แค่เพียงมีสติระลึก รู้สึกใจ ก็จะช่วยบรรเทา(จนดับ)โกรธได้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บัณฑิตใหม่, 5 สิงหาคม 2005.

  1. บัณฑิตใหม่

    บัณฑิตใหม่ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +3
    พอดีได้ไปอ่านกระทู้ในเว็บธรรมดี ที่คุณบัวใต้น้ำโพสไว้ในหัวข้อ "เขานินทาเรา" โดย ท่านมิตสูโอะ ดีมากเลยค่า แล้วได้โพสตอบเอาไว้ด้วย เลยอยากจะนำมาโพสที่นี่เพื่อเป็นธรรมทานให้เพื่อนผุ้ปฏิบัติในเว็บทางนี้ด้วยค่ะ :)

    จะโพสทั้งข้อธรรมของท่านมิตซูโอะ และของผู้พูดที่ตอบไปด้วยนะคะ

    เขานินทาเรา ด่าเรา เขาแย่งของเราไป ฯลฯ

    เราไม่พอใจ เรากำลังจะโกรธเขา ต้องรีบแก้ไขทันที
    "เขา" ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรากำลังจะเป็นทุกข์
    เรากำลังจะผิดศีล กำลังจะผิดข้อวัตรของเรา
    ระวังนะ .....ถ้าเราเป็นทุกข์ เราก็ผิดข้อวัตรของเราแล้ว
    ผิดศีล เราก็บาปแล้ว
    เราต้องมีหิริ โอตตัปปะ ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป
    ถ้าเราเป็นทุกข์ เราผิดศีล เราก็บาป


    ใครเขานินทาเราก็ไม่สำคัญ เขาทำอะไร ๆ เราก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรา

    สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์เท่านั้นก็พอแล้ว
    ไม่ต้องดูใคร ไม่ต้องฟังใคร ดูกายกับใจของเรานี่แหละ
    เราต้องเป็นที่พึ่งของเราเอง
    อัตตา หิ อัตตโน นาโถ นะ
    เราขึ้นอยู่กับคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นไม่ได้หรอก
    ระวังนะ... คนโน้นคนนี้ก็ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่จิตของเรานี่แหละ
    ใครทุกข์ก็ไม่ต้องทุกข์ตามเขา ไม่ต้องโต้ตอบ ไม่ต้องชี้แจง ไม่ต้องกลัว
    สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์นะ
    ถ้าเราทุกข์เราผิดแล้วนะ ไม่ใช่เขาผิดหรอก
    ต้องรีบพิจารณาแก้ไขทันที <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>


    <o:p></o:p>

    ท่านมิตซูโอะ<o:p></o:p>

    <o:p></o:p>

    <o:p></o:p>

    <o:p></o:p>

    <o:p></o:p>

    "เขา" ไม่สำคัญจริงๆละค่ะ ไม่มีใครทำให้เราโกรธได้หรอกนะคะ ถ้าเราไม่มีไอ้เจ้าตัวทำให้โกรธ หรือ กิเลสโทสะในใจเรา ศัตรูภายนอก ไม่ร้ายไปกว่าศัตรูภายใน โลภ โกรธ หลง ที่อยู่กับเรามาตลอดนี้เลย

    จะขอเล่าวิธิที่ผู้พูดปฏิบัติและโยนิโสมนสิการในการสู้กับกิเลสตัวนี้นะคะ หากถูกจริตใครก็ลองนำไปปฏิบัติได้เลยนะคะ

    การที่เราไปโกรธเขาที่เขามาว่าเราเนี่ย หรือไปหดหู่ เสียใจ ใจแฟบ ใจเหี่ยว ก็เกิดจากกิเลสในใจเราเอง จริงๆ มันก็ทุกตัวละคะ ไม่ใช่แค่โทสะ ทำงาน โมหะ หลงที่ไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่เรา และโลภะ ที่โลภในสิ่งสมมติที่เรียกว่าตัวเราเนี่ยอยากจะให้เขามีแต่ชม ไม่ด่าว่า ก็ด้วย ทำงานกับเป็นหมู่เลย เวลาเราจะรับมือกับมันก็ต้องจัดการมันทั้งหมู่ ไม่ให้มีโอกาสได้ทำงานเลยค่ะ

    วิธีจัดการที่ผู้พูดปฏิบัติ ก็คือ "การมีสติ ระลึกรู้สึกใจ" เท่านั้นเองค่ะ จะนั่งจะยืนจะเดินยังไงก้ได้ พอกระทบอารมณ์ใดๆ ในรีบกลับมามีสติ ระลึกไปที่ฐานของใจ (ของผู้พูดจะอยู่ที่ท้องราวลิ้นปี่ ซึ่ง่ก็ต่างกันไปตามแต่ละคน) พร้อมทั้งโยนิโสฯไปด้วย ว่า นี่ไม่มีเรานะ ไม่ใช่เรา เป็นแค่กองขันท์ห้า เป็นดินน้ำลมไฟที่รวมตัวกันมา แล้วเรียกว่าคน แล้วเรามาสมมติกันไปเอง ว่านี่ "เรา" นี่ "เขา" นี่ ศัตรู นี่มิตร จริงๆทุกตัว ทุกคน ทุกอัน ทุกสิ่งก็เป็นสิ่งเดียวกันนั่นแหละ เป็นกองทุกข์ ที่แท้แน่นอน ว่าจะต้อง เปลี่ยน ต้องเสื่อม และ ต้องสูญไปในที่สุด .....คำที่เขาว่าเรา นินทาเรา มันก็แค่เสียง สิ้นคำพูด มันก็ดับไปแล้ว แต่ที่ยังติดใจติดหูอยู่ ก็เพราะ ไอ้กิเลสตัวแสบเนี่ยล่ะที่มันยึดว่า "เขาว่าเรา" จริงๆ มีแค่เสียงที่พ่นมา แล้วก็ดับไป คนที่ว่า ที่พูดเอง วันนึงก็ต้องดับสูญไป เราจะมาเสียเวลา มาทำให้ใจตัวเองทุกข์ไปเองทำไมกับสิ่งที่สูญเปล่าเหล่านี้ จะทุกข์ทำไมกับการที่จะต้องมาฟูบแฟบ รับอารมณ์ที่ขึ้นลงเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลานี้ด้วย สู้ทำให้ใจเราสงบ ไม่โกรธ ไม่ทุกข์บีบคั้น โดย แค่หยุด และกลับมาระลึกรู้สึกใจ เท่านั้นเองค่ะ

    ที่ว่าจัดการกิเลสได้เป็นหมุ่เลย ก็เพราะว่า การมีสติระลึกรุ้สึกใจในขณะปัจจุบัน ทำให้ตลอด ต่อเนื่อง ทุกขณะที่ทำนั่นละคะ ที่ไม่ว่ากิเลสตัวไหนๆ ก็เข้ามาเกาะกะใจเราไม่ได้ ใจในขณะนั้นเป็นใจที่สงบ มั่นคง ฉลาด พร้อมที่จะพิจารณาธรรม ที่ท่านๆผู้รุ้มักจะกล่าวว่า เป็น ใจที่ควรแก่การงาน นั่นเองค่ะ ถ้าเรามีสติ ระลึกรุ้สึกใจได้ต่อเนื่อง ได้บ่อยๆ กิเลสทั้งหมู่ ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ก็ไม่น่าจะทนได้ และดับหายไปจากใจผู้ปฏิบัติได้ในที่สุด

    และที่ผู้พูดเน้นคำว่า เท่านั้นเอง ก็เพราะ มันเท่านั้นเองจริงๆนะคะ กิเลสเท่านั้นละค่ะ ที่มักจะไม่ทำให้อะไร เป็นแค่เพียง เท่านั้นเอง มันเป็นตัวทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำสิ่งที่ไม่มีสาระ ให้เป็นเรื่องวุ่นวาย เขาว่าเรา เขาด่าเรา ยอมไม่ได้ ฉันเก่งกว่าเขา มาว่าฉันไม่ได้ แต่มันก็อีกละคะ ที่ทำให้เรื่องที่มีสาระ กิจที่พึงเท่า กลายเป็นเรื่องที่ปุถุชนมักจะมองข้ามกันไป ก็แน่สิคะ ถ้ากิจนี้เราม่งมั่นจนทำสำเร็จได้ กิเลสมันก็แห้งตายไป ก็ เท่านั้นเองค่ะ


    ผู้พูดก็ยังพยายามเพียรปฏิบัติตามคำสองขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เสมอ ที่โพสมาก็เป็นเพียงความรุ้ความเข้าใจของผู้พูดเองนะคะ ที่ได้มาจากการปฏิบัติ หากผิดพลาดใดๆ ขอท่านผู้รู้ทั้งหลายโปรดอภัย และชี้แนะค่ะ

    เจริญในธรรมนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...