แม่ทัพธรรม ๓ แผ่นดิน แด่หลวงพ่อปัญญานันทะ พระธรรมกถึก พุทธสาวกแท้.......

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย chingchamp, 3 ตุลาคม 2008.

  1. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    แม่ทัพธรรม ๓ แผ่นดิน แด่หลวงพ่อปัญญานันทะ พระธรรมกถึก พุทธสาวกแท้.......
    <hr style="" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> <center>[​IMG]</center>
    แด่หลวงพ่อปัญญานันทะ พระธรรมกถึก พุทธสาวกแท้.......

    การละสังขารของหลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ เมื่อวันที่ ๑๐ เดือนตุลาคม ๒๕๕๐ เวลา ๙.๐๙ น. ที่ตึกอัษฎางค์ โรงพยาบาลศิริราช ถือเป็นความสูญเสียแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรมของชาวพุทธ

    แม้ว่าการละสังขารของท่านจะเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) แต่ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำทางสัจจะ จิต มโน วิญญาณ และเป็นผู้นำทางปัญญาของสาธุชนชาวพุทธตลอดมากระทั่งนาทีสุดท้ายของท่านนั้น ทำให้ปุถุชนเยี่ยงเรา ๆ อดหวั่นไหว โศกเศร้า สะท้อนสะเทือนใจต่อการมรณภาพของท่านหาได้ไม่

    เพื่อน้อมจิตระลึกถึงความเมตตาของท่านหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ พุทธสาวกแท้ที่ท่านได้เสียสละ อุทิศตน เจริญรอยตามพระพุทธเจ้า เผยแผ่ธรรมะแห่งปัญญาเพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย จึงขอนำนโยบายประกาศธรรมของท่านมาแสดงไว้ ณ ที่นี้.....


    ท่านมีนโยบายประกาศธรรมดังนี้

    "ข้าพเจ้าแจ้งให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้ารักและบูชาพระพุทธธรรมมาก เพราะซาบซึ้งในรสของสัจธรรมเป็นอย่างดีว่า พระธรรมให้ผลแก่ชีวิตของข้าพเจ้าอย่างไร จึงขอพูดถึงนโยบายในการประกาศธรรมว่า ข้าพเจ้ามีความมุ่งหมายในการทำงานนี้เพื่ออะไร ท่านจักไม่ต้องสงสัยกันต่อไปอีกว่า ข้าพเจ้าเป็นพระประเภทใด ข้าพเจ้ามีนโยบายแน่วแน่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้เหตุการณ์บ้านเมืองจะผันผวนไปอย่างไร ใครจะมาครองเมืองอย่างไรก็ตามที ข้าพเจ้าจะทำตามนโยบายของข้าพเจ้าเสมอไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนใจของข้าพเจ้าจาก ความเชื่อและการกระทำตามพุทธธรรมที่พระบรมศาสดาได้แสดงไว้ ความประสงค์ของพระพุทธองค์ ผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบกายถวายชีวิตเป็นธรรมพลีแล้ว ความมุ่งหมายของข้าพเจ้าจึงอยู่ในกฎเกณฑ์ ๒ ประการคือ

    ๑. เพื่อประกาศความจริงที่พระองค์ทรงประกาศไว้

    ๒. เพื่อทำลายความเห็นผิด และการกระทำที่ผิดๆ ในหมู่พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายให้หมดไป

    สำหรับการประกาศความจริงของพระพุทธองค์นั้น นับว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก หมู่บรรพชิตเรามีอยู่มิใช่น้อยที่ถูกลาภสักการะชักจูงไป จนกระทำกิจที่ไม่ควรจะกระทำเพื่อเห็นแก่เงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นการน่าละอายที่สานุศิษย์พระบรมศาสดามีใจทรยศต่อสัจธรรม

    บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจักเป็นผู้ซื่อสัตย์กล้าพูดความจริงตามที่พระองค์ ได้ทรงกระทำมาแล้ว คนทั้งหลายจักได้มีความเข้าใจความจริงกันบ้าง อย่ามัวเกรงใจคนที่กระทำผิดกันต่อไปอีกเลย เพราะการกระทำความผิดนั้นเป็นการทำลายพุทธธรรม

    ส่วนความเข้าใจผิดในหลักพุทธศาสนารวมทั้งการกระทำที่หลงงมงายในหมู่ชาวพุทธ เราก็มีมากมาย และดูจะมากยิ่งขึ้นในสมัยนี้เพราะภิกษุเป็นตัวการ หากเราไม่ร่วมกันแก้ไข ความงมงายก็จะมีมากขึ้นๆ เหมือนกับโรคเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นแก่คน หากรีบจัดการผ่าตัดรักษาเสียโดยเร็วก็มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าปล่อยไว้เนื้อร้ายก็จะกำเริบมากขึ้นจนผู้นั้นถึงแก่ความตายได้

    บรรดาความเห็นผิดและการกระทำที่ผิดๆ นอกลู่นอกทางจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าปล่อยไว้ก็จะพอกพูนมากขึ้นจนทำให้พระพุทธศาสนาที่เรารักและหวงแหนอาจถึง สภาพหมดไปก็ได้ เพราะความไม่กล้าพูดความจริงนั่นเอง

    ข้าพเจ้ามองเห็นความเสื่อมของพระพุทธศาสนา จึงตั้งใจว่าจะชำระสะสางเท่าที่ความรู้ความสามารถของข้าพเจ้าจักอำนวยให้ แต่การพูดความจริงนั้นย่อมจะต้องมีการกระทบกระทั่งบางคนอยู่บ้างเป็นธรรมดา เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ นอกจากจะขออภัยโดยสุภาพต่อท่านผู้เขลาเบาปัญญาเหล่านั้นแล้วพูดกันไปตาม หน้าที่ของผู้พูดสัจธรรม

    คนที่มีความเห็นผิดและยึดความเห็นผิดนั้นมานานแล้ว ครั้นได้ยินใครมาพูดถึงสิ่งนั้นว่าไม่ดีเขาก็โกรธเคืองจองเวรคิดแก้แค้นขึ้น ก็ได้ ข้อนี้แหละที่ทำให้ใครทั้งหลายเกิดความกลัวจนไม่มีใครกล้าพูดความจริง พวกมิจฉาชีพจึงมีมากขึ้นแม้ในหมู่สงฆ์

    ข้าพเจ้ามีความรักและปรารถนาดีต่อพี่น้องทั้งหลาย ใครจะเห็นท่านเข้าใจถูก ทำถูก ตามหลักที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสไว้ จึงได้พูดกับท่านทั้งหลายอย่างตรงไปตรงมา หวังว่าท่านคงได้รับฟังได้ด้วยดีและนำไปคิดโดยแยบคาย เพื่อจะได้มองเห็นความแตกต่างระหว่าง “ของแท้กับของเทียม” ต่อไป

    อันคนฉลาดมีปัญญามีเหตุผลนั้น เขาย่อมทิ้งของปลอม แล้วถือของจริงไว้เสมอ เพราะของปลอมทำให้หลงผิด ของแท้เท่านั้นจะทำให้เข้าใจถูกและมีความสงบสุข

    ข้าพเจ้าขอยกเอาพระพุทธภาษิตมาอ้างสักบทหนึ่ง ท่านว่าไว้ดังนี้ "บุคคลผู้มีความเข้าใจในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ เห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระมีความเข้าใจผิดเป็นแนวทาง ย่อมไม่เข้าถึงธรรมได้เลย แต่ผู้ใดรู้สิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ รู้สิ่งไม่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง เขาย่อมถึงธรรม" (๙๐ ปี ปัญญานันทะ หน้า ๑๔)

    ตัวอย่างคำสอนของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ พุทธสาวกแท้ของแผ่นดิน

    "ขอให้ธรรมะจงล้างความสกปรกคือความเห็นผิดและการกระทำผิดๆ ของชาวพุทธให้หายไป จงพ้นจากความเขลา ความหลง จงหันมานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยประการเดียว การสั่นเซียมซี รดน้ำมนต์ เสี่ยงทาย ด้วยวิธีการต่างๆ จงหายไปจากแผ่นดินไทย

    ขอให้อาจารย์เสกพระเครื่องทั้งหลาย จงได้เสกคนให้เป็นคนดีที่มีพระในใจ มิใช่มีพระห้อยคอแต่เมาเช้าถึงเย็น ขอให้พวกมิจฉาชีพทั้งหลาย จงกลับกลายเป็นคนดี มีความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม นี่เป็นพรของข้าพเจ้า มอบให้แก่ท่านทั้งหลายตามทัศนะของพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งโสโครกสกปรกใดๆ เจือปน ขอให้ท่านทั้งหลายจงรับพรนี้ไปปฏิบัติตามทางของพระพุทธองค์เถิด"

    หลวงพ่อฯ สอนไม่ให้งมงาย "ยกตัวอย่างว่าคนถือพระภูมิ เวลาตกอกตกใจ ต้องไปไหว้ทุกที ทีนี้ก็ไปไหว้อยู่บ่อยๆ แล้วทำอะไรมันได้ผล พอได้ผลขึ้นก็ดูหมิ่นตัวเองด้วยซ้ำไป ไม่เอาความสามารถตัวเองมาใช้ กลับไปบอกว่านี่แหละ เพราะพระภูมิช่วยจึงได้สำเร็จ คราวนี้นี่แหละเขาเรียกว่า ดูหมิ่นตัวเองอย่างเหลือเกิน ตัวเองนี่เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐสุดมีจิตมีปัญญากลับไม่ยกย่อง ไปยกย่องศาลเล็กๆ ข้างบ้านดีกว่าตัวไปเสียแล้ว..."

    ผู้นำปฏิวัติการเทศน์

    เวลาอาตมาเทศน์ปาฐกถานี้ ทำไมจึงใช้ปาฐกถา ทำไมไม่เทศน์แบบเก่า ขอบอกตรงๆ ว่าเบื่อเต็มทีในการเทศน์แบบเก่า เทศน์คู่ ถามกันไปถามกันมา เล่นสำนวน อวดสำนวนกัน เสร็จแล้วโยมไม่ได้อะไร ว่าโยกไปโยกมา องค์นั้นว่าแดง องค์นั้นว่าดำ โยมเลยไม่รู้เลยว่าดำหรือแดงกันแน่ เคยเทศน์มาแล้ว เห็นว่ามันไม่ได้ประโยชน์... เราควรจะเทศน์ในรูปใหม่ เลยคิดว่าปาฐกถาดีกว่า ขึ้นไปเชียงใหม่จึงได้เริ่มแสดงปาฐกถาในรูปใหม่ พูดให้ฟังง่ายๆ ตรงไปตรงมา อันใดผิดก็บอกว่าผิด อันใดถูกก็บอกว่าถูก อันใดควรแก้ไขก็ควรแก้ไข ไม่ต้องเกรงใจใคร แม้ประเพณีที่เคยทำมาที่เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรก็บอกให้เลิก..

    ความเฉลียวฉลาดในการรักษาพระศาสนา

    ...เวลานี้อาตมานั่งคิดอยู่ในปัญญาอย่างนี้เหมือนกัน ว่าเราควรจะได้มีการชี้แนะ ให้ญาติโยมได้เกิดความเข้าใจถูกต้อง ว่าอะไรใช่ ว่าอะไรไม่ใช่ในทางพระพุทธศาสนา แล้วก็หันมาปฏิบัติตามคำสอนในทางพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงเสียบ้าง เพราะอะไรจึงได้เกิดความคิดในเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็เพราะว่าในสมัยนี้ศาสนามีศัตรู อย่านึกว่าศาสนาไม่มีศัตรู ทุกศาสนาเวลานี้มีศัตรูทั้งนั้น

    ศัตรูของพระศาสนาคืออะไร คือคนที่ไม่ยอมรับศาสนา หรือความคิด ความเห็นประเภทที่ไม่ยอมรับเอาศาสนามาเป็นข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เห็นว่าศาสนาเป็นเรื่องไม่จำเป็นแก่การดำเนินชีวิต คิดแต่จะแสวงหาวัตถุมาใช้ในชีวิตประจำวัน ... เมืองไทยเราก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้ ก็มีการโจมตีทำลายสิ่งที่เรียกว่าศาสนาเกิดขึ้นทุกวันทุกเวลา ทีนี้ถ้ามองกันให้ดีแล้ว จุดที่เขาโจมตีทั้งหมดในเรื่องศาสนานั้น ลองเอามาอ่านดู พิจารณาดูแล้วไม่ใช่จุดเนื้อแท้ของพระศาสนา ถ้าสิ่งที่เป็นเนื้อแท้เป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาแล้วโจมตีไม่ได้ ไม่มีช่องโหว่ ไม่มีอะไรที่จะเข้ามาแทรกแซงได้เป็นอันขาด เช่น หลักปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น เรื่องอริยสัจสี่ อะไรอย่างนี้ ไม่มีใครจะโจมตีได้เลยว่า เป็นสิ่งไม่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต เขาไม่สามารถจะโจมตีได้

    ผู้ใดประพฤติปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่ถูกโจมตีด้วยประการทั้งปวง (๙๐ ปี ปัญญานันทะ หน้า ๓๒)

    สิ่งที่หลวงพ่อฝากฝังย้ำพร่ำสอน

    "หนังสือธรรมเป็นของที่ต้องเปิดอ่าน อ่านให้รู้ให้เข้าใจ อ่านค้นคว้าศึกษาให้รู้ให้เข้าใจเพื่อได้ปฏิบัติถูกปฏิบัติชอบ แล้วจะได้สอนชาวบ้านให้ปฏิบัติถูกปฏิบัติชอบเวลาคนมาวัดในวันพระ เอาหนังสือไปให้เขาอ่าน ใครอ่านได้เอาอ่านโยม เลือกหนังสือที่ควรอ่าน ควรทำความเข้าใจ อย่าอ่านหนังสือประเภทเหลวไหล ไม่เป็นไปเพื่อความสว่าง เราช่วยกันให้ชาวพุทธมีปัญญา มีหูตาสว่าง ได้คำรงตนอยู่ในสัมมาทิฏฐิ นั่นแหละเป็นมหากุศล เพราะเดี๋ยวนี้เมืองไทยเราเป็นชาวพุทธกันแต่เพียงชื่อมาก แต่เป็นชาวพุทธกันโดยปฏิบัติแท้จริงนั้นยังมีอยู่น้อย พูดอย่างนี้ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นอะไร ข้าพเจ้าพูดด้วยความประสงค์ดี เพราะ ข้าพเจ้าทำงานเพื่อสร้างเสริมจิตใจคน ทำงานเพื่อความก้าวหน้าของพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าไม่ได้หวังอะไรจากการพูดกับพี่น้อง แต่ข้าพเจ้าหวังอยู่ประการเดียวว่า ขอให้พี่น้องได้ความรู้ ได้ความเข้าใจ ขอให้พี่น้องเดินทางถูกทางชอบ ขอให้พี่น้องหลุดพ้นจากความทุกข์ ได้รับความสุข ด้วยการปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้า นี่เป็นความประสงค์ใหญ่ของข้าพเจ้า"

    ประวัติหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ (โดยย่อ)

    หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ถือกำเนิดที่ตำบลคูหาสวรรค์ อ.เมืองพัทลุง จ.พัทลุง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๔ เดิมมีนามว่า ปั่น เสน่ห์เจริญ หลังใช้ชีวิตฆราวาสจนมีอายุได้ ๑๘ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดอุปนันทนาราม จ.ระนอง โดยมีพระระณังคมุนีเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดนางลาด อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีพระจรูญกรณีย์เป็นอุปัชฌาย์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔

    หลังจากอุปสมบทได้ไม่นาน ได้เดินทางไปศึกษาหาหลักธรรมในบวรพุทธศาสนาหลายจังหวัดที่มีสำนักเรียนธรรมะ เช่น นครศรีธรรมราช สงขลา และกรุงเทพมหานคร จนหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรีเป็นที่ ๑ ของสังฆมณฑลภูเก็ต และสามารถสอบได้นักธรรมชั้นโท และเอกในปีถัดมาที่ จ.นครศรีธรรมราช จากนั้นท่านได้เดินทางไปศึกษาต่อด้านภาษาบาลีจนสามารถสอบเปรียญธรรม ๔ ประโยค ที่สำนักเรียนวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร แต่เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทำให้หลวงพ่อต้องหยุดการศึกษาไว้เพียงเท่านั้น แล้วเดินทางกลับพัทลุงภูมิลำเนาเดิมและได้เริ่มแสดงธรรมในพื้นที่ต่างๆ ของภาคใต้ รวมทั้งเดินทางไปจำพรรษาที่วัดสีตวนารามและวัดปิ่นบังอร รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่นี้ก็ได้ศึกษาทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน เพื่อเป็นพื้นฐานในการเผยแผ่ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป


    ในฐานะสาธุชนชาวพุทธคนหนึ่ง ขอน้อมจิตระลึกถึงหลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ และคำสอนของท่านเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตสืบต่อไป

    ข้อมูลอ้างอิง.. http://www.manager.co.th/ <!-- End main-->

    <!-- / message --> <!-- sig --> __________________
    " มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
    ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
    ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

    มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
    ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "
     
  2. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    เชิญร่วมสมทบทุนสร้าง “พระอุโบสถกลางน้ำ” กับหลวงพ่อปัญญานันทะ
    <hr style="" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> [​IMG]



    "พระอุโบสถกลางน้ำ"
    <!-- Main -->[SIZE=-1]เชิญร่วมสมทบทุนสร้าง “พระอุโบสถกลางน้ำ” กับหลวงพ่อปัญญานันทะ

    [SIZE=-1]พระเดชพระคุณพระหรหมมังคลาจารย์(หลวงพ่อปัญญานันทะ)เจ้า อาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี มีความประสงค์จะสร้างพระอุโบสถให้แก่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย(มหาวิทยาลัยสงฆ์สาขาที่ 2 ตั้งอยู่ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)[/SIZE]

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านเห็นว่ามหาวิทยาลัยฯ ยังขาดแคลนสถานที่สังฆกรรม ที่มีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรองรับพระภิกษุสงฆ์นับจำนวนเป็นพันรูป

    จึงความประสงฆ์ที่จะสร้าง “พระอุโอสถทรงไทยประยุกต์กลางน้ำ” เพื่อใช้ในการทำสังฆกรรม อันเป็นกิจของสงฆ์ ที่ปฏิบัติร่วมกันในจำนวนมากอย่างพร้อมเพรียง ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย(มจร.)แห่งนี้

    การสร้าง “พระอุโบสถทรงไทย ประยุกต์กลางน้ำ” ต้องใช้งบประมาณถึง 100 ล้านบาท

    จึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมสมทบทุนสร้าง“พระอุโอสถกลางน้ำ” ซึ่งหลวงพ่อปัญญานันทะรับเป็นเจ้าภาพฝ่ายสงฆ์ในการจัดหาทุน

    ท่านที่ประสงค์จะร่วมบริจาค ติดต่อบริจาคด้วยตัวท่านเองได้ที่

    วัดชลประทานรังสฤษฏ์ ปากเกร็ด นนทบุรี
    โทร. 02-583-8845 , 081-831-2367, 081-830-1923

    หรือ โอนเข้าบัญชีพระพรหมมังคลาจารย์
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาปากเกร็ด
    เลขที่บัญชี 142-2-15767-9 ประเภทบัญชีออมทรัพย์

    รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างพระอุโบสถกลางน้ำและมจร.

    “พระอุโบสถทรงไทย ประยุกต์กลางน้ำ” เพื่อใช้ในการทำสังฆกรรม อันเป็นกิจของสงฆ์ ที่เป็นหมู่คณะ จะพึงปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งต้องใช้งบประมาณถึง 100 ล้านบาท พระเดชพระคุณหลวงพ่อปัญญดำริว่า จะสร้างให้เป็นอนุสรณ์ให้กับวัดมหาจุฬาฯ และเป็นอนุสรณ์ให้แก่อนุชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง
    อุโบสถทรงไทยประยุกต์ 2 ชั้น อยู่กลางสระน้ำใหญ่ พื้นที่ชั้นบนรองรับพระส่งห์ได้ 400 รูป และมีลานล้อมรอบอุโบสถ ส่วนชั้นล่างเป็นฐานอุโบสถครอบคลุมพื้นที่ลานจากส่วนบน จึงมีขนาดกว้างขวาง และอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำ รองรับพระสงฆ์ได้ 4,000 รูป โดยได้วางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 และเริ่มดำเนินการก่อสร้างนับแต่นั้นเป็นต้นมา
    อนึ่งมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยแห่งคณะสงฆ์ไทย ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 5) ได้ทรางสถาปนาขึ้น ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ เพื่อเป็นสถาบันการศึกษาพระไตรปิกฎ และวิชาชั้นสูง สำหรับภิกษุ สามเณร และคฤหัสถ์

    ด้วยจุดมุ่งหมายส่งเสริมให้พระภิกษุสงฆ์ได้ศึกษาเรียนรู้ ในระดับอุดมศึกษา เป็นบัณฑิตที่ทรงคุณภาพ มีควมเป็นเลิศทางวิชาการพระพุทธศาสนา สนับสนุนให้มีการค้นคว้าวิจัย และให้บริการวิชาการกาสังคม ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมรวมทั้งส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญก้าวหน้าสืบต่อไป

    เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2542 นายแพทย์รัศมี และคุณหญิงสมปอง วรรณิสสร เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธืราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ทูลเกล้าน ถวายฯ โฉนดที่ดินตำบลลำไทร อำเภอวังน้อง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ประมาณ 84 ไร่ 1 งาน 37 ตารางวา โดยเสด็จพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เพื่อพระราชธานแก่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย สำหรับสร้างเป็นศูนย์กลางการศึกษาของมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2542 เป็นต้นมา
    และพระเดชพระคุณหลวงพ่อปัญญานันทะ ได้รับเป็นประทานอุปถัมภ์ในการระดมทุนก่อสร้างอาคาร 92 ปี ปัญญานันทะ สำหรับเป็นที่พักสงฆ์ได้เป็นหมู่คณะและรองรับอาคันตุกะที่เดินทางมาที่ มหาวิทยาลัยแห่งนี้จนสำเร็จลุล่วงเมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าก่อสร้างกว่า 60 ล้านบาท
    [/SIZE][SIZE=-1][​IMG][/SIZE]
     

แชร์หน้านี้

Loading...