เมื่อในหลวงสนทนากับหลวงพ่อเรื่องของชาติบ้านเมือง

ในห้อง 'ในหลวงกับพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 18 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]
    วันนั้นผมจะต้องเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นวาระแรก ที่เสด็จมาถึงวัดท่าซุง ก่อนนี้ก็ไม่เคยเฝ้า ถ้าผมจำไม่ผิด ผมไม่ได้จดไว้นะ อาจจะเป็นวันที่ ๒๐ เมษายน ก็ได้ ก็รวมความว่าก่อนที่จะเข้าพบกับพระองค์ผมทำอย่างไร อันนี้กำลังใจด้านแรก ขอแนะนำแก่บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่มีกำลังใจไม่เข้มแข็งอย่างผม ผมก็ทราบว่าถ้าพบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามลำพัง ทว่าตามลำพังหมายความว่าไม่ใช่กลุ่มคนมาก ไม่ใช่อยู่องค์เดียว แต่ว่าเป็นส่วนน้อย ตอนนั้นก็ต้องคิดว่าพระองค์เป็นใคร สำหรับกำลังใจของผมมีความรู้สึกเหมือนกับนิยายที่เขาเขียนกัน เขาว่า "ประเทศเมื่อถึงคราวทุกข์ยากลำบากยากแค้น จะต้องมีพระราชาทรงธรรม ที่เรียกว่า ธรรมมิกราช หรือ ธรรมมิกราชา มาสงเคราะห์"ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ความจริง "ธรรมมิกราช" ก็ดี "ธรรมมิกราชา" ก็ดี ไม่มีอะไร ถ้าแปลเป็นภาษาไทย เขาจริง "พระราชาผู้ทรงธรรม" ถ้าเรียกธรรมมิกราชขึ้นมา โอ้โฮ..ใหญ่โตเหลือเกิน ความจริงก็ใหญ่ คนที่ทรงไว้ซึ่งความดีเราจะถือว่าเล็กไม่ได้ เขาจะมีฐานะเช่นใดก็ตาม ถ้ามีความดีเราก็ต้องบูชาความดีของท่านผู้นั้น<O:p></O:p>
    สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ผมไม่สงสัย ที่ไม่สงสัยใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เพราะในยุคนั้นเขาหาว่าผมเป็นคนบ้าอยู่แล้วนี่ ผมก็ต้องบ้าคิดตามอารมณ์ของผม ผมคิดว่าวันนี้เราจะไปพบกับพระราชาผู้ทรงธรรม หรือเรียกตามภาษาบาลีว่า "ธรรมมิกราช" และถ้อยคำของพระองค์ที่ตรัสออกมาต้องประกอบไปด้วยธรรม และสำหรับผมเองก็ไม่ได้เฟื่องฟูในธรรม ไม่ใช่เป็นผู้มีความรู้รอบคอบทุกสิ่งทุกอย่างที่บรรดาท่านมีความรู้อยู่ผมจะทำอย่างไร ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถามอะไรขึ้นมาแล้ว ผมตอบไม่ได้ คำว่าผมตอบไม่ได้ผมเองก็ไม่ได้อายพระองค์ เพราะว่าผมเองก็ไม่ใช่สัพพัญญู ไม่รู้ทั้งหมด ผมสามารถจะตอบได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้<O:p></O:p>
    แต่ก็คิดในใจว่าถ้าอะไรบ้างที่ไม่เกินความสามารถของเราและก็ไม่เกินความสามารถของผู้สงเคราะห์ผมอยู่นะ (ท่านผู้สงเคราะห์ผมอยู่นี่เป็นท่านที่พวกท่านเคยเห็น แต่ก็ไม่ปรากฏเป็นร่างเนื้อหรือหนังให้ปรากฏ) ผมคิดว่าผมควรจะตอบได้ทุกอย่างที่พระองค์ตรัสถาม ทั้งนี้ผมจะไม่ใช้เฉพาะปัญญาของผม ผมจะขอพึ่งบารมีท่านผู้ทรงคุณวิเศษ ฉะนั้นเวลาที่จะเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอุโบสถ ในโบสถ์วัดท่าซุงก็ได้อาราธนาบารมีของทุก ๆ พระองค์ที่สงเคราะห์ "ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถามอะไรขึ้นมา ก็ขอให้ตอบได้ตรงตามความเป็นจริง"<O:p></O:p>
    วันนั้นมีโอกาสอยู่กับท่าน คือท่านสนทนาด้วยตามเวลาที่เจ้าหน้าที่เขาบอกมา เขาบอกว่าพระองค์ทรงใช้เวลา ๔๕ นาที ซึ่งมีใครเขาบอกมาก็ไม่ทราบว่า พระองค์จะทรงพบได้แค่ ๑๕ นาที ผมคิดว่าคนอย่างผมนี่มีวาสนาบารมีต่ำต้องอย่างนี้ ถ้าจะมีโอกาสอยู่กับพระเจ้าอยู่หัวเพียงแค่ครึ่งวินาทีนี่ผมก็ชื่นใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวของประเทศไทย คือประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งละ ๑ องค์ และคนไทยเวลานั้นถึง ๔๕ ล้านคน ก็ยากที่จะเข้าไปใกล้ แต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นี้แปลกกว่าองค์อื่นทั้งหมด ซึ่งมีประชาชนได้มีโอกาสเข้าใกล้พระองค์ได้มากที่สุด ในดินแดนต่าง ๆ ที่พระองค์เสด็จและเสด็จไปเข้านั่งใกล้คน มีโอกาสจะพูดโอภาปราศรัย พูดด้วยเสมอ อันนี้เป็นของหายาก แต่ถึงกระนั้นก็ดีคนทุกคนก็จะทำอย่างนั้นได้ยาก ถ้าจะหาทุกคนไม่ได้ตั้ง ๔๕ ล้านคน เวลานั้นและถ้าผมมีโอกาสสักครึ่งวินาทีผมก็จะชื่นใจว่าใน ๔๕ ล้านคน ผมก็คนหนึ่งที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระราชาผู้ทรงธรรม<O:p></O:p>
    คำว่าพระราชาผู้ทรงธรรม อย่าคิดว่าผมยกย่องพระองค์เกินความเป็นจริงนะ ผมบอกแล้วนี่ อันดับต้น สังคหวัตถุ ๔ ของพระองค์ครบถ้วน ขั้นสุดท้ายกำลังใจสูงส่งในด้านสมถะวิปัสสนาและขันติ กำลังใจเมตตาของพระองค์ทรงดีมาก ใครว่าอะไรก็ตาม นินทาอะไรก็ตาม ไม่ทรงโต้ตอบ และก็ไม่เคยตำหนิใครว่าชั่ว อันนี้หาได้ยาก ถ้ามากไปกว่านี้ ผมคิดว่าเทปอีกสัก ๑๐๐ ม้วน ผมพูดเรื่องของท่านไม่จบ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ก็รวมความว่าวันนั้นเข้าไป พระองค์ทรงแสดงชัดไม่เคยถือพระองค์ และผมเองก็เป็นพระป่าพระดง ราชาศัพท์ผมก็ใช้กับเขาไม่เป็น ไม่รู้ว่าพระเขาพูดกับพระเจ้าแผ่นดินว่าอย่างไร ผมก็เล่นลูกทุ่งตามปกติของผม ท่านถามมาผมก็ตอบไป ท่านถามมาผมก็ตอบไป ผมจำไม่ได้ว่าท่านถามเรื่องอะไรบ้าง มาในช่วงหลังพอจะนึกออก ท่านถามถึงภาวะความเป็นไปของชาติและประชาชนในชาติ<O:p></O:p>
    เห็นไหมบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัท ท่านไม่ได้ถามว่าพระองค์จะมีความสุข พระองค์เองจะร่ำรวยขนาดไหน ไม่ได้เคยปรารภถึงพระองค์เองเลย ทรงปรารภเฉพาะว่าเวลานี้บ้านเมืองมันเต็มไปด้วยความคับแคบ บรรดาประชาชนอดอยากยากจนกันมาก ฝืดเคืองมาก ท่านถามว่า<O:p></O:p>
    "ต่อไปชาติเราจะเจริญรุ่งเรืองขนาดไหน และจะมีความอุดมสมบูรณ์ขนาดไหน?"<O:p></O:p>
    ถามเข้าตรงนี้ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ผมก็ไม่ไหวซิ ตัวคนเดียวสู้ไม่ได้แล้ว งานเหนื่อยก็เหนื่อย ไม่มีการเตรียมการ ไม่มีหมายกำหนดการจะถามว่าอย่างนั้น อย่าไปนึกว่าท่านถามเกินพอดีนะ ไม่ใช่ ผมทำยังไง ผมก็ต้องเอาบารมีพระพุทธเจ้าเข้าช่วย ผมนึกไปก่อนแล้วขอให้ดลใจให้ผมตอบได้ เมื่อท่านถามมา ผมก็ถวายพระพรไป บอกว่า<O:p></O:p>
    "หลังจากนี้ไปเข้าเขต พ.ศ.๒๕๒๔ บ้านเมืองของเราจะเข้าเขตฟ้าสาง"<O:p></O:p>
    คำว่า "ฟ้าสาง" นี่หมายความว่า มันยังไม่สว่าง ยังมองเห็นหน้ากันไม่ถนัด แต่ว่ามันดีกว่ามืด ถ้ามืดตื้อเสียทีเดียวจะมองไม่เห็นอะไรเลย ฟ้าสางเห็นบ้างลาง ๆ แต่ไม่ชัดเจน เห็นคนรู้ว่าเป็นคน แต่ยังไม่รู้ว่าหน้าเป็นอย่างไร ขาวหรือดำ ผมหงอกหรือผมดำก็ไม่ทราบ นี่เปรียบเทียบกันให้ฟัง ชะตาประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ถ้าปี ๒๔ จะเริ่มเข้าเกณฑ์บอกว่า ประเทศไทยต่อไปนี้จะไม่ยากจนนัก<O:p></O:p>
    ท่านก็ทรงถามต่อไป ถามถึงว่าอะไรมันจะมีขึ้นมาบ้าง มันจะดีขึ้นมายังไง ?<O:p></O:p>ผมก็ได้ถวายพระพรกับพระองค์ว่าffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    "ประเทศไทยน่ะมีความสุขอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุที่มีคุณค่าสูงมาก และมีราคาดี แถมแก๊สแถมน้ำมันก็มีมาก แต่ทว่าเวลานี้โอกาสที่จะนำขึ้นมายังไม่ถึงและยังไม่ถึงวาระ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกี่ยวกับวาระ แต่ทว่า พ.ศ.๒๕๒๔ ตอนนั้นฟ้าเริ่มสาง จะได้บอกชะตาชัดว่าต่อนี้ไปประเทศไทยจะมีความรุ่งเรือง แต่ก็ยังเอาดีไม่ได้"<O:p></O:p>
    ตอนนี้ผมก็ต้องขออภัย ลืมไปว่าพระองค์ตรัสว่า พระองค์ทรงเหนื่อยเหลือเกิน การช่วยเหลือบรรดาประชาชน พระองค์ทรงเหนื่อยมาก ก็อยากจะมีความสุขหมายความว่าได้พักผ่อนพักเหนื่อยสักที<O:p></O:p>
    ความจริงเท่าที่พระองค์ตรัสแบบนั้น ไม่ใช่พระองค์ทรงเบื่อหน่าย ก็เห็นแล้วเวลากลางคืนของท่านมีเวลาพักน้อย จะได้บรรทมก็ต้องใช้เวลาถึงตีสอง ตีสองบรรทมหลับหรือยังก็ยังไม่ทราบ และเวลาออกเยี่ยมประชาชน พระองค์งานก็มาก แต่ละวันดูหมายกำหนดการแล้วเราเองก็ไม่ไหว เวียนหัว อะไร ๆ ก็อยู่ที่พระเจ้าอยู่หัว เขาเกณฑ์ท่านไปหมด แม้แต่คนที่รับภาระไปเพื่อทำ ดีไม่ดี ๓ - ๔ ปี พระองค์ทรงบอกแล้วเขายังทำไม่ได้ก็มีงานจุ๋มจิ๋ม ๆ ทุกอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ พระองค์ทรงเห็นเป็นประโยชน์ ก็ทรงสั่งให้ทำและก็จัดการทำ ควบคุมการทำและดูแลอยู่เสมอ จะเห็นว่าพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยจริง ๆ <O:p></O:p>
    อย่างผมเองผมก็ไม่ไหว ผมเคยคิดว่าใครจะให้ผมเป็นพระเจ้าแผ่นดินและก็ทำงานอย่างพระองค์ให้ผมวันละ ๑๐ ล้าน ผมไม่เอา วันละ ๑๐ ล้านนะครับไม่ใช่เดือนละ ๑๐ ล้าน นี่ผมไม่เอาหรอก ที่ไม่เอาเพราะอะไร เพราะว่าผมทำไม่ได้ พระองค์ทรงบอกว่าเหน็ดเหนื่อยก็ทราบ ก็เลยกราบทูลว่า (พระเขาเรียกถวายพระพรนะ นี่ผมป่วย ๆ นี่มันก็เผลอเหมือนกัน) ก็ได้ถวายพระพรกับพระองค์ว่า<O:p></O:p>
    "ปี ๒๔ ก็เริ่มเห็นและต่อไป ๆ หลาย ๆ ปี ความแจ่มใสจะปรากฏ และก็ประเทศไทยจะเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ เมื่อบรรดาประชาชนมีความอุดมสมบูรณ์ มีความสุข ทรัพย์สินก็มีมาก พระองค์ทรงหายเหนื่อย"<O:p></O:p>
    แต่พระองค์ก็ตรัสต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ว่า<O:p></O:p>
    "ตอนนั้นผมก็แก่แล้วครับ มันก็เหนื่อยอีกแหละ"<O:p></O:p>
    ก็เลยถวายพระพร บอกไปว่า<O:p></O:p>
    "การไปเยี่ยมเขาเฉย ๆ ก็ไม่หนัก ไม่ต้องช่วยเขาทำ"<O:p></O:p>
    ท่านบอก "ถึงไม่ช่วยทำ คนแก่มันก็ต้องเหนื่อย" จริงของท่าน<O:p></O:p>
    รวมความพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ตรัสแบบปกติ ๆ ถ้าอย่างเรา ๆ ก็ถือว่าคุยแบบกันเอง คือว่าท่านทำให้ผมไม่ตื่นตกใจ ไม่ประหม่านั่นเอง เป็นความเมตตาของพระองค์ ถือว่าเป็นมหากรุณาธิคุณอย่างหนัก<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...