เล่าเรื่องหมอชีวกโกมารภัจจ์ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย LP_TON, 17 มกราคม 2014.

  1. LP_TON

    LP_TON รวย ๆ ทุกเวลา นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    3,639
    ค่าพลัง:
    +5,710
    เล่าเรื่อง หมอชีวกโกมารภัจจ์ โดยหลวงพ่อฤาษี
    จาก หนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 17
    โดย.....หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    ประวัติของท่าน---ความ มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในตอนนั้นก็มีท่านผู้หนึ่งที่เราได้ยินกันอยู่เสมอ
    คือ ท่านหมอ ชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นหมอสำคัญขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์
    คอยรักษาโรคและก็เป็นหมอที่มีความรู้พิเศษจริง ๆ การไปศึกษาของท่านนั้น
    ปรากฎว่าการไปศึกษาวิชาเวชศาสตร์มีความฉลาด สามารถยิ่งกว่าลูกศิษย์ใด ๆ
    จากสำนัก ตักสิลา---เป็นอันว่าท่านชีวกโกมารภัจจ์นี้ มีประวัติอยู่ว่า

    เป็นลูกพิเศษของเจ้าใน กรุงราชคฤห์ คำว่าเป็นลูกพิเศษนี้ก็หมายความว่า อาจจะเป็นเมียพิเศษ
    ที่เจ้าย่องไปเจ้าชู้นอกเขตพระราชฐาน ผู้หญิงคนนั้นก็เลยมีลูกขึ้นมา 2 คน คือคนแรกชื่อว่า
    โกมารภัจจ์ เป็นลูกคนหัวปี คนที่สองมีนามว่า สิริมา เป็นคนสวยที่สุดในสมัยนั้น---ต่อมาเมื่อโตขึ้น
    แต่ความจริงเกิดขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ไม่ได้รับว่าเป็นบุตรโดยตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ โดยความในด้านจิตใจ
    ก็คือสงเคราะห์ตลอดเวลา แต่เป็นการสงเคราะห์แบบลับ ๆ ฉะนั้นชื่อของท่านโกมารภัจจ์ก็ดี ของสิริมาก็ดี
    ไม่ได้ชื่อเป็นเจ้า แต่ว่าฐานะก็ดีเข้าขั้นในฐานะดีมาก และก็เป็นคนใกล้ชิดกับพระราชฐานตลอดเวลา
    เพราะเจ้ารู้ว่าเป็นลูกแต่ก็ยอมรับไม่ได้ ประกาศเปิดเผยไม่ได้ และก็เลี้ยงอย่างลูก สงเคราะห์อย่างลูกเหมือนกัน

    เมื่ออายุได้ 16 ปี ก็ส่งไปอยู่เมืองตักสิลา ท่านตั้งหน้าตั้งใจศึกษาวิชาเวชศาสตร์เอาอย่างเดียว---
    ครั้นเมื่อ เวลาเรียนจบก็ลาอาจารยืกลับบ้าน อาจารย์ก็อยากทดลองความสามารถ
    จึงได้บอกให้ท่านโกมารภัจจ์จัดกระจาดเข้า 2 ลูก ทำด้วยหวายใส่สาแหรกหาบไป
    และมีมีด 1 เล่ม มีเสียม 1 เล่ม มีฆ้อน 1 อัน---แล้วว่าเจ้าจงเดิน ไปด้าน 4 ทิศ ทิศละ 1 โยชน์
    ดูหญ้าก็ดี ดูผักหญ้าต้นไม้ พืชพันธ์ธัญญาหาร ดินทราย หรือว่าแม้แต่แร่เหล็กต่าง ๆ แร่ต่าง ๆ
    ว่าดูว่า ถ้าสิ่งไหนมันไม่เป็นยาแล้วก็ตัดเอามาให้อาจารย์ดู หรือขุดมาให้อาจารย์ดู---

    ท่าน โกมารภัจจ์ใช้เวลาแบบนี้ประมาณเดือนเศษ พอเดินไป 1 โยชน์ กว่าจะถึง 1 โยชน์
    ก็ต้องเดินดูไปตลอดทุกอย่างตามทิศที่อาจารย์บอก เมื่อไปครบทุกทิศทุกด้านทาง 1 โยชน์
    ก็ปรากฎว่ากลับมาหาบเปล่า หาอะไรที่ไม่เป็นยาไม่ได้เลย ครั้นมาถึงก็มารายงานอาจารย์
    บอกว่ามันไม่มี ไม่มีสิ่งที่มันไม่เป็นยา จะเป็นดิน จะเป็นทราย เป็นหิน เป็นกรวด เป็นต้นไม้
    เป็นต้นหญ้า ไม่ว่าอะไรทั้งหมดมันเป็นยาทั้งหมด---ปราก ฎว่าอาจารย์ก็ชมเชย บอกดีแล้ว
    อย่างนั้นกลับบ้านได้ ถ้ายังหาพวกทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งไม่เป็นยาในโลกนี้
    ก็กลับบ้านไม่ได้ ถือว่าเรียนไม่จบ แล้วท่านก็ลากลับ

    ก็เดินมาในระหว่าทางไม่ทันจะถึงกรุงราคฤห์มหานครรักษาภรรยาท่านเศรษฐี---
    เวลา ตอนเย็นวันหนึ่งมันใกล้ค่ำ ท่านก็พักอยู่ในโคนต้นไม้ใกล้บ้านมหาเศรษฐี
    พอดีท่านมหาเศรษฐีเดินลงไปพบเข้า ถามว่า ไปไหนมา ท่านก็บอกว่า ไปเรียนวิชาเวชศาสตร์
    ท่านมหาเศรษฐีก็บังเอิญภรรยาของท่านเป็นโรคปวดศรีษะมา 3 ปี ทำงานไม่ได้ ใช้สมองไม่ได้
    ถามว่าจะรักษาหายไหม เห็นว่าเป็นหมอ ท่านก็บอกว่าต้องดูอาการก่อน เมื่อเข้าไปดูอาการ
    ท่านก็บอกว่าจะทดลองดู เพราะว่าเรียนหมอมาใหม่ ๆ ยังไม่มั่นใจว่าจะรักษาหายหรือไม่หาย
    แต่ว่ายาไม่มีติดมือเลย---ท่านเศรษฐีก็ถามว่าต้องการอะไรบ้าง ก็บอกว่ามี แกก็ถามท่านมหาเศรษฐีว่า
    ไอ้หญ้าประเภทนี้มีไหม อาตมาก็ลืมชื่อหญ้า ท่านบอกว่ามี ถ้าบอกชื่อก็หาไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จักกัน

    ถ้าเอาของ 2 อย่างเอาหญ้ามาโขลกเข้ากัน แล้วเลยใส่เข้าไปละลายคั้นเอาน้ำออกมากรองให้ดี
    แล้วก็หยอดไปในจมูกของภรรยาท่านมหาเศรษฐี--- พอหยอดลงไปเท่านี้ ก็ปรากฎว่า
    ภรรยาท่านมหาเศรษฐี มีทั้งน้ำมูก มีทั้งสเลดออกจมูก ออกทั้งปาก ออกมาอย่างมาก
    ในที่สุดขนะเดียวกันก็ปรากฎว่าหายปวดทันที ท่านมหาเศรษฐีก็จัดรางวัลเป็นการใหญ่
    แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์ท่านก็รับ เวลาจะกลับท่านก็มอบคืน เขาไม่บอกว่าคืน มอบของ
    ทั้งหลายเหล่านี้ไว้สงเคราะห์คนจนต่อไป

    นี่ประวัติต้นแล้วก็เดินทางกลับประกอบยาถวายพระพุทธเจ้า---เมื่อ กลับมาก็ขอเทศน์ลัด
    พูดมากเวลามันไม่ค่อยพอเทศน์ เรื่องนี้มันต้องเทศน์กันเต็มวันทั้ง 3 วัน เป็นอันว่าต่อมา
    ก็ได้เป็นหมอประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประชวรด้วยเรื่องอะไรก็ตาม
    ท่านโกมารภัจจ์ประกอบยาแค่เม็ดเดียวก็ หายทันที นี่จะได้มองเห็นว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระชินศรี
    บรมศาสดาเป็นพระอรหันต์ และเป็นยอดอรหันต์คือ จอมอรหันต์ก็ยังป่วยไข้ไม่สบาย ก็ยังแก่เหมือนกัน
    ไม่อย่างนั้นท่านทั้งหลายก็จะคิดว่าพระอรหันต์ไม่ป่วย

    เป็นอันว่าต่อมาในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกพระเทวทัตกลิ้งหินลงมา
    มีความปราถนาจะทับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ตายที่ยอดเขาคิชณกูฏ พระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่เชิงเขา
    พระเทวทัตขึ้นไปยอดเขาแล้วกลิ้งหินให้ทับแต่ก็เป็นการบังเอิญที่มีหินก้อน ใหญ่มหึมาก้อนหนึ่ง
    ปรากฎโผล่ขึ้นมากันหินที่พระเทวทัตกลิ้งมาแตกกระจาย เศษหินไปถูกพระบาทขององค์สมเด็จ
    พระจอมไตรบรมศาสดาที่นิ้วพระบาทห้อพระโล้หิต---เมื่อ องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรอาการอย่างนั้น
    ท่านโกมารภัจจ์ก็ประกอบยาถวายปิดลงไปที่ห้อพระโลหิต แล้วก็เอาผ้าผูกไว้

    พอเสร็จแล้วก็ลาองค์สมเด็จพระจอมไตรไปภายนอกกำแพงวัง คุยกับเพื่อนเพลินไป โอกาศเวลานั้น
    ประตูเมืองก็ปิดหกโมงเย็น เข้าประตูเมืองไม่ได้ ก็ร้อนใจคิดว่า โอ้หนอ...ยาที่ถวายองค์สมเด็จ
    พระจอมไตรเป็นยาแรง เวลานี้แผลก็คงจะหายแล้ว อีกประการหนึ่ง เมื่อแผลหาย ยาที่ยังพันอยู่
    ที่นิ้วพระบาทขององค์สมเด็จพระจอมไตรจะทำให้พระองค์ทรงมี ความลำบาก เพราะยามีความร้อน
    ตอนนั้นเอง องค์สมเด็จพระชินวร ทรงทราบวาระจิตของท่านโกมารภัจจ์ว่ามีความลำบาก
    คิดว่ายาจะเป็นโทษกับเรา จึงได้เรียก พระอานนท์ มาบอก อานันทะดูก่อนอานนท์ เธอจงแก้ผ้ามัดนิ้ว
    ตถาคตออกไป แล้วจงเอายาออก พอเอาออกแล้วพระอานนท์ก็เอาน้ำที่สะอาดมาล้างให้ ตอนรุ่งขึ้น
    ท่านโกมารภัจจ์เข้าเมืองได้ก็รีบมาเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร---ถาม ว่า ยามีอันตรายแก่พระองค์ไหม
    พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าไม่มี เวลานี้ตถาคตให้พระอานนท์แก้ออกหมดแล้ว ถามว่าเวลาไหน
    ท่านถามว่าเวลาไหน พระพุทธเจ้าก็ตอบแก้เวลาที่เธอลำบากใจ คิดว่าจะมีอันตรายสำหรับฉัน
    นี่เป็นตอนหนึ่ง ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระภัควันต์บรมศาสดาป่วยเป็นโรคอะไร ท่านโกมารภัจจ์ก็รักษาหายทันทีทันใด

    มาเที่ยวเมืองทวาราวดี---ตอน นี้จะขอพูดเรื่องของท่านเหมือนกัน เป็นการแยกออกไปสักนิดหนึ่งจากการรักษา
    ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระศาสดาประทับสำราญอิริยาบถ ท่านโกมารภัจจ์ได้ยินข่าวว่า ชาวเมืองทวาราวดี
    เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะมาเที่ยวเมืองทวาราวดี
    คือเขตไทยทาง ด้านของ นครปฐม แต่ทวาราวดีเวลานั้นกินเขตแดนของทั้งหมดของเมืองไทยนี่เอง
    เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไทย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่าเมืองทวาราวดี ทูลลาองค์สมเด็จพระชินศรีจะมาเที่ยว
    เมืองทวาราวดีเกือบ 2 ปี แต่ความจริงอรรถกถาจารย์เขียนไว้ถึง 22 ปี อันนี้เห็นว่าท่าจะไม่ถูก ต้อง 2 ปี
    เพราะท่านโกมารภัจจ์ไม่สามารถจะทิ้งพระพุทธเจ้าได้ ในตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว

    ถือว่าการเป็นพระโสดาบันนี่เป็นไม่ยากคือ 1.นึกถึงควมตายเป็นอารมณ์ 2.เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม
    ในพระอริยสงฆ์ 3.มีศีล 5 บริสุทธิ์ 4.จิตใจต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ พระโสดาบัน เขาเป็นแค่นี้นะ
    ทุกคนก็เป็นได้ เมื่อมาถึงทวาราวดี อยู่ครบประมาณ 2 ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วท่านก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ว่าชาวเมืองทวาราวดีนี้มีภาษาพูดที่เพราะมาก เป็นภาษาโดด คือพูดเป็นคำ ๆ คำว่าไปก็ไป คำว่ากินก็กินอย่างเวลานั้น
    ภาษาแขกหรือชาว มคธคำว่า "ไป" เขาก็พูดว่า "คันตวา" มันเป็นคำคู่ "กิน" ก็ "ภุญชติ"ภุญชติล่อเข้าไป 3 คำ กลั้วกัน
    คันตวาล่อเข้าไป 3 คำ ของเราไป ของเรากินมันเป็นคำโดด---พอกราบ ทูลองค์สมเด็จพระพุผู้มีพระภาคเจ้าว่าภาษา
    ของชาวทวาราวดีเขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ และก็เป็นภาษาโดด พระพุทธองค์จึงถามว่า ทวาราวดีเขาพูดกันอย่างไร
    ลองพูดให้ฟังซิ ท่านโกมารภัจจ์ก็พูดให้ฟัง เมื่อพูดให้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี คุยกับท่านโกมาภัจจ์
    อยู่พักหนึ่งรู้สึกว่าสนุกสนานมาก ท่านโกมารภัจจ์ก็สนุก ทว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะสนุกหรือไม่สนุกก็ไม่ทราบ
    แต่เวลาคุยกับท่านโกมารภัจจ์ท่านคุยเป็นกันเอง คงจะสนุกเป็นพิเศษ

    พระพุทธเจ้าเป็นคนไทยอาหม---คุย กันไปคุยกันมา ท่านโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรนี้เป็นลูกชาวกรุงกบิลพัสดุ์
    อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี้ได้เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือความรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงนี่ปฏิสัมภิทาญาณนี่
    เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า ที่พระองค์ทรงตรัสภาษา
    ทวาราวดีนี่รู้ได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน---องค์ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงตรัสว่า โกมารภัจจ์
    ภาษาทวาราวดีนี่เป็นภาษาเดียวกับชาวกรุงกบิลพัสดุ์ใช้เป็นภาษาพื้นเมือง ฉะนั้นท่านโกมารภัจจ์ก็ถามว่า ถ้าเช่นนั้น
    ชาวกรุงกบิลพัสด์ก็เป็นเชื้อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ไหมองค์สมเด็จพระจอม ไตรบรมศาสดาก็ทรงตรัสว่าใช่
    คือ ชาวกบิลพัสด์ก็ดี ชาวทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน

    นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม ตอนนี้ก็รู้ไว้
    ต่อมาก็เทศน์เรื่องของ ท่านในเรื่องของหมอต่อไป ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาประกาศพระศาสนา
    ได้ครบ 45 ปี มีอายุ 80 พอดี ตามอายุขัยของพระองค์ เวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ที่ ปาวาลเจดีย์ ท่านโกมารภัจจ์
    ไม่ได้อยู่ด้วย ไปธุระเสีย เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร คือปลงอายุสังขาร กำหนดวันนับ
    ตั้งแต่เวลานี้ไป 3 เดือน เราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่แห่งเมือง กุสินารามหานคร---เมื่อ องค์สมเด็จพระชินวร
    ปลงอายุสังขาร ตัดสินพระทัยว่าจะนิพพานแน่ เวลานั้นเกิดเหตุอัศจรรย์แผ่นดินไหว พระอานนท์เข้าไปเฝ้า
    องค์สมเด็จพระจอมไตรถามเหตุแผ่นดินไหว ก็ตรัสว่า เพราะตถาคตปลงอายุสังขาร ตั้งใจไว้อีก 3 เดือนข้างหน้า
    จะนิพพาน คือวันวิสาขบูชา ที่ระหว่านางรังทั้งคู่ แห่งเมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็อาราธนาองค์สมเด็จพระชินวร
    ให้อยู่ต่อ ขอเทศน์ลัดเลยนะเวลาเหลือน้อยพระพุทธเจ้าไม่ทรงรับ ท่านก็บอกไม่ได้ ต้องนิพพานแน่

    ฉะนั้นก็ปรากฎว่าท่านโกมารภัจจ์กลับมาเห็นสมเด็จพระบรมศาสดาเศร้าหมองลงไปมาก ซุบซีดผอม ฉันอาหารก็ไม่ได้
    แสดงว่าโรคภัยไข้เจ็บรบกวนมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทนพระวรกาย ผืนการเจ็บปวดทุกขเวทนาทั้งหมด สอนวันนั้น
    เวลานั้นคนก็ดี สอนพระก็ดี สมเด็จพระชินศรีไม่ทรงเทศน์เรื่องพระสูตรเลย เทศน์เฉพาะ ศีล สมาธิ ปัญญา
    เพื่อเป็นการตัดฉากใกล้นิพพาน---ท่าน โกมารภัจจ์ก็ไปถามองค์สมเด็จพระพิชิตมารถึงโรคท่านก็ไม่ตอบ
    ท่านโกมารภัจจ์ก็เสียใจว่าถ้าเรารู้ชื่อโรคนิด อาการโรคนิดเดียวรักษาด้วยยาเม็ดเดียวให้หาย ต่อมาก็ได้ปรุงยา
    ขึ้นเม็ดหนึ่งเพื่อถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระองค์เสวยยาเม็ดนั้นท่านจะรู้อาการโรคทันที เป็นยาพิสูจน์โรค
    พระพุทธเจาก็ไม่ทรงรับเสียอีก ถวาย 3 ครั้ง ท่านก็คว่ำมือถึง 3 ครั้ง---ท่าน โกมารภัจจ์ก็เสียใจ จึงเอายา
    ไปใส่ในบ่อน้ำ คิดว่าจะให้ใครกินก็ไม่สมควร ยานี้เป็นยาถวายพระพุทธเจ้า ไปใส่ในบ่อน้ำ พระอรรถกถาจารย์
    หรือพระฏีกาจารย์ แก้อธิบายว่าน้ำในบ่อนั้นมันลึกอยู่แล้ว มันฟูขึ้นไปเลยบ่อเจ็ดชั่วลำตาลอัศจรรย์มาก
    ต่อมาเมื่อได้พบท่านโกมารภัจจ์ถามท่าน ท่านบอกว่านานๆ เข้ามันก็ยาวเหมือนกัน เมื่อต้นไม้ปลูกนานๆ เข้ามันก็ยาว
    แต่ควมจริงมันฟูขึ้นมาถึงปากบ่อ ไม่ได้เลยปากบ่อถึงเจ็ดชั่วลำตาล นี่เป็นอันว่าอรรถกถาจารย์ พระฏีกาจารย์เขาเขียน
    ยาวมากเกินไปพาให้คนไม่เชื่อ

    หนีเข้าป่าเจริญสมณธรรม---หลัง จากนั้นมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว
    เมื่อเขาเก็บพระบรมสารีริกธาตุเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ก็ไปงานสมเด็จองค์พระประทีปแก้วเหมือนกัน เวลานั้นท่านก็คิดว่า
    เราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุทธเจ้า จะถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่เวลานี้พระพุทธเจ้ามานิพพานเสียก่อน เราก็หมดที่พึ่ง
    เวลานี้เราเป็นคนไม่มีอะไรแล้ว---ลูกก็ดี เมียก็ดี ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ดี ข้าทาสหญิงชายก็ดี เราไม่มีเพราะเราสิ้นหวัง
    เราหมดที่พึ่ง ไอ้ร่างกายของเรานี่มันก็ใช้อะไรไม่ได้ ไม่ต้องการมันต่อไป ออกจากงานศพแทนที่จะเข้าบ้าน
    ก็เปิดเข้าป่าไปเลย ไปนอนอยู่ในถ้ำ ไปนั่งนอนคิดว่าเวลานี้สมเด็จพระธรรมสามิสรที่เป็นที่พึ่งใหญ่ของเรานิพพาน
    เราก็ไม่เอาอะไรมันทั้งหมด นอนให้มันตายอย่างนี้ล่ะ ข้าวปลาอาหารก็ไม่กิน---แต่ ท่านก็เล่าต่อไปว่า
    ถึงมันจะหลบเข้าไปแบบนั้น คนก็เห็นแก่ตัวไปรบกวนท่าน ไปขอยาท่าน ท่านก็เลยเข้าป่าลึกเข้าถ้ำให้มันลึกเข้าไปอีก
    แล้วก็ไปนอน นอนเฉยๆ คิดว่าเราหมดที่พึ่ง เราเป็นคนไม่มีอะไร ร่างกายเราก็ไม่ต้องการมันให้มันตายไปแบบนี่แหล่ะ
    มันอยากตายเมื่อไรก็ให้มันตายถ้ามันไม่ตายก็ไม่ลุก จะอยู่มันที่นี้ตลอดไป

    พอตัดสินใจแบบนี้ก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าลงมา 3 ครั้ง ครั้งแรกก็เรียกว่า "โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม...?"ท่าน ก็บอกว่าใช่ ท่านไม่เห็นตัว ฟ้าแลบเข้ามาก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าอีก ก็บอกอย่างนั้น
    ท่านก็ตรัสอย่างนั้น แล้วเสียงนั้นก็หายไป สายฟ้าก็หายไป ท่านก็เลยบอกว่า หลังจากนั้นแล้วผมก็เลยนอนหลับ
    หลับแล้วผมก็หลับเลยไม่ตื่น รวมความว่าเวลานั้นท่านเป็นอรหันต์แล้วก็นิพพานทันทีอารมณ์ถึงอรหันต์---
    เอา เรื่องนี้มาพูดให้เห็นว่า ความกตัญญูกตเวทีของท่านโกมารภัจจ์เป็นของดี แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์นี้ไปนิพพาน
    คือเป็นอรหันต์ได้ เพราะมีความรู้สึกอะไร ฉะนั้นขอท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
    จงจำไว้ว่า คำว่าถึงอรหันต์น่ะมันมีอยู่คำเดียว หรืออย่างเดียว คือ เราไม่ติดอะไร ทั้งหมด จิตกำหนดว่าวัตถุธาตุต่างๆ
    คนก็ดี ใครก็ตาม ไม่ได้เนื่องถึงเรา คือไม่ใช่เป็นของเรา แต่เขาเนื่องถึงเราจริงเราสงเคราะห์หรือทำงานสงเคราะห์
    ให้ตามหน้าที่ ทุกอย่างแต่เราไม่ผูกพัน คิดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แม้แต่ร่างกายเราก็ไม่ต้องการ---ถ้าคิดอย่างนี้
    ก็ตรงกับคำที่ องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสในตอนท้ายมหาสติปัฏฐานสูตรว่า

    เธอจงอย่าสนใจกายภายใน คือกายตัวเอง อย่าติดในกายภานอก คือ กายคนอื่น และก็จงอย่าติดในวัตถุธาตุใดๆ
    จงปลงกำลังใจว่า แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา เพียงเท่านี้ทุกคนก็จะเป็นอรหันต์---ฉะนั้น ท่านโกมารภัจจ์
    ท่านเป็นคนผิดหวังในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าท่านจะตายก่อน แต่เมื่อองค์สมเด็นพระชินวร
    บรมศาสดานิพพานแล้ว ท่านก็ตัดสินใจว่าเราเป็นคนไม่มีอะไรทั้งหมด ลูกไม่มี เมียไม่มี ทรัพย์สมบัติไม่มี
    ร่างกายไม่มีความหมาย---เมื่อมันอยากจะตาย ช้าที่หลังพระพุทธเจ้า มันก็ปล่อยให้มันตายด้วยความอดอยาก
    ก็ช่างมันปะไร เราไม่ต้องการมันต่อไป อันนี้เป็นอารมณ์ของอรหันต์ เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้วท่านก็เป็นอรหันต์ทันที
    ฆราวาสถ้าเป็นอรหันต์วันนี้วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน แล้วท่านก็นิพพานจนกระทั่งบัดนี้


    http://palungjit.org/threads/ร่วมบุ...มือนปู่ชีวกโกมารภัจจ์59นิ้ว-6ก-พ-57-a.522598/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Untitled-1.jpg
      Untitled-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      406
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2014
  2. j-adirek

    j-adirek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +204
    อนุโมทนา สาธุๆครับ นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ ธัมโม สังโฆ เม สะระณัง วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ
     
  3. homesmile

    homesmile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2014
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +178
    ขอบคุณครับ ที่เล่าเรื่อง หมอชีวกโกมารภัจจ์ ให้ฟัง
    หนังสือธรรมปฏิบัติ มีกี่เล่ม และ หาซื้อได้ที่ไหนครับ
     
  4. LP_TON

    LP_TON รวย ๆ ทุกเวลา นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    3,639
    ค่าพลัง:
    +5,710
    สาธุ ครับ หนังสือหาได้ที่ บ้านสายลม หรือที่วัดท่าซุง ก็ได้ครับ

    http://www.watthasung.com/home.php
     
  5. LP_TON

    LP_TON รวย ๆ ทุกเวลา นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    3,639
    ค่าพลัง:
    +5,710
    สาธุ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...