เรื่องเด่น เล่าขานตำนานพระอรหันต์จี้กง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 19 พฤศจิกายน 2017.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    เล่าขานตำนานพระอรหันต์จี้กง ตอน กำเนิดอรหันต์เพี้ยน


    23472477_523357731354011_1703725723300497190_n.jpg

    ตั้งแต่ราชวงศ์ซ้อง ซึ่งเป็นราชธานีถูกย้ายลงใต้มาสู่แม่น้ำเจ้อะเจียน เมืองหลินอัน หรือหางโจวในปัจจุบันนี้ บริเวณช่วงกลางของแม่น้ำเจ้อะเจียน คือขุนเขาเทียนไถที่สวยงามอันเป็นที่พำนักของพระอรหันต์และพระเจ้าเกาจงผู้ซึ่งได้สร้างราชธานีอยู่ใกล้ๆ นามว่าเมืองไถโจว ในเมืองมีวัดอยู่วัดหนึ่งชื่อว่าวัดกั๋วชิง มีเจ้าอาวาสนามทางศาสนาว่า ซิ่งคง ซึ่งมีอายุถึง 68 ปี และก็เป็นพระผู้บำเพ็ญธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ท่านได้ปฏิบัติธรรมอย่างเงียบๆ โดยไม่ยอมเปิดเผยบุคลิกภาพที่แท้จริงของท่านง่ายๆ และในปีนั้น ขณะที่กำลังอยู่ในฤดูหนาวที่แสนหนาวเหน็บ ลมหนาวพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ท้องฟ้าแดงฉานไปหมด พายุหิมะกำลังโปรยปราย หลังจากฉันอาหารเจมื้อค่ำแล้ว ท่านเจ้าอาวาสก็นั่งสมาธิอยู่เหนืออาสนะตามลำพัง มีพระลูกวัดกำลังยืนสงบอยู่ทั้งสองข้าง กลุ่มควันกำลังพวยพุ่งอย่างหนาตัวพันรอบพระพุทธรูป ไฟตะเกียงในโคมกระจกก่อให้เกิดเงาตะคุ่มๆ พระลูกวัดเฝ้าอยู่อย่างสงบนานพอสมควร ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีจิตเพ่งพิจารณา จนเกิดความรู้สึกขึ้นรีบคุกเข่าลงต่อหน้าเจ้าอาวาส "ศิษย์สำนึกในพระคุณของอาจารย์ที่เมตตาชี้แนะให้ถึงความสงบ ศิษย์ได้เพ่งพิจารณาอย่างละเอียดและได้ลิ้มรสชาติแห่งความสงบที่แฝงไปด้วยความงดงามอย่างยิ่ง" เจ้าอาวาสยิ้ม พลางตอบว่า "หากเจ้าได้พบรสชาติแห่งความสงบก็นับว่าอัศจรรย์แล้ว เพราะเมื่อมีความสงบ ย่อมมีการไหวติง จึงไม่ควรมีรสชาติในความสงบ แล้วกล่าวว่า การไหวติงไม่มีรสชาติ" ลูกศิษย์เกิดความประหม่า จึงกล่าวต่อไปว่า "ท่านอาจารย์ได้เคยแสดงถึงเหตุแห่งความสงบ แต่วันนี้กลับพูดถึงการไหวติง หรือเป็นเพราะว่า ในการไหวติงก็มีรสชาติอยู่ด้วย" เจ้าอาวาสตอบว่า "หากไม่มีรสชาติในการไหวติงแล้ว ผู้ที่หาความสงบจะไม่คิดถึงการไหวติงเลยหรือ" ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็บังเกิดเสียงดังปานฟ้าผ่า บรรดาลูกวัดต่างพากันตระหนกตกใจ เจ้าอาวาสจึงพูดขึ้นว่า "พวกเจ้าไม่ต้องตกใจกลัว นี่เป็นเพราะกำลังพูดถึงการไหวติงในความสงบ ลองพิจารณาดูว่าเสียงมาจากไหน" เหล่าลูกศิษย์เมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้าอาวาส ก็นำโคมไฟออกจากห้องเจ้าอาวาสไป เดินไปถึงหน้าพระแท่นบูชาในโบสถ์ ก็ไม่พบร่องรอยของเสียง จึงพากันเดินไปยังห้องอรหันต์ ก็พบรูปอรหันต์สีทอง กับเก้าอี้ที่มีรูปวาดตัวหนึ่งล้มลงอยู่กับพื้น เหล่าพระลูกวัดเลยเข้าใจถึงที่มาแห่งเสียงว่าเกิดจากอะไร จึงพากันกลับไปยังห้องเจ้าอาวาสเพื่อกราบเรียนให้ทราบ ท่านเจ้าอาวาสก็ไม่พูดอะไรแต่กลับหลับตาเข้าสู่สมาธิต่อไป เวลาล่วงไปไม่นานก็ถอนจิตจากสมาธิ แล้วกล่าวว่า "เสียงดังที่เกิดขึ้นเพราะมีผู้ล้มลงที่พื้นนั้น ก็เพราะความเงียบสงบของพระอรหันต์ บันดาลให้เกิดการไหวติงขึ้น ท่านได้ปฏิสนธิแล้วในโลกมนุษย์ ! โชคดีที่อยู่ไม่ไกล วันข้างหน้าก็จะมีคนรู้ รอให้อายุครบเดือนเสียก่อน พระชรารูปนี้จะไปด้วยตนเอง เพื่อกล่าวคำอำลา" เมื่อได้ฟังความแล้ว บรรดาพระลูกวัดก็พากันตกใจเพราะมันหมายถึง

    เพราะรู้ว่ามาก็ต้องมา เสร็จภาระเร็วก็ไปเร็ว

    ไปกับมารู้ชัดเจน นี้เป็นวิถีแห่งโพธิสัตว์

    กล่าวกันว่าที่เมืองไถวโจว อำเภอเทียนไถ มีนายอำเภอคนหนึ่งชื่อ เหมาชุน แซ่หลี่ หรือออกชื่อว่า จ้านซ่าน เป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ไม่โลภ ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง รับราชการมาหลายปีก็เกิดความเบื่อหน่ายจึงลาออกมาอยู่บ้าน ท่านคุณนายหวังก็มีจิตกุศล แต่ว่าอายุเลย 30 แล้วยังไม่มีบุตรไว้สืบสกุลเลย ฝ่ายนายอำเภอเห็นความดีของภรรยาที่มีต่อตน ก็ไม่คิดที่จะมีภรรยาน้อย ทั้งสองสามีภรรยาต่างอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อขอบุตร คืนหนึ่ง หวังฮูหยินฝันไปว่า ได้พบกับพระอรหันต์รูปหนึ่ง ท่านนำดอกไม้ห้าสีช่อหนึ่งมาให้ ฮูหยินรับดอกไม้มาแล้ว ก็รีบกลืนลงท้องไป จากนั้นมา ฮูหยินก็เกิดตั้งครรภ์ จนกระทั่งครบสิบเดือน พอยามหนึ่ง ฮูหยินก็ให้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง ลักษณะเหมือนเด็กอายุครบเดือนหน้าตาหมดจด ขณะใกล้คลอดก็มีแสงสีแดงส่องสว่างทั่วห้อง ความศิริมงคลได้แผ่มาถึงสองสามีภรรยาต่างดีอกดีใจผิดปกตินายจ้านซ่านรีบจุดธูปไหว้พระ กล่าวขอบคุณฟ้าดิน บรรดาญาติมิตรต่างก็มาแสดงความยินดี

    เมื่อเด็กทารกอายุครบได้หนึ่งเดือน ในขณะที่กำลังจัดงานเลี้ยงแขกอยู่ ก็มียามเฝ้าประตูมารายงานว่า "ท่านเจ้าอาวาสซิ่งคง แห่งวัดกั๋วชิงจะขอเข้ามาพบใต้เท้า" นายจ้านซ่านคิดอยู่ในใจว่า "ท่านเจ้าอาวาสซิ่งคงเป็นพระสงฆ์อาวุโส ปกติจะไม่ยอมออกจากวัดง่าย ๆ แต่วันนี้ทำไมท่านจึงมาที่นี่นะ" จึงรีบสั่งให้ยามประตูรีบไปต้อนรับให้เข้ามาในห้องรับแขก เมื่อได้พบหน้ากัน นายจ้านซ่านแสดงคารวะแล้ว กราบเรียนถามท่านเจ้าอาวาสว่า "ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการเกษียณ ท่านอาจารย์อุตส่าห์มาเยี่ยมเยียน มิทราบว่ามีกิจธุระอันใด" ท่านเจ้าอาวาสตอบว่า "ก็ไม่มีกิจธุระอันใดหรอก ได้ข่าวบุตรชายมีอายุครบเดือนจึงอยากมาแสดงความยินดี เพราะว่าบุตรผู้นี้กับอาตมามีความสัมพันธ์กันมาก่อน ดังนั้นจึงคิดจะขอพบหน้าเพื่อเจรจากันให้เข้าใจ" นายจ้านซ่านรู้สึกปิติยินดียิ่ง หลังจากเชิญให้นั่งเรียบร้อยแล้ว ก็รีบกระวีกระวาดเข้าไปบอกให้ฮูหยินทราบพร้อมกับสั่งให้เด็กรับใช้รีบอุ้มคุณชายติดตามตนออกมา แล้วนำไปให้ท่านเจ้าอาวาสพิจารณาดู ท่านเจ้าอาวาสรับเด็กไว้ในอ้อมอก มีวาจาจะกล่าวฝาก ให้พวกเราได้รับฟังไว้

    "กลางเดือนอ้าย ลอยโคมไฟ ชาวประชาสุขสันต์ทุก ๆ ปี อาตมาก็อยู่กับพวกเราจนคุ้นเคย ก่อนจะกลับไปก็อยากจะฝากไว้

    การกลับไป หากสงสัย เรื่องราวของตนเองย่อมรู้เอง หากให้คนข้างเคียงรู้ย่อมถูกคนข้างเคียงกล่าววิจารณ์

    จึงไม่พูด ทำซื่อบื้อ ระหว่างความเป็นความตายไม่อาจใช้ไหวพริบได้ อาตมาจะอำลาโลกในวันที่สองเก้า(สองเก้า คือ วันที่เก้าบวกเก้า เท่ากับวันที่สิบแปด)นี้ จึงขอประกาศให้ทุกคนได้ทราบไว้

    ความเกิด - ตาย ดูน่าตกใจ จากอดีตถึงปัจจุบัน ทุก ๆ ผู้ย่อมมีทางสายนี้สู่ยมโลก กองกระดูกมีนานแล้วมิใช่หรือ แต่ถึงแม้จะมีก็ต้องพึ่งเขาเขียว (ป่าช้า)

    สายน้ำไหลเกิดเสียง เขามีสีสัน ยมบาลไม่เคยมีไมตรีกับแขกจึงขอเตือนพวกเราให้รีบบำเพ็ญ เพื่อสู่แดนสุขาวดีตาม ๆ กัน"

    เมื่อเจ้าอาวาสกล่าวจบ ทุกคนต่างได้ยินคำว่า "อำลา" ต่างก็บ่นกันพึมพำ แล้วคุกเข่าลงพร้อมกัน กล่าวว่า "ลูกศิษย์ปัญญาทื่อทึบ ต้องอาศัยความเมตตาของอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอน หากยังอยู่อีก 10 ปีก็คงจุดดวงปัญญาไม่ให้ดับได้" ท่านเจ้าอาวาสกล่าวว่า "ดวงปัญญาจะดับได้อย่างไร เพราะเป็นความสว่างจากดวงจิต ถึงแม้อาตมาจะซ่อนเร้นการเกิดการตายมีกำหนด ไม่อาจรั้งรอ อาตมาขอประกาศให้ชาวบ้านที่ประสงค์จะมาส่งอาตมา ให้มาตอนเช้าวันที่ 18 " หลังจากกล่าวจบ ท่านเจ้าอาวาสก็เดินทางกลับ ถึงวัดก็เข้าสู่ห้องสมาธิไป ส่วนลูกวัด ต่างก็ป่าวประกาศกันไปทั่วอำเภอ
    พอถึงวันที่ 18 บรรดาชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันมาพร้อมกันรวมทั้งนายจ้านซ่านก็มาถึง ท่านเจ้าอาวาสซิ่งคง ได้อาบน้ำเปลี่ยนจีวรใหม่ แล้วก็ออกมาสู่ห้องโถงขึ้นนั่งบนเก้าอี้ พระสงฆ์จากวัดต่าง ๆ รวมทั้งพระสงฆ์ลูกวัดต่างยืนล้อม ท่านเจ้าอาวาสเรียกลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดห้าคนเข้ามาข้างหน้าแล้วก็ประเคนจีวร บาตร อัฐบริขารต่าง ๆ ให้ แล้วให้โอวาทว่า "กายนี้แม้จะว่างเปล่า แต่แสงจิตไม่ถูกบัง หากโอกาสสัมพันธ์มาถึง ก็จะล่วงรู้ได้ เธอทั้งต้องเคร่งครัดในศีล จงอย่าปล่อยวาง" ลูกศิษย์ทั้งห้าต่างเศร้าเสียใจร้องสะอื้นไห้พลางรับโอวาท ท่านเจ่าอาวาสได้กำหนดเวลาแน่นอนแล้ว ก็รีบพูดออกไปว่า "ถึงเวลาแล้วรีบจุดธูปเทียน เจริญพระพุทธมนต์ " หมู่พระสงฆ์ก็พร้อมกันสวดพระพุทธมนต์ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงการสวดมนต์ก็จบลง ท่านเจ้าอาวาสก็ยกพู่กันเขียนในกระดาษว่า "ตามกาลล่วงปีถึงเก้า ทุกเรื่องจิตว่างไม่อับอาย วันนี้แยกมืออำลา สุขสบาย ณ แดนสุขาวดี" พอเจ้าอาวาสเขียนเสร็จก็ปล่อยวางพู่กัน ขยับนั่งกายตรง หลับตาสู่ความสงบ ชาวบ้านต่างอยู่ในความสงบ ต่างช่วยกันยกร่างเข้าสู่ครัม(ครัม คือ ตู้เก็บศพของพระสมณเจ้าผู้ใหญ่ โดยศพที่ดับขันธ์อยู่ในท่านั่งสมาธิ) ที่เก็บ เสร็จแล้วต่างคนก็ต่างจากไป

    พอถึงวันที่เก้าเดือนยี่ อันเป็นวันครบสามเจ็ด(สามเจ็ด คือ ยี่สิบเจ็ด) ก็ถึงวันประชุมเพลิง ในวันนี้อากาศแจ่มใส ผู้คนหลั่งใหลก็มาทั้งใกล้และไกล พอถึงเวลาชาวบ้านช่วยกันยกครัมออกเดิน โดยมีริ้วธงนำหน้ามีเสียงแผ่วเบาตามกันมา จนถึงเมรุที่เผาศพจึงวางครัมลง ทั่วบริเวณห้อมล้อมไปด้วยหมู่ต้นสน พระสงฆ์ทั้งห้าอันเป็นศิษย์สนิทของเจ้าอาวาสได้เชิญท่านเจ้าคุณหานสือเอี๋ยนเป็นผู้จุดไฟ ท่านเจ้าคุณถือคบไฟ แล้วกล่าวว่า

    “เปลวเพลิงสัญลักษณ์ไม่กระจ่าง ท่านที่นั่งข้างในกลัวหรือไม่หวนระลึกถึงตนที่รู้มิใช่ผิด แล้วเรื่องอันใดจึงต้องถามผู้อื่น”

    เป็นความสำเร็จอันนบนอบภายใต้รุ้งสีม่วงนี้ ท่านซิ่งคง ภิกษุที่ยิ่งใหญ่ เดิมเป็นศิษย์ในลัทธิขงจื้อ แล้วบวชเป็นศิษย์ในพุทธศาสนา เป็นผู้บรรลุนิพพาน มีจิตปราศจากกิเลสนับว่าเป็นพุทธบุตรโดยแท้ ไม่ยินดียินร้ายอัธยาศัยนุ่มนวล ผู้ถือสันโดษบนขุนเขา มีความสงบเพียงพอ 69 ปีเหมือนความฝัน
    "เฮ่อ ! ไม่ไหลตามน้ำสู่เทียนไถ อาศัยไฟนี้กลับคืนสู่วิสุทธิภูมิ"

    เมื่อท่านเจ้าคุณกล่าวจบ ก็จุดไฟเผาครัมชั่วครู่เดียวเปลวไฟก็ลุกท่วมเมื่อครัมถูกเผามอดลง ฉับพลันนั้นก็มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้น ปรากฎว่ามีรูปพระภิกษุรูปหนึ่งลอยขึ้นบนเปลวไฟ ก้มหน้าลงมามองยังฝูงชนแล้วก็พูดว่า "ขอบคุณท่านทั้งหลาย" แล้วกล่าวต่อว่า "ท่านนายอำเภอหลี่บุตรของท่านซิ้วหยวนเป็นพุทธบุตร หาใช่บุตรสามัญ ต้องให้ออกบวชอย่าให้ไปทางอื่น เดี๋ยวเขาจะเดินทางผิด หากได้ออกบวชให้ไปหาอาจารย์อิ้นเปี๋ยฟง หรือเหยี่ยนเซี้ยถัง ฝากตัวให้เป็นพระอาจารย์ ต้องจดจำไว้ให้ดี ๆ ลืมไม่ได้นะ" นายจ้านซ่านได้ฟังดังนั้นก็ยกมือขึ้น พนมไหว้ไปยังพระซิ่งคง กล่าวว่า "ด้วยพระคุณที่อาจารย์ชี้แนะ มิกล้าละเมิดฝ่าฝืน" พอจะถามต่อไป รูปอาจารย์ก็ค่อย ๆ หายเข้าไปในกลีบเมฆ ส่วนนายจ้านซ่านพอได้ยินอาจารย์สั่งดังนั้นแล้ว ก็จดจำไว้ในใจไม่กล้าที่จะลืมเลือน ซึ่งต่อมาภายหลังคุณชายซิ้วหยวน ก็ได้ออกบวชที่วัดหลิงอิ่น และได้สร้างเรื่องราวไว้มากมาย ช่างเป็นความพิสดารอันลึกซึ้งแห่งสัทธรรม ที่ว่าด้วยความเงียบและการไหวติง ได้ทิ้งร่องรอยแห่งการมาและการไปอย่างประหลาด" เรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไรบ้าง

    ขอได้โปรดติดตามตอนต่อไป
     
  2. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    เล่าขานตำนานพระอรหันต์จี้กง ตอนกระท่อมสองพยางค์ลุพุทธจิต จุดญาณหนึ่งรั้งปริศนาธรรม

    23518856_526062134416904_1036234144010105929_n.jpg


    เมื่อนายหลี่จ้านซ่านได้รู้ถึงพื้นจิตของบุตรน้อยแล้ว จึงได้ตั้งใจอบรมฟูมฟักเป็นพิเศษ พอบุตรมีอายุได้แปดปี ก็ว่าจ้างครูมาสอนหนังสือที่บ้านโดยมีบุตรของพี่ชายภรรยา หวังฉวนร่วมเรียนอยู่ด้วย เด็กชายซิ้วหยวนตั้งใจเล่าเรียนด้วยความร่าเริง ไม่เคยปริปากบ่นเลย แม้จะเรียนกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ มีบางครั้งที่รู้สึกเบื่อหน่ายบ้าง ก็ได้แต่นั่งนิ่งเบิ่งตาเฝ้าแต่ครุ่นคิด คิดจนเพลิดเพลิน แล้วแหงนหน้าสู่ท้องฟ้าหัวเราะร่วน เมื่อมีผู้ถามว่า เป็นอะไรเขาก็ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่พูดจา

    พออายุได้สิบสองปี ร่ำเรียนจนไม่มีตำราเรียน เจนจัดในวิชาอักษรศาสตร์ การแต่งโคลงกลอนก็ช่ำชอง เก่งไปสารพัดอย่าง วันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันเช็งเหม็ง อาจารย์ต้องลากลับบ้านพักผ่อน นายจ้านซ่านก็จัดโต๊ะเลี้ยงพร้อมกับตระเตรียมข้าวของตอบแทน พร้อมกันนั้น ก็ให้บุตรชายซิ้วหยวนและหลานชายหวังฉวนกับคนรับใช้ ให้ติดตามไปส่งอาจารย์ถึงบ้าน

    ภายหลังส่งอาจารย์ถึงบ้านแล้ว ขากลับทั้งสองเดินผ่านวัดแห่งหนึ่งซิ้วหยวนได้ถามคนรับใช้ว่า “นี่วัดอะไร” คนรับใช้ตอบว่า “ที่นี่คือวัดฉีหยวน เป็นวัดที่มีชื่อแห่งเมืองไถโจว” หวังฉวนได้ฟังแล้วจึงเอ๋ยขึ้นว่า “ที่แท้วัดฉีหยวนอันลือชื่ออยู่ที่นี่เอง ได้ยินกิตติศัพท์มานาน วันนี้มาพบเข้าโดยบังเอิญ ข้าและน้องทำไมจะไม่เข้าไปเที่ยวชมดูสักหน่อยเล่า ซิ้วหยวนเอ่ยต่อว่า “ท่านพี่พูดตรงกับใจข้าเลย” ว่าแล้ว ทั้งสองก็จูงมือพากันเข้าไปในวัดเข้าไปในโบสถ์ชมพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ต่อจากนั้นก็เดินออกไปตามทางเดินรอบ ๆ จนกระทั่งมาถึงห้องของเจ้าอาวาส ก็พอดีมีพระชราอยู่สองรูปเรียกให้หยุด แล้วว่า “ตอนนี้มีข้าราชการผู้ใหญ่อยู่ข้างใน หากท่านทั้งสองต้องการทัศนา โปรดเที่ยวชมทางอื่นก่อน” ซิ้วหยวนตอบว่า “ห้องเจ้าอาวาสเป็นห้องรับแขกของสงฆ์ ใคร ๆ ก็เข้าไปได้ แม้จะมีข้าราชการผู้ใหญ่อยู่ภายใน เราสองคนก็เข้าไปพบท่านเจ้าอาวาสได้ จะเป็นไรหรือ” ว่าแล้วก็เดินฉับ ๆ เข้าไป พบว่ามีบุคคลสองคนอยู่ภายในเบื้องซ้ายมีข้าราชการผู้ใหญ่นั่งอยู่ ส่วนท่านเจ้าอาวาสเต้าชิงนั่งอยู่เบื้องขวา ทั้งสองข้างมีเด็กหนุ่ม ๆ ยืนอยู่ประมาณสิบคน แต่ละคนต่างถือกระดาษอยู่ในมือ กำลังครุ่นคิดอยู่ ซิ้วหยวนจึงเดินเข้าไปข้างหน้าพลางยกมือแสดงคารวะ ถามว่า “ขอเรียนถามท่านผู้ใหญ่และท่านเจ้าอาวาส คนเหล่านี้ถือกระดาษอยู่ที่นี่ ทำอะไรหรือ” ยังมิทันที่ข้าราชการผู้ใหญ่จะเอ่ยปาก ท่านเจ้าอาวาสแลเห็นเด็กทั้งสองแต่งกายสง่าภูมิฐานคาดคิดว่าต้องเป็นบุตรของผู้ดีมีสกุล จึงไม่รอช้า รีบลุกขึ้นมาตอบว่า “ท่านผู้ใหญ่ผู้นี้ เนื่องจากมีธุระออกทะเล พอเรือถึงทะเลลึก ก็เกิดมีคลื่นลมพายุ ทำท่าว่าเรือจะคว่ำ จึงได้อธิฐานจะขอบวชพระสักรูปหนึ่ง คลื่นลมจึงสงบลง กลับมาได้อย่างปลอดภัย เพื่อเป็นการทำบุญจึงบริจาคเป็นเงินถึงหนึ่งพันชั่ง และได้ขอใบสุทธิหนึ่งฉบับ (ผู้จะบวชพระจะต้องขอใบสุทธิจากรัฐบาลเสียก่อนจึงบวชได้) เพื่อบวชพระรูปหนึ่ง จึงได้มีการคัดเลือกเด็กหนุ่มที่อยู่ที่นี่ ซึ่งแต่ละคนก็มีดีไปคนละอย่าง จึงมิอาจคัดเลือกได้ทันที จึงได้ขึ้นโฉลกไว้บทหนึ่ง เพื่อให้คนเหล่านี้แต่งต่อให้เหมาะสมผู้ใดเหมาะที่สุดก็จะบวชให้ผู้นั้น ดังนั้นคนเหล่านี้จึงถือกระดาษครุ่นคิดอยู่” ซิ้วหยวนกล่าวตอบว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ผู้น้อยอยากจะขอดูโฉลกที่ท่านผู้ใหญ่ขึ้นไว้ดูสักหน่อยจะได้ไหม” ผู้ใหญ่แลเห็นซิ้วหยวดพูดจาหลักเหลมผิดคนธรรมดา จึงให้คนสนิทนำเอาโฉลกส่งให้ ซิ้วหยวนดูแล้วพูดว่า “ท่านอาคันตุกะผู้เยาว์ มิทราบว่าจะต่อได้ไหม” เมื่อซิ้วหยวนรับมาดู มันเป็นโฉลกแม่น้ำแดงฉาน ว่าดังนี้

    ชีวิตเหนื่อยเปล่า คิดถึงบ้านในป่าเขา

    เพื่อผ่อนคลาย เย็นกายพระพายพัด

    จันทร์กระจ่างฟ้า ไผ่สนเขียวขจี

    นั่งสงบขจัดลาภยศ แม้จะหิวโหย

    ก็อิ่มด้วยบทกวี เพียงข้าวสองสามทัพพี

    เสื้อผ้าหยาบ ๆ หากไม่ถูกผูกพัน

    ต้องอดทนต่อโลก ดั่งเกมหมากรุก

    ดุจผู้แค้นร่วมรถ ถึงกายจะจรดที่ใด

    ก็เหมือนลม และเมฆที่ผกผัน

    จักหาความสบายในโลกมนุษย์ ก็ไม่รู้ว่าที่ใดไร้เกียรติ

    แลเสียศักดิ์ศรีกัน ถึงรองเท้าเหล็ก

    ย่ำยันทั่วแผ่นดิน ชีวิตก็วุ่นวายสูญเปล่า

    เมื่อซิ้วหยวนอ่านจบ ก็เผยอยิ้ม แล้วจึงหยิบพู่กันบนโต๊ะ ต่อเติมไปอีกสองประโยคว่า

    “ตาสว่างสองสามโลก เห็นเพียง กระท่อมหญ้าคา”

    ทั้งผู้ใหญ่และเจ้าอาวาส เมื่อได้เห็นโฉลกสองประโยคหลัง ก็รู้ว่ามีปฏิภาณไหวพริบยิ่ง จนรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง จึงรีบเชิญทั้งสองให้นั่งลงมีคำสั่งให้ผู้ติดตามยกน้ำชามาให้ เจ้าอาวาสกล่าวว่า “ขอถามท่านทั้งสองว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร” ซิ้วหยวนชี้นิ้วไปที่หวังฉวนแล้วว่า “ผู้นี้เป็นลูกผู้พี่ เป็นบุตรของคุณลุงหวังอันซื้อ นามว่าหวังฉวน ส่วนผู้น้อยเป็นบุตรของหลี่จ้านซ่าน มีชื่อสามัญว่าซิ้วหยวน” เจ้าอาวาสได้ฟังแล้ว ทั้งยินดีและตกใจ กล่าวตอบว่า “ที่แท้ก็คุณชายหลี่นี่เอง มิน่าเล่า พอเคลื่อนพู่กันก็เฉียบไว นับว่ามีปัญญาเฉียบแหลมยิ่งนัก” ข้าราชการผู้ใหญ่เห็นเจ้าอาวาส พูดจาเป็นเรื่องเป็นราวเช่นนั้น จึงถามถึงสาเหตุเจ้าอาวาสก็ตอบว่า “ท่านผู้ใหญ่ไม่รู้หรือว่า เมื่อประมาณสิบปีก่อน ที่วัดกั๋วชิง ตอนท่านเจ้าอาวาสซิ่งคงจะละสังขารนั้น ได้กล่าวกับนายหลี่จ้านซ่านว่า “คุณชายน้อย คือผู้ศักดิ์สิทธิ์กลับชาติมาเกิด รากเหง้าผิดธรรมดา เหมาะจะออกบวช ไม่เหมาะครองเพศฆราวาส” ท่านผู้ใหญ่ฟังแล้วดีใจมาก กล่าวว่า “หากสามารถบวชให้กับอาคันตุกะผู้เยาว์ผู้นี้ได้ นับว่าดีกว่าพวกหนุ่ม ๆ เหล่านี้มาก” พอซิ้วหยวนได้ยินการสนทนาของท่านทั้งสอง ที่ต้องการให้ตนออกบวช จึงรีบปฏิเสธอย่างขอบคุณว่า “การบวชพระ นับว่าได้บุญมาก แต่ท่านบิดามีผู้น้อยเพียงคนเดียว ไม่มีเหตุผลพอที่จะออกบวชเลย” เจ้าอาวาสกล่าวว่า “อาตมาเพียงอนุมานตามเหตุผลที่ดูเหมาะสมเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่เช่นนี้ จำเป็นต้องไปกราบคารวะเรียนใต้เท้าที่บ้านท่าน วันนี้มิอาจกล้าทำสิ่งใดเพียงแต่ท่านทั้งสองได้มาถึงที่นี่ ก็เป็นบุญมากแล้ว อยากเรียนขอให้อยู่ค้างแรมที่นี่สักคืน มิทราบว่าจะคิดเห็นประการใด” ซิ้วหยวนตอบว่า “ผู้น้อยทั้งสองมีบิดามารดาอยู่บ้าน มิกล้าเถลไถล เนื่องจากวันนี้ไปส่งท่านอาจารย์กลับบ้าน ได้ผ่านที่นี่ เสียเวลาไปครึ่งวันแล้ว มิกล้ารั้งรอ” กล่าวจบลุกขึ้นอำลา ท่านเจ้าอาวาสก็เลยออกมาส่งถึงนอกประตูวัด

    เมื่อสองคนกลับมาถึงบ้าน นายจ้านซ่านจึงถามว่า “เธอทั้งสองทำไมกลับบ้านมืดค่ำเช่นนี้” ซิ้วหยวนตอบว่า “เพราะอาจารย์รั้งให้อยู่ทานข้าว ระหว่างทางได้ผ่านวัดฉีหยวนเลยแวบเข้าไปเที่ยว ดังนั้นจึงเสียเวลาไปมาก” จ้านซ่านกล่าวว่า “เข้าวัดเพียงแต่เที่ยวเท่านั้นหรือยังมีเรื่องอะไรอีกไหม” ซิ้วหยวนจึงเล่าถึงเรื่องของข้าราชการผู้ใหญ่ ที่ต้องการบวชพระหนึ่งรูปโดยให้ผู้ติดตามต่อโฉลก เล่าไปอย่างละเอียด “ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า โฉลกของลูกต่อได้ดีที่สุด ต้องการให้ลูกออกบวช เลยถูกลูกล่วงเกินไปสองสามคำ พระองค์นั้นก็ยังไม่ละใจ เกรงว่าพรุ่งนี้ท่านจะมาร้องขอกับบิดามารดาท่านอีกเป็นแน่” จ้านซ่านฟังแล้วเงียบงันไปฝ่ายซิ้วหยวนก็ไม่รู้สาเหตุกล่าวว่า “ถ้าพรุ่งนี้ท่านมา ขอบิดาท่านไม่ต้องปฏิเสธ ลูกขอตอบรับเอง” จ้านซ่านตอบว่า “ท่านเจ้าอาวาสเต้าชิง เป็นที่นับถือของคนสมัยนี้ เธออย่าได้ดูแคลนพูดจาล่วงเกิน” ซิ้วหยวนตอบว่า “ลูกล่วงเกินท่านนะดีแล้ว เกรงแต่ว่าคุณธรรมท่านจะไม่สูงพอ ก็เท่ากับล่วงเกินตนเอง” สองพ่อลูกจึงหยุดการสนทนาแต่เพียงเท่านั้น

    เช้าวันรุ่งขึ้น ภายหลังอาหารเช้า ยามประตูหน้าบ้านเข้ามารายงานว่า “เจ้าอาวาสเต้าชิงแห่งวัดฉีหยวน ขอเข้าพบใต้เท้า ขอรับ” จ้านซ่านรู้จุดประสงค์การมาของท่านแล้ว จึงรีบออกมาต้อนรับ ภายหลังจากเชิญให้นั่งเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวว่า “พระคุณเจ้ากรุณามาที่นี่ มีกิจธุระอันใดหรือ” เจ้าอาวาสตอบว่า “อาตมา หากไม่มีกิจธุระ ก็มิกล้ามารบกวนหรอก เพราะมีธุระสำคัญเกี่ยวกับธรณีสงฆ์ เรื่องมาถึงแล้ว จึงมาเรียนให้ทราบ ต้องการให้ท่านทำให้สำเร็จ” จ้านซ่านถามว่า “เรื่องอันใดหรือโปรดชี้แนะด้วย” เจ้าอาวาสกล่าวว่า “เมื่อวานมีแขกผู้หนึ่ง ตั้งใจจะบวชพระรูปหนึ่งเพื่อสร้างบุญ จึงได้สรรหาผู้เหมาะสม โดยแต่งโฉลกขึ้นมาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนต่อโฉลก เพื่อจะได้หยั่งรู้ถึงภูมิปัญญา แต่ก็ไม่มีใครสามารถแต่งต่อได้ ก็บังเอิญคุณชายของท่านได้ท่องเที่ยวไปถึงเขาเห็นแล้วจึงแต่งโฉลกต่อให้ ช่างเหมาะสมยิ่งนัก อาตมาก็เลยถามไถ่ว่าเป็นคุณชายบุตรผู้ใด จึงได้นึกถึงเรื่องครั้งก่อนที่ท่านเจ้าอาวาสซิ่งคงขณะลอยอยู่เหนือเมฆ ได้สั่งเสียท่านไว้ นับว่าเป็นหน่อพระโพธิสัตว์จึงได้มากราบเรียนให้ทราบ ซึ่งถือเป็นธุระสำคัญแห่งธรณีสงฆ์ ไม่ควรพลาดโอกาส ควรรีบ ๆ ให้คุณชายได้บวชเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้เสร็จสิ้นภารกิจ”

    จ้านซ่านตอบว่า “เรื่องพระอาจารย์ซิ่งคงที่สั่งเสียไว้ครั้งก่อนมิกล้าที่จะละเลย ยิ่งวันนี้พระคุณเจ้ามีจุดประสงค์ให้สัมฤทธิผล รู้สึกเป็นพระคุณ แต่ที่แย่คือข้าพเจ้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ไม่มีผู้สืบสกุล เกรงว่าจะทำตามสั่งไม่ได้” เจ้าอาวาสตอบว่า “บุตรหนึ่งออกบวช เก้าชั่วโคตรสู่สวรรค์” “เมื่อเก้าชั่วโคตรสู่สวรรค์แล้ว เหตุใดจึงจะเหลือสังขารไว้ในโลกนี้อีกเล่า” ยังมิทันที่จ้านซ่านจะกล่าวต่อ ซิ้วหยวนก็ผลุนผลันออกมาจากหลังม่าน ภายหลังแสดงคารวะต่อพระเต้าชิงแล้ว จึงกล่าวว่า “ขอบคุณที่พระคุณเจ้าแจ้งเรื่องราวถึงเหตุครั้งก่อน เกรงว่าจะตกสวรรค์ อุตส่าห์อ้อนวอนตักเตือนให้ผู้น้อยออกบวชเพื่อให้บรรลุถึงพุทธโพธิญาณ แต่ผู้น้อยคาดเดาเอาเองว่า มีเรื่องอยู่สามอย่างที่ยังไม่มั่นเหมาะที่จะทำตามพระคุณเจ้า” เจ้าอาวาสตอบว่า “คุณชายพลาดแล้ว การออกบวชถือที่สุดก็เรื่องผูกพัน การปฏิบัติธรรมต้องกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มิทราบคุณชายมีเรื่องอะไรสามอย่างที่ไม่มั่นเหมาะ” ซิ้วหยวนตอบว่า “ผู้น้อยคิดเอาเองว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ยังไม่เห็นพระสมณเจ้ารูปไหนที่เก่งกาจปราดเปรื่องผู้น้อยเองก็ยังเป็นเด็ก การศึกษายังไม่จบ มิกล้าที่จะฟุ้งซ่านถึงความสุดยอดที่ละเอียดลึกซึ้ง นั่นคือประการที่หนึ่ง ในโลกนี้ คงไม่มีพุทธโพธิสัตว์ที่อกตัญญูเป็นแน่ ผู้น้อยมีบิดามารดา เหนือผมไม่มีพี่ชายคอยปรนนิบัติถัดผมลงไปก็ไม่มีน้องชายที่จะรับภาระเลี้ยงดู จึงมิกล้าที่จะโกนผม ละทิ้งบิดามารดาสู่สมณเพศ นี่เป็นประการที่สอง ประการที่สามสำคัญยิ่ง ดวงประทีปต้องได้รับการจุดต่อ มีการถ่ายทอดสืบต่อกันไป ผู้น้อยเห็นว่าขณะนี้แม้จะมีคนบวชมาก แต่ก็ไม่เห็นมีพระที่เก่งยอดเยี่ยมสักองค์ จึงทำให้การถ่ายทอดธรรมมีน้อย ที่มีก็ชักจูงให้คนหลงงมงาย ติดยึดอยู่กับความดี ซึ่งไม่อาจที่จะบรรลุได้ ผู้น้อยมิกล้าปล่อยตัวไปพึ่งคนตาบาดได้” เจ้าอาวาสฟังแล้วหัวเราะชอบใจใหญ่ว่า “หากพูดถึงเรื่องอื่น อาตมาอาจจะไม่รู้ หากพูดถึงสามเรื่องที่ว่านี้ คุณชายก็พลาดเสียแล้ว คิดมากเกินไป คุณชายยังเยาว์วัยไม่รู้ ไม่ว่าชาติก่อนจะเป็นผู้มีปัญญามาก่อนหรือไม่ แต่การตอบสนองเห็นผิดสามัญ เช่นเมื่อวานนี้ การต่อโฉลกสองประโยคก็ได้เผยแววให้เห็นแล้ว หาใช่ผู้ปัญญาทึบก็หาไม่ หากจะพูดว่าการออกบวชจักสุดสิ้นความกตัญญู จากสมัยโบราณมาก็มีเรื่องประจักษ์อยู่แล้ว จะให้มีความจงรักภักดีและความกตัญญูสมบูรณ์พอกันเป็นไปไม่ได้ นับประสาอะไรกับการออกบวช เพื่อบรรลุอนุบัตรสัมมาสัมโพธิญาณ บิดามารดาจักได้เสวยสุขในสวรรค์ จะคิดอะไรกับการกตัญญูเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชั่วระยะเวลาเพียงสั้น ๆ เกี่ยวกับพระอาจารย์ที่ได้บรรลุสืบทอดต่อ ๆ กันมา อย่างเช่น พระสังฆปรินายกองค์ที่ห้าที่หก ก็มีการสืบทอดกันมาดี ภายหลังพระสังฆปรินายกองค์ที่หก หยุดการถ่ายทอดลงจะถือว่าดวงประทีปดับลงละหรือ สำหรับอาตมาบวชเรียนมาก็นานแล้วเรื่องธรรมะธัมโมก็พอรู้ จะเป็นอาจารย์ของเจ้าเพื่อถ่ายทอดให้” ซิ้วหยวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวว่า “การวิตกของคน คือเป็นอาจารย์ของคน อาจารย์ก็รู้ธรรมะดี ผู้น้อยมีคำถามจะเรียนถามสักข้อหนึ่ง อาจารย์อยู่ในโลกนี้มานานกี่ปีแล้ว” ขณะนี้เจ้าอาวาสเห็นว่าซิ้วหยวนชักพูดจามีอารมณ์จึงตอบว่า “อาตมาอยู่มาได้ 62 ปีแล้ว” ซิ้วหยวนกล่าวต่อไปว่า “อยู่มาถึง 62 ปี ขอถามหน่อยว่า ”จุดญาณในกายนี้อยู่ที่ใด” เมื่อเจ้าอาวาสถูกถามฉับพลันเช่นนั้น ถึงกับนิ่งอึ้ง ไม่สามารถตอบออกมาได้ทันที ซิ้วหยวนจึงกล่าวต่อไปว่า “เพียงเท่านี้ก็ยังตอบไม่ได้ แล้วจะเป็นอาจารย์ผู้น้อยได้อย่างไร” กล่าวเสร็จก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วก็เดินจากไป เจ้าอาวาสรู้สึกเสียหน้า จึงรีบขอตัวลากลับ จ้านซ่านรู้สึกกังวล จึงเข้าไปขอโทษว่า “ลูกน้อยยังเยาว์ พูดจาล่วงเกิน ขออาจารย์โปรดยกโทษด้วย” เจ้าอาวาสเองก็รู้สึกขายหน้ามิกล้านั่งต่อ จึงลากลับวัด

    1. การเที่ยววัดฉีหยวน ได้พบปะท่านเจ้าอาวาสเต้าชิง ก็บังเอิญพบกับข้าราชการผู้ใหญ่ที่ได้ไปเรือประสบพายุมา โชคดีที่อธิฐานจะบวชพระรูปหนึ่ง พระโพธิสัตว์จึงคุ้มครองช่วยเหลือให้รอดกลับมาได้จึงเสียสละเงินถึงหนึ่งพันชั่ง ก็เหมาะที่จะซื้อจีวรให้ซิ้วหยวนสักชุดหนึ่ง ชาวโลกที่มั่งมีศรีสุข ควรขอบคุณบารมีคุณพระคุณเจ้า บริจาคเงินทองบ้าง เพื่อโปรดพระสมณะ (ผู้ถือบวช) บ้าง
    ชีวิตเหนื่อยเปล่า เผลอแผล็บเดียวกลับกลายมีแต่ความว่าง สู้ได้อุปัฏฐากพระสมณเจ้า
    (พุทธบุตร) บ้างเมื่อถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตจะได้ชักนำให้เราได้ไปสู่สุขาวดี

    2. “บุตรหนึ่งออกบวช เก้าชั่วโคตรสู่สวรรค์” เป็นเพียงคำสรรเสริญมิใช่บุตรหนึ่งคนออกบวชทั้งเก้าชั่วโคตรก็เหมือนได้ออกบวชด้วยจะกลายเป็นสินค้าราคาถูกไป เมื่อออกบวชแล้ว ไม่สึกกลับมานั่นแหละ จึงนับว่าเป็นผู้ออกบวชอย่างแท้จริง มีพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยกายอยู่ในป่าเขาลึก แต่ใจอยู่ที่บ้าน หรือไม่ก็เอาวัดเป็นบ้าน ล้วนใช่เป็นการออกบวชไม่ อะไรคือมรคา การออกบวชต้องขึ้นเขาลงห้วยไปขุดทองหาปลา (มีขุนเขาธรรมชาติเป็นกาย ขุดหารัตนะพบจิตแท้ลุยทะเลทุกทิศดูชีวิต จับปลาเลี้ยงกระเพาะ) นี่มิใช่ละศิลไม่ถือมังสวิรัติแต่หมายถึงอาศัยน้ำเป็น (น้ำที่มีการไปไหล) ชะล้างธรรมกาย

    3. ดวงประทีปถูกจุดต่อ การถ่ายทอดธรรมะสืบต่อชนรุ่นหลัง ไม่ให้ขาดตอนนั้น เพื่อกราบไหว้นับถือเป็นอาจารย์ จำต้องทดสอบอาจารย์เสียก่อน ด้วยคำถามว่า “มีอายุถึง 62 ปีแล้ว ถามว่า ”จุดญาณอยู่หนใด” ทำให้ท่านเจ้าอาวาส ปวดขมับเหมือนดั่งอมว่านบอระเพ็ด จุดญาณได้เผาหัวโล้นเข้าแล้ว โทษอาตมาไม่ได้ เพราะธรรมาจารย์ผลิตศิษย์เด่นจำต้องใช้มาตรการนี้ มิฉะนั้นก็ตายเปล่าอยู่ในโลกกิเลส ใครจะรู้

    เมื่อกลับมาถึงวัด ก็ล้มป่วยลงติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน บรรดาลูกศิษย์ก็เป็นห่วงกังวล ข่าวรู้ไปถึงท่านเจ้าอาวาสเต้าเจิ้นแห่งวัดกวนอิมจึงได้มาเยี่ยมไข้ เจ้าอาวาสเต้าชิงก็อนุญาตให้ลูกศิษย์เชิญท่านเต้าเจิ้นเข้ามาเต้าเจิ้นถามว่า “ได้ข่าวว่าหลวงพี่ไม่ค่อยสบาย มิทราบว่าเป็นไข้หรืออย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร จึงมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ” เต้าชิงขมวดคิ้วตอบว่า “ก็ไม่เป็นไข้ร้อนหนาวอย่างไร แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีสาเหตุหรอก” เต้าเจิ้นถามต่อว่า “นั่นซิ แล้วมันเกิดจากอะไร จะไม่เล่าให้ผมฟังหน่อยหรือ จะได้เชิญหมอมาตรวจรักษาได้” ท่านเจ้าอาวาสเต้าชิง ก็พูดกับท่านเจ้าอาวาสเต้าเจิ้นว่า “ผู้มีปัญญาถือกำเนิดสู่โลก ทำให้พระผู้ใหญ่พุทธโบราณ ต่างตระหนกตกใจ โอกาสสัมพันธ์ไหวติง เป็นผู้ยังคงไว้ซึ่งสติปัญญาดั่งเดิม” ที่สุดแล้ว เจ้าอาวาสเต้าชิงเจ็บป่วยด้วยเรื่องอะไร

    คอยติดตามตอนต่อไป
     
  3. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    เล่าขานตำนานพระอรหันต์จี้กง ตอน ใกล้อาลัยบุพการี กตเวทิตาถึงที่สุดจากไกลฝากตัวกับอาจารย์ ปลงผมสู่ร่มกาสาวพัสตร์

    23559732_528348524188265_4719674158717175430_n.jpg


    จากตอนที่แล้ว เจ้าอาวาสเต้าชิงถูกปริศนาธรรมของซิ้วหยวนซักจนเสียหน้ากลับไป ล้มหมอนนอนเสื่อลุกไม่ขึ้น ทำให้เจ้าอาวาสเต้าเจิ้นต้องมาเยี่ยมไข้ เมื่อไต่ถามถึงสาเหตุ เจ้าอาวาสเต้าชิงมิอาจปิดบัง จึงต้องเล่าเรื่องให้ฟังว่า เมื่อถูกถามถึงจุดญาณว่าอยู่ที่ไหน ก็ตอบไม่ได้ในทันทีเป็นเหตุให้ขายหน้ากลับมา ดังนั้นจึงมิกล้าพบหน้าผู้คน เต้าเจิ้นได้ฟังดังนั้นจึงว่า “เพียงคำพูดที่ผ่านหู คงยังไม่หายสงสัย จะขอให้ผมได้ไปพบเขาทำให้เขายุ่งยากสักครั้ง ดูซิว่าจะเป็นอย่างไร” เต้าชิงว่า “เด็กคนนี้มิใช่เพียงมีภูมิปัญญาฉลาดเหมือนคนธรรมดาเท่านั้น แต่นับว่าเป็นผู้มีปัญญาดั่งเดิมมาเกิด ขอท่านอย่าดูแคลนเป็นอันขาด”

    พอพูดจบ ก็มีรายงานมาว่า นายหลี่จ้านซ่านกับบุตรชาย กำลังรอพบท่านเจ้าอาวาสอยู่ข้างนอก เจ้าอาวาสก็ถูกเต้าเจิ้นคะยั้นค่ะยอให้ออกมาพร้อมกัน เมื่อพบกันต่างก็แสดงความคารวะซึ่งกันและกัน แล้วก็เชิญกันดื่มน้ำชา จ้านซ่านว่า “วันก่อนลูกน้อยล่วงเกินพระคุณเจ้า สมควรได้รับโทษ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอขมา หวังว่าพระคุณเจ้าจะโปรดเมตตาเอ็นดู !” เต้าชิงว่า “นี่เพราะอาตมาภูมิปัญญาน้อย หาความขายหน้ามาเอง คุณชายมีโทษอะไรหรือ” เต้าเจิ้นก็มองมาทางซิ้วหยวน แล้วถามว่า “ผู้นี้คือคุณชายหลี่ ที่ถามว่าจุดญาณอยู่ที่ไหน ใช่หรือไม่” ซิ้วหยวนว่า “ใช่ คือผู้น้อยเอง” เต้าเจิ้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “ถามน่ะง่ายแต่ตอบยากอาตมาก็มีคำถามอยากจะถาม มิทราบว่าคุณชายจะตอบได้ไหม” ซิ้วหยวนว่า “ธรรมสว่างจิตลุปัญญา คำถามคำตอบอันเดียวกัน ไม่มียากง่ายถ้าอาจารย์ภูมิธรรมล้ำลึก ก็โปรดชี้แนะ” เต้าเจิ้นว่า “ขอถามว่า คุณชายมีนามว่าอะไร” ซิ้วหยวนว่า “เป็นคำสามัญซิ้วหยวน(ซิ้วหยวน หมายความว่า “การรักษาจิตเดิม”)” เต้าเจิ้นว่า “ยี่ห้อซิ้วหยวน แต่เกรงจะรักษาพื้นเดิมยาก” ซิ้วหยวนฟังแล้วถามว่า “อยากทราบว่า ท่านมีชื่อพระว่าอะไร” เต้าเจิ้นว่า “อาตมาคือ เต้าเจิ้น(เต้าเจิ้น หมายความว่า “ธรรมอันบริสุทธิ์”) “ซิ้วหยวนกล่าวต่อว่า “นามเต้าเจิ้นยังไม่ตื่นสู่แดนวิสุทธิ์ ธรรมยากจะบรรลุ”

    เต้าเจิ้นเห็นซิ้วหยวนคล่องแคล่ว ปัญญาเฉียบแหลม อดไม่ได้ที่จะยกย่อง กล่าวว่า “ที่แท้คุณชายมิใช่ธรรมดา อาตมาสองคนนี่คงไม่เหมาะที่จะเป็นอาจารย์ท่าน จำเป็นต้องหาอาจารย์รูปอื่น มิควรพลาดบุญสัมพันธ์” จ้านซ่านว่า “ท่านอาจารย์ซิ่งคงตอนจะจากสู่สวรรค์ได้เคยสั่งเสียให้บวชเป็นพระ ต้องให้หาอาจารย์เปี๋ยฟงกับอาจารย์เซี้ยถัง ให้เป็นลูกศิษย์ท่านทั้งสอง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าพระทั้งสองอยู่ที่ใด” เต้าเจิ้นว่า “เมื่อพระอาจารย์พูดเช่นนี้ย่อมมีตัวตน ขอให้ตั้งใจเสาะหา” ทุกคนต่างคุยกันย่างถูกชะตาเต้าชิงก็เลี้ยงอาหารเจ ที่สุดก็อำลาจากกัน

    ฝ่ายซิ้วหยวน เมื่อกลับบ้านแล้วก็เอาแต่ท่องโคลงกลอนอยู่ในห้องสมุด ถึงแม้จะได้ปฏิเสธกับเจ้าอาวาสเต้าชิงแล้ว แต่เรื่องการออกบวชก็ยังฝังใจอยู่ เกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียง เกียรติยศ ไม่เคยใส่ใจไว้เลย เวลาก็ผ่านไปรวดเร็ว ตอนนี้ก็อายุได้สิบแปดปีแล้ว บิดามารดาก็รอคอยให้แต่งงาน โดยไม่คาดคิด คุณนายหลี่ก็ล้มป่วยลงลุกไม่ขึ้น รับประทานยาเท่าไรก็ไร้ผล ไม่กี่วันก็เสียชีวิต ซิ้วหยวนก็จัดงานศพให้อย่างกตัญญูโชคไม่ดีที่งานศพมารดาเพิ่งจะเสร็จสิ้น บิดาก็เสียชีวิตตามไปอีก ซิ้วหยวนโศกเศร้าไม่น้อย จึงไว้ทุกข์ถึงสามปี เพื่อแสดงความกตเวทิตา หลังจากนั้นมาก็ไม่มีอะไรให้ห่วงใยอีก เป็นอิสรเสรี คุณลุงหวังอันซื้อก็ขอให้เขาแต่งงาน เขาก็บอกปัดสิ้น

    เมื่อมีเวลาว่าง ก็ได้แต่เที่ยวสืบหาอาจารย์เปี๋ยฟงกับเซี้ยถังตามวัดต่างๆ แห่งเทียนไถ ถามหามาได้ปีเศษ ก็ได้ข่าวมาว่า ! “ พระอิ้นเปี๋ยฟงอยู่ที่หลินอัน เป็นเจ้าอาวาสวัดจินซาน ส่วนพระ เหยี่ยนเซี้ยถัง เป็นเจ้าอาวาสวัดหลิ่งอิ่น แห่งเขาหู่แย่เมืองซูโจว” เมื่อซิ้วหยวนได้ข่าวแน่ชัดแล้ว ก็แจ้งแก่คุณลุงว่า ต้องการจากบ้านไปหา หวังอันซื้อว่า “ว่าตามเหตุผล การออกบวชใช่จะดีงาม แต่เท่าที่สังเกตดูเธอมา เหมือนมีความสัมพันธ์กับธรณีสงฆ์ แต่เจ้าก็มีทรัพย์สินมากมายแต่ไม่มีพี่น้อง แล้วจะให้ใครดูแล” ซิ้วหยวนว่า “หลานจากไปครั้งนี้ กายยังไม่ห่วงใย แล้วนับประสาอะไรกับทรัพย์สมบัติ ทั้งหมดขอให้พี่หวังฉวนดูแลก็แล้วกัน” ดังนั้น จึงเลือกเอาวันที่ 12 เดือนยี่ออกเดินทาง ส่วนหวังอันซื้อเมื่อหมดปัญญาจะรั้งไว้ได้ ก็ได้แต่กระเตรียมข้าวของเสื้อผ้า หวังฉวนก็ได้มาส่ง ซิ้วหยวนพร้อมกับคนรับใช้สองคน ได้นำเงินติดตัวไปบ้าง หลังจากอำลาญาติทั้งสองคือลุงหวังอันซื้อกับหวังฉวนแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่เฉียนถัง
    ไม่กี่วันก็ข้ามแม่น้ำเฉียนถัง พอขึ้นฝั่งก็เข้าเมือง เดินมาถึงสะพานซินเก็ง พักแรมที่โรงแรมหนึ่งคืน พอรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้า ก็พาบ่าวรับใช้เที่ยวกันทั่วเมือง มีผู้คนหนาแน่นนับว่าเป็นที่ที่สวยงาม ทิวทัศน์ช่างงดงามนัก เที่ยวยังไม่จุใจ เลยเที่ยวจนมืดค่ำจึงได้กลับที่พัก ถามเจ้าของที่พักว่า “ได้ยินว่ามีวัดหลิงอิ่น มิทราบว่าอยู่ที่ไหน” เจ้าของที่พักว่า “วัดนี้อยู่บนยอดเนินเฟ่ยไหลฟงแห่งเขาซีซาน เป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง” ซิ้วหยวนว่า “ก็เป็นวัดพุทธ แต่ทำไมจึงมีชื่อเสียง” เจ้าของที่พักตอบว่า “คุณชายไม่รู้อะไร ในสมัยราชวงศ์ถัง มีบัณฑิตผู้หนึ่งนามว่าซ่งจือเวิ้น ได้แต่งกลอนไว้ที่วัดนี้ กลอนว่า “จันทร์กลางเดือนแปดฉาย นภาพรั่งพรายลายเมฆา” กลอนบทนี้มีชื่อเสียงมาก เลยทำให้วัดนี้มีชื่อเสียงไปด้วย ซิ้วหยวนว่า จะไปวัดนี้ ต้องไปทางไหน” เจ้าของที่พักตอบว่า “พอออกจากประตูเมือง ก็จะถึงทะเลสาบซีหู ผ่านเจดีย์เป่าสู้ เดินเลียบไปตามเขาไป่ยซานทางทิศตะวันตก ก็จะถึงเย่เฝิน จากเย่เฝินเดินเลียบไปทางทิศใต้ก็จะถึงวัดหลิงอิ่น ด้านหน้าของวัดมีถ้ำพุทธะ มีศาลาน้ำเย็น มีถ้ำเรียกลิง ภูเขาสวย ธารน้ำใส ทิวทัศน์งามตามาก คุณชายไปเที่ยวพรุ่งนี้ก็จะเห็นเอง” ซิ้วหยวนว่า “ที่เถ้าแก่พูดมาทั้งหมดล้วนมีแต่ภูเขาลำธาร แต่ก็ไม่รู้ที่วัดนี้มีหลวงพ่อที่เก่งบ้างไหม” เจ้าของที่พักว่า “ในวัดมีพระเณรตั้งห้าร้อยรูป แต่ก็ไม่ได้ยินว่ามีหลวงพ่อเก่ง แต่ปีกลายเจ้าอาวาสมรณภาพไป ตอนนี้ได้เชิญเจ้าอาวาสองค์ใหม่มาจากกูซูหูเย่ซาน มีชื่อว่าเหยี่ยนเซี้ยถัง ได้ยินมาว่า มีความสามารถหยั่งรู่อดีตและอนาคต ก็นับว่าเป็นหลวงพ่อที่เก่งสามารถ” ซิ้วหยวนฟังแล้วรู้สึกดีใจ สงบเงียบตลอดคืน

    พอวันรุ่งขึ้น ก็ยังคงแต่งกายอย่างบัณฑิต เดินทางพร้อมผู้ติดตามผ่านประตูเฉียนถัง ตอนนี้เป็นอากาศเดือนสาม ลมก็นุ่มแดดก็อ่อน ทิวทัศน์รอบ ๆ ทะเลสาบช่างงดงามแปลกตา ซิ้วหยวนพูดกับบ่าวว่า “ได้ฟังมาว่า ทิวทัศน์แห่งซีหูมีความงมงามหลายด้าน ข้าฯ เพิ่งจะได้เห็นวันนี้เอง” พอขึ้นฝั่งทะเลสาบซีหูทางทิศเหนือ ก็มาถึงวัดเจาชิ่ง บนบัลลังก์มีพระรูปเจ้าแม่กวนอิม ในรูปอวตารพันหัตถ์ เกิดจิตสัมผัสจึงเอ่ยเป็นกลอนว่า

    หัตถ์หนึ่งไหวพันกรเคลื่อน
    เนตรหนึ่งเลื่อนพันนัยนาเผย
    นามกวนอิมสุขเพลินเอย
    ไฉนเลยอวตารหลากหลาย

    จากนั้นก็มุ่งไปสู่ป่ายซาน ก็มาถึงวัดต้าฝ่อ พอเข้าวัดก็เห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่องค์หนึ่งเพียงครึ่งองค์ จึงกล่าวสรรเสริญว่า

    หลังอิงหินผา พักตร์ดั่งจันทร์เพ็ญ
    สิ้นฟ้าดินคน ได้เพียงครึ่งเดียว

    กล่าวจบก็เดินเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก ก็มาถึงเย่เฝิน ก็กล่าวอีกว่าโฉลกหนึ่งว่า

    คืนหนึ่ง ณ ศาลาคลื่นลม เหลืออาลัยอนุสรณ์เจ้าเย่เฟย(1)
    บุพชนมิกล้าหลงลืมเลือน เพื่ออนุชนรุ่นหลังจดจำ

    (1) (เจ้าเย่เฟย เป็นขุนนางตงฉินที่ภักดีต่อฮ่องเต้ แต่ก็ถูกประหารโดยการยุแหย่ของขุนนางกังฉินฉินไค่ว จึงสร้างรูปปั้นเหล็กหล่อไว้ เพื่อให้ผู้คนคอยทุบตีให้หายแค้น)

    ได้เห็นรูปหล่อด้วยเหล็กของฉินไคว่และภรรยาหวังสี คุกเข่าอยู่หน้าสุสานเจ้าเย่เฟยให้ชาวบ้านได้ทุบตี จึงกล่าวอีกโฉลกว่า

    ความโกรธแค้นไม่สิ้นสุด รูปเหล็กหล่อขุนนางกังฉิน

    ทุบตีเท่าไรก็ไม่เจ็บปวด ผู้คนอาศัยสิ่งนี้คลายแค้น

    กล่าวจบก็เดินไปทางทิศใต้ ชั่วครู่ก็มาถึงเชิงเขาเฟ่ยไล้ฟง มาถึงศาลาน้ำเย็นเห็นทิวทัศน์งดงามสงบ ตรึงใจให้ชุ่มชื้น จึงนั่งพักสักครู่ยังมิทันจะเข้าวัด ขณะที่เพลิดเพลินกับธรรมชาติอยู่ พลันก็แลเห็นพระสงฆ์หลายรูป กำลังเดินตามพระชรารูปหนึ่งเพื่อเข้าวัด ซิ้วหยวนจึงรีบกระวีกระวาดเข้าไปหาพระรูปท้ายแถว แสดงคารวะแล้วถามว่า “ ขอถามพระคุณเจ้า พระผู้ใหญ่ที่เพิ่งเข้าไปนั้น มีชื่อว่าอะไร” พระรูปนั้นคารวะตอบแล้วกล่าวว่า “ท่านเป็นเจ้าอาวาสที่วัดนี้ นามว่าเหยี่ยนเซี้ยถัง คุณชายถามทำไมหรือ” ซิ้วหยวนตอบว่า “ผู้น้อยได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้ว อยากจะเข้าพบท่านสักหน่อย มิทราบว่าพระคุณเจ้าจะพาเข้าพบได้หรือไม่” พระรูปนั้นตอบว่า “ท่านเจ้าอาวาสท่านใจคอกว้างขวาง ท่านต้อนรับทุกคนหากคุณชายต้องการพบ ก็เดินเข้ามาด้วยกันสิ” ซิ้วหยวนดีใจมาก จึงเดินตามพระรูปนั้นเข้าไป เมื่อมาถึงห้องเจ้าอาวาส พระรูปนั้นได้เข้าไปรายงานท่านเจ้าอาวาสก่อน แล้วจึงเชิญซิ้วหยวนเข้าไปข้างใน เมื่อซิ้วหยวนได้พบท่านเจ้าอาวาส ก็ทรุดตัวลงกราบ เจ้าอาวาสจึงถามว่า “บัณฑิตมีนามว่ากระไร มาที่นี่มีจุดประสงค์อันใด” ซิ้วหยวนตอบว่า “ศิษย์มาจากเขาเทียนไถ อยู่ไม่ไกลแค่พันลี้ มีชื่อว่าหลี่ซิ้วหยวนเป็นกำพร้าบิดามารดาไม่อยากครองเพศฆราวาส ต้องการออกบวช ต้องการพบท่านอาจารย์มานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนตำบลใด จึงหมกมุ่นอยู่กับโลกีย์เสียนานจนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์อยู่ที่นี่ จึงได้ชำระล้างจิตใจ มากราบท่านที่นี่ หวังว่าท่านอาจารย์จะเมตตาได้โปรดรับไว้” เจ้าอาวาสว่า “คุณชายไม่รู้จักคำว่าออกบวช จะทำเป็นพูดพล่อย ๆ ได้อย่างไร ไม่เคยได้ยินคำว่าออกบวชนั่นง่าย แต่ทำสมาธินั้นยากหรือ ต้องคิดทบทวนให้รอบคอบก่อนนะ ซิ้วหยวนตอบว่า “ผู้น้อยมีจิตมั่นคง มีอะไรที่ยากหรือ” เจ้าอาวาสกล่าวว่า “เจ้ามาไกลถึงเทียนไถซาน ที่นั่นมีวัดถึงสามร้อยกว่าแห่ง ทำไมไม่บวชพระที่นั่น กลับมาหาที่ไกลให้ลำบาก” ซิ้วหยวนตอบว่า “ศิษย์ได้รับคำสั่ง จากท่านอาจารย์ซิ่งคงวัดกั๋วชิง ตอนที่ฌาปนกิจศพท่านนั้นเหนือเปลวไฟปรากฏร่างท่านเจ้าอาวาส ได้สั่งเสียกับคุณพ่อกระผมว่าต้องให้มากราบท่านเป็นอาจารย์ ดังนั้น ผู้น้อยจึงระลึกไว้เสมอ เลยต้องเดินทางมาไกล เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งเสียของท่านซิ่งคง” เจ้าอาวาสตอบว่า “หากเป็นเช่นนี้ เจ้าออกไปก่อน” แล้วสั่งให้จุดธูปเทียน จัดแจงขึ้นนั่งบนโต๊ะเข้าสมาธิต่อไป

    ภายหลังออกจากสมาธิแล้ว กล่าวว่า “เจริญพร ! เจริญพร ! เป็นบุญสัมพันธ์ที่เป็นไปตามนี้” ขณะที่เจ้าอาวาสเรียกให้ซิ้วหยวนออกไปก่อนนั้น เขามิได้ออกไปเลย คงยืนอยู่แถวนั้น เมื่อเจ้าอาวาสลืมตาขึ้นก็มองเห็นจึงเอ่ยปากถามว่า “คนที่ยืนอยู่ด้วยหลังของเจ้าเป็นใคร” ซิ้วหยวนตอบว่า “เป็นบ่าวที่ติดตามมาจากบ้าน” เจ้าอาวาสกล่าวว่า “ถ้าคุณชายจะออกบวช เขาก็จะบวชกับท่านไม่ได้ รีบ ๆ ให้เขากลับไป” ซิ้วหยวนรับคำจึงสั่งบ่าวให้นำตั๋วแลกเงินถวายแก่เจ้าอาวาสเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบวชพระครั้งนี้ ที่เหลือก็ให้แก่บ่าวเป็นค่าเดินทางกลับบ้าน บ่าวรับใช้กล่าวว่า “เมื่อคุณชายอยู่บ้าน ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ มีเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างดีบ่าวใช้มากหน้าหลายตา ในตอนนี้ก็เหลือเพียงบ่าวแค่สองคนคอยรับใช้ซึ่งก็วังเวงหงอยเหงา หากเราสองคนกลับไป คุณชายอยู่คนเดียว เงินทองก็ไม่เหลือสักอีแปะ จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร คิดว่าให้เราสองคนอยู่รับใช้จะดีกว่า” ซิ้วหยวนตอบว่า “เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน การบวชเป็นพระต้องโดดเดี่ยวดุจนกกระเรียนกำพร้า มิอาจมีเพื่อนอยู่ด้วยเจ้าสองคนกลับไปพร้อมกัน ไปรายงานคุณลุงที่บ้านว่า ข้าได้บวชพระอยู่ที่วัดหลิงอิ่นแห่งเมือง ซิ้วหยวนก็ไม่ยินยอม ในที่สุดทั้งสองก็จนใจ ร้องไห้กลับไปโดยไม่พูดจา

    ฝ่ายเจ้าอาวาสเหยี่ยนเซี้ยถัง ภายหลังจากได้เข้าฌานดูแล้ว จึงรู้ว่าซิ้วหยวนเป็นอรหันต์ จุติจากนิพพานมาเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อเป็นคนเพี้ยนชอบเล่นพิเรนทร์ ดังนั้นจึงไม่ปฏิเสธการขอบวชในครั้งนี้ จึงได้เลือกวันที่เหมาะสมให้การอุปัชฌาย์ มีการชุมนุมเหล่าพุทธสาวก ตีระฆัง จุดรูปถวายเทียนและดอกไม้เป็นพุทธบูชา แล้วมีคำสั่งให้นำนายซิ้วหยวนเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าท่านเจ้าอาวาส แล้วถามว่า “เจ้าต้องการออกบวช จะได้อานิสงค์ยิ่งใหญ่ หากแต่ว่าการออกบวชนั่นง่าย แต่การจะกลับไปสู่สามัญชนนั้นยาก(พุทธศาสนามหายานฝ่ายเหนือ ผู้ที่บวชแล้วจะไม่สามารถลาสิกขาบทได้เหมือนฝ่ายเถรวาท ดังนั้น ผู้จะขอบวชจะต้องใคร่ครวญอย่างหนัก) เจ้ารู้แล้วใช่ไหม” ซิ้วหยวนตอบว่า การออกบวชเป็นความสุขของจิต เป็นความอิ่มเอิบใจ มิใช่เป็นการฝืน คงไม่มีเหตุผลใดที่จะสึกสู่สามัญชน ขออาจารย์โปรดได้อุปัชฌาย์ให้เถิด” เจ้าอาวาสตอบ “หากเป็นเช่นนี้ ก็ให้แยกผมออกเป็นห้าปอย ถักเป็นมวยผมห้ากลุ่ม” แล้วชี้ที่มวยผม และพูดว่า “มวยทั้งห้านั้น ข้างหน้าคือสวรรค์ ด้านหลังคือนรก บิดาอยู่เบื้องซ้าย มารดาอยู่เบื้องขวา ตรงกลางคือชีวิตตนเอง วันนี้จะโกนทิ้งไปทั้งหมด เจ้าต้องเข้าใจ” ซิ้วหยวนตอบว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่แนะนำ ศิษย์เข้าใจความหมายแล้ว” เจ้าอาวาสฟังแล้ว ก็ใช้มีดทองค่อย ๆ โกนให้ เมื่อโกนหมดแล้ว ก็ใช้มือลูบบนกลางกระหม่อม เพื่อถ่ายทอดวิชาให้ แล้วกล่าวว่า

    พุทธธรรมแม้จะว่าง แต่ไม่ไร้ความจริง

    จุดหนึ่งเพื่อบุญกุศล เพียงพูดก็กำไร

    ก็บรรลุอนุตรธรรม เหตุไฉนยังเล่น ๆ

    ความสำคัญของธรรมะ คือปัญญา

    ศีลของสงฆ์ คือ สุรา นารี สมบัติ และอารมณ์

    เรื่องมาก เพราะยึดติดในความโง่เขลา

    ถ้าไม่หวังอะไร ก็เสียหาย

    อย่าเสียหายก็อย่าโง่ ขอตั้งชื่อให้ว่า “เต้าจี้”

    เมื่อเจ้าอาวาสกล่าวจบ ก็สั่งเต้าจี้ว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าคือพุทธบุตรต้องเฝ้าระมัดระวังศีล” เต้าจี้กล่าวว่า “ต้องเริ่มต้นจากอะไร” เจ้าอาวาสตอบ “ไปนั่งสมาธิก่อน” เต้าจี้กล่าว “ศิษย์ได้ยินว่า พุทธธรรมกว้างขวางนักเพียงแค่ทำสมาธิเท่านั้นหรือ” เจ้าอาวาสก็ตอบว่า “ไม่เพียงเท่านี้ แต่ควรรู้เท่านี้ก่อน” (หมายความว่า ไม่ใช่มีแต่เพียงเท่านี้ แต่ต้องการให้เจ้ารู้เท่านี้ก่อน) แล้วก็สั่งให้พระผู้ดูแลวัดพาเต้าจี้ไปยังห้องหวินถัง เต้าจี้มิกล้าจะกล่าวต่อ ได้แต่เดินตามพระผู้ดูแลวัดไปยังห้องหวินถัง การออกบวชของซิ้วหยวนแบบนี้ เท่ากับเป็นการรับคำสั่ง ในสามพันโลกธาตุล้วนเต็มไปด้วยสุราและมังสา เต้าจี้จะลำบากแค่ไหน ที่ต้องอดทนต่ออารมณ์อันแค้นเคือง เต้าจี้จะนั่งสมาธิอย่างไร

    โปรดติดตามตอนต่อไป
     
  4. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    สาธุๆๆๆ ขอรับ
     
  5. NuchabaGreenmonkeys

    NuchabaGreenmonkeys สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +132
    ขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับเรื่องเล่าที่นำมาแบ่งปันค่ะ
    สนุกมาก....อ่านเพลิน
    ติดตามต่อไปค่ะ
     
  6. mrmos

    mrmos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,191
    ค่าพลัง:
    +1,095
  7. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    เล่าขานตำนานพระอรหันต์จี้กง ตอน ทุกข์ทรมานนั่งไม่สำคัญ บรรลุแจ้งแสร้งทำเพี้ยน
    23621961_529337160756068_9052952786457454910_n.jpg
    เต้าจี้เดินตามพระผู้ดูแลวัดมาถึงห้องหวินถัง ภายในห้อง ทั้งซ้ายขวามีโต๊ะสำหรับขึ้นนั่งทำสมาธิเรียงรายเต็มห้อง มีพระนั่งเต็มไปหมด พระผู้ดูแลวัดก็ชี้ไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่ยังว่างอยู่ แล้วว่า “เต้าจี้! ที่นี่ไม่มีใครนั่ง เธอนั่งที่นี่ได้” เต้าจี้จึงขึ้นนั่งบนโต๊ะตัวนั้น แต่ก็ไม่รู้จะนั่งอย่างไร จึงถามผู้ดูแลวัดว่า “ผมเพิ่งจะเข้ามา จึงไม่รู้ว่าจะนั่งอย่างไร ขอท่านพี่ช่วยสอนด้วย” พระผู้ดูแลวัดว่า “ถ้าเธอไม่รู้ฉันก็จะแนะนำให้ เธอจงฟังดังนี้”

    “ไม่ลุกขึ้นและก็ไม่นอน เอวตรงหลังตั้ง ขอขัดสมาธิไว้ ไหล่ตั้งตรง ไม่ห่อไปข้างหน้าคิ้วแบะตาลดต่ำลง มือทั้งสองผสานรองรับกันกระปรี้กระเปร่าคล่องตัว ใจสงบเป็นสุข ลมปราณภายในปากไหลเข้าไม่คายออก ลมหายใจในจมูกหยุดแล้วผ่อนต่อ คงความสะอาด ละความสับสนทั้งปวง อย่าให้เกิดความเกียจคร้าน จะได้ไม่เกิดผิดพลาด ถ้าไม่ขันหลักการทั้งหมดนี้ จึงจะนับว่าเป็นการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง

    ฟ้าสางแล้ว เต้าจี้จึงลุกขึ้น มือก็ลูบคลำหัวไป มันปูดขึ้นมาตั้ง 7 – 8 แห่ง พลางร้องว่า “ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ เพิ่งจะนั่งแค่หนึ่งคืน เช้าขึ้นก็หัวโนเต็มหัวแล้ว หากนั่งไปอีกหลายคืน ไอ้หัวนี้จะมีที่ให้ปูดอีกหรือ ทุกข์เสียจริง ๆ!” เป็นเพราะได้ย่างเข้าสู่ธรณีสงฆ์แล้ว จะถอยคืนกลับก็ไม่ได้ ต้องทนต่อไปทนต่อไปอีกสองเดือน สมาธินี่ช่างทุกข์เสียจริง รสชาติสักนิดก็ไม่มี คิดแล้วก็พูดว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อหวังบรรลุจิต แต่ตอนนี้ได้แต่นั่งเหมือนคนหูหนวกตาบอด เหมือนตอไม้ เมื่อก่อนอยู่บ้าน เหล้ายาปลาปิ้งหอมหวนน่ากิน ใช่เท่าไรก็ไม่หมด พอมาที่นี่ แค่ข้าวกับผักกาดดอง จะกินเพิ่มขึ้นสักครึ่งชามก็ไม่ได้ แล้วจะทนได้อีกสักกี่วัน คงจะต้องขอลาเจ้าอาวาสกลับไปเป็นปุถุชน จะได้ไม่ต้องทนทุกข์อยู่ที่นี่อีก” พอตั้งใจได้เช่นนั้น จึงกระโดดลงจากโต๊ะนั่งสมาธิ วิ่งออกไปข้างนอกที่หน้าประตู พระผู้ดูแลวัดก็เรียกให้หยุด “เธอเพิ่งไปห้องน้ำมา จะออกไปไหนอีก” เต้าจี้ว่า “นักโทษในเรือนจำ ก็ยังต้องปล่อยให้พักให้ว่างบ้าง แต่นี่เป็นแค่ห้องสมาธิ ทำไมจึงคุมกันแน่นหนาอย่างนี้” ผู้ดูแลจนปัญญา จึงพูดว่า “เธอจะไปก็ไป แล้วให้รีบกลับมา” เต้าจี้ไม่ว่ากระไร ออกจากห้องหวินถัง ก็ตรงไปยังห้องเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสกำลังอยู่ในฌาน ทราบเรื่องก่อนล่วงหน้าจึงถอนออกจากฌาน แล้วเดินออกมาข้างนอก ก็พบเต้าจี้ยืนอยู่ตรงหน้า จึงถามเต้าจี้ไปว่า “มาทำไมที่นี่ ไม่ไปนั่งทำสมาธิ” เต้าจี้ตอบว่า “เรียนท่านอาจารย์ศิษย์ไม่สันทัดกับการนั่งสมาธิ ขอให้อาจารย์ปล่อยผมไปเถอะ” เจ้าอาวาสว่า “ครั้งก่อนข้าได้พูดแล้วใช่ไหม การออกบวชนะง่าย แต่การคืนกลับสู่สามัญชนอีก การนั่งสมาธิเป็นก้าวแรกของสงฆ์ ทำไมจึงไม่คุ้นเคยล่ะ” เต้าจี้ว่า “อาจารย์พูดแต่ผลของสมาธิ แต่ไม่พูดถึงทุกข์ของสมาธิ” ขอให้ศิษย์ได้พูดให้ฟังบ้าง

    การนั่งสมาธิก็เพื่อต้องการให้จิตแจ้ง แต่ตอนนี้สับสนวุ่นวาย จิตยังไม่แจ้ง ความสงบทำให้เห็นจิต แต่ทุกวันนี้มืด ๆ มัว ๆ ยิ่งไม่เห็นจิต เวลานอนไม่ได้นอน บังคับจนหลังจะหักเอวจะคด เวลายืนก็ไม่ให้ยืน บังคับจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ตกค่ำลงเข่างอจนยืดไม่ออก พอยิ่งดึกหนังตาก็หย่อนยกไม่ขึ้น ไม่เอียงไม่ตะแคง แข็งทื่อดั่งตอไม้ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ร่างกายเหมือนถูกจองจำพอพลัดตกลงมาหน้าปูดหัวโน ตะกายขึ้นมาได้มือไม้ก็สับสน ทรมานจนจาระไนไม่ถูก ผู้ดูแลก็เพิ่มไม้ตีลงไปอีก บารมีพุทธกว้างใหญ่ ขออาจารย์โปรดช่วยชีวิตศิษย์ด้วย

    เจ้าอาวาสหัวเราะว่า “เจ้าพูดเสียจนการนั่งสมาธินั้นดูทุกข์หนักนี่มิใช่เพราะนั่งสมาธิไม่ดี แต่เพราะเจ้ายังไม่รู้รสแห่งสมาธิ รีบไปนั่งใหม่ นั่งจนกว่าจะรู้ในรสของสมาธิ เพราะที่ผ่านมา นั่งไม่ถูกวิธี ข้าจะสั่งให้ผู้ดูแลอย่าตีเจ้าอีก เจ้าจะว่าอย่างไร” เต้าจี้ว่า “ถูกตีนั้นไม่สู้กระไร แต่ไม่เจอะเหล้าเจอะเนื้อเลยซิ ทนไม่ได้ ศิษย์คิดว่าพุทธวิธีมากมาย แต่ละวิธีขึ้นกับคนที่ยึดถือ ผมอยากพูดสักคำสองคำ มันเป็นความงี่เหง้าของผมเอง อาจารย์โปรดพิจารณาด้วย เจ้าอาวาสว่า “เจ้ามีธรรมอะไรว่ามาให้ฟังหน่อย” เต้าจี้ว่า “ไม่ใช่ว่าศิษย์มีความโลภอยากจะกินหรอกเนื้อเพียงแค่ชิ้นสองชิ้นพระคงไม่ว่ากระไร เหล้าเพียงจอกสองจอก พระคงไม่สนใจ ไม่ทราบว่าถูกผิดประการใด” เจ้าอาวาสว่า “พระไม่ว่าและก็ไม่สนใจเจ้าหรอก แต่มันเป็นความละอายใจตนเอง กายนี้มีกำหนด จิตไม่มีกำหนด จึงไม่ควรที่จะเสียความตั้งใจ” เต้าจี้ก็เลยไม่กล้าพูดต่อ ก็พอดีถึงเวลาอาหาร หอระฆังก็ตีระฆังส่งสัญญาณ ลูกศิษย์ก็นำสำรับข้าวเข้ามาถวายเจ้าอาวาสจึงเรียกให้เต้าจี้ร่วมฉันด้วยกัน เต้าจี้เหลือบเห็นภายในชามของท่านเจ้าอาวาสมีเพียงผักการดอกและหมี่กึง(หมี่กึง เป็นอาหารที่ทำมาจากแป้งหมี่) ไม่มีอาหารอะไรที่พิเศษน่ากินเลย จึงกล่าวคำสรรเสริญขึ้นมาว่า

    ผักกาดดองชิ้นน้อย ในชามจ้อยเจ้าอาวาส

    ทั้งเค็มทั้งเปรี้ยวฝาด อริยเจ้าบำเพ็ญมา

    ดับความเกิดถวาย แด่องค์พระศาสดา

    ยามเกิดแล้วศรัทธา ในชามข้าวว่างเปล่าเอย

    เจ้าอาวาสได้ยินแล้วว่า “เจริญพร!เจริญพร! เจ้าก็รู้ธรรมแบบนี้ดีแล้วจะคิดอะไรอีก” เต้าจี้ว่า “พูดแบบไม่ปิดบัง รู้ก็รู้อยู่หรอก หากแต่ว่าทนไม่ไหว” เจ้าอาวาสจึงว่า เจ้ามานานเท่าไร นั่งสมาธิมามากน้อยแค่ไหนมีความแจ่มแจ้งแล้วขนาดไหน จึงมีความร้อนรนขนาดนี้ เจ้าจะฟังนะ

    จันทร์กระจ่างลมชื่น ราตรีรื่นรมย์ไฉน

    ในความเงียบคิดไหว จิตคลาดเคลื่อนเลื่อนแปรไป

    ยอดเขาหิมะปก หญ้าคารกเหนือเข่าไซร้

    ฝนทั่งเป็นเข็มให้ เวลาพิสูจน์ความทน

    เต้าจี้ฟังแล้วว่า “ศิษย์ยังอ่อนหัด พละกำลังยังไม่กล้าแข็ง แต่ก็มิกล้าที่จะท้อแท้ แต่ทว่า ตั้งแต่ศิษย์ได้เข้าบวช ยังไม่เคยได้รับคำสั่งสอนจากท่านอาจารย์เลยสักครั้งเดียว ทำให้ศิษย์จมปลักอยู่ในความมืดมน เหมือนจะเจตนาให้ถูกสับ!” เจ้าอาวาสว่า “นี่เป็นเพราะจ้ามาอย่างอาจหาญ แต่ใจค่อนข้างจะร้อนรนไป เอาเถอะ!เอาเถอะ! เข้ามาใกล้ ๆ ข้าหน่อย” เต้าจี้คิดว่าท่านเจ้าอาวาสจะมีคำพูดอะไรสั่งสอนเป็นพิเศษ จึงรีบกุลีกุจอเข้าไปโดยไม่ทันรู้ตัว ฝ่ามือของเจ้าอาวาสก็ฟาดเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้า ถึงกลับหงายผึ่งพร้อมกับสำทับว่า “ตนเอง(ตนเอง หมายถึงจิตวิญญาณเดิม) มาจากไหนก็ยังไม่รู้ ยังจะมาหาเอาจากข้าต้องตีให้รู้ถึงจิต” ส่วนเต้าจี้ล้มลงกระแทกพื้น เบิ่งตามองจ้องเขม็ง ผงกศีรษะขึ้นลงสองสามครั้ง ทันใดนั้นก็ถลันลุกขึ้น โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เอาศีรษะกระแทกที่หน้าอกเจ้าอาวาส จนท่านเจ้าอาวาสตกลงมาจากโต๊ะแล้วก็พุ่งทะยานออกจากห้องไป เจ้าอาวาส ร้องตะโกน ขโมย!ขโมย! พระลูกวัดเมื่อได้ยินเสียงร้องเช่นนั้น ก็พากันวิ่งเข้ามาสอบถามว่า “ขโมยอยู่ที่ไหน มันขโมยเอาอะไรไปบ้าง” เจ้าอาวาสว่า “ไม่ใช่เป็นเงินทองหรือทรัพย์สิน แต่มันขโมยรัตนอันมีค่าของสมาธิไป” พระลูกวัดถามว่า “เอารัตนอันมีค่าอะไรไป มันเป็นใคร” เจ้าอาวาสว่า “ข้าเห็นกับตาของข้าเอง ไม่ใช่ใครมันคือเต้าจี้” พระลูกวัดว่า “อ๋อ เต้าจี้เอง มันหลบอยู่ที่ไหนเดี๋ยวจะจับมันมาให้ท่านทวงคืน” เจ้าอาวาสว่า “พอแค่นี้ก่อน ให้ข้าทวงจากเขาเองในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พระลูกวัดต่างก็ไม่เข้าใจในความหมายทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับไป

    อันเนื่องจากเต้าจี้ถูกเจ้าอาวาสตีเพื่อเป็นการปลุกให้ตื่น ให้รู้ถึงอดีตชาติปางก่อน จึงสามารถละความเป็นปุถุชน ก้าวเข้าสู่ความเป็นอริยะ นับแต่ออกจากห้องเจ้าอาวาสมา ก็เข้าไปยังห้องหวินถัง พลางร้องว่า ”แยบยล!แยบยล! การนั่งสมาธิก็มีดีเช่นนี้เอง!” จึงเที่ยวเอาหัวกระแทกใส่พวกพระที่นั่งสมาธิอยู่ พลางพูดว่า “นั่งสมาธิแบบนี้ไม่ถูก” พวกพระต่างงุนงงพูดว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน” เต้าจี้ว่า “นั่งจนทนไม่ไหว นั่งไปทำไม” พลางก็เอาหัวไปกระแทกพระอีกรูปหนึ่งแล้วว่า “นั่งสมาธิแบบนี้ไม่แยบยล” พระรูปนั้นจึงมีอารมณ์พูดขึ้นมาว่า “นี่มันมีเหตุผลอะไร” เต้าจี้ก็ว่า “นั่งจนเบื่อหน่าย เล่นสนุกเสียบ้างเป็นไร” เหล่าพระภิกษุในห้องต่างเห็นการกระทำของเต้าจี้เช่นนี้ ต่างก็ว่าเต้าจี้เพี้ยนเสียแล้ว เต้าจี้หัวเราะว่า “ข้าพเจ้ามันไม่เพี้ยนหรอก กลัวว่าพวกท่านซิจะเพี้ยน” เต้าจี้ก็ไม่ยอมหยุดความวุ่นวายเพียงเท่านั้น ยังทำให้อึกทึกไปตลอดคืน ผู้ดูแลวัดไม่สามารถจะควบคุมอยู่ จนกระทั้งวันรุ่งขึ้น พวกพระต่างก็นัดกับเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละสามถึงห้าคน ต่างเข้าไปเล่าให้เจ้าอาวาสฟัง เจ้าอาวาสคิดในใจว่า “ตอนที่เต้าจี้มาหามีความทุกข์ร้อนมากมาย ถูกเราชี้แนะไปบ้าง จึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาฉับพลัน ทำให้ทะลุปรุโปร่งถึงฟ้าปางก่อน(ฟ้าปางก่อน หมายถึง สภาวจิตที่มีอยู่ก่อนเกิดจักรวาล) ดังนั้นจึงเที่ยวล้อเล่นเพื่อเผยความแยบยล หากไม่เป็นเช่นนี้เขาจะสดใส กระฉับกระเฉงเช่นนี้หรือ ข้าคงต้องไปดูสักหน่อย จะได้รู้เรื่องตลอด” ดังนั้น จึงมีคำสั่งให้คนไปตีระฆังเพื่อชุมนุมพระสงฆ์ทั้งหมด เจ้าอาวาสขึ้นนั่งบนธรรมาสน์หลังจากสวดคาถาวิสุทธิภูมิหนึ่งจบ แล้วก็กล่าวกับที่ชุมนุมว่า

    ดวงจันทร์แจ่มนภา กลางเวหาเด่นสกาว

    ดวงประทีปส่งพราว มีผู้จุดเมื่อยามสาม

    ฉับพลันดันระลึก นึกถึงเรื่องราวรูปนาม

    มหาสัทธรรมตาม ปราบเรียบแผ่ให้ไพศาล

    เจ้าอาวาสกล่าวต่อว่า “ชีวิตมิใช่มีแต่ในปัจจุบันชาติ หากมีมาแต่อดีตชาติและจะมีต่อไปในอนาคตชาติ อนาคตชาติยังมาไม่ถึง จึงไม่รู้จะมีสภาพเป็นเช่นไร จะยังไม่พูดถึง อดีตชาติได้ผ่านมาแล้ว สภาพเช่นไรทำไมจะรู้ไม่ได้ พวกเจ้าแม้จะมีวิญญาณที่ต่างกัน แต่ก็ไม่มีใครที่ไม่มาจากอดีต ไม่รู้พวกเจ้ามีใครที่มีดวงจิตไม่มืดมัว ยังจดจำหน้าตาที่แท้จริงดั่งเดิมได้บ้าง ทั้งหมดฟังแล้วนิ่งเงียบ ไม่มีใครสามารถตอบได้

    ขณะนั้นเอง เต้าจี้กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ เมื่อได้ยินระฆังตีเรียกประชุมจึงรีบ ๆ ผูกสบงแล้วใส่จีวร วิ่งเข้าสู่ห้องพระ ก็พอดีกับเจ้าอาวาสกำลังถามอยู่ และก็ไม่มีใครตอบได้เต้าจี้ก็เข้ามาคุกเข่าที่หน้าเจ้าอาวาสแล้วว่า “อาจารย์อย่าสงสัยให้มาก ศิษย์นอนอยู่ในความฝัน อาจารย์เมตตาร้องเรียก กระผมเลยนึกถึงเรื่องราวในอดีต” เจ้าอาวาสว่า “ถ้าเจ้าระลึกถึงได้จะบอกให้ที่ชุมนุมรู้ได้ไหม เพื่อเปิดเผยความนัย” เต้าจี้ว่า “การเปิดเผยไม่ยากขอเพียงอาจารย์อย่าหาว่าผมหยาบคาย” ว่าแล้ว เต้าจี้ก็ตีลังกาเอาศีรษะจรดพื้น ยกขาขึ้นข้างบน ทันใดนั้นก็เปิดเผยส่วนที่อยู่ด้านหน้าออกมา ที่ชุมนุมต่างก็เอามือป้องปากหัวเราะ เจ้าอาวาสก็กลับยิ้มแย้ม พลางกล่าวว่า “นี่ช่างเป็นหน่อแห่งพุทธบุตรอันแท้จริง” ว่าแล้วก็ลงจากธรรมาสน์แล้วเดินเข้าห้องจ้าอาวาสไป

    เหล่าพระสงฆ์ที่มาชุมนุมนั้นรู้อะไรหรือ ต่างก็เห็นเต้าจี้ฟั่น ๆ เฟือน ๆ แสดงลามก ท่านเจ้าอาวาสกลับไม่ถือโทษ แถมยังเอ่ยปากสรรเสริญช่างดูไม่ยุติธรรมเสียเลย พระผู้ดูแลวัดและพระกรรมการวัดต่างก็เข้าไปยังห้องเจ้าอาวาส และกราบเรียนเจ้าอาวาสว่า “วัดมีกฎระเบียบ ทุกคนต้องรักษากฎ วันนี้เต้าจี้ทำหยาบคายต่อหน้าพระพุทธรูปทำบ้า ๆ บอ ๆ ต่อหน้าเจ้าอาวาส เป็นการละเมิดกฎแห่งธรณีสงฆ์ วันนี้หากปล่อยปละละเลยเขา ต่อไปภายภาคหน้าจะปกครองกันได้อย่างไร ขออาจารย์อย่านิ่งนอนใจ!” เจ้าอาวาสว่า “ถ้าเช่นนั้น ระเบียนกฎอยู่ไหน” หัวหน้าสงฆ์รีบนำเอาระเบียนกฎถวายให้เจ้าอาวาสดู เจ้าอาวาสรับมาแล้วพูดว่า “การตั้งกฎ ก็สำหรับบุคคลปกติ ไม่สามารถให้กับคนทุกประเภทได้!” จึงเขียนอักษรเพิ่มเติมภายในกฎว่า “ธรรมขันธ์กว้างใหญ่ จะไม่ละเว้นสงฆ์ที่เพี้ยนบ้างหรือ”

    เมื่อเจ้าอาวาสเขียนจบ ก็ส่งคืนให้หัวหน้าสงฆ์ หัวหน้ารับไปแล้วก็ให้ทั้งหมดดูทั่วกันทุกคนต่างกลับออกไปอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครที่ไม่เก็บความไม่พอใจไว้ ตั้งแต่นั้นมา จึงเปลี่ยนชื่อเรียก “เต้าจี้” เป็น “จี้เตียน(เตียน แปลว่า เพี้ยน)” ซึ่งหมายถึง
    น้ำเต้าแบ่งแท้เทียมยาก การเล่นก็ยากที่แบ่งแยกว่าถูกหรือผิด
    ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่รู้จี้เตียนได้สร้างเรื่องราวไว้มากแค่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไป
     
  8. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    เล่าขานตำนานพระอรหันต์จี้กง ตอน อภิญญาร้องเพลงโปรดผู้คน ไม่ยึดติดล้มกระดานสู่นิพพาน
    23722651_530108750678909_2615736113068735078_n.jpg
    จากตอนที่แล้ว กล่าวถึงฝ่ายเต้าจี้ เมื่อตีลังกาเผยถึงความดั้งเดิมให้เห็นพวกนั้นจึงไม่เรียกเต้าจี้อีกแล้ว กลับเรียกเขาว่าจี้เตียน ซึ่งจี้เตียนก็เกิดจากอักษรคำว่า “เตียน” (เพียน) ซึ่งก็เป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง จากนั้นมาไม่ว่าจะเป็นการกิน การนุ่งห่ม หรือแม้แต่การขับถ่าย ก็จะมีความเพี้ยนเจือปนอยู่สักสามส่วนสิบ เมื่อพวกนั้นเห็นเขาเข้าไปรบกวนในห้องนั่งสมาธิต่างก็มาแจ้งให้เจ้าอาวาสทราบ เจ้าอาวาสก็กลับปลอบโยนพวกเขาว่าอย่าไปถือสาหาความเลย จะยิ่งทำให้จี้เตียนได้ใจ ทำให้วิกลจริตมากขึ้นวุ่นไปแทบทุกเรื่อง บางครั้งก็ชักชวนเด็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ขึ้นไปเล่นบนศาลาน้ำเย็น บางทีก็ไปคบกับพวกคอสุราเข้าไปดื่มสุราร้องรำทำเพลง จนไม่ได้หลับไม่ได้นอน หรือนั่งสมาธิให้เห็นเลยสักวัน

    มีอยู่วันหนึ่ง ขณะกำลังจุดธูปถวายเทียนและสวดมนต์ ให้แก่ผู้อุปัฏฐากอยู่ในห้องโถงพระ เจ้าจี้เตียนก็กำลังเมาโซเซเดินเข้ามา ในมือก็ถือเนื้อมาหนึ่งจาน มาหยุดต่อหน้าพระ แล้วก็นั่งลงปากก็ร้องเพลงลูกทุ่งไปพลาง กินเนื้อไปพลาง พระผู้ดูแลวัดทนไม่ไหวจึงร้องออกมาว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และก็มีผู้อุปัฏฐากมาทำพิธีอยู่ที่นี่ เจ้ายังมาทำวิกลจริตอยู่ที่นี่อีก ดูเหมาะสมแล้วหรือ ยังไม่รีบออกไปอีก” จี้เตียนร้องว่า “ปากเหม็นน่า! ข้ากินเนื้อร้องเพลง ดีกว่าที่ท่านอุปัฏฐากจะเลี้ยงพวกหัวโล้นอย่างพวกเจ้าอีก ดีกว่าการสวดมนต์อีก ไม่ไปไล่พวกเขายังจะมาไล่ข้าอีก” เมื่อพระผู้ดูแลวัดพูดไม่ฟังเช่นนี้ เขาก็จะฟ้องเจ้าอาวาส แต่เพราะเจ้าอาวาสคอยปกป้อง ไม่ยอมรับฟัง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงหันมาชวนผู้อุปัฏฐาก ให้ไปหาเจ้าอาวาสด้วยกัน เพื่อเล่ารายละเอียดที่จี้เตียนทำวุ่นวายในหอพระเจ้าอาวาสจึงว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ให้ข้าเรียกเขามาอบรมสักหน่อย” จึงให้คนไปตามจี้เตียนมาหาที่ห้องเจ้าอาวาส แล้วว่า “วันนี้เป็นวันที่ท่านอุปัฏฐากผู้นี้มาทำพิธีเซ่นไหว้ เพื่ออ้อนวอนให้พระคุ้มครองมารดาให้หายจากการเจ็บป่วย เจ้าทำไมไม่เกิดความเมตตา ยังขัดขวางการทำงานของหมู่สงฆ์ มีเหตุผลอันใด” จี้เตียนว่า “พวกภิกษุเหล่านี้รู้แต่กินเจ และขอเงินจากผู้อุปัฏฐากเท่านั้น รู้จักอะไรกับการสร้างบุญก่อกุศล ศิษย์เห็นว่าผู้อุปัฏฐากมีจิตศรัทธา จึงร้องเพลงลูกทุ่ง เพื่ออ้อนวอนให้เขาพ้นเคราะห์แต่หัวโล้นพวกนั้นซิ กลับมาไล่ผม” เจ้าอาวาสว่า “เจ้าร้องเพลงอะไร จึงสามารถคุ้มครองให้โชคลาภได้” จี้เตียนว่า “ศิษย์ร้องเพลงว่า หากเจ้าจำนรรจ์ด้วยจิตจริงใจต่อเรา เราก็จะสะเดาะเคราะห์ให้เจ้าหายจากโรคเก่าในฉับพลัน” เจ้าอาวาสฟังแล้วก็ได้แต่ผงกศีรษะ หมู่สงฆ์กำลังจะพูดต่อ ก็พอดีบ่าวของผู้อุปัฏฐากเดินเข้ามารายงานว่า “คุณนายแม่หายจากเจ็บป่วยแล้ว ลุกขึ้นมานั่งได้ มีคำสั่งให้มาตามท่านกลับไป” ผู้อุปัฏฐากฟังแล้วทั้งตกใจและดีใจ บ่าวกล่าวต่อว่า “คุณนายแม่นอนฝันว่าได้กลิ่นเนื้อหอม ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เหมือนกับไม่มีไข้ปานนั้น จึงลุกขึ้นมานั่ง” ผู้อุปัฏฐากฟังแล้ว มองมายังจี้เตียนว่า “เมื่อทบทวนดูแล้ว นับว่าอาจารย์เป็นองค์พุทธเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ ขอกราบขอบคุณ” พูดยังไม่ทันจบ จี้เตียน ก็ตีลังกาหายวับไปจากห้องเจ้าอาวาส ไม่ทราบว่าไปที่ไหนนั่นคือ

    ธรรมะของผู้แท้ ไม่แผ่เผยซ่อนหลบเร้น
    อภิญญาให้เห็น คราวจำเป็นฟ้าจำแลง
    หน้านิ่วคิ้วขมวด เจ็บปวดบาปกรรมประจักษ์แจ้ง
    แลเห็นคนทำแสร้ง หูตาบอดบอกไม่รู้

    ความครั้งนี้ ถูกเล่าขานต่อ ๆ กันไป จนขุนนางตำหนักที่สิบหกพวกข้าราชการและอำมาตย์ต่างก็ได้ยินกิตติศัพท์เขาและไปมาหาสู่ การกระทำที่ไม่เต็มสติ เอาแต่เที่ยวเล่นสนุกไปวัน พวกที่มีตาปุถุชน ต่างก็มองข้ามไป

    จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าอาวาสนั่งพักผ่อนอยู่ในห้อง เจ้าจี้เตียนก็ถือโคมไฟดวงหนึ่ง พร้อมกับพวกเด็ก ๆ บ้างตีฆ้อง บ้างตีกลอง วิ่งตามจี้เตียน ฝ่ายจี้เตียนก็ร้องรำทำเพลง เต้นไปพลาง แล้วก็เดินเข้าห้องเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสว่า “จี้เตียน! เจ้าทำแต่ไร้สาระ เสียงดังลั่นห้องสำสมาธิไปหมดทำให้ข้าต้องถูกชาวบ้านว่าเอาด้วย เกิดอารมณ์ก็บ่อย ๆ” จี้เตียนว่า “อาจารย์อย่าได้ฟังพวกหัวโล้นเหล่านั้นกล่าวร้อยป้ายสี ทั้งห้องสมาธิก็ยังสะอาดสะอ้านที่ศิษย์ทำอึกทึกวันนี้ ก็เพราะเป็นวันหยวนเซียว(หยวนเซียว เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย ตามประเพณีของจีน จะมีการแห่โคมไฟ) เป็นวันที่นาน ๆ จะมีสักครั้ง จึงถือโอกาสฉลองให้สนุกสนาน ซึ่งก็เป็นวิถีทางอันถูกต้องของมนุษย์ จะไปไหนมาไหนไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับพวกหัวโล้นเหล่านั้นเลย จะมีก็แต่อึกทึกไปหน่อยเท่านั้น ขออาจารย์โปรดพิจารณาด้วย” เจ้าอาวาสว่า “พวกเจ้าจะถูกผิดอย่างไร ข้าก็ควบคุมไม่ถึง แต่วันนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย เห็นทีจะต้องกล่าวอะไรกันสักหน่อย” ว่าแล้วก็สั่งให้ลูกวัดไปตีระฆัง เรียกประชุมสงฆ์ ให้มาจุดธูปยังห้องโถงพระ แล้วท่านเจ้าอาวาสก็ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ แล้วว่า “ทุกคนจงฟัง”

    “กลางเดือนอ้าย ใครเป็นผู้ตัดสิน ทันใดส่งยานถึงทางช้างเผือกที่อึกทึกไร้ผู้คน ที่สงบเฝ้ามองดู เมื่อก่อนมาก็ยังว่างเปล่า ไม่มีฝั่ง ต่างเรียกขาน ไปมาแล้วหยุด ดูว่ากลางเดือนอ้ายปีหน้าจะเป็นอย่างไร”

    เมื่อเจ้าอาวาสกล่าวจบ กำลังจะลงจากธรรมาสน์ จี้เตียนก็ถลับเข้าไปข้างหน้าแล้วว่า “อาจารย์โปรดรอ ศิษย์มีคำพูดจะฝากต่อท้าย”

    “กลางเดือนอ้าย อย่าได้คิด ถ้าคิดจะเกิดเรื่องราว สองปีคิดเป็นหนึ่งปี วิธีหนึ่งคือจะทำอย่างไรกับสองฟากฝั่ง ปีหนึ่งลมฟ้าอากาศดี เกรงว่าปีหน้าจะถึงฝั่ง”

    เจ้าอาวาส สั่งให้ลูกศิษย์บันทึกคำพูดเอาไว้ แล้วจึงลงจากธรรมาสน์ ที่ประชุมสงฆ์ไม่มีใครเข้าใจความหมาย ต่างก็แห่มาถามจี้เตียน จี้เตียนก็ตีลังกาหลบออกไป

    กล่าวคือ ท่านเจ้าอาวาสเป็นผู้มีภูมิปัญญาสูง ย่อมอ่านกริยาและคำพูดของจี้เตียนออกจึงรู้ว่าบาตรและจีวรของตนมีผู้สือต่บแล้ว จึงวางใจ ปล่อยไปตามบุญสัมพันธ์ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอประเดี๋ยวเดียวก็บรรลุอีกหนึ่งขวบปี ถึงกลางเดือนอ้ายพอดี ก็พอดีนายอำเภอเมืองหลินอันมาเยี่ยมภายหลังเชิญเข้าสู่ไองเจ้าอาวาสแล้ว เจ้าอาวาสจึงว่า “นายอำเภออุตส่าห์มาเยี่ยม มิทราบว่ามีกิจอันใด” นายอำเภอว่า “ไม่มีเรื่องอะไร เป็นเพราะว่างจากภารกิจ จึงอยากมาให้อาจารย์ชี้แนะ” เจ้าอาวาสว่า “หากนายอำเภอมีเวลาว่าง ก็ขอเชิญท่านไปนั่งที่ศาลาน้ำเย็น เพื่อเล่นหมากรุกกันสักกระดานดีไหม” นายอำเภอว่า “รู้ตัวว่าพูดไร้สาระ ให้มือช่วยพูดก็ไม่เลวนี่” ทั้งสองจึงจูงมือกันไปนั่งบนศาลาน้ำเย็น วางหมากบนกระดาน แยกหมากขาวหมากดำ เล่นยังไม่ทันจบกระดาน ก็มีลูกศิษย์เข้ามารายงานว่า “เจ้าอาวาสจากวัดต่าง ๆ เดินทางมาถึงแล้ว” รายงานยังไม่ทันจบก็มีลูกศิษย์เข้ามารายงานอีกว่า “ขุนนางและข้าราชการจากตำหนังสิบหกมากันพร้อมแล้ว” เจ้าอาวาสตกใจ ถามขึ้นว่า ทำไมประชาชน จึงพากันมาในวันนี้” ศิษย์รับใช้กล่าวว่า “คิดว่าคงเป็นเพราะขึ้นธรรมาสน์เมื่อกลางเดือนอ้ายปีที่แล้ว ได้มีประกาศ ต่างเรียกขาน ไปมาแล้วหยุด ดูว่ากลางเดือนอ้ายปีหน้าจะเป็นอย่างไร ดังนั้น ทุกคนถึงพร้อมใจกันมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อมาสั่งลา” เจ้าอาวาสยิ้มกล่าวว่า “ข้าก็ยังไม่ตาย จะมาทำไมกัน” ลูกศิษย์ว่า “หากอาจารย์เมตตาจะอยู่โปรดคน ทำไมไม่แต่งกลอน ให้พวกเขากลับไป” เจ้าอาวาสคิดสักครู่แล้วว่า “เมื่อพวกเขามากันแล้ว จะเรียกเขากลับไปได้อย่างไร” จึงกล่าวกับนายอำเภอว่า “นายอำเภอกลับได้แล้วอาตมาไม่สามารถจะอยู่ร่วมสนทนาต่อได้” ว่าแล้วก็ยืนขึ้น เอามือกวาดเอาหมากบนกระดานลงพื้น แล้วว่า

    “หมากกระดานหนึ่งยังไม่หมด ก็ถูกส่งถึงฝั่งไปนิพพาน”

    เจ้าอาวาสกลับเข้าห้องไปอาบน้ำ เปลี่ยนจีวรใหม่ แล้วจึงไปยังห้องอันเล่อถัง ขึ้นนั่งบนโต๊ะ ขณะนี้เหล่าภิกษุจากวัดต่าง ๆ กับประชาชนต่างเข้ามาพบเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสสั่งคนให้ไปหาจี้เตียนพวกนั้นก็ตามหากันพักใหญ่ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของจี้เตียน เจ้าอาวาสว่า “หากหาเขาไม่พบก็ไม่เป็นไร เพราะบาตรจีวรของอาตมาไม่มีใครสืบต่อ อยากให้เขามารับไป” เหล่าสงฆ์จึงว่า “อาจารย์มีคำสั่งให้จี้เตียนสืบต่อ ใครกล้าไม่ปฏิบัติตาม” เจ้าอาวาสว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ต้องให้จี้เตียนจุดไฝเผาด้วย อย่าขัดคำสั่ง” พอพูดจบ ก็ลดระดับคิ้วและปิดตาลง แล้วก็มรณภาพไป เหล่าสงฆ์กำลังเศร้าสลดใจอยู่ ทันใดก็มีเจ้าลิงขนสีทองที่เจ้าอาวาสเลี้ยงไว้ที่หลังศาลาน้ำเย็นวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ เห็นเจ้าอาวาสสละร่างไปแล้ว จึงเดินวนอยู่สามรอบร้องไห้ออกมาสามสี่เสียง แล้วก็ยืนตายอยู่เคียงข้าง เหล่าสงฆ์รู้สึกตกใจระทึกจึงรู้ว่า เจ้าอาวาสได้บำเพ็ญธรรมไว้ไม่น้อย แต่ก็ไม่พบว่าจี้เตียนกลับมาต่างก็โจษขานกันไปต่าง ๆ แต่ละคนก็ว่า อาจารย์ห่วงใยเขาไว้มาก แต่จี้เตียนกลับตอบแทนอย่างไร้น้ำใจ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ก็ได้แต่บรรจุศพอาจารย์เข้าไว้ในครัมเป็นที่เรียบร้อย

    รอจนครบ 7 วัน ไม่เห็นจี้เตียนกลับมา ทั้งหมดรอจนรอไม่ไหวจึงนำครัมออกมาจากที่เก็บก็พอดีเห็นจี้เตียนเดินมา มีรองเท้าสานข้างหนึ่งใส่ไว้ ส่วนในมือก็ถือไว้ข้างหนึ่ง ปากก็ฮำเสียงไม่รู้ร้องว่าอะไร เดินมาจากศาลาน้ำเย็นเข้ามาในวัด เหล่าสงฆ์จึงเข้าไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “อาจารย์เจ้ารอเจ้าอยู่ วันนี้เสร็จพิธีแล้ว เจ้าไม่ละอายใจ ไม่รีบมาจัดการจนคนเขารอเจ้าไม่ไหว วันนี้จะประชุมเพลิงท่านอาจารย์ ท่านรอให้เจ้าจุดไฟเจ้าอย่าได้หนีหายไปที่ไหนอีก” จี้เตียนยิ้มแล้วว่า “อาจารย์สำเร็จแล้วมีอะไรที่ข้าพเจ้าต้องจัดการอีกเล่า หากต้องการให้ข้าพเจ้าร้องไห้ ข้าพเจ้าก็ร้องไม่เป็น วันนี้จะเผา อาจารย์มีคำสั่งไว้ข้าพเจ้าก็จะทำตาม พวกท่านไม่เห็นต้องร้อนอะไร” พวกสงฆ์ไม่มีใครต่อคำ พอดีระฆังดังขึ้น เสียงสวดมนต์ดังกระหึ่ม ครัมได้ถูกยกขึ้นสู่เมรุแล้วรอจี้เตียนจุดไฟ จี้เตียนก็ได้ถือคบไฟเข้าไปแล้วพูดว่า

    “อาจารย์เป็นบุพพาจารย์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์หลาน ได้อาศัยข้าวอาหาร เสื้อผ้า บุญคุณท่านเหลือล้น ก่อนจากกัน บุญคุณขาดสัมพันธ์ตัด ไฟอยู่ในมือ ธรรมเจ้าไม่มีญาติ อื้ม! ช่วยท่านเผาสังขารที่เหม็น ให้กลับกลายเป็นร่างวัชระที่ไม่เสื่อมสลาย”
    กล่าวจบ ก็เอาไฟจุดเผาครัม ไฟลุกโชติช่วง เผาจนเหลือพระธาตุดุจเม็ดฝน ท่ามกลางเปลวไฟ ปรากฎร่างของท่านเจ้าอาวาสเหยี่ยนเซี้ยถังมองมายังจี้เตียนแล้วว่า “จี้เตียน จี้เตียน จะเพี้ยนแค่ไหนก็ตามใจเจ้าแต่อย่าให้เพี้ยนจากความลึกล้ำแห่งพุทธะ” แล้วก็พูดกับทุกคนว่า “ทุกท่านโปรดรักษาสุขภาพ” กล่าวจบก็กลายเป็นลมเย็นพัดหายไป ทุกคนต่างเห็นกระจ่าง ไม่มีใครที่ไม่ตกใจกลัว

    จบธุระ ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป ชาวบ้านต่างเข้ามาพูดกับจี้เตียนว่า “ตอนนี้ท่านอาจารย์จากไปแล้ว ที่วัดไม่มีหลัก ท่านเป็นผู้ที่อาจารย์ต้องการให้สืบทอด จำเป็นต้องมีสาระหน่อย จะได้เป็นต่างหน้าต่างตาของท่านอาจารย์” จี้เตียนว่า “ท่านเป็นภิกษุรูปหนึ่ง เอาแต่ร้องเพลงมีสาระหรือจี้เตียนว่า “เสียงน้ำเสียงนก ล้วนมีความแยบยล นับอะไรกับเสียงเพลงหรือว่าไม่ร้องเพลง เอาแต่สวดมนต์มีสาระหรือ” เหล่าสงฆ์ว่า “ท่านเป็นพุทธบุตร ไปอยู่รวมกับหมาลิง เล่นกับเด็กเล็ก เรียกว่ามีสาระหรือ” จี้เตียนว่า “เด็กเล็กไร้เดียงสา หมาก็มีจิตพุทธะ ไม่เล่นกับมัน อยู่กับพวกท่านพี่ห่มจีวรแต่เหลวไหลเหมือนสัตว์” เหล่าสงฆ์เห็นเขาพูดล้วนแล้วแต่เพี้ยน ๆ เลยไม่มีใครพูดต่อ มีแต่หัวหน้าสงฆ์พูดว่า “เรื่องไร้สาระหยุดได้แล้วแต่อาจารย์มีคำสั่งเรียกให้เอาบาตรจีวรยกให้ท่าน ท่านก็จงรับเอาไป” จี้เตียนว่า “บาตรจีวรอาจารย์ข้ารับไปนานแล้ว ของนอกกายเหล่านี้ เอาไปทำไม” หัวหน้าสงฆ์ว่า “อันนี้เป็นคำสั่งท่านอาจารย์ ทำไมขัดขืน หากท่านไม่เอาก็ควรทำอะไรสักอย่าง” จี้เตียนว่าถ้าพูดอย่างนี้ก็เอาออกมาดูเลยหัวหน้าสงฆ์จึงสั่งให้เอาบาตรจีวรและหีบต่าง ๆ ออกมาวางต่อหน้า จี้เตียนว่า “หากเป็นของของอาจารย์ พระในวัดทุกคนก็มีสิทธิ์ ก็ควรให้มาพร้อมกันแล้วเปิดดูจึงจะยุติธรรม” หัวหน้าสงฆ์ว่า “นี่เป็นคำสั่งอาจารย์ ท่านก็รับไปแล้วกัน เรื่องอะไรต้องยั่วหูยั่วตาคนอื่น” จี้เตียนว่า “ท่านอย่ายุ่ง เรียกพวกเขาให้เข้ามาดูให้เห็นกระจ่าง แล้วค่อยว่ากัน” หัวหน้าสงฆ์จึงสั่งให้ตีระฆัง ให้สงฆ์มาชุมนุมพร้อมกัน จี้เตียนว่า “หีบห่อเหล่านี้ให้เปิดออกให้หมดให้เหล่าภิกษุได้เห็น” ที่เห็นสีเหลืองคือทองคำ ที่ขาว ๆ คือเงิน ส่องแสงแวววาว ที่มีประกายเงาเป็นพวกหยก จีวรผืนใหม่ ๆ นอกนั้นก็มีพระสูตรเล่มเล็กเล่มเดียว เป็นของที่น่าเก็บสะสม ระฆังเล็กระฆังน้อย มีไปสารพัดสิ่งเหล่าสงฆ์เห็นแล้วนัยน์ตาลุกแวววาว ติดอยู่ที่ว่าอาจารย์สั่งถ่ายทอดให้จี้เตียนจึงไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก ทุกคนได้แต่เบิ่งตากว้าง ก็เห็นหัวหน้าสงฆ์พูดกับจี้เตียนว่า “ศิษย์พี่ท่าน ผมมีคำจะพูดกับท่าน โปรดฟังด้วย” ไม่รู้ว่าหัวหน้าสงฆ์จะพูดอะไร โปรดติดตามตอนต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...