เห็นผลในชาตินี้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Mantalay, 16 ธันวาคม 2010.

  1. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    kanchana.c
    วันที่ 25 ก.พ. 2552 16:30
    อ่าน 686



    เสน่ห์อินเดีย 3


    สำรวจรอบๆโรงแรม


    โดย สาวิกา ศาสตรพงศ์


    จาก...บ้านธัมมะ


    [​IMG]


    วันนี้ทางทัวร์พาไปเที่ยวกรุงราชคฤห์ แต่เราไปแล้วหลายครั้ง และยังเข็ดขยาด

    กับการเหยียบกับระเบิดครั้งก่อน จึงขอไปสำรวจสถานที่ต่างๆ ที่หมายตาไว้หลายแห่ง
    โชคดีที่ไปกันสองคน และมีความคิดอย่างเดียวกัน จึงชวนกันไปผจญภัยน้อยๆ หลัง
    จากทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว ก็เดินมาชมสวนกุหลาบด้านหน้าที่หมายตาไว้ มี
    กุหลาบหลายต้น หลายพันธุ์ออกดอกดกสวยงามดี แต่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือน
    ของฝรั่ง ซึ่งสวนกุหลาบของฝรั่งที่เคยเห็น จะไม่ปล่อยให้หญ้าขึ้นรกรุงรังอย่างนี้หรอก
    แต่ก็ยังดีกว่าบ้านเราที่กรุงเทพ ที่ปลูกกุหลาบกี่ครั้งก็ไม่ออกดอกสวยงามอย่างนี้

    ก่อนออกจากโรงแรมได้แลกเงินรูปีเป็นแบงค์สิบรูปีไว้ 1,000 บาท ได้เงิน 1,000

    รูปี ซึ่งถ้าแลกกับไกด์จะได้ 1,400 รูปี แต่เป็นแบงค์ร้อย ซึ่งจะใช้ลำบากมาก เพราะที่
    ต้องใช้มาก คือค่าทิป ไม่ว่าจะให้ใครทำอะไร หรือเขาทำอะไรให้โดยไม่ได้ร้องขอ เช่น
    เปิดประตู เสร็จแล้วเขาจะยืนคอย จนกว่าเราจะจ่ายทิป เขาจึงจะไป แม้จะเข้าห้องน้ำ
    สาธารณะที่ไม่ต้องเสียเงิน เขาจะเปิดประตูให้ พอเราออกมา เขาก็จะแบมือ แล้วพูด
    ว่า money money ก็ต้องจ่ายสิบรูปี ถ้ามีแต่แบงค์ร้อย จะทำอย่างไร คาดว่าคงไม่
    ทอนแน่นอน ตอนมาถึงวันแรก บ๋อยยกกระเป๋าให้ ตอนนั้นยังไม่มีเงินรูปี ต้องทิปด้วย
    เงินดอลลาร์ ซึ่งทราบภายหลังว่าให้เงินไทยก็รับเหมือนกัน

    [​IMG]

    เดินมาหน้าโรงแรม มีรถสามล้อถีบคันหนึ่ง คนถีบแก่มาก บอกว่าจะไปวัดไทย
    พุทธคยา เขาเรียก 20 รูปี ก็ตกลงทันที เพราะไม่ถึง 20 บาท ระยะทางไม่ไกลมาก
    สามารถเดินไปไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว เมื่อเข้าไปในวัดไทย ก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนกลับ
    บ้าน จากบ้านไปแค่สองวัน ก็คิดถึงบ้านเสียแล้ว ได้เข้าไปกราบพระประธานในโบสถ์
    มีคนอินเดียที่คงนับถือพุทธเข้าไปกราบหลายคน แต่สำหรับคนต่างชาตินั้นเขากั้นเป็น
    คอกไว้ ไม่ให้เข้าไปนั่งใกล้ชิดกับพระประธานได้เลย สำหรับคนไทย มีประตูทางขึ้นอีก
    ทางหนึ่ง เมื่อเข้าไปนั่งบนพรม ได้พิจารณาภาพวาดบนพระอุโบสถ ซึ่งเป็นภาพชาดก
    พระมหาชนก สวยงามมาก ได้พูดคุยสนทนากับพระคุณเจ้าที่ดูแลวัด ถามท่านว่า ค่ารถ
    สามล้อจากโรงแรมมาวัดประมาณเท่าไร ท่านบอกว่า บางครั้งก็ 5 รูปี แต่ไม่เกิน 10 รูปี
    เกินราคาไปนิดหน่อย ไม่เป็นไร นึกว่าทำทาน

    วัดไทยพุทธคยาสร้างขึ้นโดยรัฐบาล และประชาชนชาวไทย ในสมัยของจอมพล


    ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเชื้อเชิญของรัฐบาลอินเดีย เพื่อเป็นพุทธบูชา และอนุสรณ์


    ในโอกาสเฉลิมฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ มีเนื้อที่ทั้งหมด ๑๒ ไร่ โดยรัฐบาลอินเดีย


    จัดสรรให้เช่าเป็นเวลา ๙๙ ปี เมื่อครบกำหนดแล้วก็ต่อสัญญาได้อีกคราวละ ๕๐ ปี


    พระอุโบสถจำลองแบบพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร พระประธานในโบสถ์เป็นพระพุทธ-


    ชินราชจำลอง [ข้อมูลจากหนังสือ “เกี่ยวกับอินเดีย” โดย พระราชธรรมมุนี (เกียรติ สุ


    กิตติ)]


    ออกจากวัดไทย ตั้งใจจะไปดูวัดญี่ปุ่น มีสามล้อรออยู่หลายคันรวมทั้งลุงแก่คนเก่า

    ที่ยืนยิ้มย่องอยู่ด้วย แต่ฉุนๆ เลยเรียกคันที่เด็กหนุ่มถีบ บอกว่าไปวัดญี่ปุ่น เขาบอกว่า
    10 รูปี ก็ตกลงทันที รถเลี้ยวเข้าถนนเล็กๆ ผ่านวัดภูฐาน และวัดอีกหลายชาติที่ไม่
    เขียนภาษาอังกฤษ เดาไม่ออกว่าเป็นชาติไหนอีกหลายแห่ง เป็นถนนสายวัดชาติต่างๆ
    พอถึงวัดญี่ปุ่น เด็กคนถีบบอกว่า ค่ารถ 10 รูปีนั้นต่อคน สองคนก็ต้องจ่าย 20 รูปี อ้าว!
    สามีเลยนึกได้ว่า ตอนมาเรียนอินเดียเมื่อหลายสิบปีก่อน ก็อย่างนี้เหมือนกัน ถ้ามีของ
    วางไว้ที่พื้นรถ ก็จะคิดค่าของอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น จะตกลงราคาต้องถามให้แน่
    นอนว่า ต่อคัน หรือต่อคน หรือต่อชิ้น ช่างละเอียดลออจริงๆ

    วัดญี่ปุ่นยามสายนี้เงียบสงบ มีคนไม่กี่คน ต้องถอดรองเท้าไว้ข้างนอก มีแขกคอย

    ยืนเก็บเงินค่าวางรองเท้าอีกแล้ว วัดญี่ปุ่นเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์ มีแต่พระพุทธรูปแบบ
    ญี่ปุ่นองค์ใหญ่ มองเห็นแต่ไกล ดูสงบสวยงามมาก ได้เดินประทักษิณรอบองค์พระ นึก
    อนุโมทนาในศรัทธาของชาวพุทธญี่ปุ่นที่สร้างพระพุทธรูปได้สวยงามเช่นนี้

    ออกจากวัดญี่ปุ่น เดินย้อนกลับมาวัดภูฐาน ได้เข้าไปกราบพระพุทธรูป เขาทำคอก

    กั้นไว้เหมือนที่วัดไทย สามารถเข้าไปกราบได้เฉพาะหน้าพระพักตร์เท่านั้น ไม่สามารถ
    จะเดินไปนั่งใกล้ๆได้ และวัดอื่นๆก็เป็นอย่างนี้ คงมีประสบการณ์ว่าอย่างนี้ปลอดภัยที่
    สุด สายมากแล้ว คิดว่าจะกลับไปที่พระศรีมหาโพธิ์ ไปนั่งใต้ร่มเงาของพระเจดีย์
    คงจะสงบร่มรื่นดี รถสามล้อคันเก่าถีบตามมาเรียกให้ขึ้น แต่เราไม่อยากใช้บริการ เลย
    เดินกลับไปเอง คิดว่าไม่ถึง 500 เมตร เดินดูอะไรต่ออะไรข้างทางไปด้วย เข้าใจพวก
    ฝรั่งที่เดินสะพายเป้ตากแดดหัวแดงแล้ว เพราะการเดินดูนี่ เห็นได้ละเอียดทุกซอกทุก
    มุมจริงๆ

    ถึงพระศรีมหาโพธิ์ยังไม่ทันเหนื่อย ผู้คนก็เยอะแยะมากมายเหมือนเดิม เลยชวนกัน

    ไปที่วัดมหันต์ ที่เคยดูจากรายการ “ตามรอยพระพุทธเจ้า” และกระทู้ที่คุณวีระยุทธ์
    เขียนและมีรูปภาพประกอบด้วย เดินจนสุดถนนเข้าพระเจดีย์ จะมีตลาดเล็กๆ ผู้คนมาก
    มายเดินเบียดเสียด มีทั้งคนขายของ ขอทาน มีทั้งสามล้อ รถตุ๊กๆ รถจักรยาน
    ส่งเสียงอื้ออึง มาหลายครั้งแล้ว ไม่เคยเดินมาไกลถึงขนาดนี้เลย เพราะกลัวแขก ไม่
    กล้าออกนอกเส้นทางที่ไม่มีผู้นำ คราวนี้เชื่อใจสามีที่เคยอยู่อินเดียมาหลายปี เลยชวน
    กันเดินเล่นไปเรื่อยๆ ได้เห็นสภาพชีวิตตามธรรมชาติของผู้คนที่อาศัยอยู่รอบๆเจดีย์
    เมื่อสุดถนน เห็นกำแพงคอนกรีตทาสีที่เคยขาว ที่ประตูมีพระพุทธรูปงามมากประดับ
    อยู่ที่กรอบประตู อย่างไม่เคารพนับถือ เพราะมีแผงขายของวางพิงอยู่
    [​IMG]


    เดินตามถนนทรายเลียบกำแพงวังไปจนสุดกำแพง เลี้ยวขวาก็จะถึงทางเข้า มี

    แขกนั่งอยู่ 4 - 5 คน เมื่อเห็นเราก็ยินดีมาต้อนรับ ต้องถอดรองเท้าอีกแล้ว คราวนี้
    ก้มถอดรองเท้าให้เลย คงต้องทิปหนักกว่าเก่า เมื่อเดินเข้าไปในวัง เห็นพระมหันต์ คน
    เดียวกับที่ออกทีวีนั่งยิ้มอยู่ มีคนเชิญให้เดินเข้าไปดูข้างใน ซึ่งดูเหมือนกับไม่มีคนอยู่
    เหมือนบ้านร้าง สามีรีบชวนกลับ มาบอกทีหลังว่า รู้สึกเย็นยะเยือก ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
    รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะเราไปกันแค่ ๒ คน แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น คงไม่มีใครรู้
    ว่าเราอยู่ในนี้ เป็นอันว่า เห็นแค่ความเสื่อมโทรมของวังมหันต์ที่เคยมีอดีตอันรุ่งเรือง มี
    ทรัพย์สมบัติมากมาย และต่อสู้กับท่านธัมมปาละมาตลอดเวลาอันยาวนานที่ท่านได้
    พยายามขอให้เจดีย์พุทธคยากลับมาเป็นของชาวพุทธ และสำเร็จหลังจากที่ท่านได้
    เสียชีวิตแล้ว ๑๙ ปี
    [​IMG]



    [​IMG]

    เมตตา
    วันที่ 27 ก.พ. 2552 20:52



    [​IMG]
    ท่านอนาคาริกะ ธรรมปาละ และแท่นวัชระอาสน์ กับต้นโพธิ์
    ตรงตำแหน่งนี้เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว
    ขอกราบอนุโมทนาในกุศลเจตนา ทั้งทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
    ที่ท่านธรรมปาละได้ต่อสู้เพื่อธำรงไว้ซึ่งพุทธสถาน และพระพุทธศาสนาไว้แก่
    ชาวพุทธ
    [​IMG]




    wannee.s
    วันที่ 28 ก.พ. 2552 13:40


    ท่านธรรมปาละเป็นบุคคลที่เสียสละ ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
    เป็นบุคคลที่ควรสรรเสริญ ยกย่องค่ะ
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2011
  2. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    jon1977
    วันที่ 5 ต.ค. 2553 16:32
    อ่าน 201

    บาปจากการขโมยอาหารจากบาตรพระ แก้ไขอย่างไรครับ
    <input name="t_sel" class="noborder" value="17310" align="middle" type="checkbox">

    เรื่องของผมมีอยู่ว่า เมื่อสมัยผมยังเป็นเด็ก บ้านของผมอยู่ห่างจากโรงเรียนมาก พ่อจึง

    เอามาฝากไว้กับพระที่วัดใกล้ๆโรงเรียน กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันสี่ห้าคน ตอนเช้า

    ทุกวันหลังจากที่พระบิณฑบาตรเราต้องไปรับบาตรจากพระมาเก็บ ด้วยความรู้เท่าไม่

    ถึงการณ์ตอนนั้น ผมกับเพื่อนๆก็จะขโมยอาหาร ขนม นมจากบาตรพระ เพื่อเอาไป

    รับประทานที่โรงเรียน มาถึงตอนนี้ผมรู้ว่ามันเป็นบาปมาก จึงอยากทราบวิธีแก้กรรม

    ที่ทำมาตอนเด็กๆครับ ท่านใดพอจะชี้แนะได้บ้างครับ




    [​IMG]





    prachern.s
    วันที่ 6 ต.ค. 2553 08:47

    ความคิดเห็นที่ 1
    <input name="c_sel[1]" class="noborder" value="1" align="middle" type="checkbox">

    ขอเรียนว่าสิ่งใดที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปแล้วไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขใหม่ได้ ปัจจุบัน

    สำคัญที่สุด สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าดี สิ่งนั้นควรทำ ควรสะสมอบรมให้มาก เพราะ

    สิ่งนั้นย่อมนำสุขมาให้ ไม่นำความทุกข์ความเดือนร้อนมาให้ สิ่งที่ดีนั้นก็คือ บุญญกิริยา

    วัตถุ ๑๐ โดยสรุปคือ ทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะกุศลขั้นภาวนา คือการฟังธรรม การ

    อบรมปัญญา เป็นบุญที่ควรสะสมอย่างยิ่ง เพราะบุญขั้นภาวนานี้จะทำให้ดับอกุศล ดับ

    เหตุของทุกข์ทั้งปวงได้ เหตุที่ไปขโมยอาหาร ก็เพราะมีอกุศล และถ้ายังอยู่ในวัฏฏะนี้

    อกุศลก็จะเป็นเหตุให้ทำบาปอีกมากมาย เช่น การฆ่าสัตว์ อาจถึงการฆ่าผู้มีพระคุณก็ได้

    การประพฤติในภรรยาผู้อื่น การพูดโกหก เป็นต้นก็ได้ นี้คือโทษของวัฏฏะครับ ดังนั้นจึง

    ไม่ควรประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ..






    [​IMG]




    wannee.s
    วันที่ 6 ต.ค. 2553 21:54

    ความคิดเห็นที่ 2
    <input name="c_sel[2]" class="noborder" value="2" align="middle" type="checkbox">

    ไม่ประมาท เจริญกุศลทุกประการ โดยเฉพาะไม่ขาดการศึกษาธรรม การฟังธรรม
    การพิจารณา การอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์







    [​IMG]




    jon1977
    วันที่ 7 ต.ค. 2553 12:43

    ความคิดเห็นที่ 3
    <input name="c_sel[3]" class="noborder" value="3" align="middle" type="checkbox">

    แล้วผมจะบาปมากขนาดไหนครับ จะแก้กรรมได้อย่างไร








    [​IMG]


    chaiyut
    วันที่ 7 ต.ค. 2553 14:52

    ความคิดเห็นที่ 4
    <input name="c_sel[4]" class="noborder" value="4" align="middle" type="checkbox">

    บาปในที่นี้ คงหมายถึงว่า กรรมที่ทำแล้วไว้นั้น จะให้ผลหนักแค่ไหนใช่ไหมครับ ก็ขึ้นอยู่

    กับว่าเจตนา ความจงใจที่ขวนขวายประกอบอกุศลกรรมในขณะนั้น มีกำลังมากไหม ประ

    กอบด้วยความเพียรมากไหม อาหารขนมพวกนั้นมีค่ามากหรือไม่ และผู้ที่เราล่วงเกินนั้น

    ท่านมีคุณธรรมสูงหรือเปล่า ถ้าไม่ทราบว่าสภาพจิตใจตอนนั้นเป็นอย่างไร ก็คือว่า สิ่ง

    นั้นก็เกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น จึงแก้ไขไม่ได้ เพราะกลับไปทำอะไรไม่

    ได้ กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว ปกปิดแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะรู้ว่าตนจะได้รับผลของกรรมนั้น

    เมื่อไร และจะได้รับผลของกรรมนั้นหนัก - เบาแค่ไหน เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้แน่ชัด ก็

    ไม่ควรคำนึงถึงด้วยความกังวลในสิ่งที่ผ่านไปแล้วหรือสิ่งที่ยังไม่เกิด แต่ควรคำนึงถึงว่า

    ขณะนี้ไม่ควรประมาท ทำกรรมดีบ้างหรือยัง ไม่ใช่ไม่ประมาทเพียงจะไม่กระทำบาปอย่าง

    นั้นอีก แต่ไม่ควรประมาทที่จะศึกษาพระธรรมซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง

    เพราะเป็นสัจจะซึ่งมีประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ศึกษาให้ถึงซึ่งการพ้นทุกข์ได้ ควรศึกษาให้

    เข้าใจจนเกิดปัญญาของตนเอง แนะนำให้ฟังธรรมในเว็บนี้บ่อยๆ ครับ

    ขอเชิญคลิกฟัง
    >> • ผลของกรรมจะมากน้อยขึ้นอยู่กับอะไร
    กรรมที่ได้กระทำแล้วแก้ไม่ได้






    [​IMG]




    ธนฤทธิ์
    วันที่ 3 เม.ย. 2554 09:21

    ความคิดเห็นที่ 5
    <input name="c_sel[5]" class="noborder" value="5" align="middle" type="checkbox">

    ยอมรับกรรมทั้งหมดเพราะเราทำเอง ขอให้ฟังธรรมให้เข้าใจธรรมะ

    และขออนุโมทนาในจิตกุศล



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2011
  3. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    ในสมัยรุ่นปู่ย่าตายายนั้น มีพระสงฆ์รูปหนึ่งอายุแก่มากๆ ท่านอยู่แบบธรรมดาๆ เงียบๆ ไม่ได้เป็นที่รู้จักเช่นพระที่ดังๆ ที่ญาติโยมเข้าหามิได้ขาด ท่านอยู่ของท่านเงียบๆ เมื่อท่านมรณภาพ จัดงานฌาปนกิจเรียบร้อยแล้ว กระดูกของท่านกลายเป็นพระธาตุ ผู้คนจึงได้รู้ว่า ท่านอยู่อย่างเงียบๆ นั้น ไม่ธรรมดา ดังนั้น เราเจอพระที่ไหน อย่าได้ปรามาสเมื่อมองแล้วควรวางเฉย และกราบไหว้ตามสมควรแำก่สถานที่ที่ท่านพบ เพราะในความธรรมดาของท่านนั้น เราไม่อาจรู้ได้ว่าท่านเป็นอย่างไร
    [​IMG]


    และการไปยกย่องพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งว่าเป็นพระอรหันต์นั้น ถ้าพระสงฆ์ท่านยังไม่ถึงพร้อมเป็นพระอรหันต์จริง ถือว่าท่านไปยกย่องผิด กล่าวสรรเสริญเป็นพระอรหันต์กับปุถุชน ตัวท่านจะติดลบเสียเปล่า เพราะผลที่ได้แก่ตัวท่านคือ ขวางทางไปพระนิพพานของท่าน ไม่ต่างจากการปรามาสพระรัตนตรัย

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2011
  4. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    เห็นถึงความดีที่เป็นกุศลของคุณ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป อนุโมทนา สาธุ
     
  5. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    เห็นด้วยกับธรรมบทนี้เป็นอย่างยิ่งเลยค่ะพี่จั่น สาธุ
     
  6. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    [​IMG]

    ท่านอนาคาริกะ ธรรมปาละ และแท่นวัชระอาสน์ กับต้นโพธิ์
    ตรงตำแหน่งนี้เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว
    ขอกราบอนุโมทนาในกุศลเจตนา ทั้งทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
    ที่ท่านธรรมปาละได้ต่อสู้เพื่อธำรงไว้ซึ่งพุทธสถาน และพระพุทธศาสนาไว้แก่
    ชาวพุทธ
    [​IMG]

    ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของท่าน ธรรมปาละ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    ขอบคุณ คุณโชติกะ และ น้องพิม ที่เข้ามาอ่านค่ะ
    ขอบคุณสำหรับจิตใจที่ดี ที่มีให้กันค่ะ
    ขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านนะค่ะ
    ตอนนี้มีเรื่อง ปัฎฐานในชีวิตประจำวัน ที่อภิญญาสมาธิ
    ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากๆอยากใ้ห้เพื่อนๆ ไปอ่านกันนะค่ะ
    อยู่ใน กระทู้เรียนพระอภิธรรมกันเถอะค่ะฯ
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2011
  8. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    kanchana.c
    วันที่ 27 ก.พ. 2552 21:48
    เสน่ห์อินเดีย 4

    สระมุจลินท์ ของแท้
    จาก...บ้านธัมมะ


    [​IMG]
    เดินออกจากวังมหันต์ แวะดูพระพุทธรูปที่กรอบประตูอีกครั้งด้วยความเสียดาย ที่
    ประดิษฐานอยู่ในที่ไม่เหมาะสมกับความสวยงาม แล้วก็ตัดใจเดินไปที่พระเจดีย์ คิดว่า
    คราวนี้คงจะไม่มีคนหนาแน่นแล้ว จะได้นั่งเงียบๆใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์แน่ๆ เดินจะขึ้น
    บันได เห็นคณะบ้านธัมมะจากเชียงใหม่หลายคน พอเจอกันก็ดีใจมาก ราวกับเพิ่งพบ
    กันครั้งแรก คุณโจชวนให้ไปดูสระมุจลินท์ของแท้ ไม่ใช่ที่จำลองมาอยู่ในบริเวณพระ
    เจดีย์ เรารีบตอบตกลงทันทีด้วยความยิ่งกว่าเต็มใจ กระโดดขึ้นรถตุ๊กตุ๊กแขก ที่
    สามารถนั่งได้รอบด้าน ข้างคนขับ 2 ที่ ที่นั่งหลังคนขับได้ 3 ที่ และท้ายสุดก็นั่งได้อีก
    2 เคยเห็นแขกนั่งกันได้เป็นสิบ และก็พบกับคณะพี่เดือนที่จะไปที่เดียวกัน จึงมีขบวน
    รถตุ๊ก 3 คัน ขับไปตามถนนด้านหลังพระเจดีย์ผ่านตลาดขายของสารพัดอย่าง แล่น
    เลียบแม่น้ำเนรัญชราไปตามทางดินขรุขระ แต่ก็สนุกมาก เหมือนได้ผจญภัยในทะเล
    ทราย บางครั้งรถก็วิ่งหลบหลุมเข้าไปในบริเวณบ้านชาวบ้าน เห็นออกมาด่ากัน (เดา
    เอาจากภาษากาย เพราะฟังไม่รู้เรื่อง) ผ่านกลุ่มแขกหลายคนนั่งอยู่ริมแม่น้ำ ได้ทราบว่า
    เป็นการเผาศพ ซึ่งเรียบง่ายดี กว่าจะถึงสระมุจลินท์ ก็สะบักสะบอม เพราะถูกกระแทก
    กระทั้นจากแรงกระเทือน เห็นสระใหญ่พอสมควร มีน้ำสีเขียวเข้มเต็มสระ ในขณะที่แม่
    น้ำแห้งผาก มีแต่ทราย มีชาวบ้านหลายคนและวัวอยู่ใกล้ๆสระ มีป้ายหินจารึกภาษาแขก
    ไว้ สอบถามไกด์ที่พาไป ได้ความว่า ไม่เกี่ยวกับสระ แต่บอกชื่อผู้ทำทางน้ำให้ไหลไป
    ตามไร่นาเพื่อทำการเกษตร คุณวรรณีผู้มีศรัทธาแรงกล้า หาที่ปูผ้าเพื่อกราบนมัสการ
    ได้ที่เป็นเนินใกล้สระที่ห่างไกลจากกองขี้วัวไปหน่อย แล้วก็ชักชวนกันกราบเพื่อระลึก
    ถึงพระผู้มีพระภาคที่ได้เสด็จมาประทับเสวยวิมุตติสุขอยู่เป็นเวลา ๗ วัน ในสัปดาห์ที่ ๖
    หลังตรัสรู้ ซึ่งในตำนานกล่าวว่า ตอนนั้นมีลมหนาวเย็นและฝนตกพรำตลอด ๗ วัน มุ
    จลินทนาคราชได้มาวงขนดรอบพระกายของพระผู้มีพระภาค และแผ่พังพานใหญ่ คลุม
    เหนือพระเศียร เพื่อป้องกันมิให้ลมฝนและความหนาวเย็นเบียดเบียนพระพุทธองค์ ซึ่ง
    เราได้นำจินตนาการมาสร้างเป็นพระพุทธรูปปางหนึ่ง เรียกกันว่า พระนาคปรก หรือพระ
    ปางนาคปรก (ข้อมูลจากเล่มเดิม)
    [​IMG]

    ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว จึงเดินทางกลับ อาจารย์ดวงเดือนเชิญทุกคนทาน
    อาหารไทย ที่ร้าน Siam Thai Restaurant ตรงข้ามกับพระเจดีย์ ดีใจมากๆ จากบ้านมา
    ไม่ถึง 3 วัน ก็คิดถึงอาหารไทยเสียแล้ว อาหารบ้านใครบ้านมันจริงๆ ต่อให้อาหารใน
    โรงแรมจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม ก็ยังคิดถึงน้ำพริกกะปิอยู่ทุกวัน เห็นหรือยังว่า ตนเองติด

    ในรสขนาดไหน คิดเอาเองตามจินตนาการของตนว่า เป็นคนเรียบง่าย กินอะไรก็ได้


    (ของที่ชอบ) มืดบอดขนาดติดในรส ก็ยังไม่รู้ว่าติด เห็นโทษของการติดในรสหรือยัง


    ติดน้อยๆ ก็เกิดโทสะเวลาไม่ได้รสที่ต้องการ ถ้าติดมากก็ต้องแสวงหาแม้ต้องทำทุจริต


    อย่างคนติดในรสปลาสดหวานๆ ก็ต้องไปยืนดูเขาทุบหัวปลาให้เห็นว่าสดจริงๆ


    ร้านนี้เป็นของผู้หญิงไทย แต่ช่วงนี้ไม่อยู่ กลับเมืองไทย เห็นแต่แขกตัวอ้วนใหญ่ นั่ง

    อยู่ เมื่อบริกรนำเมนูมาให้ดู เห็นมีรายการอาหารไทยให้เลือกมากมาย แต่พอเราเลือก
    อะไร ก็จะบอกว่าวันนี้ไม่มี ไม่รู้ว่าจะมีวันไหน กว่าอาหารจะมาเสริฟก็ชะเง้อไปที่ครัวกัน
    คอยาว เพราะนานมาก พอถามก็บอกว่า ไม่เกิน ๑๐ นาที สามีเล่าว่า พอสั่งข้าว ก็จะเริ่ม
    หุง พอถามว่า ทำไมจึงไม่หุงไว้ก่อน เขาก็บอกว่า ไม่รู้ว่าคุณจะมาสั่งนี่ ในที่สุดก็เห็น
    จานข้าวผัดที่สั่งไว้ออกมา คิดว่าจะได้ทานเสียที ก็ยกกลับไปอีก คงลืมใส่ข้าว พอเดิน
    ไปถาม ก็บอกว่า ต้องทำให้เสร็จตามจำนวนที่สั่งก่อน จึงจะเสริฟทีเดียว และในที่สุดก็
    ได้ทานข้าวผัดกุ้ง จานละ 160 รูปี ซึ่งอร่อยมาก พร้อมกับกับข้าวอีกหลายอย่าง และ
    ไอศกรีมแขก ที่อาจารย์ดวงเดือนรับรองว่าอร่อยมาก เพราะอุดมด้วยนมสดๆ และไม่
    หวานมาก กราบขอบพระคุณสำหรับอาหารอร่อยค่ะ วันนั้นมีคนทานทั้งหมด 16 คน ค่า
    อาหาร 4,015 รูปี มีของเหลือห่อให้ไกด์ประจำตัวอาจารย์ที่ติดตามมามาเป็นไกด์ให้
    หลายปีแล้ว กลับไปหลายห่อทีเดียว
    [​IMG][.539/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2011
  9. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    กฎแห่งกรรม : หมู่ป่าอาฆาต <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">2 กรกฎาคม 2553 16:37 น</td></tr></tbody></table>[​IMG]

    การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนับว่าเป็นบาปมาก ผลกรรมจากการฆ่าสัตว์นั้นจะทำให้มีอายุสั้น มีโรคภัยไข้เจ็บมาก ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ จึงเป็นเหมือนกับสร้างความชั่วร้ายให้กับชีวิตของตนเอง กรรมที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบางครั้งก็ให้ผลในชาติต่อๆไป บางครั้งก็ให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ ดังเรื่องราวของนายสมทรง ชายหนุ่มคนหนึ่งของอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก


    หมู่บ้านที่สมทรงอาศัยอยู่ ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มีทั้งแม่น้ำ ทั้งภูเขา ทำให้ชาวบ้านสามารถหากินได้ตลอด โดยไม่ต้องซื้อเลยก็ว่าได้ บางคนทำนาเสร็จก็จะหาจับปลาในแม่น้ำ บางคนก็ขึ้นเขาไปยิงนก ยิงสัตว์ป่ามาเป็นอาหาร สมทรงก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่ไปจับสัตว์มากินเป็นประจำ เขาเป็นคนที่หากินเก่งมาก เวลาหาปลาก็หาได้มาก เวลาไปล่าสัตว์ป่าก็มักจะได้สัตว์ใหญ่ๆ อยู่เป็น ประจำ มองในแง่หนึ่งสมทรงเป็นคนที่โชคดีมาก เพราะได้สัตว์น้อยใหญ่มาเป็นอาหารทุกครั้ง ซึ่งแตกต่างจากชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หากมองอีกแง่หนึ่ง ความโชคดีของเขานั้น เป็นเหมือนกับเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาได้ทำเวรทำกรรมมากขึ้น


    ทุกครั้งที่ออกไปล่าสัตว์ สมทรงจะแบกปืนผาหน้าไม้ไปด้วย
    วันหนึ่ง สมทรงได้ยิงหมูป่าตัวหนึ่งเข้าที่สะโพก มันเจ็บปวดมาก และหันมามองสมทรงด้วยความเคียดแค้น แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ เดินตรงเข้าไปแบกหมูป่ากลับบ้านอย่างสบายใจ เมื่อกลับถึงบ้านสมทรงก็เตรียมที่จะฆ่ามันทันที หมูป่ามองสมทรงพร้อมกับร้องเสียงดังราว กับอ้อนวอนขอชีวิต แต่เขาก็ไม่สนใจ แถมหยิบมีดขึ้นมาแทงเข้าไปที่คอของมันเต็มแรง หมูป่าร้องดิ้นสุดกำลัง จนขาดใจตาย!! สมทรงจึงเอาน้ำร้อนลวกหมูทั้งตัวและทำความสะอาด แล้วหั่นออกเป็นชิ้นๆ เอาไปทำอาหารบ้าง ที่เหลือก็ตากแห้งไว้กินวันหลัง

    ตั้งแต่วินาทีที่หมูป่าถูกยิง จนกระทั่งถึงวินาทีที่มันถูกแทงซ้ำนั้น มันได้ฝากความอาฆาตแค้นให้กับสมทรงตลอดเวลา มันคงนึกอยู่ในใจว่ามันทำอะไรผิด ทำไมเขาจะต้องฆ่ามันด้วย แต่สมทรงก็ไม่ได้มีความสะทกสะท้านกับสิ่งที่ทำแต่อย่างใด เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของเขา ตลอดชีวิตตั้งแต่เล็กจนโต เขาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาแล้วจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปลา นก ไก่ เป็ด หมู และอื่นๆ อีกมากมาย เท่าที่จะล่ามาเป็นอาหารได้


    ตราบใดที่ผลของกรรมชั่วยังไม่ให้ผล คนก็มักจะไม่ รู้สึกสำนึกอะไร ยังคงทำความชั่วต่อไปอย่างสบายใจ ต่อเมื่อกรรมชั่วส่งผลมาถึงตัวเขานั่นแหละ เขาจึงจะค่อยๆ สำนึก และรับรู้ถึงความทุกข์ที่เคยทำไว้กับผู้อื่น
    สมทรงก็เช่นเดียวกัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้น มันจะส่งผลชั่วให้กับตัวเขาอย่างไร ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ดีอีกต่างหาก เพราะเขามีอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อย เป็นคนเก่งที่ออกล่าสัตว์ เมื่อใดก็ได้เมื่อนั้น ความคิดผิดๆเหล่านั้นฝังหัวสมทรงมานานตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งอายุได้ 45 ปี ผลแห่งกรรมที่ค่อยๆ คืบคลานตามเขามานั้น ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน

    แล้ววันนั้นก็มาถึง เป็นวันที่สมทรงขึ้นเขาไปล่าสัตว์ตามปกติ เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง คิดแต่เพียงว่า ขอให้ล่าสัตว์ได้มากๆ อย่างเช่นหมูป่าไก่ป่า สมทรงได้เตรียมทำกับดักสัตว์ไว้ และเตรียมปืนไว้พร้อมที่จะยิงได้ทันทีเมื่อเห็นสัตว์เดินผ่านมา เขานั่งรออยู่นาน ในที่สุดก็มีหมูป่าเดินผ่านมา เขารู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีว่าวันนี้โชคดีแล้ว ได้กินเนื้อหมูอย่างแน่นอน


    แต่เผอิญหมูป่าตัวนั้นไม่ได้เดินมาตรงกับดักที่เขาวางไว้ สมทรงจึงใช้ปืนยิงแทน ดังนั้น
    พอ ได้จังหวะก็ลั่นไกปืนยิงทันที เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้หมูป่าตกใจวิ่งหนี ขณะที่สมทรงหงายหลังผลึ่งลงไปนอนกับพื้น เพราะปืนที่เขายิงออกไปนั้น กระบอกปืนแตกหมดและสะเก็ดเหล็กต่างๆ พุ่งมาเสียบตัวเขา จนเลือดไหลอาบไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นเข้าจับขั้วหัวใจของสมทรง!!

    แต่ด้วยความที่อยากได้หมูป่า เขาจึงตั้งสติแล้วกัดฟันพยุงกายขึ้น รีบวิ่งไล่หมูป่าไปทันที โดยลืมนึกไปว่าตนเองได้วางกับดักสัตว์ไว้ สมทรงจึงวิ่งไปเหยียบกับดักของตนเอง หน้าไม้ที่ดักไว้ก็ทำงานทันที มันพุ่งมาเสียบท้องของเขาอย่างแรง จนทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดเหลือประมาณ!!


    แต่เมื่อดวงของสมทรงยังไม่ถึงฆาต เขาจึงรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่พาร่างซึ่งโชกเลือดกระเสือกกระสน ลงจากภูเขาอย่างทุลักทุเล เพื่อกลับไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างกว่ากิโล แต่ละก้าวของสมทรงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน และก่อนที่เขาจะทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนขาดใจตาย ก็พอดีมีคนในหมู่บ้านมาเห็นเข้า จึงพาเขาไปหาหมอรักษาได้ทัน


    บทเรียนอันแสนเจ็บปวดที่สมทรงได้รับในครั้งนี้ ทำให้เขาคิดขึ้นได้ว่า เป็นเพราะกรรมที่เขาเคยทำไว้นั่นเอง กรรมนั้นมันได้มาสนองเขาอย่างเต็มที่แล้ว เขาจึงตั้งใจว่า จากนี้ต่อไปจะไม่เข้าป่าล่าสัตว์อย่างที่เคยทำเป็น อันขาด


    นี่แหละคือผลของกรรมชั่วที่ตามมาสนองในชาตินี้ เท่านี้ยังไม่พอ กฎแห่งกรรมยังจะต้องตามสนองสมทรงต่อไปจนถึงชาติหน้า มีทางเดียวที่ชายหนุ่มจะลดกรรมอันหนักให้บรรเทาลงได้บ้าง นั่นคือการทำความดีให้มากๆ ยิ่งทำความดีได้มากเท่าไหร่ กรรมชั่วที่มีอยู่ก็จะเบาบางลงไปมากเท่านั้น เปรียบเหมือนกับน้ำสีดำในแก้ว หากเติมน้ำดีลงไปมากๆ น้ำสีดำนั้นก็จะค่อยๆ ใสขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเติมน้ำดีลงไปมากเท่าไหร่ ความเข้มของสีดำที่อยู่ในน้ำ ก็จะค่อยๆ เจือจางลงไปมากเท่านั้น แต่จะให้ลบล้างไปเลยร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น คงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น จงหมั่นทำความดีเสียตั้งแต่วันนี้ก่อนที่จะไม่มีเวลาเหลือให้ทำอีกต่อไป


    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 116 กรกฎาคม 2553 โดย มาลาวชิโร)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2011
  10. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    ๐คุณย่า๐
    วันที่ 27 มี.ค. 2554 11:45
    จาก...บ้านธัมมะ
    [​IMG]

    " เดินทาง "

    ขณะนี้ทุกคนกำลังเดินทางค่ะ ไปไหน ? จากโลกนี้แล้ว ไปแน่ๆ

    ค่ะ ในโลกนี้ก็(กำลัง)ไป เดี๋ยวกุศลบ้าง เดี๋ยวอกุศลบ้าง แต่พอถึงที่

    จุติจิตเกิด
    ไปสู่ที่ๆ ต้องไป บังคับบัญชาไม่ได้เลย เหมือนจากโลก

    ก่อนมาสู่โลกนี้ ......ก็ไม่มีใครบังคับบัญชา
    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ถ้าเป็นผู้ที่รู้จริงๆ ว่ากำลังเดินทางไหน ทาง

    ของอกุศลวันนี้เยอะมาก ทางของกุศลก็กำลังเริ่มมี และทางไหนที่

    ควรจะสะสม ? เพราะ(ควร)เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้

    ว่า ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งสภาพธรรม ถึงความเป็นพระโสดาบัน ยังต้อง

    เกิดในอบายภูมิได้


    [​IMG]

    แต่ว่าผลของกุศลกรรม ทำให้ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ แล้วก็มี

    สัทธา แล้วก็ได้มีการได้ฟังธรรม เพื่อสะสมความเข้าใจต่อไป เพราะ

    ทรัพย์สมบัติมหาศาล หรือ รูปร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก็ตามไปไม่

    ได้เลย แต่ว่าสิ่งที่สะสมอยู่ในจิต ทำให้แต่ละหนึ่งๆ ก็ทำให้เกิดแล้ว

    เป็นบุคคลหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น บุคคลใหม่จะเป็นคนยังไงดี ? ...(จะเป็นคน)

    โลภมาก โกรธมาก หลงมาก ทุจริตมาก ร้ายกาจมาก หรือว่า เป็นคน

    ดี แล้วเป็นคนที่มีความเข้าใจธรรมด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องมาจากกรรม

    ใครก็ช่วยไม่ได้ แต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้ารู้

    ว่าอดีตก็เคยมีมาแล้ว และเป็นกุศล - อกุศล สะสมกันมามากน้อย

    เท่าไร ไม่มีใครมีปัญญาหยั่งลึกลงไปถึงการสะสม ไม่ต้องถึงชาติก่อน

    แสนโกฏิกัป ....เพียงแค่เมื่อเช้านี้ หยั่งได้ไหม ? อกุศลที่เกิดหลัง

    เห็น หลังได้ยินอย่างรวดเร็วนี้ มากสักแค่ไหน หรือแม้แต่การฟังธรรม

    แต่ละครั้ง มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นแค่ไหน ก็หยั่งลงไปไม่ถึงใช่ไหมคะ

    เพราะบางทีก็สามารถที่จะเข้าใจ บางทีก็ลืมไปอีกแล้ว และความ

    เข้าใจนี้ระดับไหน ?

    ระดับที่เป็นเราฟังธรรม เพื่อเราจะได้เข้าใจธรรม เราจะได้รู้

    ธรรม เราจะได้เก่ง หรือว่าฟังแล้วเข้าใจว่าไม่มีเราเลย เป็นธรรมทั้ง-

    หมด เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แม้แต่ขณะที่ฟังก็ยังต่างกัน

    เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้ต่อเมื่อ มีคำถาม หรือ คำพูด ถ้าเป็น

    คำพูดที่มีความต้องการ " ทำยังไงถึงจะรู้ธรรม " อย่างนี้ ก็คือความ

    ไม่เข้าใจความเป็นอนัตตา แล้วฟังอีกนานเท่าไรจะมีความมั่นคงว่า

    ไม่มีเรา แต่มีธรรม ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย



    โดย... ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2011
  11. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    kanchana.c
    วันที่ 28 ก.พ. 2552 06:47
    เสน่ห์อินเดีย 5
    จาก...บ้านธัมมะ


    เมืองคยา

    [​IMG]


    เมื่อรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ก็กลับไปพักผ่อนที่โรงแรม นัดกันว่าจะไป

    เที่ยวตัวเมืองคยา ที่ห่างจากเจดีย์พุทธคยาประมาณ 13 กม. ค่ารถตุ๊ก 100 รูปี แต่ถ้า

    เหมาไปกลับ และพาชมสถานที่ด้วย คิด 300 รูปี มาพุทธคยาหลายครั้ง แต่ไม่เคยเห็น

    ตัวเมืองเลย ในเรื่อง “ ๔ วัน ในพุทธคยา ” เขียนไว้ว่า เมืองคยาเป็นเมืองเล็กๆ ในรัฐ

    พิหาร แต่เมื่อได้อ่านหนังสือ “ เกี่ยวกับอินเดีย ” ของท่านพระราชธรรมมุนี (เกียรติ สุกิ

    ตฺติ) ซึ่งคุณสุวัฒแจกให้อ่านเพื่อศึกษาข้อมูลก่อนไปอินเดีย (ด้วยตัวเอง) ทำให้ทราบ

    ว่าข้อมูลผิดพลาด เพราะในหนังสือท่านเขียนไว้ว่า

    “เมืองคยาซึ่งเป็นชุมทางรถไฟใหญ่ และเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของรัฐพิหาร”

    และ " คยา " เป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของรัฐพิหารซึ่งมีพลเมืองถึง ๕๖ ล้านคน มีความ

    สำคัญทางศาสนาทั้งแก่ฝ่ายพุทธ และฮินดู เป็นเมืองเก่าแก่มีมาตั้งแต่สมัยของพระ

    พุทธองค์ และคงตั้งอยู่ ณ ที่เดิมตลอดมา ไม่ได้ถูกทิ้งไปเหมือนเมืองเก่ามีชื่ออื่นๆ เช่น

    ราชคฤห์ เวสาลี สาวัตถี โกสัมพี อุชเชนี เป็นต้น

    " พุทธคยา เป็นตำบลนอกเมืองอยู่ทางใต้ของตัวเมืองคยา มีถนนติดต่อสองสาย

    สายเดิมซึ่งเป็นสายในและค่อนข้างพลุกพล่าน เลียบไปตามลำแม่น้ำผัลคุ และแม่น้ำ

    เนรัญชรา ....”

    ที่เราพูดถึงว่าเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง นั่นคือ เมืองพุทธคยา ซึ่งเป็นเพียงตำบล

    หนึ่งในจังหวัดคยา ต้องขออภัยด้วย เหมือนตาบอดคลำช้าง คลำถูกหางช้าง ก็บอกว่า

    ช้างตัวเล็ก

    และรถตุ๊กๆ ก็พาแล่นไปตามถนนลาดยางขนาด ๒ เลน ผ่านทางไปสนามบิน

    กรมทหาร สถานีตำรวจ ดูร่มรื่นสะอาดสะอ้าน เมื่อรถแล่นเข้าไปในตัวเมือง ก็จอแจด้วย

    ยวดยานพาหนะหลายชนิด ก็เห็นตึกสูงประมาณ ๓ ชั้น ขายของมากมาย ถนนหนทางก็

    แออัดด้วยรถทุกชนิด ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน ในถนนมีทั้งรถ ทั้งคน ทั้งวัว แพะ เดินกัน

    อย่างอิสระ มีเสียงแตรรถดังสนั่นบอกให้รู้ว่า “ฉันจะไปแล้วนะ ระวังตัวด้วย” ถนนหน

    ทางสกปรกด้วยขยะ น้ำหมาก และน้ำอีกหลายชนิดที่จำแนกไม่ได้ สายไฟฟ้าข้างทางก็

    รกรุงรังด้วยหยากไย่ใยแมงมุม พวกเราเดินดูร้านใหญ่ขายผ้าสาหรี และข้าวของเครื่อง

    ใช้กัน ๒ – ๓ ร้าน ก็อยากกลับไปหาความสงบเย็นที่พุทธคยาแล้ว แต่คนขับรถตุ๊กๆพา

    รถหายไป ได้ความว่าไปกินข้าว คอยสักพัก ก็กลับมาพร้อมกับถุงข้าวของ ได้ความว่า

    ไปซื้อเสื้อ คงคาดว่าจะได้เงินพวกเราก้อนใหญ่ เลยจ่ายไปก่อน

    ความจริงเราอยากจะไปดูชุมทางรถไฟใหญ่ ที่เป็นที่พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา

    ลงที่นี่ ก่อนไปที่สมาคมมหาโพธิ แต่คนอื่นๆอยากกลับไปพุทธคยาแล้ว เด็กอินเดียที่

    พาไปบอกว่าห่างไปอีก ๒ กม.เท่านั้น และชักชวนให้ไปดูวัดฮินดู บอกว่าใหญ่โตและ

    สวยงามมาก พวกเราตกลงไป รถต้องแล่นผ่านถนนที่วางของขายแน่นไปหมด เหมือน

    คลองถม สำเพ็งอย่างไรอย่างนั้น แต่สินค้าที่ดูผ่านๆจากรถแล้ว ที่เมืองไทยจะดูมีระดับ

    กว่า

    รถวิ่งผ่านซอกซอยต่างๆ ไปหยุดที่วัดฮินดู ซึ่งดูเก่ามาก หลายคนไม่อยากเข้า

    ไป แต่เมื่อมาแล้วก็ลองเข้าไปดู ต้องถอดรองเท้า ชักท้อใจ ถอดทีไรต้องจ่ายครั้งละ

    ๑๐ รูปีทุกที คิดว่าจะไม่เข้า แต่เด็กที่พาไปอาสาจะเฝ้ารองเท้าให้ ดูอยากจะให้เราเข้า

    ไปให้ได้ เมื่อเข้าไปแล้ว เห็นน้ำนองพื้นไปหมด มาทราบภายหลังว่า นั่นคือน้ำที่พวก

    ฮินดูนำไปรดศิวลึงค์ และนำน้ำนั้นกลับไปบูชาที่บ้าน พวกเราดูผ่านๆ ไม่ประทับใจ

    อะไร อยากจะกลับไปหาความสงบเย็นที่พุทธคยาแล้ว

    พุทธคยาแม้จะพลุกพล่านด้วยผู้คน และบางครั้งอื้ออึงด้วยเสียงสวดมนต์ภาษา

    บาลีสำเนียงต่างๆ แต่ก็สงบเย็นภายใต้พระพุทธบารมี ๓๐ ทัศที่พระอรหันตสัมมาสัม-

    พุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมาอย่างเต็มเปี่ยม ๔ อสงไขยแสนกัปป์ พระบารมีทั้ง ๑๐ พร้อม

    ทั้งพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณแผ่ปกคลุมพุทธศาสนิกชนที่

    ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนให้สงบร่มเย็น ก่อนเห็นพุทธคยาก็มีความเลื่อม

    ใสในคำสอนอยู่แล้ว แต่เมื่อได้เห็นเจดีย์พุทธคยาและพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งเป็นหลักฐาน

    ที่สัมผัสได้ในทางประวัติศาสตร์ว่า พระพุทธองค์ตรัสรู้ที่นี่ ก็ทำให้มีศรัทธามั่นคงยิ่ง

    ขึ้น พุทธคยาจึงเปรียบเสมือนเสาหลักของโลก และดวงตาคือประทีปแห่งจักรวาล

    สว่างไสวในจิตใจของพุทธศาสนิกชนตลอดไป


    [​IMG]
    wannee.s
    วันที่ 28 ก.พ. 2552 13:18

    ความคิดเห็นที่ 1
    พุทธคยา เป็นสถานที่ที่พระโพธิสัตว์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมดจดจาก

    กิเลสโดยประการทั้งปวง จึงเป็นสถานที่ที่ผู้คนจากทุกสารทิศมากราบไหว้ไม่ว่างเว้นค่ะ

    [​IMG]
    เมตตา
    วันที่ 28 ก.พ. 2552 23:15

    ความคิดเห็นที่ 2

    [​IMG]
    พุทธคยาจึงเปรียบเสมือนเสาหลักของโลก

    และดวงตาคือประทีปแห่งจักรวาล

    สว่างไสวในจิตใจของพุทธศาสนิกชนตลอดไป


    [​IMG]

     
  12. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"><tbody><tr><td class="postbody" valign="top">กรรมเพราะไร้คุณธรรม

    จากหนังสือ “โลกลี้ลับ” ปีที่ ๒๑ ฉบับที่ ๒๓๕ เดือน กรกฎาคม ๒๕๔๗
    พิมพ์ส่งมาให้เป็นธรรมวิทยาทาน โดย คุณ Lilly
    ................. ................



    เรื่องที่ผู้เขียนเขียนมานี้เกิดขึ้นกับหลานของผู้เขียนที่ชื่อ ไชยา มันเป็นเวรกรรมที่ตามทันตาเห็นจริงๆ ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้าเลย เรื่องก็มีอยู่ว่า


    พ่อของไชยานั้น เขาเป็นคนที่ร่ำรวยในหมู่บ้าน มีที่สวนไร่นามากมาย แต่ออกจะตระหนี่ขี้เหนียวซักหน่อย แต่ก็เพราะความตระหนี่ของเขานี่แหละ ถึงทำให้เขามีความร่ำรวย เขามีลูก 4 คนด้วยกัน เป็นผู้ชายหนึ่งคนก็คือ ไชยา และอีกสามคนเป็นผู้หญิง สำหรับเมียเขาออกจะเป็นคนเห็นแก่ตัวเอามากๆ


    ต่อมาไชยา ได้ไปรักกับหญิงสาวคนบ้านใกล้กัน พ่อก็จัดการแต่งงานให้ ได้อยู่กินกันจนมีลูกด้วยกันหนึ่งคน ด้วยความที่รักลูกชายมาก จึงไม่อยากให้ลูกต้องไปทำงานอยู่ที่อื่น เลยหาซื้อรถยนต์ให้ลูกชายหนึ่งคัน เพื่อให้วิ่งโดยสารรับส่งผู้คนแถวบ้าน เพราะจะได้อยู่ใกล้บ้าน และใกล้พ่อแม่


    วันหนึ่งผู้เขียนได้ไปว่าจ้างให้ไชยาเอารถไปบรรทุกวัวไปส่งบนดอย เพราะจะเอาวัวไปฝากคนที่อยู่บนดอยเลี้ยง พอตอนเช้าของวันนัด ผู้เขียนและไชยาก็ช่วยกันเอาวัวขึ้นรถบรรทุกไปส่งบนดอย ตอนเอาไปเราเอารถไปคนละคัน ไชยากับเพื่อนที่ชื่อ สนั่น ไปรถคันที่บรรทุกวัว ส่วนผู้เขียนเอารถไปอีกคัน ขากลับผู้เขียนได้กลับมาก่อน ส่วนไชยานั้นหลังจากลงมาจากบนดอยก็เลยไปหาเพื่อนที่ อำเภอท่าวังผา เป็นเพื่อน ๆ ที่วิ่งรถสองแถวด้วยกัน ก็เลยพากันดื่มเหล้าที่บ้านเพื่อน ส่วนสนั่นนั้นได้แยกทางกันกับไชยาตั้งแต่ลงมาจากดอย ไชยานั่งดื่มตั้งแต่ 2 ทุ่ม จนถึงเที่ยงคืนก็เมาได้ที่ จึงขอตัวกลับบ้าน พวกเพื่อนก็ขอร้องให้นอนค้างคืนที่บ้านเขา แต่ไชยาไม่นอน เพื่อน ๆ ก็เลยให้กลับเพราะเห็นว่ายังพอกลับได้


    ไชยาขับรถออกจากบ้านเพื่อนมาได้ประมาณ 25 นาที พ้นเขตอำเภอท่าวังผาก็เข้า เขตอำเภอบัว (ซึ่งเป็นอำเภอที่ผู้เขียนและไชยาอยู่) เข้าเขตอำเภอบัวมาได้ประมาณ 5 กิโลเมตร พอมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านนาก้อ ซึ่งเป็นทางโค้งนิดหน่อย ได้มีรถมอเตอร์ไซค์กำลังขับอยู่ข้างหน้า ด้วยความเมาไชยาจึงไม่เห็นรถคันดังกล่าวจึงขับรถไปชนเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้ สองผัวเมียที่ขับมาได้รับบาดเจ็บและรถมอเตอร์ไซค์ของเขาหักเป็น 2 ท่อน คนที่บาดเจ็บนั้นนอนสลบอยู่ที่ถนน แต่ แทนที่เขาจะช่วยนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล เขากลับไม่ทำแล้วยังขับรถหนี เอารถไปซ่อนไว้ที่บ้านเพื่อนของผู้เขียน


    พอรุ่งเช้า พ่อของเขาก็มาหาผู้เขียน แล้วให้ผู้เขียนไปส่งเพื่อซื้ออะไหล่รถในตัวเมือง จึงได้ถามพ่อของเขาว่า “ไปซื้ออะไหล่มาใส่รถคันไหนอีก”


    เขาบอกว่า “เมื่อคืนไชยาได้ขับรถไปชนกับรถมอเตอร์ไซค์ ตอนนี้ให้เอาไปซ่อนไว้ที่บ้านของสิงห์ทอง ที่กลางป่าโน้น “ (สิงห์ทองคือเพื่อนของผู้เขียนเอง) ต่อจากนั้นเขาก็หาช่างมาซ่อมรถจนเสร็จ หลังจากนั้นไชยาก็ได้นำรถออกไปขับโดยสารต่อ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่ารถของไชยาหายไป ไม่มาวิ่งในวินหลายวัน ตำรวจก็เลยถามว่า “รถหายไป เอาไปไว้ไหน”


    ไชยาจึงได้บอกไปว่า “เอารถไปให้น้าเขาใช้ที่ต่างจังหวัด” ตำรวจมาดูที่รถ ก็เห็นมีรอยทำสีใหม่ แต่ตำรวจเขาก็ไม่อยากซักถามเท่าไหร่ เพราะเป็นคนมีเงินและก็มีอิทธิพลนิดหน่อย และเขาก็ได้บอกตำรวจว่า “ไม่ต้องมาสงสัยถ้ารถชนจริงไม่หนีหรอก เรื่องแค่นี้จะยอมใช้ให้หมด”



    แต่ญาติๆ ของผู้เสียหายปักใจว่าเป็นรถคันนี้ชนแน่นอน แล้วแม่ของไชยาก็ได้สาบานต่าง ๆ นานา อย่ามาหาว่ารถฉันชน ถ้ารถฉันได้ชนจริง ๆ ก็ขอให้มีอันเป็นไป



    เพราะแม่ของไชยาไม่เชื่อเรื่องสาบาน แต่จะเชื่อเพียงว่า ใครมีเงินมาก คนนั้นก็ชนะ ไม่ว่าเรื่องอะไร จากนั้นมาประมาณปีกว่า ไชยามีธุระต้องเข้าไปในเมือง โดยเอารถคันดังกล่าวนั้นขับไป พอขากลับไชยาขับมาคนเดียว โดยไม่มีใครอาศัยมาด้วย เวลานั้นก็ประมาณ 3 ทุ่ม พอไชยาขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ รถของไชยาก็เกิดยางระเบิด พลิกคว่ำลงข้างทาง เป็นเหตุให้กระดูกท่อนคอของไชยาหัก ผู้ที่อยู่บ้านใกล้เขาเห็นเหตุการณ์ จึงนำตัวไชยาส่งโรงพยาบาล หมอที่โรงพยาบาลอำเภอบัวส่งต่อมาโรงพยาบาลในตัวเมือง หมดได้ช่วยกันเข้าเฝือกคอของไชยาที่หักไว้ จากนั้นก็จะนำส่งไปที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ แต่ไชยาทนพิษบาดเจ็บที่ลำคอไม่ไหว กระดูกที่เข้าเฝือกไว้ได้เคลื่อนที่ จึงได้เสียชีวิตลงกลางทาง ยังความเศร้าโศกให้แก่พ่อแม่ของไชยาเป็นอย่างมาก



    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ผู้เขียนนำมาเล่าให้ฟัง ผลกรรมมันตามทันตาเห็นจริงๆ ใครที่ก่อกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นจริงๆ ผู้เขียนก็ไม่ได้มีความอาฆาตพยาบาทใครๆ ที่เล่าให้ฟังเพราะ กฎแห่งกรรมมีจริง เพราะความตระหนี่นี่เอง กลัวว่าจะเสียเงินให้เขา จึงทำให้ลืมคำว่าคุณธรรม ลืมคำว่าเวรกรรม ลืมคุณค่าของความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ของไชยา เพราะความเห็นแก่ตัวห่วงแต่ลูกตนว่าจะมีความผิด ลงทุนแม้กระทั่งสาบาน โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา จึงต้องมาเสียใจกับผลกรรมนั้นในที่สุด



    สำหรับผู้เขียนเองก็อยากจะเห็นมนุษย์เรากระทำแต่ความดีมีศีลธรรมอยู่ในใจ บ้าง มีความเอื้อเฟื้อต่อกัน อย่างน้อยสิ่งที่เราทำลงไปเราก็ควรจะรับผิดชอบบ้าง เพื่อจิตใจเราจะได้สบาย ไม่สร้างกรรมสร้างเวรต่อกัน จะได้เป็นสุขกันพร้อมหน้า


    ............ .............


    โพสท์โดย...ผู้เยี่ยมชม ใน เวปลานธรรมจักร

    คัดลอกจาก
    at Lekpluto.com
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> </tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2011
  13. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    :boo:ตรงประเด็น สาธุครับ
     
  14. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    ขอบคุณ คุณโชแปงที่เข้ามาอ่านนะค่ะ

    [​IMG]

    kanchana.c
    วันที่ 1 มี.ค. 2552 11:28
    เสน่ห์อินเดีย 6

    พิพิธภัณฑ์ที่พุทธคยา

    จาก...บ้านธัมมะ
    [​IMG]



    กลับจากเที่ยวชมเมืองคยาแล้ว ถึงโรงแรมประมาณ ๑๖.๑๕ น. มีเวลาพอที่จะ

    แวะชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ที่ตั้งอยู่หน้าโรงแรมนิกโก้ โลตัส เมื่อเช้าจะแวะแล้ว

    ปรากฏว่า เขาเปิด ๑๐ โมง และปิดห้าโมงเย็น ค่าเข้าคนละ ๒ รูปี ไปกัน ๓ คน ส่งเงิน

    ๑๐ รูปีให้ (เป็นเงินอินเดียชนิดเดียวที่มี) เขาบอกว่าขายไม่ได้ เราคิดว่าราคาคนต่าง

    ชาติอีกราคาหนึ่ง แต่เขาบอกว่าไม่มีเงินทอน พอบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องทอน ก็ได้ตั๋ว

    มา

    ภายในพิพิธภัณฑ์ เป็นพระพุทธรูปและเทวรูปที่ขุดพบในบริเวณนี้มากมายหลาย

    ชิ้น ทั้งในตัวอาคารและภายนอก แต่ละชิ้นมีอายุหลายพันปี มีศิลปะสวยงาม น่า

    เสียดายมาก ถ้าไม่ได้เข้าไปชม มีชิ้นหนึ่งเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แกะสลักเป็นพระพุทธรูป

    ปางต่างๆสวยงามมากทั้ง ๔ ด้าน เมื่อดูดีๆแล้ว แท่งสี่เหลี่ยมนั้น คือ ศิวลึงค์ เห็นแล้วก็

    อดไม่ได้ที่จะเกิดโทสะ ความไม่พอใจที่เกิดจากความคิดนึกต่อการเห็นสิ่งที่ปรากฏทาง

    ตา แล้วสัญญาความจำก็สร้างเรื่องให้คิดถึงความไม่เหมาะควร ถ้าไม่รู้ว่าแท่งสี่เหลี่ยม

    นั้นคืออะไร ก็คงไม่เกิดโทสะ เกิดแต่โลภะอย่างเดียวว่า พุทธรูปปางต่างๆ นั้นสวยงาม

    มาก แต่ทั้งหมดนั้นก็คือกิเลส ที่เกิดจากอวิชชา ความไม่รู้ทั้งสิ้น ไม่รู้ลักษณะของการ

    คิดนึก การเห็น และสิ่งที่ปรากฏทางตา ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ล้วนแต่

    เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย



    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  15. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"><tbody><tr><td class="postbody" valign="top">[​IMG]

    ชีวิตหลังความตาย...

    กับข้อพิสูจน์เรื่อง “ผี” และ “เทวดา”


    [​IMG]



    หลายคนปรารถนาความตาย...ขณะที่อีกหลายคนก็ ไม่อยากให้เวลานั้นมาถึง...ต่างคนก็ต่างจิตต่างใจกันออกไป แต่ “ความตาย” ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทุกชีวิตในโลกไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพียงแต่จะช้าหรือจะเร็วเท่าใดแค่นั้น


    เรื่องราวของความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิต “หลังความตาย”


    ดร.สนอง วรอุไร อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    ให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สมัยก่อนไม่เคยเชื่อเรื่องเทวดา นรก สวรรค์ เปรต ชาติภพ การเวียนว่ายตายเกิด เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ จนกระทั่งเรียนจบจากต่างประเทศ ระหว่างที่รอสอนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วงนั้นว่างไม่รู้อะไรดลใจให้อยากพิสูจน์สิ่งที่ไม่เคย

    1 เดือนเต็มๆ กับการปฏิบัติกรรมฐานที่วัดมหาธาตุ ส่งผลทำให้ความเชื่อของ ดร.สนองเปลี่ยนไป จนถึงขนาดกล่าวว่า


    “ความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ร่ำเรียนมาถอดทิ้ง หมดเลย เพราะสามารถสัมผัสเทวดา ผีข้างถนนได้จริงๆ ซึ่งผมพยายามพิสูจน์มากว่า 30 ปียังหาข้อผิดพลาดไม่ได้ คุณจะสัมผัสได้ทั้งเทวดาและผี จิตวิญญาณทุกตน หากมีจิตสื่อถึงคนนั้น”


    นอกจากจะได้สัมผัสเทวดา ผี แล้ว ดร.สนอง บอกว่ายังได้เห็นชาติภพที่ผ่านมา รู้ว่าเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง ตรงนี้ทำให้รู้ว่าทุกคนมีการเวียนว่ายตายเกิด เกิดเป็นเทวดา เป็นเปรต เป็นสัตว์ ส่วนชาติภพไหนจะเกิดเป็นอะไรนั้นขึ้นอยู่ทำบุญ สร้างกรรมไว้มากน้อยเพียงใด ซึ่งหลังจากรับรู้แล้วก็ได้เริ่มสร้างสิ่งดีๆ มาตลอด เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวไม่สร้างความเดือดร้อนหรือล่วงเกินใคร ทั้งทางกาย วาจา ใจ และทำบุญทำทาน อุทิศส่วนบุญให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ให้พวกเขารับผลบุญนี้ ดร.สนอง กล่าวถึงคนตายว่า ร่างกายตายแต่วิญญาณยังวนเวียนอยู่กับญาติ พี่น้อง คนรัก เนื่องจากความรักความผูกพันของผู้ตาย ซึ่งหลายคนมองไม่เห็น แต่คนตายเขาต้องการให้รับรู้ว่าเขามาหา จึงสัมผัสได้จากกลิ่น เสียง หรืออื่นๆ และที่ว่ากันว่าหมาหอนเพราะเห็นผีนั้น “เป็นเรื่องจริง” เนื่องเพราะหมามีสายตา จมูก ที่รับรู้ได้รวดเร็วกว่าคน


    “จิตครั้งสุดท้ายก่อนจะออกจากร่าง อยากให้นึกถึงบุญ ความดี ที่เคยทำระหว่างที่มีชีวิตอยู่ หรือนึกถึงพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะ เพราะผลบุญเหล่านี้จะช่วยให้ดวงวิญญาณก่อนออกจากร่างไปสู่สวรรค์ ถ้านึกคิดแต่เรื่องทุกข์ สิ่งที่ไม่ดี มีอกุศลจิต ตายไปอาจตกนรก ทั้งที่ตลอดชีวิตทำดีมาตลอด อย่างไรก็ตาม ทุกคนจะได้สัมผัสทั้งนรกและสวรรค์เพียงแต่จะอยู่ที่ไหนยาวนานเท่านั้น หากทำความดีเยอะก็ได้รับความสุขสบายอยู่บนสวรรค์”
    ดร.สนองแนะนำวิธีการเตรียมตัวก่อนสิ้นใจ

    ด้าน ผศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ให้ ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาพระพุทธศาสนา มนุษย์เวียนว่ายตายเกิด บางรายตายแล้วเกิดใหม่ทันที และกว่าจะเกิดเป็นมนุษย์มีขั้นมีตอน คือรับรู้ความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าสุข ทุกข์ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พอคลอดการเลี้ยงดู ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้ทำกรรมดีกรรมชั่ว

    ดังนั้น ทุกคนควรเตรียมตัวตายไว้ล่วงหน้า ก่อนร่างกายดับสนิท และก่อนลมหายใจสุดท้าย อยากให้ตั้งจิตอธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าอยากเป็นอะไรไว้ด้วย
    “ตั้ง จิต สมาธิ และอย่ายึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่รัก ไม่ว่าจะคน ทรัพย์สินเงินทอง เพราะยิ่งรักมากก็จะทุกข์มาก อยากให้ปล่อยวาง เราเกิดมาแต่ตัวเราก็ไปแต่ตัวเช่นเดียวกัน แล้วหมั่นกระทำความดีตลอดช่วงเวลาที่มีลมหายใจอยู่ เพื่อให้บุญกุศลนี้ช่วยให้ขึ้นสวรรค์”

    ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า...เชื่อไม่เชื่ออย่างไร...

    ก็ต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสินเอาเองก็แล้วกัน

    ............................................................


    หมายเหตุ - ข้อมูลจากการเสวนาเรื่อง “ชีวิตหลังตาย ชีวิตใหม่ที่ต้องเตรียมตัว”

    ณ บ้านเจ้าพระยา อุทยานอนุรักษ์สุขภาพ ครั้งที่ 13 เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2548 ที่ผ่านมา

    ............................................................


    คัดลอกมาจาก

    ผู้จัดการออนไลน์ 4 สิงหาคม 2548 09:19 น.
    [​IMG]

    คัดมาจากข้อความของคุณ
    สายลม

    บัวเงิน
    [​IMG]

    [​IMG]

    กฎแห่งกรรม ...จากเวปลานธรรมจักร
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td class="postdetails" height="40" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2011
  16. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    kanchana.c
    วันที่ 1 มี.ค. 2552 23:24
    เสน่ห์อินเดีย 8

    ถ้ำดงคสิริ
    [​IMG]

    วันนี้ (๑๘ กพ. ๕๒) รับประทานอาหารเช้าตั้งแต่ ๖ โมงครึ่ง เพราะต้องเดินทาง

    ไปถ้ำดงคสิริเวลา ๗ โมงครึ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๕๐ นาที ระยะทาง ๑๘ กม.

    เพื่อกลับมาถวายสังฆทานที่สมาคมมหาโพธิ์ให้ทันเวลา ๑๐ โมง

    รถบัสออกเดินทางไปทางเดียวกับตัวเมืองคยา ผ่านบ้านที่อยู่ติดถนนหลังหนึ่ง

    เห็นสาวแขกนุ่งสาหรีนั่งอาบแดดกินถั่วอยู่ ท่าทางมีความสุขมาก ตามถนนหนทางจะ

    ไม่เห็นผู้หญิงอินเดียขายของหรือทำกิจกรรมใดๆ เลย เป็นหน้าที่ของผู้ชายทั้งสิ้น ที่

    ร้านขายผ้าในเมือง ผู้ชายก็เป็นคนขาย มีผู้หญิงเป็นคนนั่งเลือกซื้อผ้า ได้ยินว่า

    ประเพณีอินเดีย ผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายเสียเงินสินสอดเพื่อขอผู้ชาย ถ้าผู้ชายคนนั้นมี

    การศึกษาและหน้าที่การงานดี สินสอดก็จะแพงขึ้น พวกพ่อแม่จึงไม่ยินดีนักเมื่อได้ลูก

    สาว เพราะจะต้องเตรียมเก็บเงินไว้ขอลูกเขยมาเลี้ยงดูลูกสาวต่อไป แต่เมื่อแต่งงานกัน

    แล้ว ผู้หญิงก็เป็นใหญ่ในบ้าน ที่เรียกว่า “มาตุคาม” ปล่อยให้ผู้ชายออกไปหาเงินมา

    เลี้ยงดู ในสมัยโบราณ ถ้าสามีตายลง ภรรยาก็ต้องฆ่าตัวตายด้วย เพราะไม่มีคนเลี้ยงดู

    ถ้าไปทำมาหากินเองก็จะเสียขนบธรรมเนียมประเพณีไป อย่างเรื่องพระเวสสันดรชาดก

    ที่ชูดกได้นางอมิตตดามาเป็นภรรยา นางได้ปรนนิบัติชูชกอย่างดี ไปตักน้ำ ทำกิจการ

    ต่างๆ ทำให้สามีของผู้หญิงคนอื่นนำไปเปรียบเทียบกับภรรยาของตน ภรรยาเหล่านั้น

    จึงพากันไปต่อว่านางอมิตตดา ชูชกจึงไปขอ ๒ กุมาร กัณหาและชาลีมาเพื่อเป็นข้าทาสรับใช้

    [​IMG]

    wannee.s

    วันที่ 3 มี.ค. 2552 19:47

    ความคิดเห็นที่ 4

    ประเพณีสมัยโบราณสงสารผู้หญิงจังเลย ถ้าสามีตาย ก็ต้องกระโดดเข้ากองไฟ

    ตายตามไปด้วย สังสารวัฏฏ์นี้น่ากลัวและโหดร้ายจริง ๆ (ทางเดียวคือไม่ประมาท)

    [​IMG]

    pornpaon

    วันที่ 8 มี.ค. 2552 11:03

    ความคิดเห็นที่ 6

    ถ้าไม่ยอมตายตามสามีไปก็โดนรังเกียจ ไม่สามารถอยู่ในสังคมได้


    แม่ม่ายที่อินเดียจึงน่าสงสารมาก
    สังสารวัฏฏ์นี้น่ากลัวและโหดร้ายจริง ๆ (ทางเดียวคือไม่ประมาท)
    เห็นด้วยกับพี่วรรณีจริง ๆ แต่ก็รู้ตัวว่า...เดี๋ยวสักพักก็คงหลงลืมอีก
    เพราะวันๆ หนึ่ง กุศลจิตเกิดได้ยากและน้อยกว่าอกุศลจิตมาก
    [​IMG]
    ขออนุโมทนาคุณป้าแดง
    ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ

    [​IMG]
     
  17. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]

    ขอเชิญเพื่อนๆ ไปอ่าน ปัฏฐานในชีวิตประจำวัน
    ที่
    กระทู้เรียนพระอภิธรรมกันเถอะค่ะฯ หน้า ๑๐-๑๑ กระทู้ของMantalay
    และ เรียนอภิธรรมฯที่
    กระทู้จิตเข้าถึงพระนิพพานฯ หน้า ๓๗ กระทู้ของแปะแปะ
    ทั้งสองกระทู้อยู่ที่ห้อง
    อภิญญา-สมาธิ ค่ะ
    ขอบคุณค่ะ
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    <<<<แจกเส้นคั่นสวยๆ ,ภาพเคลื่อนไหว,รูปน่ารักๆ มากมายจริงๆ ขอบอก >>>> - แจกรูปอื่นๆแต่ง hi5 - แจกรูป
    [​IMG]
    [​IMG]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=TclbIVRNoaQ"]YouTube - ???? ???????? ????[/ame]
    [​IMG]

    อกุศลสังคหะ

    การแสดงสงเคราะห์ธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลโดยส่วนเดียว
    ในอกุศลสังคหะนี้ มีธรรมอยู่ ๙ หมวด คือ
    ๑. อาสวะ ๒. โอฆะ ๓. โยคะ ๔. คันธะ ๕. อุปาทาน
    ๖. นีวรณะ ๗. อนุสัย ๘. สังโยชน์ ๙. กิเลส

    ................................
    จาก... หนังสือ ปรมัตถโชติกะ
    ปริจเฉทที่ ๓และปริจเฉทที่ ๗


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2011
  18. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]

    กฎแห่งกรรม...ผู้ล่วงเกิน

    โดย.. เทพ บางสมุทร
    จากหนังสือ “กรรมกำหนด” เล่มที่ ๑

    [​IMG]
    เป็นมนุษย์สุดดีที่ลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
    คำภาษิตนี้บ่งบอกความหมายไว้ชัดเจนแล้วว่า
    มนุษย์เรานั้นต้องพูดในสิ่งที่มีประโยชน์ เป็นไปด้วยความเจริญฝ่ายเดียว
    หากพูดเพ้อเจ้อ หรือส่อเสียดแล้ว
    กรรมที่เห็นทันตาก็คือ ถูกทำร้ายเพราะคนที่เขาถูกด่า ถูกใส่ความ
    เกิดโทสะ แล้วลงมือลงไม้เอาเข้าให้
    หรือไม่ก็ถูกฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาท ติดคุกติดตะราง
    ต้องขอขมาลาโทษทางหน้าหนังสือพิมพ์ ได้เห็นได้รู้กันอยู่เป็นประจำ


    การว่าร้ายด่าทอสมณะผู้ทรงศีล การจาบจ้วงด้วยวาจา
    หรือการกระทำด้วยกำลังกายเข้าประทุษร้าย
    ท่านว่า มีผลทั้งโลกนี้และโลกหน้า

    ในโลกนี้ก็คือ จะเป็นผู้มีความวิบัติในลาภยศและทรัพย์สมบัติทั้งหลาย
    มีความพลัดพรากจากของที่รัก และถูกติฉินนินทาจากผู้คนที่มีใจเป็นธรรม
    ครั้นตายไปแล้วก็ต้องไปเสวยทุกข์ในนรก ให้นายนิรยบาลลากลิ้นออกมาตัด
    จับแหกปากแล้วเอาเหล็กหลอมละลายเหลวๆ เทกรอกลงไป
    เสวยทุกขเวทนาเป็นเวลานานชั่วกัปป์ ชั่วกัลป์

    เรื่องจริงของผู้ล่วงเกินนี้เกิดขึ้นที่ แม่กลอง หรือเมืองสมุทรสงคราม

    อันเป็นเมืองที่หลวงพ่อวัดบ้านแหลมท่านประดิษฐานอยู่นั่นเอง
    วัดช่องลม ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง
    ต.บ้านปรก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม
    สมัยเมื่อหลวงพ่อบ่าย ธรรมโชโต ท่านเป็นเจ้าอาวาสนั้น

    ท่านได้จัดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเสนาสนะให้มีความมั่นคงถาวร
    และเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนท้องถิ่นว่า ไม่อับอายขายหน้าแขกต่างถิ่น
    ที่มักจะมาเยือนเพื่อนมัสการหลวงพ่อบ่าย
    ซึ่งเป็นพระเถระที่อาคมกล้าอีกรูปหนึ่งใน จ.สมุทรสงคราม เวลานั้น

    ปี พ.ศ. ๒๔๖๙ หลวงพ่อบ่าย ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดช่องลม

    ท่านได้อนุเคราะห์ชาวบ้านให้มีความเจริญผาสุข
    ด้วยการเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา
    คู่ไปกับการสร้างเครื่องรางของขลังแจกเพื่อให้ไปป้องกันตัว
    เพราะอาชีพหลักของคนแถบนั้นก็คือ การประมง
    ต้องเสี่ยงภัยกับฉลามและสัตว์ร้ายอื่นๆ เล่ากันมาว่า
    ปีหนึ่ง หลวงพ่อสรงน้ำครั้งหนึ่ง อันถือเป็นประเพณีของท่านว่า
    ปีหนึ่งท่านจะสรงน้ำเพียงครั้งเดียว และใครที่มาสรงน้ำ
    ท่านจะแจกสตางค์แดง มีรูตรงกลางให้คนละหนึ่งอัน

    สตางค์แดงนั้นแหละเอาไปร้อยเชือกผูกติดเอว ป้องกันอันตราย

    บางคนบอกว่า ฉลามบุกเข้ามาจะงับ แต่อ้าปากไม่ขึ้น
    เอาเท้าถีบเล่นได้เลย เพราะมันแพ้ในอำนาจแห่งพระพุทธคุณ
    ที่หลวงพ่อบ่าย ท่านปลุกเสกสตางค์แดงเอาไว้

    เมตตาธรรมของหลวงพ่อนั้นแผ่กว้างไพศาล
    ไม่เคยดุด่าว่าใครแรงๆ เพราะท่านวาจาสิทธิ์นัก

    ผู้คนที่บากหน้ามาขอความช่วยเหลือ
    จากท่านนั้น ต่างก็ได้รับความเมตตากลับไปทุกราย
    ท่านสงเคราะห์เท่าที่ท่านจะสงเคราะห์ได้ ไม่รังเกียจเลย
    จนกระทั่งวันหนึ่ง มีชายจีนแต่งตัวซอมซ่อเข้ามาเดินท่อมๆ ในวัด
    ถามหาหลวงพ่อบ่าย ท่านลงไปกวาดลานวัดอยู่พอดีจึงได้แนะนำตัว

    “ท่านค้าบอาหลงพ่อบ่าย อีหยู่ที่หนาย อั๊วะจะมาขอหวยอีสักหน่อย

    ค้าขายขากทุงป่งปี้ ขอหวยไปทำทุง”

    “ฉันนี่แหละหลวงพ่อบ่าย ที่อาเจ็กถามหาอยู่ หวยฉันไม่เคยให้

    มันเป็นของที่ไม่น่าจะให้เลยนี่นาอาเจ็ก”

    “กาบเท้าล่ะคร้าบ ผงจงจิงๆ อาหลงพ่อ ไม่งั้งไม่บากหน้ามาหา”


    “ไม่เอาน่า ทำมาหากินอย่างอื่นเถอะ มันเป็นอบายมุข ไม่สมควรจะไปยึดติด

    มันไม่เจริญรุ่งเรืองหรอกน่า ทำมาหากินดีกว่า”

    กล่าวจบท่านก็เดินหนีไป อาเจ๊กผู้นั้นก็กลับด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

    รุ่งขึ้นก็มาตื๊อหลวงพ่ออีก แต่ก็ต้องกลับไปมือเปล่าตามเคย
    วันที่เจ็ด อาเจ๊กคนนั้นก็มาอีก คราวนี้หลวงพ่อขัดใจ จึงบอกว่า

    “หวยเหยอะไรกันไม่มีหรอก มีแต่หญ้าข้างโบสถ์นั่นแหละ
    รกจนท่วมหัว ไปถางเอาซี่ นั่นแหละ แน่ที่สุด”


    วันรุ่งขึ้น อาเจ๊กก็เกณฑ์ลูกเมียและคนในบ้าน เอามีดพร้าจอบเสียม

    มาช่วยกันตัดหญ้าจนเตียนโล่ง เห็นทันตา
    หลวงพ่อบ่ายมาเห็นเข้า ก็พึมพำกับศิษย์ว่า

    “อ้ายเจ๊กนั่นมันโง่จริงๆ เลย ดูซิบอกให้มันไปถางหญ้าแทนหวย

    มันก็ถางเสียเตียนเลย เอาล่ะวะ จะให้มันสักตัวสองตัว”

    ว่าแล้วท่านก็เรียกอาเจ๊กเข้ามาหา แล้วบอกหวยให้
    โดยขอร้องให้เล่น เพียงเพื่อหาทุนมาทำมาค้าขายต่อไปเท่านั้น
    อย่าได้เล่นเป็นอาชีพ จะฉิบหายขายตัว อาเจ๊กรับคำ
    ท่านก็ให้หวยไปตัวหนึ่ง
    หวยสมัยนั้น มีหวย ก.ข. และหวยจับยี่กี
    หวย ก.ข. ออกเช้า ออกบ่าย แต่จับยี่กีออกทั้งวัน
    อาเจ๊กไปแทงหวย ก.ข. และจับยี่กี ก็ถูก ได้สตางค์มากโข
    พอเอาไปทำทุนค้าขาย ต่อมาได้นำเงินมาถวายหลวงพ่อบ่าย
    ช่วยหล่อรูปหล่อให้ท่าน ด้วยความศรัทธา

    ขุนบาลหวย แค้นเคืองหลวงพ่อบ่ายมาก
    ถึงกับด่าทอและฝากคนมาด่าหลวงพ่อถึงที่วัด
    “หลวงพ่อครับ อ้ายขุนบาลหวยมันพูดใส่หน้าผม
    ที่เป็นศิษย์หลวงพ่อมาว่า ไปบอกหลวงพ่อของเอ็งด้วยว่า
    มีปัญญาใบ้ก็ใบ้มา กูไม่กลัว ใครเชื่อท่านวัดช่องลม
    ก็ให้มาแทงหวยกับกู รับรองฉิบหายทุกราย
    ใครจะมาเก่งกว่ากูที่เป็นคนออกหวย”


    มันเป็นการล่วงเกินอย่างไม่น่าให้อภัย แต่หลวงพ่อบ่ายท่านก็ยิ้ม
    แล้วสั่งศิษย์ไปว่า “อ้ายขุนบาลมันด่ากระทั่งกูผู้ทรงศีล
    ที่กูให้หวยอ้ายเจ๊กนั่นไปทำมาหากิน มันกลับหาว่ากูทำให้คนฉิบหาย
    กูจะดูซิว่า กูหรือมัน จะฉิบหายกันแน่ กรรมของมันมาถึงแล้ว
    ไปบอกกันให้ทั่วว่า หวยวันนี้ท่านวัดช่องลมบอกว่าออก สองคน”


    ข่าวแพร่สะพัดออกไป บรรดานักเล่นหวยก็แห่กันไปแทง “สองคน”

    แบบจับยี่กีกันเป็นโกลาหล ปรากฎว่า หวยออก “สองคน”
    ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ทั้งๆ ที่ขุนบาลก็ได้เปลี่ยนตัวออกทุกครั้ง
    แต่ก็ปรากฎว่า พอออกก็เป็นสองคนทุกครั้งเหมือนมีใครมาจับมือ
    ให้ออกสองคน ขุนบาลกับหุ้นส่วน และคนที่มาเป็นพยาน
    ทะเลาะทุ่มถียงกันจนโรงหวยแทบแตก
    เพราะใครล้วงตัวอื่นมาใส่ในถุงแขวน ก็มองเห็นตัวสองคนเป็นตัวอื่น
    เอายัดลงไป ออกสองคนทุกครั้ง เปลี่ยนคนมาออก ก็ยังเป็นสองคน
    วันนั้น วันเดียว ขุนบาลกับหุ้นส่วนหมดตัว
    ต้องขายบ้าน ขายช่อง กลายเป็นคนหาบของขายไปในไม่ช้า

    เหตุเพราะกรรมที่แช่งหลวงพ่อบ่ายให้ฉิบหาย
    แล้วกรรมนั้นก็เข้าสนองตัวเองอย่างจัง ทันตาเห็น


    เห็นจะเป็นด้วยเรื่องหวยนี้แหละ ศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง

    เคยบวชเรียนอยู่กับท่านจนเกือบจะได้รับการส่งไปเป็นเจ้าอาวาสวัด
    ในปกครองของ ท่านในสมุทรสงคราม แต่ก็ชิงสึกเสียก่อน
    เพราะสีกาทำให้ร้อนผ้าเหลือง เมื่อสึกออกไปแล้ว
    ก็ไม่ประกอบอาชีพอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
    ได้แต่กินเหล้าสำมะเลเทเมาไปวันๆ

    วันหนึ่ง ได้พกปืนกำเข้ามาในวัด

    แล้วก็ร้องเอะอะด่าทอไปจนถึงกุฏิหลวงพ่อบ่าย
    หลวงพ่อท่านโผล่ออกมาดู พอเห็นก็เลยบอกกับอดีตศิษย์ทางธรรมว่า

    “ทิดเอ๊ย ไปเสียเถิด ที่นี้เขตวัดไม่ใช่ร้านเหล้า ไปตามทางของแกเสีย

    แกมันไม่น่าจะทำอย่างนี้ เคยบวชเรียนมาก็หลายพรรษา”

    “อย่ามาพูดมากเลยหลวงพ่อ เขาว่าให้หวยแม่นไม่ใช่หรือ

    ลองให้สักตัวซี่เอ๊า จะเอาไปกินเหล้าให้หมดเลย”

    หลวงพ่อบ่าย ท่านก็ยังใจเย็น กล่าวกับทิดนั้นว่า

    “อยากได้หรือ มีแต่ส้นตีนนี่ไงล่ะ เอาไปซี่” ว่าแล้วท่านก็ยกฝ่าเท้าให้จังๆ

    ทิดผู้นั้นก็หันหลังกลับ แล้วเดินบ่นพึมพำออกจากวัดไปว่า

    “หน๊อยขอหวยดีๆ ดันผ่าให้ส้นตีนได้ หลวงพ่อไม่เอาไหน”

    คนที่เห็นเหตุการณ์รวยไปตามๆ กัน เพราะหวยวันนั้นออก “เอี่ยวเกือก”

    ทั้งเช้าและบ่าย ทิดขี้เมาไม่มีโชค มัวแต่แอ่นไปแอ่นมาเลยไม่ได้แทง
    แต่ไม่เป็นไร คราวนี้พกปืนมาอีก พอมาถึงหลวงพ่อก็ร้องขอหวย

    “หลวงพ่อครับ คราวก่อนไม่ได้แทงเลยอด

    คราวนี้ขอใหม่อีกหน จะแทงให้จั๋งหนับ”

    “แกขอทีเดียวก็ให้ไปแล้ว แกจะมาขออีกมันผิดสัจจะ

    ออกไปอ้ายคนไม่รักดี ไปตามทางของแกได้เล้ว”

    ชายคนนั้นแสดงอาการไม่พอใจ ชักปืนออกมาจากเอว
    แล้วหันปากกระบอกไปหาหลวงพ่อบ่าย แล้วร้องว่า

    “เดี๋ยวพ่อยิงซะให้ตายโหงอยู่ตรงนี้เลย ขอหวยนิดเดียว
    ไล่เหมือนหมูเหมือนหมา”

    หลวงพ่อบ่ายท่านจึงพลั้งปากออกไป
    ไม่ได้ตั้งใจกับทิดขี้เหล้านั้นว่า

    “อ้ายทิด แกนี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
    แกนั่นแหละ ตายโหง ไม่ใช่ฉัน อ้ายผีตายโหง”


    กล่าวจบ ท่านก็เดินหันหลังเข้ากุฏิ
    ชายคนนั้นก็เดินกลับไป พอรุ่งเช้า ก็มีคนไปพบชายคนนั้น
    นอนตายอยู่ในห้องนอนของตัวเองบนบ้าน หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเก
    เหมือนได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส
    เจ้าหน้าที่มาชัณสูตรศพพบว่าถึงแก่ความตาย
    เพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว ไม่มีร่องรอยการฆาตกรรม
    แล้วเขาตายด้วยเหตุใด ในที่สุด เมื่อพลิกตัวเขาดูอีกที
    ก็มองเห็นภาพอันน่าสยดสยอง
    นั่นก็คือ มดแดงไฟจำนวนเป็นหมื่นๆ แสนๆ ตัว
    ค่อยๆ ไต่ออกจากหูของคนตาย
    ปากคาบเอาแก้วหูบ้าง ขี้หูบ้าง ออกมา

    ทิดขี้เมารายนั้น ถูกมดแดงไฟพากันยกโขนงเข้าไปกัดแก้วหู
    จนถึงแก่ความตาย เป็นการตายโหงอย่างน่าประหลาดที่สุด
    ทุกวันนี้ยังมีการกล่าวขวัญถึงอย่างไม่รู้จบ
    เพราะเป็นเรื่องที่อัศจรรย์เป็นยิ่งนักทีเดียว


    กรรมที่ด่าว่าพระให้ท่านฉิบหาย ตัวเองก็ฉิบหายไปเอง
    กรรมที่เอาปืนมาขู่จะฆ่าพระให้ตายโหง ตัวเองก็ตายโหง
    มันเป็นกรรมที่ให้ผลทันตาเห็น เพราะพระท่านมีศีลบริสุทธิ์
    ใครที่บังอาจไปทำร้ายท่าน
    ก็ย่อมกระท้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

    [​IMG]

    คัดลอกจาก...คุณ boogboog

    Fwdder.com - กฎแห่งกรรม:ผู้ล่วงเกิน - โพสโดย boogboog


    [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]

    ลูกโป่ง
    บัวแก้ว
    [​IMG]
    [​IMG] จาก...เวปลานธรรมจักร
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2011
  19. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    อาสวะ
    [​IMG]


    คำว่า อาสวะ นี้หมายความว่า สิ่งที่ถูกหมักดองไว้นานๆ ได้แก่ สุรา แต่ในที่นี้ คำว่า อาสวะ ได้แก่ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ซึ่งมีสภาพเหมือนกับสุรา เพราะตามธรรมดาของสุรานั้น เป็นสิ่งที่ถูกหมักดองไว้นานๆ และสามารถทำให้ผู้ที่ดื่มกินมีอาการมึนเมา ขาดสติ กระทำในสิ่งต่างๆ ที่ไม่ควรทำได้ ดังที่เห็นกันได้อยู่ทุกๆ วันนี้ว่า การทะเลาะวิวาทกันก็ดี การปล้นชิงทรัพย์กันก็ดี การฆาตกรรมกันก็ดี เรื่องต่างๆ เหล่านี้ อาศัยเกิดมาจากสุราเป็นเหตุ เป็นส่วนมากถึง ๙๐ เปอร์เซนต์ ผลสุดท้ายผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของสุรานั้น ก็จะได้รับผลตอบแทน คือความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ข้อนี้ฉันใด โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ที่เปรียบสภาพเหมือนสุรา ก็เพราะว่าธรรมทั้ง ๓ นี้ ติดหมักหมมอยู่ในขันธสันดานของสัตว์ทั้งหลายเป็นเวลาช้านาน นับจำนวนภพชาติไม่ได้

    [​IMG]ภาพคนเมา​

    ด้วยเหตุนี้ เมื่อธรรมเหล่านี้ปรากฏเกิดขึ้นแก่ผู้ใดแล้ว ก็กระทำให้จิตใจของผู้นั้นมึนเมาไม่รู้สึกตัว ตกอยู่ภายใต้อำนาจของโลภะบ้าง ทิฏฐิบ้าง โมหะบ้าง แล้วสามารถที่จะกระทำทุจริตต่างๆ มี กายทุจริต เป็นต้นได้ เพราะความเมาด้วยโลภะ ทิฏฐิ โมหะ นั้นเอง และผลที่ได้รับจากความเมาด้วยอำนาจของธรรม ๓ อย่างนี้ ก็คือ ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เหมือนกับผู้ที่เมาสุรา ฉันนั้น ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงทรงแสดง โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ทั้ง ๓ นี้ ว่าเป็นอาสวะ ดังมีวจนัตถะแสดงว่า

    อาสวนฺติ จิรํ ปริวสนฺตีติ = อาสวา
    อาสวา วิยาติ = อาสวา


    สิ่งใดที่ถูกหมักดองอยู่นานๆ สิ่งนั้น ชื่อว่า อาสวะ (ได้แก่ สุรา) ธรรมเหล่าใดมีสภาพเหมือนสุรา ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า อาสวะ (ได้แก่ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ)

    อีกประการหนึ่ง คำว่า อาสวะ นี้ เมื่อตัดบทออกแล้ว ๒ บท คือ อา+สว= อาสว
    อา แปลว่า วัฏฏทุกข์ที่ยาวนานไม่มีกำหนด
    สว แปลว่า เจริญรุ่งเรือง
    เมื่อรวมเข้าทั้ง ๒ บทแล้ว แปลว่า ธรรมที่ทำให้วัฏฏทุกข์อันยาวนาน ไม่มีกำหนดนั้นเจริญรุ่งเรืองไม่มีสิ้นสุด

    หมายความว่า ความเป็นอยู่แห่ง รูป นาม ขันธ์๕ ของสัตว์ทั้งหลาย คนหนึ่งๆ ที่เกิด แล้วตาย ตายแล้วเกิด เป็นอยู่เช่นนี้ ที่แล้วๆ มาจนถึงปัจจุบันภพนี้ ก็นับเป็นเวลานานจนกำหนดไม่ได้ และต่อไปข้างหน้าก็จะต้องตายเกิดๆ อย่างนี้อีกกำหนดนับไม่ได้เช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าวัฏฏทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายนี้ เจริญรุ่งเรืองมากมายไม่มีสิ้นสุด ดังมีวจนัตถะแสดงว่า

    อายตํ สํสารทุกฺข สวนฺติ ปสวนฺติ วฑฺเฒนฺตีติ = อาสวา

    ธรรมเหล่าใด ทำให้วัฏฏทุกข์ที่ยาวนานนั้น เจริญรุ่งเรือง ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า อาสวะ (ได้แก่ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ)

    อีกนัยหนึ่ง คำว่า อา แปลว่า มีกำหนดขอบเขตถึง ภวัคคภูมิ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ หรือมีขอบเขตจนถึงโคตรภู(อาสวะยังไหลไปถึงได้)
    คำว่า สว แปลว่า เกิดได้ หรือไหลไปได้
    เมื่อรวมทั้ง ๒ บทเข้าแล้ว แปลว่า เกิดได้ หรือ ไหลไปได้ จนถึง ภวัคคภูมิ หรือโคตรภู โดยอำนาจกระทำให้เป็นอารมณ์

    ตามธรรมดา โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ทั้ง ๓ นี้ เกิดขึ้นโดยอาศัยโลกียธรรมและบัญญัติธรรมอยู่แล้ว ฉะนั้น ที่แสดงว่า เกิดได้จนถึงภวัคคภูมิ หรือโคตรภูนั้น ไม่มีเนื้อความพิเศษอย่างใด หมายความว่า เนวสัญญานาสัญญายนตนภูมิก็ดี โคตรภูญาณ หรือ โวทานก็ดี เหล่านี้ ยังเป็นโลกียธรรมอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอารมณ์ของ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวว่า โลภะ ทิฏฐิ โมหะ อาสวธรรมทั้ง ๓ นี้ เกิดได้หรือไหลไปได้ จนถึงภวัคคภูมิ หรือโคตรภู ดังมีวจนัตถะแสดงว่า

    ภวโต อาภวคฺคา ธมฺมโต อาโคตฺรภุมฺหา สวนฺติ อารมฺมณกรณวเสน
    ปวตฺตนฺตีติ = อาสวา
    ธรรมเหล่าใด ไหลไปถึง หรือ เกิดได้ถึง ว่าโดยภูมิ หรือ ภวัคคภูมิ ว่าโดยธรรมถึงโคตรภู ด้วยอำนาจกระทำให้เป็นอารมณ์ ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า อาสวะ

    มีข้อที่น่าสงสัยอยู่ว่า โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ทั้ง ๓ นี้ ชื่อว่า อาสวะ เพราะเป็นเครื่องหมักดองอยู่ในขันธ์สันดานของสัตว์ทั้งหลายเป็นเวลานาน หรือไหลไปได้ เกิด ได้จนถึงภวัคคภูมิ หรือ โคตรภู ตามที่แสดงมาแล้วนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ อกุศลเจตสิกอื่น เช่น อหิริกะ อโนตตัปปะ มานะ เป็นต้น ก็เกิดอยู่ในขันธสันดานของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเวลานาน และก็สามารถเกิดได้โดยอาศัยภวัคคภูมิ หรือโคตรภูเป็นอารมณ์เช่นเดียวกัน แต่ทำไมพระพุทธองค์จึงไม่ทรงจัดเจตสิกเหล่านี้ เป็นอาสวะบ้าง เพราะเหตุไร?

    ข้อสงสัยเช่นนี้ ก็จะต้องแก้ว่า เพราะ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ทั้ง ๓ นี้ มีสภาพเป็น อาสวะ ปรากฏชัดเจนมากกว่าอกุศลเจตสิกอื่นๆ เช่น มานะคือ การเย่อหยิ่งถือตัวนี้แม้ว่าอาศัยภวัคคภูมิ หรือโคตรภูเป็นอารมณ์แล้วเกิดได้ก็จริง แต่ความกว้างขวางทั่วไปแล้วสู้ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ไม่ได้ ความปรากฏชัดเจนก็สู้กันไม่ได้ อุปมาเหมือนคำว่า "สุริยะ" ซึ่งแปลว่า แสงสว่าง ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายมีความกล้า ได้แก่ ดวงอาทิตย์เท่านั้น แต่แสงสว่างของสิ่งอื่นๆ เช่น แสงสว่างของดวงจันทร์ หรือแสงสว่างของดวงไฟ ก็สามารถทำให้มนุษย์ทั้งหลายมีความกล้าเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่เรียกว่า "สุริยะ" ทั้งนี้ ก็เพราะว่า แสงสว่างที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายมีความกล้าที่ปรากฏชัดเจนมากที่สุดและปรากฏได้ทั่วไปในโลกนั้นก็ได้แก่ แสงสว่างของดวงอาทิตย์นั้นเอง

    ด้วยเหตุนี้ คำว่า "สุริยะ" จึงได้แก่ ดวงอาทิตย์ดวงเดียว ไม่ใช่ดวงจันทร์ หรือ ดวงไฟ ข้อนี้ฉันใด อกุศลเจตสิกดวงอื่นๆ แม้ว่าจะเป็นเครื่องหมักดองอยู่ในขันธสันดานของสัตว์ทั้งหลาย หรือไหลไปได้ เกิดได้จนถึงภวัคคภูมิและโคตรภู ด้วยอำนาจการทำให้เป็นอารมณ์ก็จริง แต่ความเป็นเครื่องหมักดองก็ดี หรือความไหลไปได้ เกิดได้จนถึงภวัคคภูมิหรือโคตรภูก็ดีเหล่านี้ ย่อมปรากฏแต่ในธรรมที่เป็นโลภะ ทิฏฐิ โมหะ โดยส่วนเดียว ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงไม่ทรงแสดงอกุศลเจตสิกดวงอื่นๆ ว่า เป็น อาสวะ

    [​IMG]
    จาก... หนังสือ ปรมัตถโชติกะ
    ปริจเฉทที่ ๓และปริจเฉทที่ ๗
    ( หน้า ๙๑-๙๓ )
    มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2011
  20. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    kanchana.c
    วันที่ 1 มี.ค. 2552 23:26
    เสน่ห์อินเดีย 9
    จาก...บ้านธัมมะ
    [​IMG]

    ตามถนนก่อนเข้าถ้ำดงคสิริ เห็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง ใบเหมือนมะขามเทศ ออกดอก
    ขาวเต็มต้นไปหมด สอบถามแขกอินเดียว่าชื่อต้นอะไร เขาบอกชื่อมา ก็ไม่เกิดความรู้อะไร เพราะไม่มีสัญญาความจำเกี่ยวกับชื่อนั้นมาก่อน ทำให้ไม่เกิด
    ความคิดปรุงแต่งเชื่อมโยงกับเรื่องอื่น ภายหลังจึงทราบจากคุณติ๋ว (ที่ต้องอ้างแหล่งข้อมูล เพราะไม่รับผิดชอบความถูกต้องค่ะ) ว่า คือ ต้นมะรุม ที่เรานำใบมากินทุกวัน สรรพคุณดีมาก มาอินเดียหลายวันแล้ว ไม่ป่วยเลย การขับถ่ายก็เป็นปกติ ไม่เป็นไข้หวัดเหมือนคนอื่นด้วย (อาจเป็นเพราะได้ฉีดวัคซินไข้หวัดจากคุณสุกัญญาด้วยก็ได้) ได้ข่าวว่า อินเดียเป็นต้นกำเนิดของการผลิตน้ำมันมะรุม ซึ่งใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางชั้นสูง (ราคาแพง) ทำให้คิดว่า ถ้าหาซื้อได้ก็จะซื้อไปใช้สัก ๑ แกลลอน โดยไม่ต้องผสมอะไร เพื่อลบเลือนริ้วรอยให้เท่ากับอายุก็พอ (ไม่ต้องอ่อนกว่า) เพราะทุกวันนี้คนที่เรียกเราว่า พี่ หรือป้านั้น บางท่านก็มีอายุมากกว่าเราหลายปีเคยปรารภเรื่องนี้กับสามี เขาบอกว่า เรามีบุคลิกภูมิฐาน น่าเกรงขาม ไม่มีใครกล้ามาเป็นเพื่อน หรือเรียกว่าน้องหรอก เราเลยถามเขาว่า ทำไมจึงกล้ามาคบกับเราล่ะ เขาบอกว่า เขาคุ้นเคยกับพวกนักเลงหัวไม้มามาก เห็นทุกคนก็กลัวตายทั้งนั้น แล้วจะมากลัวกับผู้หญิงตัวเล็ก หน้าดุอย่างเราทำไม เฮ้อ ตอบตรงซะเสียจินตนาการหมด ฟังดูจะเป็นคุณสมบัติที่ดีของคนเฝ้าบ้านมากกว่าภรรยานะคะ ผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด ก็อยากสวยกันทั้งนั้น แต่ความสวยไม่ได้มาจากความอยาก ไม่อย่างนั้นคนมีเงิน ไปทำศัลยกรรมพลาสติกก็สวยกันทุกคน แต่บางคนก็ตายคาเขียง หรือออกมาแย่กว่าเก่า

    [​IMG] ต้นมะรุม
    พระนางมัลลิกามเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า เหตุใดผู้หญิงบางคนจึงเกิดมาสวย บางคนก็เกิดมารวย และบางคนก็เกิดมาสูงศักดิ์ ซึ่งมีข้อความโดยย่อ (จากพระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชนย่อความจากพระไตรปิฎก โดย สุชีพ ปุญญานุภาพ หน้า ๕๓๗) ว่าพระนางมัลลิกาเทวีนั้น เดิมเป็นบุตรของนายช่างทำดอกไม้ผู้ยากจน วันหนึ่งได้ถวายขนมแด่พระผู้มีพระภาคด้วยศรัทธาและได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางเป็นผู้มีปัญญามาก แต่ว่ารูปไม่งาม จึงได้ทูลถามปัญหาพระผู้มีพระภาค ๔ ข้อ

    พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจง ว่า

    ๑. มาตุคาม ผู้มักโกรธ ไม่ให้ทาน มีใจริษยา
    จะเป็นผู้มีรูปทรามและยากจน มีศักดิ์น้อย


    ๒. มาตุคาม ผู้มักโกรธ แต่ให้ทาน ไม่มีใจริษยา
    จะเป็นผู้มีรูปทราม แต่มั่งคั่ง มีทรัพย์
    มาก และมีศักดิ์ใหญ่

    ๓. มาตุคาม ผู้ไม่มักโกรธ แต่ไม่ให้ทาน มีใจริษยา
    จะเป็นผู้มีรูปงาม แต่ยากจน มีศักดิ์
    น้อย

    ๔. มาตุคาม ผู้ไม่มักโกรธ ทั้งให้ทาน และมีใจไม่ริษยา
    จะเป็นผู้มีทั้งรูปงาม ทั้งมั่งคั่ง
    และมีศักดิ์ใหญ่

    พระนางมัลลิกากราบทูลว่า
    ชะรอยพระนางจะเป็นคนมักโกรธในชาติอื่น จึงทรง
    มีรูปทราม
    ชะรอยจะเคยถวายทานจึงมั่งคั่ง
    และชะรอยจะไม่มีใจริษยา จึงมีศักดิ์ใหญ่
    เหนือหญิงทั้งปวงในราชสกุล
    แล้วทรงแสดงพระประสงค์ว่าจะไม่มักโกรธ ทั้งจะถวาย
    ทาน
    และไม่มีใจริษยา ตั้งแต่วันนี้ไป

    (รายละเอียดหาอ่านได้จากจากพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
    เล่ม ๒๑
    ข้อ ๑๙๗)

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...