เสียงธรรมะจากพระองค์ที่10

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย lotte, 16 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    เสียงธรรมจากพระองค์ที่ 10
    จิตวิญาณ หรือ อทิสมานกาย ที่พวกเราชอบเรียกกันทางมโนมยิทธิว่า กายทิพย์ อทิสมานกายหรือกายทิพย์นี่มีอยู่กับสัตว์ทุกประเภท คนทุกคน ทีนี้คนและสัตว์มีวิญญาณเหมือนกันมั้ย เหมือนกันคุณโยมเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นขาว เป็นดำ เป็นด่าง เป็นไอ้แต้ม ไอ้ตูบอะไรก็แล้วแต่เถอะ มันมีจิตวิญญาณเหมือนกันหมด เมื่อมีจิตวิญญาณเหมือนกัน ก็แสดงว่าจิตวิญญาณ ตัวนี้แหละคือ ตัวร่างกายของเรา ทีนี้เมื่อเราเจ็บ จิตวิญญาณมิได้เจ็บหรือไง เมื่อเราป่วยจิตวิญญาณมิได้ป่วยด้วย เมื่อจิตวิญญาณมิได้ป่วยร่างกายเราป่วย แต่เหตุที่เรามีความรู้สึกมีอาการอย่างนั้น เพราะความเคยชิน ความที่เราผูกพันต่อมันว่านี่เป็นของเรานะ ตัวกูต้องเป็นของกู ผมก็ของกู ฟันก็ของกู เล็บก็ของกู หนังก็ของกู ความจริงแล้วมันไม่ใช่ของกู มันเป็นของเขา แต่เราไปยืมเขามาใช้ ใช้แล้วหลงระเริง ไม่ยอมคืนชาวบ้านเขา หรือนึกว่ากูจะไม่คืนต่อไปละกูจะครองไว้ตลอดชาติตลอดสมัย พวกนี้โง่บรรลัยบัดซบที่สุด ใช้ไม่ได้ ไม่มีปัญญาแล้ว ยังโง่หลอกหรือโกงของชาวบ้านเขามาอีก เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้สภาพความเป็นจริงว่า ตัวเราจริง ๆ คือจิตวิญญาณเสียแล้ว พระองค์พระจอมตรัย พระองค์ก็ทรงดำรัสต่อไปว่า นี่ในคัมภีร์วชิระปัญญา ฝ่ายมหายาน มีการเขียนเป็นคัมภีร์ไว้อย่างนั้นอย่างนี้ว่า จิตวิญญาณหรือจิตเดิมแท้ของมนุษย์ทุกประเภท เป็นจิตของพุทธะ พุทธะเป็นความเบิกบาน เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความใสสะอาด
    เมื่อจิตของพุทธะมีอยู่ในร่างกายของคนเราทุกคนแล้ว แล้วเราทำไมไม่เห็นจิตเดิมแท้ ไม่เห็นธรรมพุทธะ หรือไม่เห็นกายที่พวกเราเข้าใจเรียกว่าเป็นกายของพระอริยเจ้านั้นได้ เพราะเหตุที่มีตัวสีมาฉาบทา ให้เราไม่สามารถเห็นไอ้ตัวสีนี้แหละเป็นเครื่องเกาะกินใจอย่างร้ายกาจ เป็นเครื่องทำลายความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณ สีมีกี่อย่าง กี่ประเภท สีที่องค์สมเด็จพระจอมตรัยถือว่า เป็นตัวคอมมิวนิสต์ คอยเกาะกินความดีนี้ก็คือ ตัวราคะ เมื่อสีราคะเกิด จิตวิญญาณที่ใสสะอาดย่อมเศร้าหมองขุ่นมัว ตัวต่อไป สีตัวที่สองคือตัว โทสะ เมื่อ ตัวโทสะเกิด ขาดปัญญา เมื่อสีตัวที่สองมี สีตัวที่สามก็ย่อมมี สีตัวที่สามก็คือ โมหะ ทั้งสามตัวนี้เป็นสีใหญ่ ๆ ที่มาแปดเปื้อนจิตวิญญาณของเรา หรือตัวเราจริง ๆ ให้ต้องได้รับความที่ว่าไม่สามารถใช้พลัง หรือ ใช้อำนาจจิตวิญญาณหรือใช้อำนาจกายทิพย์เราได้ เพราะยังงั้นพระองค์สมเด็จพระจอมตรัยจึงบอก วิธีการปฏิบัติทำตนให้เข้าถึงจิตแท้ของเธอ จิตเดิมแท้ของพระอริยเจ้าหรือพูดง่าย ๆ ที่พวกเราชอบเรียกว่า กายของพระพุทธเจ้า หรือ กายของพระอรหันต์นั่นเอง เพราะยังงั้นเมื่อพวกเรามีกายของพระอรหันต์ มีกายของพระอริยเจ้าอยู่ทุกคน เราก็มาหาวิธีปฏิบัติที่จะทำให้ถึงกายของพระอรหันต์องค์นั้น
    วิธีปฏิบัติที่จะทำให้ถึงกายพระอริยเจ้าในจิตของเราคือ พระองค์ทรงสอนว่า เริ่มแรกต้องทำกายให้เป็นปกติ ทำวาจาให้เป็นปกติ ทีนี้กายวาจาจะปกติได้พระองค์บอกว่าต้องมีสิกขาบท สิกขาบทคือข้อยกเว้น ข้อห้าม ข้อห้ามนี้เรียกว่า ศีล ศีลแปลว่า ปกติ บุคคลใดมีศีลบุคคลนั้นปกติ เมื่อมีกายปกติแล้ว ความสะอาด ความสมบูรณ์ ความบริสุทธิ์ของใจย่อมแผ่พลานุภาพให้เห็น เกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ คือ พลังสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้วปัญญาย่อมเกิด เมื่อปัญญาเกิด จึงนำเอาปัญญาเหล่านี้แหละ ที่ได้จากสมาธิและศีลนี่ ไปตัดตัวสีทั้งสามตัว คือตัวราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงหน่อย ก็ถือว่าเป็นพระโสดาบัน คนที่เป็นสกิทาคา อนาคาก็ล้างให้สะอาดมากขึ้นไปอีกนิดนะ ลดหลั่นตามชั้นของพระอริยเจ้า คนที่เป็นพระอรหันต์นี่หนักหน่อย ล้างมากหน่อย จึงใสสะอาด เพราะฉะนั้นอำนาจกำลังสมาธิเกิดขึ้นได้เพราะศีล อำนาจศีลเกิดได้เพราะใจเราตั้งเป็นปกติ กายเป็นปกติ อำนาจปัญญาเกิดได้เพราะอาศัยสมาธิเป็นเกณฑ์ เมื่อพวกเราทราบอย่างนี้ จิตเดิมแท้ของเราเป็นพุทธะ เราก็น้อมนำตนให้เข้าถึงจิตเดิมแท้ ทำความรู้สึกว่า ธรรมะอยู่กับตัวเรา เราคือธรรมะ ธรรมะเป็นข้อที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน มันไม่ใช่อยู่ที่ไหน มิใช่อยู่ที่พระไตรปิฏก ไม่ใช่อยู่ที่ตำราหรือตัวอาตมา หรือครูบาอาจารย์ที่ไหน แต่พวกเรามีธรรมะทุกคน แต่เหตุที่เราไม่รู้จักนำเอาธรรมะหรือพระอริยเจ้าในจิตของเรามาใช้ ก็เพราะว่าเราไปโง่หลงงมงายว่านี่ของกู ลูกของกู ผัวของกู เมียของกู สมบัติพัศสถาน ทั้งหมดที่อยู่ในรอบกายเราเป็นของกู เมื่อเป็นของกูตัวนี้เป็นภาษาศัพท์ธรรมะ เขาเรียกว่าอะไร เขาเรียกว่าความผูกพันทางใจ ความผูกพันทางร่างกาย เริ่มแรกมีความผูกพันทางร่างกายเสียก่อน เราสร้างพันธะให้เกิดขึ้นกับร่างกายขึ้นมา เมื่อพันธะของร่างกายเกิด ใจก็ผูกพันเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นเมื่อใจผูกพัน ไอ้ใจที่มันเคยใสสะอาด เป็นอิสระ เปรียบเทียบกับลูกโป่งที่ลอยไปในอากาศกลับไปโดนผูกดึงเอาไว้ มันก็ไม่มีความบริสุทธิ์ เรียกว่าใจพระอริยเจ้าโดนทำร้าย แต่ยังไม่ชื่อว่า โดนทำลาย เพราะยังงั้นเมื่อพวกเราทราบถึงตัวเองว่า เราก็เป็นพระอริยเจ้าคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าสามารถทำได้ ทุกคนก็สามารถทำให้ถึงซึ่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้ คือเข้าถึงแดนพระนิพพานเพราะใจสว่าง
    http://www.dhammapratarnporn.com/book1/book1p2_page8.html

    (bb-flower
     
  2. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +2,161
    เขาว่ากันว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันลงมาทั้งกายเนื้อเลย ไม่ทราบจริงหรือไม่
     
  3. kasin84000

    kasin84000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +997
    จริงครับ
    [b-wai]
     
  4. mikky

    mikky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    894
    ค่าพลัง:
    +577
    หลวงปู่พุธอิสระท่านให้สัมภาษณ์นักข่าว ว่าสาเหตุที่ใคร ๆ เรียกท่านว่าหลวงปู่ เพราะท่านไปวัดท่าซุง แล้วได้รับเชิญขึ้นเทศน์ และได้รับฉายาว่า พระองค์ที่ 10 เพราะไปถึงเป็นคนที่ 10 งานวันนั้นมีพระอยู่ 9 รูป จากนั้นบรรดาศิษย์วัดท่าซุงก็เรียกท่านว่าหลวงปู่มาตลอด

    นี่เป็นคำอ้างที่ปรากฏบนเวบผู้จัดการ ที่กล่าวโดยหลวงปู่เอง ถูกสัมภาษณ์โดยสำราญ รอดเพชร ปัจุบันไม่มีแล้ว


    ส่วนตัวผมไม่ได้เชื่อตามที่หลวงปู่พุทธอิสระพูดสักนิดเดียว แต่ก็อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า เรื่องแต่ละเรื่องมันก็มีสองด้าน ไม่ว่าจะมองด้านไหน มันก็เป็นสองด้านได้หมด ก็อ่านด้านนี้อีกด้านหนึ่งแล้วกัน


    ผมสังเกตได้อีกอย่างว่า เมื่อก่อนผมตามอ่านประวัติหลวงปู่พุทธอิสระมาตลอด ปัจจุบันพบว่า "ประวัติของท่านเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต" ที่เคยอ่าน และถ้ามีคนถามว่าทำไมถึงเป็นหลวงปู่ ท่านก็จะตอบไปอีกแบบหนึ่ง ไม่ได้ตอบเหมือนเดิมแล้ว ส่วนเรื่องอายุที่ท่านปิดบังมาตลอด ปัจุบันบนเวบท่านก็เปิดเผยแล้วว่าตามใบเกิดท่านเกิด พศ 2502 เท่ากับ 47 ปีเท่านั้น ดังนั้นตอนที่มีข่าวว่าท่านโกงพรรษาเมื่อ 9 ปีที่แล้วแปลว่าท่านอายุ 38 ปี ถ้าท่านบวชเมื่ออายุ 20 ท่านจะมีพรรษาเพียง 18 พรรษาเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าข้อกล่าวหาต่าง ๆ นั้นไม่ใช่ข้อกล่าวหาแต่เป็นเรื่องจริง มันน่าแปลกที่ชีวประวัติคนเรา สามารถเปลี่ยนแปลงได้

    ที่เขียนมาไม่ใช่จะให้ใครไปจับผิดเรื่องอายุ เพราะคนที่มีภูมิธรรม ไม่จำเป็นต้องมีพรรษาแก่ก็ได้ แม้เด็ก 5 ขวบลูกศิษย์หลวงพ่อฤษีลิงดำได้อภิญญาก็มีมาแล้ว ดังนั้นอายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่อยากให้อ่านแล้วมองอะไรอีกด้านที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มองดูบ้าง อาจมีประโยชน์ อยากให้เป็นข้อความที่สะกิดให้คนใช้ปัญญา และไม่อยากให้เป็นข้อความที่สะกิดคนให้ด่าพระ ก็อย่างที่บอกไปแล้ว ว่าพระษามากหรือน้อยไม่เกี่ยวกับดีหรือไม่ดี และคนเราก็ไม่ได้มีหน้าที่ด่าทอใคร เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า "อัตนา โจทยัตนัง" ดังนั้นอ่านเพื่อฝึกปัญญาของตัวเองดีกว่า สามารถทดสอบธรรมของตัวเราได้หลายข้อเลยที่เดียว ข้อแรกก็คืออุบกขา ข้อต่อ ๆ ไปก็ขึ้นกับจริตของแต่ละคนแล้ว คงจะไม่เหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2006
  5. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +708
    ตอบได้ดีมีเหตุผลครับผม
     

แชร์หน้านี้

Loading...