เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน พระนิคมติสสะผู้สำรวม ไม่รับกิจนิมนต์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 20 กรกฎาคม 2017.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน พระนิคมติสสะผู้สำรวม ไม่รับกิจนิมนต์
    20046588_10213753694666282_2838631466213992147_n.jpg
    พระติสสเถระผู้มีปกติอยู่ในนิคม

    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในวัดพระเชตวัน ทรงปรารภพระติสสเถระผู้มีปกติอยู่ในนิคม ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 32 นี้

    พระติสสเถะ เกิดและเติบโตในตลาดเล็กๆ ซึ่งไม่ไกลจากกรุงสาวัตถี หลังจากที่ได้เข้ามาอุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว ก็ได้ดำเนินชีวิตง่ายๆด้วยความสันโดษตามมีตามได้ สำหรับอาหารบิณฑบาตนั้นท่านจะไปบิณฑบาตเฉพาะในหมู่บ้านของญาติๆและจะฉันทุกอย่างที่เขาถวาย ท่านจะหลีกเลี่ยงมางานนิมนต์ใหญ่ๆ แม้แต่เมื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีกระทำมหาทาน และพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงบำเพ็ญอสทิสทาน พระติสสเถระก็ไม่มากรุงสาวัตถี

    พวกภิกษุจึงสนทนากันว่า “พระนิคมติสสะนี้ เอาแต่อยู่ใกล้ชิดกับหมู่ญาติ และไม่สนใจที่จะมางานสำคัญๆ เช่น เมื่อตอนที่ที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีถวายมหาทาน และพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกระทำอสทิสทาน ท่านก็ไม่มา” พระศาสดาทรงทราบความที่สนทนากันนั้น ได้ตรัสเรียกพระติสสเถระมาเฝ้าและได้ทรงสอบถามถึงเรื่องนี้ พระเถระได้กราบทูลว่า เป็นความจริงที่ท่านไปที่หมู่บ้านของญาติๆของท่านเป็นนิตย์ แต่ก็เป็นการไปเพื่อบิณฑบาตเท่านั้น และเมื่อท่านได้อาหารบิณฑบาตพอพียงแล้ว ท่านก็ไม่เดินไปไหนอีก ท่านไม่ได้สนใจเลยว่าอาหารที่ได้มาอร่อยหรือไม่อร่อย เมื่อพระศาสดาได้สดับเช่นนี้แล้ว แทนที่จะตำหนิพระติสสเถระพระองค์กลับตรัสยกย่องพฤติกรรมของท่านต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ พระศาสดาตรัสกะภิกษุทั้งหลายด้วยว่า การอยู่ด้วยความมักน้อยสันโดษนั้น สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของพระพุทธเจ้าและพระอริยะเจ้าทั้งหลาย และว่า ภิกษุทั้งปวงก็ควรเอาอย่างพระติสสเถระนี้ จากนั้นพระศาสดาได้ทรงนำเรื่องพระยานกแขกเต้ามาเล่าว่า

    ในอดีตกาล พระยานกแขกเต้าอาศัยอยู่ในป่าไม้มะเดื่อแห่งหนึ่งใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคาในป่าหิมพานต์ พร้อมด้วยนกแขกเต้าที่เป็นบริวารอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อผลมะเดื่อที่ตนอาศัยกินวายแล้ว บรรดานกแขกเต้าทั้งปวงพากันออกจากป่านั้นไป ยกเว้นพระยานกแขกเต้าเท่านั้นที่ไม่ยอมไปไหน ได้จิกกินหน่อใบหรือเปลือกของตนมะเดื่อซึ่งยังเหลืออยู่ ท้าวสักกะทรงทราบเรื่องนี้และมีพระประสงค์จะทดสอบคุณธรรมของพระยานกแขกเต้านี้ พระองค์จึงได้ใช้เทวฤทธิ์บันดาลให้ต้นไม้นั้นเหี่ยวแห้งและผุ จากนั้นพระองค์ได้แปลงร่างเป็นหงส์บินมาพร้อมกับนางสุชาดาที่แปลงร่างเป็นนางหงส์มาจับที่กิ่งไม้ใกล้ๆกับพระยานกแขกเต้า แล้วสอบถามว่าทำไมพระยานกแขกเต้าจึงไม่หนีไปจากต้นไม้ผุต้นนี้เหมือนอย่างที่นกแขกเต้าตัวอื่นๆกระทำกัน และทำไมพระยานกแขกเต้าถึงไม่ไปยังต้นไม้ต้นอื่นที่มีผลดก พระยานกแขกเต้าตอบว่า “เพราะว่ามีความกตัญญูต่อต้นไม้ต้นนี้ ข้าพเจ้าจึงไม่จากไปไหน และตราบเท่าที่ข้าพเจ้าสามารถมีอาหารพอยังชีพได้ก็จะไม่ทิ้งต้นไม้นี้ไปไหน มันจะเป็นการอกตัญญูสำหรับข้าพเจ้าหากจะต้องทิ้งต้นไม้นี้ไป”

    ท้าวสักกะทรงประทับใจในคำตอบนี้มาก จึงทรงได้เปิดเผยพระองค์ และได้เสด็จไปทรงนำน้ำในแม่น้ำคงคามารดต้นมะเดื่อผุ ทำให้ต้นมะเดื่อกลับฟื้นคืนชีพ มีกิ่งก้านสาขาและผลิดอกออกผล อีกครั้งหนึ่ง จากนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้แต่พวกสัตว์ก็ยังไม่ละโมบ พวกมันสันโดษในสิ่งต่างๆที่มีอยู่

    จากชาดกเรื่องนี้ พระยานกแขกเต้าคือพระศาสดา ส่วนเท้าสักกะคือพระอนุรุทธะ

    จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 32 ว่า

    อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ
    ปมาเท ภยทสฺสี วา
    อภพฺโพ ปริหานาย
    นิพฺพานสฺเสว สันติเกฯ

    ภิกษุยินดีในความไม่ประมาท
    เห็นโทษในความประมาท
    จะไม่มีวันเลื่อม
    มีแต่จะอยู่ใกล้พระนิพพานทุกที.


    เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง พระติสสเถระก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ต่างได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนา มีผลมากแก่มหาชน.
     

แชร์หน้านี้

Loading...