แม่ "น้องน้อด" แจงชุดทองธรรมกาย

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย ๙๙๙๙๙๙๙๙๙, 16 กรกฎาคม 2008.

  1. Jintasak

    Jintasak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    533
    ค่าพลัง:
    +1,920
    ผมพอเข้าใจ ผู้ที่ศรัทธาในวัดธรรมกายนะครับ ...แต่มีประเด็นที่อยากชวนให้ขบคิด และเปิดกว้าง ศึกษาธรรมะที่สูงขึ้นไป (มันไม่ได้ยากจนเราเข้าใจไม่ได้หรอก แต่จะปฏิบัติได้แค่ไหนนั่นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ...เปรียบคล้ายเราอาจอ่านแผนที่เข้าใจได้ แต่มีกำลังเดินไปไม่ถึงเป้าหมาย)

    1. เรื่องการต้องทำ ทาน ศีล สมาธิ เรียงไป ...แม้จะมีส่วนถูก แต่ก็ไม่ใช่ว่า ชาตินี้ทำทาน ชาติหน้าค่อยถือศีล และชาติต่อไปค่อยฝึกสมาธิ

    ท่านแนะนำให้ทำสิ่งที่ง่ายก่อนแล้วยากขึ้นก็จริง แต่ก็ให้ทำทั้งหมดในชาตินี้ครับ ...ทานส่งเสริมศีล และศีลสงเสริมสมาธิ ...และทั้งหมดเสริมกันและกัน

    ความคิดที่ว่า ทำศีลให้บริสุทธิ์ 100% ก่อนนั้น มันยากครับ แต่ถ้าคุณปฏิบัติสมาธิ(ทั้งสมถะและวิปัสสนา) จะมีผลทำให้ศีลบริสุทธิ์โดยตัวมันเองอีกทีครับ ...คือศีลส่งเสริมสมาธิ และสมาธิก็ส่งเสริมศีล ไปด้วยกัน

    ทั้งหมดไม่ใช่ทางลัดหรอกครับ ...นี่คือประเด็นที่คุณน่าจะศึกษาธรรมที่สูงกว่าการทำทาน

    อย่าให้เข้าใจไปในทำนองว่า การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเหนือมนุษย์ และอย่าให้พระพุทธเจ้ากลายเป็นเทพเจ้าในคติเทวนิยมไปเสีย ...ถ้าเรามั่วแต่สร้างวัตถุ(สวยงาม ยิ่งใหญ่)เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าจะกลายเป็นเทพเจ้าแบบฮินดูไป


    2. คุณไปลองค้นพระไตรปิฏกดู คุณจะไม่พบพิธีกรรมใดๆ (รวมทั้งที่ธรรมกายสร้างขึ้นใหม่) ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญเลย ...อย่าอ่านเพียงพุทธสุภาษิตสั้นๆ ให้อ่านพระสูตรที่ท่านสอนธรรมะโดยตรงแก่สาวก จะชัดเจนกว่าครับ


    3. จริงๆ ถ้าศึกษาให้ละเอียดขึ้นไป คำว่า บริจาค(จาคะ) นั้นต่างจาก บุญ(ฟูใจ) ...ทานที่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญนั้น เราต้องสละ(ตัวเรา ของเรา)ออกไป ไม่ใช่การทำบุญเพื่อให้เราได้บุญ ...ซึ่งชัดเจนว่า ธรรมกายเน้นการได้บุญ ไม่ใช่การให้ทาน ...สังเกตคำว่า "ได้" และ "ให้"

    อยากให้ลองสังเกตที่ใจของคุณ ถ้าคุณรู้สึกว่า ทำบุญแล้วจะได้เจริญทางลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วพอใจ ก็แสดงว่า การทำบุญนี้สนองกิเลสของคุณ

    แต่ถ้าคุณรู้สึกพอใจที่ผู้รับได้ประโยชน์แม้เราจะไม่ได้บุญก็ตาม ก็คือการลดความเห็นแก่ตัว โดยเห็นแก่ประโยชน์ของผู้รับ(ผู้อื่น)มากกว่า


    4. เรื่องที่ว่า วัดธรรมกายสอนให้ทำดีนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะแม้แต่ลัทธิต่างๆ (ไม่ใช่ศาสนา) ทั้งหลายก็ต้องสอนให้คนเป็นคนดีทั้งนั้นแหละครับ ...การทำดีเป็นจริยธรรมสากล

    ต้องไม่ลืมว่า พุทธศาสนาสอนมากกว่านั้น ...อย่างศาสนาใหญ่ๆ ในโลกก็สอนให้ทำทาน และถือศีลทั้งนั้น ...ถ้าคุณทำแค่นั้น ก็ยังไม่นับเป็นพุทธบริษัทที่สมบูรณ์ ซึ่งผมรู้สึกเสียดายแทนครับ


    5. ให้ดูว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เคยมีในพระไตรปิฏกหรือไม่
    -พิธีกรรมที่สร้างขึ้นใหม่
    -การทำบุญที่มีการเพิ่มแต้ม เพิ่มคะแนน (ไม่รู้ใครเป็นคนเขียนโปรแกรมระบบบุญของจักรวาลให้)
    -การถวายข้าวพระพุทธเจ้า โดยบุคคลพิเศษ ...คล้ายฮินดูที่มีชนชั้นพราหมณ์เป็นผู้ติดต่อเทพเจ้าสูงสุดให้
    -การบอกว่า นิพพานเป็นอัตตา ...สิ่งสูงสุดที่เป็นอัตตานั้นเป็นแนวฮินดูเช่นเดียวกัน


    6. ถ้าการทำทานเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ก้าวหน้า ผมสงสัยว่า พระที่ไม่มีเงิน แล้วจะทำทานอย่างไร ...อย่างนั้นก็คงถือศีลไม่ได้ และภาวนาไม่ได้ไปด้วยหรือเปล่า


    7. อยากให้ลองสังเกตว่า เวลาพระในวัดธรรมกายเทศนาและสนทนาธรรมนั้น ...เนื้อหาส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับคำว่าบุญกี่ส่วน ภาวนากี่ส่วน


    สุดท้าย ขอให้ลองอ่านพระสูตรด้านล่างดู จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงแนะนำสาวกในสมัยพุทธกาล ไปในแนวสันโดษ และความสงบ ความเจริญทางจิตใจเป็นหลัก ...แล้วพระที่สอน(กระตุ้น)ให้ฆารวาสทำบุญ บูชาพระพุทธเจ้าหรือแม้แต่พระพุทธศาสนา นั้นห่างไกลจะพุทธพจน์มากเพียงใด


    [เล่ม 14]
    <b><big>มหาสุญญตสูตร

    </big></b>[๓๕๑] พ. ดูกรอานนท์ สาวกไม่ควรจะติดตามศาสดาเพียงเพื่อฟัง
    สุตตะ เคยยะ และไวยากรณ์เลย นั่นเพราะเหตุไร เพราะธรรมทั้งหลายอันพวก
    เธอสดับแล้ว ทรงจำแล้ว คล่องปากแล้ว เพ่งตามด้วยใจแล้ว แทงตลอดดีแล้ว
    ด้วยความเห็น เป็นเวลานาน ดูกรอานนท์ แต่สาวกควรจะใกล้ชิดติดตามศาสดา
    เพื่อฟังเรื่องราวเห็นปานฉะนี้ ซึ่ง

    -เป็นเรื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง
    -เป็นที่สบายแก่การพิจารณาทางใจ
    -เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายส่วนเดียว...
    -เพื่อดับกิเลส
    -เพื่อสงบกิเลส
    -เพื่อความรู้ยิ่ง
    -เพื่อความตรัสรู้
    -เพื่อนิพพาน คือ
    -เรื่องมักน้อย
    -เรื่องยินดีของของตน
    -เรื่องความสงัด
    -เรื่องไม่คลุกคลี
    -เรื่องปรารภความเพียร
    -เรื่องศีล
    -เรื่องสมาธิ
    -เรื่องปัญญา
    -เรื่องวิมุตติ
    -เรื่องวิมุตติญาณทัสสนะ ฯ
     
  2. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499
    เราว่าชุดสวยดีอ่ะ
     
  3. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ช่วงที่ฟ้าผ่าวัดนั้นคืออะไร...
     
  4. ๙๙๙๙๙๙๙๙๙

    ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +2,808
    ช่วงที่ฟ้าผ่าวัดนั้นคืออะไร... คือธรรมชาติครับ เป็นปกติ ฟ้าก็ผ่าได้ทุกที่ครับ ร้อยวัน พันปี ผ่า 1หดก็กลายเป็นข่าว ที่อื่น ผ่ามากกว่านี้ ยังไม่เป็นข่าวเลย ผมถึงบอกว่า คนเห็นแก่เงินอยากขายข่าวได้ อะไรไม่ดี ก็พยายามเอามาเป็นข่าวให้ได้โจมตี อะไรที่ดีๆ มีเป็น หมื่น เป็นพัน กลับไม่เคยเอามาเป็นข่าว เพราะโดย นิสัยของคนเราแล้ว ชอบทำให้รู้สึกว่าตัวเองดี สูงส่ง อะไรที่ไม่ดี ก็จะพยายาม เอามาพูด ยิ้งตัวเอง นำสิ่งไม่ดีของคนอื่นมาพูดมากได้เท่าไหล ก็จะทำให้รู้สึกว่าตัวเองสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น นี้คือเรื่องจริงของมนุษย์เรานะครับ เพราะมนุษย์ ยังมี ความอิจฉา ริสหยา เห็นใครดีกว่ามิได้ ต้องคอยจับผิด แต่สิ่งดีๆ ที่ทำไม่เคย เอาออกมาพูด ผมว่าไม่แฟเลยครับ ผมเอง ทำบุญหลายวัดทำบุญหลายที่ นะครับ อะไรที่ว่าดีผมก็ว่าดีครับ อะไรที่ว่าไม่ดี แต่ผมยังไม่เห็นกับตาไม่ได้เจอด้วยตัวเอง ผมคงไม่กล้าไปว่าเค้าหลอกครับ กลัวว่าไอ้สิ่งที่เราว่า มันจะ เป็นเรื่องไม่จริง เดียวจะบาปกันไปใหญ่

    ใช้ สติ อย่าใช้อารมณ์ หาเหตุที่แท้จริง เพื้อให้เกิดผล อันถ่องแท้
    จะหาให้แท้ ก็ต้อง ไปให้ถึงที่ ถ้าจะดูให้รู้ก็ต้องเห็นด้วยตาตัวเอง

    เอา สิ่งไม่ดี ที่คนอื่นสร้างขึ้นมาโจมตี ผู้บริสุธิ โดยที่ตัวเองรับฟังแต่สื่อไม่ดีข้างเดียว ไม่ยุติธรรมเลยนะครับ ใจเขาใจเราครับ หากเราไม่ได้ทำผิด แต่มีคนอื่นใส่ร้าย แล้วยังชวนให้คนอื่นมาด่าเรา ทั้งๆที่เราไม่ผิด เราจะรู้สึกเช่นไร ทั้งๆที่คนมาด่าว่าเรา เราก็ไม่ได้รู้จักเค้า และเค้าก็ไม่ได้รู้จักเรา แค่เค้า เชื่อ คนที่ไม่ชอบเรา เลยมาช้วยด่าว่าเรา เราจะรู้สึกเช่นไร นึกถึงวิบากรรมครับ หนังสือพิมพ์ อ่านแล้วเชื่อได่แค่ไหนครับ ต้องลองคิดดูเอา
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  5. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    แลกเปลี่ยนความคิด ไม่ใช้อคติ ติเตียนกัน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD class=j>"ของจริงนิ่งใน ของหวั่นไหวคือของไม่จริง"
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,224
    ค่าพลัง:
    +15,636
    การสอนให้คนเข้าถึงธรรมะ ก็คือการสอนให้คนละจาก ยึดมั่น ถือมั่น ไม่ยึดติดในวัตถุนิยม ไม่สอนให้เกิดความโลภ หลง
     
  7. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    ขอโทษ นะครับ

    คือ ว่า ผม เห็น อย่าง นี้ นะ ครับ

    ท่าน ผู้ ที่ เห็น ใน ส่วน ที่ ดี ของ วัด นี้

    พวก ท่าน ได้ มา ชั่ง กับ ส่วน ที่ ไม่ ดี กัน บ้าง มั๊ย ครับ

    ท่าน เคย คิด ถึง ลูก หลาน เรา กัน บ้าง มัีย ครับ

    อีก หลาย สิบ ปี ต่อ จาก นี้ น่ะ ครับ

    การ์ตูน และ เรื่อง เล่า ของ หลวง พ่อ

    ที่ ผม เคย ได้ ดู ด้วย ตัวเอง

    ผม ว่า มัน บิด นะ ครับ

    เอา แต่ ส่วน ที่ เป็น ประโยชน์ เข้า กับ ทาง วัด ชี้ นำ ว่า ทำ บุญ แล้ว ดี อย่าง นู้น อย่าง นี้
    (แต่ ไม่ได้ยกมาทั้งหมด เพราะว่า ถ้า ยกมาทั้งหมดแล้ว คนที่ดูรายการจะเข้าใจ ว่า ที่ จริง หลัก มัน คือ อะไร ส่วนใหญ่ ไม่ได้อยู่ที่ ปริมาณที่ทำ แต่ อยู่ที่ขณะจิตที่ทำ และ ผู้ที่เราให้ว่าเป็นคนดีแค่ไหน)

    น้า ผม เมื่อ ก่อน ก็ ติด กับ ทาง วัด นี้ ช่วย ทาง วัด เต็ม แรง ด้วย เจตนาที่ดี อยาก ให้ คน อื่นๆ ได้ ขึ้น สวรรค์ กัน

    และ ผม ได้ ถาม น้า ผม ว่า ผม ไม่ เข้า ใจ คำ สอน ของ ทาง วัด นี้ มัน บิด เบือน ศาสนา นะ น้า เคย อ่าน พระ ไตรปิฎก เทียบดูกับ คำสอน บ้าง มั๊ย ครับ

    น้า ผม บอก่วา จะ ไป หาที่ไหนมาอ่านล่ะ(กำ)

    ผม ก็ เลย ต้อง ลง โปรแกรม ให้ น้า เขา ได้ ลอง อ่าน ดู

    ถ้า ใครๆ ลอง ได้ อ่าน เรื่อง ทั้ง หมด แล้ว ก็ น่า จะ พอ เข้า ใจ ได้ ว่า คำ สอน หรือ เรื่องต่างๆ ที่ ทางวัดยกมานั้น

    เวลา สื่อ ออกมา มัน ได้ บิดเบือนจุดประสงค์ที่คำสอนต้องการจะสื่อออกมา

    น่ากลัวนะครับ ภัยเงียบ ต่อไป พอบิดไปบิดมาจนได้ที่ คงจะหักกันเลยมั๊งครับ

    เรื่อง ของ ความ เชื่อ มัน ปัจจัตตัง บังคับกันไม่ได้ แล้ว แต่ ใคร ทำกำร่วมกันมายังไงแล้วกัน

    ยังไงการ บริจาค ก็ เป็น สิ่งที่ดีนั่นแหละ

    แค่ อยากจะบอกให้คนอื่นรู้ว่าผมคิดยังไงเท่านั้นครับ
     
  8. avicha

    avicha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +472
    บ้านผมอยู่คลอง 2 ใกล้วัดพระธรรมกาย (แต่ยังไม่เคยเข้าไปเลย)
    ขอถามอะไรหน่อย ไม่ทราบว่ามีใครพอจะชี้แจงได้บ้าง
    ---มีวัดนึง ใกล้ๆวัดพระธรรมกาย ชื่อวัดคลองสอง ผมเห็นวัดนี้ยังไม่ค่อยสมบูรณ์ซักเท่าไหร่ เหมือนยังสร้างไม่เสร็จยังไงยังงั้น เห็นมานานมากแล้ว ทำไมไม่มีคนมาบริจาคเงินเยอะๆบ้าง ทั้งๆที่อยู่ข้างๆกันแท้ๆ เห็นวัดพระธรรมกายสร้างโน่ินสร้างนี้ มีดาวเทียม มีหมู่บ้านสีขาว มีจานบิน UFO (บางอย่างก็สร้างแล้วทุบทิ้ง ทุบแล้วสร้างใหม่อีก เงินสะพัดน่าดู) เห็นว่าเผยแพร่สนับสนุนพุทธศาสนทั่วโลก ทำไมวัดข้างๆตัวเองแท้ ยังโทรมอยู่เลย ไม่ได้ว่าอะไรครับแค่สงสัยสิ่งที่เค้าทำกันอยู่ ว่าจะเอาอลังการไปถึงไหน ช่วยวัดที่เค้ายังขาดสิ่งที่จำเป็นบ้างสิครับ
    สิ่งดีๆผมขออนุโทนาด้วยครับ สิ่งไหนไม่ดีก็รับกันไปเองครับ
     
  9. khunnoy

    khunnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    เมื่อก่อนไม่ชอบวัดนี้เลย ด้วยเหตุผลที่ฟังเขามา แต่พอลองไปนั่งสมาธิที่เชียงใหม่ รู้สึกดีกับการนั่งสมาธิ พอได้ฟังพระเทศน์ สนทนาธรรมกับหลวงพี่ สอบถามในข้อข้องใจหลายๆอย่าง แล้วเอามาพิจารณาดู ก็เลิกอคติกับวัด รู้สึกว่าเป็นวัดดีวัดหนึ่ง และวัดนี้ทำให้รู้สึกรักและศรัทธาหลวงปู่สดมาก ส่วนเรื่องพิธีการของวัด เรื่องชุดสีทองก็เฉยๆนะ สวยดี มิดชิดด้วย ถ้าใส่สายเดี่ยว เกาะอก ก็ว่าไปอย่าง ส่วนตัวคิดว่ามองไปที่จุดประสงค์ และผลลัพธ์ดีว่า จุดประสงค์ก็บุญ ผลลัพธ์ก็บุญ แล้วแค่มีคนใส่ชุดสีทอง ทำไมต้องมองเป็นปัญหา
    ส่วนเรื่องทำบุญตอนนี้ก็เข้าใจคำว่าทำเต็มกำลัง คือกำลังใจ+กำลังทรัพย์ เต็มที่จริงๆของเราได้แค่ไหน ไม่ว่าจะทำกับวัดไหนหรือองค์กรการกุศลใดก็ตาม ไม่ต้องมองที่คนอื่นว่าเขาจะทำมาก หรือทำน้อย บุญของเขาเราไม่เกี่ยว อนุโมทนาอย่างเดียวค่ะ
     
  10. lokemesa

    lokemesa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +26
    เข้าท่า เข้าท่า ท่าน Jintasak กล่าวได้ดีมากจ้ะ สมกับเป็นบัณฑิตผู้ใฝ่ในธรรม ใช้ถ้อยคำสุภาพเจรจา
    ขอตอบท่านดังนี้จ้ะ

    1. ที่ท่านรับว่าการเรียงลำดับปฏิบัติไปตาม ทาน ศีล ภาวนา ถูกต้องนั้น ขออนุโมทนาจ้ะ
    ส่วนที่ว่า ชาตินี้ทำทาน ชาติหน้าถือศีล ชาติถัดไปจึงค่อยภาวนานั้น อันนี้ทางวัดก็ไม่ได้สอนอย่างนั้นจ้ะ
    แต่ถ้าท่านได้ติดตามคำสอนของวัดฯอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ท่านจะเห็นได้อย่างประจักษ์ชัดเจนด้วยตัวท่านเองว่า วัดพระธรรมกายไม่ได้เน้นแต่ทานอย่างเดียวจ้ะ หากแต่การรักษาศีล และการเจริญสมาธิภาวนา ก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้นไม่แพ้กัน ท่านสอนถึงขั้นว่า

    (1) เช้าไหนยังไม่ได้ทำทานอย่างพิ่งทานข้าวก่อน
    (2) หากยังไม่ได้สมาทานรักษาศีล (อย่างน้อยศีล ๕) วันนั้นจะยังไม่ออกจากบ้าน
    (3) วันไหน หรือคืนไหนยังไม่ได้นั่งเจริญสมาธิภาวนา วันนั้นคืนนั้นจะยังไม่ล้มตัวนอนอย่างเด็ดขาด


    นี่ล่ะจ้ะ คำสอนทั้ง 3 ข้อนี้ สื่อหรือคนภายนอกที่ยังไม่เข้าใจคำสอนของวัดทั้งหมด
    มักจะนำเพียง ข้อที่ 1 คือการทำทาน ไปโฆษณา เน้นย้ำ ขยายความ จนกลบอีก 2 ข้อที่เหลือให้ดูด้อยไปจ้ะ
    แต่ถ้าท่านได้เข้าไปสัมผัสไกล้ชิดกับบุคคลากรของวัดที่เจ้าใจคำสอนได้ทั่วถึงแล้ว
    ท่านจะพบว่ามีความเพียบพร้อม ทั้ง ทาน ศีล ภาวนา โดยไม่มีข้อไหนด้วยไปกว่ากันเลยจ้ะ

    ส่วนเรื่องเทวนิยมนั้น พระท่านก็สอนเน้นให้มีที่พึ่งอันสูงสุดคือ พระรัตนตรัยเท่านั้น จ้ะนอกจากนี้ไม่ใช่
    ท่านลงลึกถึงขั้นว่าบ้านใครยังมี ศาลพระภูมิ(ซึ่งเป็นลัทธิพราหมณ์ฮินดู) ลูกกรอก กุมารทอง เจ้าพ่อเจ้าแม่
    พวกสิงๆทรงๆ สรุปคือ ที่ไม่ใช่พระรัตนตรัยทั้งหลายนั้น ท่านก็จะแนะนำให้รื้อถอนออกไปจากบ้านเลยจ้ะ

    และที่ท่านต้องสร้างศาสนสถานใหญ่โตนั้น ก็เน้นเรื่องประโยชน์การใช้สอยเป็นหลักจ้ะ
    ส่วนความสวยงามนั้นเน้นรองลงมาจากประโยชน์ใช้สอยจ้ะ
    ถ้าท่านติดตามงานบุญใหญ่ๆ ของทางวัดฯอยู่ตลอด ท่านจะเห็นได้ว่าคนมากันเป็นเรือนหมื่นเรือนแสน
    หากสถานที่ไม่พอรองรับปล่อยปละให้สาธุชนตากแดดตากฝน ที่สำหรับปฏิบัติธรรมไม่พอนั่ง
    ห้องน้ำห้องท่าไม่พอสำหรับขับถ่าย อาหารไม่พอเลี้ยงสาธุชนที่จะมาในแต่ละวัน
    (ซึ่งเป็นธรรมเนียมของวัดโดยส่วนใหญ่อยู่แล้วที่ต้องเลี้ยงข้าวปลาอาหารสำหรับญาติโยมสาธุชนผู้มาวัด)
    ปัญหาเหล่านี้ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข ทางวัดก็อาจจะถูกตำหนิเรื่อง การปฏิสันถาร<o></o>
    (การตอนรับขับสู้-ไม่ใช่ขับไล่)
    ซึ่งเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เป็นเรื่องที่พระภิกษุผู้อยู่ในอาวาสให้ความสำคัญให้มากจ้ะ

    และที่ทางวัดพระธรรมกายท่านต้องขวนขวายในการขยายงานพระศาสนาให้กว้างไกลออกไปโดยไม่เห็นแก่ความยุ่งยากลำบากในเรื่องพวกนี้ก็เพราะ ทางวัดฯมีแนวคิดเผยแผ่พุทธศาสนาเชิงรุกจ้ะ
    ไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว จนเป็นเป้านิ่งให้ศาสนาอื่นรุกคืบล้อมเข้ามารอบด้านอย่างที่เป็นและเห็นอยู่ในปัจจุบันจ้ะ

    2. ส่วนเรื่องพิธีกรรมที่ท่านว่านั้น ไม่ใช่แต่ของทางวัดพระธรรมกายเท่านันละจ้ะที่ไม่ได้มีมาตั้งแต่สมัยครั้งพุทธกาล
    พิธีกรรมทั้งหลายส่วนใหญ่ที่วัดทั่วๆไปทำอยู่นั้นก็เพิ่งมีมาทีหลังแทบทั้งนั้นล่ะจ้ะ
    เพราะพิธีกรรมทางศาสนาส่วนใหญ่แล้ว มาจากทางพราหมณ์เขาจ้ะ พุทธของไทยท่านก็รู้ๆ เห็นๆ อยู่ว่า
    เอาทั้งพราหมณ์ทั้งพุทธมาปะๆปนๆกัน ซึ่งถ้าว่าให้เป็นธรรมก็ไม่ควรเน้นแต่วัดพระธรรมกายที่เดียวจ้ะ

    3. ความหมายของคำว่า ‘จาคะ’ นั้น ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ ข้อที่ ๑๕๙๓ หน้าที่ ๔๙๗-๔๙๘
    ท่านให้ความหมายไว้อย่างชัดเจนว่า

    [๑๕๙๓] กิตฺตาวตา ปน ภนฺเต อุปาสโก จาคสมฺปนฺโน โหตีติ ฯ<o></o>
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อนึ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่าไร อุบาสก(ญาติโยม)จึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ

    อิธ มหานาม อุปาสโก วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคาร อชฺฌาวสติ<o></o>
    มุตฺตจาโค ปยตปาณี โวสฺสคฺครโต ยาจโยโค ทานสวิภาครโต ฯ<o></o>
    เอตฺตาวตา โข มหานาม อุปาสโก จาคสมฺปนฺโน โหตีติ ฯ<o></o>

    “มหาบพิตร อุบาสกในธรรมวินัยนี้มีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน
    มีจาคะอันสละแล้ว มีฝ่ามือชุ่ม* ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการให้ทานและการแจกทาน
    อยู่ครองเรือน ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อุบาสกจึงชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ”


    [* คนสมัยก่อนจะล้างมือก่อนให้ทานจ้ะ]

    ส่วน บุญ นั้นเป็นชื่อของความดี มีความหมายกว้างกว่า ทาน และจาคะจ้ะ
    ดังนั้น บุญ อาจจะเกิดจากจาคะ หรือทาน การรักษาศีล หรือการเจริญภาวนาก็ได้จ้ะ

    4. ถูกต้องจ้ะที่ว่าศาสนาพุทธของเราสอนไปได้เหนือกว่าลัทธิความเชื่ออื่นๆ
    และหมู่คณะของวัดพระธรรมกายก็ไม่ใช่หยุดอยู่แค่ทานและศีลแน่นอนจ้ะ
    ‘การทำพระนิพพานให้แจ้ง’ นั้นเป็นเป้าหมายของชีวิตเลยทีเดียวจ้ะ
    ดังคำขวัญที่ ‘ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย’ ถามหมู่คณะของท่าน
    ทุกวันที่ลงมาเทศน์ โดยท่านจะถามว่า
    ‘เราเกิดมาทำไมจ๊ะ’
    สาธุชนทั้งหลายก็จะตอบกันอย่างพร้อมเพรียงว่า
    ‘ทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี ครับ/คะ’ อย่างนี้เป็นประจำทุกวันที่ท่านลงเทศน์เลยจ้ะ

    5. เรื่องพิธีกรรมที่สร้างขึ้นใหม่อย่างที่ตอบไปในข้อสองแล้วจ้ะ ว่ามีแทบทุกวัดที่จัดพิธีกรรมทางศาสนา
    ส่วนเรื่องการเพิ่มแต้มอะไรนั่น เป็นเรื่องของฆารวาสเขาคิดจัดทำกันขึ้นมาเองจ้ะ
    ส่วนพระเพณีการถวายข้าวพระพุทธนี่ ไทยพุทธเราสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณแล้วจ้ะ
    วัดอื่นก็ทำกัน อาจจะไม่ใหญ่โตและให้ความสำคัญเท่ากับที่วัดพระธรรมกายจัดเท่านั้นเอง
    ส่วนเรื่องนิพพานเป็นอัตตาอะไรนั้น ไม่ขอออกความเห็นจ้ะ
    เพราะยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพราะเรื่องนิพพานนี่ผู้ที่จะรู้จริงต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น
    แม้ระดับพระอนาคามี สกทาคามี หรือโสดาบัน ยังไม่อาจรู้แจ้งประจักษ์ได้เลยจ้ะ
    จะป่วยการกล่าวไปไยถึงปุถุชน ที่ยังละสังโยชน์แม้เบื้องต่ำยังไม่ได้เลย ล้วนยังอยู่ในข่ายอวิชชาทั้งนั้นจ้ะ

    6. ฝ่ายฆารวาสญาติโยมกับฝ่ายพระนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านวางหลักไว้ไม่เหมือนกันจ้ะ
    คือ ผู้ยังครองเรือนมีหลักสิกขา 3 ข้อคือ ทาน ศีล ภาวนา
    ส่วนพระภิกษุผู้สละเรือนแล้วมีสิกขา 3 ข้อเช่นกัน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    จะเห็นได้ว่าหลักเน้นแตกต่างกันจ้ะ ของโยมนั้นพุทธองค์วางหลักเน้นทานเป็นข้อแรกจ้ะุ
    ส่วนของพระที่ไม่มีข้อทานเพราะพระไม่ได้ประกอบอาชีพอย่างทางโลกจ้ะ
    พระทำได้อย่างมากก็บอกบุญญาติโยมอย่างที่เห็นนั้นล่ะจ้ะ
    ส่วนสองข้อหลังของฆารวาส คือ ศีล ภาวนา กับ ศีล สมาธิ+ปัญญาของพระว่าโดยอนุโลมสงเคราะห์รวมลงกันได้จ้ะ

    7. ที่พระท่านเน้นเทศน์เรื่องการทำบุญทำทาน เพราะพระเทศน์ให้ญาติโยมฟังจ้ะ
    ไม่ได้เน้นเทศน์ให้พระด้วยกัน จึงต้องเน้นข้อปฏิบัติของฆารวาส ซึ่งมีหลัก ทาน เป็นข้อแรกก่อนเพื่อน
    แต่ข้ออื่นก็ไม่ได้ละเลยนะจ๊ะ
    ท่านให้ความสำคัญเน้นย้ำเรื่องการรักษาศีล และการเจริญภาวนา ไม่น้อยหน้ากว่าเรื่องทานแน่นอนจ้ะ

    ตอนสุดท้าย ขออนุโมทนาสาธุการกับธรรมทานจ้ะ

    ถ้าท่านเคยได้ยินได้ฟังเรื่องเขตในและเรื่องโรงงานทำวิชชาของทางวัดพระธรรมกายมาบ้าง ท่านจะรู้ว่า
    ที่ท่านยกข้อธรรมในมหาสุญญตสูตรทั้งหมดนั้นล่ะจ้ะ ที่พระคุณเจ้า
    และอุบาสกอุบาสิกาเขาฝึกกันอย่างต่อเนื่องที่เดียวจ้ะ
    กลางวัน 6 ชั่วโมง กลางคืนอีก 6 ชั่วโมง ฝึกฝนกันชนิดที่ว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันทีเดียวจ้ะ
    ผลัดเปลี่ยนกะทำกันทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียวจ้ะ
    ที่ท่านทำได้อย่างนั้นเพราะนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ที่เคยสละเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการปฏิบัติมาก่อน
    ซึ่งพระบรมศาสดาของเรายอมสละชีวิตเพื่อ พระสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้วนั่นเองจ้ะ
    <o></o>
    <label for="rb_iconid_31">[​IMG] </label>ส๊าธุ๊จ้ะ หวังว่าคงจะเข้าใจให้ยิ่งๆขึ้นไปอีกนะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2008
  11. theliger

    theliger เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2007
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +219
    วัดพระธรรมกายเดิมคือศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม สร้างบนเนื้อที่แค่ 196 ไร่ครับ มีศาลาที่ทำไว้รองรับคนเพียงแค่ 400 - 500 คน(ศาลาจาตุมหาราชิกา) แต่พอคนศรัทธามาก ก็เข้ามาที่วัดกันเรื่อย ๆ จนต้องเอาเต้นท์มากางให้สาธุชน มีเด็กคนหนึ่งมานั่งสมาธินอกศาลาเพราะศาลาเต็ม ตรงนั้นมีรังมดอยู่เด้กก็นั่งต่อมดก็ขึ้นเต็มตัวเด็ก ๆ หลวงพ่อจึงมีดำริสร้างศาลาหลังที่สองกะว่าเอาให้ใหญ่โตมาก ๆ เลย คนมาจะได้มีบรรยากาศที่ดีในการปฏิบัติธรรมจึงสร้าง ศาลาขึ้นใหม่อีกหลัง(สภาธรรมกายหลังคาจาก) คราวนี้จุได้เป็นหมื่นครับ แต่พอเวลาผ่านไปคนมามากกว่า 30,000 คนอีก ปัญหาเดิมเกิดอีกแล้ว ที่ไม่พอสาธุชน หลวงพ่อจึงซื้อที่เพิ่มแล้วสร้างศาลาการเปรียญหลังปัจจุบัน ที่จุคนได้ถึง สามแสนคน ชื่อว่าสภาธรรมกายสากล ไว้รองรับคนเรือนแสนที่เข้ามาทีนี่ครับ

    กิจวัตรประจำวันของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดพระธรรมกายย่อ ๆ นะครับ
    05.00 น. ปฏิบัติธรรม แล้วจึงฉันภัตตาหารเช้า และสนทนาเรื่องงานกับบุคคลผู้ดำเนินงานฝ่ายต่างๆของวัด
    09.30 น. ปฏิบัติธรรมจนถึงเพล
    11.30 น. ฉันเพล สนทนาเรื่องงานต่อ และมอบหมายงาน
    13.00-16.00 น. บันทึกเสียง รายการ ธรรมะเพื่อประชาชน อย่างน้อย 3-5 ตอน ในทุกๆวัน
    16.00-17.00 น. ตรวจทาน /แก้ไข Case Study ภาพ และคำพูด ดูความถูกตัองเหมะสม ที่จะไม่ให้กระทบ กับคน
    17.00-19.00 น. ปฏิบัติธรรม บริหารขันธุ์ เตรียมตัว เข้าโรงเรียนฝันในฝันวิทยา
    19.30-21.45 น. เข้าโรงเรียนฝันในฝันวิทยา
    22.00-23.00 น. ตรวจ-รักษาขาที่บวม รับรายงานต่างๆ ตรวจวัด ถ้ามีโอกาส
    23.00 น. ปฏิบัติธรรม
    01.00 น. ล่วงเข้าวันใหม่จึงจะจำวัด

    โรงเรียนฝันในฝันวิทยา ก็คือ การลงเทศน์ของหลวงพ่อ ให้พระและสาธุชนในห้องส่งรวมทั้งพระและสาธุชนทั่วโลกผ่านทางช่อง DMC ครับ

    นี่เป็นวัตรของท่านวันจันทร์ถึงเสร์ครับ ส่วนวันอาทิตย์หลวงพ่อให้สาธุชนมาวัดทุก ๆ อาทิตย์ โดยหลวงพ่อท่านจะลงนำนั่งสมาธิเองทั้งเช้าและบ่าย
    สาะชนต้องมาอศีลปฏิบัติธรรมก่อนทั้งภาคเช้าภาคบ่าย เย็น ๆ โน่นแหละที่จะมีการถวายปัจจัย ถ้ากลับบ้านก่อนก็ไม่ได้ถวายกับหลวงพ่อ ตอนเย็น ๆ ท่านก็จะให้พระมหามาเทศน์ติโยมต่อครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2008
  12. theliger

    theliger เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2007
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +219
    <BIG>ชวน สยบข่าวมั่ว อัดพระธัมมชโย</BIG>
    <BIG>รอมติมส. 10 พ.ค. เรื่องที่ดินยุติด้วยดี</BIG>
    นายกฯ โชว์ฟอร์มสยบพวกมั่วตีความ กล่าวหาเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องข้อหาปาราชิก ให้รอผลตัดสินมหาเถรฯ วันที่ 10 พ.ค. ก่อน ด้าน "อาคม" เชื่อปัญหาที่ดินเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จะยุติก่อน 10 พ.ค. นี้ และจะนำลายพระหัตถ์ของ สมเด็จพระสังฆราช เข้าที่ประชุม วันดังกล่าวด้วย เผยนายกฯ บอกต้องยุติอย่างนิ่มนวล อย่าใช้ความรุนแรง ย้ำเจ้าอาวาสยังไม่ปาราชิก เพราะยังไม่ผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ได้เสพย์กาม ไม่ได้อุตริมนุษยธรรม และยังไม่ได้ฆ่าใคร ส่วนพระลิขิตก็คือ จดหมายที่พระสังฆราชเขียนถึงพระด้วยกัน เท่านั้น ไม่ใช่คำพิพากษา ย้ำคนมีสิทธิ์ เชื่อถือในศาสนาได้ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ชี้ไม่เคยหลบสื่อมวลชน แต่จะให้พูดซ้ำซาก ก็ไม่อยากพูด
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ ได้นำกรณีปัญหาวัดพระธรรมกาย เสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณา โดยมีนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
    นายชวน กล่าวว่า เรื่องของวัดพระธรรมกาย ต้องรอให้ที่ประชุมเถรสมาคม วันที่ 10 พ.ค. วินิจฉัยออกมาก่อน จากนั้นฝ่ายบริหาร จะรับไป ดำเนินการต่อไป
    นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช. ศึกษาธิการ กล่าวถึงปัญหาวัดพระธรรมกาย ซึ่งล่าสุดเจ้าอาวาส ไม่ยอมสึก และไม่ยอมโอนที่ดิน ซึ่งได้รับบริจาค 2,002 ไร่ ให้กับวัดว่า ขณะนี้ได้พยายามเจรจา โดยผ่านพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 และเชื่อว่า ภายในวันที่ 10 พ.ค. นี้ การโอนที่ดินจะเรียบร้อย เพราะเท่าที่ได้ รับการติดต่อ จากคนใกล้ชิดกับ เจ้าอาวาส ทราบว่า เจ้าอาวาสก็ยินดีที่จะเจรจาโดยไม่ดื้อดึง
    "โอนที่ดินให้วัด ก็จบ กำลังเจรจากับวัดโดยผ่านพระพรหมโมลี แล้วก็ยืนยันว่า เป็นเรื่องที่วัดก็ไม่ได้ดื้อดึงอะไร ผมเชื่อว่าก่อนวันที่ 10 พ.ค. นี้ เรื่องที่ดินน่าจะยุติได้" นายอาคมกล่าว
    สำหรับลายพระหัตถ์ ของสมเด็จพระสังฆราชจะต้องนำเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคม เพราะในฉบับสุดท้าย มีการพูดถึงขั้นปาราชิก ซึ่งหาก มีมติอย่างไร ทางกรมการศาสนาก็ยินดีที่จะปฏิบัติตาม
    ในเรื่องกรณีวัดพระธรรมกายนั้น ขณะนี้สถานการณ์เริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการปฏิบัติให้เป็นไปตามพระลิขิต ของสมเด็จ พระสังฆราช ที่ต้องการให้ปัญหาธรรมกายยุติลง โดยทางมหาเถรสมาคม ซึ่งถือเป็นองค์กรสูงสุด ในการปกครองคณะสงฆ์ไทย จะนำเรื่องเข้า พิจารณาในที่ประชุม วันที่ 10 พ.ค. นี้
    สำหรับประเด็นที่จะนำเข้าพิจารณาได้แก่ เรื่องการถือครองที่ดินของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ซึ่งจะต้องพิจารณากันถึงเรื่อง เจตนาการถวาย ที่ดิน ที่ญาติโยมถวายให้ว่า ต้องการถวายให้พระ หรือให้วัดกันแน่ อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่า มีผู้ใดเป็นผู้เสียหาย ในเรื่องนี้ แม้แต่รายเดียว
    นายอาคมกล่าวว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการปกครองคณะสงฆ์บอกว่า ปัญหาทั้งหมดควรจะให้ มหาเถรสมาคม เป็นผู้ตัดสิน เรื่องที่เกิดขึ้น ตอนแรกสื่อมวลชนบอกว่า วัดพระธรรมกายสอนเพี้ยน ทางกระทรวงศึกษาธิการก็เข้าไปดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งทางมส.ได้มีมติให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาคหนึ่ง ปฏิบัติให้เป็นไปตามมติเถรสมาคมแล้ว
    พอต่อมาสื่อมวลชนก็อ้างว่า พระธัมมชโยปาราชิก ซึ่งในเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทางกระทรวงศึกษาธิการ ไม่มีอำนาจตัดสินได้ แต่ประการใด อีกทั้งเมื่อพิจารณาถึงหลักปาราชิก 4 ประการแล้ว ความผิดของธัมมชโย ที่ถูกกล่าวหายังไมถึงขั้นนั้น โดยพระที่จะเป็นปาราชิก จะต้องทำผิด 1 ใน 4 อย่างนี้คือ ลักทรัพย์เกินกว่า 5 มาสก เสพย์เมถุน ฆ่ามนุษย์ อวดธรรมที่ไม่มีในตน
    แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระธัมมชโยยังไม่ผิดข้อไหนเลย มีแต่การกล่าวหา ที่เห็นดำเนินคดีแจ้งความกันก็เป็นเรื่อง ที่ผู้กล่าวหาวัด อ้างว่า ตนได้รับความเสียหาย เพราะว่าวัดหลอกลวงให้เข้าไปทำบุญ โดยบอกว่า ทำบุญกับวัดแล้วจะรวย เมื่อไม่รวย ก็ออกมากล่าวหาว่า วัดหลอกลวง ตนอยากถามว่า อย่างนี้จะเป็นคดีเป็นความผิดได้หรือไม่
    ส่วนเรื่องที่ว่ามีพระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราชออกมาว่า ถ้าไม่โอนที่ดินให้วัด จะเป็นปาราชิก ก็ต้องให้มส.ตัดสินก่อน ทางกระทรวง จึงจะสามารถเข้าไปดำเนินการได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องการถือครองที่ดิน ของพระ มีกฎหมายรับรองอยู่แล้ว ตนทำได้เพียงแค่ประสานกับ พระพรหมโมลี เพื่อหาทางให้เจ้าอาวาส โอนที่ให้กับวัด โดยไม่มีหน้าที่สั่งการแต่อย่างใด
    ก่อนหน้านี้ตนได้เข้าหารือกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านก็บอกว่า พระลิขิตไม่ใช่พระบัญชา และจะต้องยึดหลักคือ ไม่ขัดต่อ กฎหมาย ไม่ขัดต่อมหาเถรสมาคม และไม่ขัดกับพระธรรมวินัย เรื่องนี้ต้องให้พระผู้ใหญ่พูดถึงจะชัดเจน
    เรื่องนี้ขอยืนยันว่า จะทำให้เสร็จสิ้น ภายในวันที่ 10 พ.ค. นี้ แต่อย่าให้ชี้ว่า พระธัมมชโย เป็นปาราชิกหรือไม่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ การที่ สื่อมวลชนพยายาม จะให้จับ พระธัมมชโยสึก และย้ายพระ 7-9 รูป ออกไปจากวัด ผู้ที่รู้ท่านก็บอกว่า โทษยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะจะต้อง พิสูจน์ ให้ได้ว่า มีการฉ้อโกงเกิดขึ้น ซึ่งจะเข้ากฎหมายลักษณะลักทรัพย์
    ถ้าเราตัดสินแล้วไม่ให้ความเป็นธรรมกับวัด ก็จะมีปัญหาตามมาอีก คนที่ศรัทธาวัด จะไม่ยอมรับเพราะขนาดพวกถือผี เขายังสามารถมีสิทธิ์ เชื่อได้ เนื่องจากมีกฎหมายคุ้มครอง อันนี้เป็นศาสนา จะตัดสินโดยไม่มีกฎเกณฑ์ไม่ได้ ซึ่งทางมส. ก็ชี้ไปแล้วว่า ทางวัดต้องไม่เทศน์ผิด จาก พระไตรปิฎก
    ในเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีสั่งมาแล้วว่า จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และเรื่องจะต้องยุติอย่าให้เกิดความรุ่นแรง ตนก็ได้สั่งการไป ยังรองอธิบดี กรมศาสนา ให้เจรจากับทางวัดเรื่องการโอนที่ดิน ทางวัดก็รับปากว่า จะโอนให้ ตนอยากย้ำว่า ไม่ได้หลบหน้าสื่อมวลชน แต่จะให้พูดซ้ำๆ กัน ทุกวันมันก็ไม่ดี
    ตอนนี้จดหมายฉบับเดียวกัน เรียกพระบัญชาพระลิขิต พระอักษร เรียกตั้งหลายอย่างจนสับสนไปหมด ตนอยากบอกว่า พระลิขิตก็คือ จดหมายจากสมเด็จพระสังฆราช ที่มีถึงพระ ขอให้เข้าใจตามนี้ ดังนั้นในบางเรื่อง ที่ไม่คืบหน้า ก็จะไม่พูด แต่บอกไว้อย่างหนึ่งว่า อีกไม่กี่วัน วัดก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีอย่างแน่นอน
     
  13. lokemesa

    lokemesa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +26
    ถ้าท่านได้ทราบเรื่องการทุ่มเทในการฝึกปฏิบัติ ทุ่มเทเพื่องานเผยแผ่พระพุทธศาสนา
    ของวัดพระธรรมกายอย่างจริงจังแล้ว ท่านจะรู้ได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
    ที่กว่าวัดฯจะเติบโตขึ้นมาตามลำดับจนมาเป็นองค์กรเข้มแข็งอย่างทุกวันนี้
    ถ้าไม่ใช่ด้วยความรักในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้ว
    ไฉนท่านจะยอมมาลำบากตรากตรำทำงานหนักเพื่อพระพุทธศาสนานี้ เพื่อให้เขาว่าเขาด่าใส่ร้ายสารพัดเล่า
    เมื่ออยู่อย่างวัดอื่น ทำอย่างวัดอื่นที่เขาทำๆ กันมาแล้วนับร้อยๆปีไม่ดีกว่าหรือ
    หากวัดพุทธเรายังคิดอยู่เช่นนั้น ก็ถือได้ว่าสถานการณ์เรื่องความมั่นคงของพระศาสนาจะลดน้อยลงทุกที
    <o></o>
    สถิติทางพระศาสนาที่ทำกันทุกปีก็บอกอยู่ชัดเจนว่า คนนับถือศาสนาพุทธน้อยลง
    ไม่ใช่เท่านั้น แต่กลับไปเพิ่มสัดส่วนของผู้นับถือศาสนาอื่นยิ่งขึ้น
    พูดง่ายๆคือ วัดพุทธของเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีนโยบายเชิงรุกเหมือนศาสนาอื่นเขา (บางศาสนาตามถึงบ้าน)
    พอวัดพระธรรมกายเป็นตัวตั้งตัวตีทำกุศโลบายเผยแผ่เชิงรุกบ้าง
    จึงเป็นเรื่องแปลกประหลาดจากวัดพุทธทั่วไป หนักเข้าถึงขั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นระบบขายตรงอะไรไปโน้นเลย
    <o></o>
    แต่ท่านเชื่อไหมว่าด้วยนโยบายการเผยแผ่เชิงรุกนี่แหละ
    วัดพระธรรมกายได้ไปซื้อโบสถ์ของศาสนาหนึ่งมาทำเป็นวัดได้มาแล้ว
    แถมวัดนี้อยู่ในต่างประเทศด้วย คือ วัดพระธรรมกายลอนดอน ประเทศอังกฤษจ้ะ
    ไม่ใช่แต่เท่านั้น ตอนนี้ทางวัดได้เปิดวัดศูนย์สาขา ทั้งในทวีป ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกา
    และประเทศอื่นๆในแถบเอเชียด้วยกัน ดังนี้จ้ะ

    ในปี พ.ศ.2548 วัดพระธรรมกายมีสาขาในประเทศ จำนวน 28 สาขา
    ส่วนสาขาต่างประเทศสาขาแรก ตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2535 ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
    ซึ่งในปัจจุบัน วัดพระธรรมกาย มีสาขาอยู่ในประเทศ ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์,
    เบลเยี่ยม, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สเปน, เดนมาร์ค, สวีเดน,
    นอร์เวย์, บาห์เรน, ดูไบ, อะบู ดาบี, อิสราเอล, กาต้าร์, เขตปกครองพิเศษ
    ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ไต้หวัน (จังหวัดไต้หวันของจีน) , อิตาลี,
    เซาท์ แอฟริกา รวมทั้งสิ้นกว่า 40 สาขา

    ทางวัดศูนย์สาขายังเผยแผ่ธรรมะจนสามารถนำ ฝรั่งต่างชาติ มาบวชได้ปีหนึ่งๆเป็นหลายร้อยคนจ้ะ<o></o>
    ทางศาสนจักรอื่นเห็นสภาพการณ์อย่างนี้ก็อยู่ไม่ติดละจ้ะ แล้วเป็นไง<o></o>
    ผลก็ออกมาอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้แหละจ้ะ<o></o>
    การโจมตีต่อต้านวัดพระธรรมกายจึงหนักหน่วงและรุนแรง ทำกันเป็นระบบ <o></o>
    โดยเฉพาะช่วงนี้จะเริ่มมาอีกเป็นระลอก หลังจากที่ถูกโหมโจมตีหนักในช่วงปี 40, 41 มาแล้ว<o></o>
    แต่วัดฯก็ผ่านวิกฤติครั้งนั้นมาได้จ้ะ<o></o>
    <o></o>
    ซึ่งผู้มีปัญญา มีใจเป็นธรรมทั้งหลาย ลองตรองดูเถิดจ้ะ ว่า<o></o>
    ไฉนวัดพระธรรมกายโดนรุมสะกรัมหนักขนาดนั้น<o></o>
    โดยสื่อทั้งหลายทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ<o></o>
    กระหน่ำข่าวโจมตีอย่างไม่เว้นวันกันเลยนั้น วัดฯยังคงหยัดยืนอยู่มาได้อย่างไร<o></o>
    ถ้าวัดไม่ดีจริง วัดเป็นของปลอม ของเก๊ จะยังหยัดยืนสู้ทนมาถึงทุกวันนี้ได้ไหม <o></o>
    ทั้งที่ขนาดรัฐบาลซึ่งเป็นผู้ปกครองประเทศแท้ๆ ที่ว่าแน่ๆ <o></o>
    สื่อมวลชนพวกนี้ยังเป็นตัวแปรหลักโค่นล้มรัฐบาลมานักต่อนักแล้ว<o></o>
    <o></o>
    ปัจจุบันนอกจากจะยังยืนหยัดอยู่ได้แล้ว<o></o>
    ทางวัดยังพัฒนาการเผยแผ่ไปได้ก้าวหน้ามากกว่า ๑๐ ปีที่แล้วอย่างมากมายจ้ะ<o></o>
    พูดง่ายๆคือ มีคนเข้ามาปฏิบัติธรรมกับวัดพระธรรมกายเพิ่มขึ้นอีกมากมาย<o></o>
    มากกว่าก่อนที่จะถูกโจมตีเสียอีกจ้ะ<o></o>
    <o></o>
    ทองแท้ ของจริง ย่อมทนต่อการพิสูจน์จ้ะ มาบัดนี้ก็ยังต้องอดทนต่อไปจ้ะ<o></o>
    --------------------------------------------
    สื่อมวลชนสารภาพบาปจ้ะ

    http://www.kalyanamitra.org/news/goodnews/kalyanamitranews/GOODNEWS/innewswat/july/july07.jpg

    http://www.geocities.com/Tokyo/Spa/1653/advert/apolo3.jpg

    http://www.geocities.com/Tokyo/Spa/1653/advert/apolo2.jpg

    http://www.geocities.com/Tokyo/Spa/1653/advert/apolo1.jpg
    <!--[if gte vml 1]><v:shapetype id="_x0000_t75" coordsize="21600,21600" o:spt="75" o:preferrelative="t" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" filled="f" stroked="f"> <v:stroke joinstyle="miter"/> <v:formulas> <v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"/> <v:f eqn="sum @0 1 0"/> <v:f eqn="sum 0 0 @1"/> <v:f eqn="prod @2 1 2"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @0 0 1"/> <v:f eqn="prod @6 1 2"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="sum @8 21600 0"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @10 21600 0"/> </v:formulas> <v:path o:extrusionok="f" gradientshapeok="t" o:connecttype="rect"/> <o:lock v:ext="edit" aspectratio="t"/> </v:shapetype><v:shape id="Picture_x0020_10" o:spid="_x0000_i1027" type="#_x0000_t75" style='width:375pt;height:423.75pt;visibility:visible;mso-wrap-style:square'> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.png" o:title=""/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->-----------------------------------------
    <o></o>
    เรื่องการปั่นอารมณ์มวลชนในขณะนี้นั้น ก็เป็นกลุ่มเดิมๆล่ะจ้ะ <o></o>
    อาศัยช่วงบ้านเมืองกำลังวุ่นวาย ชาวบ้านส่วนใหญ่อารมณ์บ่จอย<o></o>
    จึงได้จุดชนวนประเด็น ชุดมหาลดาปสาธน์ ขึ้นมาอีก<o></o>

    ทั้งที่ถ้าเราสังเกตุให้ดี เรื่องนี้เกิดขึ้นผ่านมาเป็นสองสามปีแล้ว แต่ไฉนพึ่งมีผู้คิดปั่นกระแสนี้ขึ้นมา<o></o>
    โดยเฉพาะการฟอร์เวิร์ดเมล์ทางอินเตอร์เน็ต<o></o>
    เห็นได้อย่างชัดเจนจ้ะว่ามีการวางแผนมาล่วงหน้า ทำกันอย่างเป็นระบบ เลือกช่วงเวลาที่สังคมอ่อนแอ<o></o>
    อาศัยช่วงเวลาที่บ้านเมืองวุ่นวาย(จากการเมืองและสภาวะเศรษฐกิจ) <o></o>
    อารมณ์ของมวลชนหงุดหงิดง่ายต่อการปั่นให้เกิดความโกรธ <o></o>
    ง่ายต่อการยุยงให้แตกแยกแบ่งฝักฝ่าย ดูเอาเถิดจ้ะ<o></o>
    แม้เรื่องนี้ จะผ่านมานับปีแล้วก็ตาม เขาก็ยังอุตส่าห์ไปขุดมาจุดเป็นประเด็นจนได้<o></o>
    ลุกลามมาจนเป็นกระทู้ต่อความยาวสาวความยืดกันอย่างที่ท่านเห็นอยู่นี่แหละจ้ะ<o></o>

    โปรดให้ความเป็นธรรมกับทางวัดพระธรรมกายด้วยเถิดจ้ะ<o></o>
    ไม่ต้องอะไรมากมาย ขอแค่ท่านได้เข้ามาดูมาศึกษา อย่างจริงจังด้วยใจเป็นกลางก่อน<o></o>
    ให้ได้รู้ได้เห็นกับตาตนเองก่อน แล้วดีไม่ดี ชอบไม่ชอบอย่างไร ก็ค่อยว่ากันจ้ะ<o></o>
    อย่าฟังแต่สื่อมวลชน หรือคนที่เขามีอคติกับวัดฯ ข้างเดียวเลยจ้ะ<o></o>
    เชิญมาพิสูจน์ด้วยใจท่านเองเถิด วัดไม่เคยปิดกั้นผู้ต้องการพิสูจน์ความจริง
    เฉกเช่นเดียวกับที่ศาสนาพุทธเราไม่เคยปิดกั้นต่อการพิสูจน์สัจธรรมจ้ะ<o></o>
    <o></o>
    ----------------------------------------------------------------<o></o>​
    เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร<o></o>
    <o>
    </o>​
    เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมไม่สงบระงับด้วยการจองเวร*ในกาลไหนๆเลย<o></o>
    แต่เวรทั้งหลาย ย่อมสงบระงับด้วยการไม่จองเวร** นี้เป็นธรรมเก่า<o></o>

    ชนเหล่าอื่น***ไม่รู้ชัดว่า พวกเรากำลังย่อยยับอยู่ ณ ที่นี้<o></o>
    ส่วนชนเหล่าใดในหมู่นั้นรู้ชัด ความมุ่งร้ายกันย่อมระงับไป เพราะการปฏิบัติของชนเหล่านั้น<o></o>
    <o>
    </o>​
    [* เวรนั้นนอกจากไม่สงบระงับแล้ว ยังกลับเพิ่มพูนเวรต่อกันให้มากยิ่งขึ้น<o></o>
    เปรียบเหมือนการใช้น้ำสกปรกชำระล้างสิ่งสกปรกก็ยิ่งเพิ่มพูนความสกปรกมากขึ้น (ขุ.ธ.อ. ๑/๔๕)]<o></o>
    <o>
    </o>
    [** การไม่จองเวร หมายถึงธรรมคือขันติ(ความอดทน) เมตตา(ความรัก) โยนิโสมนสิการ(การพิจารณาโดยแยบคาย)
    และปัจจเวกขณะ(การพิจารณา) (ขุ.ธ.อ. ๑/๔๕)]<o></o>
    <o>
    </o>
    [*** ชนเหล่าอื่น หมายถึงคนที่สร้างความแตกแยกในหมู่ (ขุ.ธ.อ. ๑/๕๘)]<o></o>
    <o>
    </o>​
    ขุ.ธ. 25/11/15.<o></o>​
    มจร. (แปล) 25/3-6/24-25.<o></o>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2008
  14. ๙๙๙๙๙๙๙๙๙

    ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +2,808
    ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่กว่าวัดฯจะเติบโตขึ้นมาตามลำดับจนมาเป็นองค์กรเข้มแข็งอย่างทุกวันนี้ ไม่ได้สร้างให้ใหญ่ แต่สร้างเพื้อรองรับสาธุชนและพระ ที่จะมาจากทั่วโลกครับ เพราะวัดธรมกายกำลังจะเป็นศูณย์กลางพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ จึงจำเป็นต้องสร้างถานที่รองรับครับผม จะปล่อยให้นั้งตากแดดตากลมตากฝนได้อย่างไร ในเมื่อเค้ามาเพื้อนั้งสมาธิทำใจใสๆ หากสถานที่รองรับไม่ได้แล้วจะมีการรวมคณะสงฆ์จากทั่วทุกมุมโลกได้อย่างไร ศาสนาอื่น ยังมีการร่วมกันเพื่อประกอบศาสนะพิธีเลยครับ สร้างใหญ่โตแต่ไม่มีคนมา จะสร้างไปเพื่ออะไรครับ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างถ้าไม่มีคนมา

    [vdo]http://palungjit.org/attachments/a.365781/[/vdo]

    [​IMG] 11.wmv (3.30 MB) << กดโหลด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0 (1).jpg
      0 (1).jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.7 KB
      เปิดดู:
      46
    • 0 (2).JPG
      0 (2).JPG
      ขนาดไฟล์:
      52.7 KB
      เปิดดู:
      37
    • 0 (4).JPG
      0 (4).JPG
      ขนาดไฟล์:
      42.3 KB
      เปิดดู:
      58
    • 0 (5).JPG
      0 (5).JPG
      ขนาดไฟล์:
      59.1 KB
      เปิดดู:
      55
    • 0 (6).JPG
      0 (6).JPG
      ขนาดไฟล์:
      37.2 KB
      เปิดดู:
      62
    • 0 (7).JPG
      0 (7).JPG
      ขนาดไฟล์:
      49.1 KB
      เปิดดู:
      52
    • 0 (8).JPG
      0 (8).JPG
      ขนาดไฟล์:
      60.3 KB
      เปิดดู:
      52
    • 0.jpg
      0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.2 KB
      เปิดดู:
      44
    • 0 (3).jpg
      0 (3).jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.4 KB
      เปิดดู:
      69
    • 11.wmv
      ขนาดไฟล์:
      3.3 MB
      เปิดดู:
      231
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กรกฎาคม 2008
  15. ดุสิตบุรี

    ดุสิตบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +273
    ผู้ที่มีอคติก็จะหาเหตุผลต่างๆมาลบล้างได้เสมอ เพราะเขาเหล่านั้นปฏิเสธหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์เสียแล้ว

    ผมขอถามครับ ว่าวันนี้คุณทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาหรือยัง

    ถ้าคุณทำอยู่แล้ว คุณทำต่อไปครับ ถ้าคุณเข้าใจหนทางพระนิพพานได้แล้ว คุณมีครูบาอาจารย์ที่เข้าใจหนทางพระนิพพานและสอนวิธีให้คุณแล้ว คุณไม่ต้องเข้าวัดพระธรรมกายก็ได้

    ผมจะดำเนินชีวิตประจำวันนั้นของผมในเรื่องทาน รักษาศีล เจริญภาวนาดังนี้ครับ

    ทาน-ตอนเช้าผมต้องรีบไปทำงาน ผมก็จะมีกระปุกออมสินเป็นลักษณะกลมๆ แล้วนำปัจจัยที่อธิษฐานดีแล้ว หยอดไว้ทำบุญ พอครบหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือนผมก็จะนำปัจจัยนั้นไปถวายพระภิกษุสงฆ์เป็นค่าภัตตาหาร เป็นบุญอย่างอื่นในบวรพุทธศาสนาครับ (โดยส่วนตัวผมจะปวารณาว่าอย่างน้อยผมต้องหยอดเท่ากับค่าอาหารหนึ่งมื้อทุกวันครับ)

    ศีล-ผมจะอธิษฐานสมาทานศีล 5 (และศีล8 ตามโอกาส) ทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน ตลอดทั้งวันผมจะไม่กระทำผิดศีลเลยเพราะศีลได้เข้าไปอยู่ในใจผมแล้ว ไม่ต้องบังคับให้ตัวเองรักษาศีล แต่ใจมันรักษาได้อัตโนมัติแล้วครับ ตั้งแต่ผมเข้าวัดพระธรรมกายมา ผมก็เชื่อเรื่องบุญและบาปเป็นอย่างมาก แม้แต่ยุงตัวหนึ่งผมก็เคยไม่เคยตบเลย(ช่วงแรกๆทนไม่ไหวตอนนอน เลยเผลอตบไปหนึ่งตัวครับ)

    สมาธิภาวนา-ตื่นขึ้นมาผมจะนึกภาวนาเสมอว่า "อันตัวเรานั้นตายแน่ ตายแน่ ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขกาย สุขใจ"(เป็นหลักเจริญมรณานุสติของวัดครับ) และจะลุกพับผ้า จัดที่นอน ไปอาบน้ำ ทุกอริยาบถตลอดทั้งวันตั้งแต่ตื่นนอน ไปจนถึงเข้านอน ผมจะประคองใจไว้ณ กลางท้อง เป็นสมาธิ เป็นสติปัฏฐาน ก่อนนอนผมจะทำภาวนา และตอนนอนผมจะนึกถึงบุญที่ได้ทำมาจนหลับไปครับ

    ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านเฝ้าสอนผมและบรรดาลูกๆชายหญิงของท่านอยู่เสมอทุกวันไม่เคยขาดครับ โดยท่านเรียกว่าการบ้าน 10 ข้อครับคือ

    ส่วนเรื่องทรัพย์สินเงินทองที่เราหามาได้ จะเก็บกันไปทำไม เก็บให้เป็นกิเลสเหรอครับ สะสมจนตัวตายก็ไม่ได้ใช้ สละออกมาสิครับ สละให้พระพุทธศาสนาและสังคม จะได้เป็นทางมาแห่งบุญ พระพุทธศาสนาอยู่ได้เพราะการให้ครับ ถ้าขาดการให้กันสักวันหนึ่ง พระสงฆ์ก็ไม่มีข้าวฉัน พ่อแม่ก็ไม่ให้ลูก ลูกก็อด ประเทศชาติก็ไปไม่รอดครับ

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนเสมอว่าทรัพย์ที่เราหามาได้ให้แบ่งทรัพย์ที่หามาได้เป็น 4 ส่วนคือ
    1. ตอบแทนกตัญญูต่อบิดา มารดาและผู้มีพระคุณ
    2. เป็นค่าอาหาร ของใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันต่างๆครับ
    3. เป็นค่ายารักษาโรคในปัจจุบันและอนาคต
    4. ทำบุญในพระพุทธศาสนา

    ถ้าทำตามที่ท่านสอน แล้วจะเดือดร้อนเรื่องเงินทองตรงไหนครับ ท่านไม่ได้สอนให้เรามีเงินเท่าไร ก็ถวายวัด ถวายท่านให้หมด พ่อแม่ไม่ต้องสนใจ บุตรสามีภรรยาจะตายก็ช่าง ท่านไม่เคยพูดเลย มีแต่สื่อ และก็พวกที่อคติมักจะพูดใส่ร้ายท่านอยู่เสมอ

    ส่วนบางคนที่เขาบริจาคแบบสุดกำลังนั่นเป็นเรื่องของศรัทธาที่มาจากการปฏิบัติครับเพราะเขาเห็นว่าทางโลกไม่จำเป็นแล้ว เขาพอเสียแล้ว เขามีความพอใจในสิ่งที่เขาได้มีอยู่ เขาต้องการเห็นสันติสุขเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เขาอยากให้มีคนมาปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงธรรมได้มากๆ เข้าอยากให้พระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปทั่วโลก เพื่อให้คนทั้งหลายเข้าใจความเป็นมาของชีวิต จะได้เข้าใจว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร

    ผมจะยกตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อแม่คุณป่วยหนักต้องใช้เงินรักษามากเป็นพิเศษ แต่คุณไม่มีเงินพอที่จะรักษาท่าน แต่คุณมีบ้าน มีรถ มีที่ดิน คุณจะทำอย่างไร
    1. นายดำคิดว่าพ่อแม่ป่วยก็เป็นวิบากกรรมของท่าน ปล่อยให้ไปตามกรรม คนเราเกิดมาก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปล่อยให้เป็นไปตามเวรตามกรรม เราดูแลพอตามอัตภาพที่เป็นอยู่ก็พอ อย่าไปเดือดร้อนอะไรให้มาก ทำแต่พอสมควร
    2. ส่วนนายขาวนั้นคิดว่าพระคุณของพ่อแม่นั้น อยากที่หาอะไรมาเทียบได้ เราต้องหาเงินมารักษาท่านให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะขายรถ ขายบ้าน ขายที่ดิน ก็ยอมลำบากเพื่อตอบแทนพระคุณท่าน ถ้าไม่มีพ่อแม่ ก็ไม่มีเราในวันนี้ ใครจะว่ายังไงก็ไม่สนใจ เพราะนี่คือต้นทางบุญกุศลของเรา เราจะกตัญญูต่อพ่อแม่ของเรา

    คุณจะเลือกเป็นใคร ระหว่างนายดำกับนายขาวครับ

    ฉันใดก็ฉันนั้นปัจจัยที่พวกเราถวายให้วัดพระธรรมกายไปนั้น ก็สร้างแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อพระศาสนาทั้งสิ้น ถ้าถวายไปแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นมา ไม่มีโครงการอะไรเลย แล้วใครเขาจะโง่หลงงมงายศรัทธาตั้ง 30 กว่าปีครับ คนที่เข้าวัดก็มีแต่พวก ดร. นายพล วิศวะ นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่เขามีปัญญาแยกแยะดีชั่วได้ ถ้าพวกเขาเชื่อสื่อนะครับ ป่านนี้วัดพระธรรมกายก็คงจะเป็นวัดร้างไปแล้ว แต่มันกลับตรงกันข้าม พอมีข่าวออกไป ผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ต่างมาดู มาศึกษา มาปฏิบัติตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เขาก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น ครอบครัวก็อบอุ่นมากขึ้น ไม่เหมือนกับคนโง่บางคนที่เอาแต่เชื่อสื่อ เชื่อคำพูดของใครบางคน จนทิ้งหลักกาลามสูตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้วครับ

    ทั้งหมดที่พิมพ์ออกมามีจุดประสงค์เดียวก็คือ จะเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระศาสนายามที่พระศาสนามีภัย จะขอชี้แจงให้กับบุคคลทั้งหลายที่ยังไม่เข้าใจ ให้เขาเหล่านั้นเข้าใจ เพื่องดซึ่งบาปอกุศลจากการว่ากล่าวพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปิดประตูอบายให้เขาเหล่านั้นครับ

    ขออาราธนาบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ตลอดบารมีธรรมของมหาปูชนียาจารย์ทุกท่าน และบุญกุศลทั้งหลายที่กระผมได้ทำมาดีแล้ว ทั้งทาน ศีล ภาวนา จงมาประชุมรวมกัน ณ ศูนย์กลางกายฐาน ให้มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพส่งผลอภิบาล ปกป้อง คุ้มครอง รักษา ให้ทุกท่านที่ได้ตั้งใจศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ และทุกท่านที่ได้มาอ่าน ก็ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงธรรมะภายใน มีสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในกฎแห่งกรรมทั้งปวง สามารถสั่งสอนตักเตือนตนเองได้ ได้เข้าใจในสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงในทุกสิ่งทุกประการ ให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุขัยยืนนาน อยู่สร้างบุญบารมีไปนานๆ เป็นอายุให้กับพระพุทธศาสนา ให้เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ ให้ได้สร้างบุญ สร้างความดีตลอดทุกๆอนุวินาที ตราบชีวิตหมดสิ้นอายุขัย ให้เป็นไปอย่างนี้ตราบกระทั่งถึงวันที่สุดแห่งธรรมเทอญ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ

    สาธุ กับทุกท่านที่ได้นำธรรมะดีๆมาฝากด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2008
  16. ดุสิตบุรี

    ดุสิตบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +273
    การบ้าน 10 ข้อที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยให้บรรดาลูกๆชายหญิงของท่านครับ

    1.นำบุญไปฝากคนที่บ้าน
    นำ บุญไปฝากคนที่บ้าน หมายถึง การเดินทางกลับบ้านด้วยความสดชื่น ด้วยจิตใจสดใสมีพลัง เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา และความเข้าใจถึงสภาวะในบ้านของตน คนใกล้ชิด อย่างพอคาดคะเนได้ว่าในแต่ละวันจะต้องกลับไปพบกับอะไร ทำให้เกิดภาวะเตรียมตัว เตรียมใจ ห่อหุ้มตนไว้ด้วย สภาวธรรมที่ตนเข้าถึง หรือด้วยอารมณ์สดใสแช่มชื่น อย่างพร้อมที่จะพบกับทุกสิ่งบนพื้นฐานแห่งเมตตาธรรมของตน
    2. จดบันทึกผลการปฏิบัติธรรม
    ทั้ง นี้เพื่อการพัฒนาที่ต่อเนื่องในเรื่องของการปฏิบัติ การจดบันทึกทำให้เกิดการทบทวน ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งทบทวนยิ่งรู้แจ้ง ยิ่งเกิดบุญ ครั้นเมื่อกลับมาอ่านในตอนเช้า หรือวันต่อไปจะทำให้ธรรมะของเราต่อเนื่องและลุ่มลึก เป็นข้อดีอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดพัฒนาในการปฏิบัติธรรม ทำให้ปรับตนได้ จับอารมณ์ของตัวเองว่าอย่างไรจึงทำให้ธรรมะดี อย่างไรทำให้การปฏิบัติถดถอย หรือละเอียดได้ไม่เท่าเดิม
    3. ก่อนนอนนึกถึงบุญที่สั่งสมมาทั้งหมด
    หมาย ถึง ทุกคืนก่อนล้มตัวลงนอน หรือก่อนเข้านอน หรือเมื่ออยู่ในช่วงเวลาก่อนนอนให้นึกถึงความดีที่ทำมาตลอดวัน ตลอดสัปดาห์ ตลอดเดือน ตลอดปี โดยเริ่มต้นที่บุญหรือความดีที่ประทับใจที่สุดเพื่อให้เกิดปีติ จากนั้นความปีตินั้นก็จะทำหน้าที่ดึงดูดบุญหรือความดีอื่น ๆ โดยอัตโนมัติ หรือทำให้นึกได้อย่างต่อเนื่องจนเกิดความรู้สึกภูมิใจ ปีติใจ ชื่นใจในตนเอง
    4.หลับในอู่แห่งทะเลบุญ<!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec-->
    หมาย ถึง การฝึกให้หลับอย่างมีสติ หลับไปในห้วงของความสว่าง ในห้วงของความสงบ หรือหลับไปในปีติหลังจากที่นึกถึงบุญที่สั่งสมมาทั้งหมดแล้ว
    5.ตื่นในอู่แห่งทะเลบุญ
    <!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec-->หมายความว่าให้ตื่นในความสว่างไสว ตื่นอย่างสดใส ตื่นอย่างอารมณ์ดี ตื่นอย่างมีสติเตือนตนถึงความดีที่ได้ทำมา
    เพื่อเช้าวันใหม่ ชีวิตใหม่จะได้ดีกว่าชีวิตเดิมเมื่อวานนี้ เพื่อการทำงาน ทำความดีได้เต็มที่เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม
    6.เมื่อตื่นแล้วรวมใจเป็นหนึ่งกับองค์พระ 1 นาที
    <!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec-->ใน 1 นาทีให้นึกว่าเราโชคดีที่รอดตายมาอีกหนึ่งวันขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข อันตัวเรานั้น ตายแน่ ตายแน่
    หมาย ความว่า ทันทีที่เรารู้สึกตัวตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ สิ่งแรกที่เราต้องฝึกคิดถึงเป็นอันดับแรกคือ องค์พระ สัก 1 นาที และใน 1 นาทีนั้นให้เรานึกว่าเราโชคดีที่รอดตายมาได้อีก 1 วัน แล้วแผ่เมตตาขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข อันตัวเรานั้นตายแน่ ตายแน่
    7.ทั้งวันให้ทำความรู้สึกว่าตัวเราอยู่ในองค์พระ องค์พระอยู่ในตัวเรา ตัวเราเป็นองค์พระ องค์พระเป็นตัวเรา<!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec-->
    หมาย ความถึง การทำใจให้ผูกพันอยู่กับองค์พระ ใจเรากับใจพระจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อชีวิตจะอยู่ในความปลอดภัย ร่างกายจะได้แข็งแรง เพราะการที่ใจอยู่กับพระ กระแสของพระก็จะเข้ามาหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา
    8.ทุก 1 ชั่วโมง ขอ 1 นาที เพื่อหยุดใจ นึกถึงดวง องค์พระ หรือทำใจนิ่งๆ ว่างๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7<!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec-->
    หมาย ความว่า วันทั้งวันที่ไม่ใช่เวลานอนเราจะได้ใกล้ชิดกับพระจริง ๆ ใกล้ชิดกับธรรมะเราเข้าถึงจริง ๆ เพราะในข้อที่ 7 นั้น เป็นการทำได้โดยโครงสร้าง เหมือนการวางตัวไว้ในกรอบเพื่อความไม่ประมาทแต่สำหรับข้อที่ 8 นี้ ถือเป็นการทำให้ละเอียดลงไปอีกขั้นตอนหนึ่ง
    9.ทุก กิจกรรมตั้งแต่ตื่นนอน ไม่ว่าจะเป็นการล้างหน้า อาบน้ำ แต่งตัว รับประทานอาหาร ล้างจาน กวาดบ้าน ออกกำลังกาย ขับรถ ทำงาน ให้นึกถึงดวง หรือองค์พระไปด้วย<!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec-->
    หมาย ถึงการทำใจให้จดจ่ออยู่กับธรรมะ อยู่กับศูนย์กลางกาย โดยไม่ต้องเลือกเวลา กิจกรรม หรือสถานที่ ซึ่งบางทีอาจนึกถึงดวง บางครั้งเป็นองค์พระ สลับไปมาก็ไม่เป็นไร จุดมุ่งหมายเพื่อให้ใจจดจ่ออยู่กับธรรมะ กับศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ของตน
    การทำการบ้านข้อนี้จะมีผลทำให้ไม่ไป วุ่นวายกับเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของตน ทำให้ลดการเกิดวิบาก ลดการกระทำที่อาจทำให้เกิดบาปขึ้นได้ ตรงกันข้ามกลับทำให้บุญไหลมาเทมา ธรรมะสุกใสไปกับวันเวลาและภารกิจการงาน
    10.สร้างบรรยากาศให้ดี สดชื่น ด้วยรอยยิ้ม และปิยวาจา
    <!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec-->หมายความถึงการสร้างสรรค์อารมณ์ที่ดี อารมณ์งดงาม ความสุนทรีให้เกิดในชีวิตและในบรรยากาศโดยรอบ
    "รอย ยิ้ม" เคยเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล เรียกว่า ยิ้มสยาม แต่นับวันรอยยิ้มของคนไทยเริ่มจางหายไปทุกที ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอีกทั้งสภาวะมลพิษทำให้คนไทยเกิดความเครียดในชีวิต หน้าที่การงาน ครอบครัว ทำให้ไม่มีอารมณ์ยิ้มเหมือนแต่ก่อน เมื่อยิ้มยากขึ้น คำพูดที่ออกมาก็กระด้าง ไม่ไพเราะ หรืออาจจะหยาบคาย ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งตึงเครียด และเกิดการกระทบกระทั่งกัน ดังนั้นจึงต้องฝึกสร้างบรรยากาศด้วยรอยยิ้มและปิยวาจาโดยเริ่มที่ตัวเรา เมื่อเราส่งรอยยิ้มและปิยวาจาออกไป คนอื่นก็จะรู้สึกดีและส่งตอบกลับมาผลก็คือเกิดบรรยากาศที่ดีทำให้ใจเราดี ยิ่งขึ้น นุ่มนวลยิ่งขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2008
  17. Jintasak

    Jintasak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    533
    ค่าพลัง:
    +1,920
    อย่างไรเสีย การทำบุญย่อมได้บุญ ผมไม่ได้เถียงหรอก และถ้าผู้ศรัทธาในวัดธรรมกาย ได้ปฏิบัติธรรมที่ลดความยึดมั่นถือมั่นลงตามที่อธิบายจริง ผมก็อนุโมทนาครับ

    มีประเด็นที่ผมยกให้ขบคิดเพื่อประโยชน์ของท่านเอง

    1. พิธีกรรมใหม่ๆ ผมเห็นว่าทางวัดธรรมกายสร้างพิธีกรรมเพิ่ม ซึ่งก็ผิดเท่าๆ กับวัดอื่นๆ ที่สร้างพิธีกรรมเพื่อดูดเงินเข้าวัด ...การอ้างผู้อื่นว่าทำผิดเช่นเดียวกับเรา ไม่ได้ทำให้เราเป็นฝ่ายถูกไปได้ ...ผมมองว่า ผู้ศรัทธาต้องยอมรับว่า พิธีกรรมใหม่ๆ ของวัดธรรมกายเป็นจุดบกพร่อง (เช่นเดียวกับวัดอื่นๆ)

    2. ส่วนประโยคที่ว่า ‘ทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี ครับ/คะ’

    เป็นความสับสนของวัดธรรมกายครับ ...แสวงบุญมันต่ำกว่าการทำนิพพานให้แจ้ง ...คุณต้องไปดูคำสอนหลัก ที่ว่า ละเว้นความชั่ว ทำความดี และทำให้ใจขาวรอบ(คือพ้นจากดี และชั่ว)

    ขั้นตอนคำสอน จะพาไปหาบุญกันท่าเดียว ...ย้ำอีกทีว่า บุญไม่ได้ผิด แต่มันกำลังกลบสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า ...ถ้าคุณยอมรับความจริง ผมเชื่อว่า คุณจะพบว่า พระทั้งหลายเน้นบุญมากกว่าภาวนา ...ทั้งหมดดูจากผลคือการสร้างวัตถุมากมาย และแม้แต่ผู้ศรัทธาที่มาเขียนสนับสนุน ก็ยังเน้นแต่เรื่องวัตถุเป็นส่วนใหญ่

    ...คุณลองดูคำสอนส่วนใหญ่มีแต่เรื่องเล่าเกี่ยวกับบุญที่น่าได้ ชวนให้อยากได้ทั้งนั้น ...ลองสังเกตอย่างจริงใจกับตัวเองแล้วน่าจะเห็นได้ว่า เกิดความอยากทำบุญให้มากๆ หรือเปล่า (กระตุ้นกิเลสอย่างชัดเจน)

    3. ผมงงกับเหตุผลด้านล่างครับ ...ลองหาพระสูตรที่แสดงเหตุผลที่ว่ามาให้อ่านหน่อย

    ฝ่ายฆารวาสญาติโยมกับฝ่ายพระนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านวางหลักไว้ไม่เหมือนกันจ้ะ
    คือ ผู้ยังครองเรือนมีหลักสิกขา 3 ข้อคือ ทาน ศีล ภาวนา
    ส่วนพระภิกษุผู้สละเรือนแล้วมีสิกขา 3 ข้อเช่นกัน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    จะเห็นได้ว่าหลักเน้นแตกต่างกันจ้ะ ของโยมนั้นพุทธองค์วางหลักเน้นทานเป็นข้อแรกจ้ะุ
    ส่วนของพระที่ไม่มีข้อทานเพราะพระไม่ได้ประกอบอาชีพอย่างทางโลกจ้ะ
    พระทำได้อย่างมากก็บอกบุญญาติโยมอย่างที่เห็นนั้นล่ะจ้ะ
    ส่วนสองข้อหลังของฆารวาส คือ ศีล ภาวนา กับ ศีล สมาธิ+ปัญญาของพระว่าโดยอนุโลมสงเคราะห์รวมลงกันได้จ้ะ


    ...ส่วนผมมองต่างมุมว่า การให้ทานมีเป้าหมาย คือการจาคะ(ละตัวตน ละของตน) ซึ่งการพระภิกษุคือผู้ที่จาคะ คือละจากสมบัติและครอบครัวแล้ว ...ถ้าคุณเข้าใจว่า เป้าหมายของทานคือการจาคะ (เพื่อละตัวตนให้ลดลง) ไม่ใช่การสะสมบุญเป็นหลัก ...แม้ไม่ตั้งใจอยากได้บุญ ก็ได้บุญอยู่ดี ...แต่การอยากได้บุญ กลับเป็นการสะสมเพิ่มตัวตนอย่างชัดเจน

    ถ้าคุณเข้าใจว่า เป้าหมายทั้งหมดไม่ใช่การสะสม แต่เป็นการจาคะ(สละออก) ก็จะเห็นว่า ทั้งพระและฆราวาส ก็ทำได้เหมือนกันหมด ...แต่การเห็นว่า ให้ทานมีเป้าหมายเพื่อสะสมบุญ ก็จะเกิดความสับสนครับ

    คือพระได้จาคะสูงสุดไปแล้ว ส่วนฆราวาสยังจาคะเพียงบางส่วน ...พระจึงไม่ต้องมาแข่งทำทานกับฆราวาส

    ทั้งพระและฆราวาสก็คือมนุษย์เหมือนกัน ไม่ได้มีหลักอะไรพิเศษในการปรับปรุงจิตใจให้สูงขึ้น(จนบรรลุธรรม) แตกต่างกันหรอก


    4. ส่วนเรื่องการทำให้พระพุทธเจ้าเป็นเทพเจ้า (คติแบบเทวนิยม) ดูได้จากการที่พระผู้ใหญ่ของวัดธรรมกาย สามารถทำพิธีถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้ (เทพเจ้าชัดๆ) เป็นเช่นเดียวกับพราหมณ์ที่เป็นผู้วิเศษสามารถติดต่อเทพเจ้าต่างๆ ได้ ...ลองค้นดูว่ามีในพระไตรปิฏกไหม ...การทำพิธีต่างๆ เพื่อสะสมบุญ ...การมีคะแนนบุญสะสมถ้าบอกบุญได้มากๆ


    5. เรื่องพระมีหน้าที่บอกบุญ ผมเข้าใจว่าเป็นความเข้าใจผิดเช่นกันครับ ...ให้ลองดู<b><big> มหาสุญญตสูตร </big></b>ด้านล่างจะชัดเจนครับ ...มีคำสอนให้สาวกบอกบุญเพื่อสะสมบุญให้ตัวเองไหม(เพิ่มกิเลสชัดๆ)


    6. ส่วนการยกความยิ่งใหญ่หรือปริมาณคนหรือพระนั้น ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่า ธรรมกายดีนะครับ ...มองมุมกลับ คนที่ไม่เข้าวัดธรรมกายก็มีเป็นล้านๆ คน จะเป็นการการันตีว่า ธรรมกายไม่ดีได้หรือเปล่า ...การสร้างภาพแบบนี้ เป็นมายาคติที่ใช้หลักการตลาดสร้างขึ้นครับ ...ลองขบคิดดูครับ


    7. สำหรับผู้ที่โพสสนับสนุนที่มักขึ้นต้นประโยคในทำนองว่า เมื่อก่อนก็ไม่ชอบธรรมกาย ...ผมว่ามันเป็นภาษาโฆษณามากไปสักหน่อย ...เพราะซ้ำหลายคนครับ :) ...ความชอบหรือความไม่ชอบไม่ใช่ประเด็นครับ ต้องตรวจสอบกับหลักธรรมในพระไตรปิฏก ...ความชอบไม่น่านับเป็นเหตุผล เพราะคนไม่ชอบวัดเลยก็มีเป็นล้านๆ คนเช่นกัน แล้วจะว่าวัดไม่ดี อย่างนั้นหรือ


    [เล่ม 14]
    <b><big>มหาสุญญตสูตร

    </big></b>[๓๕๑] พ. ดูกรอานนท์ สาวกไม่ควรจะติดตามศาสดาเพียงเพื่อฟัง
    สุตตะ เคยยะ และไวยากรณ์เลย นั่นเพราะเหตุไร เพราะธรรมทั้งหลายอันพวก
    เธอสดับแล้ว ทรงจำแล้ว คล่องปากแล้ว เพ่งตามด้วยใจแล้ว แทงตลอดดีแล้ว
    ด้วยความเห็น เป็นเวลานาน ดูกรอานนท์ แต่สาวกควรจะใกล้ชิดติดตามศาสดา
    เพื่อฟังเรื่องราวเห็นปานฉะนี้ ซึ่ง

    -เป็นเรื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง
    -เป็นที่สบายแก่การพิจารณาทางใจ
    -เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายส่วนเดียว...
    -เพื่อดับกิเลส
    -เพื่อสงบกิเลส
    -เพื่อความรู้ยิ่ง
    -เพื่อความตรัสรู้
    -เพื่อนิพพาน คือ
    -เรื่องมักน้อย
    -เรื่องยินดีของของตน
    -เรื่องความสงัด
    -เรื่องไม่คลุกคลี
    -เรื่องปรารภความเพียร
    -เรื่องศีล
    -เรื่องสมาธิ
    -เรื่องปัญญา
    -เรื่องวิมุตติ
    -เรื่องวิมุตติญาณทัสสนะ ฯ
     
  18. LNS@BDZ

    LNS@BDZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,585
    ผมสงสัยมาก ว่าอยู่ดีๆ ความเห็นของผมที่โพสที่กระทู้นี้เมื่อวาน แต่วันนี้ กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ใครเป็นคนลบ แล้วมีเหตุผลอะไรด้วย กรุณาช่วยบอกผมให้ทราบด้วย

    ความเห็นที่ถูกลบไป ผมแค่เอาไฟล์เสียงของหลวงพ่อฤๅษีฯ มาโพส

    ขอเหตุผลด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กรกฎาคม 2008
  19. lokemesa

    lokemesa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +26
    ท่าน Jintasak จ๊ะ<o></o>​
    <o></o>

    1. ที่กล่าวแก้ไปอย่างนั้นก็ไม่ได้เพื่อให้ถูกละจ้ะ แต่เห็นท่านเน้นว่าแต่พิธีกรรมของวัดพระธรรมกาย <o></o>​
    เดี๋ยวผู้อื่นจะเข้าใจได้ว่ามีแต่วัดพระธรรมกายเท่านั้นที่ทำ<o></o>​
    ก็แค่แสดงให้เห็นว่า วัดพระธรรมกายไม่ได้เป็นผู้เริ่มตั้งพิธีกรรมต่างๆขึ้นมาจ้ะ <o></o>​
    สิ่งเหล่านี้ถูกสืบทอดมาแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดแล้วจ้ะ <o>

    </o>​
    ส่วนถ้าท่านเห็นว่าเป็นจุดบกพร่อง ไม่สมควรมีพิธีกรรมอย่างที่ไม่มีในพระไตรปิฎกเลย มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย<o></o>​
    ในข้อนี้ท่านจะทำอย่างไรเล่า ถ้าท่านสามารถจัดการให้วัดทั่วประทศที่มีอยู่ถึง 30,000 กว่าวัด เลิกพิธีกรรมทางศาสนาได้ ก็เชิญเถิดจ้ะ<o></o>​
    <o></o>
    2. ประโยคที่ว่า ‘ทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี ครับ/ค่ะ’
    ไม่ได้สับสนละจ้ะ ก็เพราะนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุด ท่านจึงตั้งเอาไว้ในเบื้องแรกนั้นถูกแล้ว <o></o>​
    ท่านก็เห็นการเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังชัดเจนอยู่ ซึ่งถ้ายังไม่ถึงนิพพาน บุญบารมีก็ต้องทำคู่กันไปจ้ะ<o>

    </o>​
    แต่ถามหน่อยเถอะจ้ะว่าท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะได้นิพพานในชาตินี้แน่ๆ ถ้าเผื่อไม่ได้นิพพาน<o></o>​
    แล้วท่านไม่ได้สั่งสมบุญบารมีไว้เลย ท่านจะแน่ใจได้ไหมจ๊ะว่าท่านจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทำพระนิพพานต่อไปอีก<o></o>​
    <o>
    </o>​
    ก็ผู้ไม่แสวงบุญสร้างบารมีไว้เลย ภพชาติต่อไปย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะไปทางทุคติ ตกไปสู่อบายภูมิ ​
    เมื่อนั้นจะไม่ยิ่งห่างพระนิพพานไปอีกหรือจ๊ะ<o></o>​
    <o>
    </o>​
    การที่เราจะเอาแต่นิพพานอย่างเดียวโดยไม่สร้างบุญสร้างบารมีเลย ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้จ้ะ<o></o>​
    มันก็เหมือนคนที่จะข้ามมหาสมุทรโดยไม่มีเรือล่ะจ้ะ <o></o>​
    จะเอาชีวิตไปตายเปล่าในมหาสมุทรนั้น เป็นทางเลือกของคนไม่ฉลาดจ้ะ <o></o>

    ก็ในเมื่อเราสามารถสร้างเรือ(บุญ)ได้เพื่อความรวดเร็วและปลอดภัยมากกว่าในการข้ามฝั่งมหาสมุทร <o></o>​
    ไฉนคนฉลาดจะไม่เอาเล่า <o></o>​
    ส่วนเรือ(บุญ)นี้เมื่อไปถึงฝั่งเทียบท่าแล้วเขาจึงค่อยทิ้งกันจ้ะ<o></o>​
    <o></o>
    3. ข้อปฏิบัติของฆารวาสเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา เป็นหลักปฏิบัติพื้นฐานของพุทธศาสนิกชนที่ดีพึงรู้เพื่อเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันจ้ะ<o></o>​
    ส่วนของพระภิกษุ คือหลักไตรสิกขา มี ศีล สมาธิ ปัญญา ถูกแล้วจ้ะ<o></o>​
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแยกไว้ชัดเจนแล้ว<o></o>​
    แต่ฆารวาสปัจจุบันศึกษาหลักธรรมของพระกันมาก<o></o>​
    จนสับสนเอามาอ้างว่าหลักไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ของพระสงฆ์องคเจ้านั้น เป็นหลักปฏิบัติของตนด้วย<o></o>​
    <o>
    </o>​
    ส่วนเรื่องความหมายของจาคะ ก็ต้องดูว่าเป็นจาคะของพระหรือของฆาราวาส<o></o>​
    การที่ท่านมองต่างมุมในเรื่องนี้นั้น ก็เป็นมุมมองของท่านเองจ้ะ<o></o>​
    <o></o>
    4. ส่วนเรื่องพีธีถวายข้าวพระพุทธของทางวัดพระธรรมกายนั้น ถ้าจะให้ท่านหายสงสัยจริงๆ ว่าทำกันอย่างไรแน่<o></o>​
    คงต้องไปดูให้เห็นกับตาตนเองล่ะจ้ะ ตอบกันอย่างนี้ ท่านคงสงสัยไม่สิ้นสุดหรอกจ้ะ

    <!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
    <!--[endif]-->​
    5. จากข้อความที่คัดมา ไม่มีคำกล่าวใดเลยจ้ะว่าการบอกบุญเป็นหน้าที่ของพระ <o></o>​
    กล่าวแต่เพียงว่า พระทำได้... แต่ท่านไปเข้าใจเองว่าเป็นหน้าที่ของพระจ้ะ
    <!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
    <!--[endif]--><o></o>​
    6. ที่อ้างว่าคนเข้าวัดพระธรรมกายเป็นเรือนหมื่นเรือนแสนนั้น ไม่ได้สร้างภาพล่ะจ้ะ แต่เป็น Fact คือข้อมูลจริงไม่มีเท็จ<o></o>​
    ท่านมาดูในงานบุญใหญ่ด้วยตัวท่านเองเถิดจ้ะ <o></o>​
    ส่วนที่ท่านมองมุมกลับอ้างเทียบว่ามีคนอีกเป็นล้านๆ ที่ไม่ได้เข้าวัดพระธรรมกายนั้น<o></o>​
    ขอมองในมุมกลับบ้างว่า ก็เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้ามาสัมผัสวัดพระธรรมกายอย่างจริงจังด้วยตัวเองนี้ล่ะจ้ะ <o></o>​
    ถ้อยคำของคนเหล่านั้นจึงไม่อาจเอามากล่าวอ้างได้ว่าวัดไม่ดีจริง<o></o>​
    <o></o>

    7. ผู้ที่เขาโพสต์สนับสนุนนั้น เขาพูดออกมาจากประสบการณ์จริงจ้ะ คือได้เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเองอย่างจริงจังมาแล้ว<o></o>​
    พบประสบการณ์ตรงด้วยตัวเองว่าดีจริง จึงได้กล่าวเหมือนกันเช่นนั้นจ้ะ
    <o></o>​
    ส่วนที่ว่าโฆษณานั้น ถ้าของเขาดีจริง การโฆษณาก็ไม่ไม่ใช่เรื่องเสียหายจ้ะ<o></o>​
    ส่วนที่ท่านว่าต้องตรวจสอบนั้น เชิญเลยจ้ะ วัดพระธรรมกายยินดีต้อนรับผู้ต้องการความจริงจ้ะ ขอให้มาจริงเถิด<o></o>​
    เกรงแต่ว่าเอาแต่รับข้อมูลเพียงทางสื่อกับคนมีอคติแล้วนำมากล่าวว่าตามกัน อย่างนี้แล้วความสงสัยของท่านจะสิ้นสุดลงได้อย่างไรเล่า<o></o>​
    ----------------------------------------------------------------

    พุทธพจน์มีมาแล้วดังนี้ว่า<o></o>
    <o></o>
    ผู้ทำบุญไว้ ย่อมบันเทิงใจในโลกนี้ ตายไปแล้วก็ยังบันเทิงใจในโลกหน้า ชื่อว่าบันเทิงใจในโลกทั้งสอง
    เขาย่อมบันเทิงรื่นเริงใจเพราะเห็นกรรมที่บริสุทธิ์ของตน

    ผู้ทำบุญไว้ ย่อมเพลิดเพลินใจในโลกนี้ ตายไปแล้วก็ยังเพลิดเพลินใจในโลกหน้า
    ชื่อว่าเพลิดเพลินใจในโลกทั้งสอง เขาย่อมเพลิดเพลินใจว่า ‘เราได้ทำบุญไว้แล้ว’<o></o>
    ครั้นไปสู่สุคติ เขายิ่งเพลิดเพลินใจมากขึ้น
    <o></o>
    ขุ.ธ. 25/11/17.​
     
  20. CJ 7

    CJ 7 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    เห็ตผลที่แจ้งลบเพราะ ข้อความนี้ สามารถทำให้สงฆ์แตกแยกได้ และทำให้ เกิดความ ขุ่นข้องหมองใจ ของศิษย์ทั้งสองวัด หากเกิดสงฆ์แตกแยก บาปจะตกถึงท่านได้โดยไม่รูตัว คุณโพสด้วยเหตุผลบางประการ แต่ผลที่ตามา มันจะไม่คุ้ยเสีย ถึงแม่จะไม่เอยชื่อวัด แต่ ที่คุณโพสมันก็บ่งบอกถึงอะไร กระทู้นี้ชี้แจงเรื่องชุด ไม่ได้เปิดมาเพื้อให้ทะเลาะกันครับ

    บัณฑิตที่แท้จริงสนทนาธรรม เพื้อให้รู้ธรรม มิได้สนทนาเพื้อทำลายกัน [​IMG]

    จะเอาธรรมะมาหักล้างธรรมะเพื้อให้เกิดความสุขอันได หากเจตนาเป็นไปเพื้อทำลายกัน มิได้เกิดขึ้นเพื้อ เจตนาที่ดีอย่างแท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กรกฎาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...