครู อาจารย์ จะปิติมากกว่าลูก, ศิษย์ เป็นร้อยเท่าทวีคูณ…


    ท้ายนี้ อาตมาขอตั้งสัตย์ต่อพระรัตนตรัย ท่านพระอาจารย์สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี, สมเด็จหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด, ท่านท้าวมหาพรหมชินะปัญจระ ท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล, อีกพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกชาติ ทุกภพ ทุกสมัย ว่า

    “ ข้าพเจ้าจะเชื่อฟังคำสั่งสอน และปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างของพุทธสาวกที่ดี ตราบชีวิตจะหาไม่ ”

    เคารพ ไม่สู้


    เชื่อฟัง ไม่สู้

    ปฏิบัติตามคำสอน


    บุญกุศลใด ๆ ที่เกิดขอน้อมถวายแต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าโคดม, พระอาจารย์สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี, ท่านอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล และ พ่อแม่ครูอาจารย์ทุกชาติ ทุกภพ ทุกสมัย
    ****************************************
    ขอบพระคุณที่มา :- MEDIA=googleplus]oid=117210333259825272530;pid=1vSg5f7GEm2[/MEDIA
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...