เสียดาย… คนตายไม่ได้อ่าน ตอนที่ 2

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 13 พฤษภาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระพุทธเจ้ามีคำตอบ มีคำอธิบาย มีความรู้จริงเกี่ยวกับเรื่องกรรมวิบากและภพภูมิทั้งปวง บางวันนึกเสียดายขึ้นมาว่าธรรมะในพระไตรปิฎกอันเปรียบประดุจภูเขาทองยังกองอยู่อย่างเปิดเผยแต่น้อยคนจะเหลือบแลไปเห็น และน้อยคนที่เห็นแล้วเต็มใจจะอ่าน


    ทุติยบรรพ – ตายแล้วไปไหนได้บ้าง ?

    [​IMG]


    บางคนคิดว่าสิ่งที่เราไม่รู้อย่างที่สุดในชีวิตก็คือเรื่องเกี่ยวกับการตายของตัวเอง เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วยุติ จะตายวันไหน ตายอย่างไร และตายในสถานที่แบบใด วันนั้นจะมีอยู่เพียงวันเดียว เป็นประสบการณ์หนเดียว พูดง่ายๆว่าการตายคือการยุติ ไม่มีความจำเป็นใดๆต้องไป คำนึงถึงล่วงหน้าให้เสียเวลาเปล่า


    แต่แท้จริงสิ่งที่เราไม่รู้ยังมีมากไปกว่านั้น ชนิดที่ทำให้ความไม่รู้เรื่องความตายกลายเป็นเรื่องจ้อยไปเลย นั่นคือความจริงเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย หากหลังความตายมีรูปแบบการมีชีวิตอยู่จริง ก็นับเป็นเรื่องน่าพะวงกว่าความตายมากนัก เพราะกระบวนการตายอาจเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาที แต่หลังจากนั้นเราจะต้องทนอยู่กับความจริงที่เหลืออีกนานเพียงใดไม่อาจทราบได้​


    หากมองด้วยความเชื่อว่าหลังความตายมีภพภูมิใหม่รอต้อนรับเราอยู่ มุมมองเกี่ยวกับขณะแห่งความตายก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ การตายเป็นการสอบครั้งเดียวที่ไม่มีโอกาสแก้ตัวใหม่อีกรอบ


    ถ้ามองในแง่ที่ว่าทุกคนต้องเป็นผู้เสวยผลกรรมของตน ก็แปลว่าเราทำอะไรลงไปเท่าไหร่ ก็คือลงทุนให้ตัวเองได้รับกำไรหรือความขาดทุนเท่านั้น ต่อให้เราเสียสละเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่นตลอดทั้งชีวิต ท้ายที่สุดก็ไม่ใช่ใครอื่น เราจะเป็นผู้เสวยรางวัลแห่งการเสียสละนั้นเอง และในทางตรงข้าม แม้เราจะรู้สึกเหมือนเอารัดเอาเปรียบผู้คน กอบโกยผลประโยชน์มาได้ทั้งชีวิต ท้ายที่สุดก็ไม่ใช่ใครอื่น เราจะเป็นผู้เสวยโทษทัณฑ์จากการเป็นผู้เอารัดเอาเปรียบนั้นเอง​


    แต่การอยู่ในวังวนเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้นี้ ทุกคนถูกทำให้ไม่รู้ว่ามีการเกิดตายกันหลายชาติมีการเสวยกรรมที่ทำด้วยโลภะ โทสะ โมหะ พวกเราเหมือนถูกหลอกกันตั้งแต่ลืมตาดูโลกว่าชีวิตนี้มีครั้งเดียว เพราะฉะนั้นอยากได้อะไรก็รีบๆโกยเสียจากชีวิตนี้ อย่ารีรอ อย่าเห็นใจใครอื่นมากกว่าตัวเองไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ เต็มใจหรือไม่เต็มใจ หากอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ ก็แปลว่าเรากำลังเล่นเกมแห่งความไม่รู้กันอยู่ ในเกมนั้นเต็มไปด้วยกฎ เต็มไปด้วยเงื่อนไขสลับซับซ้อน และเต็มไปด้วยการตกรางวัลและลงโทษทุกแบบทุกระดับ!​


    ความไม่รู้หาได้เกิดขึ้นจากการกลั่นแกล้งของใคร พวกเราเป็นของเราอย่างนี้กันเอง ถ้าหาก ‘รู้’ เสียอย่างเดียว เกมแห่งการเกิดตายจะไม่มีอยู่เลย หรือไม่เกมแห่งการเกิดตายก็จะมีแต่ฉากสนุก ตื่นเต้นเร้าใจ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเฮฮาและรอยยิ้มสดชื่น ทว่าเรื่องจริงไม่เป็นเช่นนั้น ความไม่รู้ว่ากรรมดีทำให้เป็นสุข กรรมชั่วทำให้เป็นทุกข์ ส่งผลให้เราทำกรรมดีบ้าง ทำกรรมชั่วบ้าง เพียงเพื่อตอบโต้สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเฉพาะหน้า เหมือนเด็กไร้เดียงสาที่อาจเอาตะปูแหย่รูปลั๊กไฟได้ทุกเมื่อ โดยไม่ทราบว่ามหันตภัยชนิดใดรออยู่ในนั้น​


    ๙ เดือนแห่งการตกอยู่ในภวังค์เสียเป็นส่วนใหญ่ คล้ายสลบเหมือด หรืออยู่ในวังวนของฝันอันไร้ทิศทาง ๙ เดือนอันถูกกำหนดไว้ ๙ เดือนที่ยืดยาวพอจะทำให้มนุษย์ทุกคนหลงลืมทุกสิ่งแต่หนหลังสิ้น​


    นอกจากการถูกลบความจำจนหมดในกระบวนการตายแล้วเกิด ตลอดชีวิตเรายังมีการลบข้อมูลในความทรงจำไปเรื่อยๆ อายุขัยของความจำบางอย่างมีหน่วยนับเป็นชั่วโมง เช่นตัวเลขยุ่งๆในโจทย์คณิตศาสตร์ บางอย่างมีหน่วยนับเป็นวัน เช่นชื่อนามสกุลคนแปลกหน้า บางอย่างมีหน่วยนับเป็นเดือนเช่นใบหน้าของคนไม่รู้จัก บางอย่างมีหน่วยนับเป็นปี เช่นเหตุการณ์ประทับใจเล็กน้อย บางอย่างอาจอยู่ได้หลายสิบปี เช่นเหตุการณ์ประทับใจลึกซึ้ง แต่ไม่ว่าอายุขัยของความทรงจำจะสั้นหรือยาวเพียงใดก็มีความเหมือนกันหมด คือต้องมลายหายสูญไปจนสิ้น​


    เมื่อย้ายถิ่นฐาน เมื่อมาคลุกคลีกับสภาพแวดล้อมและผู้คนใหม่ๆสักระยะหนึ่ง เพียงความรู้สึกรู้สาที่แปลกไปก็ทำให้เราจำตัวตนแบบเดิมๆไม่ได้เสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยและวิธีคิดกับวิธีพูดเสียใหม่ ก็จะรู้สึกราวกับเป็นคนละคนทีเดียวเมื่อนึกย้อนทบทวนสิ่งที่ผ่านมา​


    หรือเอาให้สั้นกว่านั้น เพียงชั่วขณะแห่งการเปลี่ยนสภาพจิตจากหลับเป็นตื่น ห่างกันไม่กี่วินาที ก็เหมือนจะมีกระบวนการลบความจำเกิดขึ้นแล้ว คนส่วนใหญ่ตื่นขึ้นจะลืมทันทีว่าเมื่อครู่เพิ่งฝันว่าอะไรนึกทบทวนเท่าไหร่ๆก็นึกไม่ออก แล้วอย่างนี้การนอนในท้องแม่ถึง ๙ เดือน แถมครองสภาพร่างใหม่เอี่ยม เริ่มจากจุดเล็กเท่าปลายเข็มหมุดจนกระทั่งกลายเป็นก้อนเลือดก้อนเนื้อใหญ่โตพอจะยืดออกเป็นแขนขาครบถ้วน จะมิยิ่งชะล้างความรู้สึกนึกคิดและความทรงจำทั้งหลายในอดีตได้เกลี้ยงเกลากว่ากันหลายร้อยหลายพันเท่าหรอกหรือ?​


    ในทุติยบรรพหรือส่วนที่สองของหนังสือเล่มนี้ จะพูดถึง ‘ภพภูมิ’ และทิศทางความเป็นไปได้ที่เรากำลังมุ่งไป​
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    ทุติยบรรพจะชี้ชัดตามพระพุทธองค์ตรัส คือ เปรียบกับท่อนไม้ที่บุคคลโยนขึ้นบนอากาศ บางคราวก็ตกลงทางโคน บางคราวก็ตกลงทางขวาง บางคราวก็ตกลงทางปลาย ก็เหมือนสัตว์ทั้งหลายผู้มีความไม่รู้เป็นเครื่องกางกั้น มีความทะยานอยากเป็นเครื่องประกอบไว้ จึงท่องเที่ยวไปมาอยู่ บางคราวก็จากโลกนี้ไปสู่ปรโลก บางคราวก็จากปรโลกมาสู่โลกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะว่า สังสารวัฏนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายมิได้


    ‘สังสารวัฏ’ คือภพภูมิต่างๆที่เราเวียนเกิดเวียนตายกันตามพฤติกรรมของจิต เมื่อใดจิตยึดความดีเป็นที่ตั้ง ก็ได้ชื่อว่าสร้างภพแห่งความเจริญรุ่งเรืองไว้เป็นที่ไป เมื่อใดจิตยึดความชั่วเป็นที่ตั้ง ก็ได้ชื่อว่าสร้างภพแห่งความเสื่อมทรามไว้เป็นที่หมาย แต่ละครั้งของการเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิจะมีกรรมอันเป็นตัวแปรมากมาย ซัดเราไปในทิศต่างๆ สูงบ้าง ต่ำบ้าง กลางบ้าง และจะไม่ยุติลงด้วยความบังเอิญขึ้นฝั่งเองเลย


    คำว่า ‘ไม่อาจกำหนดเบื้องต้นและเบื้องปลาย’ นั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะหมายถึงไม่อาจนับว่าเราลอยคออยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรแห่งความเกิดตายนี้มากี่แสน กี่ล้าน กี่อสงไขยครั้ง และจะต้องถูกซัดไปซัดมาอย่างไม่อาจพยากรณ์ชะตากรรมอีกกี่แสน กี่ล้าน กี่อสงไขยหน เพราะฉะนั้นทุติยบรรพจะไม่นำเสนอเพียงที่หมายระยะสั้นเป็นภพภูมิต่างๆ แต่ยังจะแสดงที่หมายสุดท้ายตามคติพุทธ คือฝั่งอันเป็นที่หยุดลอยคอกลางมหาสมุทรแห่งความเกิดตายนี้ด้วย
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    สัจจะเกี่ยวกับความตาย

    กล่าวกันเสมอว่าทุกคนต้องตาย แต่มีข้อสังเกตที่น่าคิดอยู่หลายประการ เช่นรู้หรือไม่ว่าเราเริ่มกลัวตายเป็นครั้งแรกได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่? เราเคยรู้สึกจริงๆหรือไม่ว่าตัวเองนี้จะต้องตาย? เราตระหนักแค่ไหนว่าชีวิตไม่เที่ยง จะตายวินาทีใดไม่อาจรู้ ไม่อาจพยากรณ์ล่วงหน้า?

    ความจริงก็คือเกือบทุกคนใช้ชีวิตประหนึ่งความตายไม่มีวันมาถึงตัว จึงไม่มีความจำเป็นต้องเตรียมต้อนรับ และเนื่องจากไม่ทราบ ไม่แน่ใจ หรือปักใจไม่เชื่อว่าชีวิตหลังความตายมี จึงไม่มีความจำเป็นต้องตระเตรียมเสบียงใดๆไว้สำหรับการเดินทางต่อ แต่ละคนใช้ชีวิตเพียงเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆหรือสนองความอยากกันเป็นขณะๆเท่านั้น


    และอีกความจริงหนึ่งก็คือระหว่างมีชีวิตอยู่ เราทุกคนเคยรู้สึกอ้างว้างกันมาหลายครั้ง แต่จะมีครั้งเดียวในชีวิตที่เราจะรู้สึกอ้างว้างและว้าเหว่ที่สุด นั่นคือขณะแห่งการตายอย่างไม่รู้ที่ไป เพราะระหว่างมีชีวิตแม้จะคิดมาก ลำบากในการหาเพื่อนแท้ผู้ทำให้เราอุ่นใจแค่ไหน อย่างไรคนเราก็มีหนทางแก้เหงาวันยังค่ำ โดยเฉพาะสมัยนี้มีอินเตอร์เน็ตให้เล่น แต่หลังจากสิ้นชีวิตแล้ว ใครเล่าจะรับประกันว่าจะมีอะไรสนุกครื้นเครงให้เล่นอย่างเช่นอินเตอร์เน็ตอีกหรือเปล่า?


    ไม่ว่าจะเชื่อเรื่องหลังความตายอย่างไร ความจริงต้องมีอยู่อย่างนั้นเสมอไป ไม่ขึ้นกับความเชื่อเหมือนเช่นที่เราเห็นว่าความตายมีแน่ๆ และต้องเกิดขึ้นกับทุกคน แม้ทุกเช้าจะบอกกับเงาตัวเองว่าความตายไม่มี ความตายจะไม่มาถึงเรา อย่างไรก็คงไม่เปลี่ยนความจริงในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหน้าได้เป็นแน่แท้


    และกะแค่ความตายที่ทุกคนจำใจต้องยอมรับว่าวันหนึ่งจะมาเยือน ก็น้อยคนนักที่จะอยากเข้าไปศึกษาไว้ล่วงหน้าว่าความตายคืออะไร และน้อยยิ่งกว่านั้นคือเอาตัวเข้าไปสังเกตให้ละเอียดเกี่ยวความตายชนิดต่างๆ เพื่อเตรียมทำใจไว้ว่าเราก็อาจต้องตายในลักษณะนั้น หรืออาจต้องตายในลักษณะโน้นส่วนใหญ่เข้าใจว่าตนจะนอนตายตาหลับกับเตียงในห้องของโรงพยาบาลด้วยกันทั้งสิ้น


    บทนี้บทเดียวคงไม่อาจลงลึกได้ครอบคลุมความจริงเกี่ยวกับมรณกรรมได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยคงพอแสดงให้เห็นว่าพวกเราช่างไม่เคยเฉลียวใจเอาเสียเลยว่าจุดจบของตนเองมีความเป็นไปได้เพียงใดบ้าง และบทนี้ต้องการส่งสัญญาณเตือนว่าแค่รู้สึกจะต้องตายในวันหนึ่งข้างหน้ายังไม่พอ ควรจะต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมเสบียงเผื่อขาดเผื่อเหลือไว้ ประมาณว่าถ้าต้องออกเดินทางไกลไปที่อื่นต่อวันนี้เลยจะได้หยิบฉวยสิ่งจำเป็นได้ทัน!


    [​IMG]
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ความตายคืออะไร?


    และคำถามอันเป็นที่สุดของความน่าฉงนคงจะได้แก่ ความตายคืออะไร?


    สำหรับคนทั่วไป ถ้าเชื่อเสียอย่างเดียวว่าสมองคือเครื่องผลิตความรู้สึกนึกคิดและจิตวิญญาณ ก็ไม่ต้องพูดต่อความยาวสาวความยืดให้มากไปกว่านั้น ความตายคือการยุติการทำงานของร่างกายและจิตใจ ประสบการณ์และการกระทำทั้งมวลล้วนสาบสูญลง ณ จุดเวลาแห่งมรณกรรมนั้นเอง


    แต่สำหรับพุทธศาสนิกชน หรือจำเพาะลงไปกว่านั้นคือพุทธศาสนิกชนผู้มีสมาธิจิตผ่องแผ้ว มีศักยภาพในการน้อมจิตไปรู้เห็นขณะจุติและอุบัติของวิญญาณหลังกายหมดสภาพ ก็ย่อมเห็นเป็นอีกอย่างว่า ความตายของคนเราคือการรวบรวมกรรมทั้งหมดในชีวิตมาชั่งน้ำหนัก แล้วตัดสินว่าเอียงไปข้างใดระหว่างสูงขึ้นหรือต่ำลงกว่าความเป็นมนุษย์


    เมื่อคิดอย่างคนไม่แน่ใจ คิดอย่างคนไม่เคยมีประสบการณ์ล้มหายตายจาก รวมทั้งรู้สึกว่าจะไม่มีทางได้รู้ล่วงหน้า ก็อาจยิ้มๆปลอบกันว่าความตายจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถิด วันนี้ยังมีชีวิตก็พอ หรือไม่ก็อาจสรุปรวบรัดว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วพรุ่งนี้ถ้าต้องตายก็ให้มันเป็นไปตามที่มันจะเป็นนั่นคือคำสุดท้ายสำหรับคนทั่วไปจริงๆ ‘ทำดีที่สุด!’


    ผู้มีความรู้เห็นกรรมวิบากและภพภูมิดุจตาเห็นรูป ย่อมทราบว่าจะทำได้ดีที่สุดนั้น ไม่อาจใช้สามัญสำนึกหรือความรู้สึกแบบคนธรรมดาเป็นไม้บรรทัดวัด แต่ต้องอาศัย ‘ความรู้’ ที่ได้จากความเห็นแจ้งประจักษ์อันเป็นสิ่งเหนือโลก และในบรรดาญาณของผู้หยั่งรู้ด้วยกันทั้งหมด พระพุทธเจ้ารู้ดีกว่าใคร ไม่มีใครรู้ได้เสมอพระองค์ เนื่องจากพระองค์บรรลุถึงซึ่งธรรมชาติบางประการที่เรียกกันว่า ‘พระสัพพัญญุตญาณ’ อันหมายถึงปรีชาญาณหยั่งรู้สรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กเท่าอะตอมหรือใหญ่ขนาดเอกภพ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ใกล้หรือไกล ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นของหยาบหรือของประณีต และไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นภพภูมิที่เกิดแต่กรรมแบบไหน ผู้สำเร็จถึงซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ ย่อมรู้แจ้งทั่วตลอดไม่มีผิดพลาดเลย


    พระพุทธเจ้าตรัสจำแนกเกี่ยวกับภพภูมิ รวมทั้งความคาบเกี่ยวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างเปลี่ยนภพภูมิไว้มาก โดยสรุปรวบยอดที่พระองค์ท่านตรัสเกี่ยวกับภาวะความตายได้แก่นิยามแห่งมรณะ


    ก็มรณะเป็นไฉน? มรณะคือความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความแตกทำลายความหายไป มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความทำลายแห่งรูปนาม ความทอดทิ้งซากศพไว้ความขาดแห่งชีวิตจากหมู่สัตว์หนึ่งๆ


    สรุปคือตามความรู้แจ้งเห็นจริงของผู้มีญาณหยั่งรู้ตลอดสาย ความตายไม่ใช่การยุติ ทว่าเป็นการเคลื่อนจากความเป็นอย่างหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่ง เมื่อถึงจุดแห่งความสิ้นสภาพการเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งๆ โดยทอดทิ้งซากเดิมไว้ในโลกนี้


    ทิ้งซากศพไว้ แล้วผละไปเป็นสัตว์ในภพภูมิอื่นตามกรรมแห่งตน…


    คำว่า ‘สัตว์’ ในความหมายเชิงพุทธมิได้หมายถึงหมู หมา กา ไก่ แต่ได้เหมารวมเอาสิ่งมีชีวิตทุกภพทุกภูมิทั้งหมดไว้ว่าเป็น ‘สังสารสัตว์’ คือสัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่นี้จะเป็นอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ มนุษย์ หรือเปรตต่างๆก็ล้วนเป็นสังสารสัตว์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น สำหรับหมู หมา กา ไก่ จะถือเป็นเหล่าสัตว์ในอบายภูมิ เรียกโดยเฉพาะว่าเป็น ‘เดรัจฉาน’


    รูปแบบของความเป็นสัตว์ในภพภูมิหนึ่งจะสิ้นสุดลงด้วยความตาย แล้วย้ายไปสู่ความเป็นสัตว์อีกภพภูมิหนึ่ง พิจารณาจากความจริงข้อนี้ แปลว่าระหว่างมีชีวิตเรามีเวลาประมาณหนึ่งเป็นโอกาสให้‘สร้างภาพใหม่’ ก่อนจะเกิดการ ‘ล้างภาพเดิม’ ร่างกายของทุกคนคือนาฬิกาชีวิตที่ส่งสัญญาณบอกเป็นระยะๆว่ามาถึงไหนแล้ว


    ในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาวนาฬิกาจะบอกว่าเป็นช่วงต้น เสมือนทุกคนครอบครองและใช้สอยร่างนี้ได้โดยปราศจากขีดจำกัด ทุกอย่างมีแต่เจริญขึ้น และอุดมสมบูรณ์แข็งแรง พรักพร้อมต่อภาระหน้าที่การงานยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ความสนุกทางเพศจะทำให้เรารู้สึกว่าการมีชีวิตมนุษย์เป็นของดี น่ามีน่าเป็นไปจนชั่วนิจนิรันดร์


    ต่อเมื่อเข้าช่วงกลาง ๓๐ จะเกิดสัญญาณเตือนแผ่วๆ โดยมาในรูปของความอ่อนแรงลง ผมเผ้าเริ่มบาง ผิวพรรณเริ่มปรากฏร่องรอยเล็กๆน้อยๆ แม้จะไม่ถึงกับเหี่ยวย่น ก็ทำให้หลายต่อหลายคนรู้สึกตกใจได้ เห็นความไม่เที่ยงของสังขารได้บ้างแล้ว


    พอ ๔๐ ต้นๆ สัญญาณนาฬิกาจะค่อยๆส่งเสียงดังฟังชัดขึ้น โดยมาในรูปของอวัยวะที่เริ่มชำรุดทีละชิ้นสองชิ้น ผมร่วงบ้าง ฟันแท้เสื่อมบ้าง เกิดจุดด่างดำบนใบหน้าบ้าง


    พอกลาง ๕๐ ขึ้นไป สัญญาณนาฬิกาจะทั้งดังและทั้งถี่ขึ้นเรื่อยๆ ต่างคนต่างจะเห็นความเสื่อมแห่งกายตามฐานาฐานะ ยิ่งสมัยนี้คำว่า ‘ตายก่อนวัยอันควร’ หรือ ‘ยังไม่น่าจะถึงเวลาหมดอายุของอวัยวะ’ นั้น เริ่มเชยเสียแล้ว เพราะคนหัวใจวายตายก่อน ๕๐ ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป โดยเฉพาะสำหรับคนที่ยังเผลอนึกว่านาฬิกาชีวิตของตัวเองเพิ่งเริ่มเดินไม่นาน ยังไม่ต้องบำรุงให้มากความตายคือจังหวะที่นาฬิกาชีวิตเดินไปจนสุดลาน แต่ละคนถูกไขลานไว้ต่างกันโดยกรรม


    กล่าวคือบางรายต่อให้บำรุงดีขนาดไหน ใช้การแพทย์เข้าช่วยเพียงใด อย่างไรก็ต้องไปในวัยเยาว์ ส่วนบางคนไม่ค่อยระวังเนื้อระวังตัว มัวเมากับสิ่งเสพย์ติดค่อนข้างมากด้วยซ้ำ กลับอยู่ได้ถึง ๘๐ ก็มาก


    การส่งเสียงเตือนในช่วงเวลาสุดท้ายของนาฬิกาชีวิตก็ไม่เหมือนกัน บางคนถูกเตือนอย่างหนักหน่วง รุนแรง และถี่บ่อย กระทั่งเจ้าตัวรู้สึกออกมาจากข้างในได้ว่าไม่น่าจะเกินเมื่อนั่นเมื่อนี่ แต่บางคนก็ไม่มีเค้าไม่มีเงา ไม่มีการเตือนแรงๆแต่อย่างใด จู่ๆปุบปับก็ส่งเสียงกริ๊งสุดท้ายขึ้นมาเฉยๆโดยไม่ทันสั่งเสียกับครอบครัว อันนี้ก็สุดแท้แต่กรรมเก่ากรรมใหม่มาบวกกันแล้วต้องมีอันเป็นไปตามนั้น
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เราควรมีอายุได้เท่าไหร่?


    เมื่อทุกคนเริ่มย่างเข้า ๔๐ จะเริ่มสนใจเรื่องชะลอความแก่ โดยเฉพาะถ้ายังรู้สึกดีๆกับชีวิต มีมุมมองดีๆกับชีวิต รวมทั้งอยากใช้ชีวิตทำอะไรดีๆเพิ่ม หลายคนเริ่มถามหาเทคนิควิธีหรือหยูกยาบำรุงร่างกาย และสนใจการมีอายุยืนแบบแข็งแรง ไม่ใช่สักแต่ยืดอายุเพื่ออมโรคไปเรื่อยๆราวกับคนคุกที่ถูกทรมานอย่างรู้กำหนดพ้นโทษ


    สำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีวิบากจ้องเล่นงานโดยเฉพาะ นาฬิกาชีวิตอาจยืดหดได้นิดหน่อยหรือมากหน่อย นักวิทยาศาสตร์ยุคเราศึกษาและค้นคว้าพบว่าโดยธรรมชาติของร่างกายคนเราสามารถมีอายุยืนยาวได้ประมาณ ๑๒๐ ปี แต่ถ้าไม่รู้จักวิธีการดูแลร่างกายให้ถูกต้อง หรือโดนสภาพแวดล้อมพ่นพิษใส่มากๆเข้า ก็อาจเน่าเปื่อยลงเมื่อประมาณ ๗๐ ดังที่ทราบๆกันว่าเป็นอายุขัยเฉลี่ยของปัจจุบัน


    แต่ความจริงมีมาแล้ว คือนายลีชุนยุง ชาวจีนผู้เกิดในปี ค.ศ. ๑๖๗๗ และตายในปี ๑๙๓๓ สิริรวมอายุได้ ๒๕๖ ปี! เขาเป็นผู้ลบล้างความเชื่อหลายต่อหลายประการ นับแต่ความเชื่อว่าคนเราควรมีอายุได้สูงสุดไม่เกิน ๑๒๐ ตลอดไปจนกระทั่งความเชื่อว่าคนแก่ต้องหลังโก่ง ผิวหนังเหี่ยวย่นเสมอ เพราะจนตายนายลีก็ยังสุขภาพแข็งแรง หลังตรง หนังตึง สายตาไม่ฝ้าฟาง เส้นผมกับฟันยังเป็นของแท้ตามธรรมชาติ ไม่มีใครเห็นเขามีสภาพเกินชายวัย ๕๐ เลยด้วยซ้ำ!


    รัฐบาลจีนรับรู้ว่าลีชุงยุนมีตัวตนตอนเขาอายุ ๑๕๐ คือมีคนของทางการพบเห็นและให้คำรับรองได้ว่าเป็นผู้สูงอายุแล้ว แต่เขายังคงอยู่ต่อมาได้อีกกว่าศตวรรษ เพราะฉะนั้นอย่างน้อยที่สุดเขาจะต้องมีอายุเกินธรรมดาไปมากๆ เมื่อประกอบกับหลักฐานแสดงความมีตัวตนในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ ก็พอทำให้เชื่อมั่นว่ากรณีของนายลีไม่ใช่การปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาแน่ๆ


    นายลีเน้นการประพฤติปฏิบัติตนไว้หลายอย่าง นับแต่การรู้จักมีอิริยาบถที่ถนอมสภาพความเยาว์วัยไว้นานๆ เช่นกล่าวเชิงอุปมาอุปไมยให้นั่งนิ่งเหมือนเต่าหมอบ เดินเหินปราดเปรียวกระฉับกระเฉงเหมือนนกพิราบ นอนหลับสนิทเหมือนสุนัข แล้วก็มีหัวใจที่สงบเงียบในการดำรงชีวิต


    นอกจากนั้นนายลียังเป็นมังสวิรัติ แล้วก็เป็นคนรอบรู้ในเรื่องการใช้สมุนไพรอย่างหาตัวจับได้ยากคือเชี่ยวชาญเกี่ยวกับยาอายุวัฒนะ ประเภทที่ทำให้ธาตุไฟภายในยังทำงานเผาผลาญ ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทตื่นตัวได้ตลอด เขากินอาหารสมุนไพรทุกวันจนตาย นักวิทยาศาสตร์เอามาวิเคราะห์ดูก็พบว่าเป็นอาหารจำพวกกรดอะมิโนในธรรมชาติซึ่งร่างกายผลิตได้เองอยู่แล้ว แถมยังเจอดาษดื่นในอาหารที่เราๆกินกันนี่แหละ ความแตกต่างคือสารช่วยยืดอายุเหล่านั้นถูกทำลายไปในขณะปรุงอาหารเสียหมด คนทั่วไปเลยชะลอนาฬิกาชีวิตไม่ค่อยอยู่


    ทั้งวิธีการดำรงชีวิตและการใช้ยาอายุวัฒนะ รวมกันทำให้ลีชุงยุนไม่รู้จักแก่ และเป็นการเลือกมีอายุยืนด้วยความจงใจ มิใช่ความบังเอิญ


    การมีตัวตนอยู่จริงของลีชุนยุงบอกเราว่าถ้าอยากอยู่นานจริงๆ อีกทั้งแข็งแรงปราศจากความร่วงโรยของสังขาร ก็ต้องมีวิธีดำรงชีวิตด้วยความแตกต่างจากการปล่อยปละเลยตามเลย ไม่ว่าจะเรื่องของการเดินเหิน ไม่ว่าจะเรื่องของหยูกยาอาหาร ล้วนแล้วแต่ประคองให้ร่างนี้อยู่ได้เกินสองร้อยปี หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต่ำกว่า ๑๒๐ ปี ไม่ใช่แค่ ๔๐ ก็เตรียมจอดเหมือนอย่างหนุ่มสาวหลายต่อหลายคนในยุคปัจจุบัน


    ลองจินตนาการดู หากเราเป็นคนใกล้ชิดของนายลีในช่วงที่เขาอายุสักร้อยเศษ เกิดมาก็เห็นนายลีมีอายุมากแล้ว แต่พอเราอายุมากขึ้นจนเกือบ ๖๐ รอมร่อ นายลีก็ไม่ตายสักที แถมดูดีกว่า แข็งแรงกว่าทำอะไรได้มากกว่าเราเสียอีก เราคงไม่คิดอย่างไรอื่นนอกจากเห็นเขาเป็นมนุษย์อมตะ และเมื่อเราถึงเวลาปิดฉากชีวิตขณะอายุสัก ๗๐ ก็คงตายไปพร้อมกับความเชื่อว่าชีวิตอมตะมีจริง มนุษย์ที่ไม่รู้จักแก่ไม่รู้จักตายมีจริง แถมแข็งแรงและธาตุยังดีขนาดมีเมียได้เรื่อยๆถึง ๒๔ คน!


    ทว่าเราอยู่ในยุคที่ลีชุนยุงล่วงลับไปแล้ว ก็ต้องมาถึงจุดสรุป ถึงจุดที่เห็นตามจริงว่า ชีวิตนั้น ต่อให้ชะลอยืดยาวออกไปเพียงใด ในที่สุดก็ต้องพบกับสัจจธรรมเหมือนกันหมด คือต้องมอดม้วยมรณังกันถ้วนหน้า มนุษย์อายุยืนที่สุดในโลกเช่นนายลีชุนยุงเหมือนเกิดมาเพื่อยืนยันแทนธรรมชาติ ว่าสัจจะสูงสุดข้อแรกของการเป็นมนุษย์คือ ‘อย่างไรก็ต้องตายแน่ๆ’


    อายุขัยที่แตกต่างทำให้แต่ละคนมีเวลาสั่งสมกรรมผิดแผกจากกัน นอกจากนั้นยังมีโอกาสสั้นยาวไม่เท่ากันในอันที่จะเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับชีวิต สุดแต่ใครจะคิดว่าความจริงสูงสุดอยู่ที่ไหน ควรใช้เวลาในชีวิตเพียงใดเพื่อเข้าให้ถึงความจริงนั้น
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    โอกาสตายในช่วงชีวิตต่างๆ
    ปัจจุบันดาวเคราะห์ที่เราอาศัยช่างเต็มไปด้วยภยันตราย เกิดสงครามและอาชญากรรมปะทุขึ้นที่นั่นที่นี่ หากติดตามข่าวรอบโลกก็จะเห็นเหมือนทั่วทุกหย่อมหญ้าเต็มไปด้วยคาวเลือดและการล้างผลาญชีวิต ทั้งมหันตภัยจากธรรมชาติและมหาภัยจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง


    ข่าวอุบัติเหตุบางชิ้นเช่นเครื่องบินตก หรือการตายหมู่จากตึกถล่มนั้นนับร้อยนับพันนั้น มักเผยแพร่ออกไปในระดับโลก เพราะเป็นภาพการตายพร้อมกันที่น่าสะเทือนขวัญ แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่าประชากรโลกตายกันอยู่แล้ววันละแสนห้า!


    ไม่มีใครทำรายงานเช่น ‘ข่าวด่วน! มีคนตายในวันเดียวถึงเกือบสองแสนคน’ นั่นเพราะพวกเรากระจายกันตายแบบห่างๆ เราอาจต้องรู้จักชาวบ้านร่วมครึ่งตำบลจึงจะได้ยินข่าวการตายของใครสักคนหนึ่ง แต่เราต้องรู้จักคน ๖ พันล้านจึงจะทราบว่ามีการตายวันละเกือบสองแสน


    แต่อย่างไรความจริงก็คือความจริง วันหนึ่งเกือบสองแสน ซึ่งเกือบเท่าจำนวนคนตายที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิรวมกันเมื่อครั้งตกอยู่ในสภาพหนูทดลองระเบิดนิวเคลียร์ ๒ ลูกแรก ทุกคนสามารถจดจำการตายหมู่อันเป็นประวัติศาสตร์ทมิฬของญี่ปุ่นได้ แต่วันนี้ไม่มีใครปั่นข่าวให้ทราบเลยว่าความตายระดับใกล้เคียงกันก็เกิดขึ้น และวันพรุ่งนี้จะมีคนตายเพิ่มอีกหนึ่งแสนห้าหมื่นคน!


    ยังมีความเชื่อตามสามัญสำนึกอยู่อีกประการหนึ่ง คือคนเราควรจะตายตอนแก่ อาจเพราะพวกเรารู้จักคนกันไม่มากพอ จึงมักเห็นคนอยู่ได้จนแก่กัน หากขอให้คนรุ่น ๔๐ แจ้งรายชื่อเพื่อนร่วมรุ่นซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็อาจแจ้งได้เป็นจำนวนเลขหลักหน่วย คือไม่ถึงสิบด้วยซ้ำ ต้องขอให้คนรุ่น๕๐ ขึ้นไปนั่นแหละ จึงจะเริ่มเห็นน้ำเห็นเนื้อขึ้นมาหน่อย นี่จึงทำให้เรารู้สึกว่าช่วงเวลาในชีวิตส่วนใหญ่อยู่ห่างไกลจากความตายไปมาก แม้หนังสือพิมพ์จะลงข่าวเด็กและวัยรุ่นเสียชีวิตกันโครมครามทุกวันก็ตาม


    ในหัวข้อนี้ขอแสดงให้เห็นเพียงสถิติที่น่าสนใจ เพื่อให้เห็นว่าความจริงก็คือคนเรามีโอกาสตายได้ทุกช่วงวัย ผ่านความน่าจะเป็นของโรคภัยต่างๆดังนี้


    ๑) ช่วง ๑ ขวบ มีโอกาสตายเพราะโรคเกี่ยวกับการย่อยอาหารจำพวกไขมัน โปรตีน แป้ง คือกินไม่ได้เพราะร่างกายไม่สามารถสลายได้หมด และเด็กบางคนก็อาจเป็นเบาหวานได้ตั้งแต่เกิดเพราะตับอ่อนเสีย ไม่สามารถสร้างอินซูลินได้
    ๒) ช่วง ๑๐ ขวบ มีโอกาสตายเพราะโรคมะเร็งที่สมองและไต
    ๓) ช่วง ๒๐ ปี มีโอกาสตายจากอุบัติเหตุได้มากที่สุด และอาจมีโรคจำพวกปลายประสาทสมอง
    เสื่อมผิดปกติ คล้ายอัลไซเมอร์
    ๔) ช่วง ๓๐ ปี มีโอกาสตายเพราะโรคติ่งเนื้อในลำไส้ ซึ่งมีอยู่แล้วตั้งแต่เกิด แต่เริ่มเจอเอาช่วงนี้เอง บางคนมีโอกาสรู้ตัวได้เพราะมีประวัติในพ่อแม่ (ซึ่งถ้าเป็นกรรมพันธุ์จริงก็อาจเจอติ่งเนื้อแล้วตัดไส้ส่วนนั้นทัน) วัยนี้บางทีก็มีเรื่องเบาหวานและตับอ่อนเสื่อมให้เห็นเสมอๆ
    ๕) ช่วง ๔๐ ปี มีโอกาสตายเพราะโรคมะเร็งกันสูง เพราะสภาพร่างกายเริ่มเสื่อม ไม่ยากที่จะเกิดการสร้างเซลล์ใหม่อย่างผิดปกติ หรือไม่ยิ่งอยู่นานก็เท่ากับยิ่งรับสารเคมีจากสภาพแวดล้อมอันเป็นพิษเข้าไปสะสมมากขึ้นๆ แล้วทำให้เซลล์แบ่งตัวผิด พอเป็นมะเร็งแล้วก็จะต่างจากเนื้องอกตรงที่กระจายได้ลุกลามได้ พอเป็นขึ้นมาถ้าไม่ตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆจึงมักไปกันไว


    พ้นจากช่วงนี้สามารถตายได้ทุกเมื่อด้วยความน่าจะเป็นของทุกโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคสมัยที่ต้องเร่งรีบ หรือต้องแบกภาระการงานอันหนักอึ้งเพื่อผ่อนจ่ายทรัพย์สมบัติต่างๆ จนเริ่มมีข่าวคนนอนฟุบหลับเพื่อพักงีบบนโต๊ะทำงานแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยประปราย ที่โน่นที่นี่ และต่อไปก็มีแนวโน้มว่าอาจได้ยินกันบ่อยขึ้น นี่ยังไม่รวมความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุบนท้องถนนที่แต่ละปีคร่าชีวิตหญิงชายไปมากมายเกินจะนับอีกต่างหาก


    ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับความรู้ตัวว่าติดกลุ่มเสี่ยงต่อมรณภัยรูปแบบไหน แต่ทุกคนสามารถเลิกประมาทได้เท่าเทียมกัน หันมาตระหนักว่าเราตายได้ทุกเมื่อ และการเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมอยู่เสมอเป็นนโยบายที่ฉลาดของคนไม่ประมาทกับชีวิต


    [​IMG]
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ความตายที่แตกต่าง


    นอกจากสัจจะข้อแรกคือ ‘ทุกคนต้องตาย’ แล้ว ยังมีสัจจะอีกข้อหนึ่งที่ตามหลังมาคือ ‘แต่ละคนตายไม่เหมือนกัน’ ทั้งอาการทางกายและอาการทางจิต หมายความว่าทางกายนั้น แก่ชราตายกับถูกฆ่าให้ตายจะเป็นคนละเรื่อง และแม้แก่ตายเหมือนๆกัน หรือถูกฆ่าตายเหมือนๆกัน ก็ไม่ใช่ว่าอาการทางจิตจะเหมือนกันไปด้วย เช่นบางคนแก่ตายด้วยความสงบ บางคนแก่ตายด้วยความทุรนทุราย หรืออย่างเช่นคนขณะถูกฆ่าส่วนใหญ่จะมีความกลัว แต่บางคนขณะถูกฆ่ายังอุตส่าห์ตั้งสติแผ่เมตตาให้กับฆาตกรได้ จึงไม่มีความกลัว ไม่มีความอาฆาตใดๆ เป็นต้น


    ไม่ว่าจะประสบเหตุร้ายหรือดีท่าไหน การตายทางกายจะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือยุติกระบวนการชีวเคมีอันแสนสลับซับซ้อนพิสดารพันลึกทั้งปวง นับตั้งแต่ลมหายใจขาดห้วง หัวใจหยุดเต้นอุณหภูมิในร่างค่อยๆลดลง และหลังจากนั้นสักพักร่างกายจะแข็งทื่อ เพื่อเริ่มกระบวนการเน่าเปื่อยต่อไป


    เบื้องต้นนี้จะขอแสดงสภาพความตายหลักๆพอให้ ‘รู้สึก’ ถึงความแตกต่างหลายหลาก รวมทั้งจะได้เตรียมใจว่าเราเองก็ไม่แคล้วจะต้องตายในแบบใดแบบหนึ่งเช่นกัน และจากการที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากพูดถึงความตาย เห็นความตายเป็นเรื่องสยองขวัญสั่นประสาท ก็ลำดับความน่ากลัวของความตายตั้งแต่มากสุดไปจนถึงน้อยสุด คือตายด้วยอาการทุกข์ทรมานสุดขีดไปจนกระทั่งยอดสุดแห่งบรมสุข


    ๑) โทษประหารด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า น่าสังเกตว่าทำไมการลงโทษประหารจึงไม่ค่อยจะเหมือนกันนัก บางทีมีการแกล้งฆ่าให้ตายทรมาน ดูๆแล้วเป็นพฤติกรรมผิดมนุษย์มนา ราวกับผู้ฆ่าเชื่อเรื่องการมีอยู่ของนรก และรู้ว่าถ้าตายทรมานแล้ว โอกาสจะลงไปแด่วดิ้นด้วยความเจ็บปวดสาหัสต่อในนรกก็มีอยู่สูง


    สมัยที่ผู้คนยังป่าเถื่อนและเห็นการตายทรมานของเหล่าอาชญากรเป็นเรื่องสนุก หรือเป็นเรื่องน่าสะใจที่เห็นโทษทัณฑ์สาสมกับความสามานย์ของทรชนโฉด มีวิธีทารุณต่างๆนานาเช่นย่างไฟสดๆ แล่เนื้อเอาเกลือทา จับแช่น้ำเดือด ฯลฯ สารพัดจะคิดกันขึ้นมาราวกับจะเลียนแบบทัณฑกรรมในอเวจี


    ตัดมาถึงยุคที่บางประเทศอยากให้ผู้กลัวการลงโทษของกฎหมาย ก็ทำการแขวนคอนักโทษประหารในที่เปิดเผยต่อสาธารณชน ใครจะมามุงดูอย่างไรก็ไม่ว่า พอเห็นนักโทษแด่วดิ้นตาถลน ทรมานนานก่อนขาดใจตาย ก็จะได้เกิดความกลัวลาน ไม่กล้าละเมิดกฎหมายอาญากัน


    โธมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์ผู้มีชื่อเสียงก้องโลก กับผู้ช่วยของเขาชื่อแฮโรลด์ บราวน์ ช่วยกันคิดค้นเก้าอี้ไฟฟ้าขึ้นมาเพื่อใช้แทนการแขวนคอนักโทษประหาร ด้วยแนวคิดว่าเป็นการทำให้ทรมานน้อยลงสองนักประดิษฐ์สาธิตการฆ่าสัตว์หลายตัวด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าต่อหน้าสื่อมวลชน เพื่อทำให้เชื่อว่าวิธีนี้เหมาะกับการประหารชีวิตนักโทษที่สุด


    คนตายไม่อาจกลับมาเล่าได้ แต่ว่ากันว่าพยานที่เห็นเหตุการณ์ต่างพูดตรงกันว่าไม่น่าจะมีวิธีประหารใดหฤโหดน่าขนลุกขนพองไปกว่าเก้าอี้ไฟฟ้าอีกแล้ว ลองฟังประสบการณ์จากพยานหลายๆคนดู (คัดข้อมูลจาก Hometown Has Been Shutdown - People Connection Blog: AIM Community Network )


    สภาพการตายของคนที่ดิ้นบนเก้าอี้ไฟฟ้านั้นทุเรศทุรังเหลือประมาณ เคยมีเกียรติยศหรือมีความสง่างามมาปานใด ก็เป็นอันสิ้นสุดลงบนเก้าอี้ไฟฟ้านั่นเอง เพราะความเจ็บปวดถึงขีดสุดย่อมไม่ทำให้ใครรักษาบุคลิกน่าดูชมไว้ได้ ผู้เป็นพยานนาทีประหารเล่าให้ฟังตรงกันว่านักโทษจะกระตุก หดตัวทะลึ่งโดดเพื่อต่อสู้กับเครื่องร้อยรัดด้วยพลังมหาศาลอย่างเหลือเชื่อในเฮือกสุดท้ายของชีวิต มือของนักโทษจะแดงสลับขาว ลำคอจะโก่งยืดออกมาราวกระดูกทำด้วยเหล็กสปริง แขนขาและนิ้วมือนิ้วเท้ากับใบหน้าหงิกงอบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงจนแทบไม่เหลือสภาพเดิมให้จดจำกันได้


    อำนาจขับดันของไฟฟ้านั้นทรงพลังสูงได้ขนาดทำให้ลูกนัยน์ตานักโทษถลนจากเบ้าออกมากองบนแก้ม โดยมากนักโทษมักขับถ่ายของเสียอย่างอุจจาระปัสสาวะออกมาเรี่ยราด และปากอาจพ่นเลือดกับน้ำลายออกมาทะลักหลั่งพรั่งพรู ยิ่งถ้าไฟฟ้าทำความร้อนสูงขึ้นเท่าไหร่ ร่างก็จะยิ่งแดงก่ำมากขึ้นเท่านั้น


    เนื้อหนังของนักโทษจะบวมเป่งออกและขยายจนกระทั่งฉีกขาด ผู้ใกล้ชิดเหตุการณ์สามารถได้ยินเสียงปะทุแบบเดียวกับที่เราได้ยินเสียงเปรียะๆของเนื้อทอดบนกระทะ ว่ากันว่าก้อนสมองจะมีความร้อนสูงได้เท่าน้ำเดือดทีเดียว แม้เวลาผ่านไปหลังจากตัดกระแสไฟฟ้าแล้ว ตับก็จะสุกขนาดแตะต้องด้วยมือเปล่าไม่ได้


    เมื่อต้องตายทรมานขนาดนี้ และสภาพหลังการตายสุดอุจาดเห็นปานนี้ เหตุใดบ้านเมืองจึงกระทำเสมือนไร้มนุษยธรรมนักเล่า? เขาอ้างกันว่าวิธีนี้ทำให้ ‘ตายทันทีโดยปราศจากความเจ็บปวด’ และที่อ้างได้อยู่นานก็เพราะไม่มีการเผยแพร่นาทีประหารออกสู่สายตาประชาชน หากทุกคนเห็นแล้วก็คงลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ยกเลิกวิธีประหารแบบนี้สถานเดียว


    ถ้ามองออกมาจากมุมของกรรมวิบาก วิธีตายที่เหี้ยมเกรียมเห็นปานนี้ ทำความบาดเจ็บไปถึงวิญญาณได้ถึงเพียงนี้ ค่อนข้างแน่นอนที่วิญญาณจะเคลื่อนไปสู่ภพที่ตกต่ำลำบากเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรเป็นคำตอบสุดท้ายได้มากไปกว่ากรรมดำที่เคยทำไว้กับคนอื่นประมาณเดียวกัน อกุศลวิบากตัดสินว่าเขาควรได้รับความทรมานขณะตายอย่างแสนสาหัสให้สาสมกับที่เคยก่อกรรมทารุณผู้อื่นนั่นเอง


    ๒) การเป็นโรคเอดส์ คิดแล้วร่างกายคนเราเป็นได้หลายอย่าง ตั้งแต่เครื่องมือก่อกรรม สถานีรับวิบากกรรม อุปกรณ์เสพกาม ไปจนกระทั่งเป็นเครื่องแปรสภาพศพสัตว์ให้เป็นอึ!
    นอกจากนั้นร่างกายยังเป็นโกดังเก็บโรคสารพัดชนิด สุดแท้แต่วิบากกรรมเขาจะเบิกออกมาใช้บางโรคเช่นมะเร็งนั้น แม้เป็นแล้วต้องตายก็ไม่อับอายขายหน้า แต่สำหรับบางโรคเช่นเอดส์นี่ ถึงยังไม่


    ตายก็ยากจะทำใจให้รู้สึกเฉยๆกับมัน เนื่องจากทั้งสังคม ทั้งสัญชาตญาณของคนเราบอกตัวเองว่าต้องตายเพราะโรคสำส่อน นับเป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรี เสียเกียรติภูมิอย่างมาก แม้ว่าคนๆนั้นอาจติดเอดส์มาจากคู่ของตนโดยที่ตัวเองไม่เคยสำส่อนเลยก็ตาม


    และยิ่งไปกว่าความรู้สึกละอายใจหรือความรู้สึกอัปยศอดสู ยังมีความทรมานทางกายทวีตัวขึ้นเป็นช่วงๆ แม้ผู้ป่วยที่มีสุขภาพจิตดี ได้รับกำลังใจอันอบอุ่นจากญาติพี่น้องที่เปี่ยมด้วยมนุษยธรรม ก็ไม่อาจเอาชนะความทุกข์ทางกายที่รุมเร้าซึ่งเป็นศัตรูจากภายในได้เลย เพราะผู้ป่วยจะอ่อนแอและเป็นโรคแทรกซ้อนได้สารพัด เนื่องจากไวรัสเอดส์ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายเสียหมด


    เอดส์เริ่มทำหน้าที่ของมันไม่นานหลังจากเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ภายในหนึ่งเดือนหรือน้อยกว่านั้นไวรัสจะถอดแบบตัวเองแพร่พันธุ์ออกไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเทียนต่อเทียน จนมีความเข้มข้นของเอดส์ในเลือดสูงมาก โดยยังไม่กระโตกกระตากเป็นอาการให้เจ้าตัวรู้สึก กระทั่งอีกเดือนหนึ่งผ่านไป ระบบการให้ผลจึงเริ่มเข้าที่เข้าทางพรักพร้อม


    เงาแห่งความตายจากโรคเอดส์จะแสดงตัวขั้นต้นเป็นไข้ต่ำๆชนิดเรื้อรัง หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ บ้างก็เป็นๆหายๆ บ้างก็เป็นตลอดเวลา มีเหงื่อออกมาตอนกลางคืน น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีฝ้าขาวที่ลิ้นและช่องปากเป็นเวลานานเกิน ๒ สัปดาห์ มีแผลเริมที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ มักเป็นชนิดลุกลามยืดเยื้อยาวนาน ต่อมน้ำเหลืองโต คลำได้เป็นก้อนขนาดใหญ่หลายตำแหน่ง เช่น บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ


    การเล่นงานชนิดไม่ให้พักหายใจหายคอก็จะมาในรูปของการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก เจ็บหน้าอกทุกครั้งที่หายใจยาวๆ เวลากล้ำกลืนอะไรแม้แต่น้ำลายก็เจ็บคอ หรือกลืนติด กลืนลำบาก มีอาการอุจจาระร่วงเรื้อรัง ถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือถ่ายเป็นมูกเลือด หมดสติและชักกระตุกได้ เนื่องจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ สายตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด และอาจถึงขั้นตาบอดเพราะจอตาอักเสบยิ่งไปกว่านั้น แม้ผู้ป่วยจะกำลังใจดีเพียงใด น้อยรายที่ระบบประสาทรอดจากการคุกคาม ผู้ป่วยแม้ระยะเริ่มต้นอาจแสดงอาการผิดปกติออกมาให้เห็น เช่น ความจำเสื่อม อารมณ์แปรปรวนเปลี่ยนแปลงง่าย และอาจมีอาการทางสมอง เช่น แขนขาชา อัมพาตครึ่งซีก ชักกระตุกแต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่านี่คือสภาพเลวร้ายที่สุดแล้ว เพราะที่กล่าวมาเป็นเพียงอาการที่มัจจุราชเริ่มยื่นมือมาลูบคลำวิญญาณผู้ป่วยเท่านั้น ยังไม่ถึงระยะของการกระชากตัวไปแต่อย่างใด เช่นไข้หวัดใหญ่อาจเกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองของระบบภูมิต้านทานเป็นครั้งแรก เพื่อส่งสัญญาณแบบโหวกเหวกโวยวายว่าบัดนี้อนุภาคไวรัสใหม่ๆจำนวนมหึมาได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นแล้วในกายนคร


    ช่วงท้ายๆอาการทางจิตของผู้ป่วยจะรุนแรงจนยากจะหน่วงนึกสิ่งที่เป็นกุศลไว้นานๆ อย่างเช่นที่พบคือภาวะสมองเสื่อมแบบซับซ้อน ทั้งความรู้สึกนึกคิด การเคลื่อนไหว และพฤติกรรมต่างๆอาจแปรเหตุการณ์ปกติให้กลายเป็นโศกนาฏกรรมได้ทุกเมื่อ ต่อให้เคยสติปัญญาดีเลิศมาก่อนเพียงใด ก็จะได้เห็นความตกต่ำเสื่อมทรามลงถึงขีดสุดก็ในระยะสุดท้ายนี่เอง แม้แต่แขนขาก็ขยับตอบโต้กับสิ่งแวดล้อมไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ


    ความสำนึกผิดต่างๆในชีวิตจะมาช้าหรือเร็ว สายไปหรือทันการณ์ก็ตาม ผู้ป่วยโรคเอดส์ระยะสุดท้ายมักปรากฏตัวในบั้นปลายชีวิตด้วยรูปลักษณ์ของผีตายซากที่มีใบหน้าซูบตอบ ตาลึก ปราศจากแววแห่งการมีชีวิต ผิวหนังเหี่ยวย่นแม้ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว


    วิธีสังหารเหยื่อของเอดส์ไม่มีกติกามารยาท ไม่จำกัดรูปแบบใดๆทั้งสิ้น นับแต่ระบบการหายใจล้มเหลว อวัยวะต่างๆล้มเหลว เนื้อเยื่อสมองถูกทำลาย เลือดเป็นพิษ เลือดออกในสมอง เลือดออกในปอด เลือดออกในระบบทางเดินอาหาร เลือดออกในเนื้อเยื่อต่างๆ ทุกกระเบียดนิ้วอาจติดเชื้อได้หมดฯลฯ ฉะนั้นไม่ว่าจะคิดสร้างสรรค์วิธีแก้ไขอย่างไร ในที่สุดก็ไม่อาจรบกับข้าศึกที่มาแบบกองทัพนินจาจากทุกทิศทุกทางได้ไหว


    ๓) การบาดเจ็บฉับพลัน ชีวิตเราเกิดเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดมากมาย และในบรรดาเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดทั้งปวงก็ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงที่อาจเกิดบาดแผลร้ายแรงถึงชีวิตได้


    แต่บางทีในคนๆเดียวก็คิดต่างกันได้เป็นตรงข้าม ปีก่อนอาจหวงชีวิตจะแย่ ปีนี้อาจอยากให้ชีวิตจบๆไปเดี๋ยวนี้ และนับวันก็มีคนด่วนคิดสั้นทำลายชีวิตของตัวเองทิ้งแบบปุบปับฉับพลันมากขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย หากไม่วางแผนล่วงหน้าก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำร้ายร่างกายให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์กะทันหัน


    บาดแผลจากอุบัติเหตุกับบาดแผลจากการฆ่าตัวตายนั้นเหมือนกันอยู่อย่าง คือปลิดชีวิตคนๆหนึ่งลงได้ แต่เบื้องหลังที่ไม่เหมือนกันระหว่างบาดแผลทั้งสองชนิดก็คือเจตนาและความรู้ตัว ทุกอุบัติเหตุไม่มีเจตนาซุกซ่อนอยู่ในนั้น ส่วนการฆ่าตัวตายต้องอาศัยเจตนาอันเหี้ยมเกรียมกับตนเองเป็นอย่างยิ่ง และหลายครั้งความเหี้ยมเกรียมก็เกิดขึ้นจากความทุกข์ ความเครียด ความบีบคั้นเกินขีดที่จะทน ผู้ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่จะอมทุกข์จนซมซานมานานระยะหนึ่ง ก่อนถึงวูบมรณะที่เกิดแรงบันดาลให้กระทำอัตวินิบาตกรรมกะทันหัน น้อยรายที่ตระเตรียมแผนการไว้อย่างดีทั้งเวลา สถานที่ และวิธีตาย


    ทั้งอุบัติเหตุและการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ยิ่งไปกว่านั้นรูปแบบการตายยังอาจเป็นได้ทั้งเฉียบพลันและสิ้นลมหายใจในเวลาต่อมา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของบาดแผลและควาแข็งแรงของร่างกาย


    บาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตโดยเฉียบพลันนั้นมักเกิดขึ้นกับสมอง ไขสันหลัง หัวใจ หรือหลอดเลือดสำคัญๆ หากพื้นที่สมองถูกทำลายไปมาก หรือเกิดการหลั่งเลือดมากเกินขีดที่เจ้าของบาดแผลจะทน เมื่อนั้นก็แปลว่ามฤตยูได้ไล่ตามเขาทันแล้ว


    ส่วนบาดแผลที่ไม่ทำให้เสียชีวิตฉับพลันทันทีนั้น แบ่งเป็นการขาดใจในระยะสั้นและระยะยาวสำหรับการขาดใจในระยะสั้นเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวจะหมายถึงการตายในช่วงเวลาสองชั่วโมงแรกจากการได้รับบาดแผลและมีเลือดคั่ง เช่นที่ศีรษะ ปอด หรืออวัยวะภายในช่องท้อง แต่ถ้ายังไม่ถึงฆาตเป็นผู้เคยทำกรรมในทางเกื้อกูลผู้อื่นไว้ก่อน ก็จะได้พบกับบุคคลหรือทีมงานรักษาที่ฝึกฝนมาอย่างดีและ/หรือ ได้ห้องฉุกเฉินที่มีอุปกรณ์เพียงพอกับกรณีกู้ชีพหนึ่งๆ


    ส่วนการขาดใจในระยะยาวหมายถึงผู้สามารถทนการบาดเจ็บได้หลายวันหรือหลายสัปดาห์ ที่ตายก็มักจะเพราะเกิดผลแทรกซ้อนเช่นการติดเชื้อและการล้มเหลวของอวัยวะสำคัญ ได้แก่ ปอด ไต และตับเหตุที่อวัยวะทำงานล้มเหลวก็เนื่องจากลำไส้ทะลุ ม้ามแตก ตับแตก หรือปอดบอบช้ำจนทำงานไม่ได้ตามปกติ หากปราศจากการผ่าตัดห้ามเลือดหรือซ่อมแซมอวัยวะที่เสียหาย ทูตแห่งความตายก็จะปรากฏในรูปของการเป็นไข้ ปริมาณเลือดในระบบไหลเวียนลดลงเพราะไปกระจุกรวมอยู่ในที่ไม่เหมาะติดเชื้อในวงกว้าง (เลือดเป็นพิษ) ซึ่งยิ่งนานเท่าไหร่ก็จะยิ่งดื้อยามากขึ้นเรื่อยๆ


    หากผู้ป่วยต้องจบชีวิตลงด้วยภาวะช็อกจากการติดเชื้อ ก็แปลว่าวาระสุดท้ายของเขาคืออาจต้องตายทรมาน แรกสุดจะมีไข้ ชีพจรเต้นเร็วและหายใจลำบาก หากไม่ได้รับยากล่อมประสาท ระดับความรู้สึกตัวจะเริ่มแปรปรวน หากทีมแพทย์ไม่สามารถหาต้นเหตุของการติดเชื้อได้ทัน หรือมีเครื่องไม้เครื่องมือกู้ชีพไม่ดีพอ เมื่อยื้อกันไม่ไหวก็เป็นอันสรุปว่าต้องคืนร่างให้กับธรรมชาติไป


    (ข้อมูลการแพทย์จากหนังสือ How We Die ของนายแพทย์เชอร์วิน บี นูแลนด์ หนังสือแปลเป็นไทยชื่อ ‘เราตายอย่างไร’ โดยวเนช สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง)


    ๔) การจากไปด้วยโรคชรา เราได้ยินกันเสมอว่าคนนั้นคนนี้เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยโรคชราที่ห้องไอซียู ความจริงก็คือมีเพียงคนตายเท่านั้นที่ทราบว่าขณะ ‘ตายอย่างสงบด้วยโรคชรา’ นั้นเป็นอย่างไร


    การแก่ชรามักมากับความเสื่อมสภาพที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า นอกจากนั้นกลไกภายในอันไม่ปรากฏต่อสายตาใครนั้น ก็ค่อยๆถึงซึ่งความเหือดแห้งลงทีละน้อย อย่างเช่นปริมาณเลือดที่ลดลง ไม่ว่าจะในเส้นเลือดแดงบางเส้นที่เข้าไปเลี้ยงสมอง หรือที่เข้าไปเลี้ยงหัวใจ เมื่อสมองและหัวใจต้องการปริมาณเลือดระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้เลือดเพียงพอต่อความต้องการ ก็เกิดผลบางอย่าง เช่นโรคลมปัจจุบัน(stroke) และโรคหัวใจ


    คนชราที่มีความดันโลหิตสูงมานานๆนั้น จะมีผนังหลอดเลือดอ่อนแอ กระทั่งแตกหักและมีเลือดออกไปกดทับเนื้อสมอง นี่ก็เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่าเช่นกัน บางคนหลับแล้วไม่ได้ตื่นอีกเลยหรือที่เรียกว่าเป็นการจากไปอย่างสงบก็ด้วยเหตุนี้


    ผู้ที่รู้ตัวว่ากำลังจะต้องจากไปบางคนรู้สึกเหมือนถูกความตายกัดกินทีละน้อย อาจเริ่มจากอาการทั่วไปเช่นมึนงง เป็นลม หรือเกิดความสับสนกระวนกระวาย นั่นเป็นเครื่องหมายว่าชีวิตถูกแทะไปอีกหนึ่งชิ้น กระทั่งส่วนที่เหลือของชีวิตคงอยู่น้อยลงเรื่อยๆ ร่างกายก็จะอ่อนเปลี้ย เดินช้าลง หลงลืมมากขึ้นควบคุมอวัยวะต่างๆโดยเฉพาะมือได้ยากขึ้น


    มัจจุราชดูดพลังชีวิตและความกระตือรือร้นของเราก่อนจะเอาเราไปจริงๆเสมอ โดยเฉพาะคนชราที่ยอมเชื่อว่าเขาจะไม่เหลือพลังกายพลังใจอีกเลยในเร็ววัน ก็เหมือนจะหมดพลังทั้งปวงไปจริงๆ แต่อาจต้องนอนรอความตายอย่างไร้กำลังวังชานานพu3629 .ๆกับช่วงเวลาที่เริ่มออกจากท้องแม่จนกระทั่งโตขึ้นเป็นวัยรุ่นหรือวัยทำงานได้เลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็แปลว่าการเสียชีวิตด้วยโรคชราของบางคนนั้น ไม่ใช่มีแค่ภาพตายอย่างสงบในห้องไอซียูให้ดู แต่ยังมีประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ตกเป็นเหยื่อของโรคชราเองด้วย คือต้องทนถูกกัดกร่อนวันละน้อยด้วยอาการทางจิตที่หดหู่สิ้นหวัง


    เมื่อยอมเป็นคนชรา เราจะเริ่มคิดถึงแต่อดีตและเลิกมองไปในอนาคต อาจจะเลิกมองแม้กระทั่งนาทีนี้อันเป็นปัจจุบัน แต่ถ้าไม่ยอมเป็นคนชรา เราจะยังคงเป็นผู้รับข่าวสารของโลกวันนี้ได้ตลอดเวลารวมทั้งทำกิจกรรมที่น่าสนุกหลายๆอย่างได้เสมอ


    การมุ่งสู่หลักประหารบนเส้นทางแห่งโรคชราจึงมีความเป็นไปได้ทางประสบการณ์หลากหลายขึ้นอยู่กับพื้นหลังของแต่ละคน วินาทีแห่งการจบชีวิตอาจไม่สำคัญเท่ากับวันเดือนปีแห่งการเดินทางเข้าใกล้หลักกิโลสุดท้าย ถ้าปล่อยให้คิดถึงแต่อดีต ก็จะพบกับการตายที่หดหู่ยืดเยื้อ แต่ถ้าอยู่กับปัจจุบัน ก็จะเป็นผู้พบกับการตายที่สั้นแสนสั้นโดยไม่จำเป็นต้องรู้ตัวด้วยซ้ำว่าวันนั้นมาถึงแล้ว


    ๕) การดับขันธปรินิพพาน ดังที่กล่าวแต่ต้นบทแล้วว่านิยามของมรณะคือ ‘ความเคลื่อนจากภาวะสัตว์อย่างหนึ่งไปสู่ภาวะสัตว์อีกอย่างหนึ่ง’


    ที่ตรงนี้จะแสดงให้เห็นว่ายังมีสภาพที่ดูเผินๆเหมือนความตายทั่วไป แต่ที่แท้แล้วเป็นการ ‘ยุติความเคลื่อน’ ไม่มีการสร้างภพใหม่สืบต่อจากภพเดิมอีก ภาวะดังกล่าวเรียกว่า ‘การดับขันธ์’ ของผู้บริสุทธิ์จากกิเลสในพุทธศาสนา


    สำหรับคำว่า ‘ขันธ์’ นั้นขอให้คิดง่ายๆว่ากายใจนี่แหละ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เรียกกายใจอย่างคนทั่วไป ทั้งนี้ก็เพราะท่านเห็นความจริงที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น ความจริงคือ ‘ตัวเรา’ ไม่มี มีแต่การประชุมกันขององค์ประกอบฝ่ายรูปและฝ่ายนาม ทั้งรูปและนามเป็นต่างหากจากกัน คือสรุปง่ายๆว่าสมองไม่ใช่แหล่งกำเนิดความรู้สึกนึกคิดและจิตใจ ขณะเดียวกันจิตเราไม่อาจขาดสมองเป็นเครื่องมือในการนึกคิดและจดจำ


    แท้จริงกายใจเป็นธรรมชาติที่เกิดดับอย่างมีเหตุมีผล เหตุคือใช้กายใจในปัจจุบันก่อกรรมดีร้าย เอาไว้ ผลคือจะมีกายใจในอนาคตที่หยาบหรือประณีตปรากฏขึ้นอย่างเหมาะสมกับกรรมเก่า ฉะนั้นทุกอย่างจึงเป็นของชั่วคราว กายไม่เที่ยง เปลี่ยนจากเด็กเป็นแก่ในชั่วเวลาไม่กี่สิบปี จิตก็ไม่เที่ยงไม่ใช่ดวงอมตะที่ล่องลอยไปเรื่อย เปลี่ยนสภาพจากกุศลเป็นอกุศลบ้าง เปลี่ยนสภาพจากรู้สิ่งหนึ่งไปรู้อีกสิ่งหนึ่งบ้างตลอดวันตลอดคืน


    พูดอีกแบบหนึ่ง คือความจริงแล้วมีการดับของขันธ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปทำให้มันดับมันก็ดับไปเรื่อยๆโดยไม่มีวันหยุดราชการ แต่การ ‘ดับขันธปรินิพพาน’ นั้นหมายความว่าเมื่อดับครั้งสุดท้ายแล้วไม่มีการเคลื่อน ไม่มีการสืบต่อภพ ไม่มีการสืบต่อกรรมวิบากใดๆอีก พูดโดยย่นย่อคือไม่ต้องเสวยทุกข์ด้วยอาการใดๆอีกเลยชั่วนิรันดร์ เพราะดับสนิทแล้ว ปราศจากภัยแล้ว ถึงนิพพานอันเป็นฝั่งแห่งการหยุดสนิทถาวรแล้ว


    สรุปว่าถ้า ‘ตายธรรมดา’ ก็คือต้องไปเกิดใหม่เพื่ออยู่ในวังวนกิเลส เวียนว่ายอยู่ในมหาสมุทรกรรมวิบาก สุ่มดีสุ่มร้ายไม่แน่ไม่นอนต่อไปเรื่อยๆไร้ที่สิ้นสุด แต่ถ้า ‘ดับขันธปรินิพพาน’ ล่ะก็ไม่ต้องเกิดใหม่อีกแล้ว ลมหายใจดับ ไออุ่นดับ จิตดับไม่เหลือร่องรอยเหมือนเปลวไฟที่ดับแล้วไม่เหลือเชื้อให้ต่อเปลวใหม่ในที่ไหนๆอีก


    ผู้ที่จะตายแบบดับขันธปรินิพพานได้ต้องบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเสียก่อน เพราะเงื่อนของการเกิดใหม่ก็คือกิเลสนั่นเอง รื้อถอนกิเลสเสียได้ ลอยบุญลอยบาปเสียได้ ก็บริสุทธิ์ปราศจากการข้องแวะกับภพชาติดีร้ายทั้งปวง


    เมื่อบุคคลสามารถบริสุทธิ์จากกิเลส แม้ล่วงเข้าวัยชราที่กายเริ่มช้าลงเหมือนไม้ใกล้ฝั่งก็ตาม เขาย่อมมีความสุขทางใจอย่างถาวร แม้เกิดความทุกข์เพราะสังขารเปลี้ยเพลียเพียงใด ใจก็จะไม่เป็นทุกข์เพราะการกำเริบของกิเลสใดๆเลย


    พุทธลีลาในการดับขันธปรินิพพานนั้นงดงามยิ่ง ในสายตาชาวโลกคือการเสด็จบรรทมหลับเป็นครั้งสุดท้ายของพระศาสดา แต่ในสายตาของผู้มีทิพยจักขุย่อมทราบชัดว่าไม่ใช่เช่นนั้นเลย ดังที่ภิกษุนาม ‘อนุรุทธะ’ เป็นผู้เห็นและระบุขณะแห่งจิตต่างๆของพระพุทธองค์เมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานได้อย่างละเอียด


    ขอเล่าวาระแห่งการ ‘ตายครั้งสุดท้าย’ ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคโดยสังเขป พระพุทธองค์ท่านดำรงสติมั่นอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากการที่ทรงตรัสสั่งเสียไว้มากมาย เอาเพียงพระวจนะสุดท้ายก็ทรงความหมายที่สะท้อนถึงสติสัมปชัญญะอันบริบูรณ์แห่งพระบรมครูได้ชัดเจนยิ่งแล้ว
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอว่าสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด


    ในจังหวะที่จะละโลกนี้ไป พระองค์ยังถือเป็นโอกาสประทานพระปัจฉิมโอวาทเพื่อสะกิดใจผู้อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์สำคัญได้บังเกิดความสลดสังเวชในความมีความเป็น และเร่งเร้าให้พระผู้ยังมีกิจที่ต้องทำให้รีบทำจนกว่ากิจจะจบ


    ถัดจากวจนะสุดท้ายแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงเข้าฌานชนิดต่างๆ ซึ่งมีปีติสุขชั้นสูงบ้าง มีสติอย่างใหญ่ทรงความเป็นอุเบกขาบ้าง มีความกำหนดหมายในอากาศว่างเป็นอนันต์เท่าจักรวาลบ้าง ตลอดไปจนกระทั่งเข้าถึงจิตอันสงบระงับจากการปรุงแต่งอย่างราบคาบบ้าง


    ในการเข้าฌานลึกๆนั้น ลมหายใจจะขาดห้วงไปชั่วคราว ถ้าคนที่ปราศจากความชำนาญในทิพยจักขุเห็นเข้าก็ต้องนึกว่าท่านละขันธ์ไปแล้ว ดังเช่นที่พระภิกษุนาม ‘อานนท์’ ถามพระอนุรุทธะในขณะหนึ่งว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้วหรือ? ท่านพระอนุรุทธะได้ตอบว่ายัง แต่พระองค์ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่


    เมื่อพระพุทธองค์ออกจากฌานขั้นสูงสุด ก็ได้ทรงถอยกลับมาสู่ฌานขั้นต่ำลงเรื่อยๆตามลำดับจากนั้นไล่ลำดับฌานขึ้นไปอีกครั้ง แต่ไม่ถึงขั้นสูงสุด พอถึงฌานขั้นที่ทรงสติอย่างใหญ่เป็นมหาอุเบกขาแล้วถอนออกจากฌานนั้นก็ไม่เข้าฌานใดๆต่อ แต่ได้เสด็จปรินิพพานในบัดนั้นเอง


    กล่าวมาทั้งหมดก็เพื่อให้เห็นว่ายังมีการตายอีกแบบหนึ่งที่สูงส่งยิ่ง และมีข้อสังเกตบางประการให้พิจารณาดังนี้


    ๑) ผู้บริสุทธิ์จากกิเลสย่อมมีสติบริบูรณ์แม้ในขณะแห่งความตาย
    ๒) ผู้บริสุทธิ์จากกิเลสย่อมสามารถรู้เวลาตายของพวกท่าน
    ๓) หากท่านเป็นผู้เจริญสมาธิได้ถึงฌานขั้นสูงสุด ก็ย่อมยังประโยชน์กับโลกเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการดับขันธปรินิพพานด้วยลีลาอันเป็นมหามงคล เป็นที่บอกเล่ากันในภายหลังได้ว่าพระผู้บริสุทธิ์จากกิเลสย่อมตายในอาการเสวยวิมุตติสุข ไม่มีความทุกข์ใดๆปรากฏให้เห็นเลย



    ความจริงการเข้าฌานแล้วถอนออกมาดับขันธปรินิพพานนั้น จะมีการคายพลังอันเป็นอัครมหากุศลออกมาท่วมโลก ตามกฎการแปรรูปจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่งเสมอ ไม่มีสิ่งใดดับสูญโดยปราศจากผลลัพธ์ตกค้าง และผลลัพธ์ในกรณีนี้ก็จะปรากฏแก่ใจผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระผู้มีพระภาคอย่างล้นพ้น กล่าวคือถ้าผู้ใดหมั่นระลึกถึงบุญคุณของพระพุทธองค์เสมอๆ แม้เพียงด้วยการสวดมนต์กราบไหว้พระปฏิมาอันเป็นรูปแทนพระองค์ ชีวิตของผู้นั้นจะสว่างไสว อยู่เป็นสุขกับสัมผัสใน ‘พลังพุทธคุณ’อันบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่เกินเปรียบประมาณ


    ว่ากันว่าหลังจากมีการประกาศการดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์ ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ยังความขนพองสยองเกล้าให้เกิดขึ้น และแม้กาลเวลาผ่านล่วงไปแล้วเกือบสามพันปี ผู้สดับตรับฟังถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ยังขนลุกกันอยู่มิรู้หาย แต่การเสด็จจากไปของพระผู้มีพระภาคก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้พวกเราเห็นว่าผลงานอาจยืดอายุมนุษย์สักคนให้ยืนยาวเป็นที่รู้จักได้หลายพันปี ดังเช่นชาวพุทธเรายังระลึกกันเสมอ ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรมที่เราแสดงและวินัยที่เราบัญญัติไว้แล้ว จักเป็นศาสดาของพวกเธอต่อไป ตราบใดที่ยังมีการเรียนรู้ จดจำ และเผยแผ่พระสัทธรรม กับทั้งมีภิกษุช่วยกันรักษาวินัยของพระพุทธองค์ ตราบนั้นก็เสมือนหนึ่งว่าพระศาสดายังไม่ล่วงลับดับขันธ์ไปแต่อย่างใด เพียงพระองค์อยู่ไกลเกินกว่าที่เราจะเข้าเฝ้าด้วยกายเนื้อนี้เท่านั้น
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ประสบการณ์เฉียดตาย


    ในหัวข้อก่อนเป็นการกล่าวถึงความตายจากมุมมองภายนอก เราเห็นคนตายด้วยวิธีต่างๆ รับรู้ว่ามีการตายดี มีการตายร้าย มีการตายอย่างสงบ มีการตายอย่างทรมาน รวมทั้งอาจทราบแน่นอนด้วยวิธีทางการแพทย์ว่าเขาตายอย่างไร สาเหตุจากอวัยวะส่วนใดหยุดทำงาน ซึ่งก็คงเป็นทำนองเดียวกับการเห็นคนอื่นนั่งรับประทานอาหารสูตรใหม่ที่ไม่เคยมีใครลิ้มลองมาก่อน หากเราเห็นเขาเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย สายตาจับจ้องอาหารในจานอย่างพึงใจ ไม่เล็งแลไปทางอื่น ก็คงพอประมาณได้ว่ารสชาติน่าจะเปรี้ยวหวานมันเค็มดุเด็ดเผ็ดมันสักปานใด


    แต่หัวข้อนี้จะพูดถึงประสบการณ์อันเป็นภายใน เป็นมุมมองของบุรุษที่หนึ่ง เป็นการสัมผัสความตายด้วยตนเองโดยไม่ต้องฟังคนอื่นพูดว่าดีหรือไม่ดีแค่ไหน อึดอัดหรือปลอดโปร่งปานใด เปรียบกับการได้ลงนั่งรับประทานอาหารสูตรใหม่ สัมผัสอาหารด้วยลิ้นของตนเอง เพื่อรับทราบว่ารสอร่อยหรือไม่อร่อยนั้นเป็นอย่างไร เปรี้ยวหวานมันเค็ม เย็นร้อนอ่อนแข็งแบบไหน


    ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการ ‘ตายจริง’ กับ ‘ตายตามการวินิจฉัยของแพทย์’ (Clinical Death) นั้นอาจแตกต่างกันได้ กล่าวคือตายตามการวินิจฉัยของแพทย์หมายถึงภาวะที่บุคคลไม่อาจฟื้นคืนกลับมามีชีวิตอีกด้วยวิธีทางการแพทย์ใดๆ หรืออีกนัยหนึ่งคือการยุติการทำงานอย่างถาวรโดยไม่อาจหวนกลับมาทำงานใหม่ได้อีกเลย


    การแพทย์ไม่พูดเรื่องปาฏิหาริย์ เพราะฉะนั้นถ้าแค่คลื่นสมองเรียบสนิทก็ถือว่าเป็นการตายตามการวินิจฉัยของแพทย์ได้แล้ว แพทย์จะไม่มีความผิดใดๆหากลงความเห็นว่าตาย แต่ศพกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่


    ความจริงก็คือมีผู้กลับมาจากความตายตามการวินิจฉัยของแพทย์มากราย และนั่นเองเป็นที่มาของเรื่องราวประสบการณ์หลังความตาย แท้จริงแล้วถ้าดูตามนิยามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เกี่ยวกับมรณะ คนเหล่านั้นก็ยังมิได้ตายจริง เพราะยังไม่ขาดสมาชิกภาพในหมู่สัตว์เดิมไปเป็นสมาชิกใหม่ในหมู่สัตว์อื่นอย่างถาวร



    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เฉียดตายนั้น อาจได้รับประสบการณ์ขณะใกล้ตายจริงๆ ขาดไปเพียงการเคลื่อนเข้าสู่ความเป็นสัตว์อื่นอย่างถาวรเท่านั้น


    ประสบการณ์ใกล้ตายไม่ถึงขนาดเป็นเรื่องลี้ลับ และคนมีประสบการณ์ ‘ผ่านความตายวูบเดียว’ ในโลกนี้ก็ไม่ได้หายากอย่างที่คิด โดยเฉพาะในห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เหล่ามนุษย์จำนวนหนึ่งพบกับสิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อนตลอดทั้งชีวิต และมีผลสะเทือนให้เกิดมุมมองและพฤติกรรมที่แตกต่างอย่างใหญ่หลวง คือโดยมากจะหันมาศรัทธาคำสอนเกี่ยวกับเรื่องชาติหน้าในศาสนาของตน และยึดหลักปฏิบัติตนเพื่อสร้างทางสู่สรวงสวรรค์ตามอุดมคติที่ตนเลื่อมใส


    ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่า ‘ตายจริง’ ทางการแพทย์และกลับฟื้นคืนชีวิตอีกครั้งหนึ่ง มักกลับมาเล่าว่าเกิดประสบการณ์คล้ายคลึงกัน พอสรุปได้เป็นข้อๆคือ
    ๑) ความทุกข์และความอึดอัดกระสับกระส่ายแปรเป็นความรู้สึกสงบและดื่มด่ำเป็นล้นพ้น
    ๒) เมื่อขาดจากความรู้สึกหยาบๆ เหมือนมีอีกร่างที่โปร่งบางหลุดลอยออกจากกายเนื้อ โดยมีสายใยสีเงินโยงเชื่อมอยู่ระหว่างนั้น
    ๓) เข้าไปสู่อุโมงค์มืดแห่งหนึ่งซึ่งมีแสงสว่างอยู่ที่ปลายทาง
    ๔) แล่นเข้าหาแสงสว่าง โดยมีความรู้สึกประดุจแสงสว่างเป็นแม่เหล็กดึงดูดตนเข้าไป
    ๕) พบผู้ที่อยู่ในแสงสว่าง โดยมากจะเป็นญาติมิตรที่ตายไปแล้ว หรือบุคคลที่ตนเคารพเป็นพิเศษเมื่อครั้งมีชีวิตปกติ
    ๖) พบสถานที่ที่แตกต่างจากโลกใบเดิม อาจจะสวยงามขึ้นหรือน่าเกลียดน่ากลัวกว่าทุกแห่งที่เคยเห็นมาก่อน
    ๗) พบกับสิ่งกีดขวาง บางทีเป็นการห้ามเข้า บางทีเป็นการบอกว่ายังไม่ถึงเวลา บางทีบอกว่าให้เลือกระหว่างเข้าสู่โลกใหม่กับกลับไปสู่โลกเก่า
    ๘) การกลับสู่ร่างเดิม โดยมากเหมือนถูกอุโมงค์ที่มีพลังดึงดูดด้วยความเร็วสูงกลับมาเข้ากายเนื้อ
    ๙) ปาฏิหาริย์หลังกลับเข้าร่าง ไม่ว่าจะเคยเชื่อแนวศาสนาไหนมาก่อน ประสบการณ์ทดลองตายจะก่อให้เกิดศรัทธาอย่างใหญ่หลวง หลายคนกลายเป็นผู้มีความสามารถทางจิต หรือกระทั่งอ้างว่าติดต่อกับเทพได้


    อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้เฉียดปากประตูมรณาไม่ได้มีประสบการณ์ตรงกัน แม้แต่ผู้ป่วยในห้องผ่าตัดใหญ่ซึ่งดมยาสลบเหมือนๆกันก็ไม่ได้รู้สึกว่าจิตลอยจากร่างด้วยกันทุกคน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ยากจะตัดสินว่าใครประสาทหลอน หรือว่าใครไปรู้เห็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆในมิติอื่นมา และความแตกต่างนี่เองที่ทำให้ผู้มีแนวโน้มไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า ได้กล้ายืนยันหนักแน่นขึ้นว่าทั้งหลายทั้งปวงที่ประสบพบเห็นกันล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล เป็นเรื่องอาการทางจิตของคนไม่อยู่ในภาวะปกติ อย่างเช่นที่มีนักวิทยาศาสตร์หลายรายเสนอว่าประสบการณ์พิสดารพันลึกขณะเฉียดตายเป็นเพียงการทำงานของสมองส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้เท่านั้น


    เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งได้รับเสียงเตือนจากประสบการณ์เฉียดตายว่าโลกใหม่ที่เธอกำลังรับรู้เป็นเพียงนิมิตลวงใจ นั่นยิ่งเป็นข้อสนับสนุนแก่นักวิทยาศาสตร์ที่มีแนวโน้มจะเชื่อเช่นนั้นอยู่ก่อนหน้า


    ยิ่งไปกว่านั้น การพบกับแสงสว่างที่สดใสและนุ่มนวลแปลกประหลาดไปกว่าแสงทั้งหมดที่เคยเห็นมา สำหรับนักวิทยาศาสตร์บางคนที่มีความรู้เกี่ยวกับสมองมากๆก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เพราะเป็นที่ทราบกันว่าหากกระตุ้นบริเวณ Hippocampus, Amygdala และ Inferior Temporal Lobe ก็สามารถทำให้เกิดการเห็นแสงสว่างเช่นนี้เช่นกัน


    สรุปคือไม่ใช่ตายแล้วกลับมาเล่าอะไรเลิศลอยจะกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับนักวิทยาศาสตร์เสมอไป เกือบทุกข้อถูกปัดตกด้วยคำอธิบายเกี่ยวกับความรู้ทางสมองได้อย่างมีหลักเกณฑ์ไปเสียทั้งนั้น
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    แต่เหตุผลที่ผู้ผ่านประสบการณ์เฉียดตายส่วนใหญ่จะไม่เชื่อว่าเป็นเพียงความฝัน ก็เพราะโลกในอีกมิติหนึ่งที่ปราศจากร่างกายห่อหุ้มนั้น ชัดยิ่งกว่าชัด จริงยิ่งกว่าจริงยามรู้สึกลืมตาตื่นอยู่ในโลกมนุษย์มากนัก ความทรงจำทั้งหมดเหมือนปรากฏให้เลือกระลึกอย่างปราศจากขีดจำกัด อยากนึกถึงเรื่องไหนก็นึกออกตลอดสาย


    อีกประการหนึ่งที่เป็นเสมือนหลักฐานอันแน่นหนา คือถ้าสมองเป็นทั้งหมดของประสบการณ์ เหตุใดผู้ป่วยหนักในห้องไอซียูที่ดมยาสลบเพื่อผ่าตัดบางรายจึงเกิดอาการประสาทหลอนได้แจ่มชัดนัก แถมยังจดจำเรื่องราวในนิมิตต่างๆได้อย่างแม่นยำตลอดสายอีกต่างหาก


    สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการข้อมูลสรุปเกี่ยวกับภาวะเฉียดตาย มักอาศัยประสบการณ์ของผู้ป่วยที่ถูกวางยาสลบนี่เอง แผนการทดลองโดยมากจะเป็นการสืบหารายที่อ้างว่าวิญญาณลอยจากร่างขึ้นสูงและเห็นความเป็นไปในห้องผ่าตัด ได้ยินเสียงคนคุยเรื่องใดกันบ้าง หากกลุ่มตัวอย่างสามารถบอกรายละเอียดภายในห้องผ่าตัดได้ถูก ก็จำเป็นต้องยอมรับว่ามีอะไรอย่างหนึ่ง ‘ลอยออกไปจากร่าง’ จริงๆ


    ความต่างระหว่างบังเอิญกับจงใจเฉียดตาย


    คนส่วนใหญ่มีมุมมองว่าภาวะเฉียดตายหมายถึงการที่จิตวิญญาณเป็นอิสระจากกายเนื้อ เพราะถ้าวิญญาณออกจากร่างได้ก็จะเกิดประสบการณ์ เกิดมุมมองที่แตกต่างไปจากเคยแทบสิ้นเชิง เช่นบางรายมีความสามารถรู้เห็นรอบด้านในคราวเดียวซึ่งเป็นไปไม่ได้ด้วยประสาทตาของมนุษย์ บางรายได้ยินเสียงในอีกแบบหนึ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยประสาทหูของมนุษย์ พูดง่ายๆคือเรามองว่าการแยกจิตไปรับรู้อีกภาวะมิติหนึ่งเป็นการอยู่ในโลกหน้า


    ถึงปัจจุบันการ ‘บังเอิญเฉียดตาย’ ยังมิใช่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่แจ่มชัดพอ แม้จะมีสถาบันซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อค้นคว้าและวิจัยประสบการณ์เฉียดตายระดับนานาชาติจำนวนมาก รูปแบบการพิสูจน์ก็ยังไม่ชัดเจนนัก ราวกับว่าถ้าอยากเปิดเผยเรื่องโลกหลังความตายกันจริงๆ ก็ต้องเหนื่อยยากงัดข้อกับธรรมชาติมากหน่อย เพราะดั้งเดิมเหมือนธรรมชาติไม่เต็มใจให้เรารับรู้เรื่องนอกเหนือจากชาติ ปัจจุบันเท่าใดนัก หากรู้และตระหนักกันมากๆก็อาจจะตระหนก แล้วหันมาทำแต่ความดีกัน ดินแดนสวรรค์ก็จะผุดขึ้นเกินพื้นที่ในนรก ผิดหลัก ‘ของดีมีน้อย’ ไป


    นักวิทยาศาสตร์ที่มีความโน้มเอียงจะเชื่อเรื่องโลกหน้า จะเน้นการนำเสนอข้อมูลวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าจิตกับกายแยกกันได้จริง สมองไม่ใช่แหล่งผลิตความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้เชื่อว่ามีหลักฐานชี้ขาดเพียงเท่านี้ก็พอแล้วสำหรับการยืนยันความเชื่อของตน


    แต่นักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งที่มีความโน้มเอียงจะปฏิเสธเรื่องโลกหน้า จะเน้นการนำเสนอแบบหักล้างทุกประเด็นที่ชี้ว่าจิตกับกายสามารถแยกจากกัน มีรายละเอียดเชิงเทคนิคที่เหมือนอธิบายได้หมด กล่าวโดยสรุปคือนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้เชื่อว่าการรู้เห็นอีกมิติหนึ่งเป็นการทำงานอันผิดปกติของสมองล้วนๆ


    ดังนั้นแทนที่จะไปรอผลวิจัยจากการบังเอิญเฉียดตาย จึงมีการระดมความคิดจากนักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่ง ว่าทำอย่างไรจะ ‘จงใจเฉียดตาย’ ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์


    เคยมีทฤษฎีแปลกๆที่ยังเป็นไปไม่ได้ในความจริง แต่นำเสนอในรูปของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด คือสร้างปัจจัยของความตายขึ้น โดยใช้ทั้งยา ทั้งการลดอุณหภูมิในร่าง และทั้งการช็อกด้วยไฟฟ้า เพื่อทำให้หัวใจหยุดเต้นและคลื่นสมองเรียบลง ซึ่งทางแพทย์ถือว่าตายสนิท ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นถือว่าเป็นการสัมผัสโลกหลังความตายอันเชื่อถือได้ จากนั้นจึงใช้เทคนิคกู้ชีพตามปกติหลังจากเวลาผ่านไปสักสองสามนาที ซึ่งเป็นระยะที่สมองยังไม่ขาดออกซิเย่นจนเกิดความเสียหาย


    แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันทำได้จริงคือกระตุ้นอย่างแรงที่บริเวณ Temporal Lobe ของสมองด้วยไฟฟ้า จะทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีร่างอีกส่วนหนึ่งแยกออกไปจากร่างเดิม ล่องลอยอยู่ข้างบนระดับเพดาน และมองจ้องดูเหตุการณ์ข้างล่างอยู่ แต่ประสบการณ์ชนิดนี้ก็ไม่ทำให้ได้ข้อสรุปว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เนื่องจากการที่จิตลอยขึ้นไปดูเหตุการณ์ชั่วคราวก็ยังรู้เห็นแคบจำกัดอยู่ในมิติเดิมๆ และอีกอย่างหนึ่ง Temporal Lobe ก็เป็นส่วนของสมองที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างภาพในฝันเสียด้วย


    การเอาสมองมาเป็นตัวตั้ง หรือเป็นตัวตัดสินเรื่องประสบการณ์ข้ามมิติจึงไม่ทำให้เกิดข้อสรุป แต่จะก่อให้เกิดข้อกังขาวนเวียนอยู่ในขอบเขตของสมอง เป็นประเด็นถกเถียงที่ไม่รู้จบสำหรับมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อและไม่เชื่อ


    แต่หากเป็นพุทธศาสนิกชนที่โน้มเอียงไปทางจิตนิยม มีความรู้ มีความสามารถปฏิบัติธรรมจนเกิดสมาธิถึงระดับฌาน ก็จะยืนยันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับเรื่องของการถอดจิตไว้แล้วคือ


    เปรียบเสมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาเพียงคิดว่าดาบก็ส่วนหนึ่ง ฝักก็อีกส่วนหนึ่ง จึงสามารถชักดาบออกจากฝักได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสจร อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวแล้ว เธอย่อมสามารถโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง


    หากเป็นผู้สามารถถอดจิตได้จริง ถอดได้หลายๆครั้ง ความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องแยกกายแยกจิตจะหายไปอย่างเด็ดขาด และประสบการณ์ขณะถอดจิตได้ย่อมบอกเราเองว่า ‘มิติอื่น’ มีหรือไม่ ถ้ามีมีอย่างไร เหมือนหรือต่างจากโลกเดิมแค่ไหน


    ความต่างระหว่างผู้สามารถถอดจิตได้มีอยู่มาก ส่วนใหญ่เมื่อถอดออกสำเร็จเป็นครั้งแรกๆจะวนเวียนรู้เห็นอยู่ในโลกวัตถุเดิมๆนี่เอง พิสูจน์ได้ชัดจากการเข้าไปรู้เห็นสิ่งที่พวกเขารับรู้ว่ามีอยู่จริงอยู่แล้ว รวมทั้งรู้เห็นสิ่งที่เขายังไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตื่นขึ้นไปดูสถานที่จริงก็พบว่ามิใช่ของหลอก สำคัญกว่านั้นคือความรับรู้ขณะถอดจิตจะชัดกว่าเมื่อครั้งลืมตาตื่นด้วยกายเนื้อ กับทั้งสามารถเห็นสิ่งต่างๆที่ตาเนื้อไม่สามารถเห็นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นรัศมีจากจิตวิญญาณของผู้คน ตลอดไปจนกระทั่งจิตวิญญาณในภพภูมิอื่นที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า


    ผู้ถอดจิตได้เป็นปกติย่อมมีความรู้เหนือมนุษย์ เช่นทราบชัดว่าการถอดจิตมิใช่ประสบการณ์เฉียดตาย แต่เห็นเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นขณะถอดจิตคือการมีสติรู้ว่า ‘รูปอันเกิดแต่ใจ’ นั้นถูกนิรมิตขึ้น และย่างก้าวเข้าไปสู่มิติที่ละเอียดกว่าโลกหยาบ โดยขณะนั้นหัวใจมิได้หยุดเต้น และคลื่นสมองก็มิได้เป็นเส้นเรียบแต่อย่างใด สิ่งที่อาจแตกต่างไปบ้างก็เช่นลมหายใจสงบลงชั่วคราว โดยร่างกายทำตัวเป็นแท่งดูดพลังปราณจากรอบด้านเข้ามาหล่อเลี้ยงชีวิตไว้


    เมื่อมีมุมมองที่ชัดเจนว่าประสบการณ์วิญญาณหลุดจากร่างไม่จำเป็นต้องหมายถึงประสบการณ์เฉียดตาย ขั้นต่อไปคงหายสับสนเมื่อกล่าวถึงประสบการณ์เมื่อจะต้องตายจริงๆ
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    สภาพความเป็นอยู่ของสัตว์ในภพภูมิต่างๆ

    ถึงบทก่อนเราทราบพอเป็นเค้าเป็นเลาว่า ‘ตายแล้วไม่จบ’ แต่ยังไม่ทราบว่า ‘ตายแล้วไปไหน’สำหรับบทนี้จะพูดถึงสภาพความเป็นอยู่ของสัตว์ในภพภูมิต่างๆที่ผู้ ‘ตายจริง’ ได้ไปอยู่กัน

    คนที่เห็นการท่องเที่ยวเกิดตายของสัตว์ในสังสารวัฏต่างเกิดมุมมองเดียวกันขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นคือสัตว์ทั้งหลายไม่เคยตาย มีแต่เคย ‘เปลี่ยนสภาพ’ หรือ ‘เคลื่อนจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง’เท่านั้น


    แต่สำหรับคนไม่รู้ ไม่มีญาณหยั่งเห็น ต้องถือว่าไม่มีความผิดที่ปักใจเชื่อได้แค่ตามที่ประสาทตาเนื้อเอื้อให้เห็น เมื่อใดที่ใครเป็นศพ ก็เหมือนเป็นการโบกมือลาชั่วนิรันดร์ จะไม่ได้พบกันอีก จะไม่ได้คุยกันอีก จะไม่ได้ทำอะไรๆร่วมกันอีก


    เราเลือกได้ที่จะไม่เชื่อ แต่เราไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงความจริง เหมือนเช่นเมื่อเรายังไม่รู้เรื่องการประหารชีวิตที่น่าขนพองสยองเกล้า เราก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่ามีอะไรหฤโหดอย่างนี้อยู่บนโลก แต่ถ้ามันมีมันก็มี นี่เป็นทำนองเดียวกับที่เรายังไม่รู้สภาพความเป็นไปในนรก เราอาจไม่อยากเชื่อว่ามันมี แต่ถ้ามันมีมันก็มีเช่นกัน ที่สำคัญคือถ้ามันมีจริงก็แปลว่าความหฤโหดทุกชนิดบนโลกมนุษย์เป็นอันถูกลืมได้ เพราะจะไม่มีความทุกข์ใดเทียบเท่าความทุกข์ทรมานในนรกเลยเป็นอันขาด!


    เมื่อดำรงอยู่ในความเป็นมนุษย์ด้วยกันนี้ ทุกคนรู้ว่าระหว่างพวกเรามีความต่าง แต่จะรู้ดีที่สุดว่าความต่างนั้นมีความหมายอย่างไรก็เมื่อเห็นภพภูมิอันเป็นที่ไปของแต่ละคนนั่นเอง


    [​IMG]


    ภพภูมิ


    ‘ภพ’ คือโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ จะเรียกว่าภพ จะเรียกว่าสภาพ หรือจะเรียกว่าภาวะชีวิตก็ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะเน้นสภาพแวดล้อม หรือภาวะของอัตภาพที่สัตว์ครองอยู่เป็นสำคัญ เช่นภพของมนุษย์ย่อมมีแผ่นดิน มีภูเขา มีทะเล มีแม่น้ำ โดยที่ตัวมนุษย์เองมีหนึ่งหัว หนึ่งตัว สองแขน สองขา ยกตั้งขึ้นด้วยกระดูกสันหลังอันแสดงสภาพสัตว์ชั้นสูง


    โดยคร่าวสุดมีภพอยู่ ๓ ระดับ รวมเรียกว่า ‘ไตรภพ’ ได้แก่


    ๑) กามภพ ภพของผู้ที่ยังเสวยกามคุณ หมายถึงสภาพต่ำสุดตั้งแต่สัตว์นรก ไล่มาถึงสัตว์เดรัจฉาน เปรต มนุษย์ เรื่อยไปจนกระทั่งสูงสุดคือเทวดาผู้ยังพัวพันกับความใคร่ในรูปเสียงกลิ่นรส
    ๒) รูปภพ ภพของผู้ที่เข้าถึงรูปฌาน หมายถึงสภาพของผู้พ้นจากภพอันเกลือกกลั้วด้วยกามเพราะมีสมาธิจิตตั้งมั่นถึงระดับฌาน พวกนี้จะมีรูปกายทิพย์ที่สุขุมยิ่ง สุขุมและประณีตขนาดที่ว่าผัสสะภายนอกทั้งปวงปรากฏแผ่วจนไม่อาจทำให้รู้สึกรู้สาว่าน่าติดใจแต่อย่างใดได้ พวกเขาพึงใจมีชีวิตเพื่อเสพสุขอันเป็นภายในจากสภาพฌานจิตนั้นยิ่งใหญ่ล้ำลึกเกินจินตนาการ
    ๓) อรูปภพ ภพของผู้ที่เข้าถึงอรูปฌาน หมายถึงสภาพของผู้พ้นจากความมีรูป เพราะสมาธิจิตก้าวล่วงการสำคัญในรูปทั้งปวงเสียได้ พวกนี้มีรู้สึกในอีกระนาบหนึ่งซึ่งเหนือกว่าสุขอันเป็นทิพย์


    (หมายเหตุ – คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไตรภพคือโลกนรก โลกมนุษย์ และโลกสวรรค์ ความจริงแล้วทั้งสามนี้เป็นเพียงกามภพเท่านั้น)


    ส่วน ‘ภูมิ’ นั้นจะเป็นส่วนย่อยของภพอีกที เพราะเน้นที่ระดับชั้นแห่งจิตมากกว่าจะพูดถึงสิ่งแวดล้อมหรือแม้แต่ร่างกายอันเป็นของภายนอกที่สัมผัสได้ง่ายกว่ากัน



    ภูมิแห่งจิตวิญญาณมี ๔ ระดับ ได้แก่
    ๑) กามาวจรภูมิ เป็นภูมิจิตที่ยังข้องแวะอยู่กับกามคุณ ๕ คือเสพผัสสะอันน่าพึงใจทางตา หู จมูกลิ้น กาย อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด
    ๒) รูปาวจรภูมิ เป็นภูมิจิตที่ยึดเอารูปธรรมเช่นลมหายใจหรือสีสันเป็นตัวตรึงจิตให้ตั้งมั่นถึงฌาน
    ๓) อรูปาวจรภูมิ เป็นภูมิจิตที่กำหนดเอานามธรรมเช่นอากาศอนันต์เป็นตัวตรึงจิตให้ตั้งมั่นถึงฌาน
    ๔) โลกุตตรภูมิ เป็นภูมิจิตที่เคยเห็นแจ้งว่ารูปนามไม่ใช่ตัวตน และความเห็นนั้นจะต้องเหนี่ยวนำจิตได้ถึงฌาน ประจักษ์แจ้งว่านิพพานมีจริง พ้นสภาพการมีการเป็นทั้งปวงออกไป


    คงเห็นว่า ‘ภูมิ’ นั้นจำแนกออกมาได้มากกว่า ‘ภพ’ ทั้งนี้ก็เพราะหลายภพสามารถเป็นที่อยู่ของภูมิจิตระดับโลกุตตระได้นั่นเอง สังสารวัฏมิได้มีที่อยู่เฉพาะสำหรับอริยบุคคลแต่อย่างใด เว้นแต่อบายภูมิแล้ว อริยเจ้าปรากฏอยู่ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าในโลกมนุษย์นี้ ในโลกสวรรค์ ในโลกพรหม


    และที่คนไทยมักเรียกรวมว่า ‘ภพภูมิ’ ควบคู่กันนั้น ขอให้ทราบว่าเป็น ‘ภาพรวม’ ของช่องชั้นที่อยู่ ทั้งลักษณะกายและระดับจิตในระหว่างเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง โดยมากจะนึกเหมาไปรวมๆได้เพียงโลกมนุษย์ในฐานะระดับที่ตนเป็นอยู่ เห็นว่าชาติปัจจุบันเป็นอย่างนี้ ชาติหน้าก็คงจะราวๆเดียวกันนั่นเอง


    เพื่อให้เข้าใจความหลากหลายระหว่างภพภูมิต่างๆได้ดีขึ้น ลองมาดูก่อนว่าแค่ ‘โลกมนุษย์’ อันเป็นภพๆหนึ่งนั้น เรามีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ถ้ายังเหมาว่าดาวเคราะห์กลมๆใบนี้คือ ‘โลกของมนุษย์’ อยู่ล่ะก็ ควรปรับความเข้าใจเสียใหม่ คือความจริงมันเป็นที่อยู่อาศัย เป็นแหล่งรวม เป็นศูนย์กลางของสัตว์ในภพภูมิอื่นอีกมากนัก กล่าวคือดาวเคราะห์กลมๆใบนี้เป็นโลกของเดรัจฉาน เป็นโลกของผีเปรต และเป็นโลกของเทวดาชั้นต้นๆ อีกมากมายเหลือคณานับ สัตว์บางภพภูมิเช่นเดรัจฉาน เราก็มองเห็นด้วยตาเปล่าและสามารถสัมผัสแตะต้องได้ด้วยมือไม้ ทว่าสัตว์บางภพภูมิเช่นเปรตนั้น เราอาจบังเอิญสัมผัสได้ด้วยใจแล้วขนลุก หรือสัตว์บางภพภูมิเช่นเทวดา เราก็ได้แต่รู้สึกถึงความอบอุ่นสว่างเบาจากกระแสวิญญาณพวกท่าน


    ดังนั้นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งๆจึงไม่จำเป็นต้องเป็นภพของสัตว์หมู่ใดเสมอไป แต่อาจเป็นแหล่งรวมเป็นสภาพแวดล้อมให้กับเหล่าสัตว์ในชั้นภูมิต่างๆได้หลากหลาย


    เมื่อความจริงเป็นดังนี้ ฉะนั้นแม้แต่ปุถุชนธรรมดาผู้ปราศจากญาณหยั่งรู้ใดๆก็อาจเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภพภูมิอื่นได้ อย่างเช่นสัตวแพทย์หรือคนรักสัตว์ที่มีความรู้ ความเข้าใจ และความผูกพันกับสัตว์มากๆ หากเข้าใจอย่างถูกต้องก็จะเริ่มตอบคำถามขั้นพื้นฐานได้ เช่น


    ๑) การสื่อสารข้ามภพภูมิเป็นจริงหรือไม่? ต้องตอบว่าเป็นไปได้จริง อย่างเช่นผู้ที่ฝึกสัตว์สามารถสั่งสัตว์ให้ทำสารพัดสิ่ง แม้แต่ลิงชิมแปนซีก็แสดงให้เห็นว่าเข้าใจภาษามนุษย์เป็นคำๆ สามารถเลือกอักษรมาผสมเป็นคำเพื่อสื่อสารง่ายๆกับผู้ฝึกได้ และผู้ฝึกสัตว์หลายคนก็อ้างว่าตนสามารถคุยกับสัตว์รู้เรื่องเป็นอย่างดี เพียงเห็นภาษากายหรือวิธีส่งเสียงของพวกมัน
    ๒) การรับรู้ของสัตว์ในแต่ละภพภูมิแตกต่างกันมากหรือน้อย? ต้องตอบว่ามากอย่างเกินกว่าที่เราจะจินตนาการถูก อย่างเช่นสุนัขจะได้ยินเสียงที่มีความถี่สูงเกินกว่าแก้วหูมนุษย์จะสามารถรับรู้ และนอกจากจะมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คนเราจะไม่ทราบเลยว่ามดมีสองตาก็จริง ทว่าตาแต่ละข้างประกอบด้วยตาย่อยๆอีก การเห็นผ่านประสาทตาของพวกมันจึงเกินกว่าที่เราจะนึกให้ออกว่าเป็นอย่างไร
    ๓) หมู่สัตว์อื่นก่อกรรมดีชั่วได้หรือไม่? ต้องตอบว่าบางจำพวกก็ก่อกรรมได้ เช่นสุนัขบางตัวที่ถูกฝึกแล้วเป็นอย่างดีสามารถช่วยชีวิตคนได้ แมวบางตัวได้ชื่อว่าเป็นแมวอันธพาลเพราะไล่กัดแมวอื่นแบบนักเลงโต พฤติกรรมเหล่านี้มิได้อาศัยสัญชาตญาณ แต่ต้องมีแรงขับดันจากเจตนาซึ่งเป็นอาการทางจิตและปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศลหรืออกุศลได้มาก แต่สัตว์บางจำพวกก็ก่อกรรมไม่ได้ เช่นมดที่เอาแต่ขนของท่าเดียว ไม่มีปัจจัยให้คิดทำดีหรือทำชั่วแหวกแนวไปจากพวกเท่าใดนัก ถ้าไม่ใช่มดประเภทที่มีพิษและคิดทำร้ายสัตว์อื่น ก็พออนุโลมกล่าวว่ามีสัตว์บางจำพวกเกิดมาเพื่อรับกรรมมากกว่าที่จะก่อกรรม ซึ่งก็คล้ายกับสัตว์นรก แต่สบายกว่าสัตว์นรกหลายเท่า


    เมื่อสดับตรับฟังเกี่ยวกับเรื่องของภพภูมิ เราอาจจินตนาการเปรียบเทียบได้ว่าสังสารวัฏนั้นเสมือนคุก แต่ละภพแต่ละภูมิคือกรงขัง ซึ่งก็มีทั้งกรงขังสำหรับพวกมีโทษมาก และกรงขังสำหรับพวกมีโทษน้อย จะต่างจากกรงขังในโลกก็ตรงที่เมื่อใครเข้าสู่ภพภูมิไหนแล้ว จะไม่มีการรื้อคดีเพื่อพิจารณาย้อนหลังกันใหม่อีกเลย ใครเข้าไปรับกรรมในภพภูมิใด ก็จะต้องติดอยู่ในภพภูมินั้นๆไปจนกว่าจะถึงกำหนดพ้นโทษตามเหตุที่ก่อมา


    การแหกคุกในสังสารวัฏพอมีให้เห็นได้ เช่นการฆ่าตัวตายหนีจากสภาพความเป็นมนุษย์ไป แต่ว่านั่นเปรียบเหมือนการเพิ่มโทษให้ตัวเองโดยพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ลำบากกว่าเดิม และคุกก็ไม่จำเป็นต้องมีผู้คุมไว้คอยไล่ล่าลากคอนักโทษกลับมาให้เหนื่อยแรง เนื่องจากพ้นเขตกักขังเดิมออกไป ก็เป็นแดนเชื่อมต่อกับเขตกักขังใหม่ทันทีอยู่แล้ว ราวกับสังสารวัฏเป็นทัณฑสถานที่ไร้ทางออกอย่างสิ้นเชิงฉะนั้น


    เราทุกคนต่างเป็นนักโทษประหาร โดยมีความผิดสถานเดียวคือ ‘ไม่รู้ทางออก’ และ ‘มัวแต่ติดใจ เครื่องล่อในคุก’ กันอยู่นี่เอง คุกแห่งนี้ประหารด้วยการเอาเข้าเครื่องลบความจำแล้วเปลี่ยนแดนกักขังเสียใหม่ ใช้กลอุบายพิสดารล่อใจให้หลงวนติดใจอยู่กับการโดนประหารไปเรื่อยๆ


    ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่น่าสนใจ คือเรามีสิทธิ์รู้เรื่องภพภูมิได้มากกว่าที่คิด เพราะภายในร่างกายและจิตใจของมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวนี้ เป็นศูนย์รวมของภูมิจิตได้ครบถ้วนทุกภูมิ นับแต่ต่ำสุดไปจนถึงสูงสุด!


    กล่าวเช่นนี้เพราะเหตุใด? เพราะถ้าตัดเอารูปร่างหน้าตา เนื้อหนังมังสา หูตาจมูกปากออกไปเหลือไว้แค่เพียงสภาพของจิตที่เวียนเกิดเวียนดับอยู่อย่างเดียว เราก็จะเห็นจิตชนิดต่างๆภายในขอบเขตดังต่อไปนี้เท่านั้น


    ๑) จิตอันเป็นไปในกามาวจรภูมิ คือจิตที่มีเครื่องล่อเป็นกามคุณ ๕ ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพศตรงข้ามอันยวนตายวนใจ ถ้าได้เสพสิ่งที่ระคายสัมผัส เช่นตากแดดร้อนระหายน้ำอยู่กลางทะเลทราย หรือถ้าไม่ได้เสพสิ่งที่ปรารถนา เช่นอยากนอนกับใครแล้วเจอข้อจำกัดให้ต้องเร่าร้อนทรมานใจ อย่างนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นนรกชื่อ ‘ผัสสายตนิกะ’ จะเรียกผัสสายตนิกนรกก็ได้


    ส่วนถ้าใครได้เสพสิ่งที่น่าบันเทิงเริงรมย์ เช่นนั่งนอนบนฟูกนุ่มในห้องปรับอากาศเย็นสบายดูหนังฟังเพลงตามต้องการ หรือได้เสพสิ่งที่ปรารถนา เช่นได้สามีหรือภรรยาถูกใจ ชวนอภิรมย์ชมชื่นทุกวันคืนไม่ติดขัด อย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่าเป็นสวรรค์ชื่อ ‘ผัสสายตนิกะ’ เช่นกัน จะเรียกผัสสายตนิกสวรรค์ก็ได้


    พูดง่ายๆว่าคนเราเวียนว่ายตายเกิดระหว่างนรกและสวรรค์ที่ชื่อผัสสายตนิกะกันตั้งแต่เด็กจนแก่อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีจิตเป็นมนุษย์ แม้ขณะที่ตกภวังค์ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ก็เป็นสภาพภวังค์อันสืบต่อรักษาภพแห่งความเป็นมนุษย์ไว้อยู่ดี ถ้าใครเปรียบเทียบว่าคนชั่วเหมือนสัตว์นรก เดรัจฉาน หรือเปรต และเปรียบเทียบว่าคนดีเหมือนเทวดา พรหม ขอให้ทราบว่านั่นเป็นเพียงการอุปมาอุปไมยที่ขาดความจริงทางจิตรองรับ เพราะตลอดชีวิตเรานับแต่ปฏิสนธิจนจุตินั้น เป็นได้อย่างเดียวคือมนุษย์


    มนุษย์เป็นสัตว์รักสนุก ชอบกอบโกยความสุขเข้าหาตัว ดังนั้นความสุขจึงเป็นแรงผลักดันให้ก่อกรรมอันจะได้มาซึ่งวัตถุบำเรอสุข ซึ่งบางครั้งก็เป็นกุศลกรรม แต่โดยมากจะด้วยวิถีแห่งอกุศลกรรม เมื่อมนุษย์ก่อกรรมอันใดไว้มาก กรรมนั้นย่อมพาเขาไปสู่ภพอันสมควร ถ้าน้ำหนักกรรมเอียงไปทางดีก็ล่องลิ่วขึ้นสวรรค์ไป ถ้าน้ำหนักกรรมเอียงไปทางชั่วก็พุ่งหลาวลงนรกกัน และคราวนี้จะไม่ใช่ผัสสายตนิกสวรรค์หรือผัสสายตนิกนรก แต่เป็นสวรรค์มีชื่อเป็นต่างๆ นรกมีชื่อเป็นต่างๆ อันเป็นภพใหม่ที่ให้ผัสสะเย็นหรือผัสสะร้อนเป็นทวีคูณตั้งแต่อุบัติขึ้นในภพนั้นจวบจนถึงเวลาจุติไป


    ๒) จิตอันเป็นไปในรูปาวจรภูมิ คือจิตที่มีเครื่องล่อเป็นรูปธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้กำหนดหมายโดยเครื่องกำหนดหมายนั้นไม่เป็นโทษ ไม่ก่อให้เกิดความครุ่นคิดฟุ้งซ่าน อย่างเช่นลมหายใจอันเป็นสมบัติติดตัวพวกเราทุกคนมาตั้งแต่เกิด เพียงเฝ้าดูเล่นๆว่ามันเข้า มันออก เดี๋ยวมันยาว เดี๋ยวมันสั้น ซ้ำไปซ้ำมาไม่นานก็จะเปลี่ยนภาวะคิดสุ่มไร้ระเบียบ กลายเป็นคิดถึงแต่เรื่องลมหายใจอย่างเดียว และพบด้วยตนเองว่าการคิดถึงแต่ลมหายใจ ระงับความพะวงหลงแส่ส่ายไปในเรื่องไร้สาระต่างๆนั้น ให้ผลเป็นความปลอดโปร่งเยือกเย็น มีปีติสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


    กระทั่งถึงจุดหนึ่งเมื่อคิดฟุ้งน้อยลงๆจนหยุดคิดถึงเรื่องอื่นใดอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้แต่การรับรู้ในลมหายใจว่าผ่านเข้าผ่านออก ผ่านเข้าผ่านออกอยู่เช่นนั้น จิตก็แปรสภาพเป็นภาวะสงบประณีต เหมือนดวงไฟใหญ่ที่ค้างนิ่งอยู่กับการรับรู้สิ่งเดียว ราวกับไม่มีการเคลื่อนของเวลา มีแต่การไหลเข้าไหลออกของสายลมหายใจยืดยาว ตรงนั้นคือสมาธิระดับฌานขั้นแรก เรียกว่า ‘ปฐมฌาน’


    ผู้ที่ถึงปฐมฌานได้ชื่อว่ารู้จักสภาพของจิตอันเป็นไปในรูปาวจรภูมิ เริ่มฉลาดในธรรม คือเห็นจิตที่แน่วนิ่งตั้งมั่นนั้นดีกว่าจิตที่สั่นไหวโยกโคลง แต่ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าอยู่ในรูปาวจรภูมิเต็มขั้นก็ต่อเมื่อสามารถเข้าออกฌานได้ตามปรารถนา มีจิตใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหวเป็นปกติ คือนึกถึงลมหายใจเพียงไม่นาน หรือเพียงแวบเดียว จิตก็เปลี่ยนจากสภาพนึกคิดธรรมดาเป็นสภาพยุติความคิด สว่างโพลงเด่นดวงยิ่งใหญ่ยับยั้งอยู่ในความรับรู้ลมหายใจอย่างเดียวโดยไม่มีหลงซวนเซ ไม่เป๋ไปทางไหน


    การเป็นผู้ชำนาญเข้าออกรูปฌานได้นั้น แม้ยังเกลือกกลั้วอยู่กับโลกหยาบ วิถีชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร อย่างน้อยที่สุดจะไม่ไยดีในสภาพแวดล้อมอันเอื้อให้พบกับกามคุณ ๕ อันเผ็ดร้อน เพราะกามคุณจะเป็นตัวบั่นทอนความสะอาดของจิต และสั่นคลอนความแน่วนิ่งตั้งมั่นได้มาก ผู้ทรงฌานจะหวงก็เพียงสภาวจิตที่ตั้งมั่นได้ตามปรารถนา เพราะสุขอันลึกล้ำโอฬารนั้นคุ้มพอจะแลกกับกามอันเป็นของน้อย
    ฉะนั้นจึงเป็นปกติหากผู้ทรงฌานจะทิ้งบ้านทิ้งเรือน ทิ้งความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานทั้งปวง ออกถือเพศบรรพชิต อาจถือวินัยแบบสงฆ์ หรืออาจประพฤติธรรมแบบฤาษีชีไพร จะมีบ้างเพียงส่วนน้อยที่ยังสามารถประพฤติธรรมได้ทั้งที่ยังเข้าสังคม ทำหน้าที่การงานอยู่เป็นปกติ


    จิตที่พรากจากกามเพราะสามารถเข้าถึงภาวะแห่งฌานได้เป็นปกตินั้นยากจะหลงสติ ก่อนตายจะอยู่กับรูปฌานที่ตนชินชำนาญ และแล้วเมื่อถึงวาระสุดท้าย จิตจะวูบดับจากความรู้สึกทั้งมวล คือคลายออกจากรูปฌานเป็นจุติจิต แล้วเกิดปฏิสนธิจิตขึ้นใหม่ ถัดจากนั้นจึงกลับเข้าสู่ความรู้สึกตัวว่าอยู่ในฌานภายใต้การห่อหุ้มของรูปอัตภาพใหม่ที่ละเอียดสุขุมกว่าเทวดาและมนุษย์ ได้ชื่อว่าเข้าถึงความเป็นหนึ่งในหมู่สัตว์ที่เรียก ‘รูปพรหม’


    ๓) จิตอันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือจิตที่มีเครื่องล่อเป็นอรูปธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้กำหนดหมาย โดยเครื่องกำหนดหมายนั้นไม่ก่อให้เกิดการสำคัญไปในรูปธรรมทั้งปวง อย่างเช่นภาวะอากาศไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีกรอบจำกัดทางสายตาว่ากว้างประมาณเท่านั้น หรือยาวประมาณเท่านี้ มีแต่หน่วงนึกด้วยใจ สำคัญด้วยใจถึงสภาวะแห่งอากาศธาตุอันเวิ้งว้างว่างเปล่าปราศจากขอบเขต


    การจะหน่วงนึกอย่างนี้ได้จิตต้องมีกำลัง มีความตั้งมั่นเป็นพื้นฐานอยู่ก่อน ส่วนใหญ่ผู้ที่ทำได้จะผ่านรูปฌานมาก่อนแล้ว มีความเป็นกลางทางจิตชนิดที่เรียกว่า ‘มหาอุเบกขา’ เป็นพื้นยืนอยู่เป็นทุนเมื่อหน่วงนึกถึงอากาศอนันต์ได้จนจิตรวมลงเป็นฌาน เขาจะรู้สึกราวกับเห็นอากาศว่างไพศาลเท่าจักรวาล เป็นสภาพเหนือจินตนาการ คล้ายยกจิตขึ้นไปอยู่ในอีกระนาบมิติหนึ่งที่มีจริงด้วยอำนาจฌาน


    ผู้ที่สามารถเข้าถึงอรูปฌานได้เป็นปกติจะมีจิตที่ปราศจากเยื่อใยในความมีรูปทั้งปวง เห็นรูปทั้งปวงเป็นของเล็กน้อย ไม่น่าแยแส จิตคำนึงถึงแต่นามธรรมอันโอฬารอยู่เนืองๆ และเมื่อตายลงเพราะกายหยุดทำงาน เขาก็จะพรากจากสภาพความมีรูปทั้งปวงไปสู่ความไม่มีรูป มีแต่จิตอันทรงฌานตื่นรู้อยู่อย่างยาวนานเกินจะนับว่ากี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านปี


    การเป็นผู้ชำนาญเข้าออกอรูปฌานได้เป็นปกตินั้น ยากที่จะเกลือกกลั้วอยู่กับโลกหยาบ โดยมากจะเป็นนักบวช ดำรงชีพอยู่ด้วยการท่องเที่ยวไปในป่าเขาลำเนาไพร โลกทั้งโลกจะปรากฏเป็นภาพลวงแต่ความว่างจะกลายเป็นของจริงขึ้นมาแทน


    ก่อนตายจะอยู่กับอรูปฌานที่ตนชินชำนาญ และแล้วเมื่อถึงวาระสุดท้าย จิตจะวูบดับจากความรู้สึกทั้งมวล คือคลายออกจากอรูปฌานเป็นจุติจิต แล้วเกิดปฏิสนธิจิตขึ้นใหม่ ถัดจากนั้นจึงกลับเข้าสู่ความรู้สึกตัวว่าอยู่ในอรูปฌาน โดยไม่มีรูปกายทิพย์ห่อหุ้ม ได้ชื่อว่าเข้าถึงความเป็นหนึ่งในหมู่สัตว์ที่เรียก ‘อรูปพรหม’ จิตสามารถไหวตัวรับรู้ความมีความเป็นในจักรวาลได้ แต่เพิกเฉยไม่ยินยลสนใจเพราะไม่ทราบจะไปข้องเกี่ยวด้วยอย่างไร จึงพักการก่อกรรมดีร้ายแบบสัตว์ในภพล่างๆเป็นเวลานานแสนนาน ด้วยความหลงเข้าใจผิดว่าภาวะของตนคงเป็นอมตะ เป็นนิรันดร์อย่างแท้จริง แท้จริงได้ชื่อว่าเป็นเพียง ‘อรูปพรหม’ อันจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีกเท่านั้น


    ๔) จิตอันเป็นไปในโลกุตตรภูมิ คือจิตที่มีเครื่องล่อเป็นอาการเกิดดับแห่งรูปนาม หรืออาการที่รูปนามแสดงความไม่ใช่ตัวตนออกมาให้ล่วงรู้ อย่างเช่นเมื่อฝึกสติรู้ลมหายใจได้เป็นปกติ ก็สามารถเห็นชัดว่าธาตุลมมีเข้า มีออก มีหยุด ไม่ใช่สิ่งที่เที่ยง เช่นเดียวกับอารมณ์สุขทุกข์ทั้งปวง เช่นเดียวกับสภาพจิตที่สงบแล้วกลับฟุ้ง และเช่นเดียวกับสรรพสิ่งทั้งที่เป็นรูปธรรมนามธรรมทั่วสากลจักรวาล ต่างก็แสดงตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเกิดขึ้นด้วยเหตุ แล้วมีอายุขัยที่จะต้องดับลงเป็นธรรมดา


    เมื่อจิตมีปกติเห็นทั้งตนเองและสรรพสิ่งโดยความเป็นของที่ต้องดับลง ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนค้ำฟ้า ก็จะค่อยๆถอดความเข้าใจผิด และถอนตนออกจากหล่มกาม ถอนตนออกจากอุปาทานว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวเป็นตน กระทั่งเกิดธรรมชาติล้างผลาญเครื่องร้อยรัดจิตให้ติดอยู่กับสังสารวัฏ เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสที่เรียกกันว่า ‘พระอรหันต์’ ไม่ต้องเวียนกลับมาทุกข์ซ้ำทุกข์ซาก เกิดแล้วแก่ แก่แล้วเจ็บ เจ็บแล้วตายเหมือนอย่างสัตว์อื่นที่ไม่รู้ทางออกอีก


    พระอรหันต์จะเป็นผู้ไม่เห็นนิมิตหมายใดๆเมื่อใกล้ดับขันธ์ พวกท่านมีจิตสุดท้ายเป็นดับลงแล้วไม่มีจิตใดเกิดขึ้นสืบต่ออีก


    แต่สำหรับผู้ที่เริ่มมีความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับสังสารวัฏและทางออกจากสังสารวัฏ เริ่มกำหนดสติดูรูปนามเกิดดับ เริ่มมีความเพียรอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งจิตไม่ไยดีสิ่งอื่นนอกจากความเห็นรูปนามเกิดดับ ดังนี้ก็ถือว่าจิตเริ่มเข้ามาอยู่ในโลกุตตรภูมิแล้วเหมือนกัน เรียกว่าเป็นผู้พยายามเพื่อมี ‘ดวงตาเห็นธรรม’ ธรรมในที่นี้คือความจริงสูงสุด ธรรมในที่นี้คือความว่างจากตัวตน ธรรมในที่นี้คือพระนิพพานอันปราศจากการเกิดและการดับ มีแต่ความเปิดเผยไร้ร่องรอยนิมิตอันใดสิ้น
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    ภพภูมิในมุมมองของผู้มีทิพยจักขุ
    ในมุมมองของผู้มีจักษุอันเป็นทิพย์ ล่วงประสาทตาสามัญของมนุษย์ธรรมดา ภพภูมิเป็นเครื่องจำแนกผลกรรมที่ใหญ่ที่สุด เป็นภาพใหญ่ที่สุดที่เห็นได้ว่าใครเป็นใคร ทำอะไรมาอย่างหนักโดยมาก


    สภาพของภพภูมิต่างๆนั้นเป็นคนละมิติกัน บางทีเทียบเคียงให้เข้าใจทั่วถึงได้ยาก อย่างเช่นเขตแดนในสวรรค์และนรกนั้น ไม่ใช่แผ่นดินซึ่งมีพื้นที่ตายตัว และไม่ใช่เขตต่อเนื่องถึงกันเหมือนดาวเคราะห์อย่างโลกเรา แต่นิมิตแห่งสภาพแวดล้อมเช่นความเป็นป่าเขา ลำธาร ต้นไม้ เปลวไฟ บ้านเรือน ปราสาทราชวัง พอจะเปรียบเทียบได้กับที่เห็นๆในโลกเรา เพียงแต่มีความหยาบและความประณีตผิดแผกแตกต่างจากกันตามลำดับภพภูมิ


    อย่างไรก็ตาม จิตที่คิด จิตที่เห็นถูก จิตที่เห็นผิด จิตที่เสวยสุข จิตที่เสวยทุกข์ แม้เทียบน้ำหนักแล้วห่างชั้นกันเพียงใด ก็สามารถอนุมานเอาได้จากจิตแบบมนุษย์นี้ ฉะนั้นการชี้เน้นเข้ามาที่สภาพแห่งจิตย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกสัมผัสถึงภพภูมิต่างๆได้มากกว่าการกล่าวถึงรูปทรงหรือสถาปัตยกรรมของเคหสถานในภพอื่นกันตรงๆ


    สัตว์ในแต่ละภพภูมิจะเห็นว่าทั้งโลกมีแต่พวกของเขา และรู้สึกว่าไม่มีสิ่งอื่นสำคัญกว่าพวกของเขา ยกตัวอย่างง่ายที่สุดคือสัตว์ในภพมนุษย์ คือพวกเรานี่เอง ถึงแม้จะร่วมอาศัยในดาวเคราะห์ดวงเดียวกันกับสัตว์ในภพอื่น ก็จะมองไม่เห็น ทั้งเปรตและเทวดา หนักไปกว่านั้นคือแม้แต่เหล่าเดรัจฉานที่วิ่งกันให้เกลื่อน บางลัทธิยังอุตส่าห์สร้างความเชื่อว่าพวกมันไม่มีจิตวิญญาณ หรือเป็นเพียงวัตถุที่เกิดมาให้มนุษย์กัดกินโดยเฉพาะ


    การไร้ความสามารถเห็นสัตว์จุติและอุบัติด้วยแรงกรรม การไร้ญาณหยั่งรู้ว่าภพภูมิอื่นมี โลกหน้ามี อดีตชาติมี ล้วนแล้วแต่ตีกรอบ ครอบมุมมองของพวกเราให้คับแคบจำกัด มีการถกเถียงกันที่โน่นที่นี่ว่าตายแล้วไปเกิดต่อหรือดับสูญ ทั้งๆที่เหล่าวิญญาณกำลังทะลักเข้าทะลักออก แลกเปลี่ยนหมุนเวียนจากฟากต่างๆไปสู่ฟากต่างๆอยู่ทุกวินาที แม้แต่มนุษย์กับเดรัจฉานก็มีการแลกฝั่งกันที่โน่นที่นี่อยู่ตลอดไม่ขาดสาย มนุษย์ตายกันวินาทีละประมาณ ๒ คน เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละนาทีมีคนกลายร่างเป็นสัตว์กันทั้งหมดกี่ราย!


    ความไม่รู้ ความไม่เห็น ล้วนเป็นความมืดทึบที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งเสียกว่าก้นลึกสุดของถ้ำ คนส่วนใหญ่เริ่มใช้เหตุผลกันออกมาจากความไม่รู้ และทะนงหลงยึดเหตุผลของตนว่าเป็นสิ่งน่าเลื่อมใส ส่วนใหญ่คนที่ได้ข้อสรุปจากเหตุผลของตนเองว่าชาติหน้าไม่มี ชาติก่อนไม่มี ผลกรรมไม่มี จะเป็นพวกที่ทำทุกสิ่งได้ตามอำเภอใจ กิเลสสั่งให้ทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องกลัวผลกรรม ไม่ต้องละอายต่อบาปใดๆทั้งสิ้น


    ขอเพียงศึกษาและฝึก ‘วิชารู้ตามจริง’ ของพระพุทธเจ้า จิตจะเหมือนแสงสว่างส่องเข้าไปเห็นที่มืดเดิม เริ่มตั้งแต่อาณาบริเวณที่เราแต่ละคนอาศัยอยู่นี่เอง และสามารถเห็นได้ว่าภพภูมิใหม่อาจฉายเงาได้ตั้งแต่ขณะยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ทีเดียว


    อย่างเช่นคนที่ตระหนี่ถี่เหนียว ละโมบโลภมาก คิดแต่จะแสวงประโยชน์เข้าตัว จะมีเงามืดก่อตัวขึ้นเหมือนหลุมดำที่คอยดึงดูดเอาความชั่วร้ายทั้งหลายเข้าหาตัว แม้แกล้งทำดีมีเมตตา กระแสจิตก็จะไม่แผ่ผายออกทำความรู้สึกอบอุ่นใจให้แก่คนใกล้ชิดได้สักเท่าใด บางครั้งเขาอาจรู้สึกอึดอัด แต่ก็ไม่สนใจเพราะกิเลสสั่งให้สนใจแต่การกอบโกยท่าเดียว


    แม้ขณะเป็นมนุษย์เขาร่ำรวยจากการคดโกง แต่ผู้มีทิพยจักขุย่อมเห็นความร่ำรวยของเขาเป็นเพียงภพหลอกตา เพราะภพจริงที่จิตเขาก่อขึ้นนั้นคือความยากจนข้นแค้น เขาสร้างโซ่ตรวนรัดตนเองไว้กับดินแดนแห้งแล้งไร้ความอบอุ่นไว้ให้ตัวเองได้อยู่อาศัย เขาจะเป็นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย หันหน้าไปหาความช่วยเหลือจากทางใดก็จะถูกปิดกั้นจากทางนั้น


    การขาดแคลนน้ำใจต่อเพื่อนร่วมโลกก็คือการสร้างภพที่ขาดแคลนความชุ่มเย็นต่อตนเอง แม้จิตวิญญาณในปัจจุบันก็แห้งแล้งเหมือนดอกไม้ขาดน้ำ ขอเพียงมีน้ำใจ มีความคิดสละ ยิ่งมากเท่าไหร่ ใจจริงก็ยิ่งรินเมตตาออกมาเท่านั้น กระแสความรู้สึกที่ผายออกกว้างนั้นเองคือภพแห่งความสบายไม่ขัดสนในเบื้องหน้า


    หรืออย่างเช่นคนที่ปราศจากศีล ไม่มีความซื่อสัตย์ ไร้ความอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุให้กระทำผิด จะมีเงามืดทาบทับจิตวิญญาณของเขาเหมือนยกกำแพงหนาทึบขึ้นตั้งบังแสงสว่าง เรื่องที่น่าจะรู้ได้ด้วยสามัญสำนึกว่าดี กลับเห็นเป็นของเลว แต่ที่ชัดเจนว่าเลว กลับเห็นเป็นของดี ฤทธิ์ของกิเลสสามารถกลับจิตให้เห็นนกเป็นไม้ เห็นไม้เป็นนก ทำจิตให้เห็นดำเป็นขาว เห็นขาวเป็นดำได้อย่างเหลือเชื่อ


    แม้ขณะเป็นมนุษย์เขาสะสวยหรือหล่อเหลาจากบุญเก่า หรือจากการเสริมแต่งด้วยศัลยกรรม แต่ผู้มีทิพยจักขุย่อมเห็นความสวยหรือหล่อของเขาเป็นเพียงภพหลอกตาชั่วคราว เพราะภพจริงที่จิตเขาก่อขึ้นนั้นคือความหม่นหมอง ปราศจากสง่าราีศี ดูไม่น่าชื่นตาชื่นใจเหมือนเปลือกนอกที่ห่อหุ้มอยู่ แม้ตัวเขาเองจะทะนงในรูปลักษณ์ที่ดึงดูดเพศตรงข้ามได้ แต่ก็จะไม่ปลื้มใจกับความอัปลักษณ์ที่ฉายออกมาจากภายใน เป็นที่รู้อยู่แก่ใจตนเองเลย


    การขาดสง่าราศีของศีลก็คือการสร้างภพที่ขาดความงามสะอาดตา แม้จิตวิญญาณในปัจจุบันก็มอมแมมเหมือนคนตกลงไปในบ่อโคลน ขอเพียงมีจิตใจใสสะอาด มีความคิดซื่อ ยิ่งมากเท่าไหร่ ใจจริงก็ยิ่งปราศจากมลทินเท่านั้น กระแสความรู้สึกที่หมดจดงดงามนั้นเองคือภพแห่งความดูดีไม่มีที่ติในเบื้องหน้า


    ธรรมดาคนส่วนใหญ่จะครึ่งดีครึ่งร้าย จะไม่มีหลุมดำดึงดูดความชั่วร้ายเข้าสู่ตัวชัดเจนขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีกระแสธารแห่งความเมตตาแผ่ผายออกมาล้นหลาม จึงเป็นเรื่องดูยาก ตัดสินยากสำหรับคนธรรมดาทั่วไปที่ปราศจากญาณ หรือแม้กระทั่งผู้มีญาณเบื้องต้นที่ไม่ถึงระดับทิพยจักขุ ก็ไม่อาจสัมผัสได้แน่นอนว่าผู้ใดมีน้ำหนักเอนเอียงไปทางไหน


    และแม้แต่ผู้มีทิพยจักขุซึ่งเห็นภพอันเป็นที่ไปของใครสักคนแจ่มชัด เพราะราศีสวรรค์แจ่มจ้าออกมาดูเรืองโรจน์โชติช่วง ก็ไม่อาจทำนายชนิดเอาคอเป็นประกันว่าใครคนนั้นจะต้องพุ่งขึ้นสวรรค์อย่างแน่นอน เนื่องจากภพของจิตเคลื่อนได้เรื่อยๆ วันนี้ชอบทำความดี วันหน้าอาจเคลื่อนไปชอบทำความชั่วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว วันนี้ทำสมาธิได้ถึงฌาน วันหน้าอาจเคลื่อนหล่นลงมาเป็นคนฟุ้งซ่านสติแตก เพราะไปทำกรรมบางอย่าง เช่นอวดโอ้โอหัง ลองดีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปทั่ว อย่างนี้ก็มีให้เห็นมาก


    โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยกับดักหลุมดำดึงดูดผู้คนให้ลงต่ำ ทั้งสื่อลามก ทั้งสงครามฆ่าฟัน ทั้งการแข่งขันแย่งความสำคัญกัน จึงไม่น่าสงสัยว่าความรู้ความเห็นของคนทั่วไปทำไมวิปริตผิดเพี้ยนกันใหญ่บางทีเอาโจรมาเป็นพระเอก บางทีคนดีเหนียมอายกับการทำดี บางทีการทำเรื่องน่าละอายกลายเป็นการพิสูจน์ความใจถึง ภพของคนส่วนใหญ่จึงเป็นภพที่ชั่ว โดยไม่รู้ตัวว่าจิตของตนยึดติดอยู่กับภพที่ชั่ว เพราะสภาพแวดล้อมทั้งมวลพากันตะล่อมหลอกว่าภพที่ชั่วคือภพปกติของคนทั่วไป


    ต่อเมื่อรู้จักพุทธศาสนา ศึกษาวิชา ‘รู้ตามจริง’ ของพระพุทธเจ้า ก็จะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอะไรคือกุศล เป็นธรรมชาติด้านสว่าง มีความรุ่งเรือง เพื่อความสุขสบาย อะไรคืออกุศล เป็นธรรมชาติด้านมืดมีความอับทึบ เพื่อความทุกข์ร้อน จึงค่อยสามารถดึงตัวเองออกมาจากหลุมดำต่างๆที่ตนติดหล่มอยู่ได้ทีละเปลาะ
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    กำเนิด ๔ และคติ ๕


    ภพน้อยใหญ่นั้นมีมากมายเหลือคณานับ และแม้วิธีอุบัติขึ้นในภพภูมิทั้งหลายก็ผิดแผกแตกต่างกัน พระพุทธเจ้าจำแนกความต่างอันสลับซับซ้อนให้เป็นของง่าย โดยแบ่งกำเนิดออกเป็น ๔ วิธี และคติออกเป็น ๕ สถาน


    กำเนิด ๔ รูปแบบวิธีมีดังนี้
    ๑) อัณฑชะกำเนิด สัตว์เกิดโดยการชำแรกเปลือกแห่งฟองไข่
    ๒) ชลาพุชะกำเนิด สัตว์เกิดโดยชำแรกไส้ (ในมนุษย์หมายถึงมดลูก)
    ๓) สังเสทชะกำเนิด สัตว์เกิดในปลาเน่า ในซากศพเน่า ในขนมบูด หรือในน้ำครำ ในเถ้าไคล (คือในของสกปรกทั้งหลาย)
    ๔) โอปปาติกะกำเนิด เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก (ผุดเกิดขึ้นเต็มตัวโดยมิได้อาศัยทางออกอื่น)


    ส่วนคติหรือที่ไปนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าท่านกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ ทราบชัดว่าผู้ใดปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ท่านสามารถเล็งเห็นด้วยทิพยจักขุอันล่วงจักษุของมนุษย์ ว่าผู้นั้นจะเข้าถึงคติที่เป็นไปได้ ๕ สถาน ดังนี้


    ๑) วิสัยนรก
    ทั้งพระสาวกผู้มีทิพยจักขุในอดีตและปัจจุบัน ได้ใช้คำบรรยายตรงกันโดยมิได้นัดหมายคือเป็นสถานที่ที่ ‘แออัดยัดเยียด’ กันระหว่างสัตว์นรกทั้งปวง ถ้าประมาณไม่ถูกก็ขอให้นึกถึงเหล่าหนอนไหนที่รุมเจาะไชซากศพ แม้จะมีปริมาณศพนับล้านร่าง ก็ยังไม่พอรองรับเหล่าหนอนที่มารุมไชกันเอาเลย! ผู้มีทิพยจักขุย่อมเห็นสังสารวัฏโดยความเป็นทุกข์ก็เพราะสัตว์นรกนั้นมีมากกว่าภพอื่น ทำนองเดียวกับที่โลกนี้ปรากฏว่ามีคนโง่มากกว่าคนฉลาดนั่นเอง เมื่อโง่เรื่องกรรมเรื่องเดียว ย่อมเป็นผู้ส่งตนไปนรกได้ง่ายดายนัก


    สภาพความเป็นอยู่ในนรกนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสเปรียบไว้กับสภาพที่พวกเราพอนึกออกคือเหมือนมีหลุมลึกยิ่งกว่าส่วนสูงของบุรุษหลุมหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยถ่านเพลิง ปราศจากเปลวปราศจากควัน ลำดับนั้นบุรุษผู้มีร่างอันความร้อนแผดเผาทั่วสรรพางค์ มีความเหน็ดเหนื่อยสะทกสะท้าน และกำลังหิวกระหาย มุ่งมาสู่หลุมถ่านเพลิงนั้น (ด้วยเส้นทางคือกรรมที่ทำมา)และได้ตกลงไปเสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อนโดยส่วนเดียว


    สรุปคือนรกคือสถานที่ที่เน้นความแผดเผา และแปลว่าวิบากกรรมอันส่งสัตว์เข้าไปอยู่ในนรกต้องหนักหนาสาหัสเอาการ ที่แน่นอนคือพวกทำอนันตริยกรรม ๕ ซึ่งกล่าวไว้แล้วในบทก่อน และอีกประเภทหนึ่งคือพวกที่ทำบาปเผ็ดแสบ คือทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่นไว้มาก และไม่มีบุญที่ช่วยประคองอยู่บาปกรรมที่มีน้ำหนักมหาศาลจึงถ่วงเขาร่วงลงทะลุถึงพื้นนรกานต์จนได้


    ๒) วิสัยเดรัจฉาน
    เราได้เห็นเดรัจฉานกลาดเกลื่อนบนดาวเคราะห์ดวงนี้ ซึ่งก็มีสภาพความเป็นอยู่หลากหลาย บางพันธุ์ได้ใกล้ชิดมนุษย์ เช่นสุนัขและแมว บางพันธุ์ก็อยู่ในป่าลึก เช่นช้างและเสือ


    เราเห็นด้วยตาเปล่าว่าสัตว์แต่ละสายพันธุ์มีสติปัญญาแตกต่างกัน มีอัตภาพที่น่าอึดอัดและปลอดโปร่งผิดแผกกัน แต่ในสายพระเนตรของพระพุทธองค์ผู้หยั่งรู้และสามารถเปรียบเทียบเดรัจฉานกับภพภูมิอื่นได้ทั่วถึง ท่านตรัสไว้ว่า เหมือนมีหลุมซึ่งลึกยิ่งกว่าส่วนสูงของบุรุษหลุมหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยอุจจาระ ลำดับนั้นบุรุษผู้มีร่างอันความร้อนแผดเผาทั่วสรรพางค์ มีความเหน็ดเหนื่อยสะทกสะท้าน และกำลังหิวกระหาย มุ่งมาสู่หลุมอุจจาระนั้น (ด้วยเส้นทางคือกรรมที่ทำมา) และได้ตกลงไปเสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อนยิ่ง


    สรุปคือกำเนิดเดรัจฉานนั้น โดยรวมแล้วโสโครกน่ารังเกียจ ชวนให้อึดอัดระอา วิบากกรรมอันส่งสัตว์เข้า
    ไปอยู่ในเดรัจฉานภูมิไม่หนักเท่าวิบากที่ส่งให้ถึงนรก แต่ก็ใกล้เคียง อาจจำแนกได้คร่าวๆว่าถ้าเป็นพวกโลภมาก จะไปเกิดในสายพันธุ์ที่อัตคัดขัดสนเรื่องอาหารและน้ำ ถ้าเป็นพวกโทสะแรง จะไปเกิดในสายพันธุ์ที่ต้องกัดกินกันเองหรือแย่งชิงอาหารกันด้วยความดุร้าย ส่วนถ้าเป็นพวกที่ตายขณะมีโมหะครอบงำคือหลงมาก แต่ยังมีบุญเก่าประคับประคองอุดหนุน ก็อาจได้มาเป็นหมาแมวน่ารักที่มีคนเอ็นดูชุบเลี้ยง


    ๓) วิสัยเปรต
    เปรตในความรับรู้ของคนไทยส่วนใหญ่มีเพียงจำพวกที่ร่างสูงโย่ง ปากเล็กจู๋ และมีความหิวกระหายเป็นอาจิณ ความจริงแล้วเปรตยังมีมากจำพวกกว่านั้นเยอะ และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีสภาพน่าทุเรศทุรังสถานเดียว บางพันธุ์มีภาพหลอกสูงส่งกว่ามนุษย์เสียอีก คือบางกาลปรากฏโดยความเป็นเทพ
    แต่บางกาลก็ปรากฏละม้ายสัตว์ในนรกภูมิชั้นต้นๆ


    สำหรับความลำบากลำบนของพวกเปรตนั้น โดยรวมพระพุทธองค์ตรัสเปรียบว่า เหมือนต้นไม้เกิดในพื้นที่ลุ่มๆดอนๆไม่ราบเสมอกัน มีใบอ่อนและใบแก่อันเบาบาง มีเงาอันโปร่ง ลำดับนั้นบุรุษผู้มีร่างอันความร้อนแผดเผาทั่วสรรพางค์ มีความเหน็ดเหนื่อยสะทกสะท้าน และกำลังหิวกระหาย มุ่งมาถึงต้นไม้นั้น (ด้วยเส้นทางคือกรรมที่ทำมา) แล้วนั่งหรือนอนใต้ร่มเงาต้นไม้นั้นเสวยทุกขเวทนาเป็นอันมาก


    สรุปคือกำเนิดแห่งเปรตนั้น โดยรวมแล้วสภาพแวดล้อมไม่ได้เผาลน และมิได้สกปรกโสโครกเท่านรกและเดรัจฉาน แต่ก็มีความไม่แน่นอน บางจุดบางเวลาอาจเร่าร้อนขึ้นได้ (เช่นที่พระพุทธองค์เปรียบเหมือนป่าโปร่งที่มีใบบังแดดฝนเพียงเบาบาง) หรืออาจไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวอยู่ด้วยอัตภาพของตนเอง วิบากกรรมอันส่งสัตว์เข้าไปอยู่ในภูมิเปรตไม่หนักเท่าวิบากที่ส่งให้ถึงเดรัจฉาน แต่ก็ใกล้เคียงคือยังอาจมีความรู้สึกถึงอัตภาพที่สูงส่งคล้ายมนุษย์อยู่ แต่ก็เสวยสุขแบบมนุษย์ไม่ได้อีกแล้ว


    ตัวอย่างเช่นเปรตบางพันธุ์นั้นน่าสงสาร เพราะความจริงมีบุญมาก แต่ก่อนขาดใจตายเกิดผิดพลาดทางใจ เหมือนพระธุดงค์บางรูป ท่านก็อยู่ในกรอบวินัยพอสมควร แต่ประพฤติธรรมไม่ได้ถึงระดับมีคุณวิเศษ เช่นมรรคผลและฌานสมาบัติ ขณะใกล้มรณภาพท่านหิวกระหายจัด ไม่มีอาหารและน้ำตกถึงท้อง จิตไม่มีที่ยึดเหนี่ยวอันเป็นกุศลอื่น แต่ปักแน่วเข้าไปในความกระหายอยากอย่างรุนแรงเลยทำให้เกิดภพแห่งการแสวงหาอาหาร เดินท่อมๆอยู่ในราวป่าด้วยความนึกว่าท่านยังเป็นพระกำลังออกบิณฑบาตวนไปเวียนมา อัตภาพยังมีเครื่องนุ่งห่มเป็นจีวรและบาตรเหมือนพระอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีไฟแผดเผา ไม่ได้มีของโสโครกมาแปดเปื้อนท่าน เพราะไม่ได้ก่ออกุศลกรรมหยาบช้าเอาไว้


    ๔) วิสัยมนุษย์
    มนุษย์ก็คือพวกเรานี่เอง กำลังมีตัวเป็นๆและลมหายใจเข้าออกอยู่สดๆร้อนๆนี่แหละ เรียกว่าภพมนุษย์ วิสัยมนุษย์


    ตัดเอาเพศพันธุ์ รูปร่างหน้าตา ฐานะ และสติปัญญาทิ้ง เอาเฉพาะสภาพแวดล้อมและอัตภาพความเป็นกายที่ผิวนอกแห้งสะอาดนุ่มนิ่มสบายตัวเหมือนอย่างนี้ เมื่อเทียบกับภพอื่นล่างๆลงไปพระพุทธเจ้าตรัสเปรียบว่า เหมือนต้นไม้เกิดในพื้นที่อันราบเสมอกัน มีใบอ่อนและใบแก่อันหนามีเงาร่มครึ้ม ลำดับนั้นบุรุษผู้มีร่างอันความร้อนแผดเผาทั่วสรรพางค์ มีความเหน็ดเหนื่อยสะทกสะท้าน และกำลังหิวกระหาย มุ่งมาถึงต้นไม้นั้น (ด้วยเส้นทางคือกรรมที่ทำมา) แล้วนั่งหรือนอนภายใต้เงาไม้นั้น เสวยสุขเวทนาเป็นอันมาก


    สรุปคือกำเนิดมนุษย์นั้น จัดว่าเป็นสุขแล้ว เหมือนคนกำลังเหนื่อย กำลังร้อน กำลังหิวกระหายได้มาพบที่ราบร่มรื่น มีป่าไม้ใบบัง กันแดดกันฝนได้อย่างดี ย่อมผ่อนคลาย หายล้า และยิ้มออกพอประมาณ แม้คนที่ได้รับความทุกข์จากเพศของตน รูปร่างหน้าตาของตน ฐานะของตน และสติปัญญาของตน ก็ควรทราบว่าเมื่อเปรียบกับภพภูมิอื่นที่ต่ำกว่านี้แล้ว ความเป็นมนุษย์ยังเหมือนที่พักกลางทางวิบากอันน่าชื่นชมกว่ากันมากนัก


    ) วิสัยเทวดา
    เทวดามีความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์ คือยังเสพสุขจากกามคุณ ๕ คือเห็นรูปอันยวนตา ได้ยินเสียงอันรื่นหู สูดกลิ่นหอมอันเร้าใจ ลิ้มรสอร่อยชวนน้ำลายไหล และแตะต้องเครื่องกระทบอันมีสัมผัสอ่อนนุ่มน่าพิสมัย


    ใครต่อใครอยากไปสวรรค์กัน เพราะเล่าลือว่าสำราญนัก หอมหวานยวนอารมณ์นัก งดงามบาดตาเร้าใจนัก ซึ่งก็สมควรแก่คำเล่าลือเหล่านั้น เพราะพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสเปรียบไว้ เหมือนปราสาทแห่งหนึ่งซึ่งมีเรือนยอด ฉาบทาแล้วทั้งภายในและภายนอก หาช่องลมมิได้ มีวงกรอบอันสนิท มีบานประตูและหน้าต่างอันหับปิดดีในเรือนยอดนั้น มีบัลลังก์อันลาดด้วยโกเชาว์ขนยาว (ผ้าทำด้วยขนแพะ) ลาดด้วยเครื่องลาดทำด้วยขนแกะสีขาว ลาดด้วยขนเจียมเป็นแผ่นทึบ มีเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด มีเพดานกั้นในเบื้องบนมีหมอนแดงวาง ณ ข้างทั้งสอง ลำดับนั้นบุรุษผู้มีร่างอันความร้อนแผดเผาทั่วสรรพางค์ มีความเหน็ดเหนื่อยสะทกสะท้าน และกำลังหิวกระหาย มุ่งมาสู่ปราสาทนั้น (ด้วยเส้นทางคือกรรมที่ทำมา) แล้วนั่ง หรือนอนบนบัลลังก์ในเรือนยอด เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว


    สรุปคือกำเนิดแห่งเทพนั้น จัดเป็นเขตแดนอันพึงถวิลถึงสำหรับสัตว์ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ ไม่ถึงกับเกินจินตนาการมนุษย์อย่างเรา เราเสพสุขในกามคุณ ๕ กันอย่างไร เทวดาก็เสพในทำนองเดียวกันนั้น เพียงแต่ว่ามีความประณีตกว่า มีความเย้ายวนกว่า มีรสอันเลิศกว่ากันอย่างเทียบไม่ได้ เช่นที่พระพุทธองค์ทรงเปรียบภพมนุษย์เหมือนป่าไม้ใบบังหนา ในขณะที่เปรียบภพเทวดาเหมือนปราสาทราชวังนั่นเลยทีเดียว


    ขอให้ทราบว่าวิสัยเทวดานี้ พระพุทธองค์ทรงเหมารวมตั้งแต่เทพในกามาวจรชั้นแรกๆตลอดทั่วไปจนถึงพรหมทั้งที่มีรูปและไม่มีรูป เพราะฉะนั้นปราสาทราชวังที่พระองค์ตรัสเปรียบว่าน่าชื่นมื่นยิ่งสำหรับคนกำลังเหนื่อย กำลังร้อน กำลังหิว ยังมีระดับชั้นซอยย่อยออกไปอีกมหาศาล เอาเป็นว่าพระองค์ท่านกรุณาเปรียบเปรยให้เป็นที่เข้าใจง่าย จินตนาการตามได้แก่พวกเราเพียงคร่าวเท่านั้น
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    วิธีชี้ทางสวรรค์แก่ผู้ป่วยใกล้ตาย
    ตั้งแต่โบราณกาลนานมา พุทธศาสนิกชนในไทยปรารถนาจะได้รับคำตอบประการหนึ่งอย่างยิ่งยวด คือเมื่อตัวเองใกล้จะตาย หรือเมื่อญาติอันเป็นที่รักเจ็บหนัก ควรจะช่วยเหลือกันอย่างไรเป็นการส่งให้ไปดี


    วิธีที่นิยมกันมากคือให้คนตายท่องไว้ว่า ‘พระอรหันต์ๆๆ’ คือจะให้กอดพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสไว้แน่นหนา ซึ่งก็นับว่าใช้ได้ถ้าผู้กำลังจะตายเข้าใจว่าพระอรหันต์เป็นอย่างไร แต่ปัญหาคือคนเราถ้าทั้งชีวิตไม่เคยศึกษา ไม่เคยรู้จักพุทธธรรม จู่ๆจะให้ท่อง ‘พระอรหันต์ๆๆ’ แล้วไปดีนั้นยาก เพราะจิตไม่รู้ว่าพระอรหันต์คือใคร บรรลุธรรมอันใดมา จึงเปรียบเหมือนเทวดายื่นเข็มทิศให้คนหลงป่าโดยปราศจากการแถมคู่มือใช้งาน แม้คนหลงป่าคว้าเข็มทิศไว้ได้ แต่ใช้เข็มทิศไม่เป็น ไม่รู้ว่าเข็มทิศคืออะไร ทำงานอย่างไร อย่างนี้ก็ต้องกลายเป็นผู้หลงทางต่อไปอยู่ดี


    มาฟังธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบาใจ ๔ ประการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีกว่า เมื่อมีกษัตริย์องค์หนึ่งเสด็จไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ และได้กราบทูลถามว่าอุบาสกผู้มีปัญญาพึงกล่าวสอนผู้ป่วยซึ่งมีปัญญาด้วยกัน แต่กำลังได้เสวยทุกข์จากการเป็นไข้หนัก (ใกล้ตาย) ว่าอย่างไรดี พระพุทธองค์ตรัสให้สอนอย่างนี้คือ จงเบาใจเถิดว่าเธอมีความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ มีศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท วิญญูชนสรรเสริญ มีศีลอันอยู่เหนือความทะยานอยากที่ผิดและความเห็นผิดทั้งปวงแล้ว และเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต


    อันนี้หมายความว่าถ้าใกล้ตายอยู่ มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อย่างมั่นคง กับทั้งมีความเห็นชอบในเรื่องคุณและโทษ ในเรื่องบุญและบาป และน้อมใจรักษาศีลได้สะอาดบริสุทธิ์จนจิตไม่แส่ส่ายกังวลไปในบาปทั้งหลายแล้ว ก็ย่อมเกิดความตั้งมั่น มีความเบาใจเป็นธรรมดาว่าจะจากไปสู่ความปลอดภัย


    นอกจากนั้นพระพุทธองค์ยังตรัสว่าหลังจากปลอบเช่นนี้แล้ว ให้ถามผู้ป่วย (ในกรณีที่พ่อแม่ยังมีชีวิต) ว่ายังมีความห่วงใยในมารดาและบิดาอยู่หรือไม่? ถ้าหากผู้ป่วยตอบว่ายังห่วงใย ก็ให้กล่าวว่าทุกคนต้องตายเป็นธรรมดาเหมือนกับเรา ถึงเราใส่ใจห่วงใยหรือไม่ห่วงใยในมารดาและบิดา พวกท่านก็จะต้องตายไปอยู่ดี ฉะนั้นขอให้ละความห่วงใยในมารดาและบิดาเสียเถิด


    หากเขารับว่าสามารถละความห่วงใยในมารดาและบิดาได้แล้ว พึงถามเขาอีก (ในกรณีที่บุตรและภรรยายังมีชีวิต) ว่ายังมีความห่วงใยในบุตรและภรรยาอยู่หรือไม่? ถ้าหากผู้ป่วยตอบว่ายังห่วงใย ก็ให้กล่าวว่าทุกคนต้องตายเป็นธรรมดาเหมือนกับเรา ถึงเราใส่ใจห่วงใยหรือไม่ห่วงใยในบุตรและภรรยาพวกเขาก็จะต้องตายไปอยู่ดี ฉะนั้นขอให้ละความห่วงใยในบุตรและภรรยาเสียเถิด


    หากเขารับว่าสามารถละความห่วงใยในบุตรและภรรยาได้แล้ว พึงถามเขาอีกว่ายังมีความห่วงใยในกามคุณ ๕ อันเป็นของมนุษย์อยู่หรือ? (เช่นยังอยากเสพกาม ยังอยากเห็นสาวสวยหรือหนุ่มหล่อ ยังอยากฟังเพลงโปรดจากสุดยอดเครื่องเสียง ฯลฯ) ถ้าหากผู้ป่วยตอบว่ายังห่วงใย ก็ให้กล่าวว่ากามอันเป็นทิพย์ยังดีกว่า ประณีตกว่ากามอันเป็นของมนุษย์ ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากกามอันเป็นของมนุษย์แล้วน้อมจิตไปในเทวดาชั้นต่างๆเถิด (คือเล่าพรรณนาตามที่พระพุทธองค์ตรัสยืนยัน ดังแสดงไว้แล้วในหัวข้อก่อน ว่าความสุขระดับเทพยดานั้นเหนือกว่าความสุขแบบมนุษย์เพียงใด ให้เขากำหนดใจเชื่อมั่นไว้ว่าการเสพกามในภพมนุษย์ยังสุขน้อยไป กายอันเป็นทิพย์ชวนให้เสพสมยิ่งกว่านั้น รูปเสียงบรรดามีในโลกที่น่าโปรดปรานที่สุดยังน่าพิสมัยน้อยไป รูปเสียงอันเป็นทิพย์ยังน่าอภิรมย์ยิ่งกว่านั้นมากนัก)


    หากเขารับว่าสามารถละความห่วงใยในกามคุณ ๕ อันเป็นของมนุษย์ได้แล้ว พึงกล่าวว่าความสุขแม้ที่เหนือกว่ากามคุณ ๕ ในภพเทวดายังมี คือความสุขจากการเข้าสมาธิฌานในพรหมโลก แต่แม้จะได้เป็นถึงรูปพรหมและอรูปพรหมก็ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ยังนับเนื่องในความหลงผิดยึดมั่นถือมั่นว่าภพนั้นๆเป็นตน (หรือตนเป็นอมตะ) ขอจงพรากจิตให้ออกจากเทวโลกและพรหมโลก แล้วนำจิตเข้าไปในความดับจากการยึดมั่นถือมั่นเถิด


    หากเขารับว่าสามารถถอนความยึดมั่นแม้ในเทวโลกและพรหมโลกแล้ว และได้นำจิตเข้าไปในความดับจากอาการยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอะไรๆแล้ว เช่นนั้นพระพุทธองค์ตรัสว่าท่านไม่กล่าวถึงความต่างอะไรกันระหว่างผู้มีจิตพ้นแล้วอย่างนี้ กับภิกษุผู้พ้นแล้วตั้งร้อยปี เพราะต่างก็พ้นด้วยวิมุตติเหมือนกัน


    ขอให้ทราบว่าช่วงจังหวะใกล้ตายนั้นเป็นโอกาสทอง จิตกำลังหาทิศทางอันเป็นที่ไป ไม่ค่อยอาลัยสิ่งที่เห็นว่าตนกำลังจะต้องทิ้งไว้ในโลกนี้อีกแล้ว จึงมีความหนักแน่นเป็นพิเศษ หากเราพูดเหนี่ยวนำเขาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแนะได้ล่ะก็ ไม่ใช่แค่คนป่วยหนักจะเข้าถึงสุคติ แต่อาจมีจิตปล่อยวางได้ถึงที่สุดจริงๆ!


    หากช่วงท้ายๆของผู้ป่วยสามารถเข้าใจธรรมะ สามารถยอมรับ สามารถเลื่อมใสศรัทธาเชื่อถือว่านิพพานเป็นของดี เป็นบรมสุขอันถาวรแล้ว ก็อาจสำทับลงไปตามแนวทางเปรียบเทียบคติต่างๆของพระพุทธองค์ คือกล่าวตามจริงว่านรกนั้นแผดเผา เดรัจฉานนั้นเน่าเหม็น เปรตนั้นลุ่มๆดอนๆ มนุษย์นั้นเริ่มสบาย ส่วนเทวดานั้นสุขจริง แต่ก็ไม่สุขได้ตลอด ผู้มีปัญญาย่อมพิจารณาเห็นภัยแห่งความไม่เที่ยงในคติต่างๆ และประมาณได้ว่าหากไม่หลุดพ้นไปจากวังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ก็ย่อมพลาดเข้าสักวันสมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ถ้าคิดจะท่องเที่ยวเกิดตายไปเรื่อยๆ การหลีกเลี่ยงนรกมิใช่วิสัยที่จะเป็นได้


    พระพุทธองค์ได้ตรัสสรุปไว้ชัดว่าความสุขระดับวิมุตติ คือหลุดพ้นจากความถือมั่นในภพทั้งปวงนั้นเป็นอย่างไร เราสามารถนำไปพรรณนาให้ผู้ป่วยใกล้ตายได้ฟังเพื่อความเลื่อมใสหนักแน่นขึ้น คือเปรียบแล้ว เหมือนสระโบกขรณี มีน้ำอันสะอาดใสเย็นอยู่ตลอด กับทั้งมีท่าอันดี น่ารื่นรมย์ และในที่ไม่ไกลสระโบกขรณีนั้นมีแนวป่าอันทึบ ลำดับนั้นบุรุษผู้มีร่างอันความร้อนแผดเผาทั่วสรรพางค์ มีความเหน็ดเหนื่อยสะทกสะท้าน และกำลังหิวกระหาย มุ่งมาถึงสระโบกขรณีนี้ทีเดียว เขาลงสนานกายและดื่ม ดับความกระวนกระวาย ระงับความเหน็ดเหนื่อยและความร้อนรุ่มเสียได้ แล้วจึงขึ้นไปนั่งหรือนอนในแนวป่านั้นเสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว เพราะกิเลสเครื่องหมักดองทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งในปัจจุบัน


    สรุปว่าวิมุตติสุขนั้น เป็นสุขเดียวที่ดับความกระจายได้สนิท ขอให้สังเกตการเปรียบเทียบของพระพุทธองค์ว่าวิมุตติหรือความหลุดพ้นจากกิเลสนั้น เป็นสถานที่เดียวที่มีน้ำให้ดื่มกินดับกระหาย ดับความกระวนกระวาย ดับความร้อนรุ่มได้สนิท


    ขอเพียงผู้ป่วยหนักใกล้ตายมีความเลื่อมใสอย่างนี้ ปล่อยวางภพภูมิทั้งหลายด้วยปัญญาอันถูกต้องอย่างนี้ แม้จิตขาดกำลังเพียงพอจะเข้าถึงพระนิพพานอันเป็นความว่างจากภาวะทั้งปวง สงบจากการปรุงประกอบทุกข์ทั้งปวง อย่างน้อยที่สุดก่อนถึงวาระแห่งจุติจิต เขาย่อมเห็นนิมิตหมายอันเป็นมงคลเช่นเห็นองค์พระปฏิมาอร่ามเรือง หรือเห็นพระพุทธนิมิตเสมือนจริง หรือได้ยินเสียงเทศนาธรรมเพื่อความปล่อยวาง กระทำจิตให้แน่วไปในความเป็นมหากุศล เมื่อจิตสุดท้ายดับลง ย่อมเกิดจิตใหม่สืบต่อในสุคติภูมิอย่างแน่แท้ ไม่มีทางเลือนหลงพลัดตกลงไปสู่อบายภูมิได้เลยด้วยประการใดๆทั้งสิ้น


    บทสำรวจตนเอง
    ๑) เราเป็นผู้มีความอุ่นใจ สบายใจ มั่นใจ ว่าตนเองพรักพร้อมในการไปสู่โลกอื่นที่ดีกว่าหรือไม่?
    ๒) กรรมที่ทำเป็นประจำอันใด สร้างความอุ่นใจ สบายใจ มั่นใจ ว่าเรากำลังจะไปสู่สุคติ?
    ๓) กรรมที่ทำเป็นประจำอันใด สร้างความกังวล สับสน กลับไปกลับมา ว่าเราอาจมีทุคติเป็นที่ไป?
    ๔) เราเป็นผู้พร้อมจะละกรรมอันเป็นเหตุให้ไปทุคติ และพร้อมจะเพิ่มกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสุคติหรือไม่?
    ๕) เราพร้อมจะตายพร้อมกับความรู้สึกศรัทธาในพระพุทธเจ้าหรือไม่?


    สรุป
    มีหลายสิ่งที่เราไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริง แต่มันก็เป็นเรื่องจริงมาชั่วกัปชั่วกัลป์ ดังเช่นหลายคืนเราไม่อยากตกอยู่ในห้วงแห่งฝันร้าย แต่เมื่อเหตุแห่งฝันร้ายมีอยู่ เราก็ต้องนอนหลับอย่างทุกข์ทรมานโดยไม่อาจขัดขืนจนกว่าจะตื่น ชีวิตหลังความตายก็เช่นกัน แม้เราเชื่อว่ามันไม่มีด้วยความทะนงตน หรือแม้เราภาวนาขออย่าให้มันมี หรือแม้เราสามารถรณรงค์ให้คนทั้งโลกเชื่อว่าชาติหน้าเป็นนิทานเหลวไหลแต่ขอเพียงมีเหตุให้มันมี อย่างไรมันก็ต้องมี


    มันจะมีหรือไม่มี ทางที่ดีไม่ประมาทไว้ก่อน ดังที่พระพุทธองค์ทรงชี้ว่าถ้าเราทำดีแล้ว ย่อมเป็นสุขในปัจจุบัน และถ้าชาติหน้ามี ก็จะต้องไปดีด้วย เรียกว่าสำเร็จประโยชน์ทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วยการเพียรละความชั่วและสั่งสมความดีเข้าไว้ จะเป็นประกันชั้นเลิศสุด


    การเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิในแต่ละครั้งอาจหมายถึงการแก้ตัวใหม่จากที่เคยผิดพลาด หรืออาจหมายถึงการทดสอบซ้ำว่าเราดีทนแค่ไหน ธรรมชาติจะลบความจำเราเกี่ยวกับภพเดิมๆให้สูญสิ้นไป แต่กรรมที่ทำเป็นประจำจะทำให้เราเคยชินอยู่กับนิสัยเดิมๆ การจะเปลี่ยนแปลงตนเองได้จำเป็นต้องพบกับผู้รู้แจ้งแทงตลอดในกรรมวิบากทั้งปวงเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นการปลูกฝังความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระศาสดาจึงเป็นกุศโลบายที่ดีในการเดินทางไกล ใครสามารถอุ่นใจได้ว่าเราจะตายพร้อมกับศรัทธาในพระพุทธองค์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้พกเอาเสบียงสำคัญที่สุดติดตัวไปด้วยแล้ว ยากแล้วที่จะพลัดไปมีครูผู้สอนสั่งเรื่องกรรมวิบากผิดๆ


    สำคัญคือการปลูกฝังศรัทธาในพระพุทธองค์นั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าลงมือปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ทั้งในแง่ของการฝึกเสียสละ รู้จักให้ทานเพื่อละความตระหนี่ และทั้งในแง่ของการบำเพ็ญตนเป็นผู้ปลอดโปร่งจากบาปอกุศลทั้งปวงรักษาศีลจนกลายเป็นที่รักยิ่งกว่าสิ่งยั่วยุใดๆ เมื่อประสบสุขทางใจเต็มอิ่มแล้ว ก็จะบังเกิดความเลื่อมใสว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนความไม่เบียดเบียน เป็นผู้ชี้ทางตรง ทางถูกทางไปสู่สวรรค์นิพพานได้จริง เมื่อนั้นศรัทธาจะไม่คลอนแคลนและเราจะเป็นผู้มีคติที่ไปอันประเสริฐเสมอ
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    สรุปทุติยบรรพ

    [​IMG]



    สมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์นั้น เมื่อภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือ อุบาสิกา คนใดคนหนึ่งทำกาละ พระองค์ท่านมักจะตรัสพยากรณ์ว่าใครได้ไปเกิดใหม่ในภพใด เมื่อมีผู้ถามว่าพระองค์ทรงมีพุทธประสงค์อย่างไรในการพยากรณ์เช่นนั้น ท่านก็ตรัสตอบว่า ตถาคตพยากรณ์สาวกทั้งหลายผู้ทำกาละไปแล้ว ว่าใครเกิดใหม่ในภพใดเช่นนี้ จะเพื่อให้คนพิศวงก็หามิได้ จะเพื่อเกลี้ยกล่อมคนก็หามิได้จะเพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและคำสรรเสริญก็หามิได้ จะเพื่อให้เราเป็นที่รู้จักของมหาชนก็หามิได้ ดูก่อนอนุรุทธะ มีกุลบุตรจำนวนหนึ่งจะเกิดศรัทธามาก เกิดความยินดีมาก เกิดความปราโมทย์มากหลังจากได้ฟังคำพยากรณ์หนึ่งๆแล้ว และจะน้อมจิตเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้างนี่คือประสงค์ของเรา ที่พยากรณ์ก็เพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่กุลบุตรเหล่านั้นสิ้นกาลนาน


    การได้ยินได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับสุคติเพื่อเป็นศรัทธา เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เชื่อมั่นในหนทางไปสู่สุคติ คือก่อกรรมดี ละความตระหนี่ รักษาความสะอาดของจิต ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นใจและเชื่อมั่นในการชี้แนะของพระพุทธเจ้ายิ่งๆขึ้น เพราะมหากุศลจิตย่อมให้ความรู้สึกปลอดภัยอันเป็นที่รู้อยู่กับตนเอง ผู้มีความพรักพร้อม ไม่ถูกกลุ้มรุมด้วยความตระหนี่ ไม่แปดเปื้อนมลทินจากการละเมิดศีล ย่อมมีความกล้าเผชิญความตาย เพราะมั่นใจเกินมนุษย์อื่นๆว่าถ้าภพหน้ามีเขาต้องได้ไปดีกว่าที่เป็นอยู่ในภพมนุษย์แน่ๆ


    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ถ้ารักตัวเองแล้ว ก็ไม่ควรก่อบาปทั้งปวง เพราะความสุขนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทำชั่วจะได้พบโดยง่าย เมื่อบุคคลถูกมรณะครอบงำ ละทิ้งภพมนุษย์นี้ไป ก็มีอะไรเป็นสมบัติของเขาเล่า? เขาย่อมพาเอาอะไรไปด้วยเล่า? อะไรเล่าจะติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตนไป? ผู้ที่มาเกิดแล้วจำจะต้องตายในโลกนี้ ไม่ว่าจะทำกรรมอันใดไว้ ทั้งที่เป็นบุญและเป็นบาป บุญและบาปนั้นแลเป็นสมบัติของเขา เขาจะพาเอาบุญและบาปนั้นไป บุญและบาปนั้นย่อมติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตนไป ฉะนั้นทุกคนควรทำกรรมอันดีสะสมไว้เป็นสมบัติในปรโลก บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ตติยบรรพ – ยังอยู่แล้วควรทำอะไรดี ?

    ในบรรพก่อน คงจะเห็นว่าใครกำลังเสวยกรรมดีหรือกรรมร้ายก็ดูง่ายๆจากภพภูมิที่ไปเกิด การตกไปอยู่ในชั้นไหนแดนใด คือภาพใหญ่แทนตัวได้ชัดเจน อย่างเช่นตอนนี้กำลังเป็นมนุษย์ก็แปลว่ากำลังเสวยวิบากดีอยู่ แม้เถียงว่าจะดีได้อย่างไรลำบากจะตายอยู่แล้ว อันนั้นก็ต้องไปเทียบกับการอยู่ในนรกหรืออบายภูมิอื่นๆ แล้วจะเห็นว่า ‘ลำบากจะตาย’ ในโลกนี้ ดีกว่า ‘ตายจริงๆแล้วเข้าไปอยู่ในกรงขัง’ ที่กรรมชั่วเตรียมไว้ทำโทษเป็นไหนๆ


    เมื่อเริ่มเชื่อเรื่องภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิด และความจริงเกี่ยวกับกรรมวิบาก มีชาวพุทธจำนวนไม่น้อยที่เหมือนจะดูดายกับความเป็นอยู่ในชีวิตปัจจุบัน แล้วหันไปทุ่มเทกับการทำบุญ เรียกว่าตั้งหน้าตั้งตากอบโกยกุศลกันแบบโลภบุญเกินเหตุ


    ความจริงบุญไม่ได้มีเพียงการให้ทรัพย์เป็นทาน กิริยาอันเป็นทางมาแห่งบุญนั้น จำแนกแล้วก็มีอยู่มากมาย ดังเช่นหลักๆมีอยู่ ๑๐ อาการ ได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล การปฏิบัติธรรมภาวนา การประพฤติอ่อนน้อม การขวนขวายช่วยเหลือในกิจอันควร การให้ผู้อื่นมีส่วนในบุญของเราด้วยการบอกให้เขายินดีหรือเต็มใจมาช่วยเหลือ การมีน้ำจิตยินดีในบุญของผู้อื่น การฟังธรรมตามกาล การสั่งสอนธรรมด้วยจิตอนุเคราะห์ การทำความเห็นให้ถูกตรงทั้งเรื่องบุญบาปและการออกจากทุกข์


    กิริยาอันเป็นบุญที่สำคัญที่สุด และพิสูจน์ความมีลาภแห่งการเกิดเป็นมนุษย์อย่างที่สุด ก็ได้แก่บุญข้อสุดท้าย คือการทำความเห็นให้ถูกตรงทั้งเรื่องบุญบาปและการออกจากทุกข์ นี่เอง นับเริ่มจากการมองไกลไปข้างหน้า ทำความเข้าใจให้ดี มองให้เห็นด้วยปัญญาว่าแต่ละภพเป็นภาพใหญ่ เป็นฉากหนึ่งๆ ทุกฉากต้องมีจุดเริ่มต้น และทุกฉากต้องมีจุดจบ ก็จะเกิดภาพสรุปในจินตนาการว่าทุกสิ่งที่เราเห็น ทุกส่ำเสียงที่เราได้ยิน จะต้องแปรปรวนแล้วเสื่อมสลายหายหนไปหมด ไม่มีอะไรหลงเหลือตกค้างอยู่ได้เลย


    และเมื่อมองย้อนกลับมาเห็นภาพของการเกิดเป็นมนุษย์อย่างในบัดนี้ ความเป็นเพศอย่างนี้รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ฐานะความเป็นอยู่อย่างนี้ และระดับสติปัญญาอย่างนี้ ก็จะได้ข้อสรุปประการหนึ่งคือทั้งหมดนั้นคือ ‘ส่วนประกอบฉาก’ ซึ่งกรรมตกแต่งขึ้นให้ดูเล่นครู่หนึ่ง แล้วที่สุดก็ต้องล้มเลิกฉากนี้ไปราวกับไม่เคยมีมนุษย์อย่างเราเกิดมา ราวกับไม่เคยปรากฏรูปชายหญิง ราวกับไม่เคยมีหน้าตาน่ารักน่าชัง ราวกับไม่เคยยากจนหรือร่ำรวย และราวกับไม่มีใครเคยโง่หรือฉลาด เพราะในทันทีที่ใครสาบสูญไปจากโลก ความเป็นเขาคนนั้นก็ไม่ต่างจากรูปรอยความฝันหรือสายลมแสงแดดสำหรับตัวเขาเองเลย


    มาอยู่ในภพนี้ชั่วคราวก็จริง แต่ก็ได้ชื่อว่า ‘เป็นมนุษย์’ ในจังหวะที่จะ ‘พบพุทธศาสนา’ ซึ่งเป็นของหาได้ยาก ทั้งเป็นมนุษย์ด้วย ทั้งพบพุทธศาสนาด้วยนั้น ยากเย็นเพียงใดก็ขอให้ดูที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสอุปมาอุปไมยไว้


    เปรียบเหมือนมหาปฐพีนี้มีน้ำเป็นอันเดียวกัน บุรุษโยนแอกซึ่งมีช่องเดียวลงไปในมหาปฐพีนั้น ลมจากทิศตะวันออกพัดเอาแอกนั้นไปทางทิศตะวันตก ลมจากทิศตะวันตกพัดเอาไปทางทิศตะวันออก ลมจากทิศเหนือพัดเอาไปทางทิศใต้ ลมจากทิศใต้พัดเอาไปทางทิศเหนือ เต่าตาบอดซึ่งอาศัยในมหาปฐพีนั้น ต่อเมื่อล่วงร้อยปีมันจึงโผล่ขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง เธอทั้งหลายคิดว่ามันจะสอดคอให้เข้าไปในแอกมีช่องเดียวนั้นได้หรอกหรือ?


    หมายความว่าเมื่อเอาสิ่งที่ปรากฏได้ยากมาประจวบกับสิ่งที่ปรากฏได้ยาก ซึ่งเท่ากับความยากยกกำลังสองนั้น เทียบแล้วก็คือการที่สัตว์จะได้เป็นมนุษย์ด้วย พระพุทธเจ้าอุบัติในโลกด้วย และพระพุทธศาสนาของพระองค์รุ่งเรืองในโลกด้วย แต่ความไม่รู้ของพวกเราทำให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะพบกับพุทธศาสนา ซึ่งผิวนอกเบื้องแรกก็ไม่เห็นจะต่างจากศาสนาอื่นอย่างไร เพราะใครๆก็บอกว่าทุกศาสนาสอนให้คนทำดีกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยนี้ไม่ค่อยมีคนบอกว่าพุทธศาสนาสอนให้คนรู้ตามจริง ทั้งเรื่องที่มาที่ไปของเราเอง และทั้งเรื่องวิธีสร้างความปลอดภัยอย่างถาวรให้ตัวเองด้วย


    ส่วนสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ จะได้เร่งเร้าให้ทุกคนตระหนักว่า ‘ศักยภาพของมนุษย์’ นั้นใช้ให้คุ้มที่สุดก็คือการเอามาเข้าให้ถึงแก่นของพุทธศาสนา คือศึกษาวิชา ‘รู้ตามจริง’ ของพระพุทธเจ้าให้ทะลุปรุโปร่งนั่นเอง
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คำถามที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต

    บางคนรู้สึกว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต

    บางคนเจาะจงลงไปกว่านั้น คือรู้สึกว่าความเจ็บปวดขณะกำลังจะตายน่ากลัวที่สุด


    แต่บางคนฟังเรื่องเกี่ยวกับนรก ก็รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดในสากลจักรวาลน่าสะพรึงกลัวยิ่งไปกว่านรกอีก
    แล้ว


    แต่ความจริงก็คือยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น!


    ความมืดอันใดน่ากลัวที่สุด ?



    ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ตรัสกะพระสาวกของพระองค์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกันตนรกมีแต่ความทุกข์ มืดคลุ้มเป็นหมอกมัว สัตว์ในโลกันตนรกนั้นไม่ได้รับรัศมีพระจันทร์และพระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากถึงขนาดนี้


    เมื่อพระองค์ท่านตรัสแล้วก็ทรงเงียบอยู่ กระทั่งมีภิกษุรูปหนึ่งทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฟังแล้วโลกันตนรกช่างมืดมากเหลือเกิน แต่จะยังมีความมืดอย่างอื่นที่ยิ่งไปกว่านั้น น่าสะพรึงกลัวยิ่งไปกว่าความมืดแห่งโลกันตนรกหรือไม่พระเจ้าข้า?


    พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ ความมืดอย่างอื่นที่มากกว่าและน่ากลัวกว่าความมืดแห่งโลกันตนรกนั้นมีอยู่ แล้วท่านก็สาธยายมีใจความโดยสรุปคือ ความไม่รู้ตามจริงนั่นเองที่มืดยิ่งกว่าโลกันตนรก


    พวกเราไม่รู้อะไรตามจริงบ้าง? คือ…


    ๑) ไม่รู้ว่ากายใจอันเป็นที่ตั้งของอุปาทานทั้งปวงนี้ เป็นทุกข์ (นึกว่าเป็นสุข เป็นของดีที่น่ามีน่าเป็น)
    ๒) ไม่รู้ว่าความอาลัยยึดติดในกายใจนี้ เป็นเหตุแห่งทุกข์ (นึกว่าจำเป็นต้องหลงอยู่เช่นนี้อย่างไม่มีทางเลือก)
    ๓) ไม่รู้ว่าความพ้นขาดจากการหลงยึดผิดๆ เป็นความดับทุกข์ (นึกว่าการดับทุกข์เด็ดขาดถาวรชนิดไม่กลับกำเริบใหม่เป็นไปไม่ได้)
    ๔) ไม่รู้ว่าการตั้งมุมมองไว้ตรงตามจริง แล้วเพียรตั้งสติดูอยู่จนจิตตั้งมั่นรู้แจ้ง เป็นวิธีดับทุกข์(นึกว่าคลายความกระวนกระวายได้เพียงด้วยการเสพกาม หรืออย่างดีที่สุดคือการเข้าฌานไปเป็นพรหมเพื่อมีชีวิตอมตะชั่วนิรันดร์)


    แค่ความไม่รู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นทางดับทุกข์เท่านี้ เหตุใดจึงได้ชื่อว่าเป็นความมืดที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าโลกันตนรก? ขอให้พิจารณาว่าความมืดของโลกันตนรกนั้น ยังมีวันสว่าง ยังมีทางเปิดให้สัตว์ไปอุบัติในภพอื่นหลังจากใช้กรรมหมดสิ้นแล้ว แต่ความไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบุญเป็นบาปนั้น ส่งสัตว์ให้ตกต่ำลงไปยิ่งกว่าโลกันตนรก เช่นถ้าพลาดทำอนันตริยกรรมก็มีหวังถึงอเวจีมหานรกได้


    โลกันตนรกเป็นแค่ภพแห่งความทุกข์ภพหนึ่ง แต่ความไม่รู้ หรือความมีอวิชชานั่นแหละนำไปสู่ภพแห่งความทุกข์ต่างๆ ทั้งที่มืดมนกว่าโลกันตนรก และทั้งที่แผดเผาเท่าอเวจีมหานรกและสำคัญกว่าอะไรคือโลกันตนรกนั้นวันหนึ่งจะสิ้นสุดสภาพเองเมื่อแรงส่งของวิบากกรรมหมดลง แต่อวิชชาจะไม่มีวันสิ้นสุดสภาพด้วยตนเองเลย หากปราศจากเหตุคือปัญญารู้ทางดับทุกข์
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    เรากำลังเป็นหนึ่งในผู้ติดกับดักแห่งความมืดอยู่หรือไม่?


    กับดักมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ไม่มีกับดักใดน่าพรั่นพรึงยิ่งไปกว่ากับดักที่เหนี่ยวเราไว้ให้ติดอยู่กับความเสี่ยงต่อนรกอย่างไร้วันจบวันสิ้น ระหว่างการเดินทางไกลอันไม่เป็นที่รู้ เรามีโอกาสพลาดได้ทุกขณะ ขอเพียงคบคนพาลเป็นมิตร หรือเพียงมีคนคิดชั่วอยู่ในเรือน


    กับดักอันนำไปสู่ภพที่มืดอย่างยืดเยื้อไร้วันจบสิ้นก็คือความไม่รู้ตามจริง


    พอไม่รู้ก็เข้าข้างตัวเองว่านี่ของเรา นั่นของเรา นั่นเนื่องด้วยเรา


    พอไม่รู้ก็เข้าข้างกิเลสว่าเราควรได้สิ่งนี้ เราไม่ควรได้สิ่งนั้น


    พอไม่รู้ก็สำคัญมั่นหมายว่ามีเราเป็นอมตะ น่าจะเคยเกิดในภพดีๆ และจะไปเกิดในภพสูงๆ


    ลองถามตัวเองว่ารู้สึกถึงความมีอัตตาอยู่ไหม? ถ้าต้องตอบตามจริงว่ามี ลองถามตัวเองอีกว่าอัตตานี้จะมีอยู่ตลอดไปไหม? ถ้าต้องตอบตามจริงคือรู้สึกว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป ขอให้บอกตัวเองเถิดว่าเราติดกับแล้ว เป็นผู้หนึ่งที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเสี่ยงผิดเสี่ยงถูกอยู่ในสังสารวัฏนี้แล้ว!


    สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เรากลับรู้สึกว่ามันเที่ยง ย่อมชื่อว่าเรากำลังอุปาทานไป


    สิ่งใดเป็นทุกข์ แต่เรากลับรู้สึกว่ามันเป็นสุข ก็ย่อมชื่อว่าเรากำลังอุปาทานไป


    สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีอันต้องดับไปเป็นธรรมดา ย่อมไม่ใช่ตัวตน ย่อมไม่อยู่ในครอบครองของใคร แต่เรากลับรู้สึกว่าเป็นอัตตา เป็นตัวเราที่ไม่ควรตาย เช่นนี้ก็ย่อมชื่อว่าเรากำลังอุปาทานไป


    อุปาทานเป็นชื่อของความหลงผิด เป็นชื่อของความมืดบอดทางใจ ที่น่าสลดใจคือไม่มีใครรู้เลยว่าขอเพียงฝึกที่จะรู้ตามจริงเป็นขั้นๆ พวกเราไม่ต้องมีอุปาทานก็ได้ แต่เมื่อไม่ฝึกรู้ตามจริง ก็ต้องหลงวนอยู่ในโลกของอุปาทานกันต่อไปอย่างไร้ที่จบสิ้น


    อุปาทานทำให้เรานึกว่ากามเป็นของดีที่สุด อาจถึงขั้นหลงคิดว่าเป็นความชอบธรรมที่จะฉุดคร่าลูกเมียผู้อื่นมาสำเร็จความใคร่ นี่คือบาปโทษอันอาจเกิดขึ้นเมื่อยังมีอุปาทานในกาม


    อุปาทานทำให้เรานึกว่าสิ่งที่เราปักใจเชื่อนั้นถูกที่สุด อาจถึงขั้นหลงคิดว่าเมื่อเราไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มี ก็ไม่เป็นผู้ที่ต้องตกตายแล้วไหลลงอบายแน่ๆ แม้จะทำชั่วเพียงใดก็ตาม นี่คือบาปโทษที่เห็นได้ชัดขณะยังมีอุปาทานในทิฏฐิ


    อุปาทานทำให้เรานึกว่าธรรมเนียมการปฏิบัติหรือเคล็ดลางที่เราถือมั่นนั้นมีผลสูงที่สุด อาจถึงขั้น
    หลงคิดว่าฆ่าแพะบูชาเทพเจ้าคือการปลดปล่อยพวกมันไปสู่สุคติ นี่คือบาปโทษที่เห็นได้ชัดขณะยังมีอุปาทานในวัตรปฏิบัติที่สืบต่อกันมาอย่างงมงายไร้เหตุผล


    และสุดท้าย อุปาทานทำให้เราหลงยึดว่าต้องมีตัวตนของเราอยู่แน่ๆ ไม่สภาพนี้ก็อีกสภาพหนึ่งไม่อยู่ในโลกนี้ก็ต้องอยู่ในโลกหน้า การหลงยึด การหลงอาลัย หรือหลงทะยานอยากเป็นนั่นเป็นนี่นั่นเอคือการสืบเชื้อแห่งการเกิดไม่รู้จบ นี่คือโทษที่เห็นได้ชัด และเป็นโทษอันร้ายแรงที่สุดเมื่อยังมีอุปาทานในตัวตน หรืออุปาทานในวาทะแบบใดแบบหนึ่งว่าตัวตนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้


    เวลาที่อุปาทานหนาทึบ เราจะไม่รู้สึกเลยว่าที่สิ่งอื่นยิ่งไปกว่าสิ่งที่กำลังยึด เหมือนเอาเกราะมาครอบ หรือเหมือนเอากำแพงมาล้อม คล้ายคนหลงติดคุกอยู่ด้วยความเต็มใจยิ่ง ลองเถอะ ถ้าถามตัวเองเดี๋ยวนี้ว่ากำลังมีอุปาทานอันใดบ้าง แทบทุกคนจะตอบว่าไม่มีเลย เพราะเห็นทุกอย่างตามปกติอยู่ ใช้ชีวิตในสังคมได้เป็นปกติอยู่


    ยิ่งถ้าพยายามบอกว่า สังคมโลกทั้งหมดนั่นแหละ กำลังลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในอุปาทานทุกชนิดกัน คนบอกอาจเจอข้อกล่าวหาว่าเป็นจอมอุปาทานไปเสียเองก็ได้


    เรามีความละอายในการกระทำอันเป็นบาปบ้างหรือไม่?
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าใครสามารถกล่าวมุสาได้โดยปราศจากความละอาย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่เรื่องจริง ก็ไม่มีบาปกรรมใดแม้แต่หนึ่งเดียวที่เขาจะทำไม่ลง


    ความละอายจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด เป็นองค์ประกอบสำคัญสูงสุดในการถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ตราบใดยังมีความละอาย ไม่อยากทำบาป ไม่นึกสนุกติดใจในกรรมชั่ว ก็เรียกว่าเขายังพอมีพื้นของความเป็นมนุษย์อยู่ แต่หากทำบาปได้แบบไม่ต้องกะพริบตา เช่นพูดโกหกมดเท็จปั้นน้ำเป็นตัวได้คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ นั่นแหละคือเขาขาดองค์ประกอบพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ไปแล้ว


    คนส่วนใหญ่มองว่าการโกหกเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องสามัญที่ทุกคนต้องทำ อาจจะโกหกนิดๆ หรืออาจจะโกหกมากๆ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บีบคั้น ไม่ตระหนักกันเลยว่าถ้าทำเป็นประจำจนชิน ในที่สุดก็จะหมดความละอาย และเมื่อใดหมดความละอายในการโป้ปดมดเท็จ เมื่อนั้นจิตวิญญาณจะด้านชาต่อบาป เหมือนมีอะไรมาบังตาไม่ให้เห็นตามจริงไปเสียหมด ที่ตามมาก็คือการทำบาปได้ไม่เลือก เพราะตัวมุสามันบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ขอให้เอาดีเข้าตัวได้เป็นพอ


    หากถามตัวเองแล้วได้คำตอบว่าเราสามารถโกหกโดยไม่ละอาย ก็นับว่าคำถามคำตอบนี้น่ากลัวยิ่ง เพราะเราไม่อาจคาดคะเนได้เลยว่าตัวเองเผลอก่อบาปก่อกรรมหนักๆโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์มานานแค่ไหน เมื่อไม่มีความละอายบาปอันเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ก็แทบทำนายได้ว่าต้องหลุดร่วงจากสุคติภูมิแน่อยู่แล้ว แต่นี่ไปก่อบาปก่อกรรมโดยไม่รู้ว่าเป็นบาปกรรมเข้าให้อีก มิแปลว่ามีสิทธิ์ถูกเหวี่ยงลงต่ำไปถึงพื้นนรกกันหรอกหรือ?


    สรุปคือการขาดความละอายต่อบาปคือการไม่อาจทำนายว่าจะต้องระหกระเหเร่ร่อนไปสถิตอยู่ในภพไหนภูมิใดอันเป็นเบื้องล่าง หากปราศจากความสะทกสะท้าน หากยังทะนงหลงนึกว่าไม่เป็นไร นั่นก็อาจเป็นการทำงานชิ้นใหญ่อีกครั้งของอุปาทานก็ได้!
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    ใจจริงของเราอยู่ตรงไหน?


    บางคนหาตัวเองยังไม่เจอ ก็เท่ากับยังไม่เจอใจจริง เพราะใจที่ยังไม่รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้อาจแกว่งไปทางไหนก็ได้ เปลี่ยนทิศทางเป็นตรงข้ามกับเมื่อวานก็ยังได้


    และบางทีเราก็ต้องทรมานกับความคิดที่ขัดแย้งกับใจตัวเอง เหมือนมีสองคนคอยทุ่มเถียง คอยเตะสกัด คอยชักเย่อดึงกันไปดันกันมาจนเกิดความวุ่นวายสับสนว่าเราอยากเอาอย่างไรแน่


    ที่แท้แล้ว ใจจริงอาจไม่ตรงกับสิ่งที่เราคิด แต่ใจจริงก็เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆตามความคิดที่เกิดขึ้นบ่อยๆ


    แม้ยังไม่ทราบว่าใจจริงของตัวเองอยู่ที่ไหน แต่ทุกคนต้อง ‘มีใจ’ ให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเฉพาะหน้าเสมอ และนั่นก็เป็นคำตอบว่าทำไมพวกเราถึงเลือกเรียนสาขาอาชีพแตกต่างกัน เป็นคำตอบว่าทำไมพวกเราถึงเลือกผู้แทนราษฎรต่างคนกัน เป็นคำตอบว่าทำไมพวกเราถึงเลือกนับถือศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งผิดแผกไปจากกัน


    คำถามคือ เรากำลังมีใจให้กับอะไรล่ะ? ถ้าได้แนวคำถาม ก็จะได้แนวคำตอบ และเมื่อได้แนวคำตอบ ก็จะเริ่มมองเห็นทิศทางเส้นทางกรรมของตนเองได้เช่นกัน


    ๑) ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่อใคร?



    คำว่า ‘อยู่เพื่อใคร’ นั้นมีความหมายว่าเราคิดว่าชีวิตตัวเองมีค่า มีความหมาย หรือกระทั่งมีความสำคัญขนาดขาดไม่ได้สำหรับใครบ้าง หากคิดออกในทันทีทันใดถือว่าเข้าข่าย แต่ถ้าต้องค่อยๆนึกทบทวนเป็นเวลานาน อย่างนั้นให้เอาชื่อนั้นออกไปจากบัญชีก่อน และขอให้ระลึกว่าเราอาศัยอยู่กับใครกี่ร้อยกี่พันคนไม่สำคัญ สำคัญคือใจเรารู้สึกว่าตัวเองอยู่เพื่อใครบ้างที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จะอาศัยพำนักอยู่กับเราหรือไม่ก็ตาม


    หากคำตอบตามซื่อคือ ‘อยู่เพื่อตัวฉันคนเดียว’ ก็อย่าเพิ่งต่อว่าตัวเอง เพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็ซื่อพอจะยอมรับอยู่เงียบๆในใจ ไม่บิดเบือนหรือหลอกตัวเอง เพื่อได้รับทราบว่ามีโอกาสสูงที่เราจะทำบาปทำกรรมโดยไม่คิดคำนึงถึงความเดือดร้อนของใครๆทั้งสิ้น เราย่อมไม่มีข้อจำกัดว่าควรทำประมาณนี้ ไม่ควรทำประมาณนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์และโอกาสเฉพาะหน้าอย่างเดียว


    หากคำตอบคือ ‘อยู่เพื่อตัวฉันและใครอีกคน’ พูดง่ายๆว่าชีวิตนี้มีความหมายสำหรับสองคน เรามีความไยดีคิดเกื้อกูลใครอีกคนหนึ่ง อย่างน้อยเราก็คิดถึงคนอื่นเป็น และอาจเริ่มทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยความชั่งอกชั่งใจมากขึ้นกว่าคำตอบข้อแรกนิดหนึ่ง เพราะถ้าทำบาปโดยไม่ยั้งคิด อย่างน้อยใครอีกคนอาจเสียใจ หรือพลอยได้รับผลกระทบในทางร้ายไปด้วย ใจที่พะวงห่วงใยใครอีกคนจะช่วยเตือนสติบ้างแล้วเล็กๆน้อยๆ คำตอบนี้อาจจะยังชี้ว่าเราเป็นคนครึ่งดีครึ่งร้ายได้ ตามแต่สถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์ให้กับเราและใครอีกคน


    หากคำตอบคือ ‘อยู่เพื่อตัวฉันและคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คุ้นเคยกัน’ คือถ้าคิดว่าต้องมีคนอื่นต้องพึ่งพาเรา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับเราตั้งแต่สองคนขึ้นไป และเรามีความไยดีกับกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างแท้จริงทุกการกระทำของเราจะเต็มไปด้วยการระมัดระวังมากขึ้น การตัดสินใจตามอัธยาศัย หรือการทำอะไรตามอำเภอใจจะน้อยลง แม้เบื่องานก็จะไม่ลาออก แม้อยากประชดใครก็จะไม่ประชด แม้อยากไปเที่ยวก็จะไม่ไปเที่ยว คำตอบนี้อาจจะยังชี้ว่าเราเป็นคนครึ่งดีครึ่งร้ายได้ ตามแต่สถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์ให้กับเราและคนอีกกลุ่มหนึ่ง


    หากคำตอบคือ ‘อยู่เพื่อตัวฉันและคนกลุ่มใหญ่ที่อาจจะไม่เคยรู้จักมักคุ้นเลย’ อย่างเช่นเป็นนักการเมืองที่มีอุดมคติแรงกล้า หรือเป็นพวกที่พยายามปลดแอกจากทรราชผู้นิยมการกดขี่ หรือเป็นพวกที่พยายามเพียรเผยแพร่แนวความเชื่อซึ่งเห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง อย่างนี้เราจะเริ่มรู้จักคำว่า ‘อยู่เพื่อคนอื่น’ บ้างแล้ว คำตอบนี้สามารถชี้ว่าเราสามารถเป็นคนดีได้มากกว่าคนร้ายโดยไม่จำกัดสถานการณ์


    หากคำตอบคือ ‘อยู่เพื่อคนอื่นถ่ายเดียวโดยไม่เลือกหน้า’ อันนี้ออกจะฟังดูเป็นบุคคลในอุดมคติเกินมนุษย์ธรรมดาไปหน่อย แต่ก็มีอยู่จริงๆ โลกนี้มีบุคคลไว้เป็นตัวอย่างทุกประเภท พวกที่มีแต่ใจคิดสละออกอย่างแท้จริงได้แก่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกผู้หมดความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนแล้ว พวกท่านอยู่เหนือการตัดสินใจอันเป็นกุศลและอกุศลแล้ว ทำอะไรไปไม่ต้องรับผลจากกรรมนั้นๆแล้ว มีความสุขสงบเป็นนิรันดร์แล้ว นอกจากนี้ยังมีมนุษย์อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งทำดีเพื่อคนอื่นจนติดใจในรสความสุขยิ่งใหญ่ จึงอุทิศชีวิตทั้งหมดให้กับสังคม หากบั้นปลายของการอุทิศตัวไม่หลงเหลิงไปกับอำนาจวาสนาอันเป็นวิบากเห็นทันตาในชาติปัจจุบัน เขาก็จะมีชีวิตบนเส้นทางแห่งความดีอันยากนักที่ปุถุชนด้วยกันจะดำเนินได้ กุศลกรรมของเขาจะสุกสว่างบริสุทธิ์ มองด้วยตาเปล่าของปุถุชนแล้วอาจนึกว่าเป็นพระอรหันต์เลยทีเดียว


    ๒) ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ความเชื่อแบบใด?


    คนเราใช้ชีวิตตามสถานการณ์เป็นอันดับแรก สิ่งใดเข้ามากระทบก็ต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบสิ่งกระทบนั้น แต่เมื่อใช้ชีวิตไปถึงจุดหนึ่ง เราจะพบว่าชีวิตของเรากำลังยืนอยู่บนความเชื่ออะไรสักอย่างหากคำตอบคือ ‘เราเชื่อว่าอยู่ไปเรื่อยๆเหมือนคนอื่นโดยไม่ต้องคิดอะไรมากก็ได้’ อันนี้เป็นมุมมองที่ไม่เสี่ยงดี ถ้ามีมุมมองนี้และไม่เปลี่ยนแปลงไปจนตาย เราก็ไม่ต้องขวนขวายอะไรเพิ่มเติม นอกจากใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุข ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลบ้า ไม่ต้องแสวงหาสัจจะที่ไม่รู้อยู่ตรงไหน และที่สำคัญคือไม่ต้องเสียใจในภายหลังว่าเชื่ออะไรผิดๆ แต่ข้อเสียของการมีมุมมองแบบนี้คือถ้าโลกกำลังถูกห่อหุ้มด้วยความเห็นผิด และด้วยบาปอกุศลที่แพร่ระบาดยิ่งกว่าไวรัส ก็แปลว่าการอยู่ไปเรื่อยๆเหมือนคนอื่นอาจหมายถึงการยอมร่วมเห็นผิด และทำบาปอกุศล สร้างทางเลวร้ายให้ตัวเองอย่างน่าใจหาย


    หากคำตอบคือ ‘เราเชื่อว่าเป็นคนดีไม่เบียดเบียนใครก็พอ’ อันนี้ก็เป็นมุมมองที่ปลอดภัยกับคนอื่นดี และดูเหมือนจะเพียงพอแล้วกับชีวิตหนึ่ง จะเอาอะไรมากไปกว่าการไม่เป็นที่เดือดร้อนของสังคม แต่การมีมุมมองว่าแค่ไม่เบียดเบียนใครก็พอนั้น อาจจะพอจริงเฉพาะที่ชาติปัจจุบัน ถ้าไม่มีชาติหน้าคงไม่ต้องคำนึงอะไรอีก แต่ถ้าเผื่อชาติหน้ามันมีขึ้นมา เราก็อาจได้ชื่อว่าไม่ยอมเตรียมเสบียงไว้เผื่อขาดเผื่อเหลือ ไม่เตรียมการป้องกันไว้ให้รัดกุมแน่นหนา


    หากคำตอบคือ ‘เราเชื่อว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน’ อันนี้เป็นมุมมองที่ทำให้โลกหมุนไปไม่ขัดข้อง เพราะการมีคนทุ่มชีวิตให้กับงานนั้น ทำให้เกิดวิวัฒนาการด้านต่างๆ ทั้งวิทยาศาสตร์ การตลาดตลอดจนกระทั่งการศาสนา แต่การมีมุมมองว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงานนั้น บางทีทำให้เรามองข้ามไปว่างานของเราส่งผลสะเทือนด้านดีหรือด้านร้ายต่อผู้คนในวงกว้าง ความจริงก็คือหลายครั้งโลกนี้พลิกโฉมไปโดยน้ำมือของคนเพียงไม่กี่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในวงการบันเทิงที่ออก
    คอนเสิร์ต สร้างภาพยนตร์ อัดฉีดความคิดมักง่ายประการต่างๆเข้าสู่สมองของเด็กและวัยรุ่นทั่วโลก


    หากคำตอบคือ ‘เราเชื่อว่าจุดหมายสูงสุดของชีวิตมีอยู่ และเราก็ควรวิ่งเข้าไปหามัน’ อันนี้เป็นมุมมองที่เริ่มทำให้จิตวิญญาณมีความผิดแผกแตกต่างจากคนธรรมดาสามัญทั่วไป เพราะคนส่วนใหญ่เขาไม่ได้คิดกันอย่างนี้ แต่การมีมุมมองว่าเราควรแสวงหาจุดหมายสูงสุดของชีวิตด้วยตนเองนั้นถ้าบารมีเก่าไม่แก่กล้าพอ ก็คงต้องเสียเวลาในชีวิตไปชาติหนึ่งเพื่อคว้าน้ำเหลว หรืออย่างเก่งก็ไปติดอยู่ในภูมิใดภูมิหนึ่งระหว่างเทวดากับพรหม ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘ความจริงสุดท้าย’ หรือ‘ยอดสุดแห่งความจริง’ ในธรรมชาตินั้น ไม่ใช่วิสัยที่ใครจะตั้งโจทย์ให้เกิดมุมมองที่ถูกต้องจนไปถึงเป้าหมายปลายทางได้ง่ายๆ คนส่วนใหญ่จะวนเวียนตั้งคำถามที่ทำให้เกิดความคิดห่างไกลความจริงไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็ประพฤติปฏิบัติตนฉีกแนวจากผู้บริโภคกาม แล้วนั่งนิ่งสงบทื่อ หลีกหนีความวุ่นวายโดยไม่รู้อะไรมากไปกว่าความสงบนิ่งเป็นบรมสุข


    หากคำตอบคือ ‘เราเชื่อว่ากายใจอันเป็นที่ตั้งของอุปาทานนี้เป็นทุกข์ และมีหนทางที่ดับอุปาทานกายใจได้จริง’ อันนี้เป็นมุมมองตามพระพุทธองค์ ที่ทรงตั้งโจทย์ไว้ชัดเจนแล้ว กระชับแล้ว รู้ตามได้ง่ายแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดคำถามสร้างมุมมอง และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาดุ่มเดินหาคำตอบจากที่ไหนอีก การมีมุมมองอย่างชัดเจนว่าทุกข์เกิดจากอะไร เราจะดับทุกข์ได้อย่างไร จะไม่ทำให้เราเสียเวลาในชีวิตไปเปล่าๆ เพราะเพียงด้วยเวลาอันไม่นานเกินรอ เราก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ในพระพุทธศาสนานั้น เป็นเรื่องจริงหรือของหลอก มีการยืนยันไว้ชัดเจนว่าถ้าใครศึกษาและปฏิบัติตามวิชา ‘รู้ตามจริง’ ของพระพุทธเจ้าอย่างเต็มความสามารถ เขาจะถึงที่สุดทุกข์ภายใน ๗ ปีเป็นอย่างช้า แต่ถ้าบารมีแก่กล้ากว่านั้นก็อาจทำลายทุกข์ลงได้สิ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง ๗ วัน!


    หากสำรวจ หากช่างสังเกต หากถามใจตัวเองหลายๆรอบ ว่าทุกวันนี้เราอยู่เพื่อใคร หรือเพื่อรับใช้ความเชื่อแบบไหน ในที่สุดเราจะรู้จักใจจริงของตัวเอง หาใจจริงของตัวเองเจอ โดยไม่จำเป็นต้องค้นตัวเองให้พบจากการประสบความสำเร็จทางวิชาชีพใดๆเสียก่อน


    และเมื่อใดที่หาใจจริงของตัวเองเจอ ก็จะรู้ว่าเราทำอะไรทั้งหลายไปเพื่ออะไร


    หากรู้จักใจจริงของตนเองอย่างถ่องแท้ เราจะไม่กังวลเลยว่ามีความคิดที่บาดจิตบาดใจแปลกปลอมเข้ามาในหัวมากมายขนาดไหน เพราะใจจริงของเราจะปัดพวกมันทิ้งไปอย่างไม่ไยดี และไม่คำนึงแม้แต่นิดเดียวว่าความคิดจรเหล่านั้นจะมามีอิทธิพลใดๆกับตัวเราเลย
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    บทสำรวจตนเอง
    ๑) เรารู้จักตัวเองดีแค่ไหน?
    ๒) มีสิ่งใดที่เราอยากรู้หรืออยากได้คำตอบมากที่สุด?
    ๓) เราจะแน่ใจได้อย่างไร ใช้เกณฑ์แบบไหนมาวัดว่าสิ่งที่เราอยากรู้หรืออยากได้คำตอบนั้นมีค่าคุ้มเพียงพอ?


    สรุป
    ปัจจุบันมีอยู่หลายเรื่องที่ควรเห็นกันง่ายๆว่าไม่น่าทำ แต่ก็ทำกันเป็นปกติ ทั้งลับหลังการเฝ้ามองของสังคม และทั้งที่เปิดเผยต่อหน้าธารกำนัล เหมือนโลกเรากำลังเปลี่ยนไปเป็นแหล่งผลิตมนุษย์พันธุ์ไร้ยางอายอย่างเป็นทางการ


    แต่ละคนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทีละน้อย หรือกระทั่งเกิดมาไม่เคยมีจุดยืนของตัวเองอยู่เลย นั่นเป็นเพราะอะไรถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราขาดเป้าหมายที่ชัดเจนพอ



    ความไม่รู้ตามจริง ความไม่มีชัยภูมิให้จิตวิญญาณตั้งมั่นอย่างชัดเจน ความหลงคลำทางกันเอาเองจนท้อแท้โรยแรง ล้วนเป็นเหตุให้คนเราถูกสิ่งแวดล้อมอันเลวร้ายกลืนกินอย่างง่ายดาย
    แต่เพราะเริ่มศึกษาตนเอง เสาะหาใจจริงของตัวเองให้พบ และรู้ให้ทันก่อนตายว่าเรากำลังมีอุปาทานอันใดห่อหุ้มอยู่บ้าง ก็จะเริ่มเห็นความจำเป็นว่าเราต้องเรียนวิชา ‘รู้ตามจริง’ ของพระพุทธเจ้าเสียก่อนจะสาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...