เวลานั่งสมาธิบริกรรมพุทโธหรือกำหนดลมหายใจ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 18 กรกฎาคม 2017.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    จะมีความรู้สึกแน่นๆที่จมูกอย่างมาก พยายามบังคับตัวเองให้จับลมที่ปลายจมูก แต่ไม่ค่อยรุ้สึกถึงลมหายใจ จะรุ้สึกหนักๆแน่นๆที่จมูกเพราะอะไร และมีสิธีแก้อย่างไรบ้าง

    สาธุ ขอขอบพระคุณในคำตอบทุกคอมเม้น ขอให้พบพระนิพพานในเร็ววัน
     
  2. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    เพ่ง บังคับลม
    ตอนที่ไม่ลงมือปฏิบัติภาวนาลมหายใจปกติเป็นอย่างไร
    ให้จับอาการอย่างนั้น
    อย่าไปตบแต่ง
    นี่จัดว่าเป็นอาการวิปลาสอย่างเบา
    แต่จะทำให้มีความเครียดเพิ่มมากขึ้น
    ถ้าไม่เสียสติก็อาจจะเกลียดการภาวนาไปเลย
    จนถึงขั้นติเตียนตนเองหรือวิธีการหรือผู้สอนได้
    ประมาณนี้แหละ
     
  3. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    เท่าที่ผมเคยทำมา อาการแบบนี้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

    แบบแรก จะเป็นอาการที่สมาธิเริ่มทรงตัวเป็นฌาน เป็นผลดี

    จะมีอาการของพลังงานที่เริ่มบีบอัดเข้าหาจุดศูนย์กลาง
    จะมีอาการแน่น ๆ ตึง ๆ แถว ๆ บริเวณใบหน้า
    ปากและจมูกจะมีอาการตึง ๆ คล้ายกับเป็นเหน็บชา
    เหมือนมีอะไรมาหยุบหยิบ ๆ แถว ๆ หน้า

    แต่จะมีอารมณ์นิ่งมาก สงบสบาย ๆ
    ไม่มีอาการปวด ไม่มีอาการเมื่อย ไม่ปวดหัวปวดตา

    ใจจะนิ่ง รู้ลมหายใจเข้าออกไปโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องบังคับ
    ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ต้องไปทำอะไรครับ แค่รับรู้อาการไปเรื่อย
    รู้ลมหายใจไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถเข้าสมาธิขั้นสูงขึ้นไปได้

    แบบที่สอง อาการจะคล้ายกันกับแบบแรกมาก

    จะมีลักษณะเหมือนกันเลย แต่แบบนี้ที่สองนี้จะมีอาการปวดมาก
    คือ จะมีอาการปวดหัว ปวดตา ปวดจมูก ร่วมด้วย
    เนื่องจากว่าเราเพ่งเพื่อต้องการสมาธิมากเกินไป
    จนเผลอไปบังคับลม บังคับสายตาในขณะที่นั่งสมาธิ
    ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าและสายตาเกิดอาการเกร็ง
    เมื่อเพ่งมาก ๆ ก็เลยทำให้ปวดหน้า ปวดหัว ปวดตา ได้ในที่สุด

    อาการปวดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสมาธิของเราครับ
    สมาธิเข้มข้นมากก็ปวดมาก สมาธิเข้มข้นน้อยก็ปวดน้อย

    ตรงกันข้ามกับแบบแรก
    แบบแรกยิ่งสมาธิเข้มข้นมาก อาการยิ่งแน่น จิตยิ่งนิ่ง แต่ไม่เจ็บไม่ปวดใด ๆ

    ผลดีของแบบที่สอง มีอย่างเดียวคือ
    สามารถรู้ได้ว่าสมาธิของเรานั้นเริ่มมีกำลังมากขึ้นแล้ว
    ยิ่งแน่น ยิ่งตึง ยิ่งปวด ก็แสดงว่าสมาธิเราเข้มข้นมากเท่านั้น

    เพราะทั้งสองแบบใช้กำลังของสมาธิเท่ากัน
    ต่างกันที่แบบแรก ไม่เจ็บไม่ปวด เพราะไม่ได้ไปเพ่งโดยบังคับสายตา
    แต่แบบที่สอง จะเจ็บปวดบริเวณใบหน้าและตามาก เพราะไปเพ่งมากเกินไป

    วิธีแก้ไขถ้าปวดมาก ๆ
    ให้ประสานมือไว้ที่หลังหัว
    แล้วกดลงมาที่อกเบา ๆ คล้าย ๆ กับตอนซิตอัพ
    เพื่อคลายกล้ามเนื้อ ยืดเส้นยืดสาย พอหายปวดแล้วค่อยเลิกทำ

    จากนั้นเวลาทำสมาธิ ก็ห้ามขยับตา ห้ามขยับปาก
    ห้ามเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนตั้งแต่คอขึ้นไป ปล่อยตามสบาย ๆ
    จากนั้นให้เอาลิ้นดันเพดานปากเล็กน้อยเบา ๆ

    และหายใจด้วยจมูกเพียงข้างเดียว จะซ้ายหรือขวาก็ได้ แต่ข้างเดียวพอ
    เพราะปกติแล้วคนเราจะหายใจด้วยจมูกทีละข้างเท่านั้น
    หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้
    ทำไปเรื่อย ๆ ก็อาจจะมีอาการตึงแน่นอีก

    แต่ถ้าทำถูก จะไม่มีอาการปวดร่วมด้วย
    จะมีแต่อาการแน่น ๆ ตึง ๆ บริเวณใบหน้า จมูกปากเท่านั้น
    ไม่ปวดหัว ไม่ปวดตา อีก
    ถ้าแบบนี้ก็คือ แก้ได้แล้ว
    ก็สามารถฝึกสมาธิแบบนี้ต่อไปได้เลย
    ถ้าปวดอีกก็แก้แบบเดิม จนกว่าเราจะเคยชินกับการฝึกแบบถูกวิธี ต่อไปก็จะไม่ปวดอีก
     
  4. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    เวลาฝึกสมาธิ สามาถทำได้หลายแบบ
    แบบภาวนาพุทโธ พร้อมลมหายใจเข้าออกก็ได้
    หรือ แบบตามดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวก็ได้ เข้ารู้ ออกรู้
    แล้วแต่ถนัด

    ถ้าตามดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว
    มีวิธีฝึกที่แนะนำคือ
    หายใจเข้า-ออก นับ 1
    หายใจเข้า-ออก นับ 2
    หายใจเข้า-ออก นับ 3
    หายใจเข้า-ออก นับ 4
    หายใจเข้า-ออก นับ 5
    หายใจเข้า-ออก นับ 6
    หายใจเข้า-ออก นับ 7
    หายใจเข้า-ออก นับ 8
    หายใจเข้า-ออก นับ 9
    หายใจเข้า-ออก นับ 10

    ครบ 10 แล้วหยุดพัก หรือ จะเริ่มจาก 1-10 อีกรอบก็ได้
    จากนั้นไปหาอย่างอื่นทำ
    พออารมณ์ใจสบาย ๆ ก็มาฝึกใหม่

    ทำวันละ 2-3 ครั้งก็พอเช่น เช้า กลางวัน ก่อนนอน

    ถ้าในระหว่าง 1-10 ใจมันแว่บไปคิดอย่างอื่น
    ก็ให้เริ่มนับ 1 ใหม่ จนกว่าจะครบ 10 โดยที่ใจไม่คิดอย่างอื่นเลย

    ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าชำนาญแล้ว
    จะเพิ่มจาก 10 เป็น 20 เป็น 100 เป็น 200 ก็ได้ ตามสะดวก
    จิตก็จะเป็นสมาธิมากขึ้นไปตามลำดับ
     
  5. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ปัจจุบันบริกรรมพุทโธแล้วนับเลขกำกับ บางครั้งก้อมีอาการจับที่ดั้ง บางครั้งก้อไม่มี แต่จะพยายามไม่ไปเพ่งที่ดั้งมากเกินไป เพราะรุ้สึกปวดดั้ง พยายามให้จิตเป็นธรรมชาติที่สุด พุทโธแล้วนับ1-100กำกับและวนมานับ1ใหม่
     
  6. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    พระอาจารย์กล่าวว่า "มีวิธีแก้ปวดหัวอยู่วิธีหนึ่ง ไม่รู้ว่าโยมถนัดกันหรือเปล่า ? คือให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้าย จมูกข้างซ้ายเป็นลมเย็น จมูกข้างขวาเป็นลมร้อน ถ้าต้องการแก้ปวดหัวให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้าย อาตมาหายใจทีละข้างได้ ไม่รู้ว่าโยมทำได้หรือเปล่า ...(ไม่ได้ค่ะ)... ถ้าไม่ได้ก็เอามืออุดรูจมูกข้างขวาไว้

    ก่อนหน้านี้อาตมาไม่รู้หรอกว่าคนเราหายใจด้วยจมูกได้ทีละข้าง หลวงพ่อสมปองท่านสอน ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวช ไปเป็นนาคอยู่ที่วัด ท่านบอกว่าท่านเป่าปี่ชวา หายใจเข้าด้วยจมูกข้างซ้าย หายใจออกด้วยจมูกข้างขวา อาตมาก็งง ๆ ว่าทำแบบนี้ได้ด้วยหรือวะ ? พอมาลองทำดู ปรากฏว่าทำได้จริง ๆ เพราะว่าเวลาเป่าปี่ชวาต้องใช้ลมหายใจที่ยาวมาก ๆ ไม่อย่างนั้นจะสะดุด จึงต้องใช้วิธีหายใจหมุนเวียนจะได้ไม่ต้องหยุด อาตมาก่อนหน้านี้ไม่รู้หรอกว่าคนเราหายใจได้ด้วยจมูกทีละข้าง ไปรู้เอาตอนนั้นเอง"

    ถาม : คงทำได้นิดเดียวค่ะ ?
    ตอบ :
    ใหม่ ๆ ลองบังคับดู อีกข้างหนึ่งจะหายใจเข้าด้วย แต่พอเราเพ่งความรู้สึกไว้ที่รู้จมูกข้างใดข้างเดียว ก็จะใช้ได้เฉพาะข้างนั้น ตอนหัดใหม่ ๆ อีกข้างหนึ่งก็จะหายใจเข้าไปหน่อยหนึ่งด้วย

    ถ้าใครรู้สึกปวดหัวขึ้นมาให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้ายข้างเดียว สัก ๓ นาที ๕ นาทีก็หายแล้ว ที่เราปวดหัวเพราะว่าความดันขึ้นหรือว่าความร้อนในร่างกายมากขึ้น ที่สมัยนี้เขาเรียกว่า "หัวร้อน" ก็ต้องอาศัยลมหายใจเย็น เขาเรียกลมจันทกาลา คือลมหายใจแบบพระจันทร์ ถ้าสุริยกาลาจะเป็นลมหายใจร้อน เอาไว้สร้างพลังงาน

    ใครรู้สึกเพลีย ๆ ไม่มีแรงให้หายใจด้วยจมูกขวาข้างเดียวสัก ๓ นาที เดี๋ยวก็ไปต่อได้ แต่ขอบอกนะว่าหายใจด้วยจมูกขวาข้างเดียวนี่หิวข้าวอย่าบอกใคร เพราะว่าใช้พลังงานเยอะ


    ที่มา http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=188877
     
  7. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ก่อนหน้านี้อาตมาไม่รู้หรอกว่าคนเราหายใจด้วยจมูกได้ทีละข้าง หลวงพ่อสมปองท่านสอน ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวช ไปเป็นนาคอยู่ที่วัด ท่านบอกว่าท่านเป่าปี่ชวา หายใจเข้าด้วยจมูกข้างซ้าย หายใจออกด้วยจมูกข้างขวา อาตมาก็งง ๆ ว่าทำแบบนี้ได้ด้วยหรือวะ ? พอมาลองทำดู ปรากฏว่าทำได้จริง ๆ เพราะว่าเวลาเป่าปี่ชวาต้องใช้ลมหายใจที่ยาวมาก ๆ ไม่อย่างนั้นจะสะดุด จึงต้องใช้วิธีหายใจหมุนเวียนจะได้ไม่ต้องหยุด อาตมาก่อนหน้านี้ไม่รู้หรอกว่าคนเราหายใจได้ด้วยจมูกทีละข้าง ไปรู้เอาตอนนั้นเอง"



    เห็นที่พูดนั่นแล้ว ฉุกคิดถึงคำพูดของคนในหมู่บ้านที่ว่า "ตาควรเป่าปี่หายใจทางตูด"

    ท้าวความหน่อย คือ หมู่ในชนบทตกค่ำหลังจากกินอาหารเย็นแล้ว ยังไม่นอน ก็จะฝึกเครื่องดนตรีไทยเนี่ยกัน บ้างก็ฝึกระนาด บ้างก็สีซอ บ้างเป่าปี่ บ้างก็เป่าออแกน ... โฟกัสบ้านที่เป่าปี่ ซึ่งมีชื่อตาควร เขาเรียกกันว่าตาควร ตาควร แกเป่าปี่แก้มตุ่ยเสียงไม่ขาดระยะอย่างว่า พอได้ยินเสียงปี่อี้แอ่ๆๆ เอาแล้วๆ ตาควรเป่าปี่หายใจทางตูดๆๆๆ:D
     
  8. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    อาการคล้าย เข้าฌานเลย เพราะ กำลังสติไม่มี แต่ไปต่อไม่ได้
    ลองเดินจงกลมก่อนเข้าสมาธิครับ แล้วเข้าสมาธิ ถ้าเป็นเหมือนเดิมให้ฝึกสติเพิ่มครับ
    ลองสัก 2-3 วัน
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ขอแนะนำให้ มจด.ทำบุญด้วยการเป่าปี่ให้นักมวย
    ฟังหรือเป่าปี่ให้งูเต้นระบำ จะตรงจริตมากคับ
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494

    มจด. เป็นคนกัวฮูอ่ะคับ :D
     
  11. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เริ่มดีขึ้นแล้วนะคะ ไม่แน่นที่จมูกแล้ว เมื่อวานกับวันนี้ค่อนข้างตั้งใจปฏิบัติ เดินจงกลมนั่งสมาธิรู้สึกนิ่งขึ้น
     
  12. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ขณะเดินทาง จงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรียนรู้สิ่งที่ประสบ รู้แล้วจบๆ ทุกข์สำหรับเรียนรู้ ไม่ใช่เพื่อทุกข์

    ผู้ฝึกฝนพัฒนาจิตใจจะเอาแต่ดี (โลกสวย) อย่างเดียวหาได้ไม่ การเดินทางก็มีทั้งราบรื่น ลุ่มดอน อุปสรรคขวากหนาม เจ็บปวด สุขสม คละเคล้ากันไป ตราบเท่าที่เรายังเดินทางไม่สุดสาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2017
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    “แน่ะอัคคิเวสสนะ (ชื่อโคตร/นามสกุลของสัจจกนิครนถ์) อย่างไร จึงจะเป็นภาวิตกาย และเป็นภาวิตจิต ?

    อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ ผู้ได้เรียนสดับ มีสุขเวทนาเกิดขึ้น ถึงจะได้สัมผัสกับสุขเวทนา เขาก็ไม่ติดใคร่ใฝ่กระสันในสุข ไม่ถึงความเป็นผู้ติดใคร่ใฝ่กระสันในสุขเวทนา ครั้นสุขเวทนานั้นดับไป เพราะสุขเวทนาดับไป
    มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น เขาสัมผัสกับทุกขเวทนาเข้าแล้ว ก็ไม่เศร้าโศกไม่ฟูมฟาย ไม่รำพัน ไม่คร่ำครวญ ไม่ตีอก ไม่ถึงความฟั่นเฟือนเลือนหลง

    “อย่างนี้แหละ อัคคิเวสสนะ เพราะเหตุที่ได้พัฒนากายแล้ว สุขเวทนานั้น ถึงแม้เกิดขึ้น ก็หาได้ครอบงำจิตตั้งอยู่ไม่ เพราะเหตุที่ได้พัฒนาจิตแล้ว ทุกขเวทนา ถึงแม้เกิดขึ้น ก็หาได้ครอบงำจิตตั้งอยู่ไม่

    “นี่แน่ะอัคคิเวสสนะ สำหรับอริยสาวกผู้หนึ่งผู้ใด สุขเวทนาถึงแม้เกิดขึ้น ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้พัฒนากายแล้ว ทุกขเวทนาถึงแม้เกิดขึ้น ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้พัฒนาจิตแล้ว ครบทั้งสองข้าง อย่างนี้แล อัคคิเวสสนะ บุคคลจึงเป็นภาวิตกาย และเป็นภาวิตจิต” * (ม.มู.12/405/437)
     
  14. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ภาวิตกาย มีกายที่ได้พัฒนาแล้ว (กายในที่นี้ ได้แก่ ปัญจทวาริกกายหรืออินทรีย์ ๕ คือ ตา (จักขุ) หู (โสตะ) จมูก (ฆานะ) ลิ้น (ชิวหา) กายะ (ผิวกาย)

    ภาวิตจิต มีจิตที่ได้พัฒนาแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...