เรียนคาถาจนกลายเป็นปอบ

จะเล่าเรื่องอาจารย์ฆราวาสคนหนึ่งซึ่งเมื่อก่อนก็เป็นคนเก่งมากๆแต่ผมก็จำไม่ได้เท่าไหร่ว่าแกไปทำอะไรมาบ้าง แต่ที่แน่ๆเลยก็คือผมเคยไปหาแกอยู่ 2-3 ครั้งพ่อแม่พาไปสมัยก่อนยังไม่ได้เก่งกล้าสามารถอะไรพ่อแม่ชอบดูดวงชอบเรื่องแบบนี้ เพราะแถวบ้านนอกเขาทำของใส่กันบ่อย อาจารย์คนนี้ก็มีนายดาบคนหนึ่งเป็นเพื่อของพ่อได้แนะนำไปหาแก ตาของแกบอดสนิททั้ง 2 ข้าง แกเป็นคนอีสานโดยกำเนิดแต่ไปอยู่ภาคกลางมาหลายปี ไปแรกๆผมก็ได้ตะกรุดมาพ่อแม่เขาบูชามาให้ และก็ได้เรียนมนต์คาถามา 1 บท คือมนต์ย้ายธรณี(มั้ง)ถ้าจำไม่ผิด ไม่พิมพ์บทคาถาให้ดูนะครับ ทีแรกก็นึกเอะใจอยู่เหมือนกันเวลาใช้คาถาบทนี้ทำไมขาถึงมีขนลุกตลอด เคยคิดว่าเป็นผีหรือปล่าว(ได้แค่สงสัย)แต่ก็ใช้อยู่บ่อยๆ คือคุณสมบัติของมนต์นี้ก็ประมาณว่าบังตาผีได้ย้ายบ้านของผีในอีกมิติหนึ่งซึ่งอยู่ซ้อนทับบ้านเราออกไปได้ ประมาณนั้นส่วนข้อห้ามผมจำไม่ได้เพราะไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว แต่หลังจากนั้นมาประมาณ 2-3 ปี ก็มีอาจารย์อีกคนแกบอกว่าอาจารย์คนที่ตาบอดนี้แกเป็นปอบที่ตาบอดเพราะจะไปกินเขาแต่เขามีวิชาเขาเป่าพริกใส่ตาเลยทำให้ตาบอด เพราะแกเรียนคาถาเยอะและของเลยเข้าตัวแกเองหลังจากนั้นมาผมก็เลิกใช้คาถาของอาจารย์ตาบอดมาตลอดเลย ผมไม่รู้นะว่าอันไหนจริงแต่ที่ผมสัมผัสได้คือมีคาถาแกอยู่คนเดียวจากอาจารย์ที่ผมเรียนมาทั้งหมดจะขนลุกเฉพาะที่เท้าและขาเท่านั้น

 

จะว่าไปก็แปลกนะ
ทั้งๆที่รู้ว่า ฝึกแล้ว
มีโอกาสเป็นปอบได้
ก็ยังจะฝึกจะเรียนกันไปเพื่อ ?
งง แทน
แทนที่จะเรียน(ถ้าชอบ) วิชาสายขาว
ที่พัฒนาตามความดีของจิตตนเอง...
ที่อยู่ภายใต้ครูบาร์อาจารย์
อยู่ภายใต้พระรัตนตรัย
....

 

ใช้กำลังสมาธิเท่ากัน แต่ที่ดีที่สุดคือ พุทธศาสตร์ เพราะปลอดภัยกว่า ประเสริฐกว่า

 

อันนี้ผมเข้าใจว่ามนต์ที่เรียนนั้นก็อาจถูกหลอกให้เรียนมาเหมือนกันก็ได้ แบบว่าอาจารย์อาจจะบอกไม่หมดว่าผลข้างเคียงมีอะไรบ้าง คงเหมือนตอนผมไปเรียนกับแก อาจารย์แกก็บอกว่าของแกดีไม่มีหรอกปอบเปิบอะไร แกก็ว่ามนต์คาถาแกดีเหมือนกันแต่เราลองใช้แล้วมันแปลกๆ เหมือนวิชาอ้อปล่อง ผมก็แปลกใจอยู่เหมือนกันบางคนเรียนทำไมเป็นปอบ บางคนเขาเรียนแต่ทำไมเขาไม่เป็นอะไร มันมีสายขาวสายดำด้วยหรือ? คุณสมบัติของมนต์ตัวนี้คือเรียนแล้วจะทำให้อ่านหรือเห็นอะไรก็จะจำได้หมดเรียนหนังสืออ่านรอบเดียวจำได้หมดเลย แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ที่มีทั้งสายขาวและดำ เพราะขนาดคาถาสาริกาลิ้นทองยังมีเรียนแล้วเป็นปอบเลย(หมายถึงมีสายดำ)แต่เขาจะสักที่ลิ้นด้วยและมีคาถากำกับเวลาใช้ คุยกับใครก็รักก็หลง

 

จะว่าไปนะ สมัยก่อนเคยเจอนะ
เป็นยาย ที่ตอนนั้นรู้สึกว่าแกเป็นนะ
เพราะมันมีจุดสังเกตุหลายอย่าง
ทั้งบุคคลิก แววตา การแสดงพฤติกรรม
ก็ได้คุยกันนะ ตอนนั้นรู้สึกระแวงเล็กน้อย
แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ส่วนตัวก็ซื้อของใช้ให้
แต่ไม่ได้ถามว่า ทำไมคุณยายถึงเป็น
แบบนี้ครับ

แต่ถ้าจะถามว่า ทำไมวิชาที่เรียนถึงเป็นปอบได้
ถ้าจะพูดในลักษณะเชิงพลังงาน ก็อาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่า

ก็คือ การเรียนวิชาอะไรก็ตาม ที่ประกอบไปด้วย
คุณลักษณะดังต่อไปนี้ มีโอกาศที่จะกลายเป็นปอบได้หมด
๑.มีการท่องบ่น บริกรรมคาถา เพื่อบังคับจิตใจสงบ
และการท่องบ่นนั้น ไม่ได้เชื่อมโดยตรงกับระดับ
เกจิ อาจารย์ หรือครูบาร์อาจารย์ที่เป็น ห่มเหลือง
หรือไม่อยู่ภายใต้วิชาที่ท่านเจ้าของวิชา เป็นระดับ
ผู้ที่มีกระแสในทางพระรัตน์ตรัยเป็นทุน(หรือกระแส
ที่ขึ้นตรงไปข้างบน ตามแนวจักระด้านหน้าลำตัว)
๒.และการท่องบ่นนี้ ส่งผลให้เกิดกระแสด้านพลังงาน
ในลักษณะเกี่ยวกับพลังงานภายนอกปกติ
ที่ได้จากสายพลังงานฝ่ายดี(ที่ขึ้นคู่กับกระแสพลังงาน
ครูบาร์อาจารย์ ตามแนวกระดูกสันหลัง)บางส่วน
และก็ผูกกับกระแสพลังงาน
ของฝ่ายที่สนับสนุนผลวิชานั้นๆ
ที่มาจากภายนอก ผ่านมายังท้ายทอย
และ ๓.ลักษณะการใช้งาน ที่หนุนจากสัมผัสภายใน
ที่บริเวณท้อง ผูกกับกระแสจิตตรงลิ้นปี่
และ ผูกกับกระแสที่หน้าอก หมุนวนรวมกัน
และต้องท่องบ่นย้ำ อีกครั้ง เพื่อเปิดทาง
ให้กระแสพลังงานจากภายนอกที่มาจาก
ท้ายทอยนั้นทำงานได้(ปกติกระแสทำงานได้
กระแสจะมาจากท้ายทอย จากข้างบน
และพุ้งออกไปเลยแบบเรียบๆ ทะลุตรงๆ
ผ่านปากออกไปได้ ไม่ต้องย้ำด้วยบทคาถา
ใช้เพียงการเป่า)

ถ้าลักษณะวิชาที่เรียน มี ๓ อย่างที่ว่านี้
มีสิทธิ์กลายเป็นปอบได้ทุกรายเพราะเมื่อ
ทำอะไรผิดธรรมหรือกฏอะไรก็ตาม
กระแสที่มาจากภายนอกนั้นจะเพิ่มกำลังขึ้นมา
และจะตัดกระแสภายนอกปกติ(ตามแนวกระดูกสันหลัง)
ตัดกระแสครูที่อยู่ข้างบน
และมีอำนาจที่จะกดให้จิต ผู้นั้นไม่เกิดได้เลย
และก็ผูกด้วยคำบริกรรม รวมกับสัมผัสภายใน
จากท้องหมุนวนผ่านกระแสหน้าอกบุคคลผู้นั้น
ได้อย่างปกติ นี่คือ การทำงานของลักษณะพลังงาน
ที่ทำให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็น ปอบนั้นหละ

ถ้าอ่านแล้วงง จะบอกว่า
คือ ถ้าสายขาว
๑.กระแสจะเชื่อมกับข้างบน ทั้งด้านหน้าตามแนวจักระ
และตามแนวกระดูกสันหลัง
มีการบริกรรมร่วมด้วยแต่ไม่มาก เพราะการบริกรรม
เพื่อเป็นฐานเชื่อมกระแสด้านหน้า และกระแสตาม
แนวกระดูกสันหลังจะขึ้นตรงปกติ ไม่มีกระแสภายนอก
มาแอบหนุนเหมือนพวกที่เรียนแล้วจะเป็นปอบ
๒.ลักษณะการทำงานได้ มีตัวจิตเป็นตัวหนุนร่วมด้วย
ไม่ได้ถูกบังคับ จากกระแสหน้าอกเพื่อไปบังคับให้จิตนิ่ง
เหมือนพวกที่เป็นปอบ
๓.การพัฒนานั้น ขึ้นอยู่กับจิตด้วย เพราะถ้าจิตขยายตัวได้
มากเท่าไร ลักษณะของฐานที่หนุนเชื่อมพลังงานครูข้างบน
ก็จะกว้างขึ้น และพลังงานภายนอกตามแนวกระดูกสันหลัง
ก็จะเร็วขึ้นตามมาอีกด้วย

ด้วยเหตุการทำงานได้ ของจิตมันเป็นประมาณอย่างที่เล่า
จึงได้เกิดเป็นสายดำ สายขาว ขึ้นมา
และด้วยลักษณะการเกิดพลังงานก่อนใช้งาน
ที่เป็นเอกลักษณะ เลยส่งผลถึงความยากง่าย
ในการใช้งานและผลกระทบที่เกิดย้อนกับ
มาที่ร่างกายนั้นเอง.....

ปล.หวังว่าอ่านแล้วจะพอเข้าใจได้นะ....

 

ของพวกนี้ใครๆก็ชอบลอง อยากได้ แต่พอมีแล้วเอาไปใช้ในทางที่ผิดหรือศีลบกพร่องก็เฝือไป แต่พวกนี้ก็ไม่เห็นจีรังยั่งยืน เคยเห็นป้าคนนึงไปชอบคนนึงแล้วทําเสนห์เรียกเขามา อยู่กินกันไปพักนึง พอเวทย์มนต์คลายก็เลิกรากันไปตอนเด็กๆจําได้ว่าแกแอบฝังอะไรไม่ทราบข้างกระไดบ้าน