เรียนถามทานผู้รู้ เรื่องพระนางมัลลิกาในสมัยพุทธกาลที่ถวายอทิศทานแก่สมเด็จองค์ปัจจุบัน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 17 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    เรียนถามทานผู้รู้ เรื่องพระนางมัลลิกาในสมัยพุทธกาลที่ถวายอทิศทานแก่สมเด็จองค์ปัจจุบั

    http://palungjit.org/showthread.php?t=73286
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2008
  2. ไฟราคะ

    ไฟราคะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +92
    ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญเรื่องการให้ทาน มหาชนต่างขวนขวายในการให้ทานกันมาก ถึงกับมีการแข่งกันทำบุญ แม้พระราชาก็ทรงปราถนาจะได้บุญใหญ่ ทรงจัดแจงมหาทานเพื่อถวายแด่ภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข ในครั้งนั้น พระราชาทรงตระเตรียมมหาทานอย่างประณีต และตรัสเรียกให้ประชาชนมาชมมหาทานของพระองค์

    เมื่อชาวเมืองเห็นมหาทานของพระราชา ต่างเกิดแรงบันดาลใจในการสร้างทานบารมี จึงพร้อมใจกันสร้างมหาทานครั้งยิ่งใหญ่ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสงฆ์สาวก โดยช่วยกันตระเตรียมอาหารและไทยธรรมอย่างประณีต และส่งข่าวไปกราบทูลพระราชาเพื่อให้พระองค์เสด็จทอดพระเนตร เมื่อพระราชาเสด็จทอดพระเนตรเห็นมหาทานของมหาชน ก็ดำริว่า ประชาชนพากันทำทานยิ่งกว่าเราทำเสียอีก เราจะต้องทำทานให้ยิ่งกว่านี้
    ทั้งพระราชาและประชาชนต่างทุ่มเทแข่งขันกันสร้างมหาทานบารมีอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะกันได้ จนกระทั่งถึงครั้งที่ ๖ ชาวเมืองได้สละสิ่งของอย่างละร้อยเท่าพันเท่า ตกแต่งมหาทานไว้อย่างที่ใครๆ ในโลกไม่อาจจะติเตียนได้ พระราชาทอดพระเนตรเห็นมหาทานเหล่านั้นทรงปรารถนาจะทำทานให้เหนือกว่า แต่ก็ยังหาวิธีการที่ดีกว่าไม่ได้จึงทรงกลุ้มพระทัยยิ่งนัก


    พระนางมัลลิกาเทวีอัครมเหสีทูลอาสาว่า "ขอพระองค์อย่าทรงกังวลพระทัยไปเลย ขึ้นชื่อว่าจอมราชันผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน จะพ่ายแพ้ต่อพสกนิกรได้อย่างไร" พระนางทรงจัดแจงมหาทานแทนพระราชา โดยรับสั่งให้สร้างมณฑปสำหรับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป ให้ทำเศวตฉัตร ๕๐๐ คัน และหาช้าง ๕๐๐ เชือก กั้นเศวตฉัตรให้พระภิกษุ ๕๐๐ รูป และรับสั้งให้ทำเรือทองคำไว้สัก ๘ ลำ หรือ ๑๐ ลำ จอดไว้ในระหว่างกลางมณฑป


    พระนางสั่งให้เจ้าหญิงองค์หนึ่ง นั่งบดของหอมในระหว่างภิกษุ ๒ รูป เจ้าหญิงที่เหลือช่วยกันบดของหอมบนเรือทองคำ ให้พระภิกษุได้รับกลิ่นหอมตลอดการถวายทาน เพราะประชาชนไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีเศวตฉัตร ไม่มีช้าง จึงพ่ายแพ้ในมหาทานครั้งนี้


    พระราชาทรงดีพระทัย ได้บริจาคทรัพย์ภายในวันเดียวรวมทั้งสิ้น ๑๔ โกฏิ ในการถวายทานครั้งนั้น มีมหาอำมาตย์ ๒ คน คือ "กาฬอำมาตย์" กับ "ชุณหอำมาตย์"


    กาฬอำมาตย์เกิดความคิดขึ้นว่า ความเสื่อมใหญ่หลวงได้มีแก่ราชสำนักแล้ว ทรัพย์ในท้องพระคลัง ๑๔ โกฏิ หมดไปในพริบตาเดียว พระภิกษุเหล่านี้ฉันภัตตาหารแล้ว เมื่อกลับไปวัดก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้นแก่บ้านเมือง

    ส่วนชุณหอำมาตย์เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสในมหาทานครั้งนี้จึงนึกอนุโมทนาว่า "มหาทานของพระราชาช่างยิ่งใหญ่นัก คนที่ไม่เป็นพระราชาไม่อาจทำทานได้ขนาดนี้ ขอให้เรามีส่วนแห่งบุญในมหาทานครั้งนี้ด้วยเถิด"


    หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำภัตกิจแล้ว ดำริว่า "พระราชาได้ถวายอสทิสทานครั้งยิ่งใหญ่ คือ การให้ทานที่ไม่มีใครเสมอเหมือน ซึ่งมีเพียงาครั้งเดียวเท่านั้นในโลก" ทรงตรวจตราดูว่ามหาชนจะพากันทำจิตให้เลื่อมใสในอสทิสทานบ้างหรือไม่ พระองค์ทรงรู้วาระจิตของอำมาตย์ทั้งสอง ทรงรู้ว่า ถ้าตรัสอนุโมทนาสมควรแก่ทานของพระราชา ศีรษะของกาฬอำมาตย์จะแตกเป็น ๗ เสี่ยง ทันที ด้วยทรงอาศัยความอนุเคราะห์ในอำมาตย์ จึงตรัสพระคาถาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วเสด็จกลับไปยังพระวิหาร

    ฝ่ายพระราชาทรงเกิดความสงสัยว่า เราคงจะถวายทานไม่สมควรแด่พระบรมศาสดา จึงทูลถามสาเหตุที่พระองค์มิได้ทรงสรรเสริญมหาทานในครั้งนี้ พระบรมศาสดาตรัสว่า "มหาบพิตร พระองค์ได้ถวายทานสมควรแล้ว มหาทานครั้งนี้ เรียกว่า อสทิสทาน ซึ่งจะถวายแด่พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเนื่องจากพุทธบริษัทไม่บริสุทธิ์ ตถาคตจึงไม่อาจทำอนุโมทนาให้ยิ่งไปกว่านั้นได้"


    ต่อมา พระราชาทรงสืบทราบว่า กาฬอำมาตย์ติเตียนทานจึงทรงเนรเทศออกไปจากแว่นแคว้น ส่วนชุณหอำมาตย์มีจิตอนุโมทนา จึงทรงมอบพระราชสมบัติให้ครอบครอง ๗ วัน ท่านมหาอำมาตย์ได้ถวายทานตลอด ๗ วัน พระราชาทรงกราบทูลเรื่องนี้แด่พระบรมศาสดา พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
    "พวกคนตระหนี่ จะไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย พวกคนพาลย่อมไม่สรรเสริญการให้ทาน ส่วนนักปราชญ์ตั้งจิตอนุโมทนาในทาน ด้วยเหตุนั้น นักปราชญ์จึงเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า"
     

แชร์หน้านี้

Loading...