เรื่องราวของ..บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์.. พระเอกในจอ และในชีวิตจริง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย navycom33, 18 เมษายน 2014.

  1. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    ฮีโร่นอกจอ 'บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์'

    โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

    [​IMG]



    เขาไม่ได้อยากเป็นฮีโร่ แต่อยากทำความดีช่วยเหลือคน เพราะรู้ดีว่า เมื่อตกอยู่ในภาวะคับขันและลำบากยากจนเป็นอย่างไร

    หลังจากช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดพิษณุโลก ไล่มาถึงนครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา ลงมาถึงกรุงเทพฯ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ดาราที่มีผลงานมากมาย เคยได้รางวัลตุ๊กตาทองนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเรื่อง'บางระจัน' ปี 2544 และผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุด 'ปัญญา-เรณู' แทบจะไม่มีเวลาพักยาวๆ เลย

    ปัจจุบัน บิณฑ์ เป็นผู้จัดการกิจกรรมพิเศษ มูลนิธิร่วมกตัญญู ดูแลบริหารจัดการอาสาสมัครทั่วประเทศกว่า 5,000 คน เขาเป็นอาสาสมัครที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ และทำงานมานานกว่า 24 ปี

    บิณฑ์เป็นดาราหมายเลขหนึ่งที่ทำงานมูลนิธิแห่งนี้ เขาเข้ามาช่วยพัฒนาปรับปรุงการทำงานและวิธีการช่วยเหลือคนในเหตุการณ์ภัยพิบัติ และการเก็บศพ

    ผู้กำกับปัญญา-เรณูคนนี้ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้อาสาสมัครมูลนิธิต่างๆ ทำงานร่วมกันอย่างสมานฉันท์ ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงดี และทำให้อาสาสมัครเกิดความภาคภูมิในสิ่งที่ทำ

    หากจะเรียกเขาว่า 'ฮีโร่' หรือคนดีของสังคม คงไม่เกินเลยไป เพราะเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ผ่านมา เขาไม่เคยพลาด โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ เขาลุยน้ำทุกวัน จนเท้าเปื่อย...

    -ทำไมถึงทำงานให้มูลนิธิร่วมกตัญญูยาวนานกว่า 24 ปี
    ผมมีความคิดอยากช่วยคนตั้งแต่เด็ก ไม่ได้คิดว่าต้องมาเก็บศพ แต่ผมรู้สึกว่า มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและมูลนิธิร่วมกตัญญูช่วยเหลือคนจนและชาวบ้านโดยตรง ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด แต่ละปีผมจะได้รับการช่วยเหลือ ทั้งเรื่องอุปกรณ์การเรียนและเสื้อผ้าใหม่ๆ ผมก็เลยคิดว่า ถ้าผมมีโอกาสผมจะตอบแทน จนกระทั่งผมเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แม้ผมจะเป็นพลเมืองดีคอยช่วยเหลือคนอื่น แต่ตอนนั้นยังไม่ได้ทำงานมูลนิธิร่วมกตัญญู

    กระทั่งได้มาแสดงภาพยนตร์เป็นพระเอกได้ 2-3 ปี จนมีเหตุการณ์ตึกถล่มหน้าโรงหนังเอเธนส์ ณ วันนั้นผมได้เข้ามาทำงานร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญูเต็มตัว ครั้งนั้นได้เห็นภาพข่าวจากรายการทีวีต้องการความช่วยเหลือแบบเร่งด่วนทั้งเรื่องอุปกรณ์และคน เพราะมีคนติดอยู่ด้านในกว่า 10 ราย ผมรีบเดินทางไปที่นั่น

    เมื่อมาถึงอาสาสมัครของมูลนิธิทั้งสองกำลังช่วยกันขุดเพื่อช่วยคน ตอนนั้นผมเพิ่งเล่นหนัง ร่างกายแข็งแรง ก็เลยเดินเข้าไปขอเครื่องมือมาช่วยขุดหาคนเจ็บและผู้เสียชีวิต ขุดตั้งแต่สองทุ่มถึงเที่ยงคืน จนเจอผู้ได้รับบาดเจ็บคนแรก ตั้งแต่นั้นมาทางมูลนิธิร่วมกตัญญูก็เอาชุดมาให้ใส่

    -นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นอาสาสมัคร ?
    เมื่อ 24 ปีที่แล้วมีคนบอกว่า พี่ทำงานทุ่มเทขนาดนี้มาเป็นสมาชิกมูลนิธิไหม นั่นเป็นความตั้งใจตั้งแต่เด็กและเป็นจังหวะชีวิต ผมถูกตั้งให้เป็น'รหัสดาราหมายเลขหนึ่ง'ในงานอาสาสมัครมูลนิธิฯ หลังจากนั้นมีเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่ในภาคใต้ มีคนเสียชีวิต 300-400 ศพ ผมเดินทางไปครั้งแรกเป็นเวลา 7 วัน ในเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่ๆ ผมจะอยู่ที่นั่นตลอด ไม่เคยพลาด

    - การช่วยชีวิตคนในเหตุการณ์ภัยพิบัติ คุณต้องฝึกทักษะอะไรเพิ่มเติม
    ต้องมีการเรียนรู้ ฝึกอบรม ปฏิบัติจริง แรกๆ อาศัยครูพักลักจำ เคยเจอเหตุการณ์คนเจ็บและผู้เสียชีวิตก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ จนได้เรียนรู้กับรุ่นพี่ที่ทำงานในพื้นที่มานาน ถ้ามีเวลาว่างจากงานบันเทิง ผมก็ทำงานอาสาสมัครค่อยๆ สะสมความรู้ เรียนรู้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน ต้องรู้ว่าเวลาคนได้รับบาดเจ็บขาหักจะช่วยเหลืออย่างไรให้ถูกต้อง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีทักษะในการช่วยชีวิตคน

    สมัยก่อนเวลาเจอคนประสบอุบัติเหตุ บางครั้งอาสาสมัครไม่รู้ว่าเขาเจ็บตรงไหนแล้วเข้าไปยกหรืออุ้ม โดยไม่รู้วิธี ซึ่งอาจทำให้คนเจ็บเป็นอัมพาตตลอดชีวิต ไม่ว่าอาสาสมัครมูลนิธิไหน ก็ต้องเรียนรู้เรื่องการช่วยชีวิตคนอย่างถูกต้อง การเรียนรู้ตรงนี้เป็นสิ่งที่ดีมาก เมื่อผมเข้ามาทำงานอาสาสมัคร ผมก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น

    - เข้าไปช่วยวางระบบการทำงานอาสาสมัครในหลายๆ เรื่อง ?
    เมื่อเข้าไปทำงานในมูลนิธิฯ ผมได้เห็นว่า บางอย่างที่ปฏิบัติต่อๆ กันมาไม่ถูกต้อง แรกๆ ยังไม่พูด เมื่อมีสื่อให้ความสนใจมากขึ้น การทำงานจะให้เหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ผมค่อยๆ พัฒนาและให้กำลังใจคนทำงาน อาสาสมัครก็รู้สึกมีกำลังใจ เพราะมีคนดังมาทำงานด้วย จากที่เมื่อก่อนมีการแย่งศพระหว่างมูลนิธิฯ มีคำถามมากมายว่าแย่งศพกันเพื่ออะไร ต้องการค่าหัวหรือ ผมก็อธิบายให้สื่อฯฟังว่า พวกเขาแย่งศพกัน เพื่อผลงานของมูลนิธิฯ และผมได้อธิบายให้อาสาสมัครเข้าใจว่า ทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง

    ผมเชิญผู้บริหารทั้งสองมูลนิธิ คือ ร่วมกตัญญูและป่อเต็กตึ๊งมานั่งคุยกัน เพื่อตกลงการแบ่งเขตในการช่วยเหลือคน อาสาสมัครจะได้ไม่ตีกัน ก็เริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ ปัจจุบันมีดารามาเป็นอาสาสมัครและนักการเมืองมาช่วยดูแลมูลนิธิฯเพื่อประโยชน์ของสังคมมากขึ้น

    - คุณมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงพัฒนามูลนิธิร่วมกตัญญูให้ดีขึ้น ?
    ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ผมเป็นแค่ตัวกระตุ้น ทำให้พวกเขามีกำลังใจทำงาน เมื่อก่อนมีแต่คนดูถูกคนทำงานเก็บศพว่า เป็นงานชั้นต่ำ ช่วงแรกที่ผมเข้ามาทำงาน คนก็หาว่าสร้างภาพ แฟนก็บังคับไม่ให้มาเก็บศพหรือทำงานแบบนี้ จากนั้นแฟนก็บอกเลิก ทั้งๆ ที่ผมไม่เห็นว่าจะผิดตรงไหน

    เมื่อก่อนใครเจ็บ ใครป่วย ใครตาย จะเรียกอยู่สองมูลนิธิคือ ร่วมกตัญญูและป่อเต็กตึ๊ง ตอนนั้นอุปกรณ์การช่วยเหลือชีวิตคนมีประสิทธิภาพไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ อย่างพวกเปลยก ผ้าห่อศพ หรือการช่วยคนติดอยู่ในรถ การทำงานในอดีตต้องใช้เครื่องมืองัดเพื่อช่วยคนออกมา แต่ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ดีขึ้นใช้เวลาไม่นาน และทุกอำเภอทุกตำบลมีอาสาสมัครประจำ ทำให้งานอาสาสมัครพัฒนาดีขึ้น คนภายนอกก็ให้เกียรติคนทำงานจิตอาสา

    -ใช้ความเป็นดาราช่วยหาเงินเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ช่วยชีวิตคน?
    ใช่ครับ คนก็ชื่นชมเราส่วนหนึ่ง ยิ่งเรามาทำงานตรงนี้ คนก็เกิดความศรัทธาในตัวเรา เพราะเขารู้ว่า เราทำงานจริงจังไม่ได้สร้างภาพ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง อย่างดาราบางคนมาเป็นอาสาสมัครแค่ 5-6 เดือนเจอความลำบากก็ออกไป เหลือแต่คนที่มีจิตอาสาจริงๆ ซึ่งการทำงานแบบนี้ก็มีพวกนักเลงคอยหาเรื่องบ้าง แต่ผมรู้สึกว่า เราต่างมาช่วยเหลือคนเหมือนกัน สามารถมีมิตรไมตรีต่อกันระหว่างมูลนิธิ บางครั้งอาสาสมัครก็มีอารมณ์บ้าง เราก็ช่วยให้เกิดความสามัคคี เพราะเมื่อก่อนมีการแบ่งเขต แบ่งพื้นที่

    - แล้วคุณจัดการอย่างไร
    ผมรู้จักคนเยอะก็สะท้อนความเห็นให้ผู้จัดการมูลนิธิฯฟัง เรียกพนักงานและอาสาสมัครทุกคนมาประชุมบอกถึงปัญหาและจุดอ่อนในการทำงาน เพื่อให้รู้ว่าการทำงานเพื่อสังคมไม่จำเป็นต้องแบ่งแยก ชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกัน อย่างเหตุการณ์น้ำท่วมหรือสึนามิ หลายมูลนิธิมาช่วยเหลือกัน ต่างชาติก็ยอมรับ แม้จะไม่มีตำรวจ พวกเราก็ทำงานได้

    - เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ คุณเข้าไปทำงานในจังหวัดไหนก่อน
    ถ้าระดับน้ำสูงมาก และชาวบ้านต้องการความช่วยเหลืออดอยากมาก เราจะรีบลงพื้นที่ ผมเริ่มจากจังหวัดพิษณุโลก ส่วนที่จังหวัดนครสวรรค์น้ำท่วมหนักและมาแรง รวมถึงคันกั้นน้ำแตก น้ำทะลักเร็วมาก ในเช้าวันหนึ่งยังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวในร้านนั้น ตกเย็นน้ำท่วมมิดหัว ตอนนั้นมีเรือสองลำชนคันกั้นน้ำแตก ซ่อมแซมได้ยาก มูลนิธิในจังหวัดรับมือไม่ไหว จึงเรียกมูลนิธิฯนอกตัวจังหวัด ร่วมกตัญญูเข้าไปช่วยเป็นมูลนิธิแรกของจังหวัดนครสวรรค์ ช่วงนั้นพวกเราอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผมแบ่งทีมไป 30 คน รถพยาบาล 4 คัน และบุรุษพยาบาลที่สามารถดูแลคนป่วยเบื้องต้นได้ ภารกิจแรก คือ นำผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

    - เป็นผู้ประสานงานหลักของมูลนิธิฯในการช่วยเหลือคนที่จังหวัดนครสวรรค์ ?
    ประสานกับหัวหน้ามูลนิธิฯที่นั่น ตอนนั้นผมไม่รู้จักพื้นที่ ผมเอาเรือไปสองลำ เพื่อขนย้ายคนป่วยออกจากโรงพยาบาล ที่นั่นอุปสรรคเยอะมาก มีเรือรับจ้าง เรืออื่นๆ เป็นร้อยๆ ลำ คนเจ็บต้องนอนตากแดด ทุลักทุเลมาก น้ำก็ขึ้นตลอด ไฟฟ้าดับ เครื่องช่วยหายใจใช้ไม่ได้ แต่ละวันที่ขนคนป่วย มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 5-7 ราย เราก็เสียใจ ถ้าน้ำไม่ท่วม บางคนอาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 3-10 ปี แต่เหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนต้องทำใจ บางคนญาติมารอรับ ก็เสียชีวิตแล้ว

    -ให้ความช่วยเหลือไม่เต็มที่ เพราะปัญหาการจัดการ ?
    ถ้าการจัดระบบการสัญจรทางน้ำดี เราสามารถทำงานได้ดี แต่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่โรงพยาบาลมีเรือไม่กี่ลำ และมีการทำงานซ้ำซ้อนไม่ประสานงานกัน การประสานระหว่างมูลนิธิไม่มีปัญหา แต่ทีมการแพทย์ของหน่วยงานรัฐมีทำงานแย่งกัน แข่งกัน เพราะไม่อยากเสียหน้า ระบบการจัดการไม่ดี ซึ่งผมอยากบอกว่า อย่าคิดว่าเป็นผลงานใคร ณ เวลานั้น เราต้องร่วมแรงร่วมใจกัน แม้บางครั้งจะไม่มีการกล่าวถึงหน่วยงานนั้นก็อย่าน้อยใจ อย่างน้อยๆ ฟ้ามีตา สวรรค์มีใจ แต่คนทำงานตรงนี้ชอบยึดติดว่าต้องมีสื่อ เพื่อให้คนรู้ว่า ตัวเองทำอะไร มูลนิธิต่างๆ ทำงานเหมือนปิดทองหลังพระ สื่อจะมาถ่ายทำหรือไม่ ผมไม่สนใจ ผมก็ทำงานของผมไป ทำเสร็จมีคนสรรเสริญเยินยอ ไม่มีคนด่าลับหลัง

    -ทำงานตั้งแต่จังหวัดพิษณุโลก นครสวรรค์มาถึงพระนครศรีอยุธยา คุณได้หยุดพักบ้างไหม

    ไม่ค่อยได้หยุดพัก หลังจากช่วยคนที่จังหวัดพิษณุโลก ผมได้กลับมาพักเพื่อเก็บของ เพราะผมรู้แล้วว่า น้ำท่วมในจังหวัดต่อไปจะหนัก ผมมาช่วยคนอยุธยาอยู่สองสัปดาห์ คอยประสานงานกับหน่วยแพทย์ฉุกเฉินรับคนป่วยออกจากบ้าน การพายเรือข้ามกระแสน้ำลำบากมาก ตอนทำงานที่จังหวัดนครสวรรค์ มีคนบอกว่า คันกั้นน้ำแตกต้องอพยพด่วนภายใน 24 ชั่วโมง ผมให้เอกพันธ์อยู่ที่อยุธยา ส่วนผมไปที่นครสวรรค์

    -แฝดคู่นี้ต้องทำงานร่วมกันไหม
    ไม่ครับ เราแยกกันทำงาน เพราะการแยกกันจะทำให้คนสับสนและเดาว่า นั่นบิณฑ์..หรือเอกพันธ์

    -เหตุการณ์ใดที่คุณรู้สึกว่า ไม่น่าเกิดขึ้น ?
    ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตอนน้ำท่วมหนัก ลึกมากๆ คนช่วยเหลือก็ลำบาก ในฟาร์มหมูกว่า 500 ตัว มันตะเกียกตะกายหนีน้ำ ผมเห็นจมูกมันโผล่พ้นน้ำว่ายออกมา 200-300 ตัว บางตัวจมน้ำแล้วโผล่ขึ้น ตอนนั้นเจ้าของปล่อยหมูออกจากเล้าแล้วบอกว่า ถ้าใครจับหมูได้เท่าไหร่เอาไปเลย ชาวบ้านบางคนโลภมาก จับหมูมัดใส่เอว หมูจมน้ำคนก็จมไปด้วย พวกเขาคิดว่าหมูจะว่ายน้ำได้ทนเหมือนคน วันนั้นมีคนจมน้ำ เพราะว่ายน้ำไปจับหมู 5 รายและเสียชีวิตทันที ในจำนวนนั้นรวมเจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่งคน แต่ชาวบ้านบางคนก็ได้หมูมาสิบกว่าตัว จากวันนั้นหมูก็ตายลอยน้ำมากมาย และน้ำก็เน่า ชาวบ้านต้องเอาน้ำมากรองเพื่ออาบ

    - ตอนที่น้ำยังไม่ท่วมกรุงเทพฯ คุณประเมินอย่างไร
    ทุกคนถามผมว่า กรุงเทพฯจะโดนน้ำท่วมไหม มีคนตามเรื่องราวผมในเฟซบุ๊ค ตอนนั้นผมรู้เลยว่า ต้องเตรียมใจ น้ำท่วมแน่นอนและเข้าถึงชั้นในกรุงเทพฯ ช่วงนั้นศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คปภ.) บอกว่า "เอาอยู่แน่นอน น้ำไม่เข้า" แต่ผมเห็นสถานการณ์ น้ำมาเยอะมาก ตอนนี้น้ำจะเข้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแล้ว บ้านผมอยู่พุทธมณฑลสาย 2 น้ำท่วมถึงอก ผมให้ลูกน้องสองคนคอยดูแลบ้าน และผมเอาเรือออกไปช่วยชาวบ้านในละแวกนั้นทุกวัน เมื่อคืน (7 พฤศจิกายน) ผมกลับมาตีสี่ พอตอนเช้าผมก็เอาเรือออกตระเวนช่วยเหลือคน

    -จากสถานการณ์ครั้งนี้ คุณคิดว่าน้ำจะท่วมถึงเมื่อไหร่
    ผมคิดว่าคงถึงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ น้ำคงจะลดลง ตรงไหนน้ำเริ่มท่วม ทนไปเลยหนึ่งเดือนเต็ม

    -ความช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นอย่างไรบ้าง
    ตอนที่ ศปภ.ต้องการความช่วยเหลือเรียกประชุมมูลนิธิต่างๆ เพื่อจัดระเบียบให้เกิดความร่วมมือ แต่พอถึงเวลาลงมือทำ ก็เหมือนเดิม ต่างคนต่างทำ จัดการกันเอง มีหน่วยงานเอกชนหลายแห่งนำสิ่งของมาให้ผมช่วยแจก อาสาสมัครทำงานร่วมกับทหารอากาศ ทหารบก ทหารเรือ เพราะอาสาสมัครสามารถเข้าถึงบ้านใช้เรือนำคนออกมาส่งที่รถทหาร

    ผมทำงานร่วมกับทหาร แต่ผมไม่เคยทำงานร่วมกับรัฐบาล ผมเคยขอน้ำดื่มจากทาง ศปภ. เพื่อนำมาแจกจ่ายผู้ประสบภัย พวกเขารับปาก แต่ไม่ให้ เขาคิดว่าไม่เกิดประโยชน์สำหรับพวกเขา เพราะต้องการให้คนรู้ว่านี่เป็นผลงานพวกเขา ทั้งๆ ที่ของบริจาคมาจากประชาชน แต่สิ่งของบางชุดถูกนำมาใส่ชื่อคนใดคนหนึ่ง และนี่คือเรื่องจริง

    -คุณเห็นด้วยตัวเองหรือ
    ผมเห็นกับตา ลูกน้องผมได้ถ่ายรูปมาทั้งหมด ตอนที่ผมขอห้องน้ำ เพื่อนำไปให้ผู้ประสบภัย ปรากฏว่า ช่วงนั้นน้ำท่วมท่าอากาศยานดอนเมือง ทำให้ห้องน้ำลอยเต็มไปหมด พวกเขาเรียกผมเข้าไปเอาห้องน้ำที่ลอยน้ำ เพื่อไม่ให้นักข่าวเห็นว่ามีห้องน้ำ เราก็เข้าไปเอา เพราะห้องน้ำสำคัญสำหรับผู้ประสบภัย

    - สรุปว่า สิ่งของที่คุณขอจาก ศปภ. ได้แค่ห้องน้ำอย่างเดียว ?
    จริงๆ แล้วขอน้ำดื่ม ข้าวสารอาหารแห้ง แต่ไม่ได้ พวกเขาเรียกไปเก็บห้องน้ำที่ลอยน้ำ พวกเขาบอกว่า สิ่งของที่กองไว้จำนวนมากแจกจ่ายออกไปทุกวัน และบอกว่า "ที่คุณบิณฑ์เห็นเป็นของใหม่" ผมก็เลยถามกลับไปว่า "สามารถจัดสิ่งของกองใหม่ได้เหมือนกันทุกวันเลยหรือ"

    ก็ไม่เป็นไร ผมได้ของแค่ไหนก็แค่นั้น ตอนนั้นพี่น้องจากปักษ์ใต้ขับรถสิบล้อมาสองวันเต็มๆ นำน้ำดื่มมาให้ผมกว่าสามหมื่นขวด เพื่อให้ประชาชนที่ขาดแคลนน้ำ นี่คือน้ำใจของพี่น้องประชาชน ซึ่งเปรียบเทียบกับตรงนั้นไม่ได้เลย ผมกล้าพูดเลยว่า ผลประโยชน์จริงๆ และผมไม่กลัวด้วย

    - คุณเอาแรงมาจากไหนมากมายเพื่อช่วยเหลือคน
    ถ้าวันไหนผมไม่ได้ลงไปช่วยคนสักวัน ผมจะรู้สึกผิด อย่างวันนี้ (8 พฤศจิกายน 2554) ผมไม่น่ามาเตะบอล เพราะคนแถวเพชรเกษม 120 โทรมาหาผมตั้งแต่เช้า พวกเขาต้องการสิ่งของ ถ้าผมไม่เข้าไป ลูกน้องผม 10-20 คนก็ไม่ได้ไป ผมอยากให้พวกเขาพัก เพราะทำงานมาเป็นเดือนไม่ได้พักเลย บางครั้งอยากจะนอนอยู่บ้านสักวันสองวัน ก็ทำไม่ได้ เพราะคนกำลังลำบาก เราจะมานอนเฉยๆ ไม่ได้ ในเฟซบุ๊คผมมีคนบอกว่า "พี่บิณฑ์...ช่วยพี่น้องประชาชน ก็เหมือนช่วยในหลวงอีกแรง เพราะพวกเขาเป็นประชาชนของในหลวง"

    -หลายคนยกย่องว่าคุณเป็นคนดี คุณรู้สึกอย่างไร
    ก็ดีใจ สิ่งที่ผมทำไม่สูญเปล่า ผมเป็นดาราที่ไม่ได้สังกัดสถานีช่องไหน เราทำอะไรก็ไม่มีใครสนใจ อย่างดาราประจำสถานีช่องนั้นช่องนี้ มีสื่อคอยตามทำข่าว แม้จะลงพื้นที่แค่ครั้งเดียวก็เป็นข่าว ส่วนเราลงไปช่วยเหลือคนเป็นร้อยๆ ครั้งมีข่าวออกมาครั้งเดียวหรือสองครั้ง

    - บางคนมองคุณเป็นฮีโร่ ?
    ไม่หรอกครับ หลายๆ คนที่ทำงานช่วยเหลือคนมานานเป็นฮีโร่มากกว่า แต่ผมจังหวะดี และผมก็ชื่นชมคนที่ทำงานเพื่อประชาชน ผมยกย่องหลายๆ คนเป็นฮีโร่ของผม แต่บางครั้งไม่เป็นข่าว

    - การช่วยเหลือเรื่องใดที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
    บางเรื่องคนก็นึกไม่ถึง ศูนย์อพยพบางแห่ง ถ้าไม่มีคนบริจาค ผู้ประสบภัยก็ต้องอด ถ้าจะรอให้รัฐส่งอาหารให้ คงไม่ไหว ทุกคนอาจมองข้ามเรื่องนี้ พอน้ำท่วมใหญ่ที่ไหน คนก็บริจาคเยอะที่นั่น บางจุดยังขาดแคลน ไม่มีคนเข้าไป ซึ่งหลายหน่วยงานมองข้ามเรื่องนี้

    - หลักเกณฑ์ในการลงไปช่วยเหลือคน คุณวางแนวทางอย่างไร
    ผมจะดูว่า ถ้ามีการช่วยเหลือซ้ำซ้อน ผมจะไม่เข้าไป บางคนโกหกว่า ไม่เคยมีคนเข้ามาเลย ผมจะให้ลูกน้องเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ก่อน บางแห่งน้ำท่วมเป็นเดือน มีคนเข้าไปแจกของครั้งเดียว เราจะเลือกจุดที่คนไม่เข้าไปแจกของ จะไปถามชาวบ้านว่าได้รับสิ่งของกี่ครั้งแล้ว ส่วนใหญ่ชาวบ้านไม่โกหก แต่คนที่ขอส่วนใหญ่เป็น อบต.ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน บางคนอยากสร้างผลงาน ถ้าดึงมูลนิธิฯเข้ามาช่วยได้เยอะ ชาวบ้านก็จะเชื่อมั่นเลือกเป็นตัวแทนอีก

    - คุณมีวิธีการดูแลอาสาสมัครอย่างไร
    เมื่อก่อนผมเป็นแค่หัวหน้าอาสาสมัคร ตอนนี้ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ มูลนิธิร่วมกตัญญู ดูแลอาสาสมัครทั่วประเทศของมูลนิธิกว่าห้าพันคน เกิดเหตุภัยพิบัติที่ไหน ผมจะต้องบริหารจัดการส่งคนเข้าไป ผมได้รับการยอมรับเพราะผมทำงานหนักมานานกว่า 24 ปี เป็นที่ยอมรับทั้งคนภายในและภายนอก

    การดูแลคนทำงาน อันดับแรก ความเป็นอยู่พวกเขาต้องดีก่อน ถ้าพวกเขายังเดือดร้อน จะทุ่มเทแรงกายแรงใจคงไม่ไหว เพราะอาสาสมัครไม่มีเงินเดือน เวลาออกไปทำงาน หัวหน้าจะต้องคอยช่วยเหลือเรื่องเบี้ยเลี้ยง บางคนมาช่วยทำงานเป็นเดือน ผมก็ต้องเอาเงินส่วนตัวจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้พวกเขา บางครั้งมีคนใจบุญช่วยบ้าง เพราะนโยบายของมูลนิธิไม่มีการจ่ายเบี้ยเลี้ยง แต่เราเห็นว่า พวกเขาลำบาก บางวันเขากลับบ้านดึกมาก ผมก็ให้เงินไปสี่ห้าร้อยบาท ถ้าวันไหนมีคนเอาเงินมาบริจาคให้สักสองหมื่นบาท ผมก็ให้ลูกน้องคนละพันบาท พวกเขาก็ดีใจว่ามีคนเห็นคุณค่าในสิ่งที่พวกเขาทำ หรือเวลาไปทานข้าวที่ไหน บางร้านไม่เอาเงิน เขาเห็นว่า พวกเราเป็นคนช่วยเหลือสังคมมีประโยชน์กับบ้านเมือง

    -คุณหมดเงินไปเท่าไหร่แล้ว
    ถ้าเป็นเงินส่วนตัวผมหมดไปหลายแสนบาท แต่ถ้าเป็นเงินมูลนิธิฯที่ช่วยเหลือคนกว่าสิบล้านบาท และเงินที่บริจาคก็ไม่เคยพอ

    - คิดจะช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอีกนานแค่ไหน
    ถ้าน้ำไหลไปเร็ว ประชาชนก็ลืมตาอ้าปากได้ นักวิชาการบางคนบอกว่า เราจะเจอแบบนี้ทุกปี ถ้าเป็นจริงคงไม่ต้องทำอะไรแล้ว

    -การเข้าไปช่วยเหลือคน สัตว์ และสิ่งของในครั้งนี้ คุณประทับใจเหตุการณ์ไหนมากที่สุด
    ตอนไปช่วยกู้หนังไทยกว่า 600 เรื่องที่บริษัทสยามพัฒนาฟิล์ม จำกัด จรัสสนิทวงศ์ 65 เป็นฟิล์มเนกาตีฟ (Negative Film) ถ้าจะดูหนังเก่าต้องเอาเนกาตีฟไปอัดเป็นฟิล์มมาดู ถ้าฟิล์มพวกนี้จมน้ำ วงการบันเทิงหนังไทยจบเลย ไม่มีหนังเก่าๆ ให้ดู ห้องเก็บหนังอยู่ชั้นใต้ดิน ตอนที่ผมไปถึงน้ำท่วมถึงเข่า ตอนนั้นผมเอาลูกน้องไป 15-20 คน เจ้าของบ้านเครียดมาก เพราะฟิล์มหนังเยอะมาก

    คันกั้นน้ำที่ทำไว้เกิดพัง ต้องใช้คนทั้งหมดช่วยกันอุดน้ำ แล้วมาช่วยกันย้ายฟิล์มหนังที่หนักกล่องละ 35 กิโลกรัมขึ้นไปเก็บชั้นสาม ทำทั้งวันตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงหกโมงเย็น หนังเรื่องสุดท้ายที่กู้ขึ้นมาได้คือ แม่นาคพระโขนง เป็นงานที่ผมภูมิใจมาก เพราะเราอยู่วงการบันเทิงและช่วยกู้หนังไทยได้ ถ้าตอนนั้นมูลนิธิร่วมกตัญญูไปไม่ทัน หนังไทยเก่าๆ ทุกเรื่องคงจมน้ำหมด พอทำงานเสร็จ เจ้าของบ้านเข้ามากอดผม น้ำตาซึม

    - ประชาชนหลายพื้นที่ทะเลาะกันเรื่องคันกั้นน้ำระหว่างหัวน้ำกับท้ายน้ำ คุณมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร
    คนที่รับผิดชอบตรงนี้ ควรเรียกผู้นำชุมชนมาอธิบายให้เข้าใจ ชาวบ้านไม่เข้าใจหรอก เพราะไม่มีคนกลางอธิบายถ้าอธิบายชัดเจน พวกเขาเข้าใจนะ แต่ไหนๆ น้ำก็ท่วมแล้ว ให้ท่วมเหมือนกันทั้งหมดไปเลย จะได้ไม่เลือกปฏิบัติ หลังน้ำลดแล้ว คงต้องมานั่งคุยกันยาว ต่อไปการจัดการต้องดีกว่านี้ รัฐบาลชุดไหนเข้ามาทำงานตรงนี้ ต้องทำให้ดีที่สุด

    -ในฐานะคนทำงานลงพื้นที่ตลอด คุณมีคำแนะนำอื่นๆ ไหม
    รัฐน่าจะตัดเรื่องพรรคการเมืองออกไป เอาแค่การช่วยเหลือเพื่อส่วนร่วม อย่าไปคิดเลยว่า มาช่วยแล้วต้องหาโอกาสสร้างชื่อเสียง ตอนนี้ประชาชนเดือดร้อนมากๆ คุณต้องใจกว้างต้องยอมรับว่า คุณมีสิ่งของจำนวนมาก แต่ไม่มีบุคลากรบริหารจัดการที่ดี ถ้าผมนำสิ่งของจาก ศปภ.ไปแจก ผมก็ต้องบอกประชาชนว่ามาจากที่นั่น ผมไม่เคยอ้างว่ามาจากมูลนิธิร่วมกตัญญู หน่วยงานไหนนำสิ่งของมาให้ผมแจก ผมก็บอกแหล่งที่มาตรงๆ ผมอยากให้รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนจริงๆ

    -เหตุการณ์ครั้งนี้ คุณเครียดไหม
    ไม่เครียด แต่เหนื่อย บางวันมีเวลากินข้าวเช้าตอนบ่ายสอง กินข้าวกลางวันตอนตีสอง ตีสาม และเช้าๆ ต้องรีบตื่น เพื่อออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย

    - มีวิธีการผ่อนคลายแต่ละวันอย่างไร
    ออกไปช่วยชาวบ้าน ก็มีความสุขแล้ว พอเห็นชาวบ้านรอรับของ เข้าไปถึงพื้นที่ก็ตบมือกัน หลายคนเข้ามากอด บางคนบอกว่า "คิดว่าบิณฑ์จะไม่มาพื้นที่นี้แล้ว" ถ้ามูลนิธิร่วมกตัญญูเข้าไป พวกเขาจะถามว่า "คุณบิณฑ์มาไหม"

    - ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คุณต้องออกไปช่วยคนตลอด แล้วมีเวลาส่วนตัวบ้างไหม
    ต้องยอมครับ สองสามเดือนไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัว ขอเป็นเวลาส่วนรวม

    บทความจาก กรุงเทพธุรกิจ www.bangkokbiznews.com
     
  2. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ : นายกฯ ของคนยาก

    [​IMG]

    ไม่ใช่ผู้นำประเทศ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธการช่วยเหลือประชาชน
    ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี แต่วิถีแห่งการกระทำ ก็แทบเป็นสิ่งเดียวกันกับที่นายกฯ พึงกระทำ

    บางคนถึงขั้นเปรียบเปรยว่า ถ้าครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่มหาธาราไหลบ่าท่วมบ้านเรือนของผู้คน พิธีกรรายการทีวีชื่อดังอย่าง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ได้สวมบทบาทราวกับว่ากำลังทำหน้าที่นายกฯ ช่วยเหลือผู้คนที่ประสบอุทกภัย...บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ก็คงไม่ต่างไปจากนั้น
    เพียงแต่สิ่งที่บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กระทำ มันอาจไม่ถูกตอกย้ำด้วย “สื่อสาธารณะ” และเขาก็...เสมอต้นเสมอปลาย แม้จะมีใครหรือไม่มีใครมองเห็นก็ตามที

    แน่นอนว่า ณ จุดนี้ เขาคือหนึ่งในผู้ชายที่เรามองดูด้วยสายตาแห่งความชื่นชมนับถือ เขาคือชายผู้ปิดทองหลังพระ และถ้าหากจะมีตำแหน่งอะไรสักตำแหน่งที่เหมาะแก่เขามาก เราคิดว่า เขาคือ “นายกรัฐมนตรีของคนทุกข์คนยาก” ตัวจริงเสียงจริง!!

    จุดเริ่มต้น : บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ หรือ ท็อป บรรลือฤทธิ์ เข้าสู่วงการด้วยการถ่ายแบบ และแสดงเป็นตัวประกอบ ก่อนจะมารับบทนำจากการแนะนำของ คมน์ อรรฆเดช จากนั้นจึงทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังในด้านละครโทรทัศน์ เป็นต้นมา นอกจากนั้นยังมีผลงานกำกับการแสดงให้หลายคนได้เห็นกัน อาทิ เรื่อง ตำนานกระสือ, ช้างเพื่อนแก้ว และล่าสุดคือ ปัญญาเรณู ฯลฯ และบิณฑ์ยังเป็นดาราคนหนึ่งที่ทำงานช่วยเหลือสังคมโดยเป็นอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ยาวนานถึง 20 กว่าปี

    [​IMG]

    [​IMG]

    การไปร่วมเป็นอาสามูลนิธิร่วมกตัญญู : ความเคยชินที่ได้เห็นมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและมูลนิธิร่วมกตัญญูมาช่วยเหลือคนจนและชาวบ้าน ซึ่งส่วนตัวของบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เองก็อยู่ต่างจังหวัด จึงเกิดภาพชินตาทุกปีเวลากลุ่มดังกล่าวเอาอุปกรณ์การเรียนและเสื้อผ้านักเรียนเข้ามาแจก จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร และมีการถูกหยิบยื่นโอกาสให้เข้าวงการบันเทิง ด้วยความที่เป็นพลเมืองดีช่วยเหลือคนเป็นทุนเดิม เขาจึงได้ร่วมงานกับมูลนิธิร่วมกตัญญูมาจนถึงทุกวันนี้

    “ตอนเด็กเวลาผู้ใหญ่ถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมไม่เคยให้คำตอบกับตัวเองได้เลยว่าอยากเป็นอะไร ตำรวจ ทหาร นายธนาคาร สจ๊วต หรืออะไร ไม่เคยรู้คำตอบเลย พอมาเล่นหนังเราบอกตัวเองว่าสิ่งนี้หรือเปล่าที่เราอยากทำ...ไม่ใช่ เพราะวันหนึ่งเราไม่มีหนังเล่นแล้ว เราก็ไม่ได้ทำอะไร นอนอยู่บ้านเฉยๆ จนวันหนึ่งได้ออกมาเก็บศพ ออกมาช่วยเหลือคน นั่นคือคำตอบในชีวิตว่าสิ่งนี้แหละที่เราต้องการมาทั้งชีวิต แต่เราหาคำตอบไม่เจอว่ามันคืออะไร เด็กๆ จะมีพวกสมุดดินสอของมูลนิธิร่วมกตัญญูไปแจกที่บ้านนอก จึงเริ่มรู้สึกว่าถ้าโตเป็นผู้ใหญ่ก็อยากจะทำแบบนี้ เลยเริ่มจากการไปเข้าร่วมเก็บศพไม่มีญาติ จนเริ่มมาเรียนในกรุงเทพฯ พอเกิดอุบัติเหตุก็จะเข้าไปช่วยเขาก็ได้เจอพวกพี่ๆ ร่วมกตัญญู ป่อเต็กตึ๊ง ก็เริ่มเป็นอาสาร่วมกตัญญูมาจนถึงวันนี้”

    [​IMG]

    [​IMG]

    อุดมคติในการทำงาน : ถึงแม้ได้ดีในวงการบันเทิงมาแล้ว แต่ในเรื่องของงานด้านสังคมสงเคราะห์นั้น ชื่อเสียงของ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กลับโด่งดังไม่แพ้งานแสดงเลย เพราะเขาได้ทำในสิ่งที่ตัวเอง “รัก ”

    “สนุกกับการได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราชอบ สิ่งนี้เราค้นหามานานแล้ว ว่าเราอยากช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก คนที่เดือดร้อนไม่มีใครเหลียวแล เป็นสิ่งที่เราทำอยู่ ทุกวันนี้มีความสุขมาก ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยบ้าง ไม่เคยที่จะหยุดหรือท้อแท้อะไรไม่มีเลย กับมูลนิธิร่วมกตัญญูเราก็ทำอยู่ ช่วยเหลือคนที่ประสบอุบัติเหตุกับคนที่เสียชีวิต แต่หลักๆ ปัจจุบันนี้ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือคนที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นข้างถนนหรืออยู่ตามที่ต่างๆ ผมกำลังจะบอกว่าสิ่งที่ผมทำ ผมก็อยากที่จะทำให้มันเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด อย่างผมทำมูลนิธิร่วมกตัญญูมา ผมภูมิใจว่าหลายๆ คนอยากทำงานอย่างผม ซึ่งหลายๆ คน ดาราหลายๆ คนที่เข้ามาในมูลนิธิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นป่อเต็กตึ๊ง หรือร่วมกตัญญู นั่นคือสิ่งที่ผมภูมิใจ”

    [​IMG]

    แง่มุมความคิดการแสดงออกทางการเมือง : ชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นการปกป้องสถาบัน

    “ไอ้พวกสัตว์นรกชอบทำความแตกแยกคนไทยด้วยกัน...ฯลฯ” ถ้อยคำรุนแรงบนโลกไซเบอร์ด่าทอกลุ่มคนที่ตัดต่อรูปภาพ และโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกพูดถึง และมีการตอบโต้กันอย่างรุนแรงในสังคมออนไลน์

    “ผมเปิด facebook มาประมาณ 3-4 ปีแล้ว เป็นคนอัปเดตข่าวเองทั้งหมด แต่มาวันหนึ่ง ผมมาเปิดดู มีพวกที่โพสต์ภาพพระองค์ท่าน เอามาตัดต่อ ผมด่าพวกมันเป็นสัตว์นรก ผมพูดอย่างนี้จริงๆ ผมทนไม่ได้ ผมถือว่าผมเป็นประชาชนคนหนึ่ง จะมานั่งเฉยๆ โดยเห็นพระองค์ท่านโดนด่า โดยไม่มีใครมาปกป้องพระองค์ท่าน ผมทนไม่ได้ ใครล้มเจ้า...เจอกู!..” นี่เป็นคำตอบโต้กลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จากปากของ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

    [​IMG]

    ความดีที่สั่งสม : ภาพที่เห็นหลักๆ นอกเหนือจากการเป็นนักแสดงดังในวงการบันเทิงแล้ว บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ยังปฏิบัติหน้าที่งานด้านสงเคราะห์สังคมได้ดีเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ, ผู้เสียชีวิต และผู้ด้อยโอกาสตกทุกข์ได้ยาก อาทิ

    1. ได้รางวัลคนดี จิตอาสา จากสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 54 (เพื่อคัดสรรคนดีประเทศไทย เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปีที่ 4 ประจำปี 2554) เหตุเข้าชาร์จแย่งมีดจากแม่ค้าที่เกิดอาการเครียดใช้มีดจี้ลูกชายวัย 1 ขวบ เป็นตัวประกัน

    2. เปิดสื่อกลางบนสังคมออนไลน์ผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊กช่วยเหลือชาวบ้าน โดยใช้ชื่อเพจว่า บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ซึ่งแฟนเพจ ณ ตอนนี้มีจำนวนราวๆ 7 แสนกว่าคน โดยเพจดังกล่าวมีจุดประสงค์เป็นสื่อกลางถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ของผู้ประสบทุกข์ได้ยากบนเพจของตนเอง เพื่อให้คนในสังคมช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า

    3. ถูกตั้งให้เป็น “รหัสดาราหมายเลขหนึ่ง” ในงานอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู

    4. เป็นผู้จัดการกิจกรรมพิเศษ มูลนิธิร่วมกตัญญู ดูแลบริหารจัดการอาสาสมัครทั่วประเทศกว่า 5,000 คน โดยที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ และทำงานมาร่วม 20 กว่าปี

    ฯลฯ อีกมากมาย

    ผลงานตัวอย่าง :

    -เหตุการณ์สึนามิในไทย ปี 2547 เกิดในภาคใต้ของประเทศไทย มีผู้บาดเจ็บ สูญหายจำนวนมาก

    -เหตุการณ์เพลิงไหม้ซานติก้าผับ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ปี 2552

    เหตุการณ์อุทกภัย ปี 2554 เป็นอุทกภัยรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวไทยเป็นจำนวนมาก

    -การช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยากอีกจำนวนมาก

    [​IMG]

    บทความจาก ผู้จัดการ Online
     
  3. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    ตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายที่ชื่อ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์”

    [​IMG]

    หากพูดถึง “ลูกกตัญญู” ในวงการบันเทิง หนึ่งในจำนวนนั้นทำให้เรานึกถึงผู้ชายที่ชื่อ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นยิ่งกว่าลูกกตัญญู ที่นอกจากทดแทนพระคุณพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด เขายังมีความกตัญญูรู้คุณแผ่นดินและสังคมบ้านเกิด ด้วยการเสียสละเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ด้อยโอกาส และกำลังรอความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ อย่างที่หลายคนได้เห็นจากข่าวในสื่อต่าง ๆ มาแล้วมากมาย อย่างเช่นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ข่าวน้องแบงค์ เด็กอายุ 16 ปี ถูกนักเรียนอาชีวะกว่า 50 คน รุมทำร้าย ถึงขั้นตัดนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว หรือข่าวคุณลุงวัย 79 ปี อยู่ที่ชลบุรี ถูกลูกทรพีทอดทิ้งเป็นเวลา 5 ปี ทำให้ลุงมีชีวิตอย่างน่าเวทนายิ่งนัก

    “ท็อป” หรือ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” หนึ่งในอาสาสมัครร่วมกตัญญู ได้ยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือถึงที่บ้าน พูดคุยและให้กำลังใจ พร้อมกับมอบเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากการถูกทำร้าย แต่อีกด้านหนึ่งของชีวิตเขาคือพระเอก-ผู้กำกับภาพยนตร์ “ปัญญา เรณู ภาค 3” ตอน “รูปู รูปี” ที่มีโปรแกรมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ วันที่ 7 มีนาคมนี้

    วันนี้เราได้นัดหมาย “บิณฑ์” เพื่อขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว และเรื่องทั่วไป เหนื่อยมั้ย ตอนนี้เป็นยังไงบ้างค่ะ “ไม่เหนื่อยครับ สนุกกับการได้ทำในสิ่งที่เรารักเราชอบ สิ่งนี้เราค้นหามานานแล้ว ว่าเราอยากช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก คนที่เดือนร้อนไม่มีใครเหลียวแล เป็นสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มีความสุขมาก ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยบ้าง ไม่เคยที่จะหยุดหรือท้อแท้อะไรไม่มีเลย กับมูลนิธิร่วมกตัญญูเราก็ทำอยู่ ช่วยเหลือคนที่ประสบอุบัติเหตุกับคนที่เสียชีวิต แต่หลัก ๆ ปัจจุบันนี้ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือคนที่ถูกทอดทิ้งไม่ว่าจะเป็นข้างถนนหรืออยู่ตามที่ต่าง ๆ มีคนเข้ามาทางแฟนเพจผม คุณบิณฑ์ไปช่วยหน่อย คือเดี๋ยวนี้เรากลายเป็นศูนย์รวมของทุกคนทุกจังหวัดที่เข้ามาหาเรา เรียกว่าใครมีความทุกข์ก็จะนึกถึงบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ก็เลยรู้สึกว่า มันเหมือนกับคนไว้วางใจเรา เพราะฉะนั้นเราต้องทำในสิ่งที่คนเค้าไว้วางใจเรา และทำให้ดี เราไม่ใช่ไก่กา ที่ทำไปวัน ๆ เราทำแล้วมีการติดตามผลงาน ว่าเค้าเป็นยังไงบ้าง จากที่เราไปช่วยมาแล้วจากสองเดือนสามเดือนอะไรอย่างเนี้ย”

    “ถามว่ามีเงินเข้าไปช่วยเหลือเท่าไหร่ ก็คือจะเอาเลขที่บัญชีเค้ามาลง หน้าแฟนเพจเรา ใครสงสารรายนี้ก็เอาเงินเข้ามาช่วยกันรายนี้ ๆ บางคนเค้าบอกว่า ขอผ่านบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เลยได้มั้ย เอาเงินมาช่วยบิณฑ์ ไม่ต้องมาช่วยผม ผมมีเงินของผม ผมไม่อยากเอาเงินตรงนี้มาเป็นข้อครหากับคนทั่ว ๆ ไป อ๋อ..มึงทำอย่างนี้ เรี่ยไรเงินคนอื่นแล้วไปให้คนอื่น แล้วบอกว่าเงินเรา เราไม่เอา ช่วยเค้าโดยตรงไปเลย แต่ถ้ามีงานบุญ อย่างที่ผมไปอินเดีย ไปเห็นคนที่นู่นแล้วอยากซื้อผ้าห่มสักพันผืนให้พวกเค้า ผมบอกถ้าใครอยากจะร่วมทำบุญกับผมก็เชิญครับ แต่ผมขอแค่สองวันนะ โอนเงินมาตอนนี้สองวัน ผมจะรู้ ต่อจากนั้นไม่ต้องโอนมาให้ผม”

    แล้วถ้าเจอคนที่เดือดร้อน แบบลำบากมาก ๆ แล้วเขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ (ไม่มีใครเลย) จะมีวิธีช่วยเขายังไง “ผมจะให้เงินเป็นเดือน ตัวเราจะไปให้เอง และถ้าเค้าถูกทอดทิ้งด้วย ผมจะเอาเค้าไปอยู่ในสถานที่ ๆ หนึ่ง ซึ่งผมรู้จักเค้า ตอนที่พ่อผมป่วยผมก็พาพ่อไปรักษาที่นั่น เค้าดูแลดีมาก คือสถานมุทิตาของผู้สูงอายุ อยู่ใกล้ ๆ นครปฐม อย่างเช่น ลูกเต้ามีงานทำอะไรมากมาย แต่ไม่สามารถดูแลพ่อแม่ได้ ก็จะไปฝากที่นั่นดูแล ดูแลเดือนละหมื่นห้า หรือสองหมื่นนะครับ ห้องแอร์อย่างดี เหมือนเป็นโรงพยาบาลหนึ่งแต่ดูแลอย่างดี”

    หลายคนมักจะเห็น “บิณฑ์” ในภาพเหล่านี้ แต่ในอีกมุมหนึ่งเขาก็คือผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่มีเลือดเนื้อและชีวิตจิตใจเหมือนคนอื่น แน่นอนชีวิตย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ และในยามที่เขาทุกข์ ใครล่ะที่อยู่ข้างเขา และเขาจะหาทางออกอย่างไร? “ผมทุกข์ผมก็ไม่ได้ทุกข์เรื่องของตัวเอง คือบ้านผม ผมไม่มีครอบครัวไม่มีลูกไม่มีเมีย ผมอยู่กับแม่ ผมจะทุกข์ไม่ใช่เรื่องครอบครัวไม่ใช่เรื่องแม่ เป็นเรื่องของคนอื่นทั้งนั้น ซึ่งบางทีเข้ามาเป็นสิบ ห้าสิบราย ผมคนเดียวนะ บางทีช่วยได้แค่คนเดียวสองคน แต่ละวันก็มืดค่ำดึกดื่นแล้ว แล้วบางคนที่ขอมาบางทีเป็นเดือนแล้วเราก็ลืม เราจะทุกข์ตรงนี้มีใครไปช่วยเค้าหรือยัง”

    “อย่างกรณีผมอ่านหนังสือพิมพ์วันนี้ น้องแบงค์ที่ว่าโดนฟันแขน ขอผมมาตั้งแต่เดือนมกราคม แต่ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเค้านอนโรงพยาบาลแล้วโอเคถึงหมอแล้ว เค้าปลอดภัยแล้ว เราก็ไปช่วยเหลือรายอื่นที่หนักแล้วไม่มีใครสนใจ โอ้โฮ..นี่แสดงว่าน้องแบงค์รอมาเป็นเดือนแล้ว แล้วข่าวเอามาลงใหม่ ผมก็เลยรู้รีบมาช่วยเค้า เนี่ยความทุกข์ของผมอยู่ตรงนี้ เราเป็นทุกข์ แต่ก็เอาน่าไม่เป็นไร เราช่วยได้เต็มที่อย่างที่เราทำได้ เพราะคนเดือดร้อนมีเป็นแสนเป็นล้านคน”

    มีคนฝากถามมาว่า ตัวตนจริง ๆ ของ “บิณฑ์” เป็นแบบไหน “เวลาใครดีก็ดีด้วย ใครไม่ดีก็ดีด้วย ไม่รู้จะไปอะไรกับเค้า ชีวิตมันก็เท่านี้ไม่มีอะไรแน่นอน ตอนมีชีวิตอยู่ก็รักกันไว้ สามัคคีกันไว้ดีที่สุด อย่างการขับรถ ย้อนไปสิบยี่สิบปี เป็นคนใจร้อนมากใครบีบแตรนิดเดียวไม่ได้ ของขึ้นแซงปาดซ้ายปาดขวา ต้องเอาคืน แต่เดี๋ยวนี้ปล่อยวาง คิดว่าเค้าคงรีบไปมั้ง ถ้าเกิดมีเรื่องมีราวมันไม่มีประโยชน์ แค่บีบแตรเปิดไฟสูงก็ยิงกันแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทะเลาะกัน ยอมกันสักคนก็จบ ต่างคนต่างไม่ยอมก็ต้องมีเรื่อง เรายอมดีกว่า เท่านั้นเองมันก็หายไป”

    คิดแต่เรื่องทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม แล้วไม่คิดหาความสุขให้ตัวเองบ้างเหรอ อย่างเรื่องมีแฟน ถึงขั้นแต่งงง..แต่งงานอะไรอย่างนั้น “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากมีแฟน ผมอยากมีนะ แต่ที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้งที่ผมมีแฟน ที่ผมมั่นใจและมุ่งมั่นว่าคนนี้ใช่ และคิดจะแต่งงานด้วย สองรายสองครั้ง แล้วก็มีอันเป็นไปต้องเลิกกัน เราก็สงสัยเอ๊ะทำไมเวลาเราจะแต่งจริงจังกับใคร ต้องเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเราอยู่เฉย ๆ คบกันไปคบกันมา ไม่ค่อยจริงจังจะอะไรก็ได้ มันก็อยู่ด้วยกันตลอด ผิดกับเอกพันธ์ เค้ามีครอบครัวมีลูกมีอะไรก็โอเค”

    “ผมเคยไปหาแม่ชีท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า ผมเป็นดวงสาธารณะ เป็นดวงของส่วนรวม ถ้าคุณจะมีแฟนแล้วเปิดเผย หรือจะแต่งงานกับใครให้สังคมรู้จัก ไม่ได้ มีอันต้องเลิกกัน ผมก็สังเกตน่าจะใช่ ท่านบอกสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ถูกแล้ว ต้องมาดูแลทุก ๆ คนทั่ว ๆ ไป ท่านบอกมีได้แต่ต้องแอบ ๆ ซ่อน ๆ (หัวเราะร่วนเชียว) แต่ถ้าเรามีเราก็ต้องให้เกียรติผู้หญิง สรุปว่าผมก็คงต้องอยู่เป็นโสด ผมเป็นคนโบราณนะ ผมว่าข้างบนท่านให้ผมมาเป็นแบบนี้ วันหนึ่งถ้าจะให้เรามีคู่ครองมีคนมาดูแลเราตอนแก่เฒ่า ก็คงจะส่งมาให้เราเอง”

    เคยเหงามั้ย? “เวลากลับไปบ้านก็มีเหงาบ้าง แม่จะนอนประมาณ 3 ทุ่ม ผมกลับไปบ้านแม่หลับแล้ว คนใช้คนหนึ่งก็นอนหลับพร้อมแม่ อยู่คนเดียวขึ้นห้องเปิดทีวีนอนดู นั่งตอบหน้าแฟนเพจตอบพวกแฟนคลับ ตีสามก็นอน ตื่นขึ้นมาเจอแม่ หวัดดีแม่ครับ แล้วก็ออกจากบ้าน กลับมาก็อยู่คนเดียว เป็นอย่างเงี้ย แต่เราออกมาจากบ้าน เราไม่ใช่ว่าออกมานั่งหงอยเหงา เราไปเจอสิ่งที่เรามีความสุข มันก็เก็บเกี่ยวความสุขไปเรื่อย ๆ ทุกวัน บางครั้งมันแค่แวบเดียวที่เหงา บางทีเห็นแฟนกันคู่นั้นคู่นี้ ไปดูหนัง ก็มีแค่แวบมา แต่ช่างมันเถอะเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีสิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ซิ ผมจะเหงามาก”

    เป็นที่รู้กันดีว่า ตอนนี้ “บิณฑ์” ผันตัวเองมาเป็นผู้สร้างและผู้กำกับหนัง แล้วงานแสดงล่ะ..จะยังรับเล่นอยู่หรือเปล่า “ผมยังไม่เลิกงานแสดงครับ แต่ผมมาคิดดูว่าแต่ละครั้ง ผู้จัดแต่ละคนยื่นบทมาให้ผม ดูแล้วไม่สร้างสรรค์สังคม ไม่ได้ทำให้ตัวผมดีขึ้นมาเลย ให้ผมเป็นกำนันเป็นผู้ใหญ่บ้าน ที่ค้ายาบ้า หรือไม่ก็ให้เล่นเป็นพ่อที่ไม่ดี ประมาณอย่างนี้ ผมจะเล่นไปทำไม ถ้าเล่นแล้วให้ประโยชน์กับสังคมหรือส่วนรวม ให้กับเด็ก ๆ เยาวชนเอาตัวอย่างจากเราอะไรอย่างเนี้ย เรามาทำงานอย่างนี้แล้วภาพลักษณ์เราในจอ ถึงแม้ว่าคนดูจะรู้ว่าเป็นการแสดง แต่เค้าจะฝังใจไปกับบทบาทนั้น ๆ เพราะคนดูเค้าอิน ถ้าให้ผมเล่นเพื่อการกุศลหรือเทิดพระเกียรติอย่างเนี้ย ผมยินดีเล่นให้ฟรี แต่ยังไงผมก็ขอขอบคุณผู้จัดหลาย ๆ ท่าน ที่มอบงานให้ แต่ด้วยเหตุผลอย่างที่บอกนั่นแหละครับ”

    คุยกันพอสมควรแก่เวลา เพราะยังมีอีกหลายคนที่รอการช่วยเหลือจากเขาอยู่ “บิณฑ์” ก็เลยต้องรีบไปทำภารกิจต่อ.

    ปรางค์ ปิ๊กมี่

    บทความจาก เดลินิวส์ www.dailynews.co.th
     
  4. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    เปิดหัวใจ ‘พ่อพระของคนยาก’ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

    [​IMG]

    ภาพคุ้นตาของผู้ชายหน้าตาดีระดับพระเอกแถวหน้าของเมืองไทย ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ที่ออกช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อนไม่ว่าจะจากภัยพิบัติ อุบัติเหตุ หรือโศกนาฏกรรม อย่างไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยมากว่า 26 ปี เมื่อมีคนเดือดร้อน ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล ผู้ชายคนนี้และทีมงานจะเดินทางไปช่วยเหลือ เพื่อแบ่งเบาทุกข์ให้น้อยลง ในวันนี้ ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ยังคงมุ่งมั่นทำงานจิตอาสา เขาได้เปิดแฟนเพจ (Fanpage) ในเฟซบุ๊ก ที่ชื่อว่า https://www.facebook.com/Bhin.fanclub เพื่อช่วยเหลือคนเจ็บป่วย คนทุพพลภาพ คนตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นใคร ใกล้หรือไกลแค่ไหน เขาจะเดินทางไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่ วันนี้ ‘ออล แม็กกาซีน’ จึงได้นัดหมายคนที่ใคร ๆ ก็เรียกว่า ‘พ่อพระของคนยาก’ มาพูดคุยแบบเปิดอก เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่า ผู้ชายคนนี้ ‘หล่อทั้งตัวและหัวใจ’ จริง ๆ

    -จุดเริ่มต้นของชีวิตจิตอาสาของบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เกิดจากอะไร
    สมัยเด็ก ๆ ผมอยู่ที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ผมเคยได้รับความช่วยเหลือจากทั้งมูลนิธิร่วมกตัญญูและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทั้งสองมูลนิธิเขาจะเอาเสื้อผ้า สมุด ดินสอ มาแจก ผมก็เลยรู้สึกว่า สิ่งที่สองมูลนิธินี้ทำให้สังคม เป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ ก็เลยตั้งใจไว้ว่า สักวันหนึ่ง ถ้าโตขึ้นและมีโอกาส จะตอบแทนคืนให้กับสองมูลนิธินี้ แต่ผมก็ยังไม่ได้ทำอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งชีวิตผกผันได้เข้าสู่วงการบันเทิง ได้แสดงหนัง ได้เป็นพระเอก วันนั้นผมอยู่ที่บ้าน ไม่มีงานถ่ายหนัง เห็นในทีวีเขาประกาศว่า เกิดเหตุตึกถล่มตรงข้ามโรงหนังเอเธนส์ มีคนติดอยู่ข้างใน ก็เลยตัดสินใจออกไปช่วย ไม่ได้รู้จักใคร คิดอย่างเดียวว่า ต้องมีสองมูลนิธิที่เราเคยอยากตอบแทนเขามาช่วยคนตรงนั้นแน่ ๆ

    การช่วยเหลือคนครั้งแรกเป็นอย่างไร
    ผมขับรถไปถึงที่บริเวณตึกถล่ม เจ้าหน้าที่มูลนิธิหลายคนเขาจำผมได้ ทางป่อเต็กตึ๊งก็อยากให้ไปช่วย ทางร่วมกตัญญูก็อยากให้ไปช่วยเหมือนกัน เขาก็กวักมือเรียกกัน ตอนนั้นนักข่าวก็ยังไม่รู้ว่าผมออกไปช่วย ซึ่งภาพที่ผมเห็นคือมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเขาใช้อุปกรณ์ขุดเจาะแบบไฮเทค ส่วนมูลนิธิร่วมกตัญญูยังใช้จอบ ใช้เสียม ใช้ค้อนปอนด์ทุบกันอยู่ ผมก็เลยตัดสินใจเดินไปช่วยร่วมกตัญญู ไปช่วยเขาขุด ทำโน่นทำนี่ เขาก็เอาเสื้อมูลนิธิร่วมกตัญญูมาให้ใส่ ตอนนั้นนักข่าวก็เริ่มมาทำข่าวแล้ว ขุดไปสองชั่วโมงกว่า ทั้งสองมูลนิธิไม่มีใครเจอศพ แต่กลายเป็นผมเจอศพเป็นคนแรก เขาก็บอกให้ผมอุ้มขึ้นมาเลย พอมัดศพเสร็จก็แบกขึ้นมา นักข่าวก็มาถ่ายรูปกัน ตอนนักข่าวถ่ายรูปไปก็ยังไม่รู้ว่าเป็นผม จนกระทั่งลงตีพิมพ์ เขาเห็นกันก็ร้อง เฮ้ย.. บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นี่ ทุกคนก็งงว่า ทำไมผมไปอยู่ตรงนั้น (ยิ้มขำ) เหตุการณ์ครั้งนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้ทำงานอาสาสมัคร และกลายเป็นคำตอบสุดท้ายในใจของผมว่า ผมอยากช่วยเหลือคน อยากเป็นอาสาสมัคร (ยิ้ม)

    จากนั้น บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ก็เป็นอาสาสมัครเต็มตัว
    ตั้งแต่วันนั้น มูลนิธิร่วมกตัญญูเขาก็ชวนผมให้ทำงานอาสาสมัครด้วย ใช้ชื่อว่า ‘ดารา 1’ ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย เช่น สร้างภาพมั่ง ทำไม่จริงมั่ง ผมก็คิดว่า ไม่เป็นไร เวลาจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ทุกอย่างได้ว่าผมทำจริงหรือเปล่า ตอนนั้นก็เล่นหนัง เล่นละคร แล้วก็ทำงานร่วมกตัญญูไปด้วย ตอนแรก ๆ มันติด (ยิ้ม) ต้องออกทุกวัน จะถ่ายหนังถ่ายละครมาเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องเอารถไปวนอยู่กับพวกเขา ต้องคอยฟัง ว. ว่ามีเหตุเกิดที่ไหนหรือเปล่า จะได้ไปช่วยเขาอย่างทันท่วงที เจอศพที่ไหน ก็จะไปห่อศพ ไปแบกศพกัน

    นอกจากออกตระเวนช่วยเหลือคนแล้ว ทราบว่าช่วยพัฒนางานอาสาสมัครด้วย
    ที่ผ่านมามักมีข่าวว่า สองมูลนิธิชอบตีกัน แย่งศพกัน จนคนเขาสงสัยว่า แย่งศพกันเพราะอะไร บางคนก็บอกว่า ได้ค่าหัวศพละ 500 – 1,000 บาท ซึ่งไม่ใช่เลย เป็นแค่เพียงการแย่งกันทำความดี แย่งกันประชาสัมพันธ์มูลนิธิเท่านั้นเอง ยิ่งถ้าเป็นศพคนดังในสังคม ถ้าเราไปเก็บ ไปช่วยเขา นักข่าวก็จะถ่ายรูปไปลงข่าว ก็จะเห็นโลโก้ เห็นชุดฟอร์ม ตัวผมเองก็ไม่อยากให้ประชาชนเขาสงสัยต่อไปว่า แย่งกันไปทำไม ก็เลยไปเชิญผู้ใหญ่ทั้งสองมูลนิธิมาคุยกัน เพื่อแบ่งพื้นที่การทำงาน สลับกันเป็นเขตเหนือ เขตใต้ ทุกวันนี้ก็ไม่มีการแย่งศพกันอีกแล้ว อีกอย่าง เมื่อก่อนเขาทำงานกันแบบไม่มีความรู้ จับคนเจ็บโยนไปโยนมา ก็ยิ่งเจ็บหนัก ผมก็เลยไปติดต่อแพทย์ พยาบาล มาให้ความรู้เรื่องการปฐมพยาบาล การช่วยเหลือดูแลคนเจ็บ จัดอบรมให้ จัดให้ไปดูงานต่างประเทศ นำเครื่องไม้เครื่องมือจากต่างประเทศมาปรับใช้ให้เป็นสากลมากขึ้น พอเราพัฒนาขึ้น ที่อื่น ๆ ก็ต้องพัฒนาตาม ผมอยากให้งานมูลนิธิพัฒนาขึ้น เติบโตขึ้น สังคมยอมรับมากขึ้น

    เหตุผลที่อยากช่วยเหลือคนด้านอื่น ๆ มากขึ้น นอกเหนือจากงานมูลนิธิปกติคืออะไร
    ตอนเกิดน้ำท่วมใหญ่ ปี 54 ผมไปเห็นคนเจ็บคนป่วย คนทุพพลภาพนอนรอความช่วยเหลืออยู่ในบ้าน ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้เพราะน้ำท่วมหมด คนที่แข็งแรงไม่เป็นอะไรยังแย่เลย แล้วคนป่วยล่ะ จะแย่ขนาดไหน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมเกิดความคิดว่า จะมัวรอให้เกิดวิกฤติหรือ ทำไมไม่ไปช่วยคนอื่นก่อนที่จะเกิดเหตุวิกฤติ พอปี 55 น้ำไม่ท่วม ผมตัดสินใจกลับไปบ้านที่ผมเคยเข้าไปช่วย ไปดูว่ามีคนเจ็บคนตายเพิ่มหรือไม่ ผมอยากเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เราเคยช่วยเหลือบ้าง

    เริ่มใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คช่วยคนตั้งแต่เมื่อไหร่
    โซเชียลเน็ตเวิร์คมีบทบาทมาตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ ปี 54 มีการช่วยโพสต์รูป แชร์รูปอะไรกันมากมาย ผมตัดสินใจเปิดแฟนเพจ ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ในเฟซบุ๊ก และโพสต์ในสิ่งที่ผมไปพบมา เคสแรก ผมไปที่โรงพยาบาลพระมงกุฏ คนไข้เป็นเด็กอายุ 3 ขวบ ที่ป่วยและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ตั้งแต่คลอดออกมาก็อยู่โรงพยาบาลมาตลอด ไม่เคยได้กลับบ้าน เครื่องช่วยหายใจนี้ราคา 8 หมื่นบาท ผมก็เลยไปบอกมูลนิธิ เขาช่วยมา 4 หมื่น ผมก็ไปหาเพิ่มมาอีก 4 หมื่น จนน้องเขาสามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านได้ จากนั้นก็ไปช่วยคนป่วยอื่น ๆ ที่ไม่มีใครดูแล ไม่มีเงิน ผมก็ให้เงินไว้รักษาตัว ทุกเคสที่ผมโพสต์ขึ้นในเฟซบุ๊ก จะมีคนเข้ามาช่วยเยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนผมเกิดความคิดว่า ผมจะไม่หยุดแค่การช่วยคนที่โรงพยาบาล ยังมีคนเจ็บป่วยตามบ้านอีกเยอะที่รอความช่วยเหลืออยู่ เพราะเขาไม่สามารถมาโรงพยาบาลได้ อาจเป็นเพราะไม่มีเงิน ไม่มีค่าเดินทาง หรืออะไรก็แล้วแต่ เลยตั้งใจไว้ว่า ต่อไปนี้ ถ้าใครมาบอกว่ามีคนเจ็บป่วยที่ไหน ผมจะไปช่วย

    ได้พบอะไรบ้างจากความตั้งใจครั้งนี้
    ผมทำมาสองปีกว่า ก็ช่วยไปได้ร้อยกว่าราย ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำมันค่อนข้างได้ผลนะ เพราะได้ช่วยคนที่เขาเคยคิดว่า ตัวเองมีค่าเท่ากับศูนย์ ทำให้เขาได้เริ่มนับ 1 – 2 - 3 – 4 และต่อ ๆ ไป บางคนไม่มีเงินในกระเป๋าเลยสักบาทเดียว อาศัยคนรอบข้างซื้อข้าวให้กิน ตอนนี้เขากลับมีเงินฝากธนาคารและดำรงชีวิตได้ดีขึ้น การต่อยอดความช่วยเหลือผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นเรื่องดี ทำให้ช่วยคนได้มากขึ้น สังคมโดยรวมก็น่าอยู่มากขึ้นด้วย การที่ผมทำแบบนี้ ทำให้ผมรู้ว่า ยังมีคนที่รอรับความช่วยเหลืออีกมากมาย ซึ่งผมคนเดียวคงช่วยไม่ได้ทั้งหมด บางรายขอความช่วยเหลือมา แต่กว่าผมจะไปถึงก็ใช้เวลาหลายวัน บางครั้งมันก็สายเกินไป (ยิ้มเศร้า)

    มีหลักเกณฑ์ในการเลือกให้ความช่วยเหลืออย่างไร
    ผมไม่เคยเกี่ยงเรื่องระยะทาง ไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหนผมไปหมด แต่ผมขอเลือกคนที่มีปัญหาหนัก ๆ ก่อน แล้วก็ไม่มีนโยบายแก้ปัญหาหนี้สินให้ใคร เพราะผมถือว่าคุณต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำ คุณต้องแก้ไขปัญหาของคุณเอง ผมจะเน้นช่วยคนป่วย ไม่ว่าจะเป็นผ่าตัดหัวใจ ผ่าตัดสมอง แม้ว่าต้องใช้เงินจำนวนมาก ผมก็ยินดีช่วย อย่างล่าสุดผมไปช่วยพระภิกษุที่เป็นมะเร็ง คุณหมอบอกว่าต้องใช้ค่าผ่าตัดประมาณ 5 แสน ผมก็ไปบอกแฟนเพจผมในเฟซบุ๊ก ได้เงินมาจนผ่าตัดเรียบร้อย เงินที่เหลือผมก็มอบให้ท่านหมด แล้วผมก็ไม่ได้ช่วยแต่คน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ อย่างโค กระบือ หรือแม้แต่ควายท้องแก่ที่ถูกเผา ผมก็เข้าไปช่วย

    ช่วยเหลือคนมามาก มีเคสไหนที่ประทับใจจนอยากเล่าให้ฟัง
    ผมเคยไปช่วยเด็กผู้หญิงชาวอาข่าที่ตกลงไปในบ่อน้ำร้อน ครึ่งตัวล่างเน่าหมดเลย เรียกว่านอนรอความตายอย่างเดียว เคยไปรักษาที่โรงพยาบาล ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น สุดท้าย พ่อแม่พากลับมาตายที่บ้าน พอผมรู้ข่าว ผมรีบไปหาเขาที่บ้าน ไปเจอน้องเขานอนอยู่บนแคร่ เจาะรูตรงกลางแคร่ เพื่อให้น้ำเหลืองไหลออกมา กลิ่นเหม็นมาก แมลงวันตอมกันยั้วเยี้ย ผมเห็นแล้วคิดในใจว่า นี่หรือชีวิตคน ก็เลยพาเขาไปโรงพยาบาล แล้วก็โพสต์ขอความช่วยเหลือและลงเลขที่บัญชีคุณครูเขาในแฟนเพจ ครั้งนั้นได้เงินมาเยอะเหมือนกัน ทุกวันนี้ น้องเขาเดินได้ เหมือนมีชีวิตใหม่ เขายังโพสต์รูปให้ผมดูตลอด แล้วก็มีเด็กผู้หญิงอายุ 14 อีกคนที่สระแก้ว ไปช่วยแม่ทำงาน แล้วไปโดนสารเคมีอะไรไม่รู้ ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก จากที่เคยพูดได้ กลับเป็นพูดไม่ได้ เอาแต่ร้องไห้ ผมเห็นเขาร้องไห้ ผมก็ร้องไห้ตาม ตัดสินใจพาไปหาหมอ ให้เงินไว้ 2 หมื่น ตอนหลังเขามาโพสต์หาผมในเฟซบุ๊ก บอกว่า หนูหายแล้ว พูดได้เหมือนเดิมแล้ว เรียกผมว่า พ่อ ด้วยนะ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากความช่วยเหลือที่เรามีให้เขา (ยิ้มสุขใจ)

    เท่าที่สังเกตจะเห็นคุณมอบเงินให้กับคนป่วยหรือญาติไว้ครั้งละหลาย ๆ พัน ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
    เท่าที่ผมรู้มา เวลาหน่วยงานต่าง ๆ เข้าไปช่วยเหลือคนป่วย เขาจะมอบเงินไว้ให้ 2 – 3 พันแล้วก็กลับ เงินแค่นี้ ไม่กี่วันก็หมดแล้ว แต่สำหรับผม ผมตั้งเกณฑ์ส่วนตัวไว้ว่า ผมจะให้ 5 พันบาท สำหรับคนที่ไม่มีหลักแหล่ง ไม่มีใครดูแล ไม่มีเลขที่บัญชี ที่ไม่ให้เยอะกว่านี้เพราะมันอาจจะเกิดอันตรายกับเขา แต่ถ้าคนป่วยมีคนดูแล ผมจะให้ไว้อย่างต่ำ 15,000 บาท เพื่อให้เขามีชีวิตต่อไปได้อย่างน้อย ๆ อีกเป็นเดือน มีผู้หญิงคนหนึ่งโดนสามีสาดน้ำกรดใส่หน้า ทรมานอยู่ 3 – 4 ปี ได้รับเงินจากหน่วยงานต่าง ๆ ไว้ใช้ 7 พันบาท แล้วเขาจะอยู่อย่างไรต่อไป มือเท้าเขาก็หงิก หน้าก็เหมือนผี เขาก็ขอความช่วยเหลือมา พอเจอหน้าผม เขาวิ่งเข้ามากอด มาร้องไห้ ผมให้เงินเขาไว้ 2 หมื่นบาท แล้วก็โพสต์เลขที่บัญชีเขาไว้ ได้เงินมาล้านกว่าบาท เขาบอกกับผมเลยว่า สิ่งที่ผมมอบให้เขาคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเขาแล้ว

    เงินที่คุณเอาไปช่วยเหลือคนอื่นส่วนมากมาจากไหน
    ส่วนมากเป็นเงินส่วนตัวครับ ถึงผมจะทำงานให้มูลนิธิ แต่ผมก็ใช้เงินมูลนิธิไม่ได้ เพราะเขาก็มีภารกิจต่าง ๆ เช่น ดูแลเรื่องศพไม่มีญาติ สร้างเมรุ สร้างโรงเรียน การใช้จ่ายก็ต้องมีคณะกรรมการพิจารณา ทุกวันนี้ ผมใช้เงินส่วนตัวช่วยเหลือคนเป็นหลัก แต่เชื่อไหมครับว่า ผมมักจะเจอคนที่ศรัทธาในตัวผม โดยที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เขาจะเข้ามาทักทายแล้วก็มอบเงินสด ๆ ไว้ให้ บอกว่า ฝากเงินให้ผมไปทำบุญ ก็จะมีแบบนี้บ่อย ๆ เวลาไปไหนต่อไหน ก็จะมีคนเอาเงินมาให้ตลอด เพราะเขารู้ว่าเราทำจริง เขาเชื่อและศรัทธาว่า ควรทำบุญกับใครจึงจะได้ไปทำบุญจริง ๆ บางทีผมไปพูดที่นั่นที่นี่ ได้ค่าตัวมาก็เก็บไว้ช่วยงาน พอพูดเสร็จก็จะมีคนเอาเงินมาช่วย มันเหมือนเป็นเงินบุญมาต่อบุญครับ ผมไม่เคยเรี่ยไร ไม่เคยเปิดบัญชีขอเงินใคร จะเปิดก็เฉพาะรายที่จำเป็น เป็นกรุณีฉุกเฉินหรือคนป่วยไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ถ้าฉุกเฉินจริง ๆ ผมจะใช้เงินตัวเองไปก่อน ผมไม่อยากรอ เพราะผมคิดเสมอว่า ทำไมคนจนต้องนอนรอความตาย

    เห็นออกช่วยคนแทบทุกวัน คุณเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาทำงานจิตอาสา
    ผมมองสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกวันที่ทำงาน ผมมีพระองค์เป็นแบบอย่าง ผมถือว่า ประชาชนที่เข้าไปช่วยเหลือคือประชาชนของพระองค์ เรามีในหลวงพระองค์เดียวกัน และคนไทยทุกคนก็เคยมีบุญคุณกับผม สิ่งที่ผมทำ ผมอาจจะเหนื่อย แต่เวลาเหนื่อย ผมก็คิดถึงรอยยิ้มของคนที่เข้าไปช่วย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ผมไม่เคยคิดเล่นการเมือง ไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนหรือผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น การทำงานคือการคลายเครียดของผม ถ้าอยู่เฉย ๆ ผมจะเครียดมาก ทำไมวันนี้ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์เลย มีคนเคยบอกว่า ดวงผมเป็นดวงสาธารณะ (ยิ้ม) เป็นดวงคนที่ต้องคอยช่วยประชาชน ผมถึงมีงานให้ทำตลอด มีคนให้ช่วยตลอด ผมคงทำงานอาสาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เพราะงานอาสาไม่มีวันหยุดราชการ ยังคงต้องมีคนเจ็บคนตายทุกวัน ผมคงทำไปจนกว่าจะไม่สามารถทำได้แล้ว

    การทำงานอาสาแบบนี้ต้องเจอทั้งคนดีและคนไม่ดี เคยรู้สึกท้อบ้างไหม
    ผมไม่เคยท้อนะ จะมีก็เพียงแค่เสียความรู้สึกกับคนที่เข้ามาหลอกว่าป่วยเป็นนั่นนู่นนี่ เพราะมันทำให้คนที่เขาป่วยจริงเสียโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือ เพราะเราต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงมากขึ้น บางคนบอกว่ามาตามหาลูก พอเราไปเจอ ให้เงินไป 5 พัน แล้วจะพาไปส่งบ้าน ระหว่างทางขอลงกลางทาง แล้ววิ่งหนีหายไปเฉยเลยก็มี ทุกวันนี้ ผมยังคงตั้งใจและมุ่งมั่นทำต่อไป บางคนอาจจะคิดว่าผมสร้างภาพ แต่ผมก็ไม่สนใจ ผมทำความดี ไม่ได้ทำชั่ว ถ้าผมทำความชั่วแล้วมีคนมาด่าสิ ผมต้องละอายใจ แต่ผมมั่นใจว่า ผมทำความดี อยากด่าก็ด่าไป ผมไม่สนใจครับ (ย้ำด้วยเสียงหนักแน่น)

    จะส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ก้าวเข้ามาทำงานจิตอาสาได้อย่างไรบ้าง
    ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัว ทุกวันนี้เด็กหลายคนไม่ได้ทำอะไรให้สังคมเลยอย่างพวกเด็กแว้น เพราะเขาแวดล้อมไปด้วยเพื่อน ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ แต่ถ้าเขาได้ออกทำงานช่วยเหลือคน ช่วยดูแลสังคม มันก็จะซึมซับไปแบบนั้นเช่นกัน เด็ก ๆ ในช่วงวัย 12 – 13 เป็นช่วงเวลาแห่งความสับสน ทุกคนสามารถก้าวผิดได้ ถ้าเขามีใครสักคนเป็นแบบอย่าง เป็นฮีโร่ เขาจะทำตาม เพราะฉะนั้น คนสาธารณะจึงต้องเป็นตัวอย่างที่ดี พ่อแม่หรือครูที่โรงเรียนก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีเช่นกัน ต้องช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด ปลูกฝังเรื่องดี ๆ ให้แก่เขา แล้วเขาก็จะเติบโตเป็นคนดีของสังคม ถ้าเราช่วยกันทำเรื่องดี ๆ ให้คนเขาทำตาม ทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง

    บทความจาก www.all-magazine.com
     
  5. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ....25 ปีแห่งเส้นทางอาสาสมัครเพื่อสังคม

    รายการ Singha Idol ช่อง dude TV

    <iframe width="480" height="360" src="//www.youtube.com/embed/Hb_ud4I4-qM" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  6. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    สัมภาษณ์คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์พระเอกในจอและนอกจอ
    รายการ คนต้นแบบ

    <iframe width="480" height="360" src="//www.youtube.com/embed/bio1mxvjLx8" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="480" height="360" src="//www.youtube.com/embed/z0OkenYGq5E" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  7. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    รายการครอบครัวเดียวกัน "พระเอกผู้ให้ตัวจริง" จากช่อง Thai PBS

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/JUHOj4k9-gQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  8. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    บันทึกทรูบันทึกคนดี
    สกู๊ป คนทำดีไม่หวังผลตอบแทนในสังคม บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

    <iframe width="480" height="360" src="//www.youtube.com/embed/7oC_em8GR7g" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  9. nuttawat_chin

    nuttawat_chin เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2013
    โพสต์:
    3,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +527
    พระเอกตัวจริงครับคนนี้
     
  10. Malaiteva

    Malaiteva เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +192
    .บุญฤทธิ์...
     
  11. ครองตน

    ครองตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +186
    ขอแสดงความนับถือจากผมครับ
     
  12. akiraako

    akiraako Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +56
    จิตใจงดงามมากค่ะ
     
  13. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    สนับสนุนคนดี ไปดูหนัง " กรรไกร ไข่ ผ้าไหม"
    กำกับโดย บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

    [​IMG]
     
  14. noawarat pakdee

    noawarat pakdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +682
    นี่กระมั้ง ที่เขาเรียกว่า งาม(ใจ)ทั้งข้างนอกและข้างใน ของจริง สาธุ
     
  15. Pukku

    Pukku เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2012
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +899
    น่านับถือน่ายกย่องมากค่ะ
     
  16. มั่นในธรรม

    มั่นในธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +603
    นับถือและยกย่องค่ะ ขอให้ความดีที่คุณบิณฑ์ได้ทำมาเป็นบุญส่งให้มีความสุขพ้นจากภัยอันตรายใด สุขภาพแข็งแรงด้วยเถิด
     
  17. หมอม้า

    หมอม้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +25
    นับถือและยกย่องมากเลยค่ะ อยากลองไปช่วยคนแบบพี่จัง น่าจะมีความสุขมากมาก
     
  18. ศรพระธรรม

    ศรพระธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +38
    คุณบิณฑ์ท่านคือของจริง ที่งดงามหมดจดยิ่ง สาธุ กับทุกความดีของท่านดิฉันได้ทำบุญกับหลาย ๆ คนก็เพราะท่านเป็นสื่อกลางจริง ๆ เจริญในธรรม
     
  19. เสมาธรรม

    เสมาธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +36
    ขอชาวพุทธมาดูสิ่งดีมีมงคลอันหาได้ยากยิ่งที่จะได้ช่วยกันมารับทราบบ้าง คือชาวพุทธทราบไหมว่าเราจะได้พบกับพระพุทธเจ้าจริง ๆ ในสามยุค คือยุคพระพุทธกาลได้พบองค์จริงของพระพุทธเจ้า ยุคกึ่งพุทธกาล ปี2554 ได้พบพระรูปเนรมิตแท้จริง ส่วนยุคสุดท้ายบรรดาพระบรมสารีริกธาตูของพระองค์เสด็จมารวมตัวเป็นพระองค์ดโปรดชาวโลกครั้งสุดท้าย บัดนี้มีผู้ค้นพบพระรูปเนรมิตแท้จริงของพระองค์แล้ว กำลังเริ่มเปิดเผยขณะนี้ ใครบุญมีก็สนใจเอง ใครบุญน้อยก็เฉย ๆ ที่อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรีครับ
     
  20. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ผลงานเขาของจริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...