เล่าเรื่อง หมอชีวกโกมารภัจจ์ โดยหลวงพ่อฤาษี

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย กิดากร, 20 ตุลาคม 2010.

  1. กิดากร

    กิดากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,039
    จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่นที่ 17 ที่ผมได้มาจากตอนมาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง เมื่อปีกว่ามาแล้ว โดย.....หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    ประวัติของท่าน

    ---ความมีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในตอนนั้นก็มีท่านผู้หนึ่งที่เราได้ยินกันอยู่เสมอ คือ ท่านหมอ ชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นหมอสำคัญขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ คอยรักษาโรคและก็เป็นหมอที่มีความรู้พิเศษจริง ๆ การไปศึกษาของท่านนั้น ปรากฎว่าการไปศึกษาวิชาเวชศาสตร์มีความฉลาด สามารถยิ่งกว่าลูกศิษย์ใด ๆ จากสำนัก ตักสิลา

    ---เป็นอันว่าท่านชีวกโกมารภัจจ์นี้ มีประวัติอยู่ว่า เป็นลูกพิเศษของเจ้าใน กรุงราชคฤห์ คำว่าเป็นลูกพิเศษนี้ก็หมายความว่า อาจจะเป็นเมียพิเศษ ที่เจ้าย่องไปเจ้าชู้นอกเขตพระราชฐาน ผู้หญิงคนนั้นก็เลยมีลูกขึ้นมา 2 คน คือคนแรกชื่อว่า โกมารภัจจ์ เป็นลูกคนหัวปี คนที่สองมีนามว่า สิริมา เป็นคนสวยที่สุดในสมัยนั้น

    ---ต่อมาเมื่อโตขึ้น แต่ความจริงเกิดขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ไม่ได้รับว่าเป็นบุตรโดยตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ โดยความในด้านจิตใจก็คือสงเคราะห์ตลอดเวลา แต่เป็นการสงเคราะห์แบบลับ ๆ ฉะนั้นชื่อของท่านโกมารภัจจ์ก็ดี ของสิริมาก็ดี ไม่ได้ชื่อเป็นเจ้า แต่ว่าฐานะก็ดีเข้าขั้นในฐานะดีมาก และก็เป็นคนใกล้ชิดกับพระราชฐานตลอดเวลา เพราะเจ้ารู้ว่าเป็นลูกแต่ก็ยอมรับไม่ได้ ประกาศเปิดเผยไม่ได้ แลก็เลี้ยงอย่างลูก สงเคราะห์อย่างลูกเหมือนกัน เมื่ออายุได้ 16 ปี ก็ส่งไปอยู่เมืองตักสิลา ท่านตั้งหน้าตั้งใจศึกษาวิชาเวชศาสตร์เอาอย่างเดียว

    ---ครั้นเมื่อเวลาเรียนจบก็ลาอาจารยืกลับบ้าน อาจารย์ก็อยากทดลองความสามารถ จึงได้บอกให้ท่านโกมารภัจจ์จัดกระจาดเข้า 2 ลูก ทำด้วยหวายใส่สาแหรกหาบไป และมีมีด 1 เล่ม มีเสียม 1 เล่ม มีฆ้อน 1 อัน

    ---แล้วว่าเจ้าจงเดินไปด้าน 4 ทิศ ทิศละ 1 โยชน์ ดูหญ้าก็ดี ดูผักหญ้าต้นไม้ พืชพันธ์ธัญญาหาร ดินทราย หรือว่าแม้แต่แร่เหล็กต่าง ๆ แร่ต่าง ๆ ว่าดูว่า ถ้าสิ่งไหนมันไม่เป็นยาแล้วก็ตัดเอามาให้อาจารย์ดู หรือขุดมาให้อาจารย์ดู

    ---ท่านโกมารภัจจ์ใช้เวลาแบบนี้ประมาณเดือนเศษ พอเดินไป 1 โยชน์ กว่าจะถึง 1 โยชน์ก็ต้องเดินดูไปตลอดทุกอย่างตามทิศที่อาจารย์บอก เมื่อไปครบทุกทิศทุกด้านทาง 1 โยชน์ ก็ปรากฎว่ากลับมาหาบเปล่า หาอะไรที่เป็นยาไม่ได้เลย ครั้นมาถึงก็มารายงานอาจารย์ บอกว่ามันไม่มี ไม่มีสิ่งที่มันไม่เป็นยา จะเป็นดิน จะเป็นทราย เป็นหิน เป็นกรวด เป็นต้นไม้ เป็นต้นหญ้า ไม่ว่าอะไรทั้งหมดมันเป็นยาทั้งหมด

    ---ปรากฎว่าอาจารย์ก็ชมเชย บอกดีแล้ว อย่างนั้นกลับบ้านได้ ถ้ายังหาพวกทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งไม่เป็นยาในโลกนี้ ก็กลับบ้านไม่ได้ ถือว่าเรียนไม่จบ แล้วท่านก็ลากลับ กลับก็เดินมาในระหว่าทางไม่ทันจะถึงกรุงราคฤห์มหานคร

    รักษาภรรยาท่านเศรษฐี

    ---เวลาตอนเย็นวันหนึ่งมันใกล้ค่ำ ท่านก็พักอยู่ในโคนต้นไม้ใกล้บ้านมหาเศรษฐี พอดีท่านมหาเศรษฐีเดินลงไปพบเข้า ถามว่า ไปไหนมา ม่านก็บอกว่า ไปเรียนวิชาเวชศาสตร์ ท่านมหาเศรษฐีก็บังเอิญภรรยาของท่านเป็นโรคปวดศรีษะมา 3 ปี ทำงานไม่ได้ ใช้สมองไม่ได้ ถามว่าจะรักษาหายไหม เห็นว่าเป็นหมอ ท่านก็บอกว่าต้องดูอาการก่อน เมื่อเข้าไปดูอาการท่านก็บอกว่าจะทดลองดู เพราะว่าเรียนหมอมาใหม่ ๆ ยังไม่มั่นใจว่าจะรักษาหายหรือไม่หาย แต่ว่ายาไม่มีติดมือเลย

    ---ท่านเศรษฐีก็ถามว่าต้องการอะไรบ้าง ก็บอกว่ามี แกก็ถามท่านมหาเศรษฐีว่า ไอ้หญ้าประเภทนี้มีไหม อาตมาก็ลืมชื่อหญ้า ท่านบอกว่ามี ถ้าบอกชื่อก็หาไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จักกัน ถ้าเอาของ 2 อย่างเอาหญ้ามาโขลกเข้ากัน แล้วเลยใส่เข้าไปละลายคั้นเอาน้ำออกมากรองให้ดี แล้วก็หยอดไปในจมูกของภรรยาท่านมหาเศรษบี​

    --- พอหยอดลงไปเท่านี้ ก็ปรากฎว่าภรรยาท่านมหาเศรษฐี มีทั้งน้ำมูก มีทั้งสเลดออกจมูก ออกทั้งปาก ออกมาอย่างมาก ในที่สุดขนะเดียวกันก็ปรากฎว่าหายปวดทันที ท่านมหาเศรษฐีก็จัดรางวัลเป็นการใหญ่ แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์ท่านก็รับ เวลาจะกลับท่านก็มอบคืน เขาไม่บอกว่าคืน มอบของทั้งหลายเหล่านี้ไว้สงเคราะห์คนจนต่อไป นี่ประวัติต้นแล้วก็เดินทางกลับ​


    ประกอบยาถวายพระพุทธเจ้า

    ---เมื่อกลับมาก็ขอเทศน์ลัด พูดมากเวลามันไม่ค่อยพอเทศน์ เรื่องนี้มันต้องเทศน์กันเต็มวันทั้ง 3 วัน เป็นอันว่าในต่อมา ก็ได้เป็นหมอประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประชวรด้วยเรื่องอะไรก็ตามท่านโกมารภัจจ์ประกอบยาแค่เม็ดเดียวก็หายทันที นี่จะได้มองเห็นว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาเป็นพระอรหันต์ และเป็นยอดอรหันต์คือ จอมอรหันต์ก็ยังป่วยไข้ไม่สบาย ก็ยังแก่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นท่านทั้งหลายก็จะคิดว่าพระอรหันต์ไม่ป่วย

    ---เป็นอันว่าต่อมาในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกพระเทวทัตกลิ้งหินลงมา มีความปราถนาจะทับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ตายที่ยอดเขาคิชณกูฏ พระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่เชิงเขา พระเทวทัตขึ้นไปยอดเขาแล้วกลิ้งหินให้ทับแต่ก็เป็นการบังเอิญที่มีหินก้อนใหญ่มหึมาก้องหนึ่ง ปรากฎโผล่ขึ้นมากันหินที่พระเทวทัตกลิ้งมาแตกกระจาย เศษหินไปถูกพระบาทขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่นิ้วพระบาทห้อพระโล้หิต​

    ---เมื่อองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรอาการอย่างนั้น ท่านโกมารภัจจ์ก็ประกอบยาถวายปิดลงไปที่ห้อพระโลหิต แล้วก็เอาผ้าผูกไว้ พอเสร็จแล้วก็ลาองค์สมเด็จพระจอมไตรไปภายนอกกำแพงวัง คุยกับเพื่อนเพลินไป โอกาศเวลานั้นประตูเมืองก็ปิดหกโมงเย็น เข้าประตูเมืองไม่ได้ ก็ร้อนใจคิดว่า โอ้หนอ...ยาที่ถวายองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นยาแรง เวลานี้แผลก็คงจะหายแล้ว อีกประการหนึ่ง เมื่อแผลหาย ยาที่ยังพันอยู่ที่นิ้วพระบาทขององค์สมเด็จพระจอมไตรจะทำให้พระองค์ทรงมีความลำบาก เพราะยามีความร้อน​

    ---ตอนนั้นเอง องค์สมเด็จพระชินวร ทรงทราบวาระจิตของท่านโกมารภัจจ์ว่ามีความลำบาก คิดว่ายาจะเป็นโทษกับเรา จึงได้เรียก พระอานนท์ มาบอก อานันทะดูก่อนอานนท์ เธอจงแก้ผ้ามัดนิ้วตถาคตออกไป แล้วจงเอายาออก พอเอาออกแล้วพระอานนท์ก็เอาน้ำที่สะอาดมาล้างให้ ตอนรุ่งขึ้นท่านโกมารภัจจ์เข้าเมืองได้ก็รีบมาเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร​

    ---ถามว่า ยามีอันตรายแก่พระองค์ไหม พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าไม่มี เวลานี้ตถาคตให้พระอานนท์แก้ออกหมดแล้ว ถามว่าเวลาไหน ท่านถามว่าเวลาไหน พระพุทธเจ้าก็ตอบแก้เวลาที่เธอลำบากใจ คิดว่าจะมีอันตรายสำหรับฉัน นี่เป็นตอนหนึ่ง ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระภัควันต์บรมศาสดาป่วยเป็นโรคอะไร ท่านโกมารภัจจ์ก็รักษาหายทันทีทันใด​

    มาเที่ยวเมืองทวาราวดี

    ---ตอนนี้จะขอพูดเรื่องของท่านเหมือนกัน เป็นการแยกออกไปสักนิดหนึ่งจากการรักษา ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระศาสดาประทับสำราญอิริยาบถ ท่านโกมารภัจจ์ได้ยินข่าวว่า ชาวเมืองไอ้เมืองนี้ ทวาราวดีเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะมาเที่ยวเมืองทวาราวดี​

    ---คือเขตไทยทางด้านของ นครปฐม แต่ทวาราวดีเวลานั้นกินเขตแดนของทั้งหมดของเมืองไทยนี่เอง เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไทย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่าเมืองทวาราวดี ทูลลาองค์สมเด็จพระชินศรีจะมาเที่ยวเมืองทวาราวดีเกือบ 2 ปี แต่ความจริงอรรถกถาจารย์เขียนไว้ถึง 22 ปี อันนี้เห็นว่าท่าจะไม่ถูก ต้อง 2 ปี เพราะท่านโกมารภัจจ์ไม่สามารถจะทิ้งพระพุทธเจ้าได้ ในตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ถือว่าการเป็นพระโสดาบันนี่เป็นไม่ยากคือ​

    1.นึกถึงควมตายเป็นอารมณ์
    2.เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์
    3.มีศีล 5 บริสุทธิ์
    4.จิตใจต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์
    พระโสดาบัน เขาเป็นแค่นี้นะ ทุกคนก็เป็นได้​

    เมื่อมาถึงทวาราวดี อยู่ครบประมาณ 2 ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วท่านก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าชาวเมืองทวาราวดีนี้มีภาษาพูดที่เพราะมาก เป็นภาษาโดด คือพูดเป็นคำ ๆ คำว่าไปก็ไป คำว่ากินก็กิน
    อย่างเวลานั้น ภาษาแขกหรือชาว มคธ
    คำว่า "ไป" เขาก็พูดว่า "คันตวา" มันเป็นคำคู่ "กิน" ก็ "ภุญชติ"
    ภุญชติล่อเข้าไป 3 คำ กลั้วกัน คันตวาล่อเข้าไป 3 คำ ของเราไป ของเรากินมันเป็นคำโดด​

    ---พอกราบทูลองค์สมเด็จพระพุผู้มีพระภาคเจ้าว่าภาษาของชาวทวาราวดีเขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ และก็เป็นภาษาโดด พระพุทธองค์จึงถามว่า ทวาราวดีเขาพูดกันอย่างไร ลองพูดให้ฟังซิ ท่านโกมารภัจจ์ก็พูดให้ฟัง เมื่อพูดให้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี คุยกับท่านโกมาภัจจ์อยู่พักหนึ่งรู้สึกว่าสนุกสนานมาก ท่านโกมารภัจจ์ก็สนุก ทว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะสนุกหรือไม่สนุกก็ไม่ทราบ แต่เวลาคุยกับท่านโกมารภัจจ์ท่านคุยเป็นกันเอง คงจะสนุกเป็นพิเศษ​

    พระพุทธเจ้าเป็นคนไทยอาหม

    ---คุยกันไปคุยกันมา นโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรนี้เป็นลูกชาวกรุงกบิลพัสดุ์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี้ได้เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือความรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงนี่ปฏิสัมภิทาญาณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า ที่พระองค์ทรงตรัสภาษาทวาราวดีนี่รู้ได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน​

    ---องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงตรัสว่า โกมารภัจจ์ ภาษาทวาราวดีนี่เป็นภาษาเดียวกับชาวกรุงกบิลพัสดุ์ใช้เป็นภาษาพื้นเมือง ฉะนั้นท่านโกมารภัจจ์ก็ถามว่า ถ้าเช่นนั้น ชาวกรุงกบิลพัสด์ก็เป็นเชื้อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ไหม
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ทรงตรัสว่าใช่ คือ ชาวกบิลพัสด์ก็ดี ชาวทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม ตอนนี้ก็รู้ไว้​

    ---ต่อมาก็เทศน์เรื่องของท่านในเรื่องของหมอต่อไป ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาประกาศพระศาสนาได้ครบ 45 ปี มีอายุ 80 พอดี ตามอายุขัยของพระองค์ เวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ที่ ปาวาลเจดีย์ ท่านโกมารภัจจ์ไม่ได้อยู่ด้วย ไปธุระเสีย เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร คือปลงอายุสังขาร กำหนดวันนับต้องแต่เวลานี้ไป 3 เดือน เราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่แห่งเมือง กุสินารามหานคร

    ---เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรปรงปลงอายุสังขาร ตัดสินพระทัยว่าจะนิพพานแน่ เวลานั้นเกิดเหตุอัศจรรย์แผ่นดินไหว พระอานนท์เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรถามเหตุแผ่นดินไหมก็ตรัสว่า เพราะตถาคตปลงอายุสังขาร ตั้งใจไว้อีก 3 เดือนข้างหน้าจะนิพพาน คือวันวิสาขบูชา ที่ระหว่านางรังทั้งคู่ แห่งเมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็อาราธนาองค์สมเด็จพระชินวรให้อยู่ต่อ ขอเทศน์ลัดเลยนะเวลาเหลือน้อย​

    พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับยา

    ---ท่านก็บอกไม่ได้ ต้องนิพพานแน่ ฉะนั้นก็ปรากฎว่าท่านโกมารภัจจ์กลับมาเห็นสมเด็จพระบรมศาสดาเศร้าหมองลงไปมาก ซุบซีดผอม ฉันอาหารก็ไม่ได้ แสดงว่าโรคภัยไข้เจ็บรบกวนมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทนพระวรกาย ผืนการเจ็บปวดทุกขเวทนาทั้งหมด สอนวันนั้น เวลานั้นคนก็ดี สอนพระก็ดี สมเด็จพระชินศรีไม่ทรงเทศน์เรื่องพระสูตรเลย เทศน์เฉพาะ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเป็นการตัดฉากใกล้นิพพาน​

    ---ท่านโกมารภัจจ์ก็ไปถามองค์สมเด็จพระพิตมารถึงโรคท่านก็ไม่ตอบ ท่านโกมารภัจจ์ก็เสียใจว่าถ้าเรารู้ชื่อโรคนิด อาการโรคนิดเดียวรักษาด้วยยาเม็ดเดียวให้หาย ต่อมาก็ได้ปรุงยาขึ้นเม็ดหนึ่งเพื่อถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระองค์เสวยยาเม็ดนั้นท่านจะรู้อาการโรคทันที เป็นยาพิสูจน์โรค พระพุทธเจาก็ไม่ทรงรับเสียอีก ถวาย 3 ครั้ง ท่านก็คว่ำมือถึง 3 ครั้ง​

    ---ท่านโกมารภัจจ์ก็เสียใจ จึงเอายาไปใส่ในบ่อน้ำ คิดว่าจะให้ใครกินก็ไม่สมควร ยานี้เป็นยาถวายพระพุทธเจ้า ไปใส่ในบ่อน้ำ พระอรรถกถาจารย์ หรือพระฏีกาจารย์ แก้อธิบายว่าน้ำในบ่อนั้นมันลึกอยู่แล้ว มันฟูขึ้นไปเลยบ่อเจ็ดชั่วลำตาลอัศจรรย์มาก ต่อมาเมื่อได้พบท่านโกมารภัจจ์ถามท่าน ท่านบอกว่านานๆ เข้ามันก็ยาวเหมือนกัน เมื่อต้นไม้ปลูกนานๆ เข้ามันก็ยาว แต่ควมจริงมันฟูขึ้นมาถึงปากบ่อ ไม่ได้เลยปากบ่อถึงเจ็ดชั่วลำตาล นี่เป็นอันว่าอรรถกถาจารย์ พระฏีกาจารย์เขาเขียนยาวมากเกินไป พาให้คนไม่เชื่อ​


    หนีเข้าป่าเจริญสมณธรรม

    ---หลังจากนั้นมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว เมื่อเขาเก็บพระบรมสารีริกธาตุเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ก็ไปงานสมเด็จองค์พระประทีปแก้วเหมือนกัน เวลานั้นท่านก็คิดว่า เราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุทธเจ้า จะถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่เวลานี้พระพุทธเจ้ามานิพพานเสียก่อน เราก็หมดที่พึ่ง เวลานี้เราเป็นคนไม่มีอะไรแล้ว​

    ---ลูกก็ดี เมียก็ดี ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ดี ข้าทาสหญิงชายก็ดี เราไม่มีเพราะเราสิ้นหวัง เราหมดที่พึ่ง ไอ้ร่างกายของเรานี่มันก็ใช้อะไรไม่ได้ ไม่ต้องการมันต่อไป ออกจากงานศพแทนที่จะเข้าบ้าน ก็เปิดเข้าป่าไปเลย ไปนอนอยู่ในถ้ำ ไปนั่งนอนคิดว่าเวลานี้สมเด็จพระธรรมสามิสรที่เป็นที่พึ่งใหญ่ของเรานิพพาน เราก็ไม่เอาอะไรมันทั้งหมด นอนให้มันตายอย่างนี้ล่ะ ข้าวปลาอาหารก็ไม่กิน​

    ---แต่ท่านก็เล่าต่อไปว่า ถึงมันจะหลบเข้าไปแบบนั้น คนก็เห็นแก่ตัวไปรบกวนท่าน ไปขอยาท่าน ท่านก็เลยเข้าป่าลึกเข้าถ้ำให้มันลึกเข้าไปอีก แล้วก็ไปนอน นอนเฉยๆ คิดว่าเราหมดที่พึ่ง เราเป็นคนไม่มีอะไร ร่างกายเราก็ไม่ต้องการมันให้มันตายไปแบบนี่แหล่ะ มันอยากตายเมื่อไรก็ให้มันตายถ้ามันไม่ตายก็ไม่ลุก จะอยู่มันที่นี้ตลอดไป พอตัดสินใจแบบนี้ก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าลงมา 3 ครั้ง ครั้งแรกก็เรียกว่า "โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม...?"
    ท่านก็บอกว่าใช่ ท่านไม่เห็นตัว ฟ้าแลบเข้ามาก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าอีก ก็บอกอย่างนั้น ท่านก็ตรัสอย่างนั้น แล้วเสียงนั้นก็หายไป สายฟ้าก็หายไป ท่านก็เลยบอกว่า หลังจากนั้นแล้วผมก็เลยนอนหลับ หลับแล้วผมก็หลับเลยไม่ตื่น รวมความว่าเวลานั้นท่านเป็นอรหันต์แล้วก็นิพพานทันที​


    อารมณ์ถึงอรหันต์

    ---เอาเรื่องนี้มาพูดให้เห็นว่า ความกตัญญูกตเวทีของท่านโกมารภัจจ์เป็นของดี แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์นี้ไปนิพพานคือเป็นอรหันต์ได้ เพราะมีความรู้สึกอะไร ฉะนั้นขอท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงจำไว้ว่า คำว่าถึงอรหันต์น่ะมันมีอยู่คำเดียว หรืออย่างเดียว คือ เราไม่ติดอะไร ทั้งหมด จิตกำหนดว่าวัตถุธาตุต่างๆ คนก็ดี ใครก็ตาม ไม่ได้เนื่องถึงเรา คือไม่ใช่เป็นของเรา แต่เขาเนื่องถึงเราจริงเราสงเคราะห์หรือทำงานสงเคราะห์ให้ตามหน้าที่ทุกอย่างแต่เราไม่ผูกพัน คิดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แม้แต่ร่างกายเราก็ไม่ต้องการ

    ---ถ้าคิดอย่างนี้ก็ตรงกับคำที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสในตอนท้ายมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เธอจงอย่าสนใจกายภายใน คือกายตัวเอง อย่าติดในกายภานอก คือ กายคนอื่น และก็จงอย่าตืดในวุตถุธาตุใดๆ จงปลงกำลังใจว่า แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา เพียงเท่านี้ทุกคนก็จะเป็นอรหันต์​

    ---ฉะนั้น ท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นคนผิดหวังในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าท่านจะตายก่อน แต่เมื่อองค์สมเด็นพระชินวรบรมศาสดานิพพานแล้ว ท่านก็ตัดสินใจว่าเราเป็นคนไม่มีอะไรทั้งหมด ลูกไม่มี เมียไม่มี ทรัพย์สมบัติไม่มี ร่างกายไม่มีความหมาย​

    ---เมื่อมันอยากจะตายช้าที่หลังพระพุทธเจ้า มันก็ปล่อยใหห้มันตายด้วยความอดอยากก็ช่างมันปะไร เราไม่ต้องการมันต่อไป อันนี้เป็นอารมณ์ของอรหันต์ เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้วท่านก็เป็นอรหันต์ทันที ฆราวาสถ้าเป็นอรหันต์วันนี้วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน แล้วท่านก็นิพพานจนกระทั่งบัดนี้​
     
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p

    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา </O:p>
    *
    [​IMG]
     
  3. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ทรงตรัสว่าใช่ คือ ชาวกบิลพัสด์ก็ดี ชาวทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน
    นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ซึ่งตอนนั้น คนไทย ได้กระจัด กระจายกันอยู่ ในเขตของอินเดีย พม่า ไทยตอนบน ตอนกลาง และทางใต้ ซึ่งยังมิได้แบ่งเขต เป็นประเทศ อย่างเช่น ปัจจุบัน


    อนุโมทนา
    สา...ธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
     
  4. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    บันทึกปฐมเหตุที่ได้พบและการปั้นหล่อรูป

    บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต
    เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย อาตมาภาพขณะนั้นมีสมณศักดิ์เป็นที่ อง พจนสุนทร (ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่ อง สุตบทบวร และบัดนี้เป็นที่ อง สรภาณมธุรส) ได้กระทำพิธีเชิญวิญญาณคุณพูนเพ็ญ จำรูญจันทร์ ภรรยา ร.ต.อ. ทวี จำรูญจันทร์ (ขณะนี้มียศเป็น พ.ต.ต) ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปนานแล้ว มาประทับร่างทรงบนกุฎีของอาตมา ต่อหน้าสานุศิษย์ ๒ - ๓.คน.
    เมื่อครั้งคุณพูนเพ็ญยังมีชีวิตอยู่ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของอาตมาภาพ และเป็นพุทธมามกะที่ดีในพระบวรพุทธศาสนา อาตมาภาพได้รับไว้ด้วยความเต็มใจ เพื่อสนองความตั้งใจของคุณพูนเพ็ญ จากนั้นไม่นาน คุณพูนเพ็ญได้ถึงแก่กรรม หลังจากได้ฌาปนกิจศพแล้ว ร.ต.อ. ทวี จำรูญจันทร์ได้นำกระดูกของภรรยามาบรรจุไว้ในเจดีย์เล็ก ซึ่งทำไว้ที่ชานชั้นบน.กุฎีของอาตมาภาพ ตามความประสงค์ของคุณพูนเพ็ญ ซึ่งได้สั่งไว้ก่อนที่จะถึงแก่กรรม แต่นั้นมาวิญญาณคุณพูนเพ็ญก็ได้วนเวียนอยู่ใกล้กับอาตมาภาพตลอดมา
    วิญญาณคุณพูนเพ็ญมาประทับทรงในร่างของ ร.ต.อ ทวี จำรูญจันทร์ เมื่อเวลา ๒๑.๓๐ น ได้กล่าวกับอาตมาภาพตอนหนึ่งว่า “ ที่หนูมานี่น่ะ หนูจะมาบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อเป็นหมอรักษาโรคต่าง ๆ แต่หนูลืมบอกให้หลวงพ่อทูลเชิญท่านชีวกโกมารภัตมาประสิทธิ์ประสาทความรู้ในการรักษาโรค ให้หลวงพ่อถวายตัวเป็นศิษย์ท่านเสีย”
    อาตมาภาพได้ถามว่า “ท่านชีวกโกมารภัตเป็นใคร ?”
    วิญญาณคุณพูนเพ็ญได้อธิบายแก่อาตมาภาพว่า “ท่านชีวกโกมารภัต เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ เป็นนายแพทย์ที่ได้ถวายการรักษาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อคราวประชวรที่พระชงฆ์ และถวายพระโอสถเป็นประจำพระองค์เลยทีเดียว”
    อาตมาภาพมีความสนใจทันทีและได้ถามต่อไปว่า “จะเชิญท่านมาวันไหนจึงจะเหมาะ ส่วนเครื่องสักการบูชานั้น จะจัดทำเช่นไร จึงจะถูกความประสงค์ของท่าน”
    วิญญาณคุณพูนเพ็ญตอบว่า “ให้หลวงพ่อทูลเชิญท่านในวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ส่วนเครื่องสักการบูชานั้นจัดเป็นขันธ์ ๕ ถวายแก่องค์ท่าน”
    คุณวิทย์ ศิวะดิตถ์ เจ้าของห้างเสรีวัฒน์ สะพานหัน พระนคร ซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วย เป็นผู้ทราบเรื่องขันธ์ ๕ ดี รับจะจัดการให้
    ครั้นวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ ๒๔๙๗ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะเมีย เวลา ๒๒.๑๐ น คุณวิทย์ ศิวะดิตถ์ ได้จัดขันธ์ ๕ มาให้ตามที่ได้รับปากไว้ อาตมาภาพได้นำเครื่องสักการบูชาขันธ์ ๕ ตั้งบนโต๊ะ ซึ่งได้จัดไว้ที่ระเบียงด้านหน้าชั้นบนกุฎี อาตมาภาพได้ทำพิธีสวดสดุดีและอัญเชิญวิญญาณของบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ให้รับทราบว่า อาตมาภาพขอฝากฝังตัวเป็นศิษย์ของท่านในทางรักษาโรค พร้อมกับขอสักการบูชาด้วยขันธ์ ๕ เป็นการแนะนำตัวเองให้ท่านได้รับทราบไว้
    ต่อมา เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะเมีย เวลา ๑๒.๑๕ น ขณะที่อาตมาภาพกำลังปรารภอยากจะหาช่างมาปั้นพระพักตร์ของบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ซึ่งอาตมาภาพจะได้อัญเชิญให้มาปรากฏที่หัวแม่มือ เพื่อจะได้นำมาเป็นแบบปั้นรูป และหล่อไว้เป็นที่เคารพบูชาต่อไป คุณโชติ สโมสร (ได้ถึงแก่กรรมแล้ว) ซึ่งมีความสามารถในการปั้นรูป ได้มาหาอาตมาภาพ อาตมาภาพจึงได้นำคุณโชติขึ้นบนกุฎิชั้นบน.เพื่อปั้นรูปที่อาตมาภาพจะได้ อัญเชิญให้มาปรากฏที่หัวแม่มือ คุณโชติไม่เชื่อว่าอาตมาภาพจะอัญเชิญภาพให้มาปรากฏได้ อาตมาภาพจึงได้บอกกับคุณโชติว่าจะทำให้ประจักษ์
    อาตมาภาพได้ทำพิธีอัญเชิญบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ให้ปรากฏภาพพระพักตร์ เพื่อให้คุณโชติปั้นไว้เป็นแบบ เมื่อภาพได้มาปรากฏที่หัวแม่มืออาตมาภาพ คุณโชติมีความแปลกใจถึงกับอุทานว่า “ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองแล้ว จะไม่เชื่อเลย”
    คุณโชติทำการปั้นรูปพระพักตร์บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ตามที่ได้เห็นที่หัวแม่มือของอาตมาภาพทันที เวลาล่วงไป ๒ ชั่วโมง การปั้นรูปพระพักตร์ของบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ก็ได้สำเร็จอย่างเรียบร้อย ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของคุณโชติผู้ปั้น และเพื่อนฝูงของเขาเป็นอันมาก ที่ได้มาพบเห็นปรากฏการณ์ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ภายในโลกนี้ จากการทำพิธีอัญเชิญของอาตมาภาพ
    กับศิษย์คนหนึ่งของอาตมาภาพ คุณโชติ สโมสร ได้เปิดเผยความในใจ หลังจากได้เห็นพิธีที่อาตมาภาพได้อัญเชิญภาพพระพักตร์บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัตให้มาปรากฏที่หัวแม่มือ และได้ปั้นรูปพระพักตร์ขององค์ท่านเสร็จแล้วว่า :-
    “เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาวัดนี้.(วัดสมณานัมบริหาร).ด้วยอารมณ์อันเลื่อนลอยที่เกิดขึ้นภายในตัวของผมเอง เพราะงานที่ผมทำให้กับอาจารย์ชุม ไชยคีรี ยังค้างอยู่บ้าง ผมมาดูงานปั้นรูปอาจารย์คง ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ.
    เมื่อผมเดินเข้าไปในวัด ก็เลยไปที่ศาลาร่วมบุญ ผมได้พบท่าน อง พจนสุนทร กำลังทำการเสกเป่าคนไข้อยู่ ขณะนั้นผมก็เกิดศรัทธาในองค์ท่านขึ้นมาทันที ซึ่งผมเรียกท่านว่า หลวงพ่อ ผมเลยนั่งดูท่านทำการรักษาคนไข้อยู่พักหนึ่ง หลวงพ่อได้หันมาถามผมว่า
    “คุณปั้นรูปได้ใช่ไหม ?”
    ผมตอบท่านว่า “พอจะปั้นได้ครับ ถ้ามีแบบให้ผมดู หลวงพ่อจะให้ผมปั้นรูปอะไรครับ ?”
    หลวงพ่อได้พูดตอบผมว่า “อาตมาภาพอยากจะให้คุณปั้นรูปของท่านชีวกโกมารภัต”
    เมื่อผมได้ยินหลวงพ่อพูดเช่นนั้น ก็รู้สึกงงเป็นกำลัง เพราะไม่ทราบว่าท่านชีวกโกมารภัตเป็นใคร เมื่อหลวงพ่อเห็นผมมีสีหน้าแสดงความงงเช่นนั้น หลวงพ่อจึงได้อธิบายให้ฟังว่า
    “ท่านชีวกโกมารภัต คือ นายแพทย์ที่ทำการรักษาพระพุทธองค์และประจำตัวของพระองค์ อาตมาภาพจะอัญเชิญภาพของท่านให้มาปรากฏที่หัวแม่มือเป็นแบบให้คุณปั้น”
    พอผมได้ฟังหลวงพ่ออธิบาย ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเคยได้รู้เรื่องนี้มาก่อนแต่ลืมไป รู้สึกขันขึ้นมาทันทีและไม่เชื่อเลยว่า หลวงพ่อจะอัญเชิญให้มาปรากฏที่หัวแม่มือได้
    ขณะนั้น ท่านอาจารย์ประสาน เปรมปรีชา ผู้มีความชำนาญทางเข้าฌาน ดูทางใน ได้เพ่งมองมายังผม แล้วก็หันไปพูดกับหลวงพ่อว่า
    “คนนี้ทำได้แน่”
    ผมได้ยินดังนั้น รู้สึกไม่ตื่นเต้น และไม่เชื่อเอาทีเดียว จากนั้นสักครู่หนึ่งผมก็ได้กราบลาหลวงพ่อกลับไป โดยไม่มีเรื่องนี้อยู่ในความสนใจของผมตามไปด้วยเลย ผมจำได้ว่าวันนี้วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ ๒๔๙๗
    คืนวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ ๒๔๙๗ ผมได้มาเที่ยวที่วัดนี้อีก เมื่อประมาณ ๑๖.๐๐ น ผมได้พบกับหลวงพ่อ หลวงพ่อถามผมว่า
    “พรุ่งนี้คุณว่างไหม ? อาตมาภาพจะอัญเชิญท่านชีวกโกมารภัตให้มาปรากฏที่หัวแม่มือให้คุณดูเป็นแบบปั้น”
    ผมรีบบอกท่านว่า “ว่างครับ” แล้วผมก็รับคำหลวงพ่อที่บอกให้ผมปั้นรูปท่านชีวกโกมารภัต
    ผมไปธุระที่อื่นอีกและกลับถึงบ้านเวลาประมาณ ๒๔.๐๐ น เมื่อเข้าไปในบ้านนั่งพักผ่อนอยู่สักครู่หนึ่ง ผมรู้สึกว่าเจตสิกของผมเริ่มมือาการพิกล ผมได้เดินไปหยิบดินน้ำมันในสำนักงานออกมาคลำเล่น พร้อมกับนึกว่า รูปท่านชีวกโกมารภัตที่หลวงพ่อจะให้ปั้นนั้น คงจะมีรูปลักษณะไปทางคนจีน ผมจึงเริ่มปั้นเป็นเค้าคนจีนเพราะเชื่อแน่ว่าหลวงพ่อคงถนัดทางจีนมากกว่า ขณะนั้นฝนเริ่มโปรยลงมาตลอดเวลา ผมปั้นรูปนั้นเสร็จประมาณตีหนึ่งเศษ
    รุ่งเช้าผมได้ชวนคุณเฉลิม และ คุณจุไรรัตน์ ซึ่งเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยศีลปากรมาด้วยเพื่อพิสูจน์ความจริง มาถึงวัดเวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น เมื่อผมได้พบหลวงพ่อแล้ว ผมก็เอารูปปั้นเป็นแบบจีนออกมาถวายให้ดู หลวงพ่อก็บอกว่า
    “ไม่ใช่ รูปร่างที่แท้จริงของท่านเป็นแขกพราหมณ์ ไม่ใช่จีน”
    หลวงพ่อได้บอกให้ผมขึ้นไปบนกุฏิพร้อมกัน
    หลวงพ่อได้ทำพิธีอัญเชิญ ผมได้สนใจเฝ้าดูหลวงพ่อตลอดเวลาทุกอิริยาบถและรู้สึกว่าการทำพิธีอัญเชิญนั้นง่ายเหลือเกิน และแปลกเกินกว่าความคาดหมายของผม หลวงพ่อได้จุดธูป และปักตามที่บูชาต่าง ๆ ในกุฎี และได้ว่าคาถาเป็นภาษาญวนปนไปกับภาษาบาลี ซึ่งผมเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง จิตใจของผมในขณะนั้นอยากจะเห็นภาพและทำการปั้น เพื่อพิสูจน์ความจริง คุณเฉลิม และ คุณจุไรรัตน์ ได้ขึ้นมานั่งดูอยู่ด้วย.
    หลวงพ่อได้นั่งบนอาสนะ มือถือธูปที่จุด แล้วกำมือและหัวแม่มือชูขึ้น สายตาของผมจ้องจับอยู่ที่หัวแม่มือของหลวงพ่อ ในไม่ช้า ก็ปรากฏเห็นเป็นจุดขาว และจุดขาวนั้นได้ขยายตัวโตขึ้น.ๆ จนเห็นเป็นภาพ แต่ไม่ชัด ผมตอนนั้นจิตใจรู้สึกตื่นเต้นเพราะได้ประจักษ์สิ่งที่ไม่เ.คยเห็นมาก่อน
    หลวงพ่อได้เปลี่ยนที่นั่งใหม่ ซึ่งมีแสงสว่างน้อย คราวนี้ภาพที่หัวแม่มือของหลวงพ่อได้ปรากฏแจ่มชัด ผมเริ่มปั้นตามภาพใบหน้าที่เห็นในภาพนั้นทันที ใจผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ได้ปั้นตามภาพที่ปรากฏให้เห็นนั้น ผมใช้เวลาถึง ๒ ชั่วโมงจึงปั้นเสร็จเรียบร้อย ขณะที่ปั้นอยู่นั้น ผมชักสนุกและรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะบ้าไปทุกขณะ มานั่งปั้นรูปโดยไม่มีเหตุผล
    คุณเฉลิม และ คุณจุไรรัตน์ ที่ผมชวนมาด้วย ก็เห็นภาพนั้นเช่นเดียวกับผมและยืนยันว่า ภาพที่ปรากฏที่หัวแม่มือหลวงพ่อเหมือนกับรูปที่ผมปั้นทุกประการ เมื่อผมปั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมพร้อมด้วยคุณเฉลิม และ คุณจุไรรัตนได้กราบลาหลวงพ่อกลับ แต่ผมไม่กล้าเอารูปที่ผมปั้นกลับไปบ้านด้วย.
    วันรุ่งขึ้น ผมได้ไปที่บ้านท่านอธิบดีกรมเจ้าท่า คือ คุณพระพิจารณ์ชลกิจ ขณะที่นั่งคุยอยู่นั้น ผมได้จับหัวแม่มือของผมลูบคลำอยู่ไปมา อัศจรรย์นักเมื่อผมมองดูที่หัวแม่มือของผมเอง เริ่มเห็นปรากฏเป็นภาพของท่านชีวกโกมารภัต เหมือนกับที่ผมได้เห็นที่หัวแม่มือของหลวงพ่อ เสร็จธุระแล้วผมก็ได้กลับจากบ้านท่านอธิบดีกรมเจ้าท่า
    ผมได้ไปที่วัดสมณานัมบริหารทันที เมื่อเข้าไปในโบสถ์ ผมพบหลวงพ่ออยู่ในโบสถ์แล้ว ผมได้เอาหัวแม่มือให้หมออินเทวดา (ยศ ร.ต.ต. ตำรวจน้ำ) ดู แล้วถามว่า “ในนี้มีอะไรหรือเปล่า?”
    หมออินเทวดาดูสักพักหนึ่งก็บอกว่า “มี เห็นหน้าคนมีหนวดคางแพะ” และเห็นเด่นชัดขึ้นประมาณ ๒ นาที ผมทราบได้ทันทีว่าเป็นรูปของท่านชีวกโกมารภัต
    หลวงพ่อนั่งหัวเราะเมื่อหมออินเทวดาพูดดังนั้น แล้วชวนผมกับหมออินเทวดาไปที่กุฏิ หลวงพ่อหยิบรูปที่ผมปั้นมาให้หมออินเทวดาดู หมออินเทวดาเห็นรูปปั้นก็ร้องเสียงดังว่า “ใช่แล้ว ๆ ” แล้วก้มลงกราบรูปนั้นทันที ผมเห็นดังนั้นชักงง และเริ่มเชื่อว่า เท่าที่ได้เห็นภาพ และปั้นรูปจนสำเร็จนั้นเป็นความจริง ผมก้มลงกราบรูปปั้นของท่านที่ผมได้ปั้นไว้ด้วยคารวะอันสูง.
    อา บัดนี้ผมได้พบกับความมหัศจรรย์ และหลักไสยศาสตร์อันยิ่งใหญ่พร้อมกับหมออินเทวดาเข้าให้แล้ว หมออินเทวดาก็ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อทันทีพร้อมกับกล่าวว่า
    “ผมมาที่นี่ด้วยจิตใจเลื่อนลอย หรือด้วยอำนาจอะไรผมก็บอกไม่ถูก แต่ตามความจริงใจแล้ว ผมไม่ต้องการมา เมื่อผมได้มาแล้ว เห็นแล้ว ผมก็ภูมิใจ”
    ยังอีกครับ ยังไม่เชื่อถนัดนัก วันรุ่งขึ้น เวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น ผมได้มาที่วัดสมณานัมบริหารอีก ผมให้คนงานที่กำลังแต่งรูปอาจารย์คงอยู่ มาดูที่หัวแม่มือของผม เขาว่าผมชักจะบ้าเสียแล้ว แต่เมื่อนั่งดูอยู่ประมาณ ๕ นาทีก็ปรากฏเป็นภาพท่านชีวกโกมารภัตขึ้นมา เขาไม่เชื่อ และปกปิดผมด้วย แต่ผมได้มารู้ทีหลัง.
    เมื่อผมเห็นเขาไม่เชื่อ ผมก็เจ็บใจ ให้เขาจับหัวแม่มือของเขาดูเอง คราวนี้ด้วยอำนาจของความศักดิ์สิทธิ์ เขาได้เห็นภาพปรากฏขึ้นที่หัวแม่มือของเขา แต่เห็นด้านข้าง ผมถามเขาว่า เห็นเป็นรูปร่างลักษณะอย่างไร และให้เขาสเก็ตภาพคร่าว ๆ ให้ดู แล้วผมก็หยิบกระดาษข้าง ๆ .ตัว นำมาตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยม เพื่อนำมาเขียนภาพที่ปรากฏในหัวแม่มือของคุณอำไพ นักเรียนเตรียมศีลปากร ผมได้เขียนภาพที่ปรากฏนั้นประมาณ ๑๐ นาทีก็ได้ภาพของท่านชีวกโกมารภัต ด้านข้าง ขณะที่ผมกำลังเขียนภาพอยู่นั้น ร.ต. ประมวล นั่งอยู่ด้วย ได้กล่าวว่าผมเป็นบ้าไปแล้ว แต่ผมไม่ถือเพราะผมเห็นเช่นนั้น
    “คืนวันนั้น.ผมได้นำภาพที่ผมเขียนขึ้นไปถวายให้หลวงพ่อดูที่วัด ภาพนั้นเหมือนรูปที่ผมปั้นทุกประการ ผมขอรับรองว่า ภาพท่านชีวกโกมารภัตนี้ สูงเกินกว่าจะมีศิลปินผู้ใดจะมีมโนภาพเห็นได้ขนาดนี้ และยากที่จะทำได้เช่นนี้ถ้าขาดอำนาจศักดิ์สิทธิ์มาดลจิตใจให้เกิดกำลังความคิด และฝีมือที่ปั้น
    ส่วนกระดาษที่ผมนำมาตัดเขียนภาพนั้น เมื่อมาถึงวัด ผมสังเกตเห็นอักษรภาษาฝรั่งท้ายภาพนั้น เป็นคำว่า ‘SERVICE MEDICAL’ ผมได้ไปเปิดปทานุกรมภาษาอังกฤษดู ก็ทราบคำแปลเป็นภาษาไทยว่า ‘สถานบริการทางการแพทย์’ ผมรับรองว่า ไม่ได้จงใจให้เหลือคำดังกล่าวนั้นเลย จะเป็นด้วยความบังเอิญหรือเหตุใดผมไม่ทราบ
    ตั้งแต่นั้นมา ผมก็เชื่อทันทีว่า วิญญาณนั้นมีจริง และสิงสถิตอยู่ตามขั้นบุญและบาป ที่บุคคลนั้น ๆ ได้กระทำไว้ ที่ผมเชื่อเพราะผมได้เห็นประจักษ์กับตาของตนเองทีเดียว เป็นข้อพิสูจน์ที่มีค่าเกินกว่าข้อพิสูจน์ใด ๆ ทั้งสิ้นในโลก”.
    คืนวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ ๒๔๙๗ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย เวลากลางคืน ได้มีศิษย์และผู้รู้จักมักคุ้นหลายคนมาสนทนากับอาตมาภาพที่กุฎี
    จนกระทั่งเวลา ๒๒.๐๐ น คุณนายสมาน พงษ์สุวรรณ ได้ปรารภกับอาตมาภาพว่า อยากจะให้อาตมาภาพอัญเชิญเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ อันเป็นที่เคารพนับถือมาประทับร่างทรง ด้วยต้องการจะถามกิจการบางอย่าง อาตมาภาพก็รับจะอัญเชิญให้
    ทั้งหมดได้ลงมายังศาลาร่วมบุญ อาตมาภาพให้คุณชอุ่ม วัฒนแจ้ง หลานของคุณนายนั่งเป็นร่างประทับทรง อาตมาภาพได้ประกอบพิธีอัญเชิญ สักครู่หนึ่งเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ก็เริ่มเข้าประทับทรงในร่างของคุณชอุ่ม แต่ไม่เข้าประทับทรงเต็มที่.ทำให้คุณชอุ่มเหนื่อยอ่อนไปทีเดียว
    ขณะนั้น คุณประทุม จันทรสมบูรณ์ ศิษย์หญิงคนหนึ่งของอาตมาภาพ กลัวว่าคุณชอุ่มจะเหนื่อยมาก จึงบอกกับอาตมาภาพขอเป็นผู้นั่งเป็นร่างประทับทรงแทน ถ้ามิฉะนั้นแล้วเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์จะไม่ยอมออกจากร่างคุณชอุ่มแน่ เมื่อคุณประทุมนั่งเป็นร่างประทับทรงแทนแล้ว สักครู่เทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ก็เข้าประทับทรงในร่างคุณประทุมทันที คุณชอุ่มก็เป็นปกติ.
    เมื่อคุณนายสมาน ได้ถามเรื่องราวพอสมควรแล้ว อาตมาภาพถามเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ว่า
    “อาตมาภาพมีความประสงค์จะอัญเชิญท่านชีวกโกมารภัตมาประทับร่างทรงบ้าง จะต้องปฏิบัติเช่นไร และท่านประสงค์เข้าประทับทรงในร่างของผู้ใด”
    เทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ในร่างประทับทรงบอกว่า
    “จะอัญเชิญท่านชีวกโกมารภัตมาประทับร่างทรงนั้น อัญเชิญได้ แต่ต้องให้ท่านนั่งบนผ้าขาวสะอาด เพราะเป็นเทพยเจ้าชั้นสูง”
    แล้วชี้มือไปยัง ร.ต.อ. ทวี จำรูญจันทร์ ( บัดนี้เป็น พตต ) ให้เป็นผู้นั่งเป็นร่างประทับทรง เพราะเป็นคนสะอาดพอ
    แต่ ร.ต.อ ทวี ได้หนีออกไปจากศาลาร่วมบุญเสียแล้ว อาตมาภาพจึงให้คุณชอุ่ม วัฒนแจ้ง คุณเกษม สวาวสุ และ พ.อ อร่าม เมนะคงคา แห่งกองพันที่ ๑ ทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ เป็นผู้นั่งเป็นร่างประทับทรง แล้วอาตมาภาพก็ทำพิธีอัญเชิญท่านชีวกโกมารภัต ทันที
    ขณะที่อาตมาภาพกำลังทำพิธีอัญเชิญอยู่นั้น ร.ต.อ ทวี ได้กลับเข้ามาในศาลาอีก แล้วนั่งซึมอยู่ทางอีกด้านหนึ่งเพียงคนเดียว ชั่วครู่หนึ่ง ร.ต.อ ทวี ก็มีอาการผิดปรกติ เอามือตบเตียงดังฉาดใหญ่ จุดสนใจของคนทั้งหมดที่อยู่ในศาลา ก็หันไปทางเดียวกันเหมือนนัดหมาย ท่านชีวกโกมารภัตได้เข้าประทับทรงในร่าง ร.ตอ ทวี แล้ว หนีไม่พ้นเหมือนคำเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์บอกทุกประการ
    เมื่อท่านชีวกโกมารภัตได้เข้าประทับทรงเต็มที่แล้ว อาตมาภาพได้อัญเชิญให้ท่านนั่งบนอาสนะผ้าขาว ซึ่งได้จัดเตรียมไว้แล้ว อาตมาภาพได้กล่าวฝากฝังตัวเองเป็นศิษย์ ศึกษาวิธีรักษาโรคกับท่าน ท่านก็ได้รับไว้ด้วยความเต็มใจ อาตมาภาพก็ได้ถามถึงประวัติของท่าน และเรื่องอื่น ๆ สักครู่ แล้วท่านก็ได้ออกจากร่างประทับทรงไป นับเป็นครั้งแรกที่อาตมาภาพได้พบกับท่านชีวกโกมารภัต ในร่างประทับทรง และได้พูดจากับท่าน.
    ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ ๒๔๙๗ วันอาทิตย์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย เวลา ๒๓.๒๐ น. อาตมาภาพได้ประกอบพิธีอัญเชิญท่านชีวกโกมารภัตเข้าประทับทรงในร่างของ ร.ต.อ ทวี จำรูญจันทร์ ในพระอุโบสถวัดสมณานัมบริหาร อาตมาภาพได้ขออนุญาตหล่อรูปของท่านเท่าตัวคนจริง ๑ รูป และรูปเล็กขนาดหน้าตัก ๓ นิ้วอีก ๑๐๘ รูป เพื่อทำการสักการบูชา และให้ผู้ที่มีความเคารพนับถือไว้บูชา โดยนำรูปปั้นที่คุณโชติ สโมสร ปั้นไว้ให้ท่านดู
    ท่านชีวกโกมารภัตได้พูดว่า “เรื่องนี้จะไม่ใหญ่โตไปหรือ? แต่ถ้าเป็นความประสงค์ของท่านและลูกหลาน ก็อนุญาต” และท่านชีวกโกมารภัตได้ประสิทธิ์ประสาทคาถารักษาโรคให้ว่า “นะอะนะวะ โรคาพยาธิ วินาสสันติ
    เมื่อได้รับอนุญาตจากท่านชีวกโกมารภัตดังกล่าวแล้ว อาตมาภาพได้ให้นายชิ้น ชื่นประสิทธิ์ ปั้นรูปของท่านขนาดองค์จริง ๆ ๑ รูป และรูปเล็กขนาดหน้าตัก ๓ นิ้ว ๑๐๘ รูป การปั้นหุ่นจำลองรูปของท่านชีวกโกมารภัตได้ทำขึ้นด้วยความยากลำบาก และความอุตสาหะ ความยากของเรื่องได้เกิดขึ้นเนื่องจากอาตมาภาพต้องการให้ได้รูปหุ่นที่ปั้นเหมือนท่าน ครั้งเมื่อมีชีวิตอยู่จริง ๆ นายชิ้นได้ปั้นหุ่นอยู่ถึง ๒ ปี จึงสำเร็จ พร้อมที่จะทำการหล่อด้วยโลหะได้
    มีความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่แทบไม่น่าเชื่อถือได้เลย คือ เมื่อนายชิ้นปั้นหุ่นรูปของท่านชีวกโกมารภัตเสร็จแล้ว อาตมาภาพได้ไปที่โรงงานของนายชิ้น พร้อมด้วยคุณประทุม จันทรสมบูรณ์ อาตมาภาพได้ทำพิธีอัญเชิญเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์เทพยราชเลขาธิการ ผู้ชำนาญในการปั้นมาประทับร่างทรง เพื่อให้ตรวจดูความถูกต้องของรูปที่นายชิ้นได้ปั้นเสร็จแล้วนั้น วิญญาณเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ ซึ่งมาประทับร่างทรงแล้ว ได้บอกเลยทันทีว่าแขนซ้ายและแขนขวา ซึ่งช่างได้ปั้นเสร็จแล้วนั้น ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ไม่มีใครรู้มาก่อนเลย แม้แต่ช่างที่ปั้น.เมื่อได้รับคำบอกกล่าวเช่นนั้น ช่างได้ทำการแก้ไข
    นอกจากนี้แล้วเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ยังได้บอกให้แก้ไขส่วนต่าง ๆ ที่ยังไม่ถูกต้องหลายแห่ง บางครั้งก็ลงมือแก้ไขเสียเอง ทั้ง ๆ ที่คนที่ท่านประทับทรงหลับตาอยู่ อาตมาภาพใจหายใจคว่ำด้วยเกรงว่ารูปที่ช่างได้ปั้นเสร็จแล้วจะชำรุดเสียหาย แต่แล้วอาตมาภาพกลับปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่งที่ได้รูปหุ่นที่งามสง่าสมส่วน ถูกต้องตามลักษณะที่แท้จริง และเพศของท่านทุกประการ ด้วยการปั้นที่มิใช่มาจากมโนภาพ ภาพประดิษฐ์ หรือแบบจากที่ใด แต่ได้มาจากอัญเชิญภาพให้ปรากฏที่หัวแม่มืออาตมาภาพ นายชิ้นช่างที่ทำการปั้น ก็ได้ให้คำรับรองว่าถูกต้อง และงดงาม เหมือนมนุษย์มีชีวิตอย่างแท้จริง
    เมื่อรูปหุ่นที่ช่างได้ปั้นเสร็จแล้ว พร้อมที่จะทำพิธีหล่อ อาตมาภาพได้ทำพิธีพุทธาภิเษกหล่อรูปท่านชีวกโกมารภัต พร้อมด้วยรูปขนาดเล็กมี ๑๐๘ องค์ ในวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ ๒๔๙๙ วันอังคาร ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖.ปีวอก เวลา ๕.๐๐ น เมื่อหล่อเสร็จแล้ว ช่างได้ทำการตกแต่งรูปของท่านแล้วรมด้วยสีดำ อาตมาภาพได้อัญเชิญท่านชีวกโกมารภัตมาทำพิธีประจุฤทธิ์รูปหล่อขนาดเท่าองค์จริง ๑ รูป และรูปหล่อขนาดเล็กอีก ๑๐๘ รูป เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ ๒๕๐๐ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา เวลา ๒๑.๐๐ น อีกครั้งหนึ่ง เป็นอันว่าอาตมาภาพได้รูปหล่อที่มีลักษณะเหมือนท่านครั้งมีชีวิตอยู่ไว้สักการบูชาตามที่ได้ปรารถนาไว้ และอาตมาภาพได้ขนานนามรูปหล่อท่านชีวกโกมารภัตว่า “บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต”
    รูปหล่อของบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัตได้ประดิษฐานไว้สักการบูชาทางด้านซ้ายมือของพระประธานในพระอุโบสถวัดสมณานัมบริหาร
    (ลงนาม) อง สรภาณมธุรส
    เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร
    ๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๑.
     
  5. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    เสด็จพ่อ

    “มิสโจ”
    [​IMG]
    พ.ศ. ๒๕๐๙
    ความเป็นแม่ในทางรูปธรรมของมารดาผู้เขียน ได้สิ้นสุดลงอีกหนึ่งรอบวัฏจักร ผู้เขียนจึงเข้า-ออก วัด “ธาตุทอง” แทบไม่เว้นวัน เป็นเหตุให้ได้พบท่านบรมครูแพทย์ “ชีวกโกมารภัจโจ” ทางด้านนามธรรมในอีก ๒ ปีต่อมา และจากนั้นจนวันนี้ ผู้เขียนเรียกท่านว่า -“ เสด็จพ่อ” ตามอย่างสานุศิษย์ของท่านได้สนิทใจ ท่านเป็นพ่อของผู้เขียนในทางนามธรรม เป็นที่เคารพรัก มีพระคุณต่อผู้เขียนดุจพ่อบังเกิดเกล้านั่นเทียว กระแส แห่งการหลุดพ้นในยุคพุทธกาลได้ล่วงไปแล้วสองพันกว่าปี ซึ่งเสด็จพ่อ และผู้เขียนต่างก็ยังไม่สามารถติดตามกระแสแห่งการหลุดพ้นไปได้ในยุคนั้น วิบากแห่งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ที่ต่างก็สะสมมาไม่เหมือนกัน ได้เป็นคลื่นพาให้ท่านและผู้เขียน ยังต้องเวียนว่ายอยู่กันคนละภพละภูมิ ใครเล่าจะคิดว่า จะมีการติดต่อกันได้อีก
    กระแสจิตจึงเป็นพลังที่น่าศึกษา
    พ.ศ. ๒๕๔๑
    ณ ลานหน้าวัดธาตุทอง มีฝูงชนชุมนุมกันที่ปะรำพิธีปลุกเสกหล่อรมดำของท่านบรมครูแพทย์ ชีวกโกมารภัจโจ ซึ่งเป็นแพทย์หลวงในแผ่นดินพระเจ้าพิมพิสาร เป็นแพทย์ประจำพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอุทิศเวลาทั้งหมดรักษาสุขภาพและชีวิตของคนไข้ โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ จนไม่มีเวลาที่จะบวชเรียนดั่งใจปรารถนา ผลงานของท่าน ไม่เพียงแต่เป็นที่เทิดทูนของคนในยุคนั้น แม้ในยุคต่อ ๆ มาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังมีผู้กล่าวขวัญสดุดีเกียรติคุณของท่านขจรขจายไปทุกทิศ
    ในบทความนี้ ผู้เขียนขอใช้คำว่า“ เสด็จพ่อ” เพื่อเทิดทูนพระคุณของท่าน
    ก่อนพบเสด็จพ่อ ผู้เขียนสนใจแต่ในเรื่องชีวิตหลังความตาย ในเรื่องวัตถุมงคลนั้น ใครให้ก็บูชาเพื่อเตือนใจให้รำลึกถึงพระรัตนตรัยเท่านั้น ไม่ติดใจในเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เพราะคิดเห็นว่า การเรียนรู้ศิลปวิทยาแขนงใดก็ตาม ครูต้องรู้จริงเหนือศิลปวิทยาแขนงนั้น จึงจักสัมฤทธิผล การปลุกเสกปฏิมากร เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ด้วยอำนาจจิต ก็เช่นกัน ผู้ปลุกเสกต้องมีคุณธรรมล้ำเลิศ มีพลังจิตเหนือกว่า ไม่ต้องอาศัยคาถาอาคมและพิธีกรรมแต่อย่างใด พุทธาภิเษกก็เห็นมีพระผู้มีพระภาคเท่านั้นที่จะทรงปลุกเสกได้ แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าทรงกระทำเช่นนั้น จะทรงกระทำแต่การที่จะถึงซึ่งความหลุดพ้นเท่านั้น พระรูปของเสด็จพ่อ ก็เช่นกัน ท่านเป็นแพทย์เหนือแพทย์อยู่แล้ว ถ้าท่านไม่ปลุกเสกเอง ไหนเลยจะมีความศักดิ์สิทธิ์ได้.
    ทิฐินี้จะถูกผิดอย่างไรก็ตาม เป็นเหตุให้ผู้เขียนมิได้แวะดูรูปหล่อที่สมมติเป็นเสด็จพ่อ.ว่ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เดินผ่านไปเกือบจะออกอีกทางหนึ่งแล้ว เผอิญเหลือบไปเห็นรูปถ่ายขนาด ๒๔ นิ้ว เป็นที่สะดุดตาสะดุดใจยิ่งนัก จนต้องหยุดมอง เป็นรูปบุรุษชรา ชาวชมพูทวีป นั่งตัวตรงเข้าสมาธิอยู่ โดยมิต้องหลับตา มือขวาวางบนเข่าขวา แขนซ้ายตั้งฉากแบมืออยู่หว่างสะดือ สายตานั้นมองไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว แววตานั้นช่างซื่อ แต่ประกายฉลาดแฝงไว้ด้วยความเมตตาอย่างลึกซึ้ง เส้นเลือดน้อยใหญ่นูนเด่นเป็นผู้มีกำลังภายในมหาศาล ความรู้สึกในขณะนั้น ราวกับว่ากำลังเดินอยู่ในถ้ำ แล้วพบคน ๆ หนึ่งนั่งเป็นสมาธิอยู่ ฉะนั้น รูปนั้นช่างมีชีวิตชีวา จนเกิดความอยากรู้ว่าท่านเป็นใคร มาบัดนี้ ซึ่งกำลังเขียนบทความนี้อยู่ จึงคิดได้ว่าตนเองนั้นช่างโง่แท้ ๆ ก็ทราบแก่ใจแล้วว่ากำลังมีการปลุกเสกใครกันอยู่ รูปนี้ต้องเป็นท่านมิต้องพักสงสัย แต่ในขณะนั้นเองผู้เขียนกลับต้องไปขอคำตอบจากผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ บางครั้งความโง่นั้น ถ้าหมั่นถามก็จะได้ความรู้เพิ่มเติม ในวันนั้นจึงได้.ความรู้ที่ให้คุณค่ามหาศาลในเวลาต่อมา
    เมื่อทราบว่าท่านมาประทับทรงเพื่อรักษาคนไข้ ณ ที่ใดเวลาใดและวันใดแล้ว ผู้เขียนก็ไปตามนั้น เมื่อไปถึง มีคนนั่งอยู่เต็มห้อง แทบจะหาที่นั่งไม่ได้ คนทรงนั่งบนอาสนะบาง ๆ นุ่งผ้าโจงกะเบนสีขาว ห่มขาว สวมประคำ นั่งนิ่งอยู่ในท่าที่เห็นในรูปอย่างสงบ เมื่อท่านมาประทับทรง ทุกคนก้มลงกราบพร้อมกัน ท่านจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วจุดเทียนทำน้ำทิพย์ เสร็จแล้วก็เริ่มทำการรักษาทีละคน อย่างรวดเร็ว คนละไม่กี่นาที ท่านยกมีดหมอแตะคนไข้ แล้วเคาะมีดกับพื้นเบา ๆ จับศีรษะคนไข้.เป่ากระหม่อม เสกน้ำทิพย์ให้ดื่มคนละสามอึก เสกยาและผลไม้ แล้วบอกวิธีบริโภค บางคนท่านพ่นน้ำทิพย์ให้ อาการมากก็จะพ่นน้ำมันร้อนๆ ที่กำลังเดือดอยู่ในกระทะบนเตาถ่าน พ่นทีไรคนไข้สะดุ้งสุดตัวทุกที แต่ปากคนทรงเป็นปกติ ท่านทำการรักษาอยู่ราวสองชั่วโมง คนไข้จึงเบาบางลง
    ระหว่างที่ผู้เขียนนั่งพับเพียบอยู่นั้นต้องขยับขาไปมาด้วยความเป็นเหน็บ แต่คนทรงที่กำลังอยู่ในความควบคุมทางจิตจากเสด็จพ่อนั่งเฉยไม่เปลี่ยนอิริยาบถเลย มีมือเท่านั้นที่เคลื่อนไหวไปมา ไม่หันซ้ายแลขวาพูดน้อย พูดเบา ๆ พอให้ได้ยินเท่านั้น ถ้าคนไข้เข้าไปหาท่านช้าไปสักอึดใจเดียว.ท่านก็จะวางมือขวาบนเข่าขวา แขนซ้ายตั้งฉากแบมืออยู่ระหว่างสะดือดังในรูปทันที
    ตลอดเวลาหกปีที่ท่านมาประทับทรง ท่านไม่เคยส่งเสียงวางอำนาจ ไม่ยิ้ม ไม่หัวร่อ ไม่พูดเล่น ไม่บ่น ไม่ดุว่าคนไข้ให้ได้อาย ไม่ประจบประแจงใคร สุภาพ พูดจาไพเราะ ไม่กล่าวคำหยาบ พูดอย่างไร ทำอย่างนั้น ทำอย่างไร พูดอย่างนั้น ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่สนใจกับความสูงส่งมั่งคั่งของใคร รักษาให้ด้วยความเมตตากรุณาเสมอหน้ากันหมด ใครจนมากท่านประทานเงิน ใครอาการหนัก ท่านรับรักษาให้ก่อน ภิกษุสามเณรก็เช่นกัน ท่านจะรักษาอย่างเคารพนบนอบ ท่านไม่เปิดเผยความลับของใคร ไม่โอ้อวดแอบอ้าง มีแต่ถ่อมตนเสมอ ใครร้องไห้มา ท่านจะปลอบโยนให้กำลังใจด้วยมธุรสวาจาให้ความช่วยเหลือด้วยวิธีง่าย ๆ โดยเสกธูปเก้าดอกให้จุดปักกลางแจ้ง ประทานดอกไม้ธูปเทียน และเงินสามบาทให้ไปใส่บาตร ท่านว่าคนดีช่วยง่าย คนร้ายช่วยยากใครล่วงเกินท่านก็ไม่โกรธ ใครขอหวยท่านก็นิ่งเสีย ท่านจะตอบที่เห็นควรจะตอบเท่านั้น คนไข้เป็นร้อย ๆ บางวันเช่ารถมาจากต่างจังหวัดมากมาย ท่านตั้งหน้าตั้งตารักษาอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย เต็มใจ และรวดเร็ว ไม่เคยเล่นตัว ไม่ต้องกราบกราน.อ้อนวอน ท่านจะรักษาจน.คนไข้หมด ไม่เคยทอดทิ้งคนไข้ไปกลางคันเลย ช่างเป็นคุณธรรมที่หายากยิ่ง
    เมื่อผู้เขียนคุ้นเคยกับท่านแล้ว ได้บังอาจนำสัตว์เลี้ยงไปให้ท่านรักษาเนือง ๆ ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง” ท่านกลับสอนให้ผู้เขียนครองใจอยู่ในอุเบกขาว่า “ช่างเขาเถิดลูก มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ถือตัวถือตนด้วยความไม่รู้ว่า มนุษย์หรือ แมว หมา ก็เห็นสัตว์โลกด้วยกัน ไม่มีความต่ำสูงในด้านรูปธรรม แต่ต่ำสูงกันในด้านคุณธรรมต่างหาก อย่าถือตัวว่าเป็นมนุษย์แล้วจะสูงส่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน บางครั้งมนุษย์ก็ทำในสิ่งที่สัตว์เดรัจฉานทำไม่เป็น เช่น การปล้น จี้ ฆ่า ลักพา ทำทารุณ หลอกลวง ให้ร้ายกันอย่างโหดเหี้ยมสยองขวัญ ฆ่าคนเป็นแสนเป็นล้านตายในพริบตาเดียว หารู้ไม่ว่าต้องไปเสวยวิบากในโลกันตร์ชั่วกัปชั่วกัลป์ ส่วนสัตว์เดรัจฉานนั้นเมื่อหมดวิบากแห่งอกุศลธรรมแล้ว ก็จักได้เสวยวิบากแห่งกุศลกรรมบ้าง เช่น เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเทพ ตามกำลังแห่งกรรมนั้น ๆ เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ก็ยังทะนงตนไม่ได้ ไม่รู้วันใดที่จะต้องกลับไปเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก
    เสด็จพ่อชี้มายัง “ปลาแนม” ที่นั่งอยู่บนตักผู้เขียน ท่านว่า “สุนัขตัวนี้ชาติปางก่อนเป็นป้าของผู้เขียน ในเวลาจะสิ้นใจ ได้ยินเสียงสุนัขเห่า ด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรม จิตไปจับอารมณ์ที่เสียงสุนัขนั้น จึงหลงทำกาละ ปฏิสนธิในท้องสุนัขทันที อาศัยกุศลกรรมที่ทำไว้บ้าง จึงเกิดมาเป็นลูกสุนัขสวยงามน่ารักในชาตินี้ผู้เขียนจึงเปลี่ยนเรียกว่า “ป้าแนม” ในเวลาต่อมา เป็นโอกาสให้ผู้เขียนได้ขูดเกลาการถือดีทะนงตนว่าเป็นมนุษย์ออกเสีย ไม่ว่าผู้เขียนจะพาป้าแนมไปไหน เห็นคนแปลกหน้า จะเห่าไม่ยอมหยุด แต่ถ้าพาไปฟังเทศน์ที่วัดราชบพิธ ป้าแนมไม่เห่าเลย.นั่งเรียบร้อย ฟังธรรมอย่างสนใจ ตลอดเวลาที่อยู่ในโบสถ์นั้นด้วยกัน
    คำสอนให้ตั้งมั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่ของเสด็จพ่อ เสียดายที่ไม่สามารถถอดคำตามสำนวนของท่านได้.ท่านให้ยอมรับความเป็นจริงเสียก่อนว่า ในโลกมนุษย์หาความสงบสุขได้ยากเพราะธรรมชาติของโลกจักต้องวุ่นวายสับสน โกลาหลอลหม่านอยู่เช่นนี้ตลอดกาลผู้ใดต้องการความสุขกายสบายใจ ต้องเริ่มจากการตั้งตนอยู่ในพรหมวิหารสี่ คือ
    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    ธรรมที่ข้อนี้ จะต้องปฏิบัติภายในขอบเขตของสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบที่ถูกต้องทำนองคลองธรรม ไม่ผิดศีลธรรมในครอบครัว ในท่ามกลางญาติมิตร ไม่ผิดกติกาในหมู่คณะ ไม่ผิดระเบียบวินัยในที่ทำงาน ไม่ผิดจารีตประเพณีนิยมในสังคม ไม่ผิดกฎหมายในประเทศ นอกประเทศ และไม่ฝืนใจตนเอง
    เมตตา ความพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ ที่ปรารถนาดี มีน้ำใจดีต่อผู้อื่น ครอบครัว ญาติมิตร สังคม ประเทศชาติ และชีวิตทั้งมวลในโลก โดยไม่จำนนต่อความรุนแรงของอธรรม ไม่สยบต่อความตาย เสียดายและเสียใจในความสูญเสีย อันเป็นส่วนของตนเอง
    เมตตามิได้เกิดจากความรัก ความใคร่ ความสงสาร ความเห็นใจ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความเสแสร้ง และความกดดันจากภายในและภายนอก เมตตาเกิดในขณะจิตที่สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ เข้าใจในสภาวธรรม เมตตาปิดกั้นกิเลสตัณหา จึงไม่มีความพยาบาท อภิชฌา หรืออคติใด ๆ แอบแฝงอยู่ จิตใจเยือกเย็น เป็นปัจจัยให้เกิด “กรุณา”
    กรุณา การแสดงออกของเมตตาทางด้านรูปธรรม เป็นพฤติกรรมที่มุ่งให้เกิดผลดีต่อการขจัดปัญหาแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของใคร ที่ไหน เวลาใด โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ช่วยจนสุดหัวใจ เป็นธรรมที่ให้เปล่าด้วยใจจริง ไม่ตั้งเป้าหมายไว้รับการตอบแทน
    กรุณามิได้ถือประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง จึงไม่รีรอมนการทำความดี ไม่ต้องการให้กราบไหว้อ้อนวอนเสียก่อน ไม่ได้ทำเพราะประจบประแจง ไม่ถูกหลอกให้ช่วยเพราะหลงเชื่อ ไม่ถูกยั่วยุให้ทำเพราะความหลงใหล กรุณาเกิดในขณะจิตที่สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ รู้เท่าทันในสภาวธรรม ปิดกั้นความเห็นแก่ตัว มีแต่ความเสียสละอย่างแข็งขัน เป็นปัจจัยให้เกิด “มุทิตา”
    มุทิตา การให้กำลังใจ ส่งเสริมผู้ประสบความสำเร็จ ยินดีเมื่อผู้อื่นมีสุข ไม่ซ้ำเติมผู้ได้รับทุกข์ ไม่ลิงโลดในความล้มเหลวของผู้อื่น แม้ผู้นั้นจะเป็นศัตรูก็ตาม
    มุทิตา มิได้หวังผลพลอยได้พลอยดีกับเขาด้วย จึงไม่ริษยา ไม่น้อยใจ ที่ตนเองไม่ได้ดีเช่นผู้อื่น ไม่ลำพองเมื่อผู้อื่นด้อยกว่า เป็นผู้ไม่มีผมด้อยและปมเขื่อง มุทิตาเกิดในขณะจิตที่สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ รู้จริงตามสภาวธรรม ปิดกั้นความถือดี ทะนงในศักดิ์ศรี ไม่ถือพรรคถือพวก ไม่ดื้อรั้นจนไม่จำนนต่อเหตุผล ก่อให้เกิดความสามัคคีสมานฉันท์ มีความสงบสุขเพราะไม่มีศัตรู
    อุเบกขา มีปัญญาเห็นโลกตามความเป็นจริง ตัดอัตตวิสัยออกจากตนเองได้หมดสิ้น เกิดความสมดุลทางใจ ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งด้วยความเป็นกลาง ไม่เกาะเกี่ยวด้วยสิ่งใดให้เกิดความผูกพัน ไม่เอนเอียงด้วยกิเลสตัณหาจนหวั่นไหว ไม่ตกเป็นเครื่องมือของใคร เที่ยงตรง ยุติธรรม อยู่เหนือความรักความชัง ความสุขความทุกข์ ไม่ยึดมั่นในความเป็นมิตร หรือศัตรู ทำดีต่อทุกสิ่งด้วยความเสมอภาค ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ใด ๆ ไม่ตีราคาในรูปธรรมใด ๆ ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่แยกคุณค่าในนามธรรมใด ๆ ให้เกิดความแตกต่าง สรรพสิ่งในโลกล้วนลงเอยเพียงศูนย์เท่ากันในที่สุด
    ลมโชยเป็นที่ชื่นนักแล้ว แต่น้ำใจในเมตตายังชื่นใจกว่า
    ทะเลว่ากว้างนักแล้ว แต่น้ำใจในกรุณายังกว้างกว่า
    อ้อยตาลว่าหวานนักแล้ว แต่น้ำใจในมุทิตายังหวานกว่า
    ขุนเขานั้นหนักนักแล้ว แต่น้ำใจในอุเบกขายังหนักแน่นกว่า
    ธรรมสี่ประการนี้ ผู้ที่บรรลุความเป็นพรหมแล้ว ย่อมเกิดเป็นนิลัยประจำตนเป็นธรรมชาติของพรหม แต่ถึงกระนั้นก็ตาม หากมนุษย์สามารถถ่ายโอนความเห็นแก่ตัว และกิเลส ตัณหา อุปาทาน อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ได้บ้าง ผ่อนหนักเป็นเบา ขูดเกลาทุกเวลานาที ย่อมบรรเทาความรุ่มร้อนของจิตใจ ธาตุทั้งสี่จักไม่แปรปรวนบ่อยนัก หมอและพยาบาลจะไม่มีงานหนักดังทุกวันนี้ เพราะโรคที่ทำลายชีวิตมนุษย์ได้มากที่สุด คือ โรคทางใจ รองลงมาได้แก่การบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป การบริโภคอาหารที่เจือปนด้วยสารพิษสะสมอยู่ตามอวัยวะโดยไม่รู้ตัว
    ความเยือกเย็นของจิตใจ เป็นสาเหตุ.ใหญ่ที่ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพดีความดันโลหิตเป็นปกติ ไม่ปวดหรือเวียนศีรษะ หัวใจ ปอด ไม่อ่อนแอ ท้องไม่อืดกระเพาะอาหารไม่เป็นแผล ลำไส้ไม่อักเสบ ตับ ไต ม้าม น้ำดี ฯลฯ ตลอดจนการโคจรของลมปราณ ย่อมไม่ถูกกระทบกระเทือนด้วยเลย หากทำความรู้จักคุณโทษของอาหารได้ ควบคุมการบริโภคให้พอเหมาะพอควร รู้จักหยุดบริโภคเมื่อจวนจะอิ่ม ไม่บริโภคเมื่อไม่หิวทางกาย รู้จักระงับความหิวทางใจ ที่ทำให้ต้องบริโภคจุบจิบด้วยความอยากไม่บริโภคอาหารที่ร้อนจัด เย็นจัด รสจัดเกินไป ความเป็นพิษจักทำอะไรได้
    เสด็จพ่อสงสารชาวอีสานที่อยู่ในที่กันดาร ไม่มีโอกาสเลือกบริโภคได้ เพราะความอดอยากแห้งแล้ง ท่านว่ามีแมลงบางชนิดมีพิษมาก บริโภคแล้วทำให้สมองเสื่อมความจำไม่ดี จิตใจซึมเซา ขาดความกระฉับกระเฉง นอนหลับได้ทุกเวลา โรคพยาธิรบกวน ไม่มีความสุขเลย
    พระคุณของเสด็จพ่อ นอกจากทรงสอนให้รู้จักคุณค่าของอาหารแล้ว ยังทรงสอนให้รู้จักสังเกตความแปรปรวนของร่างกาย วิธีป้องกันไม่ให้เกิดความป่วยไข้ในโรคหลายอย่าง และวิธีชะลอความเสื่อมของร่างกาย ซึ่งผู้เขียนไม่สามารถเขียนได้หมดในระยะเวลาอันสั้นนี้
    จะขอกล่าวถึงโรคบางอย่างที่เป็นกันพร่ำเพรื่อ ทั้งที่ป้องกันได้ง่าย ๆ เช่นไข้หวัด ไอ ปวดศีรษะ เพียงแต่ควบคุมความเย็นร้อนของร่างกายให้สมดุลกับอากาศยามอากาศเย็น อย่าประมาทว่าเย็นสบายดี ให้สังเกตคอ และต้นแขน ถ้าเย็นกว่าปกติต้องเพิ่มเสื้อ อย่าปล่อยให้จาม หรือไอเป็นครั้งที่สอง พันคอให้อุ่นไว้ ในเวลาอากาศหนาวต้องสวมหมวก หรือโพกผ้า พันคอ และนุ่งห่มให้มากขึ้น อย่าประมาทให้ความเย็นเข้าจับจุดอ่อนในร่างกายได้ ถ้าให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายไม่พอ จะเกิดอาการตะครั่นตะครอ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย ให้ต้มผักบุ้งจนเดือดจัด ๆ เข้ากระโจมให้ทันท่วงทีวันละสองครั้ง ไข้หวัด คัดจมูก อาการไอ ก็จะไม่สามารถจู่โจมได้เลย หน้าไข้หวัดระบาดก็ให้ต้มบอระเพ็ดดื่มต่างน้ำเช้าเย็น บริโภคดอกแค ยอดแค บวบหอมสลับกันไป ก็จะช่วยป้องกันเชื้อไข้ที่ปะปนอยู่รอบ ๆ ตัวเราได้เป็นอย่างดี
    ยามอ่อนเพลียจากการงาน ปวดศีรษะ หรือวิงเวียนด้วยความตึงเครียด หรือขาดการพักผ่อน ก็ให้รีบเข้าสมาธิเดินลมปราณอย่างสม่ำเสมอในที่แจ้ง ความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าก็จะกลับคืนมาในไม่ช้า.
    ถ้าปวดศีรษะจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ให้รีบสวนอาหารเก่าออกทันที อย่าปล่อยให้พิษถูกดูดซึมไปสู่สมองอีกต่อไป อย่าให้อาหารเก่าอยู่ในลำไส้ใหญ่เกิน ๑๒ ชั่วโมงทุกสัปดาห์ควรถ่ายด้วยสมอไทยต้มกับเกลือ ขับปฏิกูลที่คงค้างออกเสีย ปล่อยไว้นานวันจะเป็นพิษจนแก้ไขไม่ได้ในภายหลัง ถ้าสามารถใช้น้ำมูตรของตนเอง หรือของวัวควายดองสมอไทยสด ๆ ไว้บริโภคตลอดปีก่อนนอน ก็จักปลอดจากความมีโรค อันเกิดจากอาหารเป็นพิษ
    การหายใจลึก ๆ อย่างสม่ำเสมอ ให้เคยชินจนเป็นนิสัย จะช่วยให้ไม่วิงเวียนยามลุกนั่ง เปลี่ยนอิริยาบถทีไร ให้หายใจลึก ๆ ไปด้วย จะช่วยไม่ให้เหนื่อย หรือหน้ามืด ยามวิ่ง ยกของหนัก ขึ้นบันได ไต่เขาก็จะไม่เหนื่อยได้ง่าย
    ยา ไม่ใช่ของจำเป็นเสมอไป ระวังอย่าใช้พร่ำเพรื่อ ท่านห้ามใช้ยาช่วยย่อยอาหาร ให้เดินจงกรมหลังอาหารทันทีครึ่งชั่วโมง เป็นการช่วยย่อยอาหารตามวิธีธรรมชาติ ถ้าไม่มีเวลาพอ ให้หางานที่ต้องเดินไปเดินมาทำ อย่าทำงานที่ต้องใช้หัวคิดทันที ถ้าจำเป็นต้องนั่งอยู่กับที่ จงถูหน้าท้องไปมาเป็น ๆ ให้อุ่น ให้หายใจลึก ๆ และแขม่วท้องเมื่อหายใจออกอย่างช้า ๆ
    อย่านอนดึก ถ้าจำเป็นให้บริโภคดอกบัวขาวสามดอก กับน้ำตาลทรายแดงหนึ่งช้อนโต๊ะ เพื่อชะลอความเสื่อมของหัวใจ
    ยามนอน อย่านอนหมอนสูง ให้ใช้มือลูบหน้าผากไปมา จนรู้ลึกเลือดวิ่ง ประสาทตาจะดี ตื่นเช้าต้มผักบุ้งผสมเกลือหนึ่งช้อนชา เข้ากระโจมทันที บำรุงสายตา ช่วยให้ขับถ่ายของเสียทางผิวหนัง -
    บริหารจิตตลอด ๒๔ ชั่วโมง บริหารกายแบบโยคะเพียงวันละครั้ง ก็เพียงพอต้องควบคุมการหายใจเข้าออก ให้สมดุลกับท่าบริหาร จึงจะได้ผล ต้องบริหารช้า ๆ เพื่อป้องกันหัวใจทำงานหนัก จังหวะเต้นของหัวใจจะได้สม่ำเสมอ การบริหารเร็ว เดินเร็ว วิ่งเร็ว เป็นการหักโหมบังคับให้หัวใจทำงานหนัก สูบฉีดแรงขนเท่าใด หัวใจก็ทรุดโทรมเร็วเท่านั้น โดยไม่รู้ตัว ต้องรักษาน้ำหนักตัวที่พอดีแล้วให้คงที่ เพื่อประคับประคองหัวใจ อย่าให้ทำงานเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น วิธีที่จะให้หัวใจสูบฉีดได้ดี ต้องเดินลมปราณให้.ถูกวิธี
    การหายใจแบบวิทยาศาสตร์อันตราย (ท่านหมายถึงแอร์คอนดิชั่น) การทำงานของร่างกายถูกกระทบด้วยความเย็นจัดเกินไป เกิดความไม่สมดุลขึ้น บางคนผิวแห้ง บางคนปอดไม่ดี พวกที่รู้สึกเย็นสบายดีก็จักเกิดปฏิกิริยาช้ากว่าพวกแรก เมื่อรู้ตัวก็สายเสียแล้ว
    เสด็จพ่อท่านห้ามใช้เครื่องบรรจุที่ทำด้วยพลาสติกทุกชนิด ท่านสงสารภิกษุสามเณร ต้องรับบิณฑบาตอาหารที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติก โดยไม่มีทางเลือกต้องฉันอาหารที่เจือปนด้วยพิษจากถุงพลาสติกทุกวัน ๆ .
    ท่านห้ามมิให้บริโภคน้ำมันพืชที่มิได้ทำเอง น้ำตาลทรายขาว ยิ่งขาวยิ่งอันตราย ให้ใช้ความหวานจากอ้อย น้ำผึ้ง น้ำแครอท น้ำชะเอมแทน ท่านห้ามบริโภคแครอทดิบ เพราะมีสารไปทำลายการทำงานของต่อมสำคัญในร่างกาย ท่านห้ามซื้อขนม หรืออาหารสำเร็จรูปจากเอกชน หรือโรงงาน ให้ใช้น้ำเกลือแทนน้ำซีอิ๊ว ใช้มะนาว มะขาม มะดัน มะกรูด ส้มซ่า กระเจี๊ยบ มะยม ฯ ล ฯ แทนน้ำส้มสายชูที่ทำลายไต และทำให้เลือดเสีย
    ท่านว่าผลไม้ พืช ผัก ทุกชนิด ไม่ได้เกิดและเติบโตโดยธรรมชาติ ดังแต่ก่อนมา กลายเป็นผลิตผลตามวิถีทางวิทยาศาสตร์ไปเกือบหมด จึงทำให้รูปลักษณะ รสกลิ่น และคุณค่าเปลี่ยนแปลงไปในทางลบมากกว่า ท่านให้ผู้เขียนพึ่งตนเองให้มากปลูกผักเองโดยไม่ให้ใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ถ้าจำเป็น ต้องซื้อผลไม้บ้างเพราะปลูกเองไม่ได้ทั้งหมด ก็ให้เก็บไว้ให้นานวันจึงค่อยบริโภค ผลไม้ใดที่เก็บไว้นานไม่ได้ ก็ให้ตัดใจ อย่าบริโภคเสียเลย เช่น มะม่วงเป็นต้น พอเข้าปากคำแรก ถ้ากัดลิ้นก็ให้ทิ้งเสีย ไม่ต้องเสียดาย. เพราะรสจืดชืด เป็นอันตรายด้วย ล้วนเป็นผลจากการบ่มแก๊ส เพื่อให้สุกทันใจผู้ขาย หาได้คำนึงถึงผู้บริโภคไม่
    ท่านให้ตัดความอยากบริโภคนั้นนี่ออกเสีย ปรุงอาหารให้ใกล้เคียงธรรมชาติถ้าไม่มีความจำเป็นในเรื่องเวลา ไม่ควรทำอาหารเผื่อมื้อต่อ ๆ ไป ควรทำทันที บริโภคทันที. หิวอีก จึงทำอีก ไม่ควรเก็บผักไว้ในตู้เย็น ควรเก็บทันที ปรุงทันที จึงจะได้ผลมาก
    กับข้าวทุกชนิด ควรปรุงแต่งให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ จะขอยกตัวอย่างดังนี้ -
    แกงถั่วงอก ถั่วงอกต้องเพาะเอง ตัดหางล้างน้ำให้สะอาด ต้มน้ำนิดหน่อยกับเกลือ ระวังอย่าให้เค็มจัด พอเดือด ใส่ถั่วงอก คนให้ทั่ว พอสุกยกลง
    แกงมะระ หั่นมะระเป็นชิ้นเล็ก ๆ คว้านไส้ออก เมล็ดเก็บไว้เพาะต่อไป ตั้งน้ำใส่เกลือ พอเดือดใส่มะระ ใส่พริกไทยป่น พอนิ่มยกลง
    เปรี้ยวหวานน้ำ ปอก และฝานมันฝรั่งเป็นแว่น ๆ ปอกแครอท ฝานเป็นแว่น แตงกวาผ่าสี่ พริกหยวกกรีดเอาเมล็ดออก หั่นฝอย มะเขือเทศครูดกับเครื่องไส ผักชีหั่นทั้งราก ช่วยย่อยดี ข้าวโพดอ่อนหั่นเฉียง สับปะรดหั่นพอคำ ถั่วลันเตาตัดขั้ว
    เอาเส้นข้างออก ดอกกะหล่ำ แยกออกเป็นดอกเล็ก ๆ บีบน้ำอ้อยสด กรองแล้วตั้งไฟให้เดือด ถ้ามีแต่ซังขนุนก็ต้มแล้วกรอง ใส่เกลือ ใส่มันฝรั่ง แครอท ก่อนสักครู่ จึงใส่เครื่องทั้งหมดลงหม้อ พอเดือดทั่วยกลง
    ข้าวยำ ปอกแครอท ครูดกับเครื่องไส ลวกน้ำอย่างเร็ว ให้สะเด็ดน้ำทันที( น้ำแครอท ดื่มต่างน้ำ ) นอกนั้นไม่ต้องทำให้สุก ถั่วฝักยาว ถั่วแขก กะหล่ำปลี ผักกาดขาว องุ่นปอกเปลือก แคะเม็ดออก สับปะรด ขนุน ส้มโอ หรือส้มเขียวหวาน กล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้า ผักสลัด ล้วนหั่นเล็ก ๆ เคี้ยวง่าย ย่อยง่าย ใส่เกลือ น้ำตาลมะพร้าวทำเอง น้ำมะนาว พริกขี้หนู หรือพริกชี้ฟ้า โขลกให้ละเอียดจริง ๆ ไม่เป็นอันตรายต่อกระเพาะอาหาร โรยมะพร้าวคั่วนิดหน่อย
    แกงผักใบเขียว เม็ดขนุนนึ่งแล้วปอกเปลือก ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือ ใส่ผักใบเขียว คนให้ทั่ว ใส่เม็ดขนุนเคี่ยวสักพัก พอผักอ่อน ยกลง
    แกงสมุนไพร แกงเผ็ด, แกงส้ม, น้ำยา, น้ำพริก ท่านเรียกว่า“ แกงสมุนไพร” อนุญาตให้บริโภคได้ ไม่ใส่กะปิ หรือปลาร้า และไม่ให้มันมาก ต้องเป็นมะพร้าวขูดเองคั้นเองสด ๆ
    อาหารเช้า ไม่ให้ปรุงแต่ง ท่านว่ายิ่งปรุงแต่งเท่าใด ก็ยิ่งบำรุงกิเลสมากเพียงนั้น อนุญาตเพียงให้ลวกน้ำเสียก่อน เช่น ผักบุ้ง ตำลึง ถั่วพู ยอดแค ดอกแค กระถิน ฯลฯ ผักที่บริโภคสด ๆ ได้ ก็มี ใบทองหลาง ใบบัวบก เป็นต้น ตามด้วยผลไม้ ท่านห้ามดื่มน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่ปรุงแต่งด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ ให้ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ใบเตย กระชาย มันเทศ ขิง แห้ว ถั่ว รากและเง่าบัว ฯลฯ สลับกันไป
    สารพัดที่ท่านจะสอน ผู้เขียนไม่อาจบันทึกได้หมดในเวลาอันสั้นนี้ ก่อนที่ท่านจะอำลา ไม่กลับมาประทับทรงอีก ท่านประทานตำรายาไว้ให้หลายขนาน ล้วนแต่จำเป็นต่อชีวิตในยามที่หมอน้อยคนไข้มาก การรักษาแผนใหม่นับวันจะสิ้นเปลืองโดยไม่มีขอบเขต
    พระเถระ ที่เป็นอาจารย์สอนธรรมแก่ผู้เขียน ท่านมีพระคุณเหลือล้นท่านเตือนไม่ให้ผู้เขียนเสวนากับเสด็จพ่อจะไม่สามารถถ่ายถอน “สีลัพตปรามาส” ปิดกั้น มิให้บรรลุโสดาบัน นี่เป็นเรื่องเดียวที่ศิษย์ไม่ฟังคำอาจารย์ แต่ก็มิได้โต้เถียงประการใด
    อยู่มาวันหนึ่ง เสด็จพ่อเอ่ยขึ้นมาเอง “ภิกษุสมัยนี้ ท่านเก่งแต่บาลี ไม่เรียนกรรมฐานเสียเป็นส่วนมาก จึงหลงผิดว่า การติดต่อทางจิตเป็น “สีลัพตปรามาสไปหมด”
    ท่านปรารภว่า มนุษย์สร้างราวสะพานไว้สำหรับเกาะเดินกันตกน้ำ ฉันใด การดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่ไม่อาจพึ่งตนเองได้หมดทุกอย่าง ย่อมต้องหาหลักไว้เกาะพึ่งพิง ยามมีปัญหาจักได้รับการช่วยเหลือ ดูแต่การไปโรงพยาบาล ถ้ามีเพื่อนพ้องเป็นหมอก็จะได้รับความสะดวกกว่าคนที่ไม่รู้จักใครเลย.
    ศีล และ พรต คือ ข้อบัญญัติและกิจวัตรที่ต้องประพฤติปฏิบัติทั้งกาย วาจา ใจ ให้ตรงตามสิกขาบทในพระพุทธศาสนา เหมือนการไม่ฝ่าผืนกฎหมาย ย่อมได้ชื่อว่า โลกัตถจริยา คือ มีความประพฤติดีตามโลก การที่ไม่มีความประพฤติปฏิบัติดีตามธรรมก็ได้ชื่อว่า สีลัพตปรามาส เพราะฝ่าฝืนศีล และพรต
    พระสมณโคดมไม่ทรงห้ามการติดต่อทางจิต ที่ทำให้ตนพ้นทุกข์ แต่ทรงห้ามการทรงเจ้าเจ้าผี ที่ชักจูงไปในทางหลงผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีการหลอกลวงทำพิธีสะเดาะเคราะห์. ที่สิ้นเปลืองเงินทองมากมาย เคราะห์นั้นสะเดาะไม่ได้ มนุษย์ล้วนมีวิบาก ที่ต้องเสวย เพราะการกระทำของตนเอง การทำเสน่ห์ยาแฝด ใช้คาถาอาคมทำร้ายผู้อื่น เล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งเอาจริงไม่ได้ มีการทำนายทายทัก บอกใบ้ให้หวย ฆ่าสัตว์บูชายัญ ฯลฯ ล้วนแต่มิใช่ข้อวัตรปฏิบัติในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น
    การที่ภิกษุเอาดีทางทฤษฎีเท่านั้น หาเพียงพอแก่การบรรลุมรรคผลนิพพานอันเป็นเป็นหมายแห่งการบวชเรียนไม่ น่าเสียดายที่ละเลยการปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งเป็นหัวใจในการศึกษาพระพุทธศาสนาไปเสีย มีพระป่าเท่านั้น ที่ท่านฝึกกรรมฐานถือธุดงควัตร จนสามารถครองตนอยู่ในพรหมวิหารสี่ได้ อันมีพรหมโลกเป็นที่ไป พระป่าจึงเป็นที่พึ่งทางใจของชาวพุทธที่ใฝ่ธรรมอย่างแท้จริง”
    ท่านช่างรู้เห็นความเป็นไปของผู้เขียนไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเอาใจใส่ดูแลจากท่าน ท่านปกป้องคุ้มครอง สร้างความอบอุ่นใจแก่ผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง พระคุณนี้จะชดใช้อย่างไรจึงจะสม ท่านกลับตอบว่า
    “ถ้าลูกสืบต่อเจตนารมณ์ของพ่อ ก็เหมือนลูกได้แทนคุณพ่อแล้ว”
    หกปีที่เสด็จพ่อมาประทับทรง ผู้เขียนมีความสุขกายสบายใจ.ห่างยาห่างโลก ตั้งหน้าอบรมบ่มใจตน มีเสด็จพ่อคอยช่วยเหลือ ประทานความรู้ และความเมตตาการุณย์ เสียดายที่ผู้เขียนโง่เขลาเบาปัญญา จึงจดจำไว้มิได้หมด จำได้ว่า ปัจฉิมพจน์ที่ท่านประทานแก่ผู้เขียน คือ -
    “จงพึ่งตนเอง และเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่น”
    ความเป็นมา
    ๑) ความเป็นมาของรูปเสด็จพ่อ
    ความเป็นมาของรูปเสด็จพ่อ (ท่านบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัจโจ) มีดังนี้ -
    เมื่อเสด็จพ่อเริ่มมาทำการรักษาคนไข้ โดยวิธีใช้จิตของท่านบงการจิตของคนทรง ให้พูด ให้ทำ ตามความประสงค์ของท่าน จนจำนวนผู้คนที่มารับการรักษาทวีขึ้นทุกที ต่างก็อยากได้รูปของท่านไว้กราบไหว้บูชา ด้วยความสำนึกในพระคุณ ท่านจึงให้เตรียมกระดาษขาว ๑ แผ่น ผ้าใหม่สีขาว และสีแดงอย่างละผืน พู่กัน และหมึกดำไว้ให้พร้อม วันใดท่านวิสสุกรรมว่าง ท่านจะเชิญให้มาวาด
    อยู่มาวันหนึ่ง พอท่านเริ่มประทับทรง ก็ให้นำสิ่งของที่เตรียมไว้ออกมา ให้ปูผ้าขาวก่อนตรงเบื้องหน้าที่ประทับทรง แล้ววางกระดาษขาวซ้อนบนผ้าขาวนั้น จึงคลุมด้วยผ้าแดงอีกชั้นหนึ่ง ท่านหยิบพู่กันจุ่มหมึก แล้วชี้ปลายพู่กันไปเบื้องหน้าบนอากาศ แล้วพูดว่า“ วิสสุกรรม เธอจงวาดรูปเราได้แล้ว” ท่านนิ่งอยู่ในอิริยาบถนั้นครู่หนึ่ง ท่านลดมือลงวางพู่กันไว้กับที่ แล้วสั่งให้เปิดผ้าแดงออก ก็ปรากฏรูปของท่านอยู่บนกระดาษขาวนั้น ประมาณเท่ารูปถ่ายขนาด ๒๔ นิ้ว ขณะที่ทุกคนกำลังเงียบกริบในความมหัศจรรย์นั้น เสด็จพ่อก็ชี้มือไปที่รูปนั้น ในบัดดล ก็มีอักษรโบราณที่ไม่มีใครอ่านออก ปรากฏขึ้นใต้ภาพนั้น ท่านบอกว่าเป็นชื่อของท่านเอง แล้วท่านก็กล่าวคำขอบใจท่านวิสสสุกรรมเบา ๆ
    ๒) ท่านอธิบายความรู้สึกของผู้เขียนเมื่อแรกเห็นรูปท่าน
    ต่อมา วันหนึ่งท่านได้.อธิบายให้ผู้เขียนพึง ถึงความ.รู้สึกของผู้เขียนเมื่อเห็นรูปท่านแล้วครั้งแรกนั้น รู้สึกเหมือนตนเองเดินเข้าไปในถ้ำ แล้วพบคนนั่งสมาธิอยู่
    ท่านว่า “ พ่อมัวไปรักษาคนไข้ที่นอกเมือง พอได้ข่าวว่าพระสมณโคดมจะเสด็จปรินิพพาน พ่อรีบกลับมาเฝ้าเพื่อถวายยา.ด้วยความมั่นใจในยาวิเศษขนานนี้ พ่อกราบทูลให้พระองค์ท่านเสวยยาเท่าไร ๆ ก็ไม่ทรงตอบพ่อเลยแม้แต่คำเดียว ตอนนั้นมีแต่เสียงร่ำไห้ระงมไปหมด พ่อเสียใจมาก (ร้องไห้ ) ต่อนี้ไปพ่อไม่มีโอกาสถวายการเยียวยาพระองค์ท่านอีกแล้ว พ่อกราบถวายบังคมที่พระบาท แล้วก็เดินออกมา เห็นสระน้ำข้างทาง พ่อก็ทิ้งยาวิเศษนี้ลงไป น้ำพุ่งขึ้นสูงราวกับลำตาล พ่อได้ปรุงยานี้ไว้สำหรับพระสมณโคดมเท่านั้น แต่บัดนี้. พ่อไม่จำเป็นต้องถนอมยานี้ไว้อีกแล้ว หมดความสนใจใยดีกับทุกสิ่ง หมดอาลัยตายอยากในชีวิต
    เมื่อขาเดินทางมาเฝ้าพระสมณโคดมครั้งนี้ พ่อควบม้าฝีเท้าดีมาโดยไม่หยุดพักแต่ตอนขากลับนี้ พ่อไม่รู้เรี่ยวแรงหายไปไหนหมด พ่อสุดแต่ม้าจะพาไป พาไป...พาไป จนเห็นเขาคิชฌกูฏอยู่เบื้องหน้า พ่อก็ลงจากมาเดินเข้าถ้ำไป อยู่ในถ้ำไม่นานเลยผู้คนก็ตามไปให้พ่อรักษาอีก พ่อก็ฝืนใจรักษาให้เรื่อยมา
    ๓) ความสัมพันธ์กับผู้เขียน ท่านกรุณาเล่าให้ฟัง
    “ลูกเอง (ผู้เขียนในชาตินั้น) เมื่ออายุได้ ๑๒ ขวบ ลำไส้อักเสบมาก แต่พอรักษาหาย พ่อไม่คิดค่ารักษา พ่อแม่ของลูก จึงยกลูกให้เป็นลูกของพ่อ ลูกจึงมาอยู่กับพ่อแต่นั้นมา เมื่อลูกรู้ว่าพ่ออยู่ในถ้ำ ลูกก็เข้าไปชวนพ่อกลับบ้าน เมื่อพ่อรักษาคนไข้หมดแล้ว พ่อจึงบอกให้ลูกกลับบ้านแต่ลำพัง ลูกไม่ยอมจากพ่อไป.พ่อก็ปลอบว่า จะนั่งสมาธิให้ใจสบายเสียก่อน แล้วก็เข้าสมาธิเฉยอยู่ ลูกเห็นเช่นนั้น จึงบอกพ่อว่า จะไปนำอาหารมาให้พ่อบริโภค พอลูกเดินพ้นปากถ้ำไปครู่เดียว หินบนถ้ำก็พังทลายลงมากองปิดหน้าถ้ำมืดหมด
    “พ่อไม่รู้ตัวว่าอยู่ในถ้ำนานเท่าใด มารู้ตัวต่อเมื่ออยู่ในพรหมโลกแล้วในท่านั่งสมาธิของพ่อก่อนที่ลูกจะจากไป สำหรับลูก ท่านั่งสมาธิของพ่อก่อนที่ลูกจะจากไปย่อมเป็นภาพที่ประทับสัญญาขันธ์ของลูกอย่างเหนียวแน่น คราใดที่ลูกคิดถึงพ่อ ขันธ์ห้าก็ปรุงแต่งมโนภาพนี้ในห้วงสำนึกของลูกตลอดมา แม้กาลเวลาล่วงเลยเป็นพัน ๆ ปี เมื่อลูกเห็นรูปพ่อในท่านั่งสมาธินี้ครั้งใด ลูกก็จะเกิดความสนใจในภาพนั้นทันที
    จิตผูกพันกันด้วยความรัก หรือความชัง แม้จิตไม่มีตัวตน เกิดดับด้วยเหตุปัจจัย รวดเร็วและมากมาย ไม่ต้องอาศัยหทัยวัตถุ ( หทัยรูป ) ดังที่เข้าใจกัน ทุก ๆ ปรมาณูย่อมมีจุดศูนย์กลางโดยธรรมชาติ หทัยวัตถุก็คือจุดศูนย์กลางของกายมนุษย์
    “ขณะนั้น พ่ออายุ ๗o กำลังคิดหาทางปลีกตัวออกบวช แต่พระองค์ท่านก็ทรงด่วนจากไปเสียก่อน ( ร้องไห้อีก ) ในชีวิตของพ่อ ตั้งแต่เล็กมีแต่ความเศร้า โดดเดี่ยว เจียมตัวอยู่เสมอ ไม่เคยมีความเสียใจมากอย่างนี้ คล้ายกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง คิดขึ้นมาทีไร พ่อกลั้นความเสียใจไว้ไม่ได้สักทีเดียว ดูแต่ท่านอานันทเถระ ก็ยังร้องไห้ หากทรงยอมเสวยยาวิเศษนี้เพียงครั้งเดียว พระชนม์ก็จะยืนยาวไปอีกนาน
    ยานี้ไม่คู่ควรกับใครเลย ไม่คู่ควรจริง ๆ พ่อจึงทิ้งน้ำไป ในขณะนั้นจิตของพ่อเศร้าหมองมาก ถ้าพ่อตายตอนนั้น มีทุคติเป็นที่ไป เดชะบุญที่พ่อมีสมาธิจิตดี วิบากแห่งกุศลธรรมก็ช่วยหนุนนำ จึงเกิดในพรหมโลก
    คราใดที่พ่อเห็นคนเจ็บ ก็อยากช่วยให้หายทรมาน เหมือนเมื่อครั้งพ่อเป็นมนุษย์อยู่ร่ำไป ลูกอย่าคิดว่าเป็นพรหมแล้ว จะไม่มีความทุกข์ แม้จะระงับได้ด้วยอุเบกขาธรรม บางครั้งก็เหมือนแผลที่ยังไม่ตกสะเก็ด เมื่อถูกสะกิด ก็จะมีเลือดไหลอีกฉะนั้น พระสมณโคดมจึงทรงปรารภเสมอว่า -
    “ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร อยู่ในภพที่สูงส่งเพียงไร ก็หนีความทุกข์ไม่พ้น”
    การกระทำให้ถึงซึ่งความหลุดพ้นจากความทุกข์เสียได้ จึงเป็นความสุขเหนือความสุขทั้งมวลด้วยประการฉะนี้แล ฯ
     
  6. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    พระคาถาอัญเชิญ พระบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต
    a8a8a8a8a8a8a8a8a8a
    เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๐ เวลา ๑๙.๐๐ น. เทพยเจ้าสุวรรณรัตน์ได้ประสิทธิ์ประสาทพระคาถาอัญเชิญบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ถวายไว้แก่ อง สุตบทบวร (บ๋าวเอิง) เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร เพื่อใช้พระคาถานี้ทำการบำบัดรักษาสรรพโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง เว้นเสียแต่โรคอันเกิดจากวิบากแห่งกรรมเท่านั้น เทพยเจ้าสุวรรณรัตน์ได้ถวายพระคาถานี้แก่ อง สุตบทบวร โดยเฉพาะมิได้มุ่งหมายจะให้ผู้หนึ่งผู้ใดใช้ด้วย
    ครั้นเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๑ อง สุตบทบวร ได้ขออนุญาตต่อเทพยเจ้าสุวรรณรัตน์ เพื่อเผยแพร่พระคาถานี้แก่บรรดาญาติโยมทั้งหลาย จะได้ใช้สวดภาวนาป้องกัน และรักษาสรรพโรคภัยไข้เจ็บที่บังเกิดมีขึ้น และเป็นคาถาใช้บูชา บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัตด้วย อันเป็นการเชิดชูเกียรติ และเพิ่มพูนความเคารพสักการบูชาบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ผลดีทั้งหลายจะตกได้แก่บรรดาญาติโยมผู้ได้พระคาถานี้ไปใช้ภาวนา และจะบังเกิดกุศลผลบุญมหาศาล
    เทพยเจ้าสุวรรณรัตน์ ได้ทราบจิตเจตนาอันเปี่ยมด้วยเมตตาจิต ซึ่งมีต่อญาติโยมทั้งหลายของ อง สุตบทบวร เช่นนั้น ยินดีอนุญาตให้นำพระคาถานี้ออกเผยแพร่แก่บรรดาญาติโยม เพื่อได้มีโอกาสใช้สวดภาวนาต่อไป แต่ได้ตัดเติมพระคาถาเดิมออกบางตอน คงเหลือแต่ตอนที่จะใช้สวดภาวนาได้เป็นการทั่วไป และเหมาะสมแก่บรรดาญาติโยมจะได้ใช้สวดภาวนา ดังนี้
    “โอม นะโม ชีวะโก สิระสาอะหัง กรุณิโก สัพพะสัตตานัง โอสะถะ ทิพพะมันตัง ปะภาโส สุริยาจันทัง โกมาระวัตโต ปะกาเสสิ วันทามิ ปัณฑิโต สุเมธะโส อะโรคา สุมะนาโหมิ ฯ”
    เทพยเจ้าสุวรรณรัตน์ได้กล่าวสรรเสริญคุณแห่งพระคาถาบทนี้ไว้ว่า ผู้ใดได้เจริญพระคาถาบทนี้ จะบังเกิดมีอานุภาพป้องกันสรรพโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวงได้ เป็นผู้ไม่มีโรค ซึ่งเป็นลาภอันประเสริฐ หาได้ยาก และถ้ายิ่งได้ช่วยเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รู้กันแพร่หลายออกไป ผลที่ได้ คือ ความไม่มีโรคจะบังเกิดมียิ่งขึ้น
     
  7. บัวรองพุทธบาท

    บัวรองพุทธบาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +745
    ขออภัยทุกท่านครับ คือผมกำลังงงและสับสน คือว่าอย่างนี้นะครับ

    ถ้าเป็นดังที่หลวงพ่อฤาษีท่านเล่ามา ก็หมายความว่า พ่อปู่หมอชีวกฯ ท่านนิพพานไปแล้ว
    ถ้าเป็นดังบทความที่เป็นของอาจารย์อีกท่านหนึ่ง แสดงว่าพ่อปูท่านก็ยังไม่ได้นิพพาน
    อีกอย่าง ผมก็ได้เจอบางบทความว่าพ่อปูสำเร็จเป็นพระอนาคมี และจะปรินิพพานในเร็วๆ นี้

    เอ!!!!!!!!!! ตกลงแล้วผมก็เลยงงหนักครับ เพราะตอนนี้ บางที่ขนาดบอกว่าเป็นร่างทรงของพ่อปู่ท่าน ผมก็เลยงงหนักครับ ใครอธิบายให้ผมเข้าใจได้บ้างครับ

    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2010
  8. กิดากร

    กิดากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,039
    ความเห็นผมส่วนตัวนะ ผมก็งง เห่อ ๆ แต่ผมเอาตัวนี้ตัด คือ ฟังหูไว้หู เพราะไม่ว่าอาจารย์ไหนสอน ท่านล้วนแต่สอนในความดีของท่านหมอทุกคน ส่วนอันที่ว่าตอนนี้ท่านหมออยู่ไหนนั้นต้องดูว่าคนสอนท่านเป็นพระอริยะหรือไม่ ปฏิปทาท่านผู้สอนคนนั้นน่าเชื่อขนาดไหน ถ้าจะให้ดีที่สุดไปถามท่านเองแหะ ๆ ตอนนี้ผมยังไปไม่ถึงหรอกเลยถามไม่ได้ ส่วนตัวผม ผมว่าท่านเข้านิพพานไปแล้วเพราะอารมณ์สุดท้ายท่านตัดร่างกาย ตัดทุกสิ่งทุกอย่างได้นี่ อารมณ์พระอรหันต์..
     
  9. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    คิดอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ท่านผู้๊ที่มีความสงสัยทั้งหลาย เรื่องที่เจ้าของกระทู้ท่านนำมาลงให้อ่าน เป็นเรื่องที่นำมาจากหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านได้สนทนากับท่านหมอชีวกฯ โดยตรงจากความรู้พิเศษของความเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณของท่าน สรีระของท่านก็พิสูจน์ให้เห็นอยู่แล้วว่าสิ่งที่ท่านได้สอนและถ่ายทอดเอาไว้เป็นจริงแค่ไหน ส่วนท่านใดจะเห็นหมอชีวกฯเป็นอย่างไรเป็นเรื่องของท่านผู้นั้น ระหว่างพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณกับท่านที่ไหนก็ตามที่กล่าวถึงท่านหมอชีวกฯ ถามว่าท่านจะเชื่อใคร? ใช้ปัญญาพิจารณาตามแต่ทิฐิของท่านนะครับ สำหรับผมเชื่อหลวงพ่อเกินล้านเปอร์เซ็นต์ครับ หากท่านใดอ่านหนังสือหลวงพ่อถึงเรื่องที่ท่านได้เล่าและถ่ายทอดเรื่องแบบนี้โดยตรงแล้วยังสงสัยแล้วละก็ สำหรับตัวผมเองคิดว่าน่าระวังนะครับ ถ้าภาษาชาวบ้านก็พอจะขยายความได้ว่า ท่านมุสาหรืออย่างไรครับ ถึงไม่เชื่อ? ฉะนั้นการโพสต์เรื่องต่างๆของหลวงพ่อก็ดี หากไ่ม่มั่นใจว่าจะเชื่อ ผมคิดว่าเก็บไว้กับตัวดีกว่า จะปรามาสพระอริยะโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นะครับ ไม่มีเจตนาไม่ดีกับท่านทั้งหลายนะครับ เป็นห่วงทุกๆท่านครับ เจริญในธรรมครับ
     
  10. บัวรองพุทธบาท

    บัวรองพุทธบาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +745
    ขอขอบคุณทุกท่านครับ ที่ได้ให้ความรู้ครับ
    คือ ต้องเรียนว่า ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ และที่ได้อ่านเรื่องที่หลวงพ่อท่านได้เล่ามานี้ก็เป็นครั้งแรกจริงๆ ครับ คืออย่างนี้ครับ พอดี ก่อนนั้นผมได้พบเรื่องตาม link ข้างล้างนี้

    ซึ่งผมสนใจเรื่องสมุนไพร ก็เลยคิดว่า ถ้าท่านไปพระนิพพานแล้ว ทำไมท่านถึงลงมาในลักษณะการประทับทรง แต่เรียนจากใจครับ ผมไม่มีเจตนาปรามาสจริงๆ ครับ

    ต้องขอขอบคุณยิ่งครับ ในกุศลเจตนาที่ได้ตักเตือนและขอขมาโทษหลวงพ่อพระราชพรหมยานครับ

    http://palungjit.org/threads/ตำรับยารักษาโรคโลหิตเป็นพิษของท่านปู่ชีวกโกมารภัท.84433/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2010
  11. บัวรองพุทธบาท

    บัวรองพุทธบาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +745
    อนุโมทนาครับ และประทับใจในการตอบของท่านครับ

    เรียนทุกๆ ท่านครับ ผมย้อนกลับไปดูข้อมูลเดิมตอนที่ท่านลงมาบอกยาให้กับพระอาจารย์เล็กแล้วครับ ผมก็ถึงบางอ้อและเข้าใจ ผมว่าในบางอย่างผมคงต้องปฏิบัติให้ได้มากกว่านี้แล้วหละ ผมถึงจะเข้าใจ

    ปล. เรียนถามผู้รู้ครับ พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ เป็นพระอริยะเจ้าขั้นสูงสุดอีกท่านหนึ่งใช่หรือไม่ครับ
     
  12. Sailomsuksikee

    Sailomsuksikee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +573
    ตอนที่หลวงพ่อไปที่ ภาคเหนือและทำำพิธีบวงสรวง และตัดกรรม ท่านแม่ศรีก็ประทบทรง ผู้หญิงคนหนึ่งและช่วยทำพิธีด้วยนะครับ

    ปล. ผมดูจากซีดีครับ
     
  13. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    896
    ค่าพลัง:
    +2,177
  14. I Love NIPPan

    I Love NIPPan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +479
    ขอรบกวนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

    เนื่องด้วยตัดสินใจว่าอยากจะเรียนหมอ เลยอยากจะได้รูปปั้นท่านปู่ชีวกมาไว้บูชา แต่ไม่รู้ว่าจะหารูปท่านที่เหมาะสมได้อย่างไร เท่าที่จำได้ไม่เคยได้ยินหลวงพ่อกล่าวเรื่องรูปปั้นของท่านนัก แล้วที่วัดท่าซุงเรามีรูปปั้นท่านมั้ยค่ะ

    ตอนนี้ได้แต่ขอบารมีพระ หลวงพ่อและท่านปู่ชีวกให้ช่วยดลใจและสงเคราะห์เลือกรูปปั้นท่านปู่ให้ซักอัน

    ท่านใดเคยได้ยินหลวงพ่อหรือพระสายวัดท่าซุงเรากล่าวไว้บ้างค่ะ กรุณาให้ข้อมูลด้วย ขอบคุณมากค่ะ
     
  15. กิดากร

    กิดากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,039
    รูปปั้นของท่านหมอ มีอยู่ที่วัดท่าซุงครับ แต่ถ้าเป็นขนาดพกพา หรือบูชาอันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าที่ไหนมี แต่ถ้ามีกล้องก็ไปที่วัดท่าซุง ขอถ่ายรูปท่านแล้วเอามาบูชาก็ได้นะครับ ใจเคารพซะอย่างจะรูปปั้น หรือรูปถ่าย หรือจะไม่มีก็มีผลเสมอกัน.
     
  16. wat2518

    wat2518 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +147
    ผมพอจะทราบครับ
     
  17. I Love NIPPan

    I Love NIPPan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +479
    ขอบคุณสำหรับข้อมูล ตอนนี้ได้บูชารูปท่านมาแล้วค่ะ โดยใช้วิธีอธิษฐานให้ท่านช่วยสงเคราะห์และดลใจให้เลือกรูปปั้นมาได้หนึ่งรูป
     

แชร์หน้านี้

Loading...