"เห็นกรงจักรเป็นดอกบัว"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 5 ตุลาคม 2016.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    "เห็นกรงจักรเป็นดอกบัว"

    มิตตวินทุกชาดก

    .....เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้าที่ชื่อว่า สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ความมีอยู่ว่า นายมิตตวินทุกะถูกจักรพัดอยู่บนศีรษะตลอดเวลา จึงได้รับความทุกข์ทรมานมาก เรื่องมีอยู่ว่า.....

    มีชายคนหนึ่งชื่อนายมิตตวินทุกะ ถูกลอยแพมาจากเรือใหญ่ เพราะเรือประสบภัยและทุกคนลงความเห็นว่าชายคนนี้ต้องเป็นกาลกิณี พอลอยอยู่สักพัก ก็ไปขึ้นฝั่งบนเกาะร้าง ปรากฏเป็นวิมานแก้วและมีนางฟ้า 4 ตน (นางเวมานิกะเปรต) หน้าตางดงาม ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่างปรนนิบัติเอาใจและเสพสุขอยู่กับนายมิตตวินทุกะผู้นั้นเป็นเวลานานนับเป็นพุทธันดร คือ ยาวนานกว่าอายุขัยเทวดาทั้งปวงเสียอีก

    แต่ไม่ว่าจะมีความสุขแค่ไหน อยู่นานไปก็เริ่มเบื่อจึงคิดจะออกเรือไปยังเกาะข้างหน้า แต่ก่อนจะไปเปรตนางฟ้าเหล่านั้นจึงเนรมิตเรือทองให้เขาลำนึง เพื่อให้ใช้ในการเดินทางโดยสะดวก แม้ว่าเหล่านางฟ้าจะอ้อนวอนไว้ แต่เมื่อเขาจะไปก็ห้ามไม่ได้ เพราะแท้จริงแล้วนางฟ้าเหล่านั้นเป็นเวมานิกเปรตที่มีกรรม ต้องมาคอยรับใช้และล่อหลอกให้คนติดอยู่ในบ่วงตัณหา ด้วยรูปกายที่เนรมิตขึ้นมา

    เมื่อออกเดินทางไปเจอเกาะอีกแห่งหนึ่ง ก็ได้พบวิมานใหญ่กว่าเดิม มีนางฟ้า ซึ่งเป็นนางเวมานิกะเปรตเยอะกว่าเดิม 2 เท่าคือ 8 ตน นายมิตตวินทุกะผู้นั้นได้เสพสุขกับเปรตนางฟ้าเหล่านั้นสิ้นกาลนานจนอยู่นานไปก็เริ่มเบื่ออีก จึงคิดว่าจะออกเดินเรือ เพื่อไปค้นหาความสุขที่ยิ่งกว่าเดิม เมื่อบอกลาเหล่านางฟ้าทั้ง 8 ตนแล้ว ก็ออกเดินทางไปพบเกาะแห่งใหม่ ซึ่งมีนางฟ้าอยู่ถึง 16 ตนด้วยกัน เป็นวิมานเงินสวยงาม และกาลก็เป็นเช่นเดิม

    นายมิตตวินทุกะได้เสพสุขกับเหล่าเปรตนางฟ้านั้นอยู่สิ้นกาลนาน จนอยู่นานไปก็เริ่มเบื่อ จึงออกเดินทางไปอีก ก็พบเกาะที่มีนางฟ้าเวมานิกะเปรตอยู่ถึง 32 ตนด้วยกัน มีวิมารสีทองสวยอร่ามงามตาเป็นยิ่งนัก ความสุขนั้นมากเกินจะบรรยายจนเขาก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพบเจอ

    แต่เมื่ออยู่นานไปก็คิดอยากจะมีความสุขมากขึ้นอีก จึงเตรียมตัวออกเดินเรือไป แต่เปรตนางฟ้าเหล่านั้น
    ได้ทัดทานไว้ว่าถัดจากนี้ไปเป็น อุสสทนรก ไม่มีวิมานใด ๆ อีกแล้ว แต่นายมิตตวินทุกะ ก็ไม่สนใจ ออกเดินเรือไปในที่สุด เพราะความอยากที่ไม่รู้จบ

    เมื่อเดินเรือไปก็พบเกาะแห่งหนึ่ง บนเกาะมีผู้คนมากมายนำดอกบัวที่สวยงามมากมาเทินไว้ที่หัวฟ้อนรำอยู่กันอย่างสนุกสนาน นายมิตตวินทุกะเห็นแล้วจึงอยากได้ดอกบัววิเศษนั้น แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นเปรตที่ถูกกงจักรหมุนเลื่อยศรีษะอยู่ตลอดเวลา ได้รับความเจ็บปวดทรมานมาก แต่นายมิตตวินทุกะเอ่ยปากขอและได้อธิบายแล้วว่ามันเป็นกงจักร ไม่ใช่ดอกบัว เขาก็ไม่ยอมฟังความอะไร เปรตนั้นจึงคิดว่าเราคงจะได้พ้นกรรมแล้วและชายผู้นี้คงมารับกรรมต่อ จึงมอบให้ไป เมื่อนายมิตตวินทุกะนำมาเทินไว้บนหัว ที่เคยเห็นว่าเป็นดอกบัว ก็กลับกลายเป็นกงจักร เลื่อยตัดหัวเขาจนตาย เมื่อตายแล้วก็ฟื้น พอฟื้นก็ถูกเลื่อยอีก เป็นอยู่เช่นนี้สิ้นกาลนาน

    ขณะนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าได้เหาะผ่านมา นายมิตตวินทุกะ จึงถามว่า “ข้าแด่พระองค์ ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรไว้แก่เทวดา ข้าพเจ้าได้กระทำความชั่วอะไร จักรนี้ได้จรดที่ศีรษะแล้วพัดผันอยู่บนกระหม่อมของข้าพเจ้า”

    พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “เพราะเหตุใดเล่า ท่านผ่านทั้งปราสาทแก้วผลึก ปราสาทเงิน ปราสาทแก้วมณี และปราสาททองมาแล้วจึงมาถึง ณ ที่นี่ได้”

    นายมิตตวิทุกะกล่าวว่า “ขอพระองค์ท่านจงดูข้าพเจ้าผู้มีความหายนะ เนื่องเพราะสำคัญว่าที่นี่มีโภคทรัพย์สมบัติมากมายกว่าปราสาททั้ง ๔ หลังที่กล่าวมานี้”

    ......พระโพธิสัตว์ จึงตรัสตอบว่า “เนื่องเพราะท่านมีความปรารถนามากเกินไป ได้ครอบครองนารี ๔ นาง ไม่พอใจทั้ง ๔ นางได้ครอบครองนารีทั้ง ๘ นาง ไม่พอใจทั้ง ๘ นาง ได้ครอบครองนารีทั้ง ๑๖ นาง ไม่พอใจทั้ง ๑๖ นางได้ครอบครองทั้ง ๓๒ นาง ไม่พอใจทั้ง ๓๒ นาง ท่านจึงได้ประสบกับจักรที่พัดอยู่บนศีรษะของท่าน เพราะถูกความโลภ ความปรารถนาที่มากเกินไป”

    พระโพธิสัตว์ตรัสเช่นนี้แล้ว ก็เสด็จสู่เทวสถานแห่งตนทันที ฝ่ายมิตตวินทุกะ ก็ยังคงมีจักรพัดอยู่บนศีรษะอยู่ตลอดเวลา และได้รับความทุกขเวทนาหนักเรื่อยไป จนกว่าบาปกรรมที่กระทำไว้จะหมดสิ้นไป การที่นายมิตตวินทุกะ ได้รับกรรมเช่นนี้ ก็เนื่องด้วยความโลภ ความปรารถนา และความอยากไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง


    พระพุทธองค์จึงตรัสสั่งสอนว่า “ขึ้นชื่อว่าความอยาก มีสภาพแผ่ไปยิ่งใหญ่ไพศาล ทำให้เต็มได้ยาก (ความอยากไม่มีที่สิ้นสุด) หากชนเหล่าใดตกอยู่ภายใต้อำนาจของความอยากแล้ว ก็ยากที่จะถอนตัวออกได้ง่าย ๆ เหมือนกับท่านในปัจจุบันนี้ ต้องเทินจักรไว้อยู่บนศีรษะตลอดเวลา”

    เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสจบแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า นายมิตตวินทุกะในครั้งนั้น ได้มาเป็น
    มิตตวินทกภิกษุผู้ว่ายาก ส่วนเทพบุตรในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

    ตัณหาคือความอยาก เป็นสิ่งที่เติมเต็มได้ยาก ขยายไปได้ไร้ขอบเขต ผู้ที่มีความอยากที่ไม่สิ้นสุด
    ย่อมเป็นเหมือนชายผู้นี้ที่จะต้องไปเสพสุขกับนางเปรตและไปสิ้นสุดที่นรก

    บุคคลผู้กระทำเหตุด้วยความอยาก ย่อมไม่สามารถเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ได้ ผู้สละความอยากได้ต่างหากจึงจะเข้าสู่โลกสวรรค์ แม้เทวดาจะมีความสุขในกามอันประณีต แต่ความติดในกามของเทวดากลับมีน้อยกว่า เพราะเสพอย่างรู้ประมาณ ไม่ได้แล่นไปตามตัณหาอันไม่สิ้นสุด เพราะเมื่อเทวดา เสพกามมากไปจนลืมบริโภคอาหารทิพย์ กายย่อมแตก ย่อมจุติ ดำรงอยู่ในเพศภาวะของเทวดาไม่ได้

    ความสุขเดียวที่เป็นอมตะ มั่นคง ถาวร ไม่อิงกับสิ่งใด ๆ คือความสุขในอมตมหานิพพาน.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...