เห็นผลในชาตินี้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Mantalay, 16 ธันวาคม 2010.

  1. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    เวรกรรม ของเศรษฐี
    [​IMG]

    ในตลาดไม่มีใครเลยสักคนที่ไม่รู้จัก เถ้าแก่ " ตั๋ง " เพราะแกเป็นผู้บุกเบิกตลาดแห่งนี้เป็นคนแรก แกขายทุกอย่างที่จะขายได้ ตั้งแต่ กาแฟ ไข่ลวก บุหรี่ สุรา ไปจนถึง ปะยาง รถจักรยายยนต์ พอมีเงิน เก็บหอมรอมริบก็ซื้อที่ทางไว้

    กระทั้งเวลาผ่านไปไม่กี่ปี เถ้าแก่ตั๋ง ก็เป็นเจ้าของตลาดเต็มตัว มีแผงให้เช่าโดยไม่ต้องขายเหมือนก่อนหน้าที่แกก็ คือเดินตรวจตลาด เก็บค่าเช่าอย่างชนิดไม่ขาดไม่เกิน

    " อั้วไม่ล่ายสร้างตลาด มาให้พวกลื้อติดค่าเช่าน้ะ ให้ลู้ซะล่วย " เป็นคำพูดที่เถ้าแกชอบพูดดัง ๆ เป็นการกึ่งประจานเวลาแผงไหนผลัดค่าเช่าแก

    ใคร ๆ ก็รู้จักเถ้าแก่ตั๋ง เพราะแกจะวางท่ายิ่งใหญ่ไม่รู้จักใคร หรือถ้าใครเดินเข้าตลาดแล้วไม่ซื้อของแก ก็จะเดินไปด่าเขาทำตัวเป็นที่อิดหนา ระอาใจกับคนในตลาดนั้น ถ้าย้ายได้ก็ย้ายหนีไป ถ้าย้ายไม่ได้ก็ต้องทนรับสภาพไป

    หลายปีผ่านมา เถ้าแก่ตั๋ง ได้ขยายครอบครัวกลายเป็น ตระกูลห้าพยางค์ อันยิ่งใหญ่ขยายกิจการใหญ่โต ประกอบกับตัวเถ้าแก่เริ่มแก่ชราหน้าที่เก็บค่าเช่า และดูแลผลประโยชน์ก็ตกมาถึงลูกหลาน ที่เจริญรอยตามเถ้าแก่ ตั๋ง ขณะเดียวกันเมื่อลูกหลานเติบโต แบ่งแยกครอบครัวกันออกไป เถ้าแก่ที่เคยมีอดีตอันยิ่งใหญ่ ก็เหมือนคนแก่คนหนึ่งภายในบ้าน ไม่ได้รับความสนใจจากลูกหลาน เรียกว่าถูกทอดทิ้งก็ว่าได้

    หลังจากมีการแบ่ง มรดก ให้ลูกหลานเป็นที่เรียบร้อย เถ้าแก่ตั๋ง ก็ถูกส่งไป บ้านพักคนชรา โดยลูกหลานปล่อยอย่างไม่ใยดี แม้ตัวแกจะห่วงตลาดเก่าที่สร้างมากับมือ แต่ร่างกายก็ซูบซีดผอมจนหนังหุ้มกระดูกหมดราศีความเป็นเถ้าแก่ ชีวิตต้องนั่งรถเข็นอย่างหมดสภาพ

    วันหนึ่งขณะที่ตลาดจอแจด้วยผู้คนไปมา ชายชราคนหนึ่ง สภาพมอมแมมไม่ต่างอะไรจาก ขอทาน เสื้อผ้าขาดวิ่น แขนขาลีบเรียว จนต้องนอนหมอบกับพื้นสกปรก ที่ตลาดแห่งนั้น แล้วเจ้าเด็กน้อย ๒ คน ที่มองดูชายชราตามประสาเด็ก พลางล้วงกระเป๋าหยิบเศษเหรียญสตางค์หย่อนลง กระป๋องแล้วพูดว่า

    " ตาออกไปขอทานที่อื่นเถอะเดี๋ยวเตี่ยมาเห็นจะโดนไล่หรอก เตี๋ยบอกว่าเมื่อตอนก๋งอยู่ ก๋งไม่ชอบให้ขอทานมาอยู่ในตลาด "

    เจ้าเด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วโดยไม่รู้หรอกว่า ขอทานผู้นั้นคือ เถ้าแก่ตั๋งหรือก๋งคนที่แกพูดถึง และแกก็ยังห่วงตลาดที่แกสร้างมากับมือ


    ที่มา http://www.watkoh.com
    [​IMG]
    <dl class="postprofile" id="profile114418"><dt> [​IMG]
    แมวขาวมณี </dt></dl>จาก...เวปลานธรรมจักร
     
  2. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066

    โอฆะ

    [​IMG]


    คำว่า โอฆะ ในที่นี้หมายความว่า ธรรมที่เหมือนกับห้วงน้ำ ได้แก่ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ อกุศลเจตสิก ๓ ดวงนี้ เป็นธรรมที่เหมือนห้วงน้ำนั้น เพราะเหตุไร? เพราะว่าตามธรรมดาห้วงน้ำนั้น เมื่อวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือสัตว์ใด ตกลงในห้วงน้ำแล้ว น้ำนั้นย่อมท่วมทับเบียดเบียนวัตถุหรือสัตว์นั้นๆ และทำให้วัตถุหรือสัตว์ทั้งหลายนั้นจมลง ไม่มีโอกาสจะโผล่ขึ้นมาได้เลย

    [​IMG]

    สภาพของโลภะ ทิฏฐิ โมหะ ทั้ง ๓ นี้ก็เช่นเดียวกัน คือ ท่วมทับสัตว์ทั้งหลายอยู่ และทำให้สัตว์ทั้งหลายนั้นจมลงในวัฏฏสงสารจนถึงอบายภูมิ โดยไม่ให้มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นจากวัฏฏสงสาร ให้เข้าถึงพระนิพพานได้ ด้วยเหตุนี้ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ทั้ง ๓ นี้เท่านั้น ชื่อว่า โอฆะ อกุศลเจตสิกอื่นๆ ไม่ชื่อว่า โอฆะ โอฆะก็เป็นไปโดยทำนองเดียวกันกับอาสวะดังมีวจนัตถะแสดงว่า

    อวตฺถริตฺวา หนนฺตีติ = โอฆา วา
    อวหนนฺติ โอสีทาเปนฺตีติ = โอฆา
    โอฆา วิยาติ = โอฆา

    ธรรมชาติใด ย่อมท่วมทับเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า โอฆะ (ได้แก่ ห้วงน้ำ) (หรือ)

    ธรรมชาติใด ทำให้สัตว์ทั้งหลายจมลง ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า โอฆะ (ได้แก่ ห้วงน้ำ)

    ธรรมชาติใด ท่วมทับเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย และทำให้สัตว์ทั้งหลายจมลงในวัฏฏสงสารจนถึงอบายภูมิ เหมือนกับห้วงน้ำ ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า โอฆะ (ได้แก่ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ)

    [​IMG]


    จาก... หนังสือ ปรมัตถโชติกะ
    ปริจเฉทที่ ๓และปริจเฉทที่ ๗
    ( หน้า ๙๓-๙๔ )
    มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2011
  3. พุชญา

    พุชญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +188
    ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
    ดิฉันเชื่อค่ะ เรื่องกฎแห่งกรรม เพราะประสพขึ้นกับตัวเองมาแล้ว

    สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ
     
  4. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    <center>
    </center>[​IMG]
    สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ คุณจิตจินตนา
    การเชื่อในกฏแห่งกรรมถือว่าเป็นบุญของเรานะค่ะ
    ทำให้เราเกรงกลัวต่อบาปมากขึ้น สิ่งที่ประสพกับตัวเอง

    ถ้ายังไง ถ้าพอจะเล่าประสบการณ์ของคุณได้
    จะตั้งกระทู้เอง หรือเชิญที่นี่ได้เลยค่ะ
    ยินดีและเต็มใจเป็นอย่่างยิ่งค่ะ
    ขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านนะค่ะ

    เชิญอ่านต่อไปนะคะ

    <center>[​IMG] </center> ​

    สังคมปัจจุบันมีการใส่ร้ายป้ายสีกันมาก
    ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนของประชาชนก็ตาม
    จนทำให้สังคมเกิดความสับสันว่าอะไรคือความจริง ความเท็จ
    รวมทั้งผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มักพูดคำหยาบ
    คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดศีล
    เพราะฉะนั้นทุกคนจึงต้องระมัดระวังคำพูดให้มาก
    ผู้ไม่สำรวมระวังในการพูด ตายแล้วจะไปเกิดเป็นเปรต
    ดังตัวอย่างในครั้งพุทธกาล เรื่องมีอยู่ว่า


    ภิกษุประมาณ ๑๒ รูป หลังจากเรียนกรรมฐานกับพระพุทธเจ้าแล้ว

    ก็เดินทางไปแสวงหาสถานที่ที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม
    ตอนช่วงใกล้จะเข้าพรรษา ได้พากันเดินทางไปถึงป่าแห่งหนึ่ง
    ซึ่งน่ารื่นรมย์ และอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าใดนัก
    จึงพากันปักกลดปฏิบัติธรรมอยู่ในป่านั้นหนึ่งคืน
    รุ่งเช้าก็ออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน

    ช่างหูก ๑๑ คน ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น

    เมื่อเห็นพระมาบิณฑบาตในหมู่บ้าน ก็เกิดความปีติยินดี
    จึงนิมนต์เข้ามาที่บ้าน แล้วถวายภัตตาหารอันประณีต
    และเรียนถามว่า พระคุณเจ้าจะไปที่ไหน
    เมื่อบรรดาภิกษุบอกว่ากำลังแสวงหาที่เหมาะๆ สำหรับการปฏิบัติธรรม
    พวกช่างหูกจึงได้นิมนต์ภิกษุทั้งหลายให้อยู่จำพรรษาในหมู่บ้าน
    และพากันสร้างกระท่อมในป่าถวาย
    พวกภิกษุทั้งหมดจึงได้จำพรรษาอยู่ ณ ที่นั้น

    ในบรรดาช่างหูกเหล่านั้น หัวหน้าช่างหูกได้รับอุปัฏฐากภิกษุ ๒ รูป

    ด้วยความยินดียิ่ง ส่วนช่างหูกคนอื่นๆ ได้ อุปัฏฐากภิกษุคนละรูป
    ฝ่ายภรรยาหัวหน้าช่างหูก เป็นผู้ไม่มีศรัทธา
    ไม่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เป็นมิจฉาทิฏฐิ
    มีความตระหนี่ ไม่สนใจ ที่จะอุปถัมภ์ภิกษุเลย
    ดังนั้น หัวหน้าช่างหูกจึงได้พาน้องสาวของภรรยามาอยู่ด้วย
    เพราะนางเป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส
    นางได้ปรนนิบัติภิกษุทั้งหลายด้วยความยินดียิ่ง
    ช่างหูกทุกคนพร้อมภรรยาได้ถวายผ้าสาฎกแก่ภิกษุ
    ผู้อยู่จำพรรษารูปละผืน ยกเว้นภรรยาของหัวหน้าช่างหูก
    ซึ่งได้ด่าสามีของตนว่า

    “ทานที่ท่านถวายแก่พวกพระสงฆ์ จะเป็นข้าว เป็นน้ำก็ดี

    จงบังเกิดเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นหนองและเลือดแก่ท่านในโลกหน้า
    ผ้าสาฎกก็จงเป็นแผ่นเหล็กร้อนลุกโพลงเถิด”

    ต่อมาหัวหน้าช่างหูกตายลง และไปเกิดเป็นรุกขเทวดาในป่า

    ที่พวกพระมาปฏิบัติธรรม แต่ภรรยาที่ปากพล่อย
    เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นนางเปรต
    อยู่ไม่ไกลจากที่อยู่ของรุกเทวดาเท่าใดนัก
    นางเปรตนั้นอยู่ในสภาพเปลือยกาย รูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่
    มีความหิวกระหายอยู่ตลอดเวลา
    นางเปรตได้เดินไปหารุกขเทวดาแล้วบอกว่า

    [​IMG]

    “นาย.. ฉันไม่มีผ้านุ่งและหิวกระหายเหลือเกิน
    ขอผ้านุ่ง ข้าว และน้ำให้ฉันหน่อยเถิด”

    รุกขเทวดาจึงได้ให้ข้าวและน้ำอันเป็นทิพย์แก่นางเปรต

    แต่สิ่งของต่างๆ อันเป็นทิพย์ที่รุกขเทวดาได้ให้แก่นางไปนั้น
    ได้กลับกลายเป็นอุจจาระ เป็นหนอง และเลือด
    ผ้านุ่งก็กลายเป็นแผ่นเหล็กร้อนลุกโพลงอยู่ตลอดเวลา !!
    นางเปรตจึงร้องไห้คร่ำครวญด้วยทุกข์อย่างมหันต์

    ขณะนั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง หลังจากออกพรรษาแล้ว

    ก็เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า โดยอาศัยไปกับหมู่เกวียนหมู่ใหญ่
    พวกหมู่เกวียนได้เดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน
    เมื่อไปถึงป่าแห่งนั้นตอนกลางวัน เห็นความอุดมสมบูรณ์ของป่า
    มีร่มเงาเย็นสบาย จึงปลดเกวียนแล้วนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้
    ฝ่ายภิกษุก็แยกไปหาที่สงบ ปูผ้าลงที่ใต้ต้นไม้อันร่มรื่น
    กะว่าจะนอนพักสักครู่ แต่จู่ๆ ก็ม่อยหลับไป
    เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอดทั้งคืน
    ส่วนหมู่เกวียนพอพักจนหายเหนื่อยแล้วก็ออกเดินทางต่อ
    โดยลืมภิกษุที่มาด้วยกัน ซึ่งหลับอยู่ใต้ร่มไม้

    ภิกษุรูปนั้นหลับไปจนกระทั่งเย็น เมื่อตื่นขึ้นมาไม่เห็นใคร

    จึงออกเดินทางต่อไปเรื่อยๆ เพียงลำพัง
    จนกระทั่งไปถึงต้นไม้ที่เทวดาสิงสถิตอยู่
    ฝ่ายรุกขเทวดาเห็นภิกษุเดินมุ่งหน้ามาที่ต้นไม้
    ก็แปลงร่างเป็นคนธรรมดาเข้าไปไหว้
    และนิมนต์ให้เข้าไปพักใต้ต้นไม้อันเป็นวิมานของตน
    ถวายยาทาแก้ปวดเมื่อยแก่ท่าน

    ขณะเดียวกันนั่นเอง นางเปรตผู้มีความหิวโหย

    ก็เข้ามาขอข้าว น้ำ และเสื้อผ้า รุกขเทวดาก็ได้ให้ตามที่ขอ
    แต่พอนางรับไป ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ
    หนอง เลือด และแผ่นเหล็กร้อนอันลุกโชน เหมือนที่เคยเป็นมา
    ฝ่ายภิกษุเห็นเหตุการณ์นั้นจึงเกิดความสลดสังเวชใจเป็นยิ่งนัก
    จึงถามรุกขเทวดาว่า

    “หญิงเปรตนี้กินอุจจาระ ปัสสาวะ เลือด และหนองเช่นนี้

    เพราะได้ทำกรรมอะไรไว้หรือ ?
    ผ้าผืนใหม่ที่สวยงาม อ่อนนุ่ม บริสุทธิ์
    มีขนอ่อนที่ท่านมอบให้แก่หญิงผู้นี้
    ทำไมจึงกลายเป็น แผ่นเหล็กร้อนไปได้”

    รุกขเทวดาได้เล่าให้ภิกษุรูปนั้นฟังว่า เมื่อก่อนหญิงเปรตนี้

    เป็นภรรยาของตน นางเป็นคนตระหนี่ไม่รู้จักให้ทาน
    และได้ด่าทอตอนที่ตนกำลังทำบุญอยู่
    กรรมนี้เองทำให้นางมาเกิดเป็นเปรตกินแต่อุจจาระ
    ปัสสาวะ เลือด และหนอง ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้นานแสนนาน

    พอรุกขเทวดาเล่าบุพกรรมของนางเปรต

    ที่ได้กระทำไว้ในชาติก่อนให้พระภิกษุฟังแล้ว
    จึงได้ถามว่าทำอย่างไรนางนี้จึงจะพ้นจากการเป็นเปรต
    ภิกษุจึงได้บอกวิธีการที่จะทำให้กรรมชั่วของนางเปรตหมดไปว่า

    “ถ้าท่านอยากให้นางเปรตนี้พ้นจากกรรมชั่ว

    ท่านก็จงทำบุญถวายทานแก่พระพุทธเจ้า และแก่พระอริยสงฆ์
    หรือแก่ภิกษุสักรูปหนึ่ง แล้วอุทิศให้แก่นางเปรตนี้
    เมื่อนางเปรตนี้อนุโมทนากับบุญที่ท่านทำ
    นางก็จะได้บุญและพ้นจากความทุกข์ทรมานได้”

    เมื่อรุกขเทวดาทราบวิธีช่วยเหลือนางเปรตแล้ว

    จึงได้ถวายภัตตาหารอันประณีตแก่ภิกษุรูปนั้น
    แล้วอุทิศบุญให้แก่นางเปรตอดีตภรรยา
    ทันทีที่นางเปรตอนุโมทนาบุญ จิตใจก็อิ่มเอิบ
    ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ท้องก็อิ่มด้วยอาหาร อันเป็นทิพย์
    ต่อมารุกขเทวดาได้ถวายผ้าทิพย์
    เพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่นางเปรตอีก
    นางเปรตก็ได้นุ่งผ้าทิพย์
    พร้อมเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ในขณะนั้นนั่นเอง
    เมื่อนางเปรตได้สิ่งที่อยากได้ทุกอย่างแล้ว
    ร่างที่น่าเกลียดน่ากลัวก็กลายเป็นสวยงามประดุจนางเทพอัปสร
    เพราะอานุภาพแห่งบุญ นั้นนั่นเอง

    ........


    หากไม่มีบุญที่คนอื่นทำอุทิศไปให้

    นางเปรตคงต้องทุกข์ทรมานไปอีกนานแสนนานกว่าจะพ้นจากความทุกข์
    เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ยังมีชีวิตอยู่จึงไม่ควรประมาท
    ต้องรีบขวนขวายทำความดีให้มาก ไม่เช่นนั้นจะต้องไปชดใช้กรรม
    ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนางเปรตแน่นอน

    ยุคปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่ไม่กลัวบาปกรรม
    เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง จึงดำเนินชีวิตด้วยความประมาท
    กล้าทำความชั่วอย่างไม่ละอาย มีจิตใจหยาบกระด้าง
    คิด ไม่ถึงว่ากรรมชั่วนั้นจะย้อนกลับมาหาตนเอง
    ทำให้ต้องเดือดร้อนในภายหลัง
    ผู้มีปัญญาจึงควรมองถึงผลในระยะยาว
    มองชีวิตทั้งระบบทั้งกระบวน ชีวิตของเราไม่ได้สิ้นสุดเพียงชาตินี้
    แต่ต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ความดีความชั่วที่ทำไว้แล้ว
    ไม่มีสูญหาย ต้องตามให้ผลแก่ผู้ทำอย่างแน่นอน
    แต่อย่างน้อยคนที่ทำความดี
    ก็ย่อมจะได้ผลดีตอบแทนทันทีทันใดในขณะที่ทำ
    นั่นก็คือทำให้เกิดความสุขใจขึ้นมาทันที ในทางตรงกันข้าม
    คนที่ทำชั่วก็จะได้รับความกระวนกระวายใจ
    ความทุกข์ใจในทันทีที่ทำความชั่ว
    ผู้มีปัญญาจึงควรละกรรมชั่วทั้งหลายให้ได้อย่างสิ้นเชิง
    เพราะจะทำให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป


    [​IMG]
    จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 91 มิ.ย. 51 โดย มาลาวชิโร
    คัดลอกจาก...ผู้จัดการออนไลน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2011
  5. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066

    โยคะ
    [​IMG]

    คำว่าโยคะ แปลว่า ประกอบ เหมือนกับกาวที่ประกอบของ ๒ สิ่งให้ติดแน่น ไม่ให้หลุดออกจากกัน ฉันใด โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ก็ฉันนั้น คือ ประกอบสัตว์ทั้งหลายไว้ให้ติดอยู่ในวัฏฏทุกข์ ไม่ให้หลุดพ้นไปได้ เมื่อเปรียบเทียบแล้ว
    -กาวเปรียบได้กับโลภะ ทิฏฐิ โมหะ
    -วัตถุสิ่งของ ๒ สิ่ง สิ่งหนึ่งเปรียบได้กับสัตว์ทั้งหลาย อีกสิ่งหนึ่งเปรียบได้กับภพชาติต่างๆ คือวัฎฎทุกข์ นั้นเอง

    [​IMG]

    หรือ อุปมาอีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนวัวที่ถูกนำมาผูกเทียมเกวียนไว้ เมื่อวัวนั้นจะเดินไปในทางไหนก็ต้องลากเอาเกวียนติดไปด้วยเสมอ ฉันใด สัตว์ทั้งหลายที่วนเวียนอยู่ในวัฏฏทุกข์ หลุดพ้นไปไม่ได้เพราะถูกประกอบด้วย โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ก็ฉันนั้น เมื่อเปรียบเทียบแล้ว
    -วัว เปรียบได้กับสัตว์ทั้งหลาย
    -เกวียน เปรียบได้กับกามภพ รูปภพ อรูปภพ ซึ่งเป็นวัฏฏทุกข์
    -เชือกที่ผูกวัวให้ติดอยู่กับเกวียน เปรียบได้กับ
    โลภะ ทิฏฐิ โมหะ

    ตามข้ออุปมาที่กล่าวมานี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า สัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏทุกข์ไม่พ้นไปได้นั้น ก็ด้วยอำนาจของโลภะ ทิฏฐิ โมหะ นี้เอง เป็นผู้ประกอบสัตว์ให้ติดอยู่ ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงแสดง โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ทั้ง ๓ นี้ ว่าเป็น โยคะ ส่วนอกุศลเจตสิกอื่นๆ ที่ไม่ได้ชื่อว่า โยคะ นั้น ก็มีข้อความทำนองเดียวกันกับอาสวะ ที่กล่าวมาแล้ว วจนัตถะของคำว่า โยคะ มีดังนี้

    ฏฺฏสฺมึ สตฺเต โยเชนฺตีติ = โยคา
    ธรรมเหล่าใด ประกอบสัตว์ให้ติดอยู่ในวัฏฏทุกข์ คือ ภพต่างๆ
    ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า โยคะ (ได้แก่ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ)


    [​IMG]
    [​IMG]

    จาก... หนังสือ ปรมัตถโชติกะ
    ปริจเฉทที่ ๓และปริจเฉทที่ ๗
    ( หน้า ๙๕-๙๖ )
    มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2011
  6. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    kanchana.c
    วันที่ 1 มี.ค. 2552 23:28
    เสน่ห์อินเดีย 10
    จาก...บ้านธัมมะ
    ออกนอกเรื่องมานาน เดินทางต่อไปถ้ำดงคสิริดีกว่า
    [​IMG]
    รถแล่นไปหาภูเขาที่มองเห็นอยู่ไกลๆ คุณสุวัฒเตือนพวกเราว่า อย่าแจกเงินขอ

    ทาน เพราะจะถูกรุมแน่ ไม่ใช่เป็นสิบ แต่เป็นร้อย อาจารย์ดวงเดือนเคยคิดจะเลี้ยง

    อาหารกล่องสัก ๑,๐๐๐ กล่อง คุณสุวัฒบอกว่าไม่พอแน่ ต้องเป็นหมื่นถึงจะพอ เนื่อง

    จากคนที่หมู่บ้านนี้ยากจนมาก เพราะที่ดินเป็นหินเกือบทั้งหมด ไม่สามารถเพาะปลูก

    อะไรได้ เท่าที่มองเห็นด้วยตา ก็ไม่ค่อยเห็นต้นไม้เท่าไร บนภูเขาก็เป็นหิน ทางที่ไป

    เป็นถนนเล็กๆ กำลังก่อสร้าง มีคนงานเอาค้อนเล็กๆทุบหินก้อนใหญ่ให้เล็กลง และมีอีก

    พวกหนึ่งเอาใส่กระมังเทินบนศีรษะไปใส่รถบรรทุก ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาคนว่างงานที่ดี

    มาก เพราะถ้าใช้เครื่องจักร คนก็จะว่างงานมากกว่านี้ แต่จะให้ดีไม่น่าใช้รถบรรทุก น่า

    จะให้คนเดินแบกไป จะได้จ้างคนอีกหลายสิบคน ถนนที่กำลังทำก็แคบมาก บางครั้งรถ

    หยุดนานมาก สอบถามได้ความว่า รอให้รถบรรทุกหินผ่านไปก่อน เพราะไปได้ทีละคัน

    ทางเลี้ยวก็เป็นทางหักศอก ไหล่ทางก็สูงมาก ถ้าพลาดพลั้งคงจะเป็นอันตราย แต่คน

    ขับรถก็พารถไปได้ ด้วยความหวาดเสียวของพวกเรา

    [​IMG]


    ระหว่างทาง คุณสุวัฒเล่าให้ฟังว่า ที่เราเห็นแม่น้ำเนรัญชราแห้งมีแต่ทรายอย่าง

    นี้ แต่เขามีน้ำใช้ เพราะขุดลงไปประมาณ ๒ เมตร ก็มีน้ำแล้ว และข้าวสาลีที่ชาวบ้าน

    ปลูกก็ไม่ต้องอาศัยน้ำ อาศัยน้ำค้างที่ตกแรงมากในเวลากลางคืน ธรรมชาติสมดุล

    เสมอ ไม่อย่างนั้นมนุษยชาติจะเอาตัวรอดมาได้ถึงปานนี้หรือ

    และคุณสุวัฒเช่นกันกล่าวถึงว่า ที่เรามีสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนาให้มา

    กราบไหว้นั้น เพราะบุคคลสำคัญ ๓ ท่าน คือ พระเจ้าอโศกมหาราช พระถังซำจั๋งและ

    เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม

    พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นจักรพรรดิในชมพูทวีปในศตวรรษที่ ๓ หลังพระปรินิพ-

    พาน พระองค์มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมาก ได้โปรดให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐

    แห่ง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ทุกแห่ง (พ.ศ. ๒๑๘) และสถานที่สำคัญก็ทำเครื่อง

    หมายเป็นเสาหินมีรูปราชสีห์บนหัวเสา

    ข้อมูลจากธรรมประจำวัน ของท่าน ว. วชิรเมธี ท่านเขียนไว้ว่า

    “เมื่อกว่าสองพันปีมาแล้ว มีสมณะชาวจีนคนหนึ่งเดินทางออกจากเมืองจีน เพื่อ

    ไปอัญเชิญคัมภีร์พระไตรปิฎกมาสู่แผ่นดินจีน ตลอดเวลากว่า ๒๐ ปีเศษ ที่ท่านท่อง

    เที่ยวศึกษาอยู่ในอินเดีย ท่านได้บันทึกสิ่งสำคัญต่างๆ ในอินเดียเอาไว้อย่างละเอียด

    ยิบ แม้กระทั่งกุฏิที่จำพรรษาของพระพุทธเจ้าท่านก็ยังบันทึกละเอียดขนาดว่า มีขนาด

    กว้าง ยาว เท่าไหร่ ห่างจากบ่อน้ำเท่าไหร่ ฯลฯ ต่อมาเมื่อท่านกลับจีน ได้นำบันทึกนั้น

    กลับมาด้วย และไม่น่าเชื่อว่า หลังจากเวลาของท่านกว่าพันปี เมื่อพุทธศาสนาสลาย

    ไปจากอินเดียจนไม่เหลือซากแล้วนั้น ชาวอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งเป็นอธิบดีกรมโบราณคดี

    และประวัติศาสตร์ ได้มาอ่านบันทึกของท่าน และได้อาศัยบันทึกนั้นเองทำการขุดค้น

    แหล่งโบราณสถานต่างๆ จนในที่สุด ก็สามารถรื้อฟื้นพุทธสถานทุกแห่งให้คืนกลับมา

    ปรากฏต่อสายตาชาวโลกอีกครั้งหนึ่งจนถึงทุกวันนี้ สุดยอดนักบันทึกชาวจีนคนนั้น ก็

    คือ “พระถังซำจั๋ง” นั่นเอง และสุดยอดนักค้นคว้าคนนั้นก็คือ “เซอร์อเล็กซานเดอร์

    คันนิ่งแฮม” ชาวอังกฤษ”



    [​IMG]
     
  7. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    <table class="forumline" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="row1" rowspan="2" align="center" valign="top">ลูกโป่ง
    บัวแก้ว
    [​IMG]
    [​IMG]

    เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
    ตอบ: 4089

    [​IMG] </td> <td class="row1" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="postdetails">[​IMG]ตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 5:34 pm</td> <td align="right" nowrap="nowrap" valign="top">[​IMG][​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"> <tbody><tr> <td class="postbody" valign="top"> <hr> เรื่อง อดีตชาติ
    โดย ท. เลียงพิบูลย์

    หนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม 1



    ที่สมาคมแห่งหนึ่ง หลังจากประชุมกันตามธรรมดาทุกวันพฤหัสบดีก่อนเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังมีเวลาหันมาถกกันถึงเรื่องกฎของความจริงเรื่องกรรมในยุคปัจจุบัน ก็มีผู้สนใจและเชื่อกันมาก แต่หลายท่านยังข้องใจในเรื่อง “กรรมอดีตชาติ” หรือกรรมเก่าชาติก่อนติดตามมาสนองในชาตินี้


    เพราะบางท่านในชาติปัจจุบันก็ประพฤติตัวดี ไม่น่าจะรับเคราะห์กรรมหนักเลย จึงมีข้อสงสัยว่าจะพูดอย่างกำปั้นทุบดิน เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นหาสาเหตุไม่ได้ ก็มักจะเหมาให้เป็นกรรมของอดีตชาติ จึงย่อมมีทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า “กรรมในอดีตชาติจริง” แต่อีกฝ่ายยังสงสัยเชื่อไม่สนิทนัก บางท่านก็ไม่เชื่อเลย จึงมีการถกกันขึ้นในหมู่ผู้ที่ได้เคยอ่านหนังสือในชุด “กฎแห่งกรรม”


    เมื่อเพื่อนที่เป็นฝ่ายเชื่อเรื่องกรรมในอดีตชาติมีจริง ทั้งเป็นเลขานุการณ์ของสมาคมนั้น มาเล่าให้ฟังแล้ว ผู้เขียนกับเพื่อนว่าเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน ย่อมจะมีความเห็นแตกต่างกัน การที่ถกกันเพื่อหาความจริงและเหตุผลในเรื่องนี้ ก็เป็นนิมิตที่ดีเพราะเป็นทางที่จะนำไปพิจารณาเห็นแจ่มแจ้งในอนาคต วันหนึ่งข้างหน้าก็คงจะคลี่คลายข้อสงสัยให้ชัดแจ้งอย่างกับขาวกับดำ เมื่อนั้นคงจะปัดข้อสงสัยต่างๆ หมดไปเอง


    แต่ก็เหมือนกับอภินิหาร เผอิญต่อมาผู้เขียนก็ได้เขียนจดหมาย พร้อมทั้งบันทึกข้อความเกี่ยวแก่กรรมในอดีตชาติ ซึ่งมีหลักฐานเหตุการณ์พอจะเชื่อได้ไม่มีข้อสงสัย หากท่านได้อ่านและพิจารณาดูให้ถ้วนถี่ ก็คงจะคลี่คลายความสงสัยลงได้บ้าง เพราะเรื่องได้เกิดขึ้นแล้ว และได้ผ่านไปไม่นานวัน ยังมีผู้รู้เห็นเป็นพยานมีหลักฐานอีกมาก นับว่าเหตุบังเอิญหรืออภินิหาร ผู้เขียนได้รับเรื่องนี้มาได้ทันเวลาหลังจากได้ทราบว่า มีคนส่วนมากที่ถกกันถึงกรรมในอดีตชาติมีจริงหรือไม่


    ในบันทึกที่ท่านเจ้าของเรื่องส่งมาได้เล่าว่า ข้าพเจ้า (หมายถึงผู้บันทึก) มีเพื่อนนายทหาร ผู้นิยมการล่าสัตว์เป็นกีฬา ที่ทำให้สนุกสนานเพลิดเพลิน ตื่นเต้นผจญภัยตามอารมณ์ชอบเป็นชีวิตจิตใจ ข้าพเจ้าอยากจะห้ามปราม ชี้ให้เห็นบาปบุญคุณโทษในเรื่องกรรม แต่คิดว่าน้ำหนักคำพูดคำเตือนและเหตุผลยังไม่พอยังเบา เพื่อนก็คงไม่เชื่อแน่ จึงหาโอกาสให้เพื่อนได้พบพระอาจารย์ที่มีคุณธรรมสูง เพื่อจะได้อบรมสั่งสอน ให้เกิดเห็นผิดชอบเกิดบุญบาป มีศีลธรรมมีความประพฤติปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของศีลต่อไป สมกับเป็นผู้ถือพุทธศาสนาเป็นหลักปฏิบัติ


    หากมนุษย์เราไม่เข้าข้างตัว ได้พิจารณาถึงผลตามหลักธรรมชาติแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่าคงจะรู้ว่าสัตว์ทุกชนิดที่เกิดมาในโลก นับแต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่สูงสุดตลอดจนสัตว์เลื้อยคลาน ต่างมีสัญชาตญาณประจำอยู่ด้วยกันทุกรูปนามสิ่งนั้นคือ “ความกลัว” เราจะเห็นได้ว่าสัตว์ที่เราเลี้ยงอยู่ในบ้าน เพียงเราจะหยิบไม้ขึ้นมาทำท่าจะตีเท่านั้น จะเป็นแมวหรือหมาซึ่งมีความไวต่อความรู้สึก ก็จะทำให้มันตกใจวิ่งเผ่นหนีตามสัญชาตญาณแห่งความกลัว ยิ่งสัตว์ป่ามีความตื่นกลัวอยู่แล้ว เพราะมันเคยพบแต่มนุษย์คอยล่าทำลายมัน


    ผิดกับพระภิกษุบางรูปท่านได้แผ่เมตตาธรรมให้มันจึงทำให้มันเข้าหาพระ เพราะสัญชาตญาณรู้ว่าไม่มีภัยอันตรายใดๆ เมื่ออยู่ใกล้พระนี่ก็เห็นได้ว่า สัตว์ทุกชนิดย่อมมีความหวาดกลัวภัยเป็นเจ้าเรือนอยู่แล้ว แต่มันก็สามารถรู้ว่าใครมีเมตตาธรรมแก่มัน หากเรานักล่าสัตว์จะพิจารณาดู ก็จะเคยเห็นแก่ตารู้แก่ใจว่า ขณะที่บุกเข้ายิงสัตว์ป่า เสียงปืนทำให้มันแตกฝูงวิ่งหนีกระเจิง เพราะความหวาดกลัว ตัวลูกพลัดกับตัวแม่ ตัวผู้ผลัดตัวเมีย วิ่งหนีตาลีตาลานจนสุดชีวิต ขอเพียงให้ชีวิตได้รอดตายเท่านั้น และบางตัวถูกยิงจนตายก็ตายไป ที่ไม่ตายก็วิ่งหนีต่อไป บางตัวยังไม่ตายเพียงแต่ถูกยิงบาดเจ็บ จะวิ่งโซซัดโซเซไปหาที่หลบภัยในพุ่มไม้ที่ลับตา ออกมาหากินไม่ได้ แข้งขาถูกลูกปืนบาดเจ็บพิการ ได้รับความลำบากทนทุกข์ทรมานจนกว่าจะหายหรือตายไป


    หากเราอยากเป็นนักล่าสัตว์ป่า ก็ควรจะพิจารณาดูตัวเองก่อน แล้วตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เราทำเช่นนี้ผิดหรือถูก เราสร้างบุญหรือก่อบาป เมื่อคิดยังไม่ตกก็ย้อนไปคิดว่า เอาความรู้สึกทางจิตใจของเราไปสวมวิญญาณของสัตว์ที่เราตามล่านั้น สมมุติว่าสัตว์นั้นกลับเป็นคนตามล่าเรา หาความสนุกสนานตามอารมณ์เหมือนเราหยิกเนื้อคนอื่นข้างเดียว เขาเจ็บเราไม่เจ็บลองให้เขาหยิกเนื้อเราดูบ้าง แล้วเราจะมีความรู้สึกอย่างไร อย่าลืมว่าเราก็ถือศาสนาพุทธ แต่เราอยู่ในขอบเขตของศีลธรรมหรือเปล่า เราได้ปฏิบัติอะไรผิดศีลธรรมข้อใดบ้าง อย่าปล่อยอารมณ์สร้างกรรมไม่มีขอบเขต อย่างหลงใหลสร้างบาปว่าเป็นกีฬาของมนุษย์


    ให้ความเป็นธรรมอย่ารังแกเบียดเบียนสัตว์ มันก็อาศัยอยู่ในป่าที่มีขอบเขตก็มีความสุขแก่ตัว บุกทำลายมันจนจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว ถ้าเราได้เอาหลักศีลธรรมมาคิดพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนแล้ว เราก็จะเกิดความสมเพชเวทนาสงสาร คงยิงไม่ลงปล่อยให้มีชีวิตอยู่ตามป่าตามดงตามธรรมชาติ อย่าไปรบกวนเบียดเบียน ให้มันอยู่ด้วยความสงบในป่าต่อไป เราก็สบายใจเมื่อมีอายุก็ไม่ต้องกลัวว่ากรรมจะตามสนอง เพราะไม่ได้สร้างกรรมไว้วัยหนุ่ม


    ได้บันทึกไว้ว่า คืนนั้นเป็นต้นเดือนวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๒ ข้าพเจ้าพร้อมด้วยนายทหารอดีตเป็นนักนิยมไพรชอบล่าสัตว์ ถือว่าเป็นกีฬาของลูกผู้ชาย อีกท่านหนึ่งเป็นนายทหารแม่นปืน ได้รับเหรียญทองและเหรียญเงินเท่าที่รู้ไม่ต่ำกว่า ๖ อัน เราต่างก็ถกกันถึงเรื่องการล่าสัตว์ หรือคนฆ่าสัตว์ว่าเป็นคนสร้างบาปสร้างกรรมหรือไม่ ตกลงคืนนั้นเราจึงพากันขึ้นรถพร้อมทั้งคนขับออกจากที่พัก คืนนั้นเป็นคืนแรม ๑ ค่ำ ดวงจันทร์ยังไม่รู้สึกเว้าแหว่ง กำลังทอแสงสว่างเต็มดวง เพราะเป็นเดือน ๕ ข้างไทย แม้อากาศจะอบอ้าวบ้างในเวลากลางวัน แต่เวลากลางคืนก็เย็นพอสบาย


    เมื่อเดือนหงายแจ่มกระจ่างสว่างทั่วท้องฟ้า พื้นแผ่นดินมีภูเขาและดงไม้เป็นทิวทัศน์ใต้แสงเดือนเต็มดวง ย่อมเป็นอาหารทางตาและทางจิตใจสำหรับผู้มีความรู้สึกเป็นปกติ สำหรับนักล่าสัตว์ก็ยิ่งนึกไกลออกไปถึงกลางดงกลางป่า นึกถึงพวกสัตว์หรืออย่างน้อยก็นึกถึงพวกกระต่ายป่าออกมาเล่นแสงจันทร์ จะได้ซ้อมมืออย่างเพลิดเพลินสนุกสนานตามอารมณ์ แล้วแต่ความรู้สึกนึกคิดแต่ละบุคคล ส่วนพวกที่เป็นโสด เวลาเช่นนี้ก็มักจะฝันถึงความรักอันแสนหวานกับคนรักภายใต้แสงเดือน อันมีแต่ความสดชื่น เวลาและสิ่งแวดล้อมทั้งภูเขาลำเนาไม้ภายใต้แสงสว่าง ย่อมจะฝันถึงความสุขด้วยกัน ไม่ว่าหญิงชายทุกรุ่นทุกวัย ผู้สูงอายุก็มักจะคิดถึงความหลังที่สดชื่นครั้งหนึ่งในชีวิตใต้แสงเดือน


    การที่ข้าพเจ้าพร้อมทั้งคนขับและเพื่อนๆ มุ่งหน้าออกจากที่พักเมืองชลบุรี มิได้มุ่งหมายเข้าไปในกลางดงกลางป่า เพื่อล่ากระต่ายที่ออกมาเล่นแสงเดือน เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่ชอบสร้างบาป เบียดเบียนสัตว์ หรือมุ่งหน้าจะไปเที่ยวบ้านสาวคนรักเพราะแสงเดือนทำให้เกิดอารมณ์สดชื่น
    เราขับรถออกจากค่ายที่พักมุ่งหน้าไปทางสิงห์บุรีทันที มุ่งหวังจะพาเพื่อนทั้งสองตรงไปนมัสการท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) เจ้าอาวาสสำนักวิปัสสนา วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี

    คืนนั้นนับว่าพวกเราโชคดี เพราะได้พบท่านพระครูอยู่ตามลำพัง ปกติธรรมดาแล้วน้อยนักจะได้มีโอกาสเช่นนี้ เพราะท่านมีแขกมาหาเสมอเป็นประจำ หาเวลาว่างยาก เมื่อเราพากันเข้าไปกราบนมัสการแล้ว ก็ได้มีโอกาสสนทนาที่ชั้นล่างกุฏิของหอประชุม พระประสิทธิ์ได้บริการน้ำร้อนน้ำชาตามเคยทุกครั้งที่ข้าพเจ้ามาถึง


    [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]</td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td class="postdetails" height="40" valign="bottom">

    แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 17 เม.ย.2008, 6:04 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง</td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td class="row1" nowrap="nowrap" valign="bottom">[​IMG][​IMG][​IMG]</td> </tr> <tr> <td class="spacerow" colspan="2" height="1">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td class="row2" rowspan="2" align="center" valign="top">ลูกโป่ง
    บัวแก้ว
    [​IMG]
    [​IMG]

    เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
    ตอบ: 4089

    [​IMG] </td> <td class="row2" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="postdetails">[​IMG]ตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 5:39 pm</td> <td align="right" nowrap="nowrap" valign="top">[​IMG][​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"> <tbody><tr> <td class="postbody" valign="top"> <hr> พวกเราได้สนทนากับท่านตามควรแล้ว ก็เริ่มถามเรื่อง “ผลของกรรม” ท่านพระครูก็ได้กรุณาอธิบายและยกตัวอย่างมีเหตุผลและตัวอย่างที่มีมาแล้ว ทำให้บางคนนึกถึงเมื่อครั้งวัยรุ่นคะนองมือ ดูภูมิใจเมื่อได้ลองฝีมือทางยิงปืน อ่อนทางศีลธรรม แก่ในการสร้างบาปสร้างกรรม

    ในเวลานั้นเราไม่เคยคิดถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ ดูเหมือนจะไม่เคยคิดถึงเรื่องศีลธรรม เมื่อเพื่อนชักชวนไปไหนก็ไปตามอารมณ์ เห็นว่าสนุกดี ความเวทนาสงสารไม่เคยคิดอยู่ในความรู้สึก แม้เจ้าสัตว์เคราะห์ร้ายเมื่อถูกลูกปืนยังไม่ตายลงทันที มันยังตะเกียกตะกายวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน วิ่งหนีจนสุดกำลังเพื่อเอาชีวิตรอด เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เรากลับเห็นเป็นของสนุกสนานจิตใจชื่นบาน


    มาถึงปัจจุบันนี้ เมื่อได้ฟังหลักธรรมพูดถึงกรรมของท่านพระครูแล้ว ก็ทำให้คิดถึงเวลานั้นก็เศร้าสลดใจ เราไม่นึกว่าจะเป็นคนเหี้ยมโหดดุร้ายเบียดเบียนสัตว์ถึงเพียงนี้ เพราะเราลืมตัว เมื่อเพื่อนนักแม่นปืนได้ถามท่านพระครูว่า
    “การฆ่าสัตว์เป็นกีฬาที่มนุษย์นิยมไพรชอบล่านั้น จะมีบาปหรือไม่เพราะบางลัทธิเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ให้ตายเพื่อนำมาปรุงอาหารนั้น เขาถือว่าได้อนุเคราะห์ช่วยให้สัตว์ไปเกิดเป็นคน”

    ท่านพระครูท่านก็ตอบว่า “ทางพุทธศาสนานั้นผิดศีลข้อแรก เพราะพวกสัตว์อยู่ในป่าหากินตามสภาพของเขา เราก็ควรอยู่ส่วนเรา แต่นี่เรากลับแบกปืนเข้าป่าไปเที่ยวรุกรานรังควานเขา เบียดเบียนฆ่าสัตว์ให้ตาย แล้วเราก็คิดปลอบตัวเอง เรารู้ได้อย่างไรว่าสัตว์ที่เราฆ่าจะต้องเกิดมาเป็นคน เข้าใจไปคนเดียวเพราะสัตว์มันพูดไม่ได้ มนุษย์พูดได้จึงพูดข้างเดียวตามใจชอบ เช่นเมื่อหลายปี บริเวณรอบๆ วัดเกิดน้ำท่วมในป่าละเมาะ พวกกระต่ายป่าต่างก็แตกตื่นหนีน้ำหาที่พึ่งเพื่อให้ชีวิตรอดตาย ที่สุดพวกกระต่ายเหล่านั้นก็หนีน้ำมาพึ่งอาศัยในวัด เพราะเป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง

    แม้จะรู้ว่าอยู่ใกล้มนุษย์ใจโหดย่อมเป็นภัยอันตราย แต่พวกกระต่ายก็ไม่มีทางเลือกจะหนีไปหลบซ่อนในที่ปลอดภัยกว่านี้ ก็ต้องตัดสินใจเข้าหาวัดเป็นที่พึ่ง แม้จะรู้ว่าเมื่อพบมนุษย์ใจชั่วเข้าจะต้องตาย แต่ก็ต้องเสี่ยงเพราะดีกว่าจมน้ำตาย ถ้ามนุษย์เราได้ใช้ความคิดกันสักหน่อย ก็จะเห็นใจสัตว์ มีความสงสารเวทนาและแผ่เมตตาธรรมให้สัตว์เหล่านั้น เพราะที่อยู่อาศัยก็ไม่มีต้องตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอดมาพึ่งวัด

    กระต่ายบางตัวก็หลบหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโบสถ์ อาตมาพิจารณาดูแล้วก็สงสาร คิดว่าสัตว์ที่กลัวตายเหมือนกับมนุษย์หนีร้อนมาพึ่งเย็น จึงได้บอกประกาศให้ญาติโยมแถวใกล้ๆ วัดนั้นว่า

    ขออย่าได้ทำอันตรายกระต่ายเลย เพราะเท่าที่เขาเสี่ยงภัยเข้ามาอยู่ใกล้คนนี้ ก็กลัวมากอยู่แล้ว ตามปกติกระต่ายก็ตื่นกลัวมนุษย์อยู่แล้ว อย่าได้ไปทำลายเขาเลย เรามาช่วยกันป้องกันให้เขารอดพ้นภัยอันตรายจากน้ำท่วม ก็เป็นกุศลที่เราช่วยชีวิตสัตว์ให้พ้นทุกข์ เพราะเขาไม่มีทางหนีไปไหนอีกแล้ว

    ต่อมาชาวบ้านอยู่ข้างวัดคนหนึ่งไม่สนใจไยดีกับคำขอร้อง ได้ถือโอกาสแอบไปล่าเอาไปกินเป็นอาหาร อาตมารู้ก็เศร้าใจ เพราะคิดว่าใครที่ทำกระต่ายพวกที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นนั้น ต้องรับกรรมหนักกว่าธรรมดามาก ผิดกับพวกที่ไปเที่ยวบุกยิงในป่า เพราะพวกกระต่ายยังมีทางหลบหนีได้ แต่บัดนี้ไม่มีทางหลบหนีไปไหนได้เพราะจนตรอก และในเวลาต่อมาคนที่กินกระต่ายที่อาศัยวัดหนีภัยน้ำท่วม อยู่ได้ไม่นานก็มีอาการป่วยผิดปกติ แล้วก็ตายลงอย่างทรมาน เพราะกรรมสนอง นี่ก็เห็นจะเป็นเพราะสร้างกรรมหนักไม่เชื่อฟังอาตมา สิ่งที่หนีไม่พ้นก็คือต้องได้ใช้หนี้กรรม”


    เพื่อนผู้เป็นนักล่าได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจเพราะได้ยิงสัตว์มามาก ไม่เคยสนใจคิดถึงเรื่องบุญบาปมาก่อน หาความสนุกสนานตามอารมณ์ของคนหนุ่ม จึงถามท่านพระครูว่า


    “ท่านอาจารย์ครับขอรับคือว่าผมเคยยิงสัตว์ป่ามาก่อน แต่ไม่เคยคิดถึงกรรมเวรที่จะติดตามสนอง บัดนี้รู้สึกว่าการที่ทำไปเพราะความคะนองของตน เมื่ออยู่ในวัยขาดศีลธรรม เมื่อมารู้สึกผิดชอบนี้แล้ว มีทางใดบ้างที่จะลบล้างบาปที่เราได้ทำมาแล้วเมื่อครั้งอดีต”


    ท่านพระครูได้ฟังก็บอกว่า
    “บุญกับบาปลบล้างกันไม่ได้ บุญก็อยู่ส่วนบุญเปรียบเหมือนน้ำกับน้ำมัน เท่าที่เรารู้สึกตัวว่าทำบาปสร้างกรรมชั่ว เมื่อคิดได้รู้บุญบาปก็เป็นนิมิตที่ดี ต่อไปก็จะกลับใจสร้างแต่กรรมดี เป็นผู้ที่ควรยกย่องนับถือ ดีกว่าบุคคลบางคนที่เห็นผิดเป็นชอบ เมื่อรู้สึกตัวว่าทำผิด แต่ก็ไม่ละเว้นการทำบาปทำกรรมมาแล้วก็ทำมันต่อไป แทนที่จะสำนึกตัวได้จะกลับตัวกลับใจสร้างกุศลสร้างกรรมดีทดแทนที่หลงผิดมา ก่อน ถ้ากลับชั่วเป็นดีได้พระท่านยกย่องสรรเสริญ หากเราสร้างกรรมดีสร้างบุญกุศลให้มาก แม้บุญกุศลจะไม่สามารถลบล้างกรรมได้ก็ดี หากกรรมชั่วกรรมบาปมีน้อยก็ยังติดตามไม่ทัน เพราะกุศลบารมีมากกว่ามาก

    เมื่อเราสร้างกุศลเป็นบารมีมากขึ้นเราก็แผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร สร้างบุญกุศลครั้งใดก็อุทิศทุกครั้งไป หากกรรมชั่วเรามีน้อยไม่มากก็จะจางไป เพราะส่วนกุศลที่เราอุทิศเพื่อชดใช้หนี้กรรมไปในตัวแล้ว แต่เมื่อเราสร้างกรรมดีมากขึ้น กรรมชั่วถึงไม่จางก็ค่อยห่างออกไปยังตามไม่ทัน หากหยุดสร้างกุศล และหันมาสร้างกรรมชั่วสร้างบาปต่อไป กรรมชั่วก็จะเข้าใกล้ชิดติดตามมาทันสนองเร็วขึ้น หากยิ่งเป็นกรรมหนักแล้วก็ยากที่จะหลบหนีพ้นไปได้ แม้จะได้พยายามสร้างกรรมดีเพียงใด แต่กรรมบาปนั้นหนักเกินกว่ากรรมดีที่กำลังปฏิบัติในชาตินี้ ก็ต้องได้รับกรรมหนักชาติที่ตามมาสนองไปก่อนกว่าจะหมดเวร ส่วนกรรมดีก็คงจะสนองภายหลังหรือชาติหน้าเมื่อใช้หนี้กุศลกรรมหมดแล้ว”


    เช่นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี ๒๕๐๔ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ได้รับเคราะห์กรรมในเวลานั้น เป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีจิตใจเป็นกุศลได้ร่วมงานทำบุญช่วยเหลือกิจการของวัดกับอาตมามาหลายปี และได้สนใจศึกษาทางวิปัสสนากรรมฐานกับอาตมา บุคคลผู้นี้มีนามว่า ชลอ เกิดสุวรรณ เพราะในอดีตเคยรับราชการเป็นทหารเสนารักษ์ เป็นคนใจดีมีความเมตตาเผื่อแผ่ช่วยชาวบ้าน เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็มิได้รังเกียจเป็นที่รักใคร่ ชาวบ้านพากันเรียกว่า
    “หมอชลอ” ท่านผู้นี้เดิมอยู่บ้านศาลาลอย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินกับนางสาวทองใบ ซึ่งมีหลักฐานบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านข้างวัด หมอชลอได้มาวัดศึกษานั่งสมาธิบริกรรมเป็นประจำ จนสามารถทำจิตให้สงบเป็นสมาธิเข้าขั้นใช้ได้ วันหนึ่งหมอชลอได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เมื่อขณะที่หมอชลอนั่งทำสมาธิ ก็เกิดนิมิตปรากฎเป็นภาพในอดีตชาติให้เห็นอย่างชัดเจน เหมือนชีวิตเพิ่งผ่านไปไม่นานนัก ภาพนั้นแสดงให้เห็นชีวิตชาติก่อน เมื่อครั้งหมอชลอมีอายุ ๑๖ – ๑๗ ขวบ และมีพี่ชายอยู่ผู้หนึ่ง ส่วนบิดามารดาเป็นชาวรามัญ มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดราชบุรี อาชีพขายโอ่ง โดยนำโอ่งบรรทุกเรือขึ้นล่องไปขายตามลำน้ำ


    ครั้งนั้นมีเพื่อนของพี่ชายได้มาชักชวนให้หมอชลอเข้าพวกไปปล้นในหมู่บ้าน “ม่องร่าย“ ใกล้น้ำตกเอราวัณ เขตจังหวัดกาญจนบุรี ชีวิตของคนรุ่น เมื่อถูกชักจูงไปทางชั่วก็เห็นเป็นของสนุกตื่นเต้น ขาดสติยับยั้ง จึงตกลงร่วมไปปล้นกับเขา ถึงเวลานัดก็ไปกับพี่ชายพร้อมด้วยอาวุธปืน เมื่อถึงบ้านหลังหนึ่งปลายหมู่บ้าน อยู่โดดเดี่ยวก็จู่โจมเข้าไปไม่ทันให้เจ้าของบ้านรู้ตัว เมื่อชายเจ้าของบ้านตกใจ เห็นการบุกเข้ามาในบ้านก็นึกรู้ว่าเป็นพวกปล้นไม่ทันจะต่อสู้ พี่ชายหมอชลอก็เอาปืนยิงชายเจ้าทรัพย์ล้มฟุบลง


    เพื่อนของพี่ชายทำหน้าที่ออกคำสั่งให้หมอชลอฆ่าหญิงเมียเจ้าของบ้าน ซึ่งกำลังนอนอยู่บนกระดานไฟเพิ่งจะออกลูกใหม่ๆ เพราะหญิงคนนั้นตกใจ ร้องเรียกให้คนมาช่วยจนเสียงหลง หมอชลอก็ได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้นตาย และโยนเด็กที่คลอดใหม่ๆ ลงไปในกองไฟทั้งเบาะ เผาทั้งเป็น ซึ่งหมอชลอทำได้อย่างใจแข็ง ดุร้าย ขาดความเมตตา กล้าต่อการทำบาป ไม่คิดสงสารสังเวช จิตใจเหี้ยมโหดไม่สะทกสะท้านตื่นเต้น (การฆ่าทั้งแม่และลูก)


    กลับเห็นเป็นของธรรมดา ได้ทำตามคำสั่งของหัวหน้าซึ่งเป็นเพื่อนของพี่ชาย ด้วยความเต็มใจองอาจ และทั้งอยากแสดงถึงความกล้าให้เห็นว่าเป็นคนเก่งตามนิสัยคนหนุ่ม ที่ไม่รู้บุญบาป ส่วนเพื่อนของพี่ชาย ก็เก็บทรัพย์สินเงินทองเท่าที่ค้นได้เสร็จ แล้วก็จุดไฟเผาบ้านให้ไหม้หมดทั้งหลัง แล้วต่างก็พากันรีบหลบหนีเพราะเกรงพวกชาวบ้านจะพากันมาช่วย เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ช่วยกันปิดเรื่องไม่ให้พ่อแม่รู้


    [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]</td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> </tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  8. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    <table class="forumline" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="row1" rowspan="2" align="center" valign="top">ลูกโป่ง
    บัวแก้ว
    [​IMG]
    [​IMG]

    เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
    ตอบ: 4089

    [​IMG] </td> <td class="row1" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="postdetails">[​IMG]ตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 5:43 pm</td> <td align="right" nowrap="nowrap" valign="top">[​IMG][​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"> <tbody><tr> <td class="postbody" valign="top"> <hr> ครั้นต่อมา หมอชลอกับพ่อแม่ก็ล่องเรือ นำโอ่งบรรทุกไปขายตามที่เคยปฏิบัติมาแล้ว หมอชลอกำลังถ่อเรือขายโอ่ง แล้วก็หน้ามืดตกน้ำลงไปถึงแก่ความตาย นี่เป็นกรรมในอดีตชาติ ซึ่งได้เกิดนิมิตขึ้นมาให้เห็นในขณะนั่งกรรมฐาน หมอชลอได้เล่าให้อาตมาฟังอย่างถี่ถ้วน

    อาตมาพิเคราะห์ดูแล้วก็รู้ว่าอดีตกรรมนั้นมาก และคงตามสนองในอนาคต แม้ในชาติปัจจุบันนี้จะปฏิบัติธรรมเพียงไรก็หนีกรรมในอดีตชาติไม่พ้น อาตมาก็ให้ลืมเรื่องที่นิมิตเสีย อย่านำมาคิดเป็นอารมณ์ ลืมภาพที่ได้เห็นนั้นเสียแล้วทำจิตใจให้ปกติ เสร็จแล้วนั่งทำสมาธิปฏิบัติกรรมฐานใหญ่ อย่านึกถึงภาพในอดีตอีกต่อไป

    แม้หมอชลอจะได้พยายามนั่งใหม่ แต่ภาพนิมิตก็เกิดซ้ำๆ กันหลายครั้ง เมื่อหมอชลอเล่าและถาม อาตมาก็ได้แต่ปลอบโยนให้พยายามลืมเสีย อย่าได้นึกถึงอีก แล้วพยายามทำบุญกรวดน้ำให้พวกเจ้ากรรมนายเวร ข้อสำคัญให้พยายามสร้างบุญ แผ่อุทิศส่วนกุศลให้มากขึ้น

    เรื่องนี้อาตมาได้บันทึกไว้เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ข้างหน้าว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับหมอชลอ แต่คงจะยังไม่ทันทำอะไร เพราะบังเอิญนายเจริญ เกิดสุวรรณ ซึ่งเป็นพี่ชายของหมอมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอยุธยาได้เดินทางมาหา และได้ชักชวนให้หมอชลอร่วมทุนไปค้าไม้ไผ่ที่เมืองกาญจนบุรี เวลานั้นไม้ไผ่กำลังเป็นสินค้าที่ขายส่งออกต่างประเทศมาก ผู้ค้าไม้ไผ่มีกำไรดีมีผู้ร่ำรวยไปตามกัน เพราะลงทุนน้อยได้กำไรมาก หมอชลอมองเห็นทางที่จะรวยเหมือนผู้อื่นอยากเป็นเศรษฐีอย่างมนุษย์ปุถุชน ธรรมดาทั่วไป มองเห็นแต่ทางได้เงินอยู่ข้างหน้าอย่างตื่นเต้นสนใจมาก

    หมอชลอได้มาหาอาตมาเพื่อปรึกษาขอความเห็นในเรื่องจะไปค้าไม้ไผ่ เพื่อสะดวกไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลังที่ต้องขึ้นๆ ลงๆ เป็นภาระทำให้เสียเวลาทำมาหากิน อาตมาถามถึงตำบลที่จะไปตั้งครอบครัว หมอชลอบอกว่า พี่ชายจะให้ไปอยู่ตำบลม่องร่าย เมืองกาญจนบุรี เมื่ออาตมาได้ยินก็เศร้าไม่สบายใจได้พิจารณาเห็นว่า หากจะยับยั้งขัดขวางห้ามหมอชลอคงจะไม่สำเร็จเพราะจิตใจของหมอชลอตื่นเต้น มองเห็นความเป็นเศรษฐีอยู่ข้างหน้า หายใจเป็นไม้ไผ่อยู่แล้วเหมือนน้ำกำลังไหลเชี่ยวจัด ไม่มีอะไรจะขัดขวางยับยั้งไว้ได้ แม้จะเกรงใจอาตมาอยู่บ้าง แต่ก็ยากที่จะสำเร็จได้ เห็นจะเป็นอกุศลกรรมจึงเกิดโลภ

    อาตมาจะเตือนถึงเรื่องอดีตชาติที่เห็นทางนิมิตก็ไม่ได้ เพราะอาตมาสอนให้ลืมเรื่องอดีตชาติที่เคยมองเห็นในนิมิต อย่าได้นึกถึงต่อไป ขอให้เพียงสร้างบุญกุศลให้มากๆ เท่านั้น เมื่อพิจารณาดูแล้ว จึงเพียงแต่แนะนำว่า การไปครั้งแรกยังไม่ควรนำครอบครัวไป เพราะเรายังไม่รู้ไม่เห็นความเป็นอยู่ทางโน้นจะเป็นอย่างไร ควรจะไปคนเดียวก่อน เมื่อได้ไปเห็นและได้ประโยชน์เพียงพอแล้วก็หาที่ทางไว้ก่อน เพื่ออพยพไปก็จะไม่เกิดยุ่งยาก หากไปเห็นการค้าไม้ไผ่ไม่เกิดผลดีตามที่เข้าใจ ก็จะกลับมาอยู่อำเภอพรหมอย่างเดิม ก็จะได้ไม่ต้องลำบาก หมอชลอก็ตกลงตามที่อาตมาให้ความเห็น

    จากนั้นหมอชลอก็ได้เดินทางพร้อมกับพี่ชายไปทำการค้าไม้ไผ่ ที่เมืองกาญจนบุรี อาตมาก็อดที่จะเป็นห่วงหมอชลอไม่ได้ คอยฟังข่าวอยู่เสมอว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่มีข่าวอะไรคืบหน้า หลังจากหมอชลอออกจากบ้านที่อำเภอพรหมบุรี เวลาผ่านไปได้หนึ่งปี หมอชลอก็กลับมาเยี่ยมบ้านครอบครัวและได้มาเยี่ยมที่วัด อาตมาได้ถามถึงกิจการค้าไม้ไผ่ หมอชลอได้เล่าถึงเรื่องการค้าไม้ไผ่ได้ผลประโยชน์กำไรดีมาก เพียงปีเดียวก็เห็นหน้าเห็นหลัง ได้จับจองที่ดินอยู่ในป่าลึก ได้ปลูกกระต๊อบอยู่กับพี่ชายในพื้นที่จับจองบ้านม่องร่าย ตำบลท่ากระดาน แถวถิ่นน้ำตกเอราวัณ กิ่งอำเภอศรีสวัสดิ์ เขตกาญจนบุรี

    มาคราวนี้ตั้งใจจะรับครอบครัวไปอยู่รวมกันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะต้องนำไม้ไผ่ล่องแพไปตามลำน้ำแคว ไปขายส่งที่เมืองกาญจนบุรี ทั้งปลูกบ้านไว้สำหรับครอบครัวแล้ว กว้างขวางสบาย อาตมารับฟังด้วยความสงบ และพูดให้กำลังใจว่า หากไปหากินได้รับความเจริญก้าวหน้า อาตมาก็ยินดีด้วย แต่ใจนั้นรู้สึกสังหรณ์ชอบกล ก็ได้แต่เตือนให้ระวังเคราะห์กรรม อย่าทิ้งทางพระหนักจะเป็นเบา และได้ชี้เหตุผลตามกฎแห่งกรรมให้ฟัง แต่รู้สึกหมอชลอเปลี่ยนแปลงไปมาก ได้พูดว่าเมื่อถึงคราวแล้วอยู่ไหนก็ต้องตาย ทุกคนหนีไม่พ้นความตาย แต่ก็ดีใจที่สร้างกุศลไว้มากแล้ว อาตมารู้ว่าไม่สามารถยับยั้งกลับมาสู่ปกติเดิมได้ เห็นจะเป็นเพราะกรรมเวรนำไป

    เมื่อได้สนทนาพอสมควรแล้ว หมอชลอได้อำลาจากไป และได้อพยพครอบครัวพร้อมด้วยหลาน ๒ คน คือ นางอุไร และนางเชวง เชื้อศรีแก้ว ซึ่งขอติดตามไปประกอบอาชีพที่เมืองกาญจนบุรีด้วย ทั้งหมอชลอกำลังตื่นเต้น มองเห็นความมั่งมีล่วงหน้าในอนาคต อาตมาก็ได้แต่เตือนว่าอย่าทิ้งทางพระเท่านั้น

    เวลาได้ผ่านไปประมาณ ๔ ปี ก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น อาตมาสนใจในครอบครัวนี้มาก เพราะเหตุการณ์ในอดีตชาติเมื่อเวลาทำสมาธินั่งวิปัสสนานั้น เป็นกรรมที่หนักมากยังมองไม่เห็นทางที่จะแบ่งเบาลงไปได้ นอกจากปฏิบัติทางธรรมแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อขออโหสิกรรมคงเบาลงได้บ้าง แต่ทราบว่าที่ไปอยู่เมืองกาญจน์นั้น หมอชลอไม่มีเวลานั่งกรรมฐานทำบุญสร้างกุศล มัวแต่คิดถึงการงานหาเงิน อาตมาก็เศร้าใจเพียงแต่คอยฟังข่าว

    จากนั้นต่อมาอาตมาก็ได้รับข่าวร้ายแรงเกิดขึ้นแก่ครอบครัวนี้ เป็นเรื่องที่เศร้าสลดใจมาก ข่าวนี้จากญาติภรรยาของหมอชลอซึ่งไปมาหาสู่มาเล่าให้อาตมาฟัง และกรรมหนักในอดีตชาติของหมอชลอตามทันมาสนองแล้ว

    เรื่องมีว่า วันนั้นหมอชลอได้เดินทางมีธุระเข้าไปในเมืองกาญจนบุรีพร้อมด้วยบุตรและภรรยา ทางบ้านเหลือแต่พี่ชายคนเดียวเมื่อกลับมาถึงบ้านก็ได้ทราบข่าวว่าทางบ้านถูก ปล้น ส่วนพี่ชายก็ถูกพวกปล้นยิงสิ้นใจตายคาบันไดบ้าน แล้วพวกปล้นก็กวาดทรัพย์สินเงินทองไปหมด เมื่อหมอชลอพร้อมด้วยบุตรภรรยาทราบข่าวกลับมาถึงบ้าน เห็นเหตุการณ์ร้ายแรงก็ตกใจสิ้นสติแทบจะเป็นลม หมอชลอรีบเดินทางไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ให้ทราบ และให้มาชันสูตรศพพี่ชายตามกบิลเมือง แต่เจ้าหน้าที่มาล่าช้าปล่อยให้ศพขึ้นอืดแล้ว

    ต่อมามีชายลึกลับมาบอกหมอชลอแกมขู่ ให้รีบอพยพครอบครัวออกจากตำบลนี้ ไปอยู่เสียให้ไกลโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นก็จะต้องตายอย่างพี่ชาย หมอชลอไม่ชอบให้คนมาขู่ มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย ธรรมดาคนเราส่วนมากไม่ชอบให้ใครมาขู่ยิ่งเอาอำนาจมืดความชั่วเข้ามาข่มขู่ แล้ว แม้จะรู้ว่าสู้ไม่ได้ ความโกรธ ความแค้น ความเจ็บใจ ความพยาบาท ทำให้ขาดสติเกิดความประมาท ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ยิ่งพี่ชายถูกข่มเหงฆ่าฟันกันซึ่งๆ หน้าแล้ว ก็คิดว่าต้องมายิงกันพักหนึ่งจนกว่าจะรู้ว่าใครจะเป็นศพไป

    ฉะนั้น ความโกรธแค้นเจ็บใจเป็นพลัง ทำให้หมอชลอไม่ยอมหนีไม่กลัวคำขู่ ทั้งไม่ยอมไปจากถิ่นที่ได้ทำประโยชน์เป็นเงินทองขึ้นมาแล้ว ทั้งคอยระวังตัวไม่ประมาท ซ้อมยิงปืนให้แม่นยำอยู่เสมอ ทั้งปืนสั้นและปืนยาวและตลอดเวลาอยู่ในบ้านปืนไม่ยอมห่างตัว ขึ้นลำกล้องอยู่เสมอเมื่อฉุกเฉินฉวยใช้ยิงได้ทันที เตรียมพร้อมเพื่อต่อสู้เต็มที่อย่างลูกผู้ชาย เมื่อเข้าที่คับขันก็ได้สตินึกถึงคำเตือนของท่านพระครูขึ้นมาได้ จึงสั่งหลานไว้ว่าหากตนได้ประสบชะตากรรม สิ้นบุญไปแล้ว ก็ขอให้ช่วยกันดูแลบ้านช่องต่อไปด้วย

    หลังจากพี่ชายถูกยิงตาย เมื่อผู้ร้ายเข้าปล้นผ่านไปเพียง ๑๕ วัน วันนั้นเป็นเวลากลางวัน เสียงเรือหางยาวมาจอดอยู่ที่ท่าน้ำ แล้วตะโกนเรียกชื่อหมอชลอที่ท่าน้ำ ทางฝ่ายนางทองใบภรรยาหมอชลอได้ลงจากเรือนไปที่ท่าน้ำ ที่เรือหางยาวจอดอยู่ เห็นคนในเรือประมาณ ๑๕ คน แต่งเครื่องแบบสีกากีมีปืนพร้อมคล้ายตำรวจ ร้องตะโกนถามนางทองใบว่า หมอชลออยู่ไหม มีเรื่องจะขอพบด่วนให้ลงมาที่ท่าน้ำ นางทองใบรีบขึ้นบนเรือนบอกหมอว่า เจ้าหน้าที่ขอพบด่วน หมอชลอนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่มาสอบสวนเรื่องที่พี่ชายถูกพวกปล้นฆ่าตายเกิด ความประมาท เดินลงกระไดไปที่ท่าน้ำ


    [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]</td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td class="postdetails" height="40" valign="bottom">
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td class="row1" nowrap="nowrap" valign="bottom">[​IMG][​IMG][​IMG]</td> </tr> <tr> <td class="spacerow" colspan="2" height="1">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td class="row2" rowspan="2" align="center" valign="top">ลูกโป่ง
    บัวแก้ว
    [​IMG]
    [​IMG]

    เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
    ตอบ: 4089

    [​IMG] </td> <td class="row2" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="postdetails">[​IMG]ตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 5:48 pm</td> <td align="right" nowrap="nowrap" valign="top">[​IMG][​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"> <tbody><tr> <td class="postbody" valign="top"> <hr> ส่วนภรรยาก็ยืนมองอยู่บน ตลิ่งสูงชัน เพียงเห็นเขายืนพูดกัน แต่ก็ไม่ได้ยินว่าเขาพูดกันเรื่องอะไรเพราะอยู่ไกล ครู่หนึ่งก็เห็นหมอชลอหันหลังก้าวเดินกลับขึ้นบ้าน ทันใดนั้นคนหนึ่งที่อยู่ในเรือใกล้หมอชลอ ก็ยกปืนขึ้นจ่อยิงท้ายทอย หมอชลอไม่ทันรู้ตัวจึงไม่ได้ระวัง พอสิ้นเสียงปืนก็ล้มกลิ้งตกน้ำขาดใจตายทันที ภรรยาเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นก็ตกใจสิ้นสติเป็นลม ส่วนพวกคนร้ายที่ปลอมเป็นตำรวจนั้น หลังจากยิงหมอชลอตกน้ำแล้ว เมื่อแน่ใจว่าตายแล้วก็เร่งเครื่องเรือหางยาวหลบหนีไป เหตุเกิดขึ้น เมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๔

    ส่วนนางทองใบภรรยาหมอพอฟื้นได้สติก็ร้องไห้โฮคล้ายคนบ้า วิ่งไปที่ท่าน้ำลงไปประคองสามีที่รัก เมื่อรู้ว่าสามีสุดที่รักหมดลมไปก่อนแล้ว ไม่มีโอกาสได้สั่งเสียบุตรภรรยา ก็กอดศพผัวรักร่ำไห้สะอึกสะอื้น แทบจะขาดใจตายตามสามี ครั้นจะอุ้มศพสามีขึ้นจากน้ำก็อุ้มไม่ไหว พวกคนงานก็ยังอยู่ในป่า เหลือแต่ลูกก็ยังช่วยเหลืออะไรไม่ได้ จำเป็นต้องหาเชือกมาผูกศพไว้กับเสาสะพานท่าน้ำ เพราะเกรงว่าเมื่อน้ำขึ้นศพจะลอยไปไกล หรือจมห่างออกออกไปจากท่าน้ำจะลำบาก รีบไปแจ้งความให้ทางบ้านเมืองรีบมาชันสูตรศพตามระเบียบ

    นางทองใบนั้นครั้นสามีที่รักได้สิ้นบุญไปแล้ว ทั้งต้องสูญเสียพี่ชายของสามี ทั้งตัวก็เป็นหญิง ทำอะไรไม่ถูกมีแต่ความหวาดกลัวและเศร้าโศกเสียใจอย่างหนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งใจหาย เพราะสามีต้องมาตายลงสดๆ ร้อนๆ ตัวก็มีแต่ความว้าเหว่ยังไม่เคยประสบกรรมหนักเช่นนี้มาก่อนในชีวิต จึงไม่สามารถจะอยู่ในดงป่าตามลำพังหลานๆ ต่อไปได้ จึงตัดสินใจนำศพสามีพร้อมด้วยพี่ชายจัดการเผาอย่างตามมีตามเกิด ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วในเขตที่กลางลานบ้าน มีเจ้าหน้าที่มารับรู้ ในการเผาครั้งนี้ด้วย

    เมื่อเสร็จแล้วก็จัดแจงเก็บกระดูกห่อผ้าขาวไว้ แล้วมิได้รออยู่ช้ารีบเก็บข้าวของเท่าที่มีอยู่ พอจะนำติดตัวไปได้ ก็พาลูกๆ ลงแพแล้วก็รีบล่องแพไปตามลำน้ำแควเพื่อกลับภูมิลำเนาเดิม แต่เคราะห์กรรมมิได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น ได้ติดตามสนองครอบครัวของหมอชลอต่อไป

    การล่องแพนั้น เป็นการเสี่ยงอันตรายมาก หากไม่ชำนาญร่องน้ำแล้วอาจชนหินเกาะแก่งใต้น้ำ ทำให้แพแตกได้ แพที่นางทองใบภรรยาของหมอชลอล่องมาก็เช่นกัน คนถ่อแพคงไม่ชำนาญจึงเกิดไปกระทบโขดหินใต้น้ำจนแพแตก พวกเด็กๆ ต้องลอยคออยู่ในน้ำ แต่เคราะห์ดีที่ได้มีชาวบ้านช่วยกันไว้ทัน จึงไม่มีใครเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เพราะพาเข้าฝั่งได้

    เคราะห์กรรมมิได้หยุดยั้งได้ติดตามซ้ำเติมบุตรภรรยาหมอชลอ กว่าจะกลับมาถึงภูมิลำเนาเดิมที่บ้านบางสำโรง อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ก็ได้รับความลำบากยากแค้นแสนสาหัส เลือดตาแทบกระเด็นเป็นเรื่องเศร้าสลดใจเท่าที่เคยได้ยินมา

    เมื่อมาถึงบ้านบางสำโรงแล้ว พวกญาติพี่น้องก็พากันมาเยี่ยมแสดงความเสียใจในการตายของหมอชลอ และความทุกข์ยากลำบากของนางทองใบและลูกๆ ในการเดินทางต้องผจญชีวิต แม่ๆ ลูกๆ พวกพี่น้องได้พร้อมใจกันกำหนดวันจัดการทำบุญกระดูกเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้หมอ ชลอกับพี่ชาย เจ้าภาพได้มานิมนต์ให้อาตมาไปร่วมในงานนี้ แต่บังเอิญรับนิมนต์ที่อื่นไว้ก่อนจึงไม่ได้ไปในวันงาน แต่อาตมาก็ได้ไปเทศน์ก่อนงานสองวัน เพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบถึงกรรมในอดีตชาตินั้นมีจริง สามารถจะกลับมาสนองในชาตินี้ได้ ไม่มีปัญหาข้อความใดๆ สงสัยอีก

    หลังจากวันที่อาตมาไปเทศน์ก่อนวันงานนั้น ได้มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงผู้ที่คุ้นเคยได้พากันไปเยี่ยม และซักถามถึงสาเหตุการตายของหมอชลอ ทำให้นางทองใบระลึกถึงสามีคู่ชีวิตต้องมาตายอย่างน่าอเนจอนาถใจ ก็เริ่มเสียใจร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่าชีวิตจะจากร่างตามสามีไป

    ผู้ที่ได้ยินได้ฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหมอชลอจนที่สุดก็ต้องตายอย่างน่า สงสาร ที่ประสบโชคร้ายเช่นนี้ต่างก็พลอยเศร้าโศกสลดใจไปด้วย และต่างก็เห็นใจนางทองใบที่รักสามีอย่างสุดซึ้ง เล่าไปร้องไห้ไปท่ามกลางหมู่ญาติพี่น้องมิตรสหายผู้คุ้นเคย ซึ่งบางคนก็ไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาได้ก็พลอยร้องไห้ไปด้วย ความเศร้าเสียใจหนักจนทำให้นางทองใบสลบแน่นิ่งไป
    หมู่ญาติต้องช่วยกันแก้ไขให้รู้ตัวขึ้นมาแล้ว นางทองใบก็มิได้สร่างความเศร้าโศก ยิ่งนึกยิ่งเสียใจร้องไห้รำพันถึงความดีของหมอชลอผู้สามีมิได้หยุด มิได้ระงับความทุกข์ไว้เพราะขาดสติได้ปล่อยตามอารมณ์ และในที่สุดก็เป็นลมสิ้นสติไปอีกเพราะเสียใจมากเกินไป แน่นิ่งไปในท่ามกลางล้อมรอบด้วยญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ต่างพากันตกตะลึงช่วยกันแก้ไขอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยอะไรได้ เพราะนางทองใบได้สิ้นใจลงเพราะหัวใจวายเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ต้องทิ้งให้หลานผจญชีวิตอยู่ในโลกต่อไป

    หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ข่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมิได้นิ่งนอนใจ ท่านผู้กำกับ พันตำรวจเอกยงยุทธ เกษรมาลา ได้นำกำลังตำรวจหลายหน่วย ติดตามเพื่อจับกุมพวกโจรผู้ร้ายที่ทำการอุกอาจ เที่ยวปล้นทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวบ้านผลกรรมตามสนอง ตำรวจได้ล้อมไว้ เสือไม่ยอมมอบตัว และได้ยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่

    ที่สุด เสือสวัสดิ์ อุดม และเสือปี ปิยะพันธ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าโจรและรองหัวหน้าโจรเป็นผู้เข้าปล้นและฆ่าพี่ชายหมอชลอ และต่อมาก็ยิงหมอชลออย่างใจเย็น ก็ถูกกระสุนปืนของตำรวจตายตามกรรมที่ได้ก่อไว้ ส่วนสมุนโจรก็ยอมเข้ามอบตัวและถูกจับรวม ๓๘ คน เมื่อเจ้าหน้าที่ไต่สวนแล้วก็ฟ้องลงโทษทางโรงศาลต่อไป

    นี่อาตมาก็คิดว่าเป็นตัวอย่างที่มีผู้สร้างบาปอย่างอนันตกรรมไว้ในอดีตชาติ แล้ว ซึ่งได้ตามมาสนองในชาตินี้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายพิจารณาดูว่า ทุกคนเกิดมาใช้หนี้กรรมไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วย่อมตามสนองเราอยู่ เสมอ ไม่มีใครหนีพ้นกรรมไปได้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายใช้สติปัญญาพิจารณาดูเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้

    เมื่อท่านพระครูเล่าเรื่องนี้จบลงแล้ว พวกเราก็สนทนากับท่านอยู่พักหนึ่ง เห็นเวลาจะเที่ยงคืนแล้วเดือนกำลังแจ่มฟ้า เรามองตากันแล้วพยักหน้า ต่างก็ก้มลงกราบนมัสการลาท่านอาจารย์พระครูภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อท่านจะได้พักผ่อนจำวัด เพราะรู้สึกว่าท่านจะมีแขกมาสนทนากับท่านตลอดเวลา

    เมื่อเราขึ้นรถออกจากวัดอัมพวัน แล้วมุ่งกลับจังหวัดลพบุรี ขากลับนี้แสงจันทร์สว่างกระจายออกไปทั่ว เพราะเป็นเวลาเพียงแรมหนึ่งค่ำ แต่พวกเราก็นั่งเงียบมิได้ปริปากพูดอะไรเพราะทุกคนก็ใช้หัวคิด จะพูดออกมาแต่ละคำก็มักจะพูดถึงเรื่องกรรมในอดีตชาติ นอกจากเสียงเครื่องยนต์ของรถ ซึ่งกำลังผ่านทุ่งนาป่าดงริมเขาลำเนาไพร ซึ่งมีดวงจันทร์ส่องกระจ่างอยู่กลางเวหาเพราะเวลากำลังจะย่างเข้าวันใหม่ ที่สุดเราก็กลับถึงที่พักในค่ายทหาร สิ่งที่เราได้ความรู้ในคืนนั้นก็คือ “เรื่องอดีตชาติ” ไม่มีข้อสงสัยอะไรเหลือไว้เป็นปัญหาอีกแล้ว หากจะมีเฉพาะบุคคลที่มีระดับจิตแตกต่างกันเท่านั้น

    ผู้เขียนเรียบเรียงเรื่องนี้ขึ้นจากท่านผู้บันทึก ซึ่งเป็นนายทหารผู้หนึ่ง ได้กรุณาส่งมาให้ หากท่านผู้อ่านสงสัยเรื่องอดีตชาติที่ได้บรรยายมานี้ ยังมีสิ่งใดไม่แจ่มแจ้ง ก็ได้กรุณาถามไปทางท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ ที่วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรีท่านคงจะได้ข้อความแจ่มแจ้งกว่านี้ ท่านอาจให้ความรู้ลึกซึ้งกว่าที่ได้บรรยายมา และขอกราบนมัสการขอบคุณท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ที่ได้กรุณาให้ลงชื่อจริงได้ ทุกท่าน และตำบลที่อยู่อย่างแจ่มแจ้ง เพื่อคลี่คลายที่บางท่านจะนึกสงสัยว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง และคงหมดหน้าที่ผู้เขียนจะต้องคอยตอบคำถาม และนับว่าเรื่องนี้คงจะเกิดประโยชน์ขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย

    ขอให้ความดีของเรื่องทั้งหมด อุทิศให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่ได้ล่วงลับไปแล้วทุกท่าน และผู้เรียบเรียงจะลืมเสียมิได้ก็คือขอขอบคุณ พันเอกวสันต์ พานิช และ พันตรีเที่ยง คนานุวัตร ผู้ได้ให้ความกรุณาบันทึกเรื่องจากท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ ที่เกิดแล้วส่งมา เพื่อจะได้เกิดประโยชน์ส่วนรวมต่อไป........


    จาก...เวปลานธรรมจักร

    [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  9. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066

    คันถะ
    [​IMG]

    คำว่า คันถะ หมายถึง เครื่องผูกสัตว์ไว้โดยอาการที่เกี่ยวคล้องกัน ประดุจโซ่เหล็ก ธรรมดาโซ่เหล็กนั้น เป็นห่วงเกี่ยวคล้องโยงติดต่อกันเป็นสายยืดยาว ฉันใด โลภะ โทสะ ทิฏฐิ ทั้ง ๓ นี้ ย่อมเกี่ยวคล้องสัตว์ไว้ในระหว่างจุติกับปฏิสนธิ และปฏิสนธิกับจุติติดต่อกันไปเรื่อยๆ (ตายแล้วเกิด เกิดแล้วก็ตาย ไปเรื่อยๆ) ไม่มีเวลาหลุดพ้นไปได้

    [​IMG]

    เหมือนดังห่วงโซ่เกี่ยวคล้องติดต่อกัน ฉันนั้น ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงเทศนา โลภะ โทสะ ทิฏฐิ ทั้ง ๓ นี้ ว่าเป็น คันถะ แต่ในคันถะนี้ คำว่า กายะ ประกอบอยู่ด้วย นี้ก็เพื่อจะให้รู้ถึงธรรมที่ถูกเกี่ยวคล้องไว้โดย โลภะ โทสะ ทิฏฐิ นั้นว่า คือ นามกาย รูปกาย อันได้แก่ สัตว์ทั้งหลายนั้นเอง ดังแสดงวจนัตถะว่า

    กายํ คนฺเถนฺตีติ = กายคนฺถา (วา)
    กาเยน กายํ คนฺเถนฺตีติ = กายคนฺถา


    ธรรมเหล่าใด ผูก คือ เกี่ยวคล้องไว้ซึ่งนามกาย
    ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า กายคันถะ(หรือ)
    ธรรมเหล่าใด ผูก คือ เกี่ยวคล้องไว้ระหว่าง นามกายรูปกายในปัจจุบันภพ
    กับนามกายรูปกายในอนาคตภพ ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า กายคันถะ


    [​IMG]


    จาก... หนังสือ ปรมัตถโชติกะ
    ปริจเฉทที่ ๓และปริจเฉทที่ ๗
    ( หน้า ๙๕ )
    มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2011
  10. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    kanchana.c
    วันที่ 1 มี.ค. 2552 23:29
    เสน่ห์อินเดีย 11

    จาก...บ้านธัมมะ
    [​IMG]
    และรถก็พาโยกเยกมาบนทางขรุขระจนถึงภูเขา เห็นทางเดินขึ้นถ้ำเป็นถนน



    คอนกรีต ท่าทางเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ เพราะยังเห็นสีขาวสะอาดตาอยู่ รถจอดหน้า

    โรงเรียนรัฐบาลและโรงพยาบาล เป็นสิ่งก่อสร้างแห่งแรกที่เห็นจากการเดินทางเข้ามา

    ตามถนนเล็กๆขรุขระสายนี้ บ้านผู้คนอยู่ที่ไหนนะ แต่ต้องมีแน่ เพราะรถเราจอด ก็มี

    เด็กๆ ขอทานวิ่งมาห้อมรอบเต็มไปหมด

    [​IMG]
    พวกเราพากันเดินขึ้นไปตามทางคอนกรีตนี้ มีคนวิ่งเอาไม้เท้ามาขาย บางคนก็

    ช่วยดันหลังให้ขึ้นง่ายๆ เราโชคดีที่มีคนพยุงอยู่แล้ว เลยไม่มีคนมายุ่งด้วย แต่คนที่

    พยุงเรา ท่าทางคงภูมิฐาน จึงมีแขกมาช่วยดันหลังเหมือนกัน จะบอกว่าไม่ต้อง ก็ไม่

    ยอม บอกว่าไม่เสียเงิน มีบางคนแนะนำให้เดินหันหลัง แล้วจะเหนื่อยน้อยลง แต่ก็น่า

    กังวลใจว่า ถ้าพวกแขกมาช่วยดันข้างหน้า แล้วจะเป็นอย่างไ ร ค่อยๆ เดินขึ้นไปจนถึง

    ยอดเขา ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไร แค่หยุดหอบ ๒ ครั้ง ก็ถึงแล้ว
    [​IMG]

    เมื่อถึงยอดเขามีวัดเล็กๆ ของธิเบตตั้งอยู่ มีน้ำชา น้ำมะตูมบริการด้วย (มีการรับ

    บริจาคตามธรรมเนียม) มีห้องน้ำที่กำลังต้องการอยู่พอดี สะอาดพอสมควร แต่ของคุณ

    ผู้ชายเป็นหลุมเฉยๆ ก่อนขึ้นไปกราบนมัสการในถ้ำดงคสิริ เราหยุดนั่งพัก ดูทิวทัศน์

    ของบริเวณโดยรอบ เห็นแต่โรงเรียนและโรงพยาบาล มีต้นปาล์มใหญ่ๆ นอกนั้นเป็น

    ภูเขาหิน มีผู้ชายหน้าตาเหมือนคนไทยหลายคนมาถามว่า คนไทยหรือเปล่า เราตอบ

    ว่า ใช่ เขาก็พูดคุยด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจ จึงเรียกสามีผู้เชี่ยวชาญภาษากาย ทราบว่า

    ท่านเหล่านี้เป็นชาวไทยอัสสัม นับถือพระพุทธศาสนา มาอยู่ที่สำนักวิปัสสนาที่พุทธ

    คยาได้ ๒๐ กว่าวันแล้ว (ที่รู้ละเอียดเพราะเขาให้นามบัตรสถานที่) เมื่อทราบว่าเป็นคน

    ไทยด้วยกัน ก็พูดคุยกันสนุกสนาน โดยใช้ภาษาอิสานและภาษาเหนือ ก็พอรู้เรื่อง


    [​IMG][​IMG]





    kanchana.c
    วันที่ 1 มี.ค. 2552 23:30
    เสน่ห์อินเดีย 12

    จาก...บ้านธัมมะ
    [​IMG]
    ได้ขึ้นไปนมัสการสถานที่พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นเวลาถึง ๖ ปีเสียที



    ข้างบนยอดเขามีถ้ำเล็กๆ สองถ้ำ ถ้ำแรกเป็นถ้ำที่มีพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกขกิริยา

    เป็นถ้ำเล็กๆแคบๆ เข้าไปกราบไม่กี่คนก็เต็มแล้ว อีกถ้ำหนึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่

    ได้เห็นสถานที่ทรงบำเพ็ญทุกขกิริยาแล้ว ก็เห็นพระปณิธานอันแน่วแน่ของพระองค์ที่

    จะทรงแสวงหาพระสัมมาสัมโพธิญาณ ในมหาสีหนาทสูตร พระสุตตันตปิฎก มัชฌิม-

    นิกาย มูลปัณณาสก์ แสดงว่า พระองค์ทรงทดลองหมดทุกอย่างที่นักบวชสมัยนั้นประ-

    พฤติปฏิบัติกัน ไม่ว่าจะทรมานพระองค์ด้วยประการต่างๆ เช่น สมณพราหมณ์บางพวก

    บอกว่า ความบริสุทธิ์มีได้ด้วยอาหาร ก็ทรงอดอาหารจนพระกายซูบซีด ซวนล้ม เมื่อลูบ

    พระกาย พระโลมาซึ่งมีรากเน่าก็หลุดจากพระกาย แต่ก็ไม่ได้บรรลุธรรมอันยิ่งของ

    มนุษย์ ทรงพบว่าไม่ใช่ทางสายกลาง หลังจากที่ทดลองปฏิบัติทุกวิธีนานถึง ๖ ปี อัน

    เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในภายหลังที่ทรงคัดค้านการทรมานตัว

    [​IMG]


    มหาสีหนาทสูตรนี้ สมเป็นการบันลือสีหนาทที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการเปล่งพระ

    วาจาอย่างอาจหาญเล่าความที่เคยทรงทดลองมาแล้วทุกอย่าง ตามที่เข้าใจกันว่า จะ

    ตรัสรู้ได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ การค้านข้อปฏิบัติของสมณพราหมณ์ในครั้งนั้น จึงเป็นการค้าน

    อย่างมีเหตุผลยิ่ง (จากพระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน ย่อความจากพระไตรปิฎก

    โดย สุชีพ ปุญญานุภาพ หน้า ๓๗๕ – ๓๗๘)

    เท่าที่ทราบ พระพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องทรงบำเพ็ญทุกขกิริยาทุกพระองค์ พระผู้

    มีพระภาคพระองค์นี้ทรงแสดงบุรพกรรมของพระองค์ว่า เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะ

    พระสุคตเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่าน

    ได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก (ทุกกร

    กิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้

    บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิ-

    ญาณโดยทางที่ผิด

    จะเห็นพระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาอย่างยิ่ง ที่ทรงแสดงบุรพกรรมทุกอย่าง

    ของพระองค์ทั้งที่ดีและไม่ดี เพื่อให้พวกเราหนักแน่นในเรื่องกรรมและผลของกรรมมาก

    ขึ้น แม้พระองค์ในครั้งที่ยังไม่ทรงบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังทรงทำ

    อกุศลกรรม และทำให้ได้รับอกุศลวิบาก จึงไม่ควรประมาท ควรเจริญสติปัฏฐานใน ที่

    ทุกสถานและในกาลทุกเมื่อ แต่จะเจริญสติปัฏฐานได้ก็ต้องมีความเข้าใจในขั้นของการ

    ฟังก่อน สรุปลงด้วยต้องฟังธรรมบ่อยๆ เนืองๆ จนกว่าเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้เกิด

    สติค่ะ

    จะเห็นว่าพระพุทธองค์ได้ทรงสะสมบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป และจะทรงตรัสรู้

    ในชาติสุดท้าย ก็ยังต้องทรงต้องแสวงหาหนทางอยู่หลายปีกว่าจะพบหนทางที่ถูกต้อง

    แม้จะพบอุปสรรคมากมาย พระองค์ก็ทรงเพียรพยายามต่อสู้ ไม่ทรงท้อถอย พวกเราเป็น

    พุทธมามกะ ปฏิญาณตนว่ามีพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แต่เมื่อทำ

    อะไร มีอุปสรรคเล็กน้อย ก็ไม่ยึดพระองค์เป็นที่พึ่งตามที่ปฏิญาณเลย ท้อถอยไม่เพียร

    พยายามตามที่องค์พระศาสดาของเราทรงประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่าง พระองค์ทรง

    ปรารภความเพียร แต่พวกเราปรารภความสะดวกสบาย มุ่งแต่จะขอให้ได้สิ่งที่ต้องการ

    แม้แต่การฟังธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบมาด้วยความยากลำบากให้เข้าใจ ก็ย่อหย่อน

    เกียจคร้าน ผัดวันประกันพรุ่ง หาข้ออ้างในการไม่ฟังไปวันๆ แล้วอย่างนี้ยังจะเรียกตัว

    เองว่า “สาวิกา ผู้ฟัง” ด้วยความไม่ละอายใจอีกหรือ? (ถามตัวเองคนเดียวนะคะ)











    [​IMG][​IMG]




    kanchana.c
    วันที่ 3 มี.ค. 2552 16:36
    เสน่ห์อินเดีย 13
    จาำก...บ้านธัมมะ
    [​IMG]


    ถวายสังฆทาน

    เมื่อกราบนมัสการพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยาในถ้ำแล้ว ก็ค่อยๆ เดินลงเขา

    มา แขกคนเดิมที่มาดันหลังตอนขาขึ้น ตอนนี้ก็ช่วยดึงหลังอีก พอเดินสุดทาง ก็ขอเงิน

    ๑๐ ดอลลาร์ โอ้โฮ แพงจัง ตอนขาขึ้นไม่คิดเงิน แต่คิดตอนลง แอบให้ไป ๑๐ รูปี ที่

    ต้องแอบให้เพราะกลัวคนอื่นเห็น เดี๋ยวจะตามมารุมขออีก ยืนคอยคนอื่นที่ตีนเขา เห็น

    น้องใหม่แจกขนมเด็กแล้วถูกรุม คุณจิมมี่ให้ข้อสังเกตว่า คนที่มาครั้งแรก จะรู้สึกอยาก

    ให้มาก (ยกเว้นคุณวรรณี) เพราะไม่เคยเห็นใครน่าสงสารเท่านี้มาก่อน ถ้ามาหลายๆ

    ครั้งก็จะชิน แล้วก็จะไม่จ้องมองดูขอทาน และขอทานก็จะไม่มาขอด้วย คุณสุวัฒบอก

    ว่า ขอทานจะขอเฉพาะคนไทย จะไม่ขอคนชาติอื่น เพราะคนไทยเคยให้จนเคยตัว

    เดินทางกลับจากเขาดงคสิริมาที่สมาคมมหาโพธิ ถึงเวลา ๑๐ โมงพอดี พวกเรา

    พากันหอบหิ้วย่ามใส่สบงจีวรและเครื่องใช้ไปถวายด้วย ถึงชัยศรีวิหาร เห็นจัดโต๊ะ

    อาหารสำหรับพระเต็มไปหมด ไม่มีที่นั่งของฆราวาสเลย ได้ทราบว่า มีพระทั้งหมด ๓๐๐

    รูป ย่ามที่เตรียมมามีแค่ ๑๐๐ ชุด จึงให้นำไปวางรวมกันที่โต๊ะด้านหน้า ทางสมาคมจะ

    ทำการถวายเอง ได้ยินว่า ไม่ควรเอาสบงจีวรมาถวายแล้ว เพราะจะทำเป็นการค้าไป

    [​IMG]

    เมื่อได้เวลา หม่อมเบตตี้กล่าวสุนทรพจน์ และท่านพระเรวตะกล่าวตอบ มีการ

    กล่าวคำสวดมนต์ และพวกเราพร้อมกันกล่าวถวายสังฆทานเป็นภาษาบาลีและภาษา

    ไทย ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องทำอย่างนั้น จะถวายเฉยๆ

    ไม่ได้หรือ ก็ได้เหมือนกัน แต่เพื่อให้การทำกุศลของเราพร้อมทั้งกาย วาจา และใจ เรา

    จะเอาของไปวาง แล้วแต่ละคนบอกท่าน ก็คงจะอื้ออึงไปหมด จึงควรกล่าวพร้อมๆ กัน

    ซึ่งเมื่อพระท่านกล่าว สาธุ พร้อมกันแล้ว เราก็จะเกิดความปีติยินดีในกุศลที่ทำ

    แล้วทำไมต้องถวายสังฆทานด้วย ในทักขิณาวิภังคสูตร สังยุตตนิกาย มัชฌิม-

    ปัณณาสก์ อุปริปัณณาสก์ พระผู้มีพระภาคตรัสว่าในอนาคตกาลนานไกล จักมีโคตรภู

    สงฆ์ (หมายถึงสงฆ์โดยชื่อ แต่ความประพฤติย่อหย่อน) ผู้มีผ้ากาสาวะที่คอ เป็นผู้ทุศีล

    มีบาปธรรม บุคคลจักถวายทานอุทิศสงฆ์ในโคตรภูสงฆ์ผู้ทุศีลเหล่านั้น แม้ทักษิณาที่

    เป็นไปในสงฆ์นั้น เราก็กล่าวว่า นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ เราไม่กล่าวว่า ทานที่เจาะจง

    บุคคลมีผลมากกว่าทักษิณาที่เป็นไปในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย การถวายสังฆทาน คือ

    การถวายอุทิศพระอริยสงฆ์ ไม่จำเพาะเจาะจงสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง แม้ว่าพระสงฆ์ที่รับ

    ทักษิณาจะเป็นผู้ทุศีล แต่เราผู้ถวายมีจิตนอบน้อมเหมือนถวายพระอริยสงฆ์ จึงจะเป็น

    สังฆทาน เพราะฉะนั้น ตนเองเท่านั้นที่ตอบได้ว่า ได้ถวายสังฆทานหรือไม่? ตัวเราก็ไม่

    แน่ใจเท่าไร เพราะตอนถวาย จิตไม่ได้นอบน้อมเท่าที่ควร ทั้งๆที่พยายามอยู่ แต่ทุก

    อย่างก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา รู้ว่าถ้าจิตนอบน้อม ก็จะเป็นกุศล และมีอานิสงส์

    มาก แต่ก็ทำไม่ได้ เมื่อถวายสังฆทานเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปทานข้าวกลางวันที่

    โรงแรม และนัดกลับมาที่สมาคมมหาโพธิ์เพื่อนมัสการพระบรมสารีริกธาตุอีกครั้งเวลา

    ๕ โมงเย็น




    [​IMG]






    wannee.s
    วันที่ 3 มี.ค. 2552 20:16

    ความคิดเห็นที่ 1

    ในวันหนึ่ง ๆ อกุศลเกิดมาก เกิดบ่อย และเร็วมาก เพียงกุศลจิตเกิดในขณะใด


    ขณะนั้นก็เป็นนาทีที่มีค่าที่สุดของชีวิตแล้วค่ะ ขออนุโมทนาพี่แดงด้วยค่ะ


    [​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2011
  11. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    <table class="forumline" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="row1" rowspan="2" align="center" valign="top">โอ่
    ผู้เยี่ยมชม





    [​IMG] </td> <td class="row1" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="postdetails">[​IMG]ตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2004, 4:38 pm</td> <td align="right" nowrap="nowrap" valign="top">[​IMG][​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"> <tbody><tr> <td class="postbody" valign="top"> <hr> เจ้ากรรมนายเวรนี่อาจเรียกว่า"ผีกรรม"ก็ได้ แต่อาจจะไม่เป็นการยกย่องเขา



    เมื่อหลายปีก่อนตอนผมบวชเป็นพระ ตอนนั้นมีพระหนุ่มๆบวชพร้อมกันหลายคน เด็กหนุ่มเหล่านั้นเป็นเครือญาติกันสี่คน ในสี่คนนั้นมีเด็กหนุ่มที่กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ที่ออสเตรเลียคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเป็นนักกีฬาถีบรถจักรยาน มีความแข็งแรงมาก




    ผมนั้นไปบวชโดยไม่ได้บอกให้ใครทราบ คือซื้อผ้าไตรจีวรไม่ได้จัดงานบวชอะไรเลย และไม่รู้จักกับเด็กหนุ่มทั้งสี่ มารู้ใกล้งานวันบวชแล้วว่าพวกเขาจะบวชที่เดียวกัน




    เมื่อบวชแล้วก็อยู่ในวัดซึ่งเป็นวัดป่า มีกุฎิอยู่ในวัดที่เป็นป่า พวกพระเด็กหนุ่มเรียกผมว่าหลวงพี่ เพราะมีอายุมากกว่าพวกเขามากเป็นผู้ใหญ่แล้ว




    พวกพระเด็กหนุ่มนั้นจะมีญาติมาเยี่ยมทุกวันเอาชากาแฟ เครื่องดื่มมาให้ และอยู่กุฎิใกล้ๆมีหลายห้อง เกือบจะรวมกันอยู่ก็ว่าได้ ดังนั้นจึงเป็นการคลุกคลีในหมู่คณะอยู่บ้าง




    ผมแยกไปอยู่รูปเดียวที่กุฏิชายป่าเป็นที่สงบ พระใหม่มาดูแล้วถามว่าท่านไม่กลัวผีหรือ ทั้งที่ผียังไม่หลอกใครในตอนนั้น แต่พระบวชใหม่มักจะรู้สึกกลัวผีเมื่ออยู่คนเดียว




    ที่วัดนั้นก็มีการปฏิบัติธรรมทำวัตรเช้าเย็นเหมือนปรกติ และนั่งสมาธิตอนเย็นประมาณสี่สิบนาที ตอนเช้าสี่สิบนาที ไม่รวมสวดมนต์และฟังเทศน์จากหลวงปู่




    ในวัดแห่งนั้นจะมีพระมาบวชไม่มาก หลวงปู่จะใช้เวลาตอนเย็นอบรมพระสงฆ์ แต่ท่านก็ไม่ค่อยได้อยู่ที่ต่างจังหวัด เพราะมักเดินทางเข้ากรุงเทพ เพื่อไปเทศน์โดยเฉพาะที่หลักสี่ ศาลาลุงชิน มีคนฟังเทศน์จำนวนมาก ที่นั่นหลวงปู่เหรียญท่านได้ไปเทศน์และทำให้มีคนรวมตัวกันมาก แต่หลวงปู่เหรียญท่านอายุเก้าสิบกว่าแล้ว หลวงปู่ซึ่งเป็นเพื่อนสหธรรมมิกและเคารพหลวงปู่เหรียญก็ยังไปเทศน์ แม้ในปัจจุบันนี้




    ผมเป็นพระบวชใหม่ แต่จะลงทำวัตรก่อนพระเก่าทั้งเช้าและเย็น เพราะว่าเวลาสี่สิบนาทีในการนั่งสมาธินั้นผมเห็นว่าน้อยมาก ถ้าเราไปนั่งก่อนก็จะมีเวลาภาวนาได้มากกว่า อย่างน้อยตอนเย็นก็มีเวลากว่าสองชั่วโมง




    พระที่วัดนั้นฉันมื้อเดียว ไม่เคร่งครัดมากเท่าไร แต่พระใหม่ที่บวชนั้นต่างต้องการให้ได้บุญ ทุกรูปจึงเคารพวินัยกันเป็นอย่างดี ทำกิจอะไรพร้อมเพรียงกันหมด พระพี่เลี้ยงพูดว่าตั้งแต่พระบวชใหม่มาหลายปีแล้ว ไม่เคยเห็นพระบวชใหม่ปฏิบัติอย่างนี้เลย




    ทำอะไรตรงเวลาหมด และดูแลเสนาสนะในวัดอย่างดี มีความสำรวมพอสมควร แต่ที่วัดนั้นในศาลาที่ปฏิบัติธรรมอันเป็นที่นั่งสมาธินั้น เหมือนเป็นที่ลองของพระบวชใหม่และพระเก่าอยู่เสมอ




    เพราะถ้าไม่เตรียมตัวให้ดี ไม่มีใครสามารถจะนั่งสมาธิได้ แม้เวลาสี่สิบนามีก็ตาม ต้องมีเหตุอันทนไม่ได้ และทนลองว่าพระนั้นจะมีขันติ ความอดทนสู้กับนิวรณ์ได้ขนาดไหน




    ผมไปนั่งสมาธิแล้วจะไม่เปลี่ยนท่า อยู่ในอริยาบถเช่นนั้นตลอด ไม่บอกใครว่ามีอาการอะไรเกิดขึ้น แต่นั่งแล้วระลึกรู้ลมหายใจโดยไม่ให้หลง จึงสามารถนั่งได้ตลอด แต่พระหนุ่มนั้นผุดลุกผุดนั่ง เพราะทนไม่ไหวในทุกวัน พอทำวัตรเสร็จอาการทุกอย่างหายเป็นปลิดทิ้ง




    เหตุการณ์เป็นอย่างนี้นานหลายวัน วันหนึ่งพระที่เป็นนักถีบจักรยานเข้ามาถามผมว่า"หลวงพี่ ผมไม่รู้เป็นอะไร พอนั่งภาวนาแล้วมีอาการแพ้อากาศอย่างรุนแรง น้ำหูน้ำตาไหล คัดจมูก มีน้ำมูกออกมายังกะคนเป็นหวัด"




    ผมเห็นอาการที่พระรูปนั้นเล่ามานานแล้ว แต่ไม่ได้สนใจ นึกว่าเป็นเรื่องปรกติ แต่พระทั้งสี่รูปนั้นเขาเล่ากันเองแล้ว และไปถามพระพี่เลี้ยงก็ไม่สามารถบอกได้ ผมฟังไว้แล้วเมื่อเขามานั่งภาวนาเริ่มจาม




    ผมภาวนาแล้วเพ่งดูเขาในใจ เห็นภาพนกสีดำตัวหนึ่งเกาะอยู่บนหัวพระนั้น เพ่งดูสองสามครั้งก็ยังเห็นนก แต่ก็ไม่ได้บอกพระรูปนั้นว่าเห็นอย่างนั้น




    จนกระทั่งวันต่อมาก็เห็นนกตัวเดิมยังอยู่บนหัวพระ หลังจากนั้นจึงเข้าไปบอกพระรูปนั้นว่า "ท่านยิงหัวนกตายตัวหนึ่งใช่ไหม? แล้วนกตัวนั้นมาขอบุญจากท่าน ท่านภาวนาแล้วอุทิศส่วนบุญหรือเปล่า"




    พระรูปนั้นบอกว่า "ผมไม่ได้ยิงนกตายนะ ผมใช้ปืนลมยิงนกเขาเข้าที่หัว ตอนแรกนึกว่าตาย พอฟื้นผมก็ยังนำมาเลี้ยงแล้วก็ปล่อยไปแล้ว"




    ผมเลยรู้ว่านกไม่ตาย แต่ก็ถือว่าได้ทำกรรมกับเขามาขอส่วนบุญ พระรูปนั้นได้อุทิศส่วนกุศลให้นกตัวนั้นหลายครั้ง ต่อมาอาการจามเขาลดลง ผมแอบเพ่งดูเขาอีก เห็นนกนั้นลอยอยู่ในอากาศห่างจากข้างหน้าเขาเกือบ 1 วา




    ต่อมาพระนั้นนั่งภาวนาได้ ส่วนพระหนุ่มที่เป็นนักเรียนนอกจากออสเตรเลียอีกคน ได้มีอาการป่วยเป็นไข้หวัด วันนั้นผมไปเยี่ยมเขาที่กุฏิตอนบ่าย พระทั้งสี่มาประชุมพร้อมกัน ผมไปถามว่าเขาคุยเรื่องอะไร เขาบอกว่าจะพาพระนักเรียนนอกไปหาหมอ




    ผมถามว่าท่านเป็นอะไร เขาบอกว่า หลวงพี่ครับผมป่วย ผมสุขภาพดี ไม่เคยป่วยรุนแรงอย่างนี้เลย นี่อาการหนัก ชักช้าไม่ได้โทร.หาญาติให้พาไปหาหมอ




    ผมถามว่าแล้วท่านไม่สบายบริเวณไหนของร่างกาย เขาบอกว่าที่ศีษะมึนไปหมดเลย




    ผมขอโทษนิดหนึ่งเข้าไปเอามือแตะหน้าผากพระนั้น ทำจิตให้สงบ ผมพบว่ามีอะไรเต้นและสั่นอยู่ภายในกระโหลกของพระนั้น




    ผมว่าขอเวลาเดี๋ยวท่านทำจิตให้สงบนะ ส่วนผมนั้นหันหน้ามองตรงพระ หลับตาและเพ่งไปที่หน้าผากที่ผมวางมืออยู่ซึ่งมีความสั่นสะเทือน




    ผมเห็นผีตนหนึ่งขนาดใบหน้าเท่าหัวแม่มือ แสยะยิ้มอยู่ในหน้าผากของพระนั้น ผมเอามือวางตั้งจิตทำนิมิตให้มือข่มเข้าไปข้างใน เพื่อจะจับผีตนนันออกมา ผีนั้นสู้ทำขนลุกซู่ เอาไม่ออก ผมคิดว่าทำยังไงดีนะ แต่พระที่ดูไร้ว่าผมเห็นอะไร เพราะผมไม่บอก ผมลองใหม่คราวนี้แผ่เมตตา ผีที่สิงอยู่ในหน้าผากพระ ออกมาอยู่บนหลังทือของผม ผมเห็นใบหน้านั้น ก็รีบดึงเอามืออกจากหน้าผากพระนั้นทันที




    แล้วผมพูกกับพระรูปนั้นว่าก็ท่านหายหมดแล้ว ท่านไม่ได้ป่วยอะไรจะไปหาหมอทำไม




    พระรูปนั้นยังคิดว่าตัวเองป่วยอยู่ พอได้ยินผมพูดอย่างนั้นก็นิ่งตรึกอาการของตน แล้วพูดว่าเอ๊ะหายหมดแล้วจริง ไม่เป็นไรแล้ว ทำไมมันหายไปได้ละหลวงพี่ แปลกจังทำไมมันหายไปได้เร็วอย่างนี้ พระอื่นก็งงถามว่าตกลงไม่ต้องไปหาหมอแล้วใช่ไหม




    ผมบอกพระนั่นว่าท่านทำวัตรเสร็จแล้วมากรวดน้ำที่กุฏิอีกครั้ง อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกวัน ท่านอาจป่วยอีกนะ




    พระนั้นยังไม่สบายนิดหน่อยอยู่ประมาณสองครั้งเห็นจะได้ แล้วไม่มีอาการไม่สบายอีกเลย ผมคิดว่าวิญญาณที่เห็นขนาดย่อเท่าหัวแม่มือเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขา



    <table class="forumline" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="row1" rowspan="2" align="center" valign="top">poivang
    บัวตูม
    [​IMG]


    เข้าร่วม: 18 มิ.ย. 2005
    ตอบ: 224

    [​IMG] </td> <td class="row1" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="postdetails">[​IMG]ตอบเมื่อ: 11 ก.ย. 2007, 11:26 am</td> <td align="right" nowrap="nowrap" valign="top">[​IMG][​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"> <tbody><tr> <td class="postbody" valign="top"> <hr> [​IMG]

    กรรมจากแรงเสน่หา
    เรื่องจากพระไตรปิฎก


    ในสมัยพระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์อยู่ มีอุบาสกคนหนึ่งชื่อ
    มหากาล เป็นพระโสดาบัน เขามาวัดเชตวันทุกวันพระเพื่อถือศีล ๘ และฟังธรรมเสมอ โดยเขามักค้างคืนที่วัดแล้วกลับบ้านในยามเช้า วันหนี่งเขามาวัดถือศีลฟังธรรมแล้วพักผ่อนที่วัดตามปกติ พอรุ่งเช้าก็ไปล้างหน้าที่สระน้ำหน้าวัด เผอิญมีขโมยลักทรัพย์แล้ววิ่งหนีมา ถูกชาวบ้านไล่ตามมาจึงทิ้งของที่ขโมยไว้วางข้างสระน้ำที่นายมหากาลยืนล้าง หน้าอยู่ ฝ่ายชาวบ้านวิ่งมาถึงสระน้ำเห็น ทรัพย์ของตนวางอยู่ข้างสระ และเห็นนายมหากาลอยู่ใกล้ทรัพย์ จึงเข้าใจผิดว่านายมหากาลเป็นขโมย ก็เลยรุมทุบตีจนถึงแก่ชีวิต

    เรื่องนี้ได้รับกล่าวขานกันว่านายมหากาลเป็นคนดี มาถือศีลฟังธรรมทุกวันพระ แล้วทำไมเขาจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยและถูกทุบตีจนถึงแก่ชีวิต พระภิกษุบางรูปจึงไปทูลถามพระพุทธเจ้า
    พระพุทธองค์ตรัสว่า พวกเธออย่าดูกรรมแต่ปัจจุบันเพียงอย่างเดียว ต้องดูกรรมในอดีตด้วยว่าเขาก่อกรรมชั่วอะไรไว้บ้าง

    แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสเล่าบุพกรรมของนายมหากาลว่า ชาติก่อนเขาเคยเกิดเป็นเจ้าพนักงานคุ้มครองคนเดินทาง วันหนึ่งพบสามีภรรยาคู่หนึ่งเดินทางมา เขาเกิดความเสน่หาในภรรยาของคนเดินทาง ได้ออกอุบายอ้างว่าเดินทางในตอนค่ำมีอันตรายมาก จึงชวนสามีภรรยานั้นให้นอนพักค้างคืนที่บ้านของตน และในคืนนั้นเองเขาได้แอบเอาแก้วมณีไปซ่อนไว้ที่เกวียนของคนเดินทาง


    พอรุ่งเช้าเขาก็แกล้งพูดว่าแก้วมณีของเขาหายไป แล้วสั่งให้บริวารค้นหาของจากคนรอบข้าง และอุบายที่เขาวางไว้ก็สำเร็จผล เมื่อบริวารคนสนิทพบแก้วมณีนั้นอยู่ในเกวียนของคนเดินทาง เขาจึงสั่งให้บริวารคุมตัวคนเดินทางไว้แล้วทุบตีจนตาย ที่เขาทำเช่นนี้เพื่อจะได้ครอบครองภรรยาของนักเดินทางที่เขาเกิดเสน่หานั่น เอง


    ผลกรรมนี้ทำให้เจ้าพนักงานคุ้มครองคนเดิน ทาง (นายมหากาล) ต้องตกนรกเป็นเวลานาน เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย และถูกทุบตีจนเสียชีวิตเป็นอย่างนี้มาแล้วร้อยชาติ


    คนเราก่อกรรมเพราะกิเลสเป็นตัวผลักดัน จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าเกิดความหลงใหลในภรรยาของคนเดินทาง เมื่อเกิดความเสน่หาจึงวางแผนการณ์คิดร้ายเพื่อหวังครอบครองภรรยาเขา จนก่อให้เกิดกรรมออกอุบายใส่ร้ายคนเดินทางแล้วทุบตีจนตาย เมื่อก่อกรรมแล้วก็ต้องรับผลของกรรม ชดใช้กรรมนั้นในภพชาติต่อๆ ไปจนกว่าจะหมดวาระกรรมนั้น ทั้งต้องตกนรกทั้งเกิดใหม่ก็ต้องรับผลกรรมเช่นเดียวกับที่ทำไว้กับคนอื่น




    >>>>> จบ >>>>>
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>

    จาก...เวปลานธรรมจักร
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td class="postdetails" height="40" valign="bottom">
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td class="row1" nowrap="nowrap" valign="bottom">
    </td> </tr> <tr> <td class="spacerow" colspan="2" height="1">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2011
  12. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    อุปาทาน

    [​IMG]

    คำว่า อุปาทาน เมื่อแยกบทออกแล้วได้ ๒ บท คือ อุป+อาทาน
    อุป หมายถึง มั่น
    อาทาน หมายถึง ยึค
    เมื่อรวม ๒ บท เข้าด้วยกันแล้ว หมายถึง การยึคมั่นในอารมณ์ ธรรมที่ยึคมั่นในอารมณ์ ที่เรียกว่า อุปาทาน นี้เปรียบเสมือนหนึ่ง งูที่จับกบได้ กัดกบนั้นไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย ฉันใด โลภะ ทิฏฐิ ทั้ง ๒ ที่มีสภาพยึคมั่นในอารมณ์ของตนๆ ไม่ยอมปล่อย ก็ฉันนั้น ดังแสดงวจนัตถะว่า

    อุปาทียนฺตีติ = อุปาทานานิ

    ธรรมเหล่าใด ย่อมยึคมั่นในอารมณ์ ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า อุปาทาน

    [​IMG]

    จาก... หนังสือ ปรมัตถโชติกะ
    ปริจเฉทที่ ๓และปริจเฉทที่ ๗
    ( หน้า ๙๖ )
    มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2011
  13. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    อารมณ์ ๖
    [​IMG]
    อารมณ์มี ๖ คือ

    ๑. รูปารมณ์ ได้แก่ สีต่างๆ
    ๒. สัททารมณ์ ได้แก่ เสียงต่างๆ
    ๓. คันธารมณ์ ได้แก่ กลิ่นต่างๆ
    ๔. รสารมณ์ ได้แก่ รสต่างๆ
    ๕. โผฏฐัพพารมณ์ ได้แก่ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง
    ๖. ธรรมารมณ์ ได้แก่ จิต เจตสิก ปสาทรูป๕ สุขุมรูป๑๖ นิพพาน บัญญัติ
    อารมณ์หมายความว่า เป็นที่ยินดี เหมือนหนึ่งสวนดอกไม้เป็นที่ยินดีแก่คนทั้งหลาย ฉันใด อามรณ์ทั้ง ๖ มีรูปารมณ์ เป็นต้น ก็ย่อมเป็นที่ยินดีแก่จิต แลเจตสิกฉันนั้น ดังแสดงวจนัตถะว่า
    อา อภิมุขํ รมนฺติ เอตฺถาติ อารมฺมณํ
    จิตและเจตสิกทั้งหลาย มายินดีพร้อมหน้ากันในธรรมชาตินี้
    ฉะนั้น ธรรมชาตินี้ชื่อว่า อารมณ์ ได้แก่ อารมณ์๖


    อารมณ์นี้ เรียกว่า อาลัมพนะ ก็ได้ หมายความว่า เป็นที่ยึคหน่วงของจิตและเจตสิกทั้งหลายเหมือนหนึ่งคนชราหรือทุพพลภาพ ย่อมต้องอาศัยไม้เท้าหรือเชือกเป็นเครื่องยึคเหนี่ยวให้ ทรงตัวลุกขึ้นและเดินไปได้ ฉันใด จิตเจตสิกทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ต้องมีอารมณ์เป็นเครื่องอาศัยยึค เพื่อเกิดขึ้นติดต่อกัน ฉันนั้น ดังแสดงวจนัตถะว่า
    จิตฺตเจตสิเกหิ อาลมฺพิยตีติ อาลมฺพนํ
    ธรรมชาติอันจิตและเจตสิกทั้งหลายยึคหน่วง
    ฉะนั้น จึงชื่อว่า อาลัมพณะ ได้แก่อารมณ์๖


    จิต ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ หมายความว่า รู้อารมณ์อยู่เสมอนั่นเอง
    เจตสิก ธรรมชาติที่อาศัยจิตเกิด เจตสิกนี้เมื่อเกิดขึ้นต้องเกิดในจิตเสมอ

    เหตุที่ทำให้ผลธรรมตั้งมั่นได้ในอารมณ์นั้น คือ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง เป็นต้น ตลอดจนถึงจิตคิดนึกเรื่องราวต่างๆ แล้ว อกุศล คือ โลภจิต โทสจิต โมหจิต หรือ กุศลจิต คือ ศรัทธาจิต เมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิต ญาณสัมปยุตตจิต เหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้น และยึคเอาอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้นไว้อย่างมั่นคง นี้แหละ คือ เป็นผลที่ตั้งมั่นในอารมณ์อันเกิดจากเหตุเหล่านั้น

    เหตุทำให้ผลธรรมเจริญขึ้นได้ นั้น คือ เมื่อจิตที่ยึคเอาอารมณ์ต่างๆ นั้น ค่อยๆ มีกำลังมากขึ้นๆ หมายความว่า โลภะก็ดี โทสะก็ดี หรือศรัทธา เป็นต้น เหล่านั้นก็ดี เมื่อขณะแรกที่เกิดขึ้นนั้น ยังมีกำลังอ่อนอยู่ ยังไม่ทำให้ลุล่วงไปถึงทุจริตหรือสุจริตได้ แต่ครั้นเมื่อมีกำลังมากขึ้นแล้ว ย่อมสามารถทำให้ผู้นั้น กระทำทุจริตหรือสุจริตในบรรดาทุจริต ๑๐ หรือ สุจริต๑๐ นั้นลงไปได้ นี้แหละ คือเป็นผลที่เจริญขึ้นด้วยอาศัยเหตุเหล่านั้น

    [​IMG][​IMG]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=EmU8dLkZQXE&feature=related"]YouTube - ???????????????? - Basket Band[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2011
  14. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    ทำดีด้วยการพูด การระมัดระวังในศีลข้อมุสา นั้นยากมาก
    สำหรับตัวเราเองก็ ท่องไว้ในใจเสมอว่า
    พูดน้อยผิดน้อย พูดมากผิดมาก
    และมีความรู้สึกตัวกำกับใจขณะพูดคุย
    แม้ในขณะพูดเล่นหยอกล้อ ก็ฝึกรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
    เรามาทำไปพร้อมๆ กันนะค่ะ พูดง่ายแต่ทำยากนะค่ะ
    เพราะมีปัญหาเรื่องศีลข้อ 4นี้เหมือนกันค่ะ
    เนื่องจากเป็นคนที่ชอบคุยน้ำไหลไฟดับเหมือนกันค่ะ
    ก็เลยพยายามเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ฟังที่ดี แทน เป็นผู้พูดมาก
    พระอาจารย์บางท่าน ท่านไม่ค่อยพูด พูดเฉพาะที่จำเป็น
    เคยอ่านเจอท่านอาจารย์สุจินต์ท่านกล่าวไว้ว่า
    สิ่งที่พูดได้ถึงไม่เสียหายอะไร บางทีไม่จำเป็น
    ก็ไม่ต้องพูด ไม่เกิดประโยชน์อะไรก็ไม่ต้องพูด
    เรามาทำไปด้วยกันนะค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ
    [​IMG]

    ชวนคิดชวนทำ : คำพูดสั้นๆ แต่เปี่ยมพลัง
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">4 เมษายน 2554 17:20 น.</td></tr></tbody></table>[​IMG]

    “พูดดีเป็นศรีแก่ปาก”


    เชื่อว่าทุกท่านคงเห็นด้วยกับสุภาษิตบทนี้เป็นอย่างยิ่ง ที่ส่งเสริมให้คนพูดจาไพเราะเสนาะหู การพูดจาดีมิได้เอื้อประโยชน์เฉพาะผู้พูดเท่านั้น แต่ผู้ฟังก็จะได้รับประโยชน์จากคำพูดดีๆที่สื่อความหมายเช่นกัน อันจะส่งผลไปถึงความรู้สึกนึกคิด การกระทำ และสภาวะจิตใจของพวกเขา

    ลองคิดดูซิ ไม่ว่าจะเป็นงานในฝันที่คุณอยากทำ การปรับปรุงความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การประคับประคอง ชีวิตสมรสให้ราบรื่น หรือรักษาพนักงานให้อยู่คู่กับองค์กร เหล่านี้ “คำพูด” มีส่วนสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นได้

    เชื่อหรือไม่ว่า คำพูดง่ายๆที่มักถูกมองข้ามนั้น มีพลังที่จะเยียวยารักษา สร้างแรงบันดาลใจ ให้ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง

    ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างคำพูดสั้นๆ ที่มีความหมายยิ่งใหญ่ในด้านบวก ลองนำไปใช้พูดในชีวิตประจำวันเหมือน กับที่คุณต้องการได้ยินจากผู้อื่น

    ขอบคุณ : เพราะมนุษย์ทุกคนต่างปรารถนาคำยกย่องสรรเสริญจากผู้อื่น คำพูดที่แสดงถึงความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ อาทิ “ขอบคุณ ฉันรู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่คุณทำ” หรือ “ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดีที่เธอมีให้ กับฉันเสมอ” ถ้อยคำเหล่านี้เปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงจิต ใจ มันจะทำให้หัวใจของผู้ฟังพองโตด้วยความปีติยินดี

    ขอโทษ : เมื่อคุณทำผิดและกล่าวขอโทษผู้อื่นอย่างจริงใจ นี่คือบทเริ่มต้นของการให้อภัยและเยียวยารักษา คำพูดที่ว่า “ฉันขอโทษ โปรดยกโทษให้ฉันด้วย” เป็นการแสดงให้เห็นว่า คุณยอมรับว่าเกิดความเสียหายขึ้น และต้องการเยียวยาความเจ็บปวดของอีกฝ่ายให้ลดน้อยลง

    ฉันยกโทษให้ : ทุกคนล้วนเคยทำผิดกันทั้งนั้น และอาจเคยทำให้เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว หรือแม้แต่คนอื่นๆ เสียใจโดยที่ไม่ตั้งใจ ดังนั้น แค่เพียงคำกล่าวให้อภัยหรืออโหสิกรรมที่เราได้ฟังจากปากคนเหล่านั้น ก็สามารถขจัดความรู้สึกผิดในใจเราให้ลดน้อยลง เป็นการเยียวยาจิตใจให้ดีขึ้นได้

    ฉันรักคุณ : ในจำนวนถ้อยคำที่ให้ความรู้สึกดีๆทั้งหลายนั้น ไม่มีวลีใดเทียบเท่ากับ “ฉันรักคุณ” ซึ่งแสดง ให้เห็นถึงความรัก อันเป็นคุณสมบัติของมวลมนุษยชาติ ที่บริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติ และถ้าได้แสดงออกด้วยการกระทำ จะยิ่งสร้างความรู้สึกด้านบวกได้มากขึ้น

    ฉันผิดเอง : คำพูดสั้นๆที่มีพลังจุดประกายการให้อภัยได้ เช่น การกล้ายอมรับผิดในสิ่งที่ได้กระทำลงไปและรู้ว่าไม่อาจแก้ไขได้ การยอมรับความผิดจะช่วยให้เราได้ปรับปรุงตัวเอง เพื่อจะทำชีวิตให้ดีขึ้นในอนาคต

    คุณมีจิตใจดี : สำหรับคนที่รู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาไม่ได้หล่อหรือสวย แต่ยังมีใครบางคนที่มองเห็นความงดงามในจิตใจ และเอ่ยปากชม “คุณช่างเป็นคนที่มีจิตใจดี มีน้ำใจ” แค่นี้ก็ทำให้โลกที่ดูมืดสลัวในสายตาคุณ พลันสว่างขึ้นอย่างฉับพลัน

    ไม่เป็นไร : ยามที่เรารู้สึกกังวล เสียใจ กระวน กระวาย หรือหวาดกลัว หากมีใครสักคนที่ปลอบประโลมใจ และให้กำลังใจ ด้วยคำพูดว่า “ไม่เป็นไรนะ..แล้วทุกอย่างก็จะจะผ่านไปด้วยดี” มันจะทำให้เราเกิดความมั่นใจ สบายใจ และช่วยให้ใจสงบเย็นลง

    ฉันเข้าใจ : การถูกเข้าใจผิด จะทำให้คนเรารู้สึกท้อแท้และไม่สบายใจได้ เพราะธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่ร่วมกัน เมื่อใดที่เรารู้สึกโดดเดี่ยว ถูกเข้าใจผิด หรือคิดเห็นต่างจากผู้อื่น เราก็ต้องการเพื่อนที่เข้าใจเรา ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดเห็นตรงกับเราหรอก ขอเพียงแค่เอ่ยปากว่า “ฉันรู้.. ฉันเข้าใจว่าเธอคิดอย่างไร” แค่นี้ก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นในทันที

    คุณปลอดภัยแล้ว : คำพูดเช่นนี้จะช่วยฟื้นฟูความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและปกป้องคุ้มครอง ในยามที่เรารู้สึกอ่อนแอ เปราะบาง หวั่นไหว และหวาดกลัว ซึ่งอาจทำให้สภาพจิตเจ็บป่วยได้ และคำพูดที่ย้ำเตือนความปลอดภัย ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาจิตใจดีๆนี่เอง

    ฉันชื่นชมคุณจริงๆ : การที่มีบางคนเฝ้ามอง ดูคุณเป็นตัวอย่าง ยกย่องเชิดชู หรือปรารถนาที่จะเดินตามรอยเท้าของคุณนั้น ถือเป็นแรงจูงใจให้แก่คนที่มี ศรัทธาในตัวคุณ คำกล่าวชื่นชมมีพลังอย่างยิ่งยวด เพราะจะทำให้เรารู้สึกถึงการเป็นคนสำคัญ รู้ว่าสิ่งที่เราทำมีผลต่อคนอื่นๆด้วย

    ฉันสนับสนุนคุณ : คราใดที่ต้องเผชิญกับการ ตัดสินใจที่ยากลำบาก ซึ่งคุณอาจทำได้ดีที่สุดหรือไม่ก็ตาม สิ่งหนึ่งที่มีความหมายอย่างยิ่งคือ ถ้อยคำที่ว่า “ฉันสนับสนุนคุณเต็มที่” เพราะมันจะช่วยเติมกำลังใจให้คุณกล้าที่จะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร

    คุณทำได้ : เมื่อคุณตั้งใจต่อสู้กับความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในตัวเองว่าจะล้มเหลว คำพูดที่ให้กำลังใจจะทำให้เกิดความแตกต่างได้ เพราะเมื่อคุณรู้ว่ามีใครบางคนศรัทธาในตัวคุณ มันจะปลุกพลังความเชื่อมั่นในตัวคุณให้เกิดขึ้นได้อีกครั้ง

    ต้องเป็นคุณเท่านั้น : เป็นการบอกว่า เหตุทีี่ฉันเลือกคุณ เพราะคุณเหมาะสมที่สุด และคุณคือคนพิเศษ ทำให้ผู้ที่ได้ฟังรู้สึกดีใจที่รู้ว่า ตนมีความสำคัญและโดดเด่นเป็นพิเศษในสายตาของคนอื่น

    ฉันอยู่เคียงข้างคุณเสมอ : ยามที่มองหาใครสักคนที่คุณสามารถพูดคุยระบายความทุกข์โศกได้ คุณจะรู้ซึ้งถึงพลังสำคัญของคำพูดเช่นนี้ เพราะมันเตือนให้เรารู้ว่า เราไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีคนอื่นที่ต้องการช่วยเราให้ผ่านพ้นความเจ็บปวด สูญเสีย และความยากลำบากในชีวิต

    คุณเยี่ยมมาก : ไม่ว่าคุณจะยอมรับคำกล่าวชมเหล่านี้หรือไม่ แต่บอกได้เลยว่า คนส่วนใหญ่มักยิ้มแก้มปริ เมื่อได้ยินคำชมเชยจากปากผู้อื่น เพราะจะช่วยให้เขาทำงานมากขึ้น หนักขึ้น และรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองอีกด้วย

    คิดถึงจัง : เพราะเราไม่สามารถอยู่กับคนที่เรารักหรือรักเราได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือคนรัก คำว่า “คิดถึง” จึงมีความหมายอย่างยิ่งที่ทำให้รู้ว่า ต่างฝ่ายต่างคิดถึง แม้จะอยู่ไกลกัน

    คุณคือคนสำคัญ : ทุกคนอยากรู้สึกว่า ตัวเองมีความสำคัญต่อคนบางคนหรือบางสิ่งบางอย่าง การได้ฟังคนอื่นพูดชื่นชม โดยเฉพาะในยามที่เรารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าหรือขาดความสำคัญ ยิ่งทำให้เรารู้สึกเป็นคนพิเศษจริงๆ

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 125 เมษายน 2554 โดย ประกายรุ้ง)


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2011
  15. jantraa

    jantraa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +617
    ขอบคุณที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่าน อย่าหยุดเขียนนะคะ เพิ่งเข้ามาดู จะค่อยๆ อ่านตั้งแต่แรก
     
  16. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    [​IMG]
    ขอบคุณกำลังใจที่มีให้กันค่ะ ขอบคุณค่ะคุณjantraa
    ขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามอ่านกันนะค่ะ
    [​IMG]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=2A4AGTwqP9E&feature=related"]YouTube - ??????[/ame]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    http://bluegreen.jp/sozai/line/index.html

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2011
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,418
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ขอบพระคุณ คุณครูค่ะ ไปนอนก่อนค่ะ พรุ่งนี้จะมาอ่านใหม่

    ;aa2
     
  18. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    คุณพี่ต้อยขา...หนูยังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่เลยค่ะ
    พี่ล้อหนูเป็นคุณครูซะแว้ว แหะๆๆ...
    ขอบพระคุณค่ะ ที่ติดตามอ่านกันมาตลอดนะค่ะ

    [​IMG]
     
  19. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    นีวรณะ
    [​IMG]

    คำว่า นีวรณะ นี้หมายถึง ธรรมที่เป็นเครื่องห้าม หรือ กั้นความดี คือ กุศลธรรมต่างๆ ไม่ให้เกิด และกุศลบางอย่าง เช่น ฌานที่เกิดอยู่แล้ว ทำให้เสื่อมสิ้นไปได้

    ตามธรรมดาบุคคลทั้งหลายนั้น ย่อมไม่ยินดีในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เป็นส่วนมาก ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะด้วยอำนาจแห่งนีวรณธรรม อันได้แก่ โลภะ โทสะ ถีนะ มิทธะ อุทธัจจะ กุกกุจจะ วิจิกิจฉา โมหะ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ๒, ๓, ๔ นั้นเอง หรือบางทีขณะที่กำลังทำกุศลอยู่นั้น ก็เกิดความท้อถอย เบื่อหน่าย ไม่พอใจ เกิดนีวรณ์เกิดขึ้น กั้นความดี คือ ศรัทธา เป็นต้น นั้นเสีย และหากว่ากามฉันทนีวรณ์ พยาปาทนีวรณ์ ชนิดหยาบเกิดขึ้นแก่ฌานลาภีบุคคลแล้ว ก็ทำให้ฌานที่ได้อยู่นั้นเสื่อมสิ้นไป ไม่สามารถจะเข้าฌานได้

    จะยกตัวอย่างขึ้นแสดงให้เห็นง่ายๆ ว่า ผู้ที่ไม่มีความเลื่อมใสในเรื่องของพระพุทธศาสนา แต่เผอิญได้ไปฟังเขาแสดงถึงเรื่องกรรม ที่มีหน้าที่จัดแจงให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุข ความทุกข์ หรือเมื่อตายแล้วก็ให้เกิดเป็นเทวดาบ้าง มนุษย์บ้าง สัตว์ดิรัจฉานบ้าง ไปตกนรกบ้าง มีการยกเหตุผล อุปมา อุปมัย เปรียบเทียบพร้อมด้วยหลักฐาน พุทธภาษิตและอรรถกถา ซึ่งถ้าผู้ที่ไม่มีนีวรณ์ครอบงำอยู่ได้ฟังแล้ว ก็ย่อมจะต้องเกิดความเลื่อมใสขึ้น พยายามตั้งอกตั้งใจฟัง และจดจำเนื้อความนั้นไว้ มีจิตใจไม่วอกแวก และก็เข้าใจในเนื้อความนั้นไปด้วย ซึ่งเป็นกุศลธรรม อันได้แก่ ศรัทธา วีริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้น

    แต่ผู้ที่ไม่มีความเลื่อมใสในเรื่องของพุทธศาสนา ที่กำลังฟังเรื่องนี้อยู่นั้น ย่อมเกิดความลังเล สงสัย ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปตามนั้นได้ เพราะผู้นั้นไม่มีความเข้าใจในเรื่องความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นไปตามอำนาจของกรรม เมื่อไม่ความเข้าใจแล้ว ก็เกิดการเบื่อหน่าย ไม่อยากฟัง จิตใจย่อมส่ายหาอารมณ์อื่น ที่จะทำให้เกิดความเพลิดเพลินขึ้นแทน เมื่อหาไม่ได้ เพราะในที่นั้นมีแต่การแสดงธรรมเท่านั้น แล้วก็เกิดความไม่พอใจ นึกไปว่าเรามาในสถานที่นี้ผิดไปแล้ว ในขณะเดียวกันนั้น จิตใจของผู้นั้นก็คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ร้อยแปด ไม่ได้ตั้งใจฟังเรื่องที่กำลังแสดงอยู่เลย จนกระทั่งการแสดงจบลง โดยที่ผู้นั้นไม่มีกุศลเกิดขึ้นเลย มีแต่นิวรณ์เกิดฝ่ายเดียว คือ ในตอนแรกวิจิกิจฉานีวรณ์เกิด ต่อมาอวิชชานีวรณ์เกิด และต่อมาถีนมิทธนีวรณ์ กามฉันทะนีวรณ์ พยาปาทนีวรณ์ กุกกุจจนีวรณ์ อุทธัจจนีวรณ์เกิด เป็นลำดับมา

    ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาแสดงนี้ แสดงให้เห็นว่ากุศลธรรมที่ควรจะเกิด ก็ไม่มีโอกาสเกิดเพราะโลภะ เป็นต้นนั้นเอง ที่เป็นเครื่องกั้นกุศลธรรมไว้ ฉะนั้น โลภะ เป็นต้นเหล่านี้จึงได้ชื่อว่า นีวรณ์ ดังแสดงวจนัตถะว่า

    ฌานาทิกํ นิวาเรนฺตีติ = นีวรณานิ
    ธรรมเหล่าใด ห้ามความดี มี ฌาน เป็นต้น ไม่ให้เกิดขึ้น
    ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า นีวรณ์


    [​IMG]

    จาก... หนังสือ ปรมัตถโชติกะ
    ปริจเฉทที่ ๓และปริจเฉทที่ ๗
    ( หน้า ๙๘-๙๙ )
    มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2011
  20. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    ลูกโป่ง
    บัวแก้ว
    [​IMG]
    [​IMG]จาก...เวปลานธรรมจักร


    [​IMG]
    ผลจาก ตกเป็นทาสของกามรมณ์ ขาดความรับผิดชอบชั่วดี

    [​IMG]
    ชาตินี้ หญิงจึงเกิดมาเป็นโสเภณี ชายเกิดมาเป็นเฒ่าโลกีย์
     

แชร์หน้านี้

Loading...