เรื่องเด่น เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน วัวธนูไม้ไผ่

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 14 พฤษภาคม 2017.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439

    เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน วัวธนูไม้ไผ่สาน(โคสวาลา)ของดีกันภูติผีแห่งดินแดนล้านนา


    18447166_10213054666271009_5170417037829840900_n.jpg
    มีผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันว่า มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้จาริกแสวงบุญไปตามสถานที่ทุรกันดาร วันหนึ่งได้สัญจร (เดินทาง) เข้าไปในราวป่าปราศจากบ้านผู้คน ขณะนั้นดวงตะวันคล้อยต่ำลงจะลาลับขอบฟ้าอยู่แล้ว ได้มีสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้าท่าน จึงมุ่งหน้าเดินตรงไปหาปรากฏเป็นภาพของพระอุโบสถกลางป่าแห่งหนึ่งแต่อยู่ไกลลิบ ซึ่งในระหว่างทางได้พบชายนุ่งขาวห่มขาวอยู่ผู้หนึ่งเดินสวนมา และขอติดตามท่านไปด้วยในลักษณะความเป็นห่วงเป็นใย และเมื่อเดินไปได้สักพัก เห็นต้นไผ่ป่าโน้มลำต้นขวางทาง ชายแก่ผู้ที่ได้ร่วมเดินทางมากับพระธุดงค์นั้นได้ใช้มือล้วงลงไปในย่ามหยิบมีดหมอออกมาเล่มหนึ่งแล้วลงมือตัดฉับเดียวต้นไผ่ก็ขาดออกจากกัน

    จากนั้นก็รีบขมีขมันจัดการแยกชิ้นส่วนเป็นไม้ตอกได้กำใหญ่ พลางเดินไปสานไปเมื่อสานเสร็จก็บรรจุในย่ามที่ใช้สะพายอยู่ติดตัว พอไปถึงจุดหมายปลายทางเห็นเป็นพระอุโบสถที่ทรุดโทรมลักษณะคล้ายจะรกร้างมานานปี ส่วนด้านหลังพระอุโบสถเป็นศาลาหลังเล็กค่อนข้างผุหลังคาโหว่และเห็นพระภิกษุชุมนุมกันอยู่ด้วยกันสี่รูป โดยไม่ยอมให้การต้อนรับทักทายและไม่ยอมสบตากับผู้ใดด้วย แววตานั้นมีลักษณะไม่คล้ายกับผู้คนทั่ว ๆ ไป แต่มันคล้ายกับดวงตาของสัตว์ดุร้าย ชายแก่ในชุดขาวรีบพาพระธุดงค์เข้าไปในพระอุโบสถ และทำการปิดประตูหน้าต่างลงกลอนอย่างรีบเร่ง แล้วจึงปัดกวาดฝุ่นละอองพอใช้พักอาศัยได้ จากนั้นได้ล้วงเอาเทียนขี้ผึ้งในย่ามออกมาสองเล่มพร้อมธูปสามดอกมาบูชาพระรัตนตรัยและบอกให้พระธุดงค์ทำวัตรเย็น

    ส่วนชายแก่ได้ยึดที่มุมหนึ่งของพระอุโบสถตั้งหน้าตั้งตาสานตอกอะไรของแกไปโดยไม่พูดจากับใคร จนเดือนโผล่พ้นยอดไม้สู่ท้องฟ้าทำให้มองเห็นจากรอยแผ่นกระเบื้องหลังคาพระอุโบสถที่หลุดหาย สุนัขก็เริ่มส่งเสียงเห่าหอนรับกันเป็นระยะ ๆ เสียงโหยหวนน่าสะพรึงกลัวในบรรยากาศอันเงียบสงัดวังเวง ทันใดนั้นได้ยินเสียงหวีดหวิวคำรามของเสือร้าย สายลมโชยพัดพากลิ่นสาบใกล้เข้ามา จึงกระซิบพระธุดงค์ให้ตั้งสมาธิจิตบริกรรมพระพุทธคุณ มีอะไรผิดปกติอย่าได้สนใจเป็นอันขาด และเสียงนั้นก็ใกล้เข้ามาทุกที ๆ จนได้ยินเสียงหายใจครืดคราดและเสียงตะกุยตะกายที่ประตูพระอุโบสถ ซึ่งเสียงนั้นกะประมาณอย่างน้อยมีจำนวนไม่ต่ำว่า 3-4 ตัว ถ้าพูดกันแล้วมันเป็นลีลาของเสือโคร่งชัด ๆ ทันใดนั้นท่านผู้ชราได้ผลุดลุกจากที่นั่ง ซึ่งสงบมานานได้เดินตรงไปสู่ประตูพระอุโบสถทำการสอดไม้ไผ่ที่สานออกตามรูช่องดาลอันแล้วอันเล่าไม่ทราบจำนวนเท่าใด ในบัดดลก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ของสัตว์ใหญ่ พร้อมเสียงคำรนคำรามกึกก้องฉาด ๆ ซัดกันนัวไปหมด ปานแผ่นดินจะถล่มทลาย ประมาณชั่วหม้อข้าวเดือด ผลของเสียงการรณรงค์ต่อสู้ได้เงียบหายไป ทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบสงัดราตรีอันวอมแวมของแสงเทียน

    ต่อจากนั้นก็พากันพักผ่อนโดยอาการสงบ ครั้นพอรุ่งเช้าก็ถอดกลอนผลักบานประตูพระอุโบสถเผยกว้างออก สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็คือ ภาพของเสือโคร่งขนาดวัดได้จากหัวถึงหางประมาณหกศอกจำนวน 4 ตัว นอนตายอยู่ในที่ต่าง ๆ ในลักษณะลำตัวไส้ทะลักเรี่ยราด ชายแก่ในชุดขาวจึงอธิบายให้พระธุดงค์ทราบว่าพระสี่รูปที่เห็น เมื่อเย็นวานนั้นก็คือเสือสมิงร้าย 4 ตัว และให้สังเกตดูจะเห็นว่าที่คอยังมีผ้าเหลืองพันอยู่ทุกตัว และถ้ามาช่วยไม่ทันละก็อาจตกเป็นเหยื่อของเสือสมิงร้ายพวกนี้ก็ได้
    วัตถุที่ใช้สร้างวัวธนู – ความธนู แต่ละชนิดออกไปดังนี้

    1. วัวทอง (ไม่ใช่ทองคำ ทองผสม เช่น ทองเหลือง ทองแดง ที่ภาคอีสานนิยมเรียกว่า ทอง ส่วนทองเรียกว่า คำ) เป็นวัวธนูชั้นหนึ่ง สร้างขึ้นด้วยโลหะอาถรรพณ์ มีตะปูตรึงโลงศพ เหล็กขนัน ผีตายท้องกลม งั่ง (ตัวยาซัดทองชนิดหนึ่ง) ทองแดงเถื่อน ดีบุก ทองขวานฟ้า เงินปากผี ทองยอดนพศูนย์ นำมาหล่อหลอมเข้าด้วยกัน แล้วลงอักขระตามตำราที่ใช้บังคับ หรือหล่อเป็นโคถึกหรือกระทิงโทน

    2.วัวขี้ผึ้ง เป็นวัวธนูชั้นสอง ท่านให้ใช้ขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง ผีตายท้องกลม ผสมด้วยผมผีตายพราย ผมผีตายลอยน้ำ ตานกกรด ตาแร้ง ตาชะมด กำลังวัวเถลิง เผาไฟให้ไหม้บดเป็นผง ผสมกับเถ้ากองฟอนเจ็ดป่าช้าแล้วนำไปคลุกกับขี้ผึ้งปั้นเป็นรูปวัวหรือความก็ได้ เสกด้วยอาการ 32 บางตำราเพิ่มคนเลี้ยงอีก 1 คน

    3. วัวไม้ไผ่ เป็นวัวธนูชั้นสาม ใช้ชั่วคราวในเวลาฉุกเฉิน ให้ใช้ไม้ไผ่ที่ขึ้นคร่อมทาง กลั้นหายใจตัดด้วย นะโมตัสสะ กะทีเดียวให้ขาดจากกัน นำมาสานเป็นรูปหัววัว คล้ายเฉลวปักหม้อยาแผนโบราณ

    กรรมวิธีการสร้าง

    วัวกำหนดสร้างตามตำราที่ระบุไว้ให้เลือกเอา วันมาฆบูชาหรือวันวิสาขบูชาและวันอาสาฬหบูชาและใน แต่ละวันให้กำหนดฤกษ์แตกต่างกันออกไปดังนี้

    วันมาฆบูชา

    อันเป็นวันเพ็ญเดือนสามให้กำหนดฤกษ์ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าจนถึง เที่ยงคืนเป็นหมดฤกษ์ แต่จะต้องเลือกตัดช่วงใดช่วงหนึ่งที่ดีที่สุดอาจจะ 1 – 3 ชั่วโมง ตามแต่ความสั้น – ยาวของช่วงฤกษ์ที่อยู่ภายในระยะเวลาเที่ยงคืน

    วันวิสาขบูชา

    กำหนดเวลาฤกษ์ตั้งแต่พระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าตอนเช้าจนถึงเที่ยง และต้องเลือกติดฤกษ์เหมือนวันมาฆบูชาเช่นกัน วันอาสาฬหบูชากำหนดเวลาฤกษ์ตั้งแต่บ่ายคะเนอาทิตย์อยู่เหนือยอดไม้ใกล้ลับฟ้าจนถึงอาทิตย์ลับของฟ้าวันนี้ไม่ต้องตัดฤกษ์ถือเป็นฤกษ์ดีโดยเวลากำหนดอยู่แล้ว

    อนึ่ง การใช้ดอกไม้ในพิธีกำหนดตามวันคือ วันมาฆบูชา ใช้ดอกไม้ 4 สี เข้าใจว่าคงจะมีความหมายถึง “จาตุรงคสันนิบาต” อันเป็นองค์ประกอบแห่งความหมายของวันมาฆบูชาก็เป็นได้ซึ่งเป็นวันที่ครบองค์ 4 คือ มีพระสงฆ์ที่เป็นอรหันต์มาชุมนุมกัน 1,250 องค์ 1. พระสงฆ์เหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกษุ 2. พระสงฆ์เหล่านั้นมากันเอง โดยมิได้นัดหมาย 3. เป็นวันเพ็ญเดือนสามที่พระพุทธองค์แสดงโอวาทปาติโมกข์ และเข้าใจว่าดอกไม้ 4 สีคงมีความหมายดังกล่าวมา

    สำหรับวันอาสาฬหบูชาท่านให้ใช้ดอกไม้ 8 สี อันนี้ก็เข้าใจว่าคงจะมีความหมายว่าในวันอาสาฬหบูชาซึ่งเป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์นั้นทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา อันหมายถึงอริยมรรค 8 ประการก็น่าเป็นไปได้ ส่วนวันวิสาขบูชานั้นท่านให้ใช้ดอกไม้ 3 สีก็น่าจะหมายถึงการเกิดอัศจรรย์จากนิมิตทั้งสามมาตรงกันนั่นเอง

    วัตถุในการใช้เป็นส่วนประกอบในการสร้างที่สำคัญ คือ ครั่งที่เกาะบนกิ่งพุทธาซึ่งชี้ไปทางทิศตะวันออกอย่างน้อยจาก 3 ต้นขึ้นไป ตามตำรับระบุไว้อย่างแน่ชัดว่าต้องเลือกเอาครั่งในกิ่งที่ชี้ไปทางทิศตะวันออกเท่านั้นและถ้าเป็นกิ่งตายพรายท่านให้ใช้เพียงกิ่งเดียวเป็นพอ จะเพิ่มอานุภาพมากขึ้น

    ขอขอบคุณ ข้อมูลบางส่วนจาก อ.กบ สำนักพยนต์ล้านนา

     

แชร์หน้านี้

Loading...