แฟนเพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 2 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
    “ทรงแค่ฌานสมาบัติยังไม่พ้นอบายภูมิ”
    …. ก็เป็นอันว่า ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าหวังนิพพานจริงๆ “ให้เข้าใจตัวทุกข์ตัวเดียวพอ” แต่ว่าการเข้าใจตัวทุกข์จะถือว่าวันเดียวสองวันทำได้นี่อย่าเพิ่งคิด
    อย่างนั้น เพราะว่ากรรมฐานที่ทำกันโดยมาก มีจดหมายไปที่วัดหลายฉบับเรียกว่ามีทุกเดือน บอกว่าจิตใจไม่สงบบ้าง ทำมาตั้ง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง มันไม่ดีขึ้นมาบ้าง แต่ความจริงการปฏิบัติกรรมฐานแบบนั้น เขาถือว่า “ยังไม่เข้าใจในกรรมฐาน” กรรมฐานจริงๆ ถ้าเราเล่นฌานโดยเฉพาะ “ฌานนี่ไม่ใช่การทรงตัว”ถ้าร่างกายของเราดี สมาธิมันก็ดีด้วยถ้าร่างกายของเราไม่ดี สมาธิมันก็ไม่ดีด้วยถ้าเราเหนื่อยมามาก เพลียมาก สมาธิก็ไม่ทรงตัว ถ้าร่างกายสบายสมาธิก็ทรงตัว ทีนี้สมมุติว่า ถ้าอย่างวันนี้ดี แต่วันพรุ่งนี้ไม่ดีเราก็ถือว่า เราเสื่อม “ความจริงมันไม่เสื่อม”ทีนี้ก็มัวไปเล่นกันแค่ฌานสมาบัติถ้าเล่นแค่ฌานสมาบัติ จะเล่นสักกี่ปี ๑๐ ปีก็ตาม ก็ยังไม่สามารถเอาตัวรอดได้เพราะว่าคนที่ทรงฌานสมาบัตินี่”ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ” ..

    จาก.. ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๗๐ หน้าที่ ๒๑
    โดย หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    14708285_1228470430507172_8579663024625752018_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ///ผู้ทำนาย “อนาคตของประเทศไทย”///

    คัดลอกจาก www.watthasung.com
    บทที่ ๗
    …… ตอนนี้เป็นตอนที่ ๗ ของหนังสือ ก็จะว่าถึงหนังสือฉบับที่หลวงพ่อปานนำมาให้อ่าน มองดูแล้วก็ปรากฏว่าหนังสือฉบับนั้น จะมีอายุสัก ๓๐ ปีเศษ ๆ แล้วก็ตัวหนังสืออ่านง่าย เป็นภาษาปัจจุบัน ใจความของหนังสือฉบับนั้นมีอยู่ว่า เราขอพยากรณ์กรุงเทพมหานครที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ท่านว่ายังงั้น แล้วหนังสือฉบับนั้นก็ลงท้ายไว้ว่า “คนเขียน” จะเป็นสมัยไหนไม่ทราบ

    ถามหลวงพ่อปานว่า คนเขียนนี่เป็นคนเขียนที่ลอกหนังสือใหม่ใช่ไหม ?
    ท่านบอกว่าไม่ใช่ ที่เขียนข้อความไว้ตอนท้ายท่านบอกว่า ท่านลอกข้อความเดิมมาทั้งหมด ไม่ได้แต่งใหม่ คนเขียนเขาขมวดตอนท้ายไว้ว่า เป็นพระอรหันต์สมัยกรุงศรีอยุธยา มีนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ใย) ชื่อ “หลวงพ่อใย” เป็นพระผู้พยากรณ์กรุงเทพมหานครที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

    เป็นอันว่าสันนิษฐานแล้วก็ต้องพยากรณ์ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยายังไม่แตกครั้งหลัง จะใช่หรือไม่ใช่ก็ช่าง แต่ว่าหนังสือนี้มีเหตุผลพอ ท่านกล่าวว่าอย่างนี้ กล่าวถึงว่า พระเจ้าแผ่นดินของกรุงเทพมหานคร ว่า

    รัชกาลที่ ๑ มหากาฬผ่านมหายักษ์ (ขอท่านพุทธบริษัทจำให้ดี ว่าท่านไม่ได้เขียนบอกไว้ว่า มหากาฬฆ่ามหายักษ์)

    รัชกาลที่ ๒ รู้จักธรรม

    รัชกาลที่ ๓ จำต้องคิด

    รัชกาลที่ ๔ สนิทธรรม

    รัชกาลที่ ๕ จำแขนขาด

    รัชกาลที่ ๖ ราษฎร์ราชาโจร

    รัชกาลที่ ๗ นั่งทนทุกข์

    รัชกาลที่ ๘ ยุคทมิฬ

    รัชกาลที่ ๙ ถิ่นกาขาว

    รัชกาลที่ ๑๐ ชาววิไล

    แล้วก็หมด หนังสือหมดไว้แต่เพียงเท่านี้

    เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้แล้ว จึงได้กราบเรียนถามหลวงพ่อปานว่า กรุงเทพพระมหานครนี่จะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือขอรับ ท่านก็ตอบว่า กรุงเทพพระมหานครไม่ได้มีพระมหากษัตริย์แต่เพียง ๑๐ พระองค์ จะมีพระมหากษัตริย์ต่อไปคู่กับประเทศไทยจนกว่าโลกจะสลายตัว แต่ที่ไม่ได้พยากรณ์ไว้ ดูรัชกาลที่ ๑๐ ท่านบอกว่า “ชาววิไล”

    เป็นอันว่าเปรื่องปราชญ์สามารถ มีความสุขสบายด้วยประการทั้งปวง การพยากรณ์นั้น เขาพยากรณ์ดีกับชั่วเท่านั้น ขึ้นหรือลง ถ้าเราจะเลวลง เขาจะบอกว่าต่อไปนั้นเคราะห์ร้าย ไม่ดี ถ้าหากว่าเราจะดีขึ้น เขาบอกว่าจะดีขึ้น จะโชคดี ถ้าเป็นปกติไม่มีใครเขาพยากรณ์ อันนี้เป็นจะเป็นความจริง เห็นพวกอุทกศาสตร์หรืออุตุนิยม เขาก็พยากรณ์ว่าวันนั้นฝนจะตกที่นั่น วันนี้ฝนจะตกที่นี่ วันนี้อากาศจะสูง จะร้อนเท่านั้น จะหนาวเท่านี้ น้ำจะขึ้นจะลงเมื่อเท่านั้นเท่านี้ (อะไรเป็น) ปกติ เขาไม่ได้บอก ถ้าเขาจะบอกว่านับแต่บัดนี้ไป น้ำจะไม่ขึ้นไม่ลง ฝนจะไม่ตก แดดจะไม่ออก มันจะเป็นปกติไป เขาคงไม่พยากรณ์ นี่เทียบคำพยากรณ์ ยังไม่อธิบายตอนนี้

    หนังสือฉบับนั้นยังมีต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ไม่หน่อยละ มีมาก แต่อาตมาจะขอย่อความ ท่านอ้างว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ว่า

    “….อานันทะ ดูก่อนอานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (คือ พ.ศ. ๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ ฝนเหล็กก็เห็นจะเป็นลูกระเบิด หรือลูกปืนกลมันเอาเสียเกือบย่ำแย่ เวลานั้นอาตมาก็อยู่ในกรุงเทพ ฯ แล้วก็ลูกระเบิดเพลิง (คงจะตรงกับ) ไฟที่ตกจากอากาศ สมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก

    แต่ทว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี ที่ว่ามีความเร่าร้อนมาก ความทุกข์ยากมาก ยังก่อนหรอกอานนท์ หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นอาละวาด สมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะตายไปคนละครึ่งจึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยอย่างนี้บ้างเหมือนกัน แต่ไม่มากนัก..”

    นี่ถือใจความจากหนังสือฉบับนั้น ท่านเขียนไว้แบบนี้ อาตมาก็เอายังงี้..ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ถือเกณฑ์นี้เป็นหลักถือเหตุนี้เป็นหลัก แต่ว่าอาตมาไม่ได้ถวายพระพรพระองค์ตามนี้ วันนั้นอาตมาพูดแต่เพียงย่อ ๆ แต่อาตมาเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ เพราะทรงมีพระปรีชาสามารถมาก..แน่ใจ

    คราวนี้ เรามาดูเรื่องของรัชกาลต่าง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาเป็นคนอ่านเป็นคนจำแล้วคิดตาม ชอบตามเรื่อง เพราะเรื่องอะไรที่มันเกิดขึ้นแล้วชอบตามเรื่องนั้นตลอดเรื่อง ถ้ามีโอกาส ก็มานั่งพิจารณาตามคำพยากรณ์ของท่านว่า

    รัชกาลที่ ๑ มหากาฬผ่านมหายักษ์
    …..นี่หมายความถึงว่ารัชกาลที่ ๑ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกผ่านพระเจ้าตากสินมา แล้วตามข่าวที่เขาเขียนกันมาเป็นประวัติศาสตร์ บอกว่า พระเจ้าตากสินถูกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ สั่งประหารพระชนม์ อันนี้ อาตมาก็เห็นจะต้องยอมรับ ว่าเรื่องไปตามนั้นจะต้องมีกระแสพระราชดำรัสตรัสสั่งออกไปว่า ให้ปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระเจ้าตากสินมหาราช คำสั่งเป็นคำสั่ง

    แต่ว่าการปฏิบัติ นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้ปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติตาม แต่อย่าลืมว่า เวลานั้นการที่พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินเป็นพระราชามีศักดิ์สูง ถ้าจะประหารด้วยดาบของเพชฌฆาตธรรมดามันไม่ได้ เขาต้องใส่กระสอบ แล้วเอาท่อนจันทน์ที่มีกลิ่นหอมทุบให้ตาย ราชาศัพท์เขาเรียกว่าสวรรคต สวรรคตนี่เขาแปลว่าไปสวรรค์ มันไม่แน่นักนี่ คนเราตายจะไปสวรรค์ทุกคนนี่ไม่แน่นัก เรียกว่าตายดีกว่า นี่ตามข่าวที่เขาเขียนกันมา เขาว่าอย่างนั้น

    แต่อาตมาน่ะรับรองว่าคำสั่งต้องเป็นคำสั่งจริง ๆ ประหารก็ต้องประหารจริง ๆ แต่ว่าคนที่ตายนั่นไม่ใช่พระเจ้าตากสินมหาราช เป็นคนอื่นเขาตายแทน นี่ตามความเห็นของอาตมา ตายนั่นไม่ใช่พระเจ้าตากสินมหาราช เป็นคนอื่นเขาตายแทน นี่ตามความเห็นของอาตมา ต้องเป็นคนที่มีความจงรักภักดีตายแทน หรือมิฉะนั้นก็ต้องเป็นนักโทษ ที่ต้องโทษประหาร ที่ต้องโทษประหารชีวิตตายแทน ไม่ใช่พระเจ้าตากสินมหาราช แล้วพระเจ้าตากสินมหาราชไปทางไหน แล้วทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น

    นี่มันเป็นเรื่องของการเมือง บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาพูดไม่ได้ ถ้าขืนพูดแล้ว ความเดือดร้อนมันจะเกิดขึ้น ไม่พูดเสียเลยจะดีกว่า รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม แต่ก็พูดไปแล้ว แต่พูดไม่จบนี่ไม่เป็นไร หากใครจะถามว่า ถ้าพระเจ้าตากสินไม่ตายแล้วพระเจ้าตากสินไปไหน? อาตมาจะบอกทำไม ในเมื่อรัชกาลที่ ๑ ท่านไม่บอก แล้วอาตมาจะบอกทำไม แล้วทำไมถึงจะต้องทำอย่างนั้น

    เราหันไปดูประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้าตากสินมหาราช เวลาที่พระองค์ทรงกู้ชาติสมัยที่อยุธยาต้องแตกแหลกลาญในคราวนั้น พระองค์ตีฟันฝ่าข้าศึกออกมา เอาเงินที่ไหนออกมา จะมีสตางค์ติดตัวมาสักกี่บาท แล้วในระหว่างการกู้ชาติจะเอาเงินทองที่ไหนมา การบริหารประเทศชาติต้องใช้เงิน บรรดาท่านพุทธบริษัท เพียงแค่กินมันก็แย่แล้วนี่ต้องรบราฆ่าฟันกันตลอดเวลาแล้วพระเจ้าตากสินจะเอาเงินที่ไหนมา นั่งนึกดูซี ภาษีอากรสมัยนั้นเหมือนสมัยนี้หรือเปล่า

    นี่..ความลำบากของพระเจ้าตากสินมีเพียงไร เรื่องนี้มันก็ต้องมีการกู้การยืมกัน อาตมาพูดเท่านี้แหละ แต่ขอยืนยันว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้ตาย เพราะคำสั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชกาลที่ ๑ เพราะว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านพูดไว้แต่เพียงว่า “ผ่าน” มหายักษ์ ไม่ใช่ “ฆ่า” มหายักษ์ไป เรื่องนี้เก็บเอาไว้ก่อน ขอให้นักประวัติศาสตร์สืบประวัติศาสตร์กันให้ดี ค้นกันให้ดีแล้วจะพบจุดสำคัญของประวัติศาสตร์ ตอนนี้ จะหาว่าพระราชวงศ์จักรีนี่เป็นกบฏต่อพระเจ้าตากสินแล้วขึ้นเถลิงราชย์..ไม่ใช่!

    นี่ทรงเป็นชาติไทยต่อไป และเพื่ออะไรพระองค์จึงไม่ทรงสละราชสมบัติเฉย ๆ นั่นมันเป็นเรื่องการเมือง ทำไม่ได้ ต้องทำกันตามระบบของการเมือง พระเจ้าตากสินมหาราชไม่ใช่กษัตริย์ที่มีความโง่เง่าไม่รู้เท่าทันคน ถ้าพระองค์มีความโง่เง่าไม่รู้เท่าทันคนแล้วจะทรงกู้ชาติได้อย่างไรภายในปีเดียว เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน ทิ้งไว้แค่นี้ให้เป็นข้อคิด เป็นการบ้านของบรรดาท่านพุทธบริษัท และนักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย

    เป็นอันว่ารัชกาลที่ ๑ มหากาฬผ่านมหายักษ์ แหม องค์สำคัญทีเดียว รุ่นราวคราวเดียวกันด้วย แล้วก็เป็นกษัตริย์ ถ้าจะคิดกบฏ เสร็จ ไม่มีทาง ถ้าจะคิดกบฏแล้วก็เสร็จรัชกาลที่่ ๑ ม่องตี่แน่ แต่ทว่าพระเจ้าตากสินมหาราชทำไมจึงทรงปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ช่วยกันคิดด้วยความเป็นธรรม ช่วยกันพิจารณาด้วยปัญญาที่แท้จริง เอาระบบการเมืองเข้ามาเทียบเคียงกับความจริง แล้วจะรู้ความจริงต่อไปในวันหน้า อาตมาไม่บอก นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ตรัสถามจึงจะบอก คนอื่นไม่บอกแน่ ไม่เกิดประโยชน์

    แล้วอาตมาบอกก็ไม่มีหลักฐาน ท่านจะถามทำไม ท่านถามก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องมันผ่านมาแล้ว แล้วอาตมาบอกก็ไม่มีหลักฐาน ท่านจะถามทำไม ท่านถามก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องมันผ่านมาแล้ว แล้วอาตมาบอกไปก็มีมีใครเขาเขียนไว้ ถ้าจะถามว่าอาตมารู้ได้ยังไง ก็ต้องตอบว่า “เดาเอาซี” มันไม่ยาก เอาเอาตามเล่ห์เหลี่ยมของการเมืองแล้วใครอยากจะฟังเรื่องเดาบ้างล่ะ มันไม่ค่อยจะจริงนักนี่ ผ่านไป รัชกาลที่ ๑ สบายแล้ว ผ่านมหายักษ์เถลิงราชสมบัติ

    รัชกาลที่ ๒ รู้จักธรรม
    ……เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๒ ปรากฏว่าบ้านเมืองค่อยสงบลง พระองค์ก็มีพระราชประสงค์ (แต่ความจริงมันเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ ๑) ที่จะให้บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายสะสางพระไตรปิฏกในตอนนั้น สมัยรัชกาลที่ ๑ ไม่ค่อยว่างจากราชการสงคราม มารัชกาลที่ ๒ นี่มีจุดว่าง รู้จักธรรม คือให้พระสงฆ์ทั้งหลายค้นคว้าพระธรรมวินัย แหมรวบรวมกันเป็นการใหญ่

    มาถึง รัชกาลที่ ๓ จำต้องคิด
    …….ท่านนึกตามเอาก็แล้วกัน อ่านประวัติศาสตร์แล้วก็นึกตามกันไปด้วย เพราะว่ารัชกาลที่ ๓ นี่ ความจริงเป็นพระองค์เจ้า เดิมมีพระนามว่า “พระองค์เจ้าทับ” แล้วก็เป็นพ่อค้าสำเภา เวลารัชกาลที่ ๒ ท่านไม่มีสตางค์ ท่านก็บอกว่าพ่อทับเอ๊ย..มีเงินไหมลูก พ่อจะทำนั่น พ่อจะทำนี่ ท่านก็บอกว่ามี ท่านก็เอาเงินที่ได้จากการค้านี่่มาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้มีความเจริญ เลี้ยงบรรดาพสกนิกรข้าราชบริพาร พระองค์ทรงมีความเหน็ดเหนื่อยมากในสมัยที่ทรงเป็นเพระเจ้าลูกยาเธอ ต้องค้าขายกับต่างประเทศ

    เวลานั้นธงประจำเรือเขามีกันทุกชาติ เรือไทยเราไม่มีธง ไปต่างประเทศเขาต้องมีธงประจำชาติ หาอะไรไม่ได้มีผ้าแดงอยู่ผืนหนึ่งเลยใช้ผ้าแดงทำเป็นธง ต่อมาสมัยหนึ่งเราจะเห็นว่าธงไทยคือสีแดง จำต้องคิดเพราะเรื่องราวของพระองค์ จะไม่อธิบาย ถ้าอยากจะทราบกันจริง ๆ ให้ไปอ่านหนังสือจดหมายเหตุของหลวงอุดม จะรู้เรื่องราวในสมัยรัชกาลที่ ๓ ว่าพระองค์ทรงมีความหนักพระราชหฤทัยอยู่มาก คิดอยู่ตลอดเวลา แล้วเมื่อพระองค์จะสวรรคต ก็ทรงมีลายพระหัตถ์ไปถึงรัชกาลที่ ๔ แล้วมีลายพระหัตถ์ไว้ฉบับหนึ่งว่า ฉันจะตาย ฉันไม่ตั้งรัชทายาท เมื่อฉันตายแล้วลูกของฉัน ถ้าไม่ต้องการให้รับราชการก็ขอให้ลงโทษเพียงแค่เนรเทศ อย่าถึงกับฆ่าแกงกันก็แล้วกัน นี่ใจความสั้น ๆ เป็นอันว่าพระองค์มีเรื่องต้องคิดอยู่มาก

    ถึง รัชกาลที่ ๔ สนิทธรรม
    ……เราฟังกันชัด เพราะตอนโน้นบางทีท่านพุทธบริษัทผู้อ่านและผู้รับฟังจะไม่เข้าใจ รัชกาลที่ ๔ ท่านบอกว่า สนิทธรรม นี่เราก็รู้กันอยู่แล้วว่ารัชกาลที่ ๔ ท่านทรงผนวชถึง ๒๐ พรรษา แล้วก็ทรงออกธุดงค์ มีความสนิทสนมกับ “สมเด็จพระพุฒจารย์โต” เป็นอย่างดี แล้วทรงเป็นนักปราชญ์ ทรงพระไตรปิฏก ความจริงรัชกาลที่ ๔ นี้ อาตมาชักคร้าม ๆ ท่านเหมือนกัน เพราะทรงมีพระปรีชาสามารถ มีความฉลาดหลักแหลมบอกไม่ถูกพอดีกับสมเด็จพระพุฒาจารย์โต วัดระฆัง นี่ท่านเป็นคู่บารมีกันจริง ๆ

    มาถึง รัชกาลที่ ๕ จำแขนขาด
    …….นี่เราเข้าใจกันชัด เวลานั้นประเทศชาติของเราตกอยู่ในภัยพิบัติอย่างหนัก เพราะประเทศมหาอำนาจ ๒ ประเทศ คือ อังกฤษกับฝรั่งเศส เขาจัดการแบ่งเขตแม่น้ำเจ้าพระยากันแล้ว เขาบอกเขาเอากันคนละครึ่ง ผรั่งเศสเอาตะวันออก อังกฤษเอาตะวันตก สบายไหม นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สมัยรัชกาลที่ ๕ เหตุร้ายมีเพียงใดเวลานี้เราก็ตกอยู่ในสภาพอย่างนั้น แล้วในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระองค์ท่านทรงความเป็นเอกราชของประเทศไว้ได้อย่างไร

    เวลานั้นกำลังของเราน้อย บรรดาพุทธบริษัท การติดต่อกับต่างประเทศก็มีน้อย พระองค์ต้องใช้พระปรีชาสามารถมาก คนไทยทุกคนนับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา ต้องมีหัวหน้าจึงทำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงคิดว่า ถ้าเราจะสู้เขา เราก็หมดทั้งประเทศ เราตายนี่ มันก็สิ้นกัน ที่นี้ ต่อมาถ้าเราแบ่งเขตขัณฑ์ให้เขาเสียบ้าง ยอมเสียแขนเสียขา ดีกว่าเสียตัว “จำแขนขาด” ยอมเสียผืนที่ดินบางส่วนให้แก่เขา เพื่อเป็นการรักษาเอกราชเข้าไว้ ฉะนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงทรงประเทศไทยไว้ได้

    นี่ใครเคยเป็นคุณเห็นประโยชน์ของคนไทยสมัยโบราณบ้างไหม ว่าท่านใช้พระปรีชาสามารถอย่างไร เวลานี้คนไทยเราควรจะทำอย่างไร เวลานั้น คนไทยเรามีความสามัคคีมาก ไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้มีความสามัคคีแบบไหนอาตมาไม่รู้ สามัคคีแบบขายชาติ ไม่เป็นเรื่อง สามัคคีแบบต้องการเป็นทาส อาตมาไม่เอาด้วย เพราะขี้เกียจเป็นทาสเขา การเป็นทาสเขาจะมีประโยชน์อะไร สมัยรัชกาลที่ ๕ จำแขนขาด ถ้าไม่ยอมเสียแขนก็เสียหัวแล้วก็เสียคอ แล้วก็ตายทั้งตัวจะมีประโยชน์อะไร ยอมเสียแขนไปหน่อยจะเป็นไรไป เราก็ทรงความเป็นไทยไว้ได้ นี่คำพยากรณ์ของท่านตรงจุด ตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ ลงมานี่เราเห็นกันชัด

    มา รัชกาลที่ ๖ ท่านกล่าวว่า ราษฎร์ราชาโจร
    …….บางคนหาว่ารัชกาลที่ ๖ เป็นจอมโจร แต่ว่าความเห็นของท่านไม่ได้เป็นแบบนั้น ท่านไม่ได้คิดว่ารัชกาลที่ ๖ เป็นโจร แต่ว่าชาวบ้านเห็นว่ารัชกาลที่ ๖ เป็นโจร หาว่าเอาเงินในท้องพระคลังไปใช้เสียหมด คนเวลานั้นยังไม่เห็นความดีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทำอย่างนั้นเพราะพระองค์ต้องการให้คนไทยรู้จักคำว่าประชาธิปไตย พระองค์ไม่มีพระราชประสงค์ที่จะยึดอำนาจเด็ดขาดเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช ต้องการให้ประชาชาติเป็นประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างจะให้บุคคลทั้งหลายเห็นว่า พระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงถือพระองค์ พระองค์คลุกคลีตีมงกับคนทุกชั้น แสดงมหรสพเล่นโขนก็ยังได้ แล้วก็ความปรีชาสามารถของพระองค์ในตอนนี้แสดงออกมามาก

    ความจริงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว นี่ท่านเป็นลูกเป็นพ่อกัน ท่านก็ฉลาดคล้ายคลึงกัน บรรดาข้าราชบริพารและประชากรทั้งหลายมีบรรดาศักดิ์กันเป็นแถว ความจริง เรื่องบรรดาศักดิ์เป็นของดี ทำให้บรรดาคนทั้งหลายมีความสบายใจ อย่างเราเป็นร้อยตรีพอมาเป็นร้อยโท อัตรามันเต็ม ยังไม่ได้ร้อยเอก ก็ได้รับพระราชทานเหรียญบ้าง อะไรบ้างเพื่อเป็นกำลังใจ ดีไม่ดีเอาท่านขุนยัดมับเข้าให้ คนที่ได้เป็นขุนก็ครื้มใจไปพักหนึ่ง ความสบายใจมันเกิด แล้วคนก็ต้องรักษาศักดิ์ศรีตามบรรดาศักดิ์ นี่คนเขาจะหาว่าอาตมาเป็นศักดินาก็ตามใจ ศักดินาสมัยก่อนนี้ไม่มีอะไร บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะแม่ทัพ นายกอง ข้าราชการ เบี้ยหวัดเงินเดือนในสมัยนั้นมันหาได้น้อย เวลาเขาจะไปรบทัพจับศึกก็ค่อยจ่ายเงินกันเป็นจ้าละหวั่น รัฐบาลก็แย่

    สมัยโน้น รัฐบาลก็ให้มีศักดินา หมายความว่าเป็นขุนมีอำนาจมีนาเท่านี้ ถ้าเป็นหลวง มีนาเท่านั้น เป็นคุณพระมีนาเท่าโน้น เป็นพระยามีนาเท่านั้น เป็นเจ้าพระยามีนาเท่านั้น ให้ผืนที่ดินที่ว่างเปล่าอยู่มากมีสิทธิ์ในการปกครองในการทำนา ฉะนั้น การจ่ายเงินเดือนมันจึงน้อย ไม่ลำบากกับทางราชการ นี่ ทางราชการสมัยนั้นท่านฉลาด เวลานี้ไม่มีนาแจกก็เลยเล่นศักดิเงินขึ้นกันไปแต่ไม่พอสักที และยิ่งต้องใช้เงินซื้อนิ้วมือด้วยยิ่งไปกันใหญ่เลย ท่านพุทธบริษัทไปกันมากเลย ไอ้นิ้วมือนี่ราคามันแพงนา

    นี่เราพูดเรื่องอะไรกัน พูดเรื่องรัชกาลที่ ๖ บอกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ทรงมีพระปรีชาสามารถมาก ท่านใช้พระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชน มีเพลงบทหนึ่ง ชอบใจมาตั้งแต่เด็กว่า “ใครมาเป็นเจ้าของครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย” นี่ ถ้าให้คนอื่นเขามาเป็นเจ้าจะดีไหม เวลานี้เรากำลังเป็นไทกัน แล้วทำไมเราถึงต้องการให้คนอื่นเขามาเป็นเจ้า เคี่ยวเข็ญบังคับเราเห็นว่าลัทธิอะไรต่อลัทธิอะไรดีน่ะ มันไม่ใช่ลัทธิอิสระ มันเป็นลัทธิทาส แล้วคำว่าประชาธิปไตยนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ในรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรได้ทุกอย่าง มีคนเป็นใหญ่ มีประชาชนเป็นใหญ่ เราใหญ่กันตรงไหนล่ะ

    เราใหญ่กันตรงนี้ เลือกผู้แทนราษฎรเข้าไป แล้วผู้แทนราษฎรเห็นว่าจะทรงประเทศชาติ ไว้ได้ตรงไหน ก็พากันออกกฎหมายมาเป็นข้อบังคับ นี่เรียกว่าประชาชนเป็นใหญ่ บังคับประชาชนกันเอง เป็นอันว่ากฎหมายทุกฉบับที่สภาผู้แทนราษฎรให้ผ่านออกมาได้ เป็นความพอใจของบรรดาประชาชนทั้งประเทศ นี่ประชาธิปไตยเขามีขอบเขต เราเป็นใหญ่ ออกกฎหมายมาบังคับตัวเอง เราก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบส่งเดช อย่างที่ไปที่บางปะอิน เจ้าหน้าที่บอกว่านี่เป็นพระราชฐาน เป็นที่ประทับของพระองค์มีคนเขาบอกว่าสมัยนี้ประชาธิปไตยโว้ย กูจะนั่งที่ไหนก็ได้ ที่ของพระเจ้าแผ่นดินเรื่องเล็กคนเหมือนกันนี่หว่า กูเป็นประชาธิปไตย ทำไมจึงจะนั่งไม่ได้ จะใช้ไม่ได้

    อย่างนี้เขาเรียกประชาธิปตาย “ปะตาย” ปะเข้าไปหาความตาย คือ ไม่รู้ขอบเขตของตัวอยู่เพียงใด กฎหมายทุกฉบับที่ออกมาต้องคิดว่านั่นเราเป็นคนออกกฏหมายเอง ! ไม่ใช่พระมหากษัตริย์ออกกฎหมาย การตกลงมันเป็นเรื่องของพวกเราที่เลือกเป็นตัวแทนเราเข้าไป ออกกฎหมายมาบังคับให้เราทั้งหมดปฏิบัติเพื่อความอยู่เป็นสุข ถ้าเราปฏิบัติตามกฎหมายที่พวกเราออกกันเองนี่ซีจึงจะเป็นประชาธิปไตยแท้ แต่เวลานี้มีประชาธิปตายเสียเยอะ เอาซีอยากตายก็เชิญตายไปเถอะพ่อคุณ

    อธิบายกันต่อไปถึงรัชกาลที่ ๖ ราษฏร์ราชาโจรนั้น หมายถึงคนสมัยนั้นไม่เข้าใจ เห็นว่าพระองค์ทรงใช้เงินถล่มทลายมาก แต่ความจริงประโยชน์เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก พระองค์สามารถทำประเทศไทยให้ชาวโลกรู้จักในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ ส่งทหารไทยไปช่วยสงครามโลก นี่เป็นพระปรีชาสามารถของพระองค์ คือ ความประสงค์ก็มีอยู่อย่างเดียวคือความเป็นอยู่ ทรงอยู่ หาเพื่อนบ้านเข้าไว้

    ทีนี้ มา สมัยรัชกาลที่ ๗ นั่งทนทุกข์
    ……ตอนนี้เราก็เห็นกันแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเถลิงราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เวลานั้นเงินของประเทศชาติมันก็ร่อยหรอไม่พอแกการจ่าย เพราะว่าถ้าเราจะพลิกไปดูประวัติศาสตร์บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ประเทศไทยเวลานั้นจนก็จริงแหล่ แต่ทว่าเราจะดูประชากรในเอเชียด้วยกันแล้ว ประชากรในประเทศไทยดีกว่าประชากรทั้งหมดชาวเอเชีย ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าโลกทั้งโลกมันตกอยู่ในความยุคเข็ญทั้งหมด ไม่ใช่จะตกอยู่ในยุคเข็ญเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น

    ……เสียงสัญญาณนาฬิกาหมดเวลาปรากฏขึ้นแล้ว ตอนนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เรื่องนี้ก็ขอต่อตอนที่ ๘ ต่อไป

    บทที่ ๘

    ……ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้เป็นตอนที่ ๘ ก็ขอต่อเรื่องราวของรัชกาลที่ ๗

    รัชกาลที่ ๗ ท่านพยากรณ์ว่านั่งทนทุกข์
    ……จะเห็นว่าเมื่อพระองค์ทรงเถลิงราชสมบัติประเทศชาติตกอยู่ในความยุคเข็ญ และไม่ใช่เฉพาะแต่ประเทศไทย ทั่วโลกด้วยกัน ต้องดุลข้าราชการออกจากราชการเพราะไม่มีเงินเดือนจ่ายพอ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพื่อให้บรรดาประชาชนทั้งหลายจะได้มีเงินกินเงินใช้กัน แล้วอีกประการหนึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปตาย

    ที่อาตมากล่าวว่าเป็นประชาธิปตายก็เพราะว่า จนกระทั่งป่านนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๗๕ นี่ก็มา พ.ศ.๒๕๑๘ ใช้เวลามากี่ปีแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ประชาธิปไตยยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วการเปลี่ยนผลัดกันขึ้น “เถลิงราชย์” เอาคนมาประชุมกัน ก็ทำให้การเงินของเรานี่หมด หมดไป สิ้นเปลืองไปมากไม่ใช่น้อย ก็ต้องเพิ่มเบี้ยหวัดเงินเดือนขึ้นมาเยอะ เงินคงคลัง เงินมีในคลังที่จะใช้ก่อสร้างความเจริญให้ประเทศชาติมันก็ลดลงไป การเงินที่จะสะพัดในท้องตลาดมันก็ไม่ค่อยจะมี นี่การประชาธิปไตยแบบนี้มันก็แน่เหมือนกัน

    แต่ความจริง ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริง ๆ อาตมาก็ชอบเหมือนกัน เพราะว่าระบบของศาสนาเป็นประชาธิปไตย พระพุทธเจ้าทรงวางกฎแบบฉบับเข้าไว้ว่าทุกอย่างให้เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ตกลงกันเอง มีการประชุมกันมาตลอดกาล ทีนี้ เราจะหันไปดูการปกครองประเทศชาตินับแต่สมัยสุโขทัยลงมา แล้วในระบบกษัตริย์ เราก็จะเห็นว่าสมัยนั้นระบบประชาธิปไตยเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าอะไรทุกอย่างกษัตริย์จะคิดแต่ผู้เดียว

    เมื่อทรงตัดสินใจแล้ว จะใช้คำสั่งเด็ดขาดแต่พระองค์เดียวก็หาไม่ พระองค์ก็มีการประชุมมุขอำมาตย์เสนาข้าราชบริพารทั้งชั้นผู้ใหญ่และชั้นผู้น้อย จัดเป็นสภาขุนนางช่วยกันคิด ช่วยกันอ่าน แล้วใช้ความเห็นที่ตกลงกันว่าสมควร แล้วก็ทำลงไป ความจริงในนามก็เรียกว่าสมบูรณาญาสิทธิราช กษัตริย์มีอำนาจสมบูรณ์ครบถ้วน แต่ความจริงไม่ใช่ ความจริงเป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว แล้วก็สุโขทัยก็ปกครองแบบพ่อเมือง ไม่ใช่เจ้าเมือง พ่อเมืองนี่มีความเห็นแก่ลูก

    มาเวลานี้ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงเอาแบบฉบับของสุโขทัยมาใช้ ทรงมีพระราชจริยาวัตรแบบสุโขทัย ใช้ระบบเป็นกันเอง หรือถ้าเราจะเห็นว่าพระมหากษัตริย์ทรงคลุกคลีกับประชาชนอย่างชาวบ้าน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เวลานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชจริยาวัตรแบบนั้น เอ นี่คุยกันไปก็จะหาว่ายกย่องพระเจ้าแผ่นดินเกินไป

    อ้าว..ดีก็ต

    14695438_1234112526609629_5442064471969627426_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์

    โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    …………………………………
    จากหนังสือตายแล้วไปไหน เรื่องที่ ๕๔จากทั้งหมด ๑๗๙ เรื่อง
    ………………………………..
    ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพระกาล เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
    เรื่องที่ ๕๔
    “..อาตมาขึ้นไปที่เทวสภาเพื่อไปหาพระกาลตามที่พระยายมราชบอก ก็พอดีท่านพระกาลออกมาจากที่ประชุมตอนนี้ท่านไม่แต่งชุดสีน้ำเงินแก่ ท่านแต่งเป็นเทวดาสวยมาก เพชรแพรวพราวเป็นระยับเต็มองค์ทั้งหมด เสื้อผ้าทั้งหมดที่จะว่างจากเพชรไม่มี และมีแสงสว่างมาก การมีเพชรก็ต้องสังเกตว่า ถ้าธรรมดาๆ เพชรจะสว่างไม่มาก แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าเพชรจะสว่างมากขึ้น แต่ว่าท่านพระกาลท่านเป็นเพชรขนาดพระอนาคามี ก็มีความดีใจเพราะเห็นพระอริยเจ้า อาตมาจึงถามท่านว่า “เวลาท่านไปบอกว่าจะตาย ทำไมไม่ตายตามเวลา เทวดามีการโกหกด้วยหรือ” ท่านก็ตอบว่า “ผมไม่ได้โกหก ที่ผมไปบอกผมเห็นท่านไม่เกรงความตาย จะได้ตั้งใจให้มันแน่วแน่หลังจากบอกท่านแล้วท่านก็ปกติ ท่านก็ยอมรับว่าพร้อมแล้วเรื่องการตาย”

    ท่านบอก “ไม่ใช้คำว่าตายเขาใช้คำว่าไป ไปจากที่นี่ไปที่โน่น”ท่านบอกอีกว่า “ท่านไปนอนอยู่ที่นิพพานสบายใจผมก็เห็น ถึงเวลาตี ๓ ท่านลงมาผมก็เห็น” จึงถามว่า “เทวดาไม่หลับกันหรือ” ท่านก็บอกว่า “เมืองเทวดาก็ดี เมืองพรหมก็ดี เมืองนิพพานก็ดี ไม่มีกลางคืนกลางวัน เพราะไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ มันสว่างตลอดเวลา สามแดนนี่ไม่มีการเหน็ดเหนื่อยไม่ต้องทำงานทำการ มีงานทางใจอย่างเดียว นึกจะไปไหนมันก็ถึงที่นั้นนึกอยากจะได้อะไรมันก็ปรากฏ ใช้ใจอย่างเดียว เมืองที่ดีจริงๆ ก็คือเมืองนิพพาน มีความสุขตลอดกาลไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง”

    ท่านบอกอีกว่า “หน้าที่ของผมที่จะพึงรับทราบว่าใครจะเกิดหรือใครจะตายใครจะจนหรือใครจะรวย ใครตายแล้วไปอยู่ที่ไหนเป็นหน้าที่ของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัญชีที่ต้องการให้รู้จริงๆ คือบัญชีที่ท่านพระยายมราชเพราะบันทึกไว้ทั้งบุญและบาป แต่บัญชีของผมบันทึกไว้แต่เฉพาะบุญอย่างเดียว ใครจะขึ้นมาอยู่สวรรค์ชั้นไหนผมรู้หมด และก่อนที่เขาจะขึ้นมาผมก็รู้ และใครจะตายเมื่อไรผมก็รู้” ถามว่า “ท่านเป็นพระกาลเพราะอะไร”ท่านบอกว่า “ตามวิสัยของผม สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ผมก็เป็นนักบวชอย่างท่าน ผมบวชได้ไม่นานนักเพียงแค่ ๑๐ พรรษาผมก็ต้องตายในขณะเป็นพระ” ถามว่า “สมัยที่บวชได้อะไร” ท่านตอบว่า “สมัยที่บวชผมได้อภิญญาโดยเฉพาะความเป็นพระอริยเจ้าก็แค่พระสกิทาคามี เมื่อตายไปแล้วก็ปฏิบัติตนถึงพระอนาคามี และเวลาที่บวชอยู่ก็ดี เป็นฆราวาสก็ดีผมชอบรู้กาลเวลาของคนและของ เวลาไหนใครจะไปไหน เรียกว่าเป็นหมดดู ผมใช้ทิพย์จักขุญาณเป็นเครื่องดู รอบรู้ไปหมด ไอ้ตัวอยากรู้อยากเห็นอย่างนี้ เมื่อตายแล้วเขาเกณฑ์ให้เป็นพระกาลเพราะนิสัยเดิมชอบอย่างนั้น และผมเองก็ชอบรู้ทั้งหมด คนทั้งโลกผมรู้หมดแต่ไม่มีหน้าที่จะพูด”

    ถ้าบรรดามนุษย์มาคุยกับผมได้ จะสนุกมาก ผมชอบคุยแต่ทว่าไม่มีใครมาคุยกับผม คนที่เขาเป็นพิสูจน์เขาบอกว่า นรกสวรรค์พิสูจน์ไม่ได้ ผมฝากไปบอกเขาด้วยว่า ถ้าอยากพิสูจน์ได้อย่างอ่อนเอาอย่างเล็กๆ เบาๆ ให้ฝึกสองในวิชชาสามให้ได้ ก็จะเห็นรกได้ เห็นเปรตได้ เห็นอสุรกายก็ได้ เมืองมนุษย์อยู่ขอบเขตแค่ไหนก็เห็นได้ สวรรค์ก็เห็นได้ พรหมโลกก็เห็นได้ ถ้าจิตสะอาดเห็นพระนิพพานได้ นี่อย่างเด็กๆ เห็นได้แล้วแต่ไปไม่ได้ ถ้าอยากจะไปให้ได้ด้วยก็ต้องฝึกอภิญญาอย่างอ่อนแล้วก็อย่างแก่ อย่างผมนี่สมัยที่เป็นมนุษย์เวลาจะไปไหนผมลิ่วลอยไปทั้งตัวเลย ไม่ใช่ไปเฉพาะอทิสสมานกาย แต่การไปทั้งตัวอย่างเข้มแข็งมันไม่ดี เพราะมันเหนื่อยต้องไปสู้แดด สู้ฝน สู้ลม สู้แบบถอดจิตหรือถอดกายภายในไปไม่ได้ อันนี้ดีกว่ามากไม่มีใครเห็นและก็ไม่ต้องใช้นีลกสิณไปบังไม่ให้เขาเห็น อย่างนี้ก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว ไม่นั่งตักเขายังไม่รู้เลย เขานั่งคุยกันสองคน เราไปนั่งกลางเขายังไม่รู้เลย อย่างนี้ดีกว่า อย่างท่านมานี่ท่านก็มาแต่กายในไม่ใช้กายนอกมา กายนอกนอนแหงแก๋อยู่ที่กุฏิ นั่นดูสิ กายนอกมันบิดไปบิดมา ตะคริวกินเห็นไหม”ก็เลยบอกว่า “ปล่อยให้ตะคริวมันกินเข้าไป มันอยากจะกินเนื้อดิบๆ ก็กินเข้าไปเถอะตามใจมัน ฉันไม่สนใจมันหรอก ถ้ามันตายเมื่อไรฉันก็ไม่กลับเมื่อนั้น” ถามท่านว่า “ต่อไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไร” ท่านตอบว่า “ไทยยังคงเป็นไทยตลอดไปอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย เพราะคนไทยมีคนที่มีบุญมากปกครองอยู่” ถามว่า “ใคร”ท่านบอกว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ครองที่ไหนรุ่งเรืองที่นั่น”

    ท่านพระกาลได้บอกกับอาตมาว่า “เวลานี้ผมเป็นพระอนาคามี เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ผมไม่กลับไปเกิดอีกแล้ว ผมจะต่อนิพพานโดยตรง” ถามว่า “นานไหม” ท่านบอกว่า “ไม่นานหรอก ท่านตายแล้วไม่กี่วันผมก็ตามไป”

    14670726_1235026459851569_3262785210880698006_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พระนเรศวรมหาราช เกิดเป็นคนแล้ว
    จาก หนังสือ หลวงพ่อธุดงค์ของพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ) ฝึก อตีตังสญาณ ในป่าศรีประจันต์ ตอนที่ ๑

    …..ทุกคน ตื่นขึ้นเช้า เป็น นักบุญ หมดพอเทวดา บอกอย่างนั้น ก็ตกใจว่า นักรบ เป็น นักบุญ หมดถาม นักรบ เป็น นักบุญ อย่างไรท่านก็ตอบว่า นักรบทุกคน ตื่นขึ้นมาแล้วนึกถึง พระ อันดับแรก พระ ที่ห้อยอยู่ ที่คอความจริงนะ พระ จริง ๆ ไปรบ มากกว่า คนไปรบ คน 30 คน มี พระ เกิน 100 องค์ ที่ร่วมรบเป็นอันว่า นักรบทุกคน เวลาตื่นขึ้นเช้า ไม่อยากตายปลุกพระ อาราธนาบารมีพระ ให้ช่วยคำว่า พระที่ห้อยคอ นี่หมายถึง พระพุทธเจ้า และ ก็หมายถึง พระสงฆ์ ผู้ทำพระเขานึกถึง พระ ที่ห้อยคอแล้ว เขาก็ปลุก ด้วยคาถา ตามที่เขาเรียนมาเป็นการอาราธนาบารมี ขอความปลอดภัยของตัวเขาเป็น นักบุญ ทุกวันในเมื่อเขาเป็น นักบุญ อย่างนี้ ถ้าถูก ฆ่าตาย ในขณะที่จิตใจนึกถึง พระแทนที่ เขาจะไปนรก เขาไปสวรรค์ทันที เพราะ ใจนึกถึง พระ (เอาเข้านั่น) และ พระนเรศวรมหาราช ก็เช่นเดียวกัน พระองค์ ไม่ได้นึกถึง พระ เฉพาะป้องกัน พระองค์เอง นึกถึง พระ ให้ป้องกัน ทหาร ในกองทัพ ทั้งหมด นึกว่า ขอให้ชนะข้าศึก เพื่อให้คนไทยทั้งหมด มีความสุข เมตตาสูงมากฉะนั้น พระนเรศวรมหาราช ท่านจึงไม่ลงนรกเมื่อฟังไปแล้ว ก็คิดว่า เอ๊ะ…นี่เราได้ความรู้จากเทวดาเราคิดกันมานานแล้วว่า ถ้า นักรบ ต้องตกนรกนี่ ไม่ใช่เสียแล้ว เทวดาพูด เราต้องเชื่อถ้าใครจะไม่เชื่อ ก็เชิญไปซักเทวดาที่ศรีประจันต์ ก็แล้วกัน ข้าง ๆ กับดอนเจดีย์เลยถามไปนิดว่า ขอต่ออีกหน่อย ได้ไหม ท่านถามว่า ต่ออะไรอยากจะถามว่า พระนเรศวรมหาราช ทรงสวรรคตแล้ว ไปอยู่สวรรค์ชั้นไหนท่านตอบทันทีเลยว่า นักรบ ไปอยู่ชั้นจาตุมหาราช เป็นนายของพวกผมถามว่า เวลานี้ พระนเรศวรมหาราช อยู่ทิศไหนท่านบอกว่า เวลานี้ พระนเรศวรมหาราช อยู่ทิศตะวันออกของประเทศไทยคำว่า ตะวันออก นี่หมายถึง ประเทศไหนหรือแหล่งไหน ท่านบอก ไม่ใช่ เวลานี้ พระนเรศวรมหาราช เกิดเป็นคนแล้ว และอยู่ในประเทศ ด้านทิศตะวันออกของประเทศไทย จึงถามว่า ท่านบอกว่า พระนเรศวรมหาราช เป็นคนไทย หรือเป็นคนแขก หรือเป็นคนลาว หรือเป็นฝรั่ง ท่านบอกว่า เป็นคนไทย ที่เกิดในเมืองฝรั่ง และ ในกาลต่อไปข้างหน้า วาระเข้ามาถึง พระนเรศวรมหาราช จะเข้ามาครองประเทศไทย ในฐานะ เป็น พระมหากษัตริย์ บรรดาท่านพุทธบริษัท อ่านเรื่องนี้แล้ว ทิ้งไว้ก่อนนะ อย่าเชื่อนะ อย่าไปเชื่อถ้าจะเชื่อ ก็ถามท่านผู้รู้จริง ๆ อันนี้เป็นการฟังจาก ภุมเทวดา ถามว่า เป็นกษัตริย์ จะเป็น กษัตริย์นักรบ ไหม ท่านบอกว่า ขึ้นชื่อว่า พระนเรศวร เกิดชาติไหน รบชาตินั้น แต่การรบตอนหลัง พระนเรศวร จะไม่มีเวลาพักผ่อน ตั้งแต่เริ่มต้น เป็นกษัตริย์ ก็จะรบเรื่อยไป จนกระทั่งยันวันตายเลย บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คนไทยทั้งชาติ ไม่ต้องทำมาหากินกันละ ก็รบกัน อย่างเดียวภุมเทวดา ท่านบอกว่า ไม่ใช่คนไทยทั้งชาติ ตั้งหน้าตั้งตา ทำมาหากินแต่ พระนเรศวรมหาราช จะตั้งหน้าตั้งตารบถามว่า รบองค์เดียว หรือท่านบอกว่า มีคู่หูรบ ถามว่า รบกับอะไร รบกับใคร รบอย่างไร ท่านบอกว่า รบกับ ความยากจน ของ คนทั้งชาติ นั่นคือ พระนเรศวรมหาราช มีพระเมตตากรุณา กับคนไทยมามาก ในกาลก่อน ที่ต้องการรบ ก็เพราะว่า ต้องการให้ บรรดาประชาชน มีความสุข ถ้า พม่า รบกวนอย่างนั้น คนไทย จะมีความสุขไม่ได้ จะตั้งตัวไม่ได้ ก็มี ความจำเป็น ต้องรบ เสี่ยงชีวิต แม้ต้อง ปีนค่าย เอาปาก คาบดาบ เอามือ ยึดค่าย เท้าปีนค่าย ก็เอา ขึ้นไปฟัน กับข้าศึก ถ้าพลาดพลั้ง มันก็ ต้องตาย เสียสละ ชีวิตของพระองค์ เพื่อ คนไทยทั้งชาติ ขนาดนี้และ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็น นิสัยขึ้นชื่อว่า นิสัย นี่ละ ไม่ได้ดู พระสารีบุตร เคยเป็น ลิง เหมือนกัน นิสัยลิง ต้องโดดเมื่อถึงลำคลอง ลำราง พอจะข้ามได้ ก็ไม่ข้ามกระโดด จนกระทั่ง พระบวชใหม่ สงสัยองค์สมเด็จพระจอมไตร จึงบอกว่ากิเลส ละได้ แต่ นิสัย ละไม่ได้ ขนาดเป็น อัครสาวกทีนี้สำหรับ พระนเรศวรมหาราช เป็นนักรบ เป็นนิสัย เกิดชาติไหน ก็ต้อง รบชาตินั้นในเมื่อเกิดชาติตอนหลังขึ้นมา โอกาสที่จะรบอย่างนั้น มันไม่มีเพราะว่า มีแม่ทัพ มีนายกอง มีรัฐบาล ควบคุมงานการบริหารรัฐบาล ควบคุม พระมหากษัตริย์ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญก็ต้องวางแผน รบกับความยากจน ของบรรดาประชาชนชาวไทยถามท่านว่า อีกกี่ปี จะถึงวาระที่ พระนเรศวรมหาราช มาครองประเทศไทยท่านบอกว่า หากว่าท่านอยู่ไปไม่ตายไม่นานนัก ท่านก็มาครองประเทศไทยแน่
    ..เวลาที่ถาม เป็นสมัยของ รัชกาลที่ 8..

    14681627_1235036056517276_8626022630751631489_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ลาภลอย

    ผู้ถาม :- “เวลามีคนมาขอทานหน้าบ้าน เขามักจะขอโดยการร้องเพลงยาวๆ ฟังแล้วอดสงสารไม่ได้ค่ะ แต่บางทีก็รำคาญต้องรีบบอกให้หยุดร้อง ให้สตางค์แล้วก็ให้เขารีบไปเร็วๆ อย่างนี้จะเป็นไรไหมคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “ไม่เป็นไรหรอกหนู เมื่อสมัยบวชใหม่ๆ หลวงพ่อปานบอกว่า ถ้าจะให้ทานคนขอทาน อย่าให้เขาพูดมาก หมายความว่าพอมาถึงไม่ต้องยกมือไหว้พูดขอ ถ้าเขาจะขอก็บอกไม่ต้อง ฉันให้แล้ว ฉันเต็มใจให้แล้ว คือว่าเราจะให้ใคร อย่าให้เขาพูดมาก อย่าให้เสียเวลา ให้เร็วๆ ที่สุด ตั้งใจเป็นการสงเคราะห์จริงๆ แล้วผลมันให้ชาตินี้ ฉันทดสอบมาแล้ว เป็นความจริง
    ถ้าเกิดไปชาติหน้าจะได้ลาภสองแบบ หมายความบุญที่มีการเตรียมการ จะร่ำรวยจากการประกอบอาชีพ และที่ถือของไปตามทางเจอะที่ไหนให้ที่นั่น โดยไม่ตั้งใจไว้ก่อนจะได้ ลาภลอย คือ ถูกล็อตเตอรี่
    การให้ทานโดยไม่เตรียมการไว้ก่อน ใครมาก็ได้เราให้ได้ ถ้าทำอย่างนี้เสมอๆ คนมาขอทาน เราไม่ยอมให้พูดขอ รีบควักเลย แล้วมันจะมีผลในชาตินี้ คือ สิ่งที่เราขัดข้องคิดว่าจะไม่ได้มันจะโผล่ เราก็ให้เท่าที่เราจะให้ได้ เขาไม่บังคับเรานี่ พอทำไปไม่กี่ปีก็เริ่มให้ผล ของที่จะได้มามันมีการคล่องตัวมากขึ้น
    แต่ว่าเวลาให้ เราอย่าไปคิดถึงผลอันนี้นะ ต้องให้ด้วยการสงเคราะห์จริงๆ คือตัดไปเลย มันได้เท่าไรก็ช่าง ถ้าไปคิดว่าเราต้องการให้เพื่อต้องการผลตอบแทน ผลจะถูกตัด เพราะเป็นการให้ทานประกอบด้วยความโลภ

    ปัญหาเรื่องการบริจาคทาน โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    14947453_1247481828606032_3943755391972737043_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ทำสมาธิอย่างเดียว 100 ปีก็ไปไม่รอด หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม
    “…ผลการปฏิบัติจริง ๆ เขาไม่ได้มุ่งสมาธิ ต้องหวังตัด สังโยชน์ ถ้าจะบอกว่าวิปัสสนาญาณ ก็จะมากเกินไป ความจริงถ้ามุ่งตัดสังโยชน์ ก็ต้อง ดูอารมณ์ใจตัวตัด ไม่ใช่ดูสมาธิ…”
    ******************
    “ทำสมาธิไม่ได้ดี”
    ******************
    ผู้ถาม…
    หลวงพ่อขอรับ ผมทำสมาธิทุกวัน ๆ ละ หนึ่ง ชั่วโมง มาเป็นเวลา ๒๐ ปีแล้วครับ มันไม่ไปเหนือไปไม่ไปใต้เลย ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร หรือมีกรรมเวรประเภทไหมมาปิดบัง ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยแก้ไขหน่อยเถิดขอรับ?
    หลวงพ่อ…
    สมาธินี่ถ้าทำเฉย ๆ ก็ไม่ไปไหนนะ มันก็อยู่แค่ ฌาน ถึงฌานหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่ากลัวจะไม่ถึงฌาน น่ากลัว ตะเกียกตะกายอยู่ข้างฌาน มันขึ้นฌานไม่ไหว ไต่บันไดแกร๊ก ๆแต่ความจรงิถ้าเรื่องสมาธิจริง ๆ นะ ถ้าหากว่าได้จริง ๆ ก็อยู่แค่ฌาน ๔ ฌาน ๔ แล้วก็ไม่ไปไหนละ ก็ทรงตัวบ้าง เดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ไปข้างหน้า ๑ ก้าว ถอยหลัง ๕ ก้าว ทีนี้อันดับแรก ความโลภ อยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นมีในเราหรือเปล่า เบาลงไปไหม ประการที่ ๒ ความโกรธ เบาไหม ประการที่ ๓ ความหลง เบาลงไหม
    สิ่งที่มีความสำคัญคือ 1. ลืมความตายหรือเปล่า 2. เคารพพระไตรสรณคมน์จริงจังไหม 3. มีศีล ๕ บริสุทธิ์ไหม 4. หวังพระนิพพานจริงจังหรือเปล่า…?เขาดูตรงนี้นะ มุ่งเอาสมาธิกลุ้มใจตาย มันไม่มีการทรงตัว เวลาใดร่างกายดีไม่มีอารมณ์กลุ้ม สมาธิก็ทรงตัวใช่ไหม… ร่างกายอ่อนเพลียหน่อย สมาธิก็ทรุดตัว เอาแต่สมาธิไปไม่รอด
    ผู้ถาม…
    เมื่อภาวนาไปไม่ได้ อย่างนี้จะมีโอกาสบรรลุธรรมเบื้องสูงหรือเปล่าครับ?
    หลวงพ่อ…
    ทะลุธรรมแน่ จุดหมายปลายทางเขาคือสังโยชน์
    ผู้ถาม…
    ทีนี้ถ้าหากว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ไปนิพพานเมื่อนั้น พอจะไปได้ไหมครับ… หลวงพ่อ?
    หลวงพ่อ…
    พอเห็นทาง…แต่ไม่เข้าทาง
    ผู้ถาม…
    ๒๐ ปีแล้วนะครับ
    หลวงพ่อ…
    ๑๐๐ ปีก็ไม่ได้ ถ้าเข้าทางจริงต้องคิดว่า
    ๑.ชีวิตนี้จะต้องตาย ตัวสักกายทิฏฐินะ
    ๒.วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ๓.มีศีล ๕ บริสุทธิ์ และก็
    ๔.มีจิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน
    อันนี้ถึงจะได้ อันนี้ถึงจะเข้าทางหรือเข้าเขตเลย

    จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ

    14908191_1249295818424633_9208668917507185717_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เทวดาทั่วสากลพิภพรักษาคนเจริญกรรมฐาน
    ท่านสหัมบดีพรหมท่านเป็นอริยเจ้าขั้นอรหัตมรรค ท่านสหัมบดีพรหมท่านเป็นอรหัตมรรคโดยตำแหน่งนะ ตำแหน่งนี้ต้องเป็นพระอรหันต์แต่ยังไม่ถึงผล แต่ก็ไม่นานนักเป็นผลไปนิพพาน ท่านรองก็ขึ้นไปแต่ว่าท่านว่าอย่างนี้ คือว่าอีตอนที่เรานึกถึงเทวดาที่รักษาข้าพเจ้าก็ดีนะ เทพเจ้าทั่วสากลพิภพก็ดี ท่านสหัมบดีพรหมท่านบอกว่า เทวดาทั่วสากลพิภพเขารักษาคนเจริญกรรมฐานทุกคน ไม่มีการแยก หมายความว่า เทวดาประจำที่เป็นญาติเรา ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นปู่ เป็นย่า เป็นตา เป็นยาย เป็นสามีภรรยา ลูกเต้ากันมาก่อนนะ ท่านเป็นเทวดาท่านเป็นพรหมท่านจำเราได้ นี่ท่านรักษาอยู่แล้ว ทุกคนนะมีแล้วนะ ประจำอยู่แล้ว ทีนี้เทวดาทั่วไปอื่นๆท่านบอก ถ้าเจริญกรรมฐานอย่างนี้ทั้งสากลพิภพรักษาหมด ช่วยกันหมด ที่มันเป็นไปได้บางอย่าง เพราะว่ากฎของกรรมมันแรง แต่ทำให้เบาหน่อยได้ แค่นั้นนะ ถ้ากฎของกรรมแรงไป ท่านปะทะไม่อยู่ เอาบรรเทาได้นะ เมื่อกี้เห็นแพรวเต็มระยับ ท่านบอกทั้งหมดนี่ละครับ เขารักษาทั้งนั้นแหละ

    “หลวงพ่อน่าจะบอกตั้งนานแล้ว จะได้เกิดกำลังใจ”

    ฉันเพิ่งรู้วันนี้ โอเพิ่งรู้เมื่อกี้นี้เหมือนกันนะ คำอุทิศส่วนกุศลนำไปพอถึงเทวดา เราก็นึกถึงเทวดาใช่ไหม ฉันก็นึกว่าเทวดาที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า เทวดาทั่วไปสากลพิภพนะ พอนึกถึงตรงนี้ท่านสหัมบดีพรหมท่านบอกว่า คุณ ดูซิ เทวดาทั้งหมดเขายกมือโมทนาทั้งหมด ทั้งหมดทั้งทั่วสากลพิภพทั้งหมด แหมเยอะจริงๆ เต็มจักรวาลนะ บอกนี่บอกคนที่เจริญกรรมฐานทุกคนทุกองค์รักษา คือไม่เฉพาะเทวดารักษาตัวเป็นญาติหรอกนะ

    จาก : ธัมมวิโมกข์ มิถุนายน 2533 หน้า 132
    หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    14947639_1252912094729672_5548305328401860062_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ถูกผีอำ! จะแก้ไขอย่างไร โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
    ผู้ถาม
    แล้วก็มีอีกครับ…คนนี้จับอานาปาเป็นประจำ แต่ปรากฏว่าพอเคลิ้ม ๆ ก็ถูกผีอำเป็นประจำไปเมืองนอกก็อำ กลับมาเมืองไทยก็อำ ภาวนา พุทโธ ก็อำ ภาวนา นะมะพะธะ ก็อำ อำอย่างนี้จะกราบเรียนหลวงพ่อว่า เป็นเพราะเหตุใดครับ.?

    หลวงพ่อ
    เป็นเพราะผีชอบอำ!

    ผู้ถาม
    ?…?…?

    หลวงพ่อ
    อาการที่ผีอำทำยังไง ยังไม่ได้เล่าให้ฟังเลย.?

    ผู้ถาม
    เขาบอกว่ากระดุกกระดิกไม่ได้เลยครับ มันอื้ออ้า ๆ

    หลวงพ่อ
    ผีทับหรือเปล่า…ถ้าผีทับหรือเหยียบ หรือผีปล้ำ อันนี้เป็นลักษณะผีอำ ถ้ามันอึดอัดเหมือนกับขยับตัวไม่ไหว อันนี้ไม่ใช่ผีอำ เป็นเพราะขณะเริ่มต้นภาวนาลมหายใจหยาบไป ถ้าอาการอย่างนี้ ก็ต้องแก้ด้วยวิธีนี้ พอจะเริ่มภาวนาก็หายใจยาว ๆ หายใจแรง ๆ อย่างทหารสัก ๕-๖ ครั้ง จะคลายลมหยาบทิ้งแล้วจะไม่เป็น ที่ฉันว่าไม่ได้อำ เป็นลักษณะของลมหายใจมากกว่า

    ผู้ถาม
    แล้วเขายังเล่าต่ออีกครับ เขาบอกว่ามีอยู่คราวหนึ่ง ทำสมาธิเห็นหัวกระโหลกตัวเองเป็นสีทอง…

    หลวงพ่อ
    ดีมาก ๆ

    ผู้ถาม
    เป็นยังไงถึงดีครับ.?

    หลวงพ่อ
    ทองกำลังมีราคา!

    ผู้ถาม
    อ๋อ…แต่ตอนนี้ได้ข่าวว่าจะลงเสียอีกแล้วซิ…แล้วเขาบอกว่า พอเห็นกระโหลกตัวเองเป็นสีทองนึกว่าจะพ้นเวรพ้นกรรม แต่แหม…มันก็อำอีกน่ะแหละ ถ้าเหตุการณ์แบบนี้บ่อย ๆ ผมจะไปนิพพานได้ไหมครับ.?

    หลวงพ่อ
    ได้แน่…ถ้ามี อิทธิบาท ๔ ฉันทะ มีความพอใจในการตัดกิเลสวิริยะ มีความพากเพียรต่อสู้อุปสรรค อุปสรรคตัวนี้ต้องต่อสู้มัน ถ้าเวลามันเข้ามาทำยุ่ง จิตตั้งไว้เลย
    “เอ้า! เชิญถ้าต้องการทำลายกายทำลายไป กูจะไปนิพพาน”
    ถ้าตั้งอารมณ์แบบนี้จริง ๆ นะ ครั้งสองครั้งมันก็เลิกแล้วนี่ฉันสงสัยว่าคนนี้สมาธิดีมาก การที่สมาธิดีหรือจิตจะก้าวขึ้นสู่เบื้องสูงนั้น จิตจะพบกับอุปสรรคแบบนี้ แต่ว่า
    อุปสรรคจะไม่ซ้ำกันแล้วก็มาสงสัยอยู่อย่าง สงสัยว่าคนนี้จะเป็นพวกปรารถนาพุทธภูมิ มาก่อน ถ้าไม่ใช่พุทธภูมิอุปสรรคประเภทนี้ไม่มี พวกสาวกภูมิเขาไม่ค่อยเจอะ ถ้าพวกพุทธภูมิกว่าจะไปแต่ละขั้น ฟัดกันเอาการเลย

    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 7

    15107396_1266634050024143_3656377558427763037_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน เรื่องของยักษ์
    …. หลวงพ่อ : อสูรเป็นเทวดาพวกหนึ่ง อสูรเขาแปลว่าไม่กล้า…..
    …..ยักษ์เขาแปลว่า “ บุคคลที่ควรบูชา “ ถ้าแปลอีกคำหนึ่งให้ตรงศัพท์เขาแปลว่า “เทวดา” แต่เราไปตีความหมายเขาผิด ถ้ายักษ์ละก็รูปร่างน่ากลัว แต่ไอ้ยักษ์ที่น่ากลัวมียักษ์เดียวคือ ….” ยักยอก “… ยักนี้มันไม่มีเขี้ยว มีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เผลอเมื่อไรเป็นเอาหมดเลย….
    คนที่จะเป็นอสูรได้เพราะทำบุญผสมโทสะ หมายความว่าเวลาทำบุญมีคนมาพูดนิดๆ หน่อยๆ มันเกิดโมโห พอจะรับศีลก็มีคนมาสะกิดแขนอีกแล้ว ก็โมโห ฉะนั้นหน้าก็ยุ่งไปนิด หน้าเขาสวยน้อยกว่าเทวดานิดเดียว และเขาก็มีวิมานเหมือนกัน
    และอีกประการหนึ่งคำว่า “กามาวจร “ ซึ่งแปลว่า “อารมณ์ที่เที่ยวไปในความใคร่ “ คำว่าใคร่ตัวนี้ อย่านึกว่าเทวดาเขาใคร่เหมือนคนนะ ถ้าเทวดามีความใคร่เท่าคนเขาไม่เรียกเทวดา เขาเรียกว่า…คนเทว…. แปลว่า …ประเสริฐ…
    ทีนี้ความใคร่ของผู้ประเสริฐนั้นหมายความถึงมีความเนื่องถึงกัน โดยมีความรู้สึกว่า คนนี้เป็นสามี คนนั้นเป็นภรรยา คนนี้เป็นลูก คนนั้นเป็นบริวาร ก็มีเท่านั้น ยังมีความห่วงใยกันอยู่ในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์กันมา ก็ยังมีความกังวลเรื่องความประพฤติว่าเขาจะทำดีหรือทำชั่ว จะพลัดลงไปในอบายภูมิหรือเปล่า ฉะนั้นเทวดาพวกที่มีผัวเมียก็เหมือนกับคนที่รักษาอุโบสถ คนที่เขารักษาอุโบสถเขาก็เว้นจากกามารมณ์เหมือนกัน เทวดาจึงไม่มีการเสพกาม
    การเกิดของเทวดาถ้าจะเกิดเป็นลูก พอตายจากมนุษย์ปั๊บก็ไปเกิดบนตักของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ถ้าเป็นผู้ชายเขาเรียกเทพบุตร ถ้าเป็นผู้หญิงเรียก เทพธิดา เป็นหนุ่มมสาวเท่านั้นจนกว่าจะจุติ
    ถ้าหากว่าไปเกิดในที่นอนของใครหมายถึงว่าเป็นคู่ครองขององค์นั้น บรรดาบริวารทั้งหลายเป็นพันเป็นหมื่นไม่มีการเลื่อนฐานะ ไม่มีการยกอันดับเหมือนเมืองมนุษย์นะ
    ถ้าหากว่าเกิดเป็นบริวาร ถ้าเกิดในวิมานของใครตั้งแต่รั้ววิมานเข้าไป ก็เป็นขององค์นั้น แต่ถ้าเกิดกึ่งกลางจากวิมานไหนก็ตามสี่หลังวัดไปเท่ากัน แต่ว่าหันหน้าไปวิมานไหน ก็เป็นบริวารของวิมานนั้น ของเทวดาองค์นั้น
    ทีนี้ความรู้สึกของพรหม ซึ่งแปลว่า ผู้ประเสริฐที่ไม่เรียกว่า….กามาวจร…ก็เพราะว่าความใคร่ไม่มี เพราะพรหมอยู่ผู้เดียว ขึ้นชื่อว่าสามี ภรรยา บุตรธิดาไม่มี คำว่าบริวารนั้นหมายถึงพวกพ้อง ต่างคนต่างอยู่วิมานคนละหลัง ฉะนั้นอารมณ์เนื่องกันถึงกันในฐานะต่างๆ จึงไม่มีในพรหม พรหมเขาอยู่ด้วยอำนาจของธรรมปีติ ดังนั้นพวกพรหมจึงมีอารมณ์สงบกว่าเทวดา ไม่มีกังวลอย่างเทวดา จิตเขาเลยเบากว่าเทวดา….

    อ้างอิง : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ( ฉบับพิเศษ ๓ ) โดยหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร หน้า ๓๖-๒๘

    15230673_1274887105865504_9185390462891736998_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    “อานุภาพของทรัพยากรทั้งหลาย จะปรากฎขึ้นในตอนกลางสมัยรัชกาลที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยนั้นจะปรากฎว่า ประเทศจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อมมูลบริบูรณ์ จะกลายเป็นประเทศมหาเศรษฐีเขตหนึ่ง อย่าว่าแต่เฉพาะในเอเซียเลย แม้แต่ยุโรปก็ต้องเอาใจ”

    ทั้งนี้เพราะอะไร “เพราะว่าอำนาจบุญบารมีของกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ คือกษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เป็นผู้มีบุญบารมีใหญ่ ปูพื้นฐานเอาไว้ แล้วก็พระโอรสาธิราชที่จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ก็เป็นพระราชาที่มีบุญบารมีใหญ่ ที่คนทั้งหลายคิดว่า จะทำลายประเทศไทยให้เป็นคอมมิวนิสต์ มีจิตหยาบปรารถนาจะให้คนไทยทั้งชาติที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาเป็นทาสของบุคคลกลุ่มเดียว ไม่มีความหมาย เพราะความหวังตั้งใจของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ เขาจะพาตัวเขาพินาศไปเอง เพราะอำนาจบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีสมรรถภาพเป็นพิเศษ”

    คัดลอกจากหนังสือฤาษีทัศนาจร เล่มที่ 1

    15193574_1276865105667704_7526091767905668928_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมเรื่องทำบุญถวายสังฆทาน
    ในวันเช็งเม้งและถวายสังฆทานในวันตรุษจีน
    ผู้ถาม ” หลวงพ่อเจ้าขา วันเช็งเม้ง เขาไปไหว้พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายกันที่ฮวงซุ้ย แต่ลูกคิดว่าการเดินทางไปกลับใช้เวลามาก เลยเปลี่ยนมาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อที่ตายไปแล้ว อย่างนี้จะมีผลดีกว่าไปไหว้คุณพ่อที่ฮวงซุ้ยหรือเปล่าเจ้าคะ..?”
    หลวงพ่อ ” อย่างนี้หลวงพ่อชอบ!..”
    ผู้ถาม ” หลวงพ่อเข้าใจตอบ ”
    หลวงพ่อ ” ใช่…ตรงไปตรงมา สัจจวาจา ใช่ไหม…คือเป็นอย่างนี้นะ ว่ากันตามเรื่องจริง ๆ นะ ถ้าเราไปไหว้ที่ฮวงซุ้ย เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ใช่ไหม ถ้าเราทำบุญที่นี่ อุทิศให้ท่านก็เป็นการกตัญญูเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเราไปไหว้ที่ศพ เอาของไปไหว้ที่นั่น ผลมันไม่ได้ที่สวรรค์ได้แต่ความกตัญญูกตเวที เราได้แน่แต่ผีไม่แน่ว่าจะได้อะไร ถ้าถวายสังฆทานเราก็ได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ใหญ่ที่เราคิดให้ก็ได้ด้วย ได้ผล ๒ ประการ..”
    ผู้ถาม ” กราบเท้าที่เคารพหลวงพ่ออย่างสูง ตรุษจีนปีนี้ลูกเป็นคนอกตัญญูเสียแล้วเจ้าค่ะ คือตรุษจีนทุกปี ลูกจะต้องซื้อหมู เห็ด เป็ด ไก่ ไหว้ศาลเจ้าด้วย มาปีนี้ขออกตัญญูสักครั้งหนึ่ง เปลี่ยนมาถวายสังฆทานแทน แล้วเชิญเจ้าที่ เชิญศาลเจ้าต่าง ๆ มาโมทนา ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีด้วยหรือว่าโมโห เพราะไม่ได้กินเป็ดไก่เจ้าคะ..?”
    หลวงพ่อ ” เดี๋ยวฉันขอพูดต่อจากลุงนะ (ลุงพุฒิ) ลุงท่านบอกว่าอย่างนี้เขาเรียกมหากตัญญู กตัญญูอย่างใหญ่ คือให้บุญไงล่ะ เทวดาทั้งหมดเขาต้องการบุญ ไอ้หมู เห็ด เป็ด ไก่ เขาไม่ได้กิน แต่ว่าที่ทำไปแล้วก็ไม่ผิด เพราะเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ แต่ว่าที่ทำโดยถวายสังฆทานตัวเองก็มีอานิสงส์มาก ชาติหน้าจะรวย และคนที่ตายไปแล้วเทวดาหรือเจ้า เขาโมทนาเข้า ทิพยสมบัติก็ดีขึ้น สูงขึ้น ต่างคนต่างดี ”
    จาก…หนังสือ หลวงตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๗

    15442194_1287768581244023_7576989103465036147_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ชอบโมโห
    ผู้ถาม : อะไรนิดก็โมโห อะไรหน่อยก็โมโห จะแก้ได้อย่างไรครับ
    หลวงพ่อ : ง่ายมาก ก็แก้ด้วยความไม่โมโห
    ผู้ถาม : แหม…กำปั้นทุบดินเลย
    หลวงพ่อ : อ้าว ! ก็ถ้าทุบอย่างอื่นมันผิดนะ ถ้าทุบดินมันถูกน จะให้คาถา บทหนึ่งเพื่อไปนิพพานเร็วๆ คลายโมโหได้ ค่อยๆ ว่าไปเรื่อยๆ “ ช่างมัน ๆ ๆ ”ใครด่าก็ช่างมัน ใครนินทาก็ช่างมัน ค่อยๆ ช่างไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็จะชิน อารมณ์ช่างมันนี่ถ้าด้านโลกีย์เขาเรียกว่า “อุเบกขา”ถ้าด้านวิปัสสนาญาณเขาเรียกว่า “สังขารุเปกขาญาณ”
    ที่มา : หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 359 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2554 หน้าที่ 95

    15541401_1300595963294618_5044005614969471516_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    การทำบุญและมาร

    ในเมื่อเราทำบุญมากขึ้น ทำจิตสะอาดมากขึ้นเพียงใด มันแกล้งมากเพียงนั้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราจะพ้นอำนาจของมาร การป่วยหรือสิ่งต่าง ๆ ๕ ประการ ท่านเรียกมาร มาร แปลว่า ผู้ฆ่า มันพยายามจะห้ำหั่นเข่นฆ่าเรา ต้องการให้เราตายเสียก่อน ก่อนที่จะได้รับผลของบุญ
    ที่นี้ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ที่เคยมาต่อว่าหลวงพ่อฉันก็ทำบุญทุกอย่าง พบทีไรก็ทำบุญทุกที แต่ทำไมฉันจึงป่วย ก็นึกในใจว่าโยมเอ๊ย เวลานี้อาตมานั่งก็ป่วยก็เหมือนกัน ดีไม่ดีหน้าก็บวมฉึ่งเห็นชัด เท้าก็บวม เวลาจะขึ้นไปรับแขกก็มีคนประคอง ประคองขึ้นประคองลง แต่โยมก็ถามสบายดีหรือหลวงพ่อ ก็ลองคิดดู ไอ้คนขนาดต้องประคองเดินกระย่องกระแย่ง ถามว่าสบายดีหรือ หรือไม่นึกว่าพระจะป่วยเป็น พระก็คือลูกชาวบ้าน ก็เป็นคนธรรมดา แต่อาศัยใจนี่เป็นพระเท่านั้น ร่างกายนี่เป็นคนอย่างไร ๆ ก็เป็นลูกมีพ่อมีแม่เหมือนกัน

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๑๖๓
    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    15622398_1307303229290558_8147120030230818309_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อนาคตของประเทศชาติ
    บรรยายโดย..พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    เมื่อวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘
    มัชฌิมา : ผู้คัดลอก
    (อ้างอิงจาก “หนังสือธัมมวิโมกข์” ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๓๒๐
    ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐ หน้า ๔๓-๕๒ “ธรรมกถา”)

    *****************ตอน 1******************

    คำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์
    ในประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏโดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า“กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แจ่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรีอยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่”และเหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง

    ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๑๐ รัชกาล
    ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้
    รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
    รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
    รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
    รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
    รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
    รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
    รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
    รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
    รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
    รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล

    ความแม่นยำของคำทำนาย
    เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาลก็จะเห็นได้ชัดว่า คำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด
    รัชกาลที่ ๑. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ
    รัชกาลที่ ๒. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยรวบรวมกันเป็นการใหญ่
    รัชกาลที่ ๓. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้
    รัชกาลที่ ๔. ท่านสนิทธรรม ก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน
    รัชกาลที่ ๕. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค์ทรงยอมเสียแขนขาดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้
    รัชกาลที่ ๖. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ไว้ว่า “ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย” ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างให้บุคคลอื่นเห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพารยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ ๑. จึงจำเป็นต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก
    รัชกาลที่ ๗. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อน พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ต้องจำพระทัยสละราชสมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์
    รัชกาลที่ ๘. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้นแสนสาหัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต
    รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น
    สำหรับรัชกาลต่อไป คือ รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย

    15965865_1339708536050027_5376828765701057692_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อนาคตของประเทศชาติ
    บรรยายโดย..พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    เมื่อวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘
    มัชฌิมา : ผู้คัดลอก
    (อ้างอิงจาก “หนังสือธัมมวิโมกข์” ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๓๒๐
    ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐ หน้า ๔๓-๕๒ “ธรรมกถา”)

    ********************ตอน 2****************************

    ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้นรึ?

    ปัญหาที่น่าคิดต่อไปก็คือว่า ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น? กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?
    เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก”

    16105642_1339709502716597_2358759983476409150_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อนาคตของประเทศชาติ
    บรรยายโดย..พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    เมื่อวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘
    มัชฌิมา : ผู้คัดลอก
    (อ้างอิงจาก “หนังสือธัมมวิโมกข์” ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๓๒๐
    ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐ หน้า ๔๓-๕๒ “ธรรมกถา”)

    ********************ตอน 3****************************

    พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก

    ประการที่ ๒. ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจักไม่ตกเป็นทาสของใครๆ นั้นคือ พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนายนี้ก็มีปรากฏในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อความปรากฏโดยสังเขปดังนี้“อานันทะ..ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมากแต่ว่า..อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาลหลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาดสมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกันแต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”

    ความแม่นยำของพุทธทำนาย
    จากพระพุทธเจ้าทำนายนี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิดต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบกระเทือนมาจนกระทั่งบัดนี้

    มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง
    ตามพระพุทธทำนายนั้นได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยบ้างแต่ไม่มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทยนี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และเป็นประเทศสุดท้ายที่พระพุทธศาสนายังเหลืออยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้ ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป

    พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์
    ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่าพระเจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่งพระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน

    16002943_1339709932716554_7888606684127062726_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...