เหตุการณ์สำคัญบางตอนในพระพุทธกิจทั่วไป

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 30 กันยายน 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]



    .....
    ในประเทศอินเดียยุคนั้น มีนักบวชลัทธิต่างๆ มาก บ้างก็ชอบอวดอิทธิฤทธิ์ที่ดูเป็นเรื่องอัศจรรย์ หรืออวดการกระทำที่ผู้อื่นทำไม่ได้ เพื่อเรียกความเลื่อมใสจากประชาชน บางพวกแสวงหาความพ้นทุกข์ด้วยวิธีผิดๆ เช่น การทรมานร่างกาย เปลือยกายล่อนจ้อนแสดงว่าไม่ยึดถือในร่างกาย ยืนขาเดียวตลอดเวลา กำมือไว้แน่นไม่คลายกระทั่งเล็บงอกยาวทะลุฝ่ามือ นั่งบนตะปู อ้าปากแหงนดูดวงอาทิตย์ หรืออื่นๆ ซึ่งยังสืบเชื้อสายการกระทำมาจนทุกวันนี้
    แต่เมื่อมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น พระราชาและผู้คนในแคว้นต่างๆ พากันนิยมเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักบวชนิกายอื่นเกลียดชัง บางพวกคิดอิจฉาริษยา บางพวกคิดทำลายด้วยกลอุบายต่างๆ

    ขณะที่พระบรมศาสดาเสด็จไปที่เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล พวกนักบวชเดียรถีย์เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงห้าสาวกแสดงปาฏิหาริย์ และพระองค์คงทรงห้ามพระองค์เองด้วย จึงท้าพระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์แข่งกับพวกตน และพระองค์ตรัสตอบรับว่า พระองค์ทรงห้ามสาวก แต่ไม่ได้ห้ามพระองค์เอง ทรงรับคำท้า จะทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ (แสดงคู่) ซึ่งไม่มีผู้ใดแสดงได้มาก่อน เช่น แสดงน้ำคู่กับไฟ ที่โคนต้นมะม่วง

    เมื่อพวกเดียรถีย์ทราบว่าพระบรมศาสดาจะแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นมะม่วง ก็ให้คนไปเที่ยวโค่นต้นมะม่วงจนหมด จะได้ไม่มีที่ให้ทรงแสดง
    พอถึงวันกำหนดนัดหมาย มีผู้นำผลมะม่วงสุกมาถวาย พระบรมศาสดาทรงฉันแล้วรับสั่งให้ฝังเมล็ดมะม่วงลงในดิน ใช้น้ำล้างพระบาทรดลง ทันใดนั้นต้นมะม่วงก็งอกขึ้นโดยเร็วพลัน เติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาถึง ๕๐ ศอก เป็นอัศจรรย์ให้ปรากฏแก่สายตามหาชน

    แล้วทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ เป็นพระรูปกายในพระอิริยาบถต่างๆ อย่างละหนึ่งคู่ ทรงบันดาลให้ท่อน้ำใหญ่พุ่งจากพระวรกายเบื้องบน เปลวไฟพุ่งเป็นลำออกจากพระวรกายเบื้องล่าง เป็นต้น พวกเดียรถีย์เห็นดังนั้นก็ยอมพ่ายแพ้ด้วยความอัปยศ จนต้องไปโดดน้ำตาย ผู้คนก็พากันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น



    เสด็จโปรดพระพุทธมารดา

    เมื่อพระบรมศาสดาเผยแผ่พระศาสนาได้ ๗ พรรษา และทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ แล้วทรงรำลึกถึงพระพุทธมารดา ทรงเห็นว่าแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ในอดีตกาลนั้น เมื่อทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว จะเสด็จไปทรงจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    จึงทรงดำริเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา ซึ่งทรงบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต แต่ที่เสด็จไปแค่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเปิดโอกาสให้เทพยดาชั้นต้นๆ ได้ฟังพระธรรมเทศนาด้วย เพราะในเทวภูมินั้น สวรรค์ชั้นสูงขึ้นไปมากๆ มีแสงสว่างเจิดจ้ามาก เทพยดาชั้นต่ำไม่สามารถขึ้นไปได้ แต่เฉพาะสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เหมือนเป็นเทวภูมิชั้นกลางๆ เทวดาชั้นต่ำกว่าหรือสูงกว่าพากันมาได้หมด

    พระพุทธเจ้าเสด็จประทับบนแท่นศิลาที่ปูลาดด้วยผ้ากัมพลทิพย์สีแดง เรียกว่า บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ โคนต้นปาริฉัตร

    พระอินทร์จอมเทพของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงป่าวประกาศให้เทพยดาทั้งหลายมาชุมนุมฟังพระธรรมเทศนา เทพบุตรสิริมหามายาพระพุทธมารดา ก็ได้เสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิต พร้อมทั้งเทพบุตรอื่นๆ มาฟังธรรมด้วย

    พระบรมศาสดาทรงแสดงพระอภิธรรม (ธรรมชั้นสูง) ตลอดพรรษานั้น พระพุทธมารดาพร้อมเทพยดาอื่นๆ ทรงสดับพระธรรมเทศนาแล้วบรรลุเป็นพระโสดาบันเป็นอันมาก

    ในระหว่างพรรษาซึ่งพระบรมศาสดาประทับอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระองค์เสด็จบิณฑาตที่โลกมนุษย์อีกโลกหนึ่งชื่อ อุตตรกุรุทวีป แล้วกลับไปเสวยที่ศาลาป่าหิมพานต์ พระสารีบุตรได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาที่นั่น พระองค์ทรงแสดงพระอภิธรรมเทศนาที่ทรงแสดงแก่เหล่าเทพยดาให้พระสารีบุตรฟังโดยสังเขป พระสารีบุตรนำมาสอนลูกศิษย์ ๕๐๐ คน ที่เคยมีอุปนิสัย เพราะได้ฟังคำสาธยายพระอภิธรรมสมัยที่ตนเกิดเป็นค้างคาว ๕๐๐ ตัว อยู่ในถ้ำ ซึ่งมีพระภิกษุในพุทธกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ สวดสาธยายพระอภิธรรมถากถาที่นั้น

    ศิษย์ทั้ง ๕๐๐ ของพระสารีบุตร สามารถศึกษาพระอภิธรรมได้แตกฉาน
    เมื่อหมดฤดูฝนออกพรรษา พระบรมสาดาเสด็จลงจากดาวดึงส์สู่โลกมนุษย์ พระอินทร์เนรมิตบันได ๓ ชนิด พาดจากยอดเขาสินเมธุ ลงที่ประตูเมืองสังกัสนคร มีบันไดก้าวอยู่ตรงกลางสำหรับพระบรมศาสดา ข้างขวาเป็นบันไดทอง สำหรับเทพยดาทั้งหลายข้างซ้ายเป็นบันไดเงิน สำหรับเท้ามหาพรหม
    ขณะพระบรมศาสดาประทับยืนอยู่บนนับไดแก้วมณีนั้น เบื้องหลังก็เปิดให้เห็นได้ทั้งเทวโลกและพรหมโลก เบื้องล่างนิรยนรกทั้งหลายได้เปิดโล่ง เทวดา พรหม มนุษย์และสัตว์นรกแลเห็นซึ่งกันและกัน ต่างได้แลเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จลงจากสวรรค์พร้อมๆ กัน ก็พากันมีจิตคิดปรารถนาจะได้บรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าบ้างด้วยกันทุกคน

    ทุกวันนี้เหล่าพุทธศาสนิกชนยังนิยมถือว่า วันออกพรรษาเป็นวันพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์จึงมีพิธีทำบุญเรียกว่า ตักบาตรเทโว (ย่อมาจาก เทโวโรหณะ แปลว่า ลงจากเทวโลก) หรือตักบาตรดาวดึงส์ บางแห่งผู้คนแน่นมาก นำของใส่บาตรเข้าไม่ถึงพระภิกษุ จึงทำเป็นห่อข้าวมีหางยาวไว้จับโยนเข้าไปให้ถึงบาตร เรียกว่า ข้าวต้มลูกโยน อย่างทางภาคใต้เป็นต้น
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]



    .....ทรงระงับข้อพิพาทระหว่างเหล่าภิกษุสงฆ์ที่กรุงโกสัมพี

    แม้พระพุทธเจ้าของเราจะมีพระพุทธานุภาพมากเพียงใดก็ตาม แต่บางเรื่องก็ต้องปล่อยไปตามแต่อำนาจกิเลสของคนเหล่านั้น เช่น พระเทวทัต พระเจ้าสุปปพุทธะ ซึ่งถูกแผ่นดินสูบทั้งสองคน

    หรืออย่างเรื่องการทะเลาะวิวาทของเหล่าภิกษุชาวเมืองโกสัมพีก็เช่นเดียวกัน ภิกษุผู้เป็นอาจารย์ทางฝ่ายพระนักเทศน์เข้าวัจจกุฎี (ส้วม) ใช้น้ำในภาชนะไม่หมด ไม่เทคืน แล้วหงายภาชนะไว้ อาจารย์ฝ่ายพระวินัย(พวกรักษาศีลเคร่งครัด) เข้าไปพบเข้า ออกมาต่อว่า ว่าผิดวินัย

    อาจารย์ฝ่ายนักเทศน์ชี้แจงว่า ตนไม่ทราบ บัดนี้ทราบแล้วต่อไปจะไม่ทำอีก
    อาจารย์ฝ่ายพระวินัยตอบว่า เมื่อไม่ทราบก็ไม่ผิด ต่างฝ่ายต่างแยกกันไป แต่อาจารย์ฝ่ายพระวินัยอดไม่ได้ นำเรื่องไปเล่าให้ลูกศิษย์ของตนทราบ ฝ่ายลูกศิษย์ก็นำไปกล่าวเยาะเย้ยลูกศิษย์พระนักเทศน์ว่าวินัยเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่รู้ เมื่อความทราบถึงอาจารย์ฝ่ายพระนักเทศน์ก็บันดาลโทสะและต่างเพ่งโทษซึ่งกันและกัน จึงเกิดการทะเลาะวิวาทบานปลายกันใหญ่โต แตกแยกกันไปหมดทั้งเมือง ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ประชาชน จนตลอดเทวโลก และพรหมโลก

    พระบรมศาสดาทรงทราบข่าว ได้ส่งคณะสงฆ์มาทำการไกล่เกลี่ยหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ แม้พระองค์เสด็จมาเองก็ทรงแก้ปัญหาไม่ได้ ไม่มีผู้ใดยอมฟัง กลับพูดจาไม่เคารพยำเกรงว่า ขอให้พระองค์ทรงเป็นผู้ขวนขวายน้อยเถิด หมายถึงพูดทำนองว่า อยู่เฉยๆ เถิด ธุระไม่ใช่ พวกเขาอยากทะเลาะกัน พระองค์ทรงเห็นว่าสาวกดื้อรั้น จึงทรงปลีกตัวเสด็จตามลำพัง ไปอาศัยอยู่ในป่าเรไลยก์
    ที่นั่นมีช้างเผือกหนึ่งเบื่อโขลง หนีออกมาอยู่ตามลำพัง เห็นพระบรมศาสดาก็บังเกิดความเสื่อมใส จึงเข้ามาปรนนิบัติต่างๆ นับตั้งแต่ใช้งวงถือกิ่งไม้ปัดกวาดทำความสะอาดที่พัก กลางคืนอยู่ยามป้องกันสัตว์ร้าย ตอนเช้าเข้าป่าหาผลไม้มาถวาย ตอนเย็นต้มน้ำให้สรงโดยใช้งวงสูบน้ำใส่แอ่งหินที่กลางวันมีแดดส่องจนร้อนจัด หรือมิฉะนั้นก็เอากิ่งไม้เขี่ยหินที่เผาไฟร้อนลงในแอ่งน้ำ

    ส่วนลิงน้อยตัวหนึ่ง ออกมาอยู่นอกฝูงตามลำพัง เห็นช้างปรนนิบัติพระบรมศาสดา มีความพอใจใคร่ทำตามอย่าง จึงไปหักรวงผึ้งทั้งรวงมาถวาย พระองค์ทรงรับไว้ แต่ไม่ทรงฉัน ลิงพิจารณาดูเห็นตัวผึ้งอ่อนติดอยู่ จึงหยิบออกเสีย แล้วถวายใหม่เฉพาะที่เป็นส่วนน้ำผึ้ง ทรงรับแล้วเสวย ลิงดีใจกระโดดโลดเต้นพลัดตกกิ่งไม้ตาย ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    พระบรมศาสดาทรงจำพรรษาอยู่ ณ ป่าปาเรไลยก์นี้ตลอดพรรษา ฝ่ายในเมืองโกสัมพี เมื่อการทะเลาะวิวาทแผ่ไปกว้างขวาง จนเป็นที่เบื่อหน่ายของประชาชน อีกทั้งชาวเมืองทราบเรื่องที่เหล่าภิกษุดื้อดึงต่อพระพุทธเจ้า ทำให้พระองค์ต้องเสด็จไปหลีกเร้นอยู่ในป่า ชาวเมืองไม่มีโอกาสเข้าเฝ้า จึงพากันโกรธเคืองภิกษุเหล่านั้นพากันไม่ถวายอาหารบิณฑบาต ทำให้ภิกษุทั้งหลายอดอยากไปทั่วทั้งสองฝ่าย เมื่อต้องหิวโหย ทิฏฐิมานะก็ลดลง หันหน้าเข้าปรึกษาหารือกัน ยอมรับผิดทั้งสองฝ่าย แต่ชาวเมืองไม่ยอมให้อภัย ให้นำพระบรมศาสดาคืนมา

    เหล่าภิกษุเมืองโกสัมพีจึงวิงวอนให้พระอานนท์ไปเฝ้าพระบรมศาสดา เพื่อกราบทูลให้ยกโทษ เมื่อพระอานนท์เดินทางไปถึง ช้างปาเรไลยก์เห็นแต่ไกล เข้าใจว่าจะมาทำอันตราย จึงเตรียมวิ่งเข้าไปทำร้าย พระบรมศาสดาตรัสห้ามไว้ ช้างฟังแล้วเข้าใจจึงคอยทีอยู่ แต่เมื่อเห็นพระอานนท์แสดงความเคารพเป็นอย่างยิ่ง ช้างจึงคิดเป็นมิตรด้วย พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้เหล่าภิกษุเมืองโกสัมพีเข้าเฝ้า ช้างจึงมีโอกาสหาผลไม้มาถวายเหล่าภิกษุ

    เมื่อพระบรมศาสดาทรงรับการขมาโทษจากเหล่าภิกษุชาวเมืองโกสัมพีแล้ว ต้องทรงกลับออกจากป่าเพื่อแสดงพระธรรมเทศนาโปรดมหาชนต่อ ช้างเดินทางตามมาด้วย พอเข้าเขตหมู่บ้าน พระองค์ตรัสให้ช้างกลับเข้าป่าตามเดิม เพราะมาใกล้แดนมนุษย์มีอันตรายมาก ช้างยืนนิ่งส่งด้วยความเสียใจ เมื่อพระบรมศาสดาและเหล่าภิกษุจากไปลับตา หัวใจของช้างป่าเรไลยก์ก็แตกสลายตายไปบังเกิดในสวรรค์
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    .....
    ทรงปลงอายุสังขาร

    พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกประกาศพระศาสนาไปตามแว่นแคว้นต่างๆ เป็นเวลา ๔๕ พรรษา นับตั้งแต่วันตรัสรู้ กระทั่งพระชนม์ ๘๐ พรรษา พระศาสนาเป็นปึกแผ่นมั่นคงทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้พุทธบริษัททั้ง ๔ สามารถสืบทอดต่อและดำรงตนอยู่ในพระสัทธรรมตามอุปนิสัย เป็นประโยชน์แก่มนุษย์และเทพยดาเป็นอันมาก

    ในพรรษากาลที่ ๔๕ เสด็จจำพรรษาครั้งสุดท้ายที่บ้านเวฬุวคาม ในเขตเมืองไพศาลี ทรงอนุญาตให้เหล่าภิกษุจำพรรษาตามสถานที่ต่างๆ ที่คุ้นเคย ในเมืองเดียวกัน

    ระหว่างพรรษา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชวรด้วยโรคชราอาพาธหนัก ทรงมีทุกขเวทนาแรงกล้า พระองค์ทรงดำรงพระสติสัมปชัญญะอดกลั้นในทุกขเวทนาเหล่านั้น ทรงทำความเพียรในอิทธิบาทภาวนา ได้แก่ ฉันทะ (มีใจรักในธรรมนั้นๆ) วิริยะ (พยายามทำให้ธรรมนั้นเกิด) จิตตะ (เอาใจใส่ ฝักใฝ่ในธรรมนั้น) วิมังสา (พิจารณาใคร่ครวญ ไตร่ตรอง สอบสวนหาเหตุผลในธรรมนั้น) ขับไล่ความเจ็บไข้เหล่านั้นให้หายไป

    พระอานนท์เถระพุทธอุปัฏฐากเข้าเฝ้ากราบทูลความในใจที่เห็นพระองค์ทรงประชวรว่า รู้สึกเป็นทุกข์เหมือนร่างกายเจ็บป่วยงอมระงมไปด้วย ใจคอมืดมนไปทั่วทุกทิศ ธรรมะทั้งหลายก็ไม่แจ่มแจ้ง เพราะความวิตกกังวลในพระอาการประชวร แต่อุ่นใจอยู่นิดหนึ่งที่พระองค์ยังไม่ตรัสพุทธพจน์ใดเป็นการสั่งลา คงยังไม่ปรินิพพาน เมื่อได้เห็นพระองค์ทรงหายดีแล้วรู้สึกดีใจ

    พระบรมศาสดาตรัสว่า ร่างกายของพระองค์ชรามาก เหมือนเกวียนชำรุดแล้ว เอาไม้ไผ่มาซ่อมแซมไว้ ส่วนเรื่องตรัสพุทธพจน์สั่งสอนอีกนั้น พระองค์ได้สอนจนหมดสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่อีกเลย

    ครั้นแล้วพระพุทธองค์ทรงกล่าวให้พระอานนท์ได้คิดที่จะกราบทูลอาราธนาให้พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่จนถึงอายุกัป (เวลานั้นมนุษย์มีอายุ ๑๐๐ ปี) หรือ เกินกว่านั้น ตรัสแสดงถึงคุณของการภาวนาอิทธิบาท ๔ ว่ามีอานุภาพทำให้ผู้บำเพ็ญมีอายุยืนถึงหนึ่งอายุกัป หรือเกินกว่านั้น ได้ตรัสเรื่องนี้ซ้ำๆ ถึง ๓ ครั้ง แต่ฝ่ายมารเข้าดลใจพระอานนท์ทำให้คิดอะไรไม่ออก งงงวยไปเสีย ฟังแล้วไม่เข้าใจพระประสงค์ พระองค์จึงให้พระอานนท์ออกไปนั่งที่อื่น

    ขณะนั้นเองมารก็เข้าไปทวงสัญญาว่า เมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ตรัสว่า ตราบใดที่พุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่ฉลาด ยังไม่สามารถแสดงธรรมได้ลึกซึ้งกว้างขวาง ทั้งการบวชประพฤติพรมหจรรย์ยังไม่แพร่หลายไปทั่ว ได้รับความสำเร็จบริบูรณ์ด้วยดี ทำให้เกิดประโยชน์แก่มหาชนเป็นอันมาก ทั้งเทพยดาและมหาชนแล้ว พระองค์จะยังไม่ปรินิพพาน บัดนี้ทุกสิ่งที่ทรงต้องการ เป็นไปตามพระประสงค์แล้วขอพระองค์จงปรินิพพานเถิด เป็นเวลาอันสมควรแล้ว

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ต้องวุ่นวายอะไร พระองค์จะปรินิพพานในเวลาต่อจากนั้นอีก ๓ เดือน ครั้นแล้วทรงมีพระสติสัมปชัญญะมั่นปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี เกิดอัศจรรย์แผ่นดินไหวใหญ่ เสียงกลองทิพย์บันลือลั่นในอากาศ พระอานนท์เถระแปลกใจมาก จึงเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาทูลถามสาเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหว

    พระองค์ตรัสชี้แจงว่า สาเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวมี ๘ ประการ คือ

    • ลมกำเริบ (เกิดขึ้นเอง)
    • ผู้มีฤทธิ์ทำให้เกิด
    • พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงสู่พระครรภ์
    • พระโพธิสัตว์ประสูติ
    • พระตถาคตเจ้าตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
    • พระตถาคตเจ้าเริ่มแสดงธรรม ประกาศพระศาสนา
    • พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร
    • พระตถาคตเจ้าปรินิพพาน
    แผ่นดินไหวขณะนั้นเป็นเพราะพระองค์ปลงอายุสังขาร พระอานนท์ได้สติกราบทูลอาราธนาให้ทรงดำรงพระชนม์อยู่ต่อไปจนถึงกัปหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่เทพยดา และมนุษย์ทั้งหลาย พระบรมศาสดาทรงห้าม พระอานนท์วิงวอนถึง ๓ ครั้ง อ้างว่าพระองค์ทรงเจริญอิทธิบาท ๔ แคล่วคล่องชำนาญย่อมทรงดำเนินพระชนม์ต่อไปได้

    พระบรมศาสดาได้ตรัสต่อไปว่า พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้พระอานนท์กราบทูลอารธนาถึง ๓ ครั้งแล้ว พระอานนท์ไม่เข้าใจเอง จึงเป็นความผิดชอบของพระอานนท์ผู้เดียว เมื่อทรงปลงอายุสังขารแล้ว (คือตั้งใจกำหนดวันปรินิพพาน) ไม่สามารถแก้ไขเป็นอย่างอื่นได้

    นอกจากนั้นพระบรมศาสดายังตรัสย้อนไปถึงเวลาอื่นๆ ที่ทรงเปิดโอกาสให้ทูลอาราธนาในสถานที่ต่างๆ ถึง ๑๖ ตำบล คือ ที่เมืองราชคฤห์ ๑๐ ตำบล ที่เมืองเวสาลี ๖ ตำบล

    พร้อมกันนั้นได้ตรัสพระธรรมเทศนาแก่พระอานนท์ว่า
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    .....
    ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ที่ป่ามหาวัน

    เมื่อตรัสสอนพระอานนท์ดังกล่าวแล้ว เสด็จไปยังศาลาที่ป่ามหาวัน ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลีมาเข้าเฝ้า ตรัสประทานโอวาทมีเนื้อความว่า

    ไม่จำเป็นที่ภิกษุทั้งหลายจะปรารถนาให้พระองค์ทรงมีพระชนม์อยู่ต่อไปอีกนานๆ เพราะธรรมทั้งหลายที่ภิกษุปฏิบัติแล้ว ตรัสรู้ในชาตินี้ เป็นความรู้เหนือโลก ได้ปัญญาขั้นโลกุตตระ(พ้นการเวียนว่ายตายเกิด) พระองค์ได้สั่งสอนไว้ด้วยพระปัญญาอันยิ่งแล้ว ขอให้ภิกษุทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติตามอย่างแท้จริง ก็จะเป็นผลสำเร็จ ได้รับประโยชน์ ผู้ใดยังไม่บรรลุมรรคผล ให้รีบขนขวาย อย่ามัวประมาท อย่ามัวเสียใจ

    เมื่อเหล่าภิกษุพากันกระทำตามคำสอนนี้ให้มากเข้า พระศาสนาก็จะตั้งอยู่ได้นานไม่เสื่อมสูญ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สุขต่อมหาชนเป็นอันมาก เป็นการอนุเคราะห์สัตว์โลกพร้อมทั้งเทพยดาทั้งปวง

    ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้เป็นอย่างดีแล้วนี้คือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ (ธรรมที่เกื้อหนุนให้รู้แจ้ง) ได้แก่ สติปฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘

    เมื่อภิกษุพากันศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงมีชีวิตอยู่หรือไม่ ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ ทั้งเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็สำเร็จเช่นเดียวกัน

    สติปัฏฐาน ๔ คือ ธรรมะอันเป็นที่ตั้งของสติ (สติคือความนึกได้ การคุมใจไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง) มีตั้งสติกำหนดพิจารณาใน กาย เวทนา (ความรู้สึก) จิต และธรรม

    สัมมัปปธาน ๔ คือ ความเพียร ๔ อย่าง เพียรละความชั่วที่มีอยู่ให้หมด เพียรไม่ให้ความชั่วใหม่เกิด เพียรรักษาความดีที่มีอยู่เอาไว้ เพียรสร้างความดีใหม่ให้ยิ่งๆ ขึ้น

    อิทธิบาท ๔ คือ ทางแห่งความสำเร็จ มีฉันทะ (ความพอใจรักใคร่) วิริยะ (ความเพียรทำ) จิตตะ (ความเอาใจฝักใฝ่) และวิมังสา(การพิจารณาใคร่ครวญด้วยปัญญา)

    อินทรีย์ ๕ ธรรมที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

    พละ ๕ ธรรมที่มีกำลังมาก ๕ ประการ เหมือนอินทรีย์ ๕
    โพชฌงค์ ๗ ธรรมที่เป็นองค์ประกอบของการตรัสรู้ คือ

    • สติ การนึกได้ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง
    • ธัมมวิจยะ การพิจารณาเลือกธรรม การสอดส่องสืบค้นธรรม
    • วิริยะ ความเพียร
    • ปีติ ความอิ่มใจ
    • ปัสสัทธิ ความสงบกายสงบใจ
    • สมาธิ ใจตั้งมั่น ใจแน่วแน่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
    • อุเบกขา ความมีใจเป็นกลาง เพราะรู้เห็นตามความเป็นจริง
    มรรคมีองค์ ๘ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ คือ มีความถูกต้องในเรื่อง ๘ อย่าง ได้แก่ ความคิดเห็น การดำริ การพูดจา การงาน การเลี้ยงชีวิต ความเพียร สติ และสมาธิ

    ต่อจากนั้นพระองค์ตรัสถ้อยคำแสดงความสลดใจ ให้ผู้ฟังเกิดความสังเวชเตือนใจให้เกิดความสำนึก ที่จะน้อมใจมาทางกุศล รวมทั้งตรัสสอนเรื่องธรรมคือความไม่ประมาท ด้วยพระวาจาว่า

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนท่านทั้งหลายให้รู้ว่า สังขาร(สิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)ทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยัง(กระทำ)ประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อม(สำเร็จ)บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด เราตถาคตจักปรินิพพานเร็วๆ นี้ คืออีก ๓ เดือนข้างหน้า
    คนทั้งหลาย ไม่ว่าเป็นคนหนุ่ม คนแก่ คนฉลาด มั่งมีหรือยากจน ล้วนต้องตายด้วยกันทุกคน มีความตายคอยอยู่ข้างหน้า เหมือนภาชนะที่ปั้นด้วยดินที่ช่างปั้นทำขึ้น ทั้งที่มีขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ยังไม่ได้เผาหรือเผาสุกแล้ว ไม่ว่าชนิดใด ต้องแตกทำลายในที่สุด

    ชีวิตสัตว์ทั้งหลายก็ในทำนองเดียวกัน แตกทำลายไปในที่สุด เราตถาคตมีวัยชรามากแล้ว ชีวิตของเราเหลือน้อยแล้ว เราต้องจากพวกท่านไปก่อน เราเองทำที่พึ่งให้ตนเองไว้แล้ว

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีลอันดีเลิศ จงมีความดำริดีให้มั่นคง จงตามรักษาจิตของตนเอง ใครก็ตามอยู่ในธรรมวินัยนี้อย่างไม่ประมาท คนๆ นั้นจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด จะเป็นผู้สิ้นทุกข์
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]

    ..... พระโอวาทที่บ้านภัณฑุคาม

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทศนาที่บ้านภัณฑุคาม เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ เป็นอริยสัจธรรม ๔ ประการ มากกว่าตรัสสอนอย่างอื่น
     

แชร์หน้านี้

Loading...